นิราศสุโขทัย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศสุขโทัย}} [[หมวด…')
แตกต่างถัดไป →
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศสุขโทัย}} [[หมวด…')
แตกต่างถัดไป →
การปรับปรุง เมื่อ 14:47, 31 พฤษภาคม 2556
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: [คุณหญิงเขื่อนเพ็ชรเสนา] (ส้มจีน อุณหะนันท์)
บทประพันธ์
๑
| ๏ นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน | |||
| ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ | ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ | ||
| ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ | ไปรับราชกิจวินิจฉัย | ||
| เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป | พออุทัยไขศรีฉวีเรือง | ||
| ที่ยี่สิบเจ็ดมิถุนาวันคลาคลาด | พุทธศักราชสองพันกันต่อเนื่อง | ||
| สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง | จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา | ||
| จุดเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป | และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า | ||
| ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ | แล้วไคลคลาจากตึกรู้สึกงง | ||
| เห็นเด็กเด็กเลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง | ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง | ||
| คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง | ค่อยดำรงกายออกนอกประตู | ||
| ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว | เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่ | ||
| ไปคนเดียวเสียวเจตน์น้ำเนตรพรู | มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร | ||
| ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน | จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน | ||
| เป็นหลายสายย้ายพรากจากนคร | เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน | ||
| นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ | ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน | ||
| บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล | ส่งกันจนรถออกนอกชาลา | ||
| เป็นขบวนขบวนไม่ป่วนปั่น | แต่ละคันท่วงทีมีสง่า | ||
| ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา | นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์ | ||
| ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ | อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ | ||
| พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล | ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย | ||
| เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก | อุปโภคสารพันทันสมัย | ||
| พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร | สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน | ||
| มาถึงจิตรลดาสถานี | มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล | ||
| สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ | เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ | ||
| เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต | ชวลิตแลตลอดยอดไสว | ||
| พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย | สวยดังไกรลาสสวรรค์อันรุ่งเรือง | ||
| เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร | แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง | ||
| ดังทองทาบปลาบปลั่งมลังเมลือง | สีกระเบื้องแลระยับจังนภางค์ | ||
| ฉันน้อมกายถวายอภิวาท | พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง | ||
| โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง | ให้สำอางสำเร็จเจตนา | ||
| ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง | จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ถ้วนหน้า | ||
| มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา | วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง | ||
| ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน | ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง | ||
| เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง | ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร | ||
| ถึงบางซื่อซื่อตรงลงว่าโง่ | โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล | ||
| ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน | กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี | ||
| คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด | ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี | ||
| ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที | และทั้งมีกรรมการประหารความ | ||
| คงได้ฟังคารมอุดมแปลก | ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม | ||
| ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม | ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี | ||
| ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด | รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี | ||
| แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี | มิให้มีอกุศลปนมลทิน | ||
| จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ | อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น | ||
| ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ | อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี | ||
| เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง | แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี | แห้งเป็นศีลาแท่งแข็งแรงทน | ||
| บางซื่อนี้โรงมีทหารบก | ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์ | ||
| มีทหารชาญชัยหลายกองพล | เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา | ||
| ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น | เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา | ||
| ก็พอจะเข็นได้สบายเบา | แต่ว่าเจ้าความรักนี้หนักครัน | ||
| ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก | ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน | ||
| บางทีถึงร่างกายวายชีวัน | เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง | ||
| สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง | นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง | ||
| เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง | ยิ่งตรองตรองเรื่องรักชักรำคาญ | ||
| ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว | ขอขอบใจชาวนามหาศาล | ||
| สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ | ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | ||
| การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ | กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง | ||
| นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง | โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน | ||
| เราลำบากยากใจอะไรหน่อย | บ่นตะบอยกันทั้งวันตั้งพันหน | ||
| มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน | กินดังปนเพชรทองยังร้องคราง | ||
| เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง | ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง | ||
| ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่างปล่อยวาง | จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สะดุดใจ | ||
| อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ | หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน | ||
| รัชกาลที่สี่มีพระทัย | บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู | ||
| ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง | ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่ | ||
| ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ | ปักไว้ให้ดูตลอดทาง | ||
| หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลักหลัก | ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง | ||
| ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรองรอง | นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา | ||
| ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก | ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา | ||
| เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยน์ตา | แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย | ||
| ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ | ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย | ||
| ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย | เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง | ||
| อันบูราณสถานที่มีประวัติ | ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง | ||
| ต้องเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง | เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนนา | ||
| ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน | วิชาศิลป์สิ่งนี้ดีหนักหนา | ||
| ชวนกันหัดให้จบทางนพภา | จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์ | ||
| มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต | ความตายคิดไม่ประหลาดชาติสังขาร | ||
| ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน | อยู่กับบ้านมันก็มรณา | ||
| เป็นทหารนักบินควรยินดี | เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา | ||
| ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา | อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว | ||
| แม้จะเสียชีวาตม์อย่าขลาดหลบ | ต้องรุกรบจนศัตรูอยู่ไม่ได้ | ||
| ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย | ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน | ||
| ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า | ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล | ||
| รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน | รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา | ||
| รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ | ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า | ||
| สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา | แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย | ||
| ทหารบกทหารเรือและเสือป่า | ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย | ||
| ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย | มิให้อายแก่เขาชาวโลกา | ||
| ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด | เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา | ||
| มิได้เกรงตกตายวายชีวม | ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ | ||
| โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต | นักประดิษฐ์ต่างต่างอย่างวิตถาร | ||
| ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ | เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ | ||
| มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง | ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์ | ||
| โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ | เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา | ||
| ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ | ของกินใช้สารพันน่าหรรษา | ||
| ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา | คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ | ||
| ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน | แต่ผักล้วนแลลิ่วทิวไสว | ||
| ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป | เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง | ||
| การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก | งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง | ||
| ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง | ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี | ||
| การหากินถูกอย่างทางสัมมา | ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี | ||
| การทุจริตมิจฉาชีพราคี | และเป็นที่อับอายขายหน้าตา | ||
| เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา | ||
| สัตตบุษย์ผุดพ้นชลธาร์ | สัตตบันวรรณาน่ายินดี | ||
| สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ | บัวเผื่อนสะพักบัวผันกระชั้นสี | ||
| สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี | ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล | ||
| ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย | ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน | ||
| ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล | กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ | ||
| ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง | จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน | ||
| ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ | ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม | ||
| คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด | มีการทดน้ำมาทำนาหลาม | ||
| มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม | ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี | ||
| มีประตูระวังปิดขังน้ำ | ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี | ||
| แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี | มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ | ||
| มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ | จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน | ||
| หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล | ก็มิได้เห็นซากของรากเลย | ||
| สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ | จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย | ||
| ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย | ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ | ||
| เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล | แม้ร่างกายตายหล่นไปไหนไหน | ||
| ชื่อยังอยู่รู้แจ้งทุกแห่งไป | ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย | ||
| รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ | ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย | ||
| ความเร็วของรถมองตาลาย | มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์ | ||
| มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า | ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม | ||
| เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม | เราโศกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล | ||
| ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก | เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว | ||
| รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ | ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู | ||
| เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน | เดินมาชนถูกตัวและหัวหู | ||
| ไม่ถือโกรธทำจำคำครู | เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป | ||
| เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด | ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข | ||
| เขาเล่ายักษ์สถุลมารพาลสุดใจ | หวังจะให้พระรถหมดชีวา | ||
| ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต | สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา | ||
| เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา | แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบรรลัย | ||
| ทำฉะอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น | ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่ | ||
| มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ | มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา | ||
| จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช | ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา | ||
| ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา | ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง | ||
| พระราชางวยงงด้วยหลงใหล | ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง | ||
| ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง | จึงพักค้างที่กุฎีพระชีไพร | ||
| เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต | ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข | ||
| ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ | ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ | ||
| พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย | จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร | ||
| ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน | ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี | ||
| พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร | ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี | ||
| พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี | อสุรีมันแกล้งจำแลงมา | ||
| จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย | ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา | ||
| มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา | ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป | ||
| ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น | โลหิตนองกองดินดั่งธารไหล | ||
| ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ | พื้นไผทแดงดลจนทุกวัน | ||
| ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว | เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน | ||
| จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน | เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา | ||
| ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ | พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า | ||
| แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา | ||
| มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ | เดิมเป็นที่อาศัยของผู้เฒ่า | ||
| มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยา | ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน | ||
| ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร | สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น | ||
| มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน | เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม | ||
| ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง | เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม | ||
| เกิดพายุแรงกล้านาวาจม | ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย | ||
| ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น | จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย | ||
| เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พร้อยพราย | เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์ | ||
| พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง | ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน | ||
| ได้สมสองนางอินครั้นทินกร | รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา | ||
| ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด | คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา | ||
| ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา | จึงจัดพาไปถวายให้บิตุรงค์ | ||
| ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ | ในพระราชทินนามตาประสงค์ | ||
| เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ | แล้วได้ดำรงสยามราชปราสาททอง | ||
| ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน | ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสบสนอง | ||
| ชาวบ้านเรียกเกาะอออินอออินครอง | บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน | ||
| อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ | สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์ | ||
| แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครัน | พระทรงธรรม์มหาปิยายง | ||
| วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ | พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์ | ||
| พระที่นั่งใหญ่ใหญ่เป็นหลายองค์ | ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย | ||
| พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ | เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่ | ||
| ที่เกาะนอกออกมหาชลาลัย | สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา | ||
| ทรงพระราชทานนามความพิเศษ | วัดนิเวศธรรมประวัติจัดศึกษา | ||
| ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมา | บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนา | ||
| ถึงบางโพธิโพธิมีที่ไหนแน่ | เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว | ||
| รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา | ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง | ||
| เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา | เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง | ||
| จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง | บ้างขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป | ||
| ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ | ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่ | ||
| ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด | จะสำราญบานใจไปทุกคน | ||
| การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น | เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล | ||
| จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล | จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง | ||
๒
๓
๔
๕
๖
เชิงอรรถ
อ้างอิง
รถไฟไทยดอทคอม [1]
