นิราศพระบาท
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
| แถว 1: | แถว 1: | ||
| + | == ข้อมูลเบื้องต้น == | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | ||
| แถว 4: | แถว 5: | ||
[[หมวดหมู่:นิราศ]] | [[หมวดหมู่:นิราศ]] | ||
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]] | '''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]] | ||
| + | == บทประพันธ์ == | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
๏ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง | ๏ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง | ||
| แถว 464: | แถว 466: | ||
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ | ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
| + | == เชิงอรรถ == | ||
| + | == อ้างอิง == | ||
รุ่นปัจจุบันของ 11:36, 10 กรกฎาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
| ๏ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง | |||
| ดังศรสักปักซ้ำระกำทรวง | เสียดายดวงจันทราพะงางาม | ||
| เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ | แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม | ||
| จะหน่อพระสุริย์วงศ์ทรงพระนาม | จากอารามแรมร้างทางกันดาร | ||
| ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท | จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร | ||
| ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร | นมัสการรอยบาทพระศาสดา ฯ | ||
| ๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ | พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า | ||
| รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา | พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย | ||
| ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า | ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย | ||
| แสนสลดให้ระทดระทวยกาย | ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน ฯ | ||
| ๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต | ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น | ||
| ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน | พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง | ||
| ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อ | ยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง | ||
| โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทาง | ทั้งจากบางจากไปใจระบม | ||
| แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียว | เห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม | ||
| ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม | น้อมบังคมเทวารักษาวัง | ||
| ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ | อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง | ||
| ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง | เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี ฯ | ||
| ๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก | เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี | ||
| ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี | ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน | ||
| จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง | เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น | ||
| นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน | แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ | ||
| ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก | ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ | ||
| ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ | สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ ฯ | ||
| ๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต | นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ||
| พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล | ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร | ||
| ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต | เหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร | ||
| มิตรจิตขอให้มิตรใจจร | ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง | ||
| ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ | ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง | ||
| เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง | จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้ว ฯ | ||
| ๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน | เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว | ||
| จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว | พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง | ||
| พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก | ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง | ||
| กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง | ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง | ||
| เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น | แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง | ||
| พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวง | พี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ | ||
| แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิด | นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ||
| เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ | เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา | ||
| พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย | ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า | ||
| โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา | จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน ฯ | ||
| ๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ | เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน | ||
| ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน | เรือขนานจอดโจษกันจอแจ | ||
| พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม | ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ | ||
| ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอ | พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย | ||
| ชมคณาฝูงนางมากลางชล | สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย | ||
| ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย | หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน | ||
| แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก | เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น | ||
| ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน | พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว | ||
| เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก | ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว | ||
| จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว | ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย ฯ | ||
| ๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง | โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย | ||
| พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย | โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล | ||
| ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม | ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน | ||
| ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน | สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน | ||
| เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น | ระวังตนตีนมือระมัดมั่น | ||
| เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน | ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล | ||
| เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ | เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน | ||
| เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน | ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง ฯ | ||
| ๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก | พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง | ||
| เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง | จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง | ||
| พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก | ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง | ||
| ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง | เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง | ||
| ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น | เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง | ||
| เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง | ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี | ||
| ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่ | หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี | ||
| ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี | จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป ฯ | ||
| ๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย | แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล | ||
| ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ | โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง | ||
| แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่าง | ระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง | ||
| ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง | เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม | ||
| เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง | ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม | ||
| ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม | เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง ฯ | ||
| ๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ | ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง | ||
| ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง | ต้องแยกทางสองแควกระแสชล | ||
| ปางบุรำคำบุราณขนานนาม | ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์ | ||
| ในแถวทางกลางย่านกันดารคน | นาวาดลเดินเบื้องบูรพา | ||
| โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ | มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า | ||
| ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา | นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ | ||
| ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ | นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล | ||
| โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ | ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน | ||
| เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม | เป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน | ||
| ปักษาโบกปีกบินลงดินเดิน | มัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา | ||
| นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิก | เอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา | ||
| กระทุงน้อยลอยทวนนาวามา | โอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป | ||
| หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก | ให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้ | ||
| มิทันสั่งสกุณินก็บินไป | ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน | ||
| ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม | เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน | ||
| โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน | เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง ฯ | ||
| ๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ | เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง | ||
| จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง | จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน | ||
| รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว | ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล | ||
| สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน | กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง | ||
| อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ | ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง | ||
| ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง | กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา | ||
| พาสนมออกมาชมคณานก | ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า | ||
| อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา | ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ | ||
| แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น | ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม | ||
| โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม | จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป ฯ | ||
| ๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม | เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล | ||
| ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ | ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ | ||
| ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส | พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ | ||
| ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ | อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา | ||
| ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง | เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา | ||
| ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา | ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง | ||
| ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น | พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง | ||
| ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง | จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน ฯ | ||
| ๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง | ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน | ||
| พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร | การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง | ||
| ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ | ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง | ||
| อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง | อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง | ||
| สังเวชวัดธารมาที่อาศัย | ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง | ||
| เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง | มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย | ||
| อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก | แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย | ||
| ถึงคลองสระปทุมานาวาราย | น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา | ||
| ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก | เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา | ||
| ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา | ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน ฯ | ||
| ๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ | เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ | ||
| แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน | จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง | ||
| มโหรีปี่กลองจะก้องกึก | จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ||
| ดูพาราน่าคิดอนิจจัง | ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา | ||
| ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก | ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา | ||
| แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา | เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ | ||
| กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก | ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ | ||
| เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน | เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ | ||
| กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก | ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ | ||
| ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย | โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย | ||
| หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค | ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | ||
| เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย | ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ | ||
| ๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น | ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง | ||
| ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง | ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร | ||
| ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต | ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่ | ||
| ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร | นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน ฯ | ||
| ๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ | ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน | ||
| เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ | ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา | ||
| ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก | จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า | ||
| พลพายนายไพร่บรรดามา | หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ | ||
| พี่ตันอกตกยากจากสถาน | เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ | ||
| ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ | พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม | ||
| จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว | มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม | ||
| กินประทับแต่พอรับกับโรคลม | ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย | ||
| ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม | พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย | ||
| ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย | พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ | ||
| บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร | เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน | ||
| ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน | จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา ฯ | ||
| ๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ | ดูเกะกะรอร้างทางพม่า | ||
| เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา | แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง | ||
| พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน | ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง | ||
| พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง | หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ | ||
| แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก | ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ | ||
| แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ | เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน ฯ | ||
| ๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก | จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ | ||
| นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน | ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ | ||
| โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน | ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้ | ||
| ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ | เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย | ||
| ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน | ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย | ||
| โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย | หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน ฯ | ||
| ๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง | ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น | ||
| โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน | กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย | ||
| ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ | แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย | ||
| จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย | แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา | ||
| ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ | เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา | ||
| ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา | ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ | ||
| เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด | ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว | ||
| พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ | ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล | ||
| ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด | เรือตลอดแลหลามตามกระแส | ||
| ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ | ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม | ||
| ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด | อุตลุดขนของขึ้นกองสุม | ||
| เสบียงใครใครนั่งระวังคุม | พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา | ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี | ||
| ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี | แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย | ||
| อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน | ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย | ||
| แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย | หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว | ||
| ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ | เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว | ||
| พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว | ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร | ||
| กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก | มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส | ||
| ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว | วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง | ||
| แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง | เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง | ||
| ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง | พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน ฯ | ||
| ๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ | เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ | ||
| แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน | ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์ | ||
| สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพัก | เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน | ||
| บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร | ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน | ||
| เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์ | เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน | ||
| ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ | ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน | ||
| จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว | ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร | ||
| เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร | กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง ฯ | ||
| ๏ บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่ | บ้างจอแจจัดการประสานเสียง | ||
| บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง | บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน | ||
| บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง | เสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน | ||
| จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน | หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย | ||
| ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก | กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย | ||
| กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย | เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน ฯ | ||
| ๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย | ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น | ||
| หวีกระจกตกแตกกระจายดิน | เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ | ||
| จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา | แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ | ||
| มือตะกายสายรัดสกนธ์คอ | เห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง | ||
| แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด | สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง | ||
| กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง | ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว | ||
| บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด | ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว | ||
| ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว | บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง ฯ | ||
| ๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก | บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง | ||
| ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ | รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน | ||
| จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง | เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน | ||
| กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน | เขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย | ||
| ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง | ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย | ||
| แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้าย | ต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน | ||
| เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัด | ช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์ | ||
| ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน | โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง | ||
| นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน | แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง | ||
| แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง | เอาขอพิงพาดตักมาตามทาง ฯ | ||
| ๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด | ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง | ||
| จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง | ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ | ||
| รุกขชาติดาษดูระดะป่า | สกุณาจอแจประจำจับ | ||
| ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ | จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ | ||
| ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ | ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว | ||
| จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร | ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น ฯ | ||
| ๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง | บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น | ||
| มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น | ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง | ||
| บ้างขายของสองข้างตามทางป่า | จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง | ||
| พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง | เห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว | ||
| แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง | เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | ||
| พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว | มาตามราวมรคาพนาวัน | ||
| ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน | ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ | ||
| ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน | ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู ฯ | ||
| ๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก | ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู | ||
| ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้ | แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ | ||
| ระยะเดินเถินทางมากลางป่า | สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่ | ||
| พอได้กึ่งมรคาพนาลัย | พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง ฯ | ||
| ๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว | ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง | ||
| ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง | เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ | ||
| อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง | รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ | ||
| โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรม | เหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม | ||
| พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้าง | มาตามทางทิวป่าพนาหนาม | ||
| กำหนดนับมรคาพยายาม | ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย | ||
| โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า | แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย | ||
| จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย | จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง | ||
| กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง | พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง | ||
| ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง | นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ | ||
| โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุก | พี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ | ||
| เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำ | โอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย | ||
| ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่ | แสนทวีเวทนาประดาเสีย | ||
| นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย | จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว | ||
| พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย | จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว | ||
| ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว | พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา ฯ | ||
| ๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร | ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา | ||
| ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา | จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน | ||
| ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้าย | เขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน | ||
| ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน | เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล | ||
| ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส | จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน | ||
| ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล | จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน ฯ | ||
| ๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ | ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ | ||
| เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ | ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร | ||
| เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึก | อนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล | ||
| ที่ตกยากจากนางมากลางไพร | วิตกใจตกมาถึงคีรี | ||
| รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย | ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี | ||
| จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี | จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร ฯ | ||
| ๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ | ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน | ||
| กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร | รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม | ||
| บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด | ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม | ||
| ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม | สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล | ||
| ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น | ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย | ||
| ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป | ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง ฯ | ||
| ๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ | ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ||
| ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง | ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม | ||
| มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว | วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม | ||
| ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึม | รุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร | ||
| เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม | ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร | ||
| เป็นวันบรรณรสีรวีวร | พระจันทรทรงกลดรจนา | ||
| ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป | กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา | ||
| ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา | จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย | ||
| พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก | ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย | ||
| นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย | พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน | ||
| ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่า | ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน | ||
| แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือน | จนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา | ||
| สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ | เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา | ||
| เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา | ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว | ||
| ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบ | แสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว | ||
| ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว | ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น | ||
| โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้ | แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ | ||
| ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น | ใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง | ||
| ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหน | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง | ||
| แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง | จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม | ||
| ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ | ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม | ||
| ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม | เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง | ||
| สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง | ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง | ||
| พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง | ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ ฯ | ||
| ๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคโภชนากระยาหาร | ||
| แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ | เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย | ||
| มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น | พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย | ||
| แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย | ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน | ||
| ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค | มีรูปรากษสสองอสูรขยัน | ||
| แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน | ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น | ||
| บันไดนาคนาคในบันไดนั้น | ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น | ||
| ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น | ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย | ||
| มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด | ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย | ||
| คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย | บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว ฯ | ||
| ๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น | มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว | ||
| นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว | ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง | ||
| ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น | สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง | ||
| ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง | พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน | ||
| ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด | ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์ | ||
| แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน | ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย | ||
| ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม | กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย | ||
| มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย | กลางกระจายดอกจอกประจำทำ ฯ | ||
| ๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์ | เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ | ||
| หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ | กินนรรำรายเทพประนมกร | ||
| ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข | สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร | ||
| ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร | กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง | ||
| นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย | ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง | ||
| เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง | วิเวกวังเวงในหัวใจครัน ฯ | ||
| ๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก | น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน | ||
| เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ | รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม | ||
| สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว | เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม | ||
| ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุม | สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง | ||
| รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหิน | พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์ | ||
| รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ | เสด็จทรงคชสารในบานบัง | ||
| ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน | โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง | ||
| จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง | ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม | ||
| มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้น | ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม | ||
| เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม | พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย | ||
| ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย | ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย | ||
| หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย | ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง ฯ | ||
| ๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท | อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง | ||
| กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง | เดชะกองกุศลที่ตนทำ | ||
| มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว | ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์ | ||
| ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรม | แสนระยำยุบยับด้วยอับจน | ||
| ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบ | ไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน | ||
| แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคน | ชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล | ||
| สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิง | ทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย | ||
| สัญชาติชายทรชนที่คนใด | ให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง | ||
| ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วย | บุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง | ||
| อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์ | ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์ | ||
| หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติ | ให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน | ||
| ความระยำคำใดอย่าได้ยิน | ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง | ||
| ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก | ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง | ||
| ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง | ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน ฯ | ||
| ๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท | เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ | ||
| ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน | มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง | ||
| ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย | เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง | ||
| ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง | มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน | ||
| มีชะวากคูหาศิลาหุบ | ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ | ||
| แต่คนนมัสการนานอนันต์ | บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย ฯ | ||
| ๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก | พระกลดหักทองขวางกางถวาย | ||
| พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย | กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม | ||
| เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้ | ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม | ||
| กำลังอายก็ซังตายพยายาม | ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร | ||
| พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา | เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข | ||
| พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป | ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา ฯ | ||
| ๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา | ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา | ||
| ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา | ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ | ||
| หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ | กงกระทบเขากระจายทลายหมด | ||
| ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ | จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน ฯ | ||
| ๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต | พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์ | ||
| นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์ | จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ | ||
| แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่าง | ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
| เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย | สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง | ||
| ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด | ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง | ||
| น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง | เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน ฯ | ||
| ๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ | ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน | ||
| ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน | พิศเพลินพฤกษาบรรดามี | ||
| อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก | สำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี | ||
| สำคัญปากคูหาศาลามี | ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน | ||
| เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อย | มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน | ||
| พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคน | ผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย | ||
| เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำ | ชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย | ||
| ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย | ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว | ||
| ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน | มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว | ||
| บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว | ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดง ฯ | ||
| ๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น | สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง | ||
| ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง | เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม | ||
| พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ | เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน | ||
| เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน | กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน | ||
| พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น | ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน | ||
| ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ | ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร | ||
| พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว | ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ | ||
| ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ | โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา | ||
| น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน | ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา | ||
| แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา | รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน ฯ | ||
| ๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา | สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน | ||
| ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน | สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง | ||
| เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่ | จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง | ||
| พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง | ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม | ||
| นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก | เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม | ||
| ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม | ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง ฯ | ||
| ๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ | วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง | ||
| ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง | เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง | ||
| สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบ | เป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง | ||
| กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง | ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว | ||
| ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ | เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว | ||
| ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว | ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย | ||
| เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม | ศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย | ||
| พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย | ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา | ||
| แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง | ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา | ||
| จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา | ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น ฯ | ||
| ๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท | เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น | ||
| ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น | ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง | ||
| เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ | ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง | ||
| เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง | เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย | ||
| สารพันกันภัยลูกนาคพช | เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย | ||
| ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย | เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว | ||
| หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า | ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว | ||
| ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว | มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง ฯ | ||
| ๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง | เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง | ||
| พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง | ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร | ||
| กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม | วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน | ||
| เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร | เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง | ||
| เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม | โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง | ||
| พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง | กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ ฯ | ||
| ๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย | พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย | ||
| พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว | สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน | ||
| ดูทำนองนางในไกวชิงช้า | ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน | ||
| เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน | ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม | ||
| ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง | ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม | ||
| พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม | ให้แสนโทมนัสทัศนา ฯ | ||
| ๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ | สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา | ||
| เมื่อใช้บนเล่นชลธารา | อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน | ||
| ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช | สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน | ||
| มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน | แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม | ||
| หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ | ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม | ||
| ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม | แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง | ||
| แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย | ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง | ||
| ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียง | ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน | ||
| แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่ | ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์ | ||
| เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกัน | คิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง | ||
| แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่ | จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง | ||
| เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวาง | จนแรมร้างออกมาราวอรัญวา | ||
| ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช | พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา | ||
| พระสุธนร้างห่างมโนห์รา | พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม | ||
| องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร | เสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม | ||
| สุจิตราลาตายไม่วายตรอม | ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์ | ||
| แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก | ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์ | ||
| ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง | ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย | ||
| พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ | ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย | ||
| แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย | ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม ฯ | ||
| ๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ | ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม | ||
| แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ | เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง | ||
| พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า | เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง | ||
| พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง | หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย | ||
| มีละครผู้คนอลหม่าน | กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส | ||
| สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป | พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล | ||
| ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก | ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ | ||
| บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ | บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน ฯ | ||
| ๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ | ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน | ||
| มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน | ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ | ||
| ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด | ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ | ||
| กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ | คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง | ||
| ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก | จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง | ||
| แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ | พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร | ||
| แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา | บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | ||
| บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน | แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน ฯ | ||
| ๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง | จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | ||
| วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ | อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | ||
| ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด | ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร | ||
| แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร | น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย | ||
| ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด | โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย | ||
| นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย | เราจดหมายตามมีมาชี้แจง | ||
| ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ | ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง | ||
| ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง | ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ | ||
