นิราศสุโขทัย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศสุขโทัย}} [[หมวด…') |
(→๒) |
||
| แถว 196: | แถว 196: | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
=== ๒ === | === ๒ === | ||
| + | <tpoem> | ||
| + | ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง | ||
| + | เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา | ||
| + | ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน พระนครไพบูลย์พูนสุขา | ||
| + | แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัดติยา พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ | ||
| + | สุพรรณหงส์เอกชัยไปตามน้ำ ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ | ||
| + | ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา | ||
| + | มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง เล่นทำนองยกทัพรับอาสา | ||
| + | ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา มีเสนาหมอบก้มประนมกร | ||
| + | เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์ | ||
| + | เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์ | ||
| + | พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น | ||
| + | ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี | ||
| + | ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่ | ||
| + | องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน | ||
| + | ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์ | ||
| + | ได้เงินทองเภตราสารพัน บริวารนั้นตามมาพาราไทย | ||
| + | ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่ | ||
| + | พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์ | ||
| + | พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล | ||
| + | ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล นิรมลมเหสีมีศรัทธา | ||
| + | ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา | ||
| + | พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์ | ||
| + | จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์ | ||
| + | แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา | ||
| + | จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพฯทวาราวดี ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา | ||
| + | ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว | ||
| + | ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว | ||
| + | ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา | ||
| + | โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา | ||
| + | ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย | ||
| + | มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว | ||
| + | หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย ย่อยบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน | ||
| + | ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน | ||
| + | ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป | ||
| + | ถึงบ้านม้าม้าที่มีพยศ ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว | ||
| + | ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง | ||
| + | กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง | ||
| + | คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสลาม | ||
| + | เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม | ||
| + | ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย | ||
| + | นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิสมัย | ||
| + | ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา | ||
| + | แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา | ||
| + | จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ | ||
| + | ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล | ||
| + | คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น | ||
| + | มาถึงบ้านภาชีที่ใหญ่กว้าง รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น | ||
| + | มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง | ||
| + | รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง | ||
| + | มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว | ||
| + | เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว | ||
| + | ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย | ||
| + | เสียงจ้อกแจ้กจอแจกันแซ่ซ้อง ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย | ||
| + | ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ | ||
| + | ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ | ||
| + | พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป | ||
| + | บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย | ||
| + | บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย | ||
| + | บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา บ้านปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย | ||
| + | บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย บ้างตะกายตลบตะแลงตะแคงลิ้น | ||
| + | สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกระเดือกปลิ้น | ||
| + | มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม | ||
| + | การกินอยู่มนุษย์นี้สุดยาก ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม | ||
| + | ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร | ||
| + | จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่ | ||
| + | บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี | ||
| + | ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี | ||
| + | มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน | ||
| + | ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์ | ||
| + | ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ ยุติธรรม์ถ้วนทั่วทุกตัวคน | ||
| + | แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล | ||
| + | ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล จะมีผลสุขศานติ์สำราญกัน | ||
| + | ถึงท่าเรือเมื่อสัปปุรุษไปพุทธบาท ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์ | ||
| + | ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา | ||
| + | เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์ | ||
| + | ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร | ||
| + | หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด สัปปุรุษเซ็งแซ่แลไสว | ||
| + | ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล พากันไปล้นหลามตามมรรคา | ||
| + | มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา | ||
| + | ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา ทั้งได้ค่าบันเทิงสำเริงรมย์ | ||
| + | ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม | ||
| + | ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม ขอบรมบูราณตระการครัน | ||
| + | ถึงบ้านหมอหมอยาหรือผ่าตัด ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์ | ||
| + | ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง | ||
| + | ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง | ||
| + | เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย | ||
| + | ถึงหนองโดนโดนอีกตั้งกระมังนี่ โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | ||
| + | มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา | ||
| + | มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา | ||
| + | ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี | ||
| + | ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่ | ||
| + | ความเจริญเดินถึงพนาลี ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร | ||
| + | ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก เจริญยากขัดสนผลอาหาร | ||
| + | ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน | ||
| + | ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน เคยสำราญสถิตนิจศีล | ||
| + | มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ | ||
| + | ถึงป่าหวายหวายเหนียวเป็นเกลียวเชือก มีแ...อกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว (ต้นฉบับขาดหายไป) | ||
| + | ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย | ||
| + | ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย | ||
| + | คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม | ||
| + | ควรเมตตาการุณย์เจือจุนบ้าง พอประทังร่างกายที่ผ่ายผอม | ||
| + | เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม กุศลย่อมจะได้หลายประการ | ||
| + | มาถึงลพบุรีทวีเศร้า เห็นซากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน | ||
| + | สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี | ||
| + | เดิมพระยากาวัณดิศราช ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่ | ||
| + | ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม | ||
| + | เมื่อพุทธศกดกพันเศษสองส่วน จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม | ||
| + | เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา | ||
| + | จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ อันงามเหมาะชูชาติศาสนา | ||
| + | ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร | ||
| + | ปิฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ ครองนครละโว้อันโตใหญ่ | ||
| + | แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา | ||
| + | ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า | ||
| + | ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง | ||
| + | พระเดชาอำนาจราชประวัติ สารพัดสมพระราชประสงค์ | ||
| + | พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ | ||
| + | ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้ | ||
| + | ทรงสลดรันทดพระราชหฤทัย เอาธงชัยอรหันต์กันผดุง | ||
| + | ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง | ||
| + | บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี | ||
| + | ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช ฉลองพระบาทบงกชบทศรี | ||
| + | กตัญญูรู้กตเวที พวกไพรีผลักตกฟกบรรลัย | ||
| + | เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช ต่างประเทศทั้งหลายไม่กรายใกล้ | ||
| + | แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย | ||
| + | พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง จะตัดแล่งกบฏให้ถดถอย | ||
| + | ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย วาโยพลอยพาท่านสวรรคต | ||
| + | ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า ทับเคหาพังทลายกระจายหมด | ||
| + | ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งไว้ | ||
| + | ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่ | ||
| + | เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย ขอจงให้มีผู้สร้างอย่างร้างเลย | ||
| + | ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย | ||
| + | ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ | ||
| + | ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร | ||
| + | เข้าแย่งของจากกายหลายประการ แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้ | ||
| + | ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้ | ||
| + | รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ รวบของไปกินพลางยื่นคางชู | ||
| + | บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู | ||
| + | คนไล่ขับกลับคะนองจ้องตาดู ตะคอกขู่เลิกคิ้วพลิ้วร่างกาย | ||
| + | พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย | ||
| + | เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี | ||
| + | พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี | ||
| + | กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง | ||
| + | เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง | ||
| + | จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย | ||
| + | ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | ||
| + | หวนสะท้อนร้อนใจไม่เสบย จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย | ||
| + | เห็นสีดินดำคล้ำดังหมึก มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย | ||
| + | เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย จดสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน | ||
| + | ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน | ||
| + | ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน | ||
| + | ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน | ||
| + | ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน จะป้องกันความจนได้กลใด | ||
| + | ถึงทรายขาวขาวหรือดำในน้ำจิต สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข | ||
| + | ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน | ||
| + | ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน | ||
| + | เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพลิ้วแพลง | ||
| + | ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง | ||
| + | เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง เอาเหล็กแทงพะเนินดอกออกกระจาย | ||
| + | ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ ทำมีหมดทุกขนาดตามมาดหมาย | ||
| + | พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย ส่งไปขายตามระยะพระนคร | ||
| + | เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน เราขุดดินง่ายง่ายไม่สังหรณ์ | ||
| + | ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร จะนั่งนอนคอยท่าเวลาตาย | ||
| + | ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด เขายังอุตส่าห์ทยอยงัดต่อยขาย | ||
| + | หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย ให้สบายพูนสวัสดิ์วัฒนา | ||
| + | ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา | ||
| + | นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ เขาบูชาเงินกันทุกวันมี | ||
| + | จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี | ||
| + | ที่ยากจนข้นแค้นถึงแสนดี เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน | ||
| + | ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น | ||
| + | กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน จะมีอินทรีย์อ้วนเป็นนวลแดง | ||
| + | ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง | ||
| + | ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน | ||
| + | ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า มนุษย์เราก็จะสมอารมณ์ถวิล | ||
| + | จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล | ||
| + | ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวน | ||
| + | รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง | ||
| + | ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด แผ่นดินดาดแดงทั่วไม่มัวหมาง | ||
| + | พฤกษาเขียวเกลียวกลมสมสำอาง ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน | ||
| + | สีชมพูดูงามอร่ามฉาย บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น | ||
| + | แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง | ||
| + | สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง | ||
| + | ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ | ||
| + | มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่ | ||
| + | ปวดระทมโทมนัสดวงฤทัย โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน | ||
| + | มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน | ||
| + | รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา | ||
| + | เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา | ||
| + | ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา สกุณาเคียงคลอกันจอแจ | ||
| + | เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่ | ||
| + | โอปักษียังมีแก่ใจแท้ มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณย์ | ||
| + | </tpoem> | ||
| + | |||
=== ๓ === | === ๓ === | ||
=== ๔ === | === ๔ === | ||
การปรับปรุง เมื่อ 14:49, 31 พฤษภาคม 2556
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: [คุณหญิงเขื่อนเพ็ชรเสนา] (ส้มจีน อุณหะนันท์)
บทประพันธ์
๑
| ๏ นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน | |||
| ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ | ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ | ||
| ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ | ไปรับราชกิจวินิจฉัย | ||
| เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป | พออุทัยไขศรีฉวีเรือง | ||
| ที่ยี่สิบเจ็ดมิถุนาวันคลาคลาด | พุทธศักราชสองพันกันต่อเนื่อง | ||
| สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง | จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา | ||
| จุดเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป | และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า | ||
| ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ | แล้วไคลคลาจากตึกรู้สึกงง | ||
| เห็นเด็กเด็กเลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง | ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง | ||
| คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง | ค่อยดำรงกายออกนอกประตู | ||
| ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว | เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่ | ||
| ไปคนเดียวเสียวเจตน์น้ำเนตรพรู | มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร | ||
| ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน | จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน | ||
| เป็นหลายสายย้ายพรากจากนคร | เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน | ||
| นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ | ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน | ||
| บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล | ส่งกันจนรถออกนอกชาลา | ||
| เป็นขบวนขบวนไม่ป่วนปั่น | แต่ละคันท่วงทีมีสง่า | ||
| ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา | นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์ | ||
| ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ | อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ | ||
| พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล | ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย | ||
| เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก | อุปโภคสารพันทันสมัย | ||
| พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร | สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน | ||
| มาถึงจิตรลดาสถานี | มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล | ||
| สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ | เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ | ||
| เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต | ชวลิตแลตลอดยอดไสว | ||
| พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย | สวยดังไกรลาสสวรรค์อันรุ่งเรือง | ||
| เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร | แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง | ||
| ดังทองทาบปลาบปลั่งมลังเมลือง | สีกระเบื้องแลระยับจังนภางค์ | ||
| ฉันน้อมกายถวายอภิวาท | พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง | ||
| โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง | ให้สำอางสำเร็จเจตนา | ||
| ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง | จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ถ้วนหน้า | ||
| มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา | วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง | ||
| ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน | ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง | ||
| เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง | ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร | ||
| ถึงบางซื่อซื่อตรงลงว่าโง่ | โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล | ||
| ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน | กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี | ||
| คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด | ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี | ||
| ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที | และทั้งมีกรรมการประหารความ | ||
| คงได้ฟังคารมอุดมแปลก | ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม | ||
| ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม | ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี | ||
| ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด | รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี | ||
| แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี | มิให้มีอกุศลปนมลทิน | ||
| จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ | อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น | ||
| ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ | อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี | ||
| เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง | แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี | แห้งเป็นศีลาแท่งแข็งแรงทน | ||
| บางซื่อนี้โรงมีทหารบก | ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์ | ||
| มีทหารชาญชัยหลายกองพล | เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา | ||
| ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น | เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา | ||
| ก็พอจะเข็นได้สบายเบา | แต่ว่าเจ้าความรักนี้หนักครัน | ||
| ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก | ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน | ||
| บางทีถึงร่างกายวายชีวัน | เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง | ||
| สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง | นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง | ||
| เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง | ยิ่งตรองตรองเรื่องรักชักรำคาญ | ||
| ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว | ขอขอบใจชาวนามหาศาล | ||
| สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ | ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | ||
| การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ | กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง | ||
| นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง | โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน | ||
| เราลำบากยากใจอะไรหน่อย | บ่นตะบอยกันทั้งวันตั้งพันหน | ||
| มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน | กินดังปนเพชรทองยังร้องคราง | ||
| เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง | ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง | ||
| ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่างปล่อยวาง | จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สะดุดใจ | ||
| อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ | หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน | ||
| รัชกาลที่สี่มีพระทัย | บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู | ||
| ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง | ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่ | ||
| ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ | ปักไว้ให้ดูตลอดทาง | ||
| หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลักหลัก | ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง | ||
| ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรองรอง | นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา | ||
| ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก | ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา | ||
| เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยน์ตา | แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย | ||
| ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ | ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย | ||
| ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย | เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง | ||
| อันบูราณสถานที่มีประวัติ | ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง | ||
| ต้องเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง | เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนนา | ||
| ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน | วิชาศิลป์สิ่งนี้ดีหนักหนา | ||
| ชวนกันหัดให้จบทางนพภา | จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์ | ||
| มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต | ความตายคิดไม่ประหลาดชาติสังขาร | ||
| ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน | อยู่กับบ้านมันก็มรณา | ||
| เป็นทหารนักบินควรยินดี | เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา | ||
| ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา | อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว | ||
| แม้จะเสียชีวาตม์อย่าขลาดหลบ | ต้องรุกรบจนศัตรูอยู่ไม่ได้ | ||
| ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย | ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน | ||
| ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า | ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล | ||
| รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน | รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา | ||
| รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ | ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า | ||
| สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา | แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย | ||
| ทหารบกทหารเรือและเสือป่า | ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย | ||
| ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย | มิให้อายแก่เขาชาวโลกา | ||
| ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด | เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา | ||
| มิได้เกรงตกตายวายชีวม | ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ | ||
| โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต | นักประดิษฐ์ต่างต่างอย่างวิตถาร | ||
| ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ | เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ | ||
| มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง | ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์ | ||
| โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ | เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา | ||
| ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ | ของกินใช้สารพันน่าหรรษา | ||
| ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา | คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ | ||
| ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน | แต่ผักล้วนแลลิ่วทิวไสว | ||
| ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป | เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง | ||
| การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก | งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง | ||
| ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง | ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี | ||
| การหากินถูกอย่างทางสัมมา | ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี | ||
| การทุจริตมิจฉาชีพราคี | และเป็นที่อับอายขายหน้าตา | ||
| เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา | ||
| สัตตบุษย์ผุดพ้นชลธาร์ | สัตตบันวรรณาน่ายินดี | ||
| สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ | บัวเผื่อนสะพักบัวผันกระชั้นสี | ||
| สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี | ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล | ||
| ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย | ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน | ||
| ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล | กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ | ||
| ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง | จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน | ||
| ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ | ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม | ||
| คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด | มีการทดน้ำมาทำนาหลาม | ||
| มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม | ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี | ||
| มีประตูระวังปิดขังน้ำ | ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี | ||
| แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี | มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ | ||
| มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ | จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน | ||
| หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล | ก็มิได้เห็นซากของรากเลย | ||
| สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ | จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย | ||
| ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย | ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ | ||
| เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล | แม้ร่างกายตายหล่นไปไหนไหน | ||
| ชื่อยังอยู่รู้แจ้งทุกแห่งไป | ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย | ||
| รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ | ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย | ||
| ความเร็วของรถมองตาลาย | มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์ | ||
| มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า | ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม | ||
| เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม | เราโศกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล | ||
| ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก | เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว | ||
| รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ | ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู | ||
| เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน | เดินมาชนถูกตัวและหัวหู | ||
| ไม่ถือโกรธทำจำคำครู | เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป | ||
| เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด | ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข | ||
| เขาเล่ายักษ์สถุลมารพาลสุดใจ | หวังจะให้พระรถหมดชีวา | ||
| ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต | สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา | ||
| เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา | แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบรรลัย | ||
| ทำฉะอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น | ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่ | ||
| มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ | มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา | ||
| จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช | ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา | ||
| ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา | ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง | ||
| พระราชางวยงงด้วยหลงใหล | ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง | ||
| ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง | จึงพักค้างที่กุฎีพระชีไพร | ||
| เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต | ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข | ||
| ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ | ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ | ||
| พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย | จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร | ||
| ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน | ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี | ||
| พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร | ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี | ||
| พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี | อสุรีมันแกล้งจำแลงมา | ||
| จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย | ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา | ||
| มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา | ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป | ||
| ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น | โลหิตนองกองดินดั่งธารไหล | ||
| ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ | พื้นไผทแดงดลจนทุกวัน | ||
| ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว | เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน | ||
| จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน | เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา | ||
| ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ | พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า | ||
| แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา | ||
| มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ | เดิมเป็นที่อาศัยของผู้เฒ่า | ||
| มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยา | ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน | ||
| ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร | สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น | ||
| มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน | เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม | ||
| ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง | เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม | ||
| เกิดพายุแรงกล้านาวาจม | ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย | ||
| ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น | จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย | ||
| เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พร้อยพราย | เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์ | ||
| พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง | ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน | ||
| ได้สมสองนางอินครั้นทินกร | รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา | ||
| ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด | คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา | ||
| ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา | จึงจัดพาไปถวายให้บิตุรงค์ | ||
| ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ | ในพระราชทินนามตาประสงค์ | ||
| เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ | แล้วได้ดำรงสยามราชปราสาททอง | ||
| ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน | ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสบสนอง | ||
| ชาวบ้านเรียกเกาะอออินอออินครอง | บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน | ||
| อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ | สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์ | ||
| แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครัน | พระทรงธรรม์มหาปิยายง | ||
| วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ | พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์ | ||
| พระที่นั่งใหญ่ใหญ่เป็นหลายองค์ | ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย | ||
| พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ | เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่ | ||
| ที่เกาะนอกออกมหาชลาลัย | สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา | ||
| ทรงพระราชทานนามความพิเศษ | วัดนิเวศธรรมประวัติจัดศึกษา | ||
| ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมา | บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนา | ||
| ถึงบางโพธิโพธิมีที่ไหนแน่ | เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว | ||
| รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา | ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง | ||
| เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา | เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง | ||
| จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง | บ้างขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป | ||
| ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ | ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่ | ||
| ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด | จะสำราญบานใจไปทุกคน | ||
| การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น | เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล | ||
| จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล | จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง | ||
๒
| ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย | น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง | |||
| เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง | โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา | |||
| ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน | พระนครไพบูลย์พูนสุขา | |||
| แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัดติยา | พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ | |||
| สุพรรณหงส์เอกชัยไปตามน้ำ | ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ | |||
| ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ | ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา | |||
| มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง | เล่นทำนองยกทัพรับอาสา | |||
| ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา | มีเสนาหมอบก้มประนมกร | |||
| เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา | ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์ | |||
| เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน | ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์ | |||
| พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า | ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น | |||
| ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ | ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี | |||
| ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง | ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่ | |||
| องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี | แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน | |||
| ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ | กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์ | |||
| ได้เงินทองเภตราสารพัน | บริวารนั้นตามมาพาราไทย | |||
| ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน | แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่ | |||
| พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป | กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์ | |||
| พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง | วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล | |||
| ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล | นิรมลมเหสีมีศรัทธา | |||
| ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ | สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา | |||
| พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา | ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์ | |||
| จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง | ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์ | |||
| แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง | แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา | |||
| จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพฯทวาราวดี | ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
| ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา | รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว | |||
| ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา | กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว | |||
| ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว | คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา | |||
| โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง | จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
| ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา | ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย | |||
| มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม | มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว | |||
| หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย | ย่อยบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน | |||
| ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ | นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน | |||
| ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน | ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป | |||
| ถึงบ้านม้าม้าที่มีพยศ | ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว | |||
| ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย | ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง | |||
| กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ | มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง | |||
| คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง | หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสลาม | |||
| เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ | ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม | |||
| ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ | มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย | |||
| นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ | ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิสมัย | |||
| ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป | ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา | |||
| แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ | มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา | |||
| จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา | ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ | |||
| ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว | แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล | |||
| คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย | เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น | |||
| มาถึงบ้านภาชีที่ใหญ่กว้าง | รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น | |||
| มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น | กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง | |||
| รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา | ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง | |||
| มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง | ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว | |||
| เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า | คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว | |||
| ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว | ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย | |||
| เสียงจ้อกแจ้กจอแจกันแซ่ซ้อง | ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย | |||
| ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย | บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ | |||
| ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ | ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ | |||
| พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ | วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป | |||
| บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง | แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย | |||
| บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร | เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย | |||
| บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา | บ้านปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย | |||
| บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย | บ้างตะกายตลบตะแลงตะแคงลิ้น | |||
| สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด | ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกระเดือกปลิ้น | |||
| มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ | พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม | |||
| การกินอยู่มนุษย์นี้สุดยาก | ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม | |||
| ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม | ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร | |||
| จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น | ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่ | |||
| บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป | ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี | |||
| ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท | เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี | |||
| มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี | ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน | |||
| ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ | ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์ | |||
| ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ | ยุติธรรม์ถ้วนทั่วทุกตัวคน | |||
| แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด | กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล | |||
| ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล | จะมีผลสุขศานติ์สำราญกัน | |||
| ถึงท่าเรือเมื่อสัปปุรุษไปพุทธบาท | ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์ | |||
| ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน | แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา | |||
| เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข | กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์ | |||
| ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา | โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร | |||
| หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด | สัปปุรุษเซ็งแซ่แลไสว | |||
| ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล | พากันไปล้นหลามตามมรรคา | |||
| มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง | ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา | |||
| ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา | ทั้งได้ค่าบันเทิงสำเริงรมย์ | |||
| ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ | ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม | |||
| ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม | ขอบรมบูราณตระการครัน | |||
| ถึงบ้านหมอหมอยาหรือผ่าตัด | ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์ | |||
| ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน | ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง | |||
| ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก | โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง | |||
| เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง | หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย | |||
| ถึงหนองโดนโดนอีกตั้งกระมังนี่ | โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
| มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย | พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา | |||
| มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ | คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา | |||
| ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา | มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี | |||
| ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท | ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่ | |||
| ความเจริญเดินถึงพนาลี | ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร | |||
| ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก | เจริญยากขัดสนผลอาหาร | |||
| ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร | อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน | |||
| ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน | เคยสำราญสถิตนิจศีล | |||
| มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน | กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ | |||
| ถึงป่าหวายหวายเหนียวเป็นเกลียวเชือก | มีแ...อกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว | (ต้นฉบับขาดหายไป) | ||
| ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด | มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย | |||
| ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก | ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย | |||
| คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย | กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม | |||
| ควรเมตตาการุณย์เจือจุนบ้าง | พอประทังร่างกายที่ผ่ายผอม | |||
| เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม | กุศลย่อมจะได้หลายประการ | |||
| มาถึงลพบุรีทวีเศร้า | เห็นซากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน | |||
| สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล | เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี | |||
| เดิมพระยากาวัณดิศราช | ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่ | |||
| ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ | สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม | |||
| เมื่อพุทธศกดกพันเศษสองส่วน | จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม | |||
| เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม | พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา | |||
| จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ | อันงามเหมาะชูชาติศาสนา | |||
| ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา | ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร | |||
| ปิฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ | ครองนครละโว้อันโตใหญ่ | |||
| แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ | ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา | |||
| ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช | โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า | |||
| ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา | เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง | |||
| พระเดชาอำนาจราชประวัติ | สารพัดสมพระราชประสงค์ | |||
| พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง | เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ | |||
| ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ | ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้ | |||
| ทรงสลดรันทดพระราชหฤทัย | เอาธงชัยอรหันต์กันผดุง | |||
| ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ | ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง | |||
| บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง | ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี | |||
| ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช | ฉลองพระบาทบงกชบทศรี | |||
| กตัญญูรู้กตเวที | พวกไพรีผลักตกฟกบรรลัย | |||
| เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช | ต่างประเทศทั้งหลายไม่กรายใกล้ | |||
| แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน | กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย | |||
| พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง | จะตัดแล่งกบฏให้ถดถอย | |||
| ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย | วาโยพลอยพาท่านสวรรคต | |||
| ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า | ทับเคหาพังทลายกระจายหมด | |||
| ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ | แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งไว้ | |||
| ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง | แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่ | |||
| เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย | ขอจงให้มีผู้สร้างอย่างร้างเลย | |||
| ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง | มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย | |||
| ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย | คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ | |||
| ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ | ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร | |||
| เข้าแย่งของจากกายหลายประการ | แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้ | |||
| ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา | เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้ | |||
| รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ | รวบของไปกินพลางยื่นคางชู | |||
| บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า | นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู | |||
| คนไล่ขับกลับคะนองจ้องตาดู | ตะคอกขู่เลิกคิ้วพลิ้วร่างกาย | |||
| พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ | ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย | |||
| เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย | แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี | |||
| พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด | ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี | |||
| กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี | สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง | |||
| เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ | รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง | |||
| จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง | อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย | |||
| ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค | มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
| หวนสะท้อนร้อนใจไม่เสบย | จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย | |||
| เห็นสีดินดำคล้ำดังหมึก | มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย | |||
| เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย | จดสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน | |||
| ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า | แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน | |||
| ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน | แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน | |||
| ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก | แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน | |||
| ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน | จะป้องกันความจนได้กลใด | |||
| ถึงทรายขาวขาวหรือดำในน้ำจิต | สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข | |||
| ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ | ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน | |||
| ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต | ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน | |||
| เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน | ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพลิ้วแพลง | |||
| ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด | เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง | |||
| เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง | เอาเหล็กแทงพะเนินดอกออกกระจาย | |||
| ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ | ทำมีหมดทุกขนาดตามมาดหมาย | |||
| พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย | ส่งไปขายตามระยะพระนคร | |||
| เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน | เราขุดดินง่ายง่ายไม่สังหรณ์ | |||
| ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร | จะนั่งนอนคอยท่าเวลาตาย | |||
| ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด | เขายังอุตส่าห์ทยอยงัดต่อยขาย | |||
| หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย | ให้สบายพูนสวัสดิ์วัฒนา | |||
| ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว | ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา | |||
| นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ | เขาบูชาเงินกันทุกวันมี | |||
| จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ | เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี | |||
| ที่ยากจนข้นแค้นถึงแสนดี | เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน | |||
| ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ | เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น | |||
| กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน | จะมีอินทรีย์อ้วนเป็นนวลแดง | |||
| ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ | หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง | |||
| ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง | เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน | |||
| ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า | มนุษย์เราก็จะสมอารมณ์ถวิล | |||
| จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ | จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล | |||
| ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง | ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวน | |||
| รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน | ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง | |||
| ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด | แผ่นดินดาดแดงทั่วไม่มัวหมาง | |||
| พฤกษาเขียวเกลียวกลมสมสำอาง | ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน | |||
| สีชมพูดูงามอร่ามฉาย | บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น | |||
| แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ | บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง | |||
| สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ | ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง | |||
| ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง | มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ | |||
| มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ | ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่ | |||
| ปวดระทมโทมนัสดวงฤทัย | โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน | |||
| มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น | เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน | |||
| รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน | ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา | |||
| เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ | เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา | |||
| ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา | สกุณาเคียงคลอกันจอแจ | |||
| เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก | พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่ | |||
| โอปักษียังมีแก่ใจแท้ | มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณย์ | |||
๓
๔
๕
๖
เชิงอรรถ
อ้างอิง
รถไฟไทยดอทคอม [1]
