| 
 | 
 |  |  ๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
 | 
| สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ |  | ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
 | 
| อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์ |  | ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
 | 
| สพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี |  | ชาวบูรีหรรษาสถาวร
 | 
| มีเอกองค์นงลักษณ์อรรคราช |  | พระนางนาฎนามประทุมเกศร
 | 
| สนมนางแสนสุรางคนิกร |  | ดังกินนรน่ารักลักขณา
 | 
| มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ |  | ประไพพักตรเพียงเทพเลขา
 | 
| ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา |  | พึ่งแรกรุ่นชัณษาสิบห้าปี
 | 
| อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องๆ |  | เนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี
 | 
| พึ่งโสกันต์ชัณษาสิบสามปี |  | พระชนนีรักใคร่ดังไนยยา
 | 
| สมเด็จท้าวปิตุรงค์ดำรงราชย์ |  | แสนสวาทลูกน้อยเสนหา
 | 
| จะเษกสองครองสมบัติขัตติยา |  | แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
 | 
| จึงดำรัสเรียกพระโอรสราช |  | มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
 | 
| พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ |  | อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา
 | 
| ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท |  | สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
 | 
| ได้ป้องกันอันตรายนัครา |  | ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
 | 
| พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ |  | จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน
 | 
| หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ |  | เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์ |  | ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา
 | 
| จึงทูลความตามจิตต์เจตนา |  | ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน
 | 
| หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์ |  | ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน
 | 
| ก็สมจิตต์เหมือนลูกคิดทุกคืนวัน |  | พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร
 | 
| แล้วก้มกราบปิตุราชมาตุรงค์ |  | ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน
 | 
| จะเดินทางไกลในป่าพนาดอน |  | จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
 | 
| จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง |  | จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
 | 
| แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล |  | อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
 | 
| พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ |  | เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย
 | 
| พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย |  | มาทรงสานสาคเรศบนเตียงรอง
 | 
| แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์ |  | เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง
 | 
| แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง |  | จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา
 | 
| จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน |  | ออกทวารเบื้องบูรพาทิศา
 | 
| ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา |  | ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ล่วงตำบลชนบาทไปหลายบ้าน |  | เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน
 | 
| เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน |  | ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย
 | 
| จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า |  | พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
 | 
| คณนกเริงร้องคนองไพร |  | เสียงเรไรจักระจั่นสนั่นเนิน
 | 
| ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก |  | หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน
 | 
| ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุสาห์เดิน |  | พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน
 | 
| บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า |  | ปีบจำปาสุกรมสวรรค์
 | 
| พระอภัยมีศรีสุวรรณ |  | ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา
 | 
| พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้องๆ |  | เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา
 | 
| พระน้องเก็บมุลลีให้พี่ยา |  | ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย
 | 
| เห็นมะม่วงผลพึ่งสุกห่าม |  | ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย
 | 
| อร่อยหวานปานเปรียบสรนมเนย |  | อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง
 | 
| ครั้งสิ้นแสงสุริยทิพากร |  | สำนักนอนเนินผาป่าระหง
 | 
| ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์ |  | บาทบงส์บวมบอบระบมตรม
 | 
| พระเชษฐาอาไลยถึงไอศวรรย์ |  | กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม
 | 
| น้องคนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม |  | กับบรมปิตุเรศพระมารดา ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ สิบห้าวันเดินในไพรสณฑ์ |  | ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่นักหนา
 | 
| เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา |  | มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน
 | 
| อาจารย์หนึ่งขำนาญในการปี่ |  | ทั้งดีดสีแสนเสานะเราะหนักหนา
 | 
| ผู้ใดได้ฟังวังเวงในวิญญา |  | เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ
 | 
| อันสองท่านราชครุนั้นอยู่ตึก |  | จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน
 | 
| เป็นข้อความตามมีวิชาการ |  | แสนชำนาญเลิศลบภพไตร
 | 
| แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง |  | จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข
 | 
| ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ |  | จึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ |  | จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน
 | 
| เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร |  | พระทรงอ่านแจ้งจิตต์ในกิจจา
 | 
| อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้ |  | ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา
 | 
| จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา |  | อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ
 | 
| แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน |  | ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน
 | 
| ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป |  | ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก
 | 
| เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต |  | เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์
 | 
| ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก |  | ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน
 | 
| จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว |  | พ่อเห็นแล้วเหนือที่ลายลิขิตเขียน
 | 
| สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร |  | เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด
 | 
| อนุชาว่าการกลศึก |  | น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน
 | 
| ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว |  | จะชิงไชยข้าศึกไม่นึกเกรง
 | 
| พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่ |  | วิชามีแล้วใครไม่ข่มแหง
 | 
| แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง |  | หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
 | 
| ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก |  | ได้ดับโศกศูนย์หายทั้งชายหญิง
 | 
| แต่ขัดสนจนจิตต์คิดประวิง |  | ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม |  | จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา
 | 
| ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา |  | จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง
 | 
| พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์ |  | เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง
 | 
| อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง |  | หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี
 | 
| ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน |  | อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี
 | 
| ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที |  | จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์
 | 
| พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง |  | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
 | 
| เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ |  | กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก
 | 
| ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด |  | ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก
 | 
| เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก |  | ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี
 | 
| มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า |  | กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้
 | 
| ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี |  | กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย
 | 
| ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก |  | เห็นสมนึกเหมือนจิตต์ที่คิดหมาย
 | 
| กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย |  | แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า |  | เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล
 | 
| ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร |  | ศรีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา
 | 
| ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น |  | พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา
 | 
| อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา |  | ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติยวงศ์
 | 
| จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้ |  | แล้วถามไต่ข้อความตามประสงค์
 | 
| มีธุระอะไรในใจจง |  | เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ หน่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงสดับ |  | น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข
 | 
| พระบิดาห้าบำรุงซึ่งกรุงไกร |  | บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ
 | 
| จึงดั้นด้นเดินเนินป่ามาถึงนี่ |  | พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน
 | 
| รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์ |  | ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา
 | 
| แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น |  | อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
 | 
| ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา |  | ตีราคาควรแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
 | 
| แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา |  | ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง
 | 
| ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง |  | ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร
 | 
| แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา |  | สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล
 | 
| อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน |  | ครั้งค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา
 | 
| ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ |  | เพลงอาวุธอาบดั้งให้ตั้งท่า
 | 
| กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา |  | ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ฝ่ายเชษฐามาที่ท้ายบ้าน |  | ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี
 | 
| เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี |  | ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ฝ่านครูเฒ่าพินทรพราหมณ์รามราช |  | แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง
 | 
| ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง |  | เข้าในห้องหัดเพลงบันเลงพิณ
 | 
| แล้วพาไยอดเขาให้เป่าปี่ |  | ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
 | 
| แต่เสือช้างกล่างไพรถ้าได้ยิน |  | ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง
 | 
| ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร |  | พระกุมารได้สมอามรณ์หวัง
 | 
| สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบัง |  | จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
 | 
| ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ |  | จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
 | 
| เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน |  | ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
 | 
| คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส |  | เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
 | 
| ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ |  | จึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง
 | 
| แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง |  | ยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง
 | 
| อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์ |  | คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน
 | 
| ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน |  | เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
 | 
| ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ |  | จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
 | 
| ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์ |  | มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา
 | 
| จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัครา |  | ให้ชื่นจิตต์พระบิดาและมารดร ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก |  | จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน
 | 
| พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์ |  | แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ฝ่ายนฤบดีศรีสุวรรณ |  | ก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน
 | 
| ทั้งโล่ห์เขนเจนจัดหัดประจญ |  | ในการกลอาวุธสุดทำนอง
 | 
| จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า |  | จึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง
 | 
| เลือกล้วนเหล็กมุลลีตีกระบอง |  | ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา
 | 
| ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนได้ |  | แถลงไขข้อความตามปฤศนา
 | 
| เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณรา |  | แล้วพฤฒาอวยไชยไปจงดี
 | 
| หน่อกษัตริย์สุริวงศ์ทรงสดับ |  | น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 | 
| ครรไลลาอาจารย์จรลี |  | ตามวิถีแถวทางถนนมา
 | 
| พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน |  | สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา
 | 
| ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา |  | แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป
 | 
| ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง |  | หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่
 | 
| สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงไชย |  | พอท้าวไทยสุทัศน์กษัตรา
 | 
| ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี |  | แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
 | 
| พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา |  | เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงไชย ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ กรุงกษัตริย์สุริยวงศ์พระทรงยศ |  | เห็นโอรสยินดีจะมีไหน
 | 
| เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ |  | แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง
 | 
| หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา |  | ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง
 | 
| หรือปลดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง |  | พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์ |  | ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี
 | 
| พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี |  | ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ
 | 
| ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ |  | เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ
 | 
| ทั้งสองสิ่งยิ่งยอดวิชาการ |  | ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช |  | บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี
 | 
| โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที |  | อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจ
 | 
| อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง |  | เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
 | 
| แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง |  | มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ
 | 
| อันวิชาอาวุธแลโลห์เขน |  | ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร
 | 
| เป็นกษัตริย์จักพรรดิ์พิสดาร |  | มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด
 | 
| ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า |  | ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย
 | 
| จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร |  | ชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง
 | 
| ไปเที่ยวเล่นเป็นปี่แล้วมิสา |  | มาพูดจาให้กูคันหูเหือง
 | 
| พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง |  | แล้วย่างเยื้องจากบัลลังค์เข้าวังใน ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์ |  | บิดาตรัสโกรธาไม่ปราไสย
 | 
| อัปยศอดสูเสนาใน |  | ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน
 | 
| พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก |  | สู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์
 | 
| มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน |  | ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน
 | 
| พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา |  | พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล
 | 
| อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน |  | ผิดก็ดันดั้นไปในไพรวัน
 | 
| แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์ |  | สองกษัตริย์โศกทรงกรรแสงศัลย์
 | 
| พระอภัยมณีศรีสุวรรณ |  | ก็พากันซวนซบสลบไป
 | 
| ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์ |  | เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข
 | 
| ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจ |  | ชลไนย์แนวนองทั้งสององค์ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย |  | อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง
 | 
| มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์ |  | ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง
 | 
| พระพี่ชายชวนเกินดำเนินหน้า |  | อนุชาโฉมงามมาตามหลัง
 | 
| พระออกนอกนัคราเข้าป่ารัง |  | ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน
 | 
| อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้ |  | ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
 | 
| ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน |  | ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด |  | เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
 | 
| แม้นชีวันยังไม่บรรไลยลาญ |  | ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
 | 
| เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง |  | พอประทังกายาอยู่อาไสรย
 | 
| มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร |  | ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก |  | เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่
 | 
| กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี |  | ให้เป็นที่กังขาประชาชน
 | 
| เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่ |  | เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน
 | 
| สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล |  | จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย
 | 
| เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด |  | แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย
 | 
| ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย |  | พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา
 | 
| ค่อนด้นดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ |  | สีขเรศถ้วยธารละหานผา
 | 
| ครั้นค่ำค้างกลางเถื่อนได้เดือนเศษ |  | ออกพ้นเขตต์เข้าไม้ไพรสิงขร
 | 
| ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธร |  | ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง
 | 
| ทั้งสองราล้าเหนื่อยกำลัง |  | ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ |  | ได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย
 | 
| คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย |  | มีแยบคายชำนาญในการกล
 | 
| เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้ |  | แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน
 | 
| คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน |  | ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง
 | 
| คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร |  | เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์
 | 
| ถือธนูสู้ศึกนึกทนง |  | หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร
 | 
| ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก |  | หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด
 | 
| ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต |  | เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย
 | 
| พอแดดร่มลมตกลงชายเขา |  | ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย
 | 
| ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย |  | แสนสบายบุกป่ามาบนดิน
 | 
| ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำ |  | เที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์
 | 
| มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน |  | ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน
 | 
| เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉม |  | งามประโลมหลากจิตต์คิดฉงน
 | 
| ทอดสมอรอราเภตรายนต์ |  | ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย
 | 
| เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์ |  | โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย
 | 
| ว่าดูรามาณพทั้งสองนาย |  | เจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา
 | 
| ฤาเดินดงกลางทางมาต่างบ้าน |  | จงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังกา
 | 
| แม้นไม่มี่พี่น้องญาติกา |  | เราจะพาไว้เรือนเป็นเพื่อนกัน ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่ |  | จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์
 | 
| เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ |  | เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิ์สวัสดี
 | 
| ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์ |  | ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี
 | 
| อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรี |  | น้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา
 | 
| พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่ |  | ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา
 | 
| เราพี่น้องสองคนจึงซนมา |  | หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ
 | 
| ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงไสย |  | วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร
 | 
| ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร |  | จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา
 | 
| อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ |  | ได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา
 | 
| ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา |  | จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ |  | ว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงไสย
 | 
| ประณตนั่งบังคมขออไภย |  | พระอย่าได้ถือความข้าสามคน
 | 
| ซึ่งพระองค์ทรงไต่ถาม |  | จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
 | 
| ข้างชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานน |  | ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน
 | 
| แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้ |  | ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน
 | 
| ได้เรียนรู้เรียกลมฝนคือคนนั้น |  | ข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน
 | 
| ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูก |  | จะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น
 | 
| คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน |  | อยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน
 | 
| ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ |  | เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล
 | 
| แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล |  | ข้าสนเท่ห์ในน้ำใจจริง
 | 
| ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน |  | ฤาใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
 | 
| ยังสงไสยในจิตต์คิดประวิง |  | จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม |  | จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
 | 
| อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป |  | ย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
 | 
| ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราช |  | จัตุบาทกลางป่าพนาสิน
 | 
| แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยิน |  | ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
 | 
| ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ |  | อันลัทธิดนตรีดีนักหนา
 | 
| ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญา |  | จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
 | 
| แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้ |  | เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
 | 
| พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง |  | สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ
 | 
| 
 | 
| ๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย |  | ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
 | 
| ถึงร้อยรสบุปผาสุมาไลย |  | จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
 | 
| พระจันทรจรสว่างกลางโพยม |  | ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
 | 
| แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย |  | ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
 | 
| เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง |  | สำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน
 | 
| หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาล |  | ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป
 | 
| ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ |  | ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
 | 
| พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ |  | เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ฯ
 | 
 |        |  |        
 |