สาวิตรี

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')

รุ่นปัจจุบันของ 03:04, 26 เมษายน 2554

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

บทประพันธ์

พระราชนิพนธ์ความเรียง เรื่องสาวิตรี จาก “ปติวฺรตามาหาตฺมฺยปรฺว” ใน “วนปรฺว” แห่ง “มหาภารต”


ยุธิษเฐืยรกล่าวว่า – ดูกรมหามุนี, ฃ้าเจ้านี้ไม่ร้อนใจเพื่อตนเองหรือเพื่ออนุชนเหล่านี้ของฃ้าเจ้า หรือเพื่อการเสียรัชของฃ้าเจ้านั้นมากเท่าร้อนใจเพื่อเทฺราปที (กฤษณา). เมื่อฃ้าเจ้าทั้งหลายได้พ่ายแพ้ผู้ใจร้ายนั้นๆ ในการเล่นดวด, แม่กฤษณาได้เปนผู้ช่วยฃ้าเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นได้. และนางนั่นสิได้ถูกชยัทฺรถลักเอาไปจากในป่า. พระคุณได้เคยพบเห็นหรือทราบถึงสตรีใดบ้างละหรือ ที่สุจริตและเลิดอย่างเช่นเทฺราปที?


พระมรรกัณเฑยะตอบว่า – ดูกรราชะ, จงฟังเถิด, ยุธิษเฐียรว่าคุณสมบัติอันเลิดได้มีโดยบริบูรณ์ อย่างในตัวแห่งนางสาวิตรี. มีราชาองค์หนึ่งในมัทรชนบท, ซึ่งทรงคุณสมบัติและทรงธรรมล้ำเลิด. และพระองค์ได้บำรุงเหล่าพราหมณ์เป็นนิตย์, และทรงกอปรด้วยคุณธรรม และซื่อสัตย์สุจริต, และพระองค์มักทรงข่มกิเลสและมักกระทำพลีกรรม. และพระองค์เปนหัวหน้าในทางบำเพ็ญทานและทรงพระปรีชาสามารถ, และทั้งชาวพระนครและชาวชนบทย่อมรักใคร่พระองค์. และพระนามแห่งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นปรากฏว่าอัศวบดี. และพระองค์มีหฤทัยใฝ่ดีต่อสัตว์ทั้งหลาย. และผู้ทรงการุณยะภาพ, ผู้ดำรงสัตย-วาท, และรู้ข่มกิเลสนั้นหาพระบุตราบุตรีมิได้. และครั้นเมื่อพระองค์ทรงชราภาพลง, พระองค์ก็ทรงพระโทมนัสยิ่ง เพราะเหตุนี้และด้วยพระประสงค์ที่จะได้พระบุตราบุตรี, พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญตะบะอันเข้มงวด และเริ่มยังพระชนม์อยู่ด้วยพระอาหารอันไม่เหลือเฟือ, ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์, และข่มกิเลส. และพระผู้เปนเอกในราชานั้น. ทรงกระทำพลีไฟวันละหมื่นครั้ง, ทรงเล่ามนต์สรรเสริญพระสาวิตรี (มเหษีของพระพรหมา) และเสวยแต่น้อยๆ ในยามที่ ๖. และพระองค์ได้บำเพ็ญตะบะเช่นนั้นอยู่สิบแปดพรรษา. ครั้นเมื่อครบสิบแปดพรรษาบริบูรณ์แล้วพระสาวิตรีก็มีความพอพระหฤทัย. และครานั้นหนอ, ราชะ, พระเทวีได้ทรงพระรูปอันปรากฏ, ผุดขึ้นด้วยความยินดีจากกลางกองไฟที่กระทำพิธีอัคนิโหตระ, ปรากฏจำเพาะพระพักตร์แห่งพระราชาองค์นั้น.และ, พระหฤทัยมุ่งในทางอำนวยพร, พระเทวีจึงตรัสแก่พระราชาองค์นั้นด้วยถ้อยคำว่า -- “ราชะ, เราได้มีความพอใจมากด้วยความประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน, ความบริสุทธิ์ของท่านและความสำรวม, และศีล, และความอุตสาหะทั้งปวง, และความเคารพของท่าน. ดูกรอัศวบดีมหาราช, ท่านจงขอพรตามที่ท่านปรารถนาเถิด. แต่ขอท่านอย่าได้แสดงความหลงลืมคลองธรรมโดยสถานใดๆ เลย.”—ครานั้นท้าวอัศวบดีจึงทูลว่า, -- “ก็เพราะความปรารถนาในการกุศลนั่นเทียว ฃ้าพระบาทจึ่งได้บำเพ็ญตะบะตลอดมา. เทวิ, ฃ้าพระบาทก็ขอประทานพรอันนี้. ทวิชาได้กล่าวแล้วแก่ฃ้าพระบาทว่าการมีบุตรเปนบุญกุศลอันประเสริฐ.” -- พระสาวิตรีตรัสว่า, -- “ราชะ, โดยเหตุที่เราได้ทราบความประสงค์ของท่านอยู่แล้ว, เราจึงได้กราบทูลพระสวามี, พระองค์ผู้เปนพระมหาบิดร, เรื่องบุตร์ของท่าน. โดยพระกรุณาของพระสวยัมภู, มีบุตรีผู้มีศักดิ์มาก จะได้มากำเนิดแก่ท่านในเร็วๆ นี้. ท่านไม่ควรโต้ตอบสถานใด. ตัวเราพอใจแท้ที่ได้เล่าพระบัญชาของพระมหาบิดรให้ท่านฟัง.”


เมื่อได้รับพระดำร้สของพระสาวิตรีและทูลตอบว่า “เปนเช่นนั้นเถิด” แล้ว, พระราชาทูลพระเทวีต่อไปว่า, -- “ขอให้เปนเช่นนั้นโดยเร็วเถิดพระเจ้าข้า.” -- ครั้นเมื่อพระสาวิตรีได้อันตรธานไปแล้ว, พระราชาองค์นั้นก็เสด็จกลับยังราชธานีของพระองค์. และพระวีรบุรุษองค์นั้นก็เริ่มทรงราชย์อีก. ทรงปกครองพสกนิกรโดยธรรม. และเมื่อเวลาได้ล่วงไปบ้างแล้ว, พระราชาผู้ทรงศีลวัตนั้นก็ทรงมีพระกุมารีด้วยพระอัคระมเหษีผู้ทรงคุณธรรมเลิดต่อนั้นหนอภารตุปํควะ, พระบุตรีในพระครรภ์แห่งพระนางมาวลีเต่งเต็มขึ้นประดุจพระนักษัตรบดีในฟากฟ้าระหว่างชุษณปักษ์. ครั้นถึงกำหนดพระนางก็ประสูติพระธิดาอันมีพระเนตร์แม้นดอกบัวหลวง. และพระนรเศรษฐ์นั้นก็ได้ทรงกระทำกิจพิธีตามธรรมเนียมสำหรับพระธิดานั้น. และเพราะเหตุที่พระสาวิตรีได้โปรดประทานพระกุมารีนั้นเปนบำเหน็จแห่งพลีที่ได้ถวายแด่พระเทวี, ทั้งพระราชธิดาและพราหมณาจารย์จึ่งขนานนามกุมารีนั้นว่า สาวิตรี. และพระราชธิดาองค์นั้นได้ทรงพระเจริญขึ้น งดงามราวกับพระศรีเสด็จมาอวตาร. และเมื่อถึงกาลอันควร, ราชนารีนั้นก็ทรงถึงซึ่งวัยเปนสาว และเมื่อได้เห็นนางดรุณี งามกอปรด้วยบั้นพระองค์เรียวและพระโสณี อวบ, และดูประดุจรูปอันหล่อด้วยทอง, ชนทั้งหลายต่างกล่าวว่า, “เราได้นางฟ้ามาไว้เทียวหนอ,” และเพราะเหตุที่หาผู้ใดจะทนศักดิ์ของนางนั้นมิได้, จึงไม่มีผู้ใดได้เปนภรรดาของนางผู้มีตาดุจดอกบัว, และผู้มีสง่ายิ่ง.


อยู่มา ณ กาลครั้งหนึ่ง, เปนวันนักษัตรฤกษ์, เมื่อได้อดอาหารและสระเกศาแล้ว, นางได้ไปยังหน้าเทวดาประจำสกุลและให้พราหมณ์กระทำพลีกรรมแด่พระเพลิงเต็มตามพิธี. แล้วนางจึงเก็บดอกไม้ที่ได้บูชาเทวดาแล้วนั้น, และนางดรุณี, ผู้ทรงศรีวิลาศแม้นพระศรีได้ไปเฝ้าพระราชบิดา, และเมื่อนำดอกไม้ที่ถือไปด้วยนั้นถวายแล้ว, นางดรุณีผู้งามเลิด ก็ยืนประณมหัตถ์อยู่ที่ข้างพระราชาองค์นั้น. และเมื่อทอดพระเนตร์เห็นพระราชธิดาของพระองค์งามราวกับนางฟ้า ว่าทรงเจริญวัยเปนสาวแล้ว, และยังมิได้มีผู้ใดขอเลย ดังนั้น, พระราชาก็ทรงสลดพระหฤทัยยิ่งนัก. พระราชาจึ่งตรัสว่า, --- “นี่แน่ลูกหญิง, ถึงเวลาแล้วหนอที่พ่อจะควรยกลูกให้แก่เขาแต่ก็ยังหามีผู้ใดขอแก่พ่อไม่.ลูกจงหาภรรดาที่มีคุณสมบัติเสมอกันกับลูกเองเถิด. ถ้าแม้ว่าลูกประสงค์ผู้ใด ลูกก็จงบอกให้พ่อทราบเถิด. ลูกจงเลือกหาภรรดาตามใจของลูกเอง. พ่อจะยกตัวลูกให้เมื่อได้ใคร่ครวญดูแล้ว. ดูกรดรุณีผู้มีคุณสมบัติงาม, ลูกจงฟังพ่อเล่าถึงถ้อยคำที่พ่อได้ยินเหล่าทวิชากล่าวมาแล้ว.บิดาใดที่ไม่ยกธิดาให้แก่เขาย่อมได้ความอาย, และภรรดาใดที่ไม่สมพาศด้วยภรรยาในการอันเหมาะย่อมได้ความอาย. และบุตรใดที่ไม่ระวังรักษามารดาของนางนั้น ตายแล้วก็ย่อมได้ความอายเช่นกัน. เมื่อได้ฟังคำของพ่อเช่นนี้แล้วลูกจงตั้งใจหาภรรดาเถิด. ลูกจงปฏิบัติอย่าให้เทวดาติเตียนเราได้เลย.”


เมื่อได้ตรัสแก่พระธิดาและอมาตย์ผู้มีอายุทั้งหลายแล้ว, พระองค์ก็ดำรัสให้เข้าเฝ้าตามพระธิดาไป. บัดนั้น. เมื่อได้กราบโดยเรียบร้อยแทบพระบาทของพระบิดาแล้ว. ราชบุตรีผู้สงบเสงี่ยมก็ได้ออกไปโดยมิได้รอรั้ง, ตามกระแสรับสั่งแห่งพระบิดา. นางขึ้นทรงสุวรรณราชรถ, ออกไปสู่อาศรมรมณียสถานแห่งราชฤษีหลายตน, มีพฤฒิอมาตย์ของพระราชบิดาไปด้วย. ณ ที่นั้นๆ นางได้กระทำความเคารพแทบบาทแห่งพระฤษีผู้มีอายุ, และได้ท่องเที่ยวไปในแนวป่า. ดังนี้ราชบุตรีได้นำทักษิณาไปเที่ยวจำแนกตามสถานที่ทำบุญหลายแห่ง, เที่ยวไปในที่ต่างๆ อันเปนถิ่นห่งทวิชาสูงๆ.


อยู่มา ณ กาลหนึ่งหนอ, ภารตะ, เมื่อพระราชา, ผู้เปนใหญ่ในมัทระชนบท, ประทับอยู่พร้อมด้วยพระนารทในท่ามกลางราชบริพาร, สนทนาด้วยกันอยู่ไซร้, นางสาวิตรี, พร้อมด้วยอมาตย์ทั้งหลาย, ได้มาถึงยังที่ประทับแห่งพระราชบิดา เมื่อได้ไปเยี่ยมสถานที่บำเพ็ญบุญและอาศรมต่างๆ เสร็จแล้ว. และเมื่อนางเห็นพระราชบิดาประทับอยู่กับพระนารท, นางจึ่งเข้าไปกราบแทบพระบาททั้งสององค์นั้น. และ ณ เมื่อนั้นพระนารทจึ่งถามว่า, -- “พระธิดาของพระองค์นี้ได้เสด็จไปแห่งใด? และนางเธอกลับมาจากแห่งใดเล่า, ราชะ? อนึ่งฉันใดเล่าพระองค์จึ่งมิได้ทรงหาภรรดาประทานนาง, เมื่อนางทรงเจริญวัยเปนสาวแล้วเช่นนี้?” -- ท้าวอัศวบดีตอบว่า, -- “ก็เพื่อเหตุนั้นเองเทียว ฃ้าเจ้าจึ่งได้ส่งลูกไปและซึ่งกลับมาแล้ว ณ บัดนี้. ขอพระพรหมฤษีจงโปรดฟังจากลูกหญิงเองเถิด ว่าได้เลือกผู้ใดเปนภรรดา.”


ฝ่ายศุภลักษณนารีนั้น, เมื่อพระบิดาได้ดำรัสสั่งแล้วว่าให้ทูลเล่าคดีจงถี่ถ้วน, ถือว่าพระบัญชาของพระบิดาเสมอด้วยเทพบัญชา, จึ่งทูลตอบดังนี้, -- “ในศาลวะชนบทมีขัตติยราชพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ทยุมัตเสน. และพะเอินเมื่อกาลล่วงมาพระองค์พระเนตร์มืด.และพระราชาผู้พระเนตร์มืดผู้ทรงพระปรีชานั้นมีพระโอรสองค์เดียว. และพะเอินมีประจามิตรเดิมผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียง, ถือเอาโอกาสที่พระราชาประชวรลงนั้น, เพื่อชิงเอาราชสมบัติ. และเมื่อนั้นพระราชา, พร้อมด้วยพระมเหษีซึ่งอุ้มพระกุมารแนบพระอุระ, จึ่งเสด็จออกสู่ป่า. และเมื่อพระองค์ได้ถึงดงแล้วพระองค์ได้บำเพ็ญศีลวัตอันเลิดและเริ่มบำเพ็ญตะบะต่างๆ. และพระราชบุตร์, ซึ่งประสูติที่ในกรุง, ก็ทรงพระเจริญวัยขึ้นที่ในพระอาศรมพระกุมารนั้น, ผู้สมควรเปนภรรดาของกระหม่อมฉันนั้นแล, กระหม่อมฉันได้รับแล้วในใจว่าเปนสวามีแห่งกระหม่อมฉัน.” -- เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น พระนารทจึงกล่าวขึ้นว่า, -- “อะโห, ราชะ นางสาวิตรีได้กระทำพลาดมากถนัด, เพราะ, โดยมิรู้เรื่อง, นางได้เลือกสัตยวานผู้มีคุณสมบัติเลิดนั้นเปนสวามี. ทั้งพระบิดาและพระมารดาของกุมารนั้นเปนสัตยวาที. และเพราะเหตุนั้นเทียว พราหมณาจารย์จึงได้ขนานนามพระโอรสว่าสัตยวาน. เมื่อยังเปนทารกเธอมีความพอใจชอบม้าเปนอันมาก, และเคยชอบปั้นม้าด้วยดิน. และเธอได้เคยชอบเขียนภาพม้าด้วย, และเพราะเหตุนี้ กุมารนั้นจึ่งได้มีผู้เรียกอยู่บ้างว่าจิตราศวะ.” -- พระราชาจึ่งตรัสถามขึ้นว่า, -- “แล้วก็สัตยวานกุมาร, ผู้ภักดีต่อพระบิดานั้น, เปนผู้กอปรด้วยศักดิ์และปัญญาและกรุณาและวิริยภาพฉนั้นหรือ?” -- พระนารทตอบว่า, --“สัตยวานมีศักดิ์แม้นพระอาทิตย์ และปัญญาแม้นพระพฤหัสบดี, และเธอมีความกล้าแม้นท้าวอมรินทร, และกรุณาแม้นพระธรณีเองเทียว.” -- ท้าวอัศวบดีจึ่งตรัสว่า -- “แล้วก็สัตยวานกุมารนั้นชอบบำเพ็ญทาน และรักใคร่พราหมณาจารย์ฉนั้นหรือ? รูปของเธอนั้นงามและสง่า และน่าพิศวงฉนั้นหรือ?” พระนารทตอบว่า, -- “ในการอวยทานตามที่สามารถจะกระทำได้นั้น, ราชบุตรผู้เรืองฤทธิ์แห่งท้าวทยุมัตเสน เปรียบเหมือนรันติเทวะผู้เปนโอรสแห่งสังกฤต. ในส่วนสัตยวาทีและรักใคร่ในพวกพราหมณาจารย์นั้น, เธอเปรียบเหมือน ศีวิผู้เปนโอรสแห่งอุศินร. และเธอกอปรด้วยความสง่าเหมือนยะยาตี, และงามเหมือนพระจันทร์และโฉมของเธอนั้นสวยแม้นพระอัศวิน. และเธอรู้จักข่มกิเลส, เธอเรียบร้อย, กล้าหาญ, และสุจริต. และเธอข่มโทษะได้, ซื่อตรงต่อมิตร์, ปราศจากพยาบาท, เจียมตัว, และมีขันตี. ที่แท้, กล่าวโดยย่อ, บรรดาผู้ที่กอปรด้วยศีลและมีคุณธรรมสูงกล่าวว่าเธอกอปรด้วยสัมมาจารวัตร์เปนนิตย์ และว่าคุณวิเศษปรากฏอยู่แน่นหนาที่นลาฏของเธอ” -- เมื่อได้ทรงฟังดังนี้ท้าวอัศวบดีจึ่งตรัสว่า, -- “ดูกรพระมุนีผู้เจริญ, พระคุณกล่าวแก่ฃ้าเจ้าว่า เธอนั้นกอปรด้วยคุณสมบัติทุกประการ. ขอได้โปรดแถลงความเสียของเธอนั้นเถิด, ถ้าหากเธอมี.” -- พระนารทตอบว่า, -- “ เธอมีข้อบกพร่องอยู่อย่างเดียวซึ่งลบล้างคุณสมบัตินั้นๆ เสียสิ้น. ความบกพร่องนั้นไม่สามารถจะเอาชำนะได้แม้ด้วยความพยายามอย่างยวดยิ่ง. เธอมีความบกพร่องอยู่เพียงอย่างเดียว, ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย. ภายในหนึ่งปีนับแต่วันนี้ไป, สัตยวาน, ผู้มีอายุสั้น, จะทอดทิ้งกายของเธอ.” -- ครั้นเมื่อได้ทรงฟังคำของพระมุนีเช่นนี้แล้ว พระราชาจึ่งตรัสว่า, -- “นี่แน่, สาวิตรี, ลูกจงไปเลือกหาสวามีใหม่เถิดนะ ศุภลักษณนารี. ความบกพร่องอันเดียวนั้นลบล้างคุณสมบัติของเขาเสียได้หมด พระมหานารทเปนเจ้า, ซึ่งแม้เทวดาก็เคารพ, ได้กล่าวแล้วว่าสัตยวานจะต้องทอดทิ้งกายของเธอไปภายในหนึ่งปี, มีอายุนับได้วันถ้วน” -- เมื่อได้ฟังพระราชบิดาตรัสเช่นนั้น นางสาวิตรีจึ่งทูลตอบว่า, -- “อันลูกบาศจะตกได้ก็เพียงครั้งเดียว; บุตรีก็ยกให้เขาได้เพียงครั้งเดียว; และคนเราจะพูดว่า “ฉันยกให้” ดังนี้ก็ได้แต่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น. ทั้งสามอย่างนี้จะเปนไปได้แต่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น. ดังนี้เธอจะมีอายุยาวหรือสั้นก็ดี, มีคุณสมบัติหรือไร้คุณสมบัติก็ดี, กระหม่อมฉันได้เลือกภรรดาของกระหม่อมฉันครั้งหนึ่งแล้ว. กระหม่อมฉันจะเลือกสองครั้งหาได้ไม่. เมื่อได้ตกลงข้อใดข้อหนึ่งในใจแล้ว, จึ่งแสดงออกมาด้วยถ้อยคำ. แล้วจึ่งลงมือกระทำด้วยกาย. ใจของหม่อมฉันเปนตัวอย่างในข้อนี้.” -- พระนารทจึ่งกล่าวว่า, -- “ดูกรพระนรเศรษฐ พระหฤทัยของนางสาวิตรีราชบุตรของพระองค์หาความหวั่นไหวมิได้. ไม่มีสิ่งใดแล้วที่จะสามารถทำให้นางแยกอกพ้นจากธรรมวิถี. คุณสมบัติเช่นนี้หาที่อื่นอีกมิได้แล้วนอกจากในจิตของสัตยวาน. ฉะนั้นฝ่ายอาตมะนี้ขอถวายอนุโมทนาในการที่พระองค์จะยกพระราชธิดาประทาน.” -- พระราชาจึ่งตรัสว่า, -- ข้อใดที่พระผู้เปนเจ้าได้กล่าวมาแล้วจะขัดขืนก็หาได้ไม่, เพราะพระคุณเปนอาจารย์ของฃ้าเจ้า.” -- พระนารทจึ่งกล่าวว่า, -- “ขอการอาวาห์แห่งสาวิตรีราชบุตรีจงเปนไปโดยเกษมสุข. อาตมะขอถวายพระพรลา.” -- ครั้นเมื่อพูดดั่งนี้แล้วพระนารทก็เหาะขึ้นสู่ฟากฟ้าและไปยังสวรรค์. ฝ่ายพระราชานั้นก็ทรงเริ่มเตรียมงานสมรสแห่งพระราชบุตรี.


เมื่อได้รำพึงถึงถ้อยคำของพระมุนีเรื่องการสมรสของพระบุตรีแล้ว, พระราชาเธอก็เริ่มเตรียมการสำหรับพิธีนั้น. และเมื่อได้อาราธนาพราหมณ์ผู้เฒ่าทั้งปวง, อีกทั้งพ่อพราหมณ์ประจำสำนักพร้อมแล้ว, ถึงวันฤกษ์งามเธอก็พาพระราชธิดาไป. และเมื่อถึงที่อาศรมของท้าวทยุมัตเสนที่ในป่าขลังนั้นแล้ว, พระราชาก็ทรงพระดำเนิรเข้าไปเฝ้าราชฤษี, พร้อมด้วยพวกทวิชา. และ ณ ที่นั้นท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นพระยาพระเนตรมืด ผู้ทรงปัญญามากประทับอยู่เหนืออาสนะหญ้าคา ซึ่งได้ปูไว้ภายใต้ต้นรังต้น ๑. และเมื่อได้ทรงกระทำการเคารพต่อพระราชฤษีตามสมควรแล้ว, พระราชาจึ่งทูลด้วยพระวาจาอันอ่อนหวาน. ณ บัดนั้นราชฤษีก็กระทำประจุคมนาการด้วยน้ำล้างพระบาท, ด้วยการเชิญให้ประทับ, และด้วยโคนม, แล้วจึ่งตรัสถามผู้ที่ไปเฝ้านั้นว่า, “พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเราครั้งนี้เพื่อเหตุอันใด?” เมื่อได้ทรงฟังปุจฉาเช่นนั้น, พระราชาก็ได้ทรงสำแดงให้ปรากฏซึ่งพระราชประสงค์และกิจอันเนื่องด้วยพระสัตยวาน. และท้าวอัศวบดีตรัสชี้แจงว่า, -- “ฃ้าแต่ราชฤษี, ศุภลักษณนารีนี้เปนธิดาของฃ้าพระเจ้ามีนามว่าสาวิตรี. ฃ้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรม, ขอพระองค์จงทรงพระกรุณารับธิดาของฃ้าพระเจ้าไว้เปนพระสุณิสาตามขัตติยราชประเพณีเถิดพระเจ้าฃ้า.” -- เมื่อได้ทรงฟังถ้อยคำนั้นๆ แล้ว ท้าวทยุมัตเสนจึ่งตรัสตอบว่า, -- “เมื่อไร้ราไชศวรรย์แล้ว, และได้มาอาศัยอยู่ในดง, เราก็มาบำเพ็ญพรหมจรรย์อยู่อย่างเช่นโยคีผู้รักษาศีลเปนนิตย์. เมื่อไม่คุ้นเคยแก่การอยู่ป่า, พระธิดาของเธอจะต้องมาอยู่ในอาศรมกลางดง, ไฉนเล่าจะทนความลำบากได้?” -- ท้าวอัศวบดีทูลว่า, -- “เมื่อธิดาของฃ้าพระเจ้าทราบอยู่, เช่นฃ้าพระเจ้าเองก็รู้, ว่าความสุขและความทุกข์เปนอนิจจํ, พระองค์หาควรไม่ที่จะตรัสเช่นที่ตรัสมาแล้วแก่ฃ้าพระเจ้า, ราชะ, ฃ้าพระเจ้าได้มา ณ ที่นี้ด้วยจิตอันตั้งมั่นมาก่อนแล้ว, ฃ้าพระเจ้าได้กระทำความเคารพต่อพระองค์ด้วยไมตรี : ฉนั้นพระองค์จะทรงตัดความหวังของฃ้าพระเจ้าเสียนั้นหาควรไม่, อีกประการหนึ่งพระองค์ไม่ควรที่จะเพิกเฉยต่อฃ้าพระเจ้าผู้มาเฝ้าด้วยความจงรัก. พระองค์ดำรงพระยศเสมอกับฃ้าพระเจ้า และสมควรที่จะเปนสัมพันธ์กับฃ้าพระเจ้า, เช่นฃ้าพระเจ้าเปนผู้มียศเสมอกับพระองค์ และสมควรจะเปนสัมพันธ์กับพระองค์ ฉนั้นจงโปรดรับธิดาของฃ้าพระเจ้าไว้เปนพระสุณิสาและเปนชายาของพระสัตยวานผู้ทรงคุณ.” -- ครั้นได้ทรงฟังถ้อยคำนั้นๆ แล้ว ท้าวทยุมัตเสนจึ่งตรัสว่า. -- “เมื่อก่อนนี้เราก็ปรารถนาอยู่ที่จะเปนสัมพันธ์กับเธอ. แต่เราชงักอยู่, เพราะต่อมาเราได้ถูกเขาชิงรัช. ฉนั้นขอให้กิจการที่เราได้เคยปรารถนาอยู่แต่เดิมนั้นได้เปนผลสำเร็จในวันนี้เทียว. เธอเปนแขกที่เราเต็มใจต้อนรับโดยแท้.”


แล้วจึ่งให้นิมนต์บรรดาทวิชาที่อยู่ตามอาศรมในดงนั้น, และพระราชาทั้งสองก็ได้ทรงจัดการอภิเษกสมรสด้วยพิธีเต็มบริบูรณ. ฝ่ายท้าวอัศวบดี, เมื่อได้ประทานเครื่องผ้าและอาภรณแก่พระราชธิดาตามสมควรแล้ว. ก็เสด็จกลับคืนสู่ราชสำนักของพระองค์ด้วยพระหฤทัยเต็มไปด้วยปิติ. และพระสัตยวานเมื่อได้ชายาผู้ทรงคุณสมบัติทุกสถานเช่นนั้น, ก็ทรงยินดียิ่ง, และนางนั้นหรือก็มีความปราโมทย์ยิ่งนัก ก็เพราะได้พระภรรดาผู้สมพระหฤทัย และเมื่อพระราชบิดาได้เสด็จพ้นไปแล้ว นางก็เปลื้องบรรดาอาภรณวิภูษิตทั้งปวงและทรงแต่คากรองและผ้าย้อมฝาด. และโดยกรณียและคุณธรรมโดยความเอื้อเฟื้อและอดทน, และโดยมรรยาทอันงามต่อชนทั้งปวงนางได้ทำพระองค์ให้เปนที่พึงใจแก่ชนทั่วไป. และนางได้ทำให้พระมารดาของพระสวามีพอพระหฤทัยโดยปฏิบัติรับใช้ และจัดภูษาและอาภรณให้ทรง. และนางทำให้พระบิดาของพระสวามีพอพระหฤทัย โดยกระทำสักการเหมือนอย่างบูชาเทวดาและสำรวมในวาจา และนางทำให้พระภรรดาพอพระหฤทัยด้วยมธุรวาจา, ด้วยความชำนิชำนาญในการงานทุกอย่าง, ด้วยความไม่โกรธ, และโดยสำแดงความเสนหาในที่ระโหฐาน. และดังนี้แล, ภารต, คู่นั้นได้อยู่อาศัยในอาศรมแห่งผู้ยินดีอยู่ในป่า, บำเพ็ญตะบะบารมีอยู่เสมอ. แต่ถ้อยคำที่พระนารทได้กล่าวทำนายไว้นั้นได้ฝังอยู่ทั้งกลางคืนกลางวันในจิตของนางสาวิตรีผู้มีทุกข์.


ต่อมา, เมื่อกาลได้ล่วงไปนานแล้ว, กาลกำหนดที่พระสัตยวานจะต้องสิ้นชนมชีพก็มาถึง. และเพราะเหตุที่ถ้อยคำซึ่งพระนารทกล่าวได้ฝังอยู่เปนนิตย์ในจิตของนางสาวิตรี, นางนั้นจึ่งนับวันที่ล่วงไปนั้นทุกวัน. และเมื่อนางคำนวณได้แน่แล้วว่าต่อไปอีกสี่วันพระภรรดาจะสิ้นพระชนม์. นางจึ่งอดอาหารทั้งกลางวันกลางคืนบำเพ็ญตรีราตระธุดงค์. และเมื่อได้ทรงทราบถึงธุดงคะวัตร์ของนางนั้น, ราชฤษีก็บังเกิดความสงสารจึ่งเสด็จลุกไปตรัสปลอบนางสาวิตรีด้วยถ้อยคำว่า, -- “ราชบุตรี, อันธุดงค์ที่เธอเริ่มขึ้นนี้เปนของลำบากอย่างยิ่งเพราะเปนการยากนักหนาที่จะอดอาหารถึงสามราตรีติดๆ กัน.” -- เมื่อได้ฟังพระดำรัสดังนั้นนางสาวิตรีก็ทูลว่า, -- “พระบิดาอย่าทรงพระวิตกเลย. กระหม่อมฉันได้ตั้งใจเริ่มกิจนี้แล้วด้วยความเพียร; และความเพียรนั้นเทียวเปนเหตุแห่งการบำเพ็ญตะบะทั้งปวงให้สำเร็จได้.” -- และเมื่อได้ทรงฟังนางทูลดังนั้นแล้ว ท้าวทยุมัตเสนจึ่งตรัสว่า, -- “พ่อจะกล่าวแก่ลูกว่า ‘จงงดธุดงค์นี้เสียเถิด’ ฉะนี้หาได้ไม่, บุคคลเช่นพ่อนี้ควรจะกล่าวตรงกันข้ามว่า ‘จงถือธุดงค์นี้ไปให้ตลอดเถิด,’” -- และเมื่อได้ตรัสแก่นางเช่นนี้แล้ว ท้าวทยุมัตเสนผู้ทรงพรตก็ทรงสงบ. และสาวิตรีก็คงอดอาหารต่อไป จนพระกายของนางนั้นจะคล้ายหุ่นไม้. ดูกรภารตะ ปํควะ, เมื่อนึกอยู่ว่าพระสวามีจะต้องสิ้นพระชนม์ลงในวันรุ่งขึ้นนั้น, นางสาวิตรีผู้เต็มไปด้วยความทุกข์โศก, อดอาหาร, จึ่งรับทุกขเวทนาแสนสาหัสในคืนสุดท้าย. และเมื่อตวันได้ขึ้นสูงราวสองฝ่ามือแล้ว, นางสาวิตรีรำพึงอยู่ในจิตว่า “วันนี้แล้วเปนวันกำหนด” ดังนี้พลาง, นางก็กระทำกิจกรณีย์สำหรับเวลาเช้า, และถวายเครื่องสังเวยแด่พระเพลิง. และเมื่อนางได้กราบพราหมณ์ผู้เฒ่าทั้งหลาย, และกราบพระบิดาและพระมารดาของพระสวามีแล้ว, นางจึ่งยืนประนมหัตถ์อยู่ตรงพระพักตร์แห่งสององค์ หฤทัยแน่วแน่สกดอารมณ์อยู่. และเพื่อความสุขแห่งนางสาวิตรี, บรรดาชีพราหมณ์ทั้งหลายที่อยู่ในเขตอาศรมนั้น จึ่งสวดประสาทพรขออย่าให้นางนั้นต้องเปนหม้าย. และนางสาวิตรี, ซึ่งแน่วอยู่ในสมาธิ, ก็รับพรพระฤษีทั้งหลาย, และนึกในใจว่า, “ขอให้เปนเช่นนั้นเถิด.” -- และราชบุตรี, รำพึงถึงคำของพระนารท, ก็รอคอยเวลาและขณะ.


ดูกรภารตะเศรษฐ, บัดนั้นพระบิดาและมารดามีความพอพระหฤทัยมาก, จึ่งตรัสแก่ราชบุตรีผู้ประทับอยู่ที่มุมห้องว่า, -- “ลูกก็ได้ถือธุดงค์เต็มตามกำหนดแล้ว. ถึงเวลาแล้วที่จะเสวย; ฉนั้นลูกจงกระทำตามที่สมควรเถิด.” -- ฝ่ายสาวิตรีจึ่งทูลตอบว่า, -- “เมื่อกระหม่อมฉันได้ถือธุดงค์เต็มตามที่จำนงไว้แล้ว, กระหม่อมฉันจะรับประทานอาหารต่อเมื่อตวันตกดิน. นี้เปนความตั้งใจ และเปนความอธิษฐานของกระหม่อมฉัน.”


ครั้นเมื่อนางสาวิตรี ได้ตรัสเรื่องเสวยเช่นนั้นแล้ว, พระสัตยวาน, ฉวยได้ขวานแบกเหนือพระอังศา, ก็เริ่มจะออกไปสู่ป่า. บัดนี้นางสาวิตรีจึ่งทูลพระสวามีว่า, -- “พระองค์หาควรที่จะเสด็จพระองค์เดียวไม่. หม่อมฉันจะตามเสด็จไป. หม่อมฉันเหลือที่จะทนอยู่ห่างพระองค์ได้.” -- เมื่อได้ฟังนางทูลเช่นนั้น พระสัตยวานจึ่งตรัสว่า, -- “น้องยังมิได้เคยเข้าไปในดงเลย. ดูกรภัฏฏินี, อันทางเดิรในดงย่อมกันดารนัก. อีกประการหนึ่งน้องหรือก็อิดโรยด้วยความอดเพราะธุดงควัตรของน้อง. ดังนั้นฉันใดเล่าน้องจะทรงดำเนิรไหว?” -- เมื่อได้ฟังตรัสเช่นนั้นนางสาวิตรีก็ทูลว่า, -- “หม่อมฉันจะรู้สึกอ่อนเพลียเพราะการอดนั้นก็หามิได้, และความเหน็ดเหนื่อยก็หารู้สึกไม่. และหม่อมฉันได้ตั้งใจเสียมั่นแล้วว่าจะไป. ฉนั้นพระองค์มิควรเลยที่จะตรัสห้ามหม่อมฉัน.” -- บัดนี้พระสัตยวานจึ่งตรัสว่า, -- “ถ้าเมื่อน้องมีความปรารถนาจะไป พี่ก็จะยอมตามใจปรารถนาของน้อง. แต่ว่าน้องจงทูลลาพระบิดาพระมารดาเสียก่อน, เพื่อพี่นี้จะได้ปราศจากความผิด.”


เมื่อได้ฟังพระสวามีตรัสดังนั้น นางสาวิตรีผู้มีศีลเลิดจึ่งไปถวายบังคมพระบิดาและพระมารดาของพระสวามีและทูลว่า, -- “พระภรรดาของกระหม่อมฉันจะเสด็จไปสู่ป่าเพื่อหาผลไม้. ถ้าแม้ว่าพระบิดาและพระมารดาโปรดประทานอนุญาตแล้ว, หม่อมฉันจะขอตามเสด็จไปด้วย. เพราะในวันนี้กระหม่อมฉันไม่สามารถจะทนอยู่ห่างพระภรรดาได้เลย. พระราชบุตร์ของพระองค์จะเสด็จออกไปก็เพื่อประโยชน์ในทาง (หาฟืนมา) บำเรอพระอัคนีและเพื่อรับใช้ผู้ใหญ่ที่นับถือของเธอ. ฉนั้นจึ่งหาควรที่จะหวงห้ามเธอไว้ไม่. ถ้าแม้ว่าเธอจะเสด็จเข้าสู่ป่าเพื่อเหตุอื่นๆ ไซร้, หากจะห้ามปรามก็ควรอยู่. ขอพระองค์อย่าทรงห้ามกระหม่อมฉันนี้เลย. กระหม่อมฉันใคร่จะไปในป่ากับพระภรรดา. เกือบปีหนึ่งมาแล้วกระหม่อมฉันยังมิได้ออกไปพันเขตพระอาศรมนี้เลยจริงๆ, กระหม่อมฉันปรารถนาที่จะได้เห็นป่าอันดาษดาด้วยดอกไม้.” -- เมื่อได้ทรงฟังคำทูลดังนี้ท้าวทยุมัตเสนจึ่งตรัสว่า, -- “ตั้งแต่พระบิดาได้ยกสาวิตรีให้เปนสุณิสาของเรา, เรารำลึกไม่ได้เลยว่าหล่อนได้เคยพูดคำใดอันเปนไปในทางขอ. ฉนั้นสุณิสาของเราควรได้สมปรารถนาในเรื่องนี้. แต่ว่า, ลูกเอย, ลูกจงประพฤติอย่าให้เปนเครื่องขัดขวางแก่กิจธุระของสัตยวานนั้นเลย.”


เมื่อได้รับอนุญาตทั้งสองพระองค์แล้ว, นางสาวิตรีผู้ทรงศรีวิลาศก็เสด็จตามพระสวามีไป, ภายนอกดูยิ้มแย้มแต่พระหฤทัยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก. และนางผู้มีพระเนตร์งามนั้นดำเนิรพลางทางชมป่าอันวิจิตร์และรมยา, เปนที่สถิตแห่งฝูงมยุรา. และพระสัตยวานตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานแก่นางสาวิตรีว่า, -- “แม่จงดูลำธารอันบริสุทธิ์เลิดเหล่านี้ และเนินงามอันเต็มไปด้วยบุษปชาติ.” -- ฝ่ายนางสาวิตรีนิรมลเฝ้าแต่พิศดูพระสวามีทุกขณ, และเมื่อรำลึกถึงคำของพระพรหมฤษี, นางก็นึกว่าพระภรรดาเหมือนหนึ่งผู้ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว. และด้วยดวงหทัยอันแยกเปนสองเสี่ยง, นางทูลตอบพระสวามีพลางทางดำเนิรตามไปด้วยความหนักพระหฤทัยในกาลอันจวนจะถึง.


พระสัตยวานผู้ทรงกำลัง, ยามดำเนิรไปพร้อมด้วยพระชายาก็เก็บผลไม้นานาลงใส่ย่ามจนเต็ม. แล้วเธอจึ่งเริ่มตัดกิ่งไม้. และเมื่อตัดไม้นั้นเธอเริ่มมีพระเสโทออก. และเพราะการออกกำลังนั้นก็เริ่มปวดพระเศียร. และเมื่อรู้สึกแสนเหน็ดเหนื่อย, เธอจึ่งเสด็จมาใกล้พระชายาและตรัสว่า, -- “อ้าสาวิตรี, เพราะเหตุที่พี่ได้ทำงานหนักหัวของพี่ปวด, และอวัยวะทั้งปวงและหทัยของพี่ไม่สบายยิ่งนัก อาน้องผู้สำรวมวาจา, พี่เฃ้าใจว่าพี่นี้ไข้เสียแล้ว. พี่รู้สึกประหนึ่งว่าหัวของพี่ถูกประหารด้วยศรหลายเล่ม. ฉะนั้น, อ้าน้องผู้งามชื่น, พี่อยากใคร่หลับนอน, เพราะพี่ไม่สามารถจะยืนอยู่อีกได้แล้ว.” -- พอได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ นางสาวิตรีก็รีบเฃ้าไปใกล้พระภรรดา, พยุงพระองค์มานั่งลงยังพื้นดิน. หนุนพระเศียรไว้บนตักของนาง. และนางผู้หมดทางคิด, รำพึงถึงคำของพระนารท, ก็เริ่มคำนวณส่วนวันยาม, และขณ.อีกครู่หนึ่งนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายสีแดงเศียรเกล้าแต่งด้วยมกุฎ. และกายนั้นมีส่วนล่ำสัน และรุ่งโรจน์ราวกับพระอาทิตย์และบุรุษผู้นั้นมีผิวคล้าม, มีตาสีแดง, ถือบ่วงอยู่ในมือ, และแลดูน่าสยดสยอง. และบุรุษนั้นยืนอยู่ข้างพระสัตยวานและเพ่งดูอยู่. และเมื่อเห็นดังนั้น นางสาวิตรีจึ่งค่อยๆ วางพระเศียรพระภรรดาลงกับพื้นดิน, และลุกขึ้นยืนโดยพลันด้วยพระหฤทัยอันสั่นระรัว, ตรัสด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยความโศกว่า, -- “เมื่อได้เห็นพระรูปโฉมอันผิดจากรูปมนุษเช่นนี้ ฃ้าพระบาทมาสำคัญว่าพระองค์คงเปนเทพเจ้า. อ้าพระเทวราช. ขอพระองค์จงโปรดตรัสแก่ฃ้าพระบาทว่า พระองค์คือเทพเจ้าพระองค์ใด และมีพระประสงค์อย่างไร?” -- บัดนั้นพระยมจึ่งตรัสตอบว่า, -- “ดูกรสาวิตรี, เธอเปนผู้จงรักภักดีต่อพระภรรดาเสมอมา, และเธอกอปรด้วยโยคะสมบัติ. เมื่อเหตุนี้แล เราจึ่งยอมสนทนากับเธอ. จงทราบเถิด, ภัทรา, ว่าเราคือพระยม. สัตยวานผู้นี้ที่เปนสวามีของเธอ, เปนราชบุตร, สิ้นเขตแห่งอายุแล้ว. เหตุฉนั้นเราจะเอาบ่วงนี้มัดเฃาไป. จงทราบเถิดว่าเรามาด้วยกิจนี้แล.” -- เมื่อฟังคำเหล่านี้แล้ว นางสาวิตรีจึ่งทูลว่า, -- “พระผู้ควรบูชา, ฃ้าพระบาทเคยได้ยินแต่ว่า ทูตของพระองค์เปนผู้มาพาเอามนุษไปเหตุไฉนเล่า, พระผู้เปนเจ้า, พระองค์จึ่งเสด็จมาเองในครั้งนี้?”


เมื่อได้ฟังนางทูลถามเช่นนั้น พระปิตฤบดีผู้ทรงเดช, โดยพระเมตตาต่อนาง, จึ่งได้ตรัสแถลงตามจริงถึงความตั้งพระหฤทัยของพระองค์. พระยมตรัสดังนี้, -- “พระกุมารนี้กอปรด้วยคุณสมบัติและพระโฉมอันงาม, และเปนประหนึ่งห้วงแห่งกฤตการ. เธอไม่สมควรที่จะถูกทูตของเราพาไป. ดังนี้แลเราจึ่งได้มาด้วยตนเอง.” ตรัสดังนั้นแล้วพระยม, ด้วยแรงฤทธิ์, ก็รั้งเอาบุรุษอันมีกายขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกมาจากกายของพระสัตยวาน, มัดแล้วด้วยบ่วงและอยู่ในอำนาจโดยบริบูรณ. และเมื่อพระชนมชีพของพระสัตยวานได้ถูกคร่าห์ออกเช่นนั้นแล้วไซร้, อันพระกาย, ซึ่งไร้ลมปราณ, และสูญแล้วซึ่งเดช, และปราศจากอาการกระดิก, ก็เปนที่น่าชังแก่ตา. และเมื่อได้มัดปราณของพระสัตยวานแล้ว, พระยมก็เสด็จไปสู่ทิศทักษิณ. ณ เมื่อนั้น, ด้วยพระหฤทัยอันเต็มไปด้วยความโศก, นางสาวิตรีนารีรัตน์, ผู้ภักดียิ่งต่อพระสวามีและผู้สมบูรณ์แล้วด้วยศักดิ์อันเกิดแต่กิจวัตร์ของนาง, ก็ดำเนิรตามพระยมไป. และ ณ บัดนี้พระยมจึ่งตรัสว่า, -- “หยุดเถิด, สาวิตรี. เธอจงกลับไปและกระทำศารทพรตเพื่อพระสวามีเถิด. เธอปลอดแล้วจากบรรดากรณีย์อันพึงมีต่อพระสวามี. เธอได้มาไกลที่สุดที่ควรจะมาได้อยู่แล้ว.” -- สาวิตรีทูลตอบว่า, -- “พระภรรดาจะถูกพาไป ณ หนใด, หรือเธอจะเสด็จเอง ณ หนใดก็ดี, กระหม่อมฉันจะขอตามเสด็จไป ณ หนนั้น. นี้เปนธรรมเนียมอันยั่งยืน. ด้วยอำนาจแห่งตะบะของกระหม่อมฉัน, แห่งเชษฐาประจายนะธรรมของกระหม่อมฉัน, แห่งศีลของกระหม่อมฉัน, อีกทั้งพระการุณยภาพของพระองค์จะมีสิ่งใดกีดขวางในปฏิปทาของกระหม่อมฉันก็หามิได้. ปราชญ์ผู้มีปัญญาแท้จริงได้กล่าวแล้วว่า บุคคลอาจจะกระทำมิตรภาพกับเพื่อนร่วมทางได้ โดยเดิรไปด้วยกันแม้เพียงเจ็ดก้าว. เมื่อคำนึงมิตรภาพซึ่งกระหม่อมฉันมีต่อพระองค์ฉนั้นแล้ว กระหม่อมฉันขอประทานทูลอะไรสักอย่างหนึ่ง. ขอได้โปรดทรงสดับฟังด้วยเถิด. ผู้ใดมิได้ทรมานจิตของตน, ผู้นั้นจะได้ถึงซึ่งกุศลธรรมหาได้ไม่ แม้โดยวิธียังชีพทั้งสี่สถาน, คือ พรหมจรรย์ (ไม่มีผัวมีเมียและเล่าเรียน) ๑,ปริศฺรม (การครองเรือนและมีครอบครัว) ๑, วานปรัสถย์ (ออกไปอยู่ป่า) ๑, สันฺนฺยาส (สละโลก) ๑, สิ่งซึ่งเรียกว่ากุศลธรรมแท้ก็คือความรอบรู้จริง. ฉนั้นปราชญ์จึ่งกล่าวว่า ธรรมเปนสิ่งเลิดกว่าสิ่งทั้งปวง, หาใช่การยังชีพทั้งสี่สถานนั้นไม่. โดยปฏิบัติกรณีย์แห่งสถานใดสถานหนึ่งแม้เพียงสถานเดียวให้ถูกต้องตามคำสอนของผู้รอบรู้. เราสามารถได้รับผลเปนกุศลอันไพบูลย์ ฉนั้นเราจึ่งไม่จำเปนต้องปรารถนาสถานที่ ๒ หรือที่ ๓ กล่าวคือ พรหมจรรย์หรือสันฺนฺยาส. เพื่อเหตุนี้ด้วยปราชญ์จึ่งกล่าวว่า ธรรมเปนสิ่งเลิดกว่าสิ่งทั้งปวง.” -- เมื่อได้ทรงฟังถ้อยคำของนางดังนี้แล้ว พระยมจึ่งตรัสว่า, -- “หยุดเถิด. เราพอใจมากอยู่ในถ้อยคำของเธออันได้กล่าวมาแล้วโดยถูกต้องตามสำนวนและโวหาร, และสมเหตุสมผล. เธอจงขอพรประการหนึ่งเถิด. เว้นเสียแต่ชีวิตของภรรดาของเธอเท่านั้น, นะเจ้านิรมล, เราจะยอมประสาทพรใดๆ ให้ทั้งสิ้นตามแต่เธอจะขอ.” -- เมื่อได้ฟังดังนั้น นางสาวิตรีจึ่งทูลว่า, -- “พระบิดาแห่งพระสวามีของกระหม่อมฉันได้ถูกเขาชิงราไชศวรรย์และพระเนตร์มืด, มาทรงประทับสงัดอยู่ ณ พระอาศรมในกลางป่า. ขอให้พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระเนตร์คืนดี, โดยพระกรุณาของพระเปนเจ้า, และให้ท้าวเธอนั้นทรงมีพระเดชานุภาพเหมือนพระอัคนีหรือพระสุริยเถิด.” -- พระยมตรัสตอบว่า, -- “ดูกรนิรมล, เราประสาทพรนี้ให้. คงจะได้เปนไปเช่นเธอขอนั้นเทียว. เราดูๆ เห็นว่าตัวเธอเหน็ดเหนื่อยแล้วด้วยการเดิรทาง. ฉนั้นจงหยุดและกลับเถิด. อย่าทนกรากกรำอีกต่อไปเลย.” -- สาวิตรีทูลว่า, -- “กระหม่อมฉันจะรู้สึกความเหน็ดเหนื่อยฉันใด เมื่ออยู่จำเพาะพระพักตร์พระภรรดา? เมื่อพระภรรดาตกอยู่ในสภาพใด สภาพนั้นก็เปนของกระหม่อมฉันด้วยเหมือนกัน. พระองค์จะทรงพาพระภรรดาของกระหม่อมฉันไป ณ หนไหน กระหม่อมฉันก็จะตามไป ณ หนนั้นด้วย. อ้าเทวราช, โปรดทรงฟังกระหม่อมฉันอีกครั้งหนึ่งเถิด. การสนทนาแม้ครั้งเดียวด้วยผู้กอปรด้วยบุญเปนสิ่งที่พึงปรารถนายิ่ง; ความเปนมิตรกับบุคคลเช่นนั้นเปนสิ่งพึงปรารถนามากกว่าอีก. และการคบธรรมจารีจะไร้ผลนั้นมิได้เลย. ฉนั้นเราจึ่งควรคบกับธรรมจารี.” -- พระยมตรัสว่า -- “ถ้อยคำที่เธอได้กล่าวมาแล้ว, อันเต็มไปด้วยข้อควรศึกษาเปนประโยชน์, ทำความปิติและเพิ่มพูนปัญญาแม้ของผู้ที่รอบรู้. ฉนั้นดูกรภัฏฏินี, เธอจงขอพรเปนประการที่ ๒. เว้นเสียแต่ชีวิตของสัตยวานเท่านั้น.” -- นางสาวิตรีจึ่งทูลว่า, -- “ก่อนนี้นานมาแล้วพระบิดาแห่งสวามีของกระหม่อมฉัน, พระองค์ผู้ทรงพระปัญญาและเปนวิญญู. ได้ถูกแย่งราชสมบัติและขอพระองค์ผู้เปนที่นับถือของกระหม่อมฉันนั้นจงอย่าได้ละเลยราชธรรมจรรยาเปนอันขาด. นี้เปนพรประการที่ ๒ ที่กระหม่อมฉันทูลขอ.” -- พระยมจึ่งตรัสว่า, -- “ในไม่ช้าพระราชาองค์นั้นจะได้ราชสมบัติคืน. และท้าวเธอจะไม่ละเลยราชธรรมจรรยาเปนอันขาด. ดังนี้นะ, ราชบุตรี, เราได้ทำตามความปรารถนาของเธอแล้ว. บัดนี้เธอจงระงับเถิด. กลับเถิด. อย่ากรากกรำลำบากต่อไปอีกเลย.” -- นางสาวิตรีทูลว่า, -- “พระองค์ย่อมทรงกำราบสัตว์ทั้งหลายด้วยวินัย, และการที่พระองค์ทรงคร่าห์สัตว์ทั้งหลายไปก็โดยอาศัยวินัย, หาใช่ทรงประพฤติตามพระหฤทัยของพระองค์ไม่. เพราะเหตุนี้เอง, เทวะพระเปนเจ้า, ชนจึ่งออกพระนามว่า พระยม,(แปลว่า “ผู้ที่ปกครองตามแบบแผน.”) ขอพระองค์จงทรงฟังคำของกระหม่อมฉันเถิด. นิตยกรณีย์ของคนดีอันพึงกระทำแก่สัตว์ทั้งหลาย คือไม่ประทุษร้ายด้วยจิต, วาจา, และกาย, แต่ตรงกันข้ามต้องแผ่เมตตา และประพฤติต่อสรรพสัตว์โดยสมควร. ส่วนโลกนี้ไซร้, สิ่งทั้งปวงล้วนต้องเปนเช่นนี้. ปุถุชนมักไร้ทั้งศรัทธาและปฏิทา. แต่ผู้ที่เปนธรรมจารีย่อมจะกรุณาแม้แต่ศัตรูผู้มาอ่อนน้อมขอพึ่ง.” -- พระยมตรัสว่า, -- “ถ้อยคำที่เธอกล่าวแก่เรานี้เปรียบเหมือนน้ำเย็นมาถึงผู้กระหาย. ฉนั้นนะ, ภัทราถ้าเธอมีความปรารถนาก็จงขอพรอีกประการหนึ่ง. นอกจากชีวิตของสัตยวาน.” -- เมื่อได้ฟังพระดำรัสดั่งนั้น นางสาวิตรีจึ่งทูลว่า -- “พระธรณินทร์ผู้เปนพระราชบิดาของกระหม่อมฉันนี้ หาพระโอรสมิได้. ขอให้พระบิดาได้มีโอรสร้อยพระองค์, เพื่อจะได้ดำรงพระราชวงศ์สืบไป, นี้เปนพรที่ ๓ ที่กระหม่อมฉันทูลขอต่อพระองค์.” -- พระยมตรัสว่า, -- “ดูกรศุภนารี, พระบิดาของเธอจะได้พระโอรสร้อยพระองค์ล้วนแต่มีศักดิ์, ซึ่งจะเปนผู้ดำรงและเพิ่มพูนพระสกุลวงศ์แห่งพระบิดาของเธอ. บัดนี้หนอ, ราชบุตรีเธอก็ได้สมปรารถนาแล้ว. จงระงับเถิด. เธอได้มาไกลพอแล้ว.” -- สาวิตรีทูลว่า, -- “เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ข้างภรรดา กระหม่อมฉันจะรู้สึกความไกลแห่งหนทางที่เดิรมาแล้วนั้นก็หามิได้. แท้จริงใจของกระหม่อมฉันนี้ยังวิ่งไปไกลกว่านี้เสียอีก ในระหว่างเวลาที่เสด็จต่อไปนี้ขอพระองค์จงทรงฟังคำที่กระหม่อมฉันจะทูลต่อไปนี้ด้วยเถิด. พระองค์ทรงเปนพระโอรสอันเรืองเดชแห่งพระวิวัสวัต (พระอาทิตย์). เพราะเหตุนี้บัณฑิตจึ่งออกพระนามพระองค์ว่าพระไววัสวัตและ, เทวะ, เพราะเหตุที่พระองค์ทรงประสาทธรรมโดยสม่ำเสมอแก่สัตว์ทั้งปวง, พระองค์จึ่งทรงพระนามว่าพระธรรมราช. แม้ในตนเองชนก็มิได้ไว้วางใจเท่าที่ไว้วางใจในผู้ประพฤติธรรม. ฉนั้นทุกคนจึ่งมีความปรารถนานักที่จะเปนมิตร์กับผู้ประพฤติธรรม. ความใจดีอย่างเดียวเท่านั้นเปนเครื่องเพาะความไว้วางใจแห่งสัตว์ทั้งหลาย. และเพราะเหตุนี้เองชนทั้งหลายจึ่งมักไว้ใจผู้ที่ประพฤติธรรม.” -- เมื่อได้ทรงฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้ว พระยมจึ่งตรัสว่า. -- “ดูกรภัทรา ถ้อยคำที่เธอได้กล่าวมาแล้วนั้น เรายังมิได้เคยฟังผู้ใดกล่าวเลย. เราพอใจมากในถ้อยคำของเธอ. นอกจากชีวิตของสัตยวาน, เธอจงขอพรเปนประการที่ ๔, แล้วจงกลับไปเถิด.” --- สาวิตรีจึ่งทูลว่า. -- “กระหม่อมฉันขอประทานบุตร์ร้อยคน, ให้กำเนิดแต่หม่อมฉันกับสัตยวาน, ให้บุตร์นั้นล้วนมีกำลังและฤทธิ์ และสามารถดำรงวงศ์สกุลของกระหม่อมฉันสืบไป.” -- เมื่อได้ทรงฟังคำของนางดังนั้น, พระยมก็ตรัสว่า -- “ดูกรภัฏฏินี, เธอจะได้มีโอรสร้อยองค์, ทรงกำลังและฤทธิ์, และเปนผู้ก่อความยินดีแก่เธอเปนอันมาก. ดูกรราชบุตรี, จงอย่าทนความเหน็ดเหนื่อยอีกเลย. จงระงับเถิด. เธอได้มาไกลเกินไปแล้ว.” -- เมื่อได้ฟังดั่งนั้น นางสาวิตรีจึ่งทูลว่า, -- “ผู้เปนธรรมจารีย่อมประพฤติธรรมเปนนิตย์และการเสวนาระหว่างชนผู้กอปรกุศลธรรมย่อมไม่ไร้ผล. อันตรายจะมีมาสู่บัณฑิตจากบัณฑิตหาได้ไม่. และจริงแท้ ธรรมจารีย่อมเปนผู้ที่ทำให้พระสุริยโคจรไปในฟากฟ้าโดยอำนาจความสัตย์. และธรรมจารีสิเปนผู้ค้ำจุนโลกไว้ด้วยตะบะ. ราชะ, ทั้งอดีตและอนาคตย่อมเปนไปโดยอำนาจแห่งธรรมจารี. เหตุฉนั้นผู้เปนธรรมจารีย่อมไม่มีความโทมนัสในเมื่อเสวนากับธรรมจารี. เมื่อรู้อยู่แล้วนี่เปนนิจจะปฏิปทาของบัณฑิตและธรรมจารี, ผู้ที่เปนธรรมจารีจึงหมั่นกระทำประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยมิได้มุ่งหาบำเหน็จตอบแทน. การอุปการะแก่บัณฑิตและธรรมจารีจะเปนอย่างของที่ทิ้งเสียเปล่านั้นหามิได้. ทั้งประโยชน์และอิศริยะจะเสื่อมทรามไปเพราะเหตุนั้นก็หามิได้. และโดยเหตุที่ปฏิบัติความเช่นนั้นย่อมฝังอยู่ในสันดานของธรรมจารี, ผู้เปนธรรมจารีจึงมักเปนนาถะแห่งชนทั้งหลาย.” -- เมื่อได้ทรงฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้ว พระยมจึ่งตรัสตอบว่า -- “เธอยิ่งกล่าวถ้อยเช่นนี้อันเต็มไปด้วยคติสำคัญ, เต็มไปด้วยมธุรวาทพร้อมด้วยธรรมะ, และเปนที่เจริญจิต, เราก็ยิ่งมีความเคารพในตัวเธอยิ่งขึ้นเปนลำดับ. ดูกรนางผู้ภักดียิ่งต่อพระสวามี, เธอจงขอพรอันหนึ่งซึ่งประเสริฐหาที่เปรียบมิได้เถิด.” เมื่อได้ฟังดังนั้นนางสาวิตรีก็ทูลว่า, -- “ข้าแต่พระองค์ผู้ประสาทสิริสวัสดิ์, พระพรที่พระองค์ได้ประทานหม่อมฉันแล้วนั้นมิสามารถจะถึงซึ่งความสำเร็จได้โดยปราศจากพระภรรดาของกระหม่อมฉัน. ฉนั้นนอกจากพระพรอื่นๆ, กระ-หม่อมฉันขอประทานประการนี้, คือขอให้พระสัตยวานได้กลับมีพระชนมชีพขึ้นใหม่. เมื่อเสียพระภรรดาแล้ว, กระหม่อมฉันเองก็เท่ากับผู้ที่ตาย. หากไร้พระภรรดา กระหม่อมฉันจะใยดีต่อความสุขก็หามิได้ การไร้พระภรรดาแม้สวรรค์กระหม่อมฉันก็หาปรารถนาไม่. หากไร้พระภรรดา กระหม่อมฉันก็มิได้ปรารถนาซึ่งความเจริญ. หากไรัพระภรรดากระหม่อมฉันจะบังคับใจให้คงมีชีวิตอย่างไรได้. พระองค์ได้ประทานพระพรแล้ว ว่าให้กระหม่อมฉันได้มีโอรสร้อยคน; แต่พระองค์สิทรงคร่าห์พระภรรดาของกระหม่อมฉันไป. กระหม่อมฉันจึ่งขอประทานพระพรดั่งนี้, คือขอให้พระสัตยวานได้กลับมีพระชนมชีพขึ้นใหม่ พระวาจาของพระองค์จะได้เปนไปสมจริงได้.”


บัดนั้น, เมื่อตรัสว่า “เปนไปเช่นนั้นเถิด” ดังนี้แล้ว พระไววัสวัตยมราช, ผู้ประสาทธรรม, ก็ทรงแก้บ่วงของพระองค์และด้วยพระหฤทัยอันร่าเริง จึ่งตรัสแก่นางสาวิตรีด้วยถ้อยคำทั้งหลายนี้, -- “ดังนี้หนอ, ศุภลักษณนิรมล, เราปล่อยพระภรรดาของเธอไป. เธอจงพาพระภรรดานั้นไปได้โดยปราศจากโรคาพาธและกุมารนั้นจะได้มีความเจริญยิ่ง. และพร้อมด้วยตัวเธอ, กุมารนั้นจะมีอายุยืนถึงสี่ร้อยพรรษา. และโดยกระทำพลีกรรมถูกต้องตามวิธีกุมารนั้นจะได้มีเกียรติกระฉ่อนโลก. และพระสัตยวานจะได้มีโอรสด้วยเธอร้อยองค์. และกษัตริย์เหล่านี้ อีกทั้งบุตรและหลานจะได้เปนพระราชา, และจะมีชื่อเสียงเสมอไปเนื่องด้วยพระนามของเธอเอง. และพระราชบิดาของเธอก็จะได้มีพระโอรสร้อยองค์เกิดแต่นางมาลวีผู้เปนพระมารดาของเธอ. และขัตติยะภาตาทั้งหลายนี้จะได้นามว่ามาลวะ, จะมีฤทธิ์เดชคล้ายเทวดา, และจะมีเกียรติกว้างขวางตลอดถึงบุตราบุตรีด้วย.” -- และเมื่อได้ประทานพรเหล่านี้แก่นางสาวิตรีแล้ว และทำให้นางระงับด้วยเหตุนี้แล้ว, พระปิตฤบดีก็เสด็จคืนสู่ที่สถิตของพระองค์.


ครั้นเมื่อได้พระสวามีคืนแล้ว, นางสาวิตรี, เมื่อพระยมเสด็จผ่านพ้นไปแล้ว, จึ่งกลับไปยังที่ซึ่งพระศพสีเทาของพระภรรดานอนอยู่.และเมื่อเห็นพระสวามีนอนอยู่กับดินเช่นนั้น, นางก็เข้าไปใกล้นั่งลงกับดินแล้ว และยกพระเศียรของพระสวามีขึ้นหนุนบนตัก ณ บัดนั้นพระสัตยวานก็คืนสมฤดี, ทอดพระเนตร์นางสาวิตรีด้วยความเสนหาเปนหลายครั้ง, เหมือนบุคคลที่กลับถึงบ้าน จากการไปอยู่ช้านานในไพรัชประเทศ, แล้วจึ่งตรัสแก่นางดังนี้, -- “โอ้โอ๋พี่นี้ได้หลับไปนาน เหตุไฉนน้องจึ่งมิได้ปลุกพี่เล่า? และบุรุษผิวคล้ามผู้ที่กำลังคร่าห์ตัวพี่ไปนั้นเขาอยู่ที่ไหน?” -- เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วนางวาวิตรีจึ่งทูลตอบว่า, -- “อ้าพระนราศภ, พระองค์ได้บรรทมหลับอยู่นานบนตักของกระหม่อมฉัน. พระยมผู้ควรบูชา, พระผู้กำราบสัตว์ทั้งหลาย, ได้เสด็จไปพ้นแล้ว. อ้าพระผู้ทรงสวัสดิ์, พระองค์ทรงพระสำราญแล้ว, และนิทราได้ผ่านพ้นไปจากพระองค์แล้วนะ, ราชบุตร์. ถ้าหากว่ามีพระกำลังก็โปรดเสด็จลุกขึ้นเถิด. จงทอดพระเนตร์เถิด, เวลานี้ถึงราตรีกาลแล้ว.”


เมื่อได้คืนสมฤดีแล้ว, พระสัตยวานก็เสด็จลุกนั่งขึ้นประดุจบุคคลที่ได้หลับสบาย, และเมื่อแลไปเห็นแต่ป่าอยู่โดยรอบ, จึ่งตรัสว่า, -- “แม่เอวกลม, พี่ได้มากับน้องเพื่อเก็บผลไม้, เมื่อพี่กำลังตัดไม้อยู่นั้น พี่รู้สึกปวดหัว. และเพราะเหตุที่พี่ปวดหัวแสนสาหัส พี่จึ่งไม่สามารถยืนอยู่ได้นานปานใด, และเหตุฉนั้นพี่จึ่งได้นอนลงบนตักของน้องและหลับไป. ข้อความเหล่านี้นะ. แม่จอมขวัญ, พี่จำได้. ต่อนั้น. เมื่อน้องได้กอดพี่, นิทราได้มาลักเอาสมฤดีของพี่ไป. แล้วพี่จึ่งได้เห็นว่ามีความมืดอยู่โดยรอบ. ในท่ามกลางที่มืดนั้นพี่ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีรัศมีแจ่มจ้าเหลือประมาณ. ถ้าแม้ว่าน้องรู้คดีตลอดละก็, แม่เอวกลม, ขอจงบอกให้พี่รู้ด้วยเถิดว่า ที่พี่ได้เห็นนั้นเปนแต่เพียงความฝันหรือความเปนจริง.” -- เมื่อนั้นนางสาวิตรีจึ่งทูลพระสวามีว่า, -- “นี่ก็ค่ำลงมากแล้ว : หม่อมฉันจะทูลเล่าความทุกประการ ณ วันพรุ่งนี้. เสด็จลุกขึ้นเถิด. ขอให้ทรงพระเจริญ! อ้าพระองค์ผู้ทรงศีลเลิด, เชิญเสด็จกลับไปเฝ้าพระชนก ชนนีเถิด. ตวันได้ตกนานแล้ว และราตรีมืดลง. ภูติผีผู้ท่องเที่ยวในราตรี, มีเสียงอันน่ากลัว, เดิรไปมาอยู่ด้วยความร่าเริงและได้ยินเสียงซึ่งมาจากสัตว์ป่าผ่านไปมาในดง. เสียงร้องอันดังแห่งหมาใน ซึ่มีมาจากทิศใต้และตวันออก ทำให้ใจหม่อมฉันระริกระรัวอยู่.” -- พระสัตยวานกล่าวว่า, -- “เมื่อความมืดปกคลุมอยู่เช่นนี้ ดงก็เปนที่น่ากลัวอยู่. ฉนั้นน้องคงจะแลไม่เห็นหนทาง, และด้วยเหตุนั้นจะไปหาได้ไม่.” -- สาวิตรีทูลตอบว่า -- “โดยเหตุที่ได้มีไฟไหม้ในป่าวันนี้ มีต้นไม้แห้งต้นหนึ่งมีเปลวไฟติดอยู่, และเปลวไฟนั้นเห็นได้เปนครั้งคราวเมื่อมีลมเป่า. หม่อมฉันจะไปหาไฟมาจุดฟืนเหล่านี้ที่อยู่โดยรอบ. พระองค์จงคลายความวิตกทั้งปวงเถิด. หม่อมฉันจะกระทำการนั้นๆ เอง ถ้าพระองค์ไม่โปรดเสด็จไป, เพราะหม่อมฉันเห็นอยู่ว่าพระองค์ยังไม่ทรงสบาย. พระองค์คงจะไม่ทรงสามารถหาพบทางผ่านดงนี้ในที่มืด ต่อพรุ่งนี้เมื่อป่ากระจ่างแล้ว, เราจึ่งค่อยไปจากที่นี้, ถ้าพระองค์โปรด, อ้าพระผู้ปราศจากบาป, ถ้าพระองค์มีพระประสงค์, เราจะแรมอยู่คืนนี้ ณ ที่นี้เองก็ได้.” -- เมื่อได้ฟังคำนางดังนั้นพระสัตยวานจึ่งตรัสตอบว่า, -- “ความปวดในหัวของพี่ก็หมดไปแล้ว ; และในอวัยวะของพี่ก็รู้สึกสบายดี. ถ้าน้องเต็มใจ, พี่อยากใคร่ไปเฝ้าพระบิดาและมารดา. พี่นี้ยังมิเคยกลับไปถึงพระอาศรมพ้นเวลาอันสมควรเลย. แม้ก่อนเวลาพลบ พระมารดาก็มักจะตรัสให้พี่อยู่ภายในเขตพระอาศรม แม้ในเวลาที่พี่ออกมาในกลางวัน พระชนกชนนีก็มักทรงเปนห่วงพี่, และพระบิดาเสด็จเที่ยวหาพี่, พร้อมด้วยบรรดาท่านผู้ที่สถิต ณ อาศรมในดงนี้. เมื่อก่อนๆ นี้ เมื่อทรงมีความโศกอยู่, พระบิดาและพระมารดาหนักเพราะตัวพี่. พี่คงถือชีวิตอยู่ก็แต่เมื่อทั้งสองพระองค์นั้นคงพระชนมชีพอยู่. และพี่รู้อยู่ว่าทั้งสองพระองค์ควรได้รับเปนห่วงพี่ ; เพราะแน่ละ, เมื่อไม่ทรงเห็นตัวพี่กลับ, ทั้งสองพระองค์คงทรงมีความโศกมาก. เมื่อก่อนนี้คืนหนึ่ง, ทั้งสองพระองค์ผู้ทรงมีพระเมตตาต่อพี่ยิ่งนัก ได้ทรงพระกันแสงและตรัสแก่พี่ว่า, ‘ลูกเอย, ถ้าเสียลูกไปแล้ว, เราทั้งสองจะครองชีวิตต่อไปมิได้อีกแม้ขณเดียว. ลูกมีชีวิตอยู่ตราบใด, เราทั้งสองก็จะมีชีวิตอยู่ได้ตราบนั้นเปนแน่ละ. ลูกเปนธารพระกรแห่งเราผู้ตามืด ; ความยั่งยืนแห่งวงศ์สกุลของเราจะมีได้ก็แต่โดยลูกเท่านั้น. เราทั้งสองจะได้กินเครื่องเส้นศพ จะมีเกียรติ, จะมีเชื้อวงศ์ต่อไปก็ได้แต่โดยอาศัยตัวลูกเท่านั้น.’ พระมารดาของพี่ทรงพระชราแล้ว, และพระบิดาก็เช่นกัน. พี่นี่เทียวเปนธารพระกรของท่าน ถ้าท่านมิได้พบตัวพี่ในคืนนี้, อโห, ท่านจะเปนอย่างไร. พี่ชังนิทรานั้นของพี่จริงๆ, เพราะเปนสิ่งที่ทำให้พระมารดาและพระบิดาทั้งสองพระองค์ผู้หาผิดมิได้ต้องทรงเดือดร้อน, และตัวพี่เองก็เหมือนกัน ต้องตกอยู่ในความร้อนใจแสนสาหัส. ไร้พระบิดาและพระมารดาแล้ว พี่ก็คงอยู่ไม่ได้. แน่แล้วป่านนี้พระบิดาผู้มีพระเนตร์มืด, พระหฤทัยท่วมไปด้วยความโศก, คงจะกำลังตรัสถามบรรดาผู้อยู่ในพระอาศรมถึงตัวพี่. พี่นี่นะ, แม่งามชื่น, ไม่ทุกข์ถึงตัวพี่เองเท่าเปนทุกข์ถึงพระบิดา, และถึงพระมารดาผู้อ่อนแอและภักดีต่อพระสวามีเปนนิตย์. แน่แล้วทั้งสองพระองค์คงจะทรงเปนทุกข์ เคยตรัสติโทษพี่เปนหลายครั้งว่า ‘ลูกไปเสียนานจึ่งได้กลับมา.’ พี่มาคำนึงอยู่ถึงพระหฤทัยของทั้งสองพระองค์ในวันนี้เพราะความบำเรอจากพี่และตัวพี่ควรจะประพฤติแต่สิ่งที่พอพระหฤทัยของท่าน.”


เมื่อได้ตรัสเช่นนี้แล้ว พระกุมารผู้ทรงคุณธรรมมีความจงรักภักดีต่อพระชนกชนนี, เต็มไปด้วยความโศก, ก็ยกพระกรขึ้นและทรงปริเทวะด้วยความทุกข์ และเมื่อเห็นพระสวามีเต็มไปด้วยทุกขเวทนาดังนั้น, นางสาวิตรีผู้มีธรรมก็เช็ดพระอัสสุชลจากพระเนตร์ของพระภรรดาแล้วทูลว่า, -- “ด้วยอำนาจการที่หม่อมฉันได้บำเพ็ญตะบะมาแล้ว, และได้อวยทานแล้ว, และได้กระทำพลีกรรมแล้วขอราตรีนี้จงเต็มไปด้วยสิริสวัสดิ์แด่พระบิดา, พระมารดา, และพระภรรดาของหม่อมฉัน. หม่อมฉันจำไม่ได้เลยว่าได้เคยกล่าวมุสาจนคำเดียว, แม้ในเมื่อพูดเล่น. ขอพระบิดาและมารดาจงทรงพระเจริญพระชนมายุด้วยอำนาจความสัตย์อันนี้เถิด.” -- พระสัตยวานจึ่งตรัสว่า -- “พี่อยากจะได้เฝ้าพระบิดาพระมารดาของพี่ฉนั้นนะ, สาวิตรี, มาไปเถิดอย่าช้า. อ้าแม่รูปงาม. พี่ปฏิญญา โดยอ้างตนเองว่า ถ้าแม้พี่พบเห็นอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งได้เปนไปแก่พระบิดา และพระมารดาแล้ว, พี่จะไม่ขอคงชีวิตอยู่ต่อไป. ถ้าน้องมีความเคารพต่อธรรม, ถ้าน้องปรารถนาให้พี่คงมีชีวิต, ถ้าเปนกรณียของน้องที่จะประพฤติให้ถูกใจพี่, จงไปยังพระอาศรมเถิด.” -- นางสาวิตรีศรีวิลาส ณ บัดนั้นจึ่งลุกขึ้น, มุ่นเกศา, และพยุงพระภรรดาให้ลุกยืนขึ้น. และเมื่อพระสัตยวานได้ลุกยืนขึ้นแล้ว, จึ่งทรงคลึงไคลพระอวัยวะด้วยพระหัตถ์. และเมื่อทอดพระเนตร์ไปโดยรอบ, ก็ทอดพระเนตร์เห็นย่ามของพระองค์. บัดนั้นนางสาวิตรีจึ่งทูลว่า, -- “พรุ่งนี้เถิดจึ่งค่อยเสด็จมาเก็บผลไม้. กระหม่อมฉันจะถือขวานไปเพื่อไม่ลำบากแก่พระองค์.” -- บัดนั้นเมื่อได้แขวนย่ามไว้ที่กิ่งไม้และหยิบขวานขึ้นแล้ว, นางก็กลับไปยังพระภรรดาและนางผู้มีพระเพลางาม ยกพระกรซ้ายของพระภรรดาขึ้นพาดไว้บนพระอังสาซ้ายของนางแล้ว, และกอดบั้นพระองค์ด้วยพระกรขวา แล้วก็ดำเนิรโดยสง่าดุจพระยาช้างสาร. บัดนั้นพระสัตยวานจึ่งตรัสว่า -- “อ้าภิรุ, โดยความชำนาญ, พี่รู้จักทางสัญจรในดงนี้ทั้งหมดและอีกประการหนึ่ง, โดยแสงเดือนที่ส่องลงมาระหว่างต้นไม้, พี่อาจและเห็นหนทางได้. บัดนี้เราได้มาถึงแล้วซึ่งทางเก่าที่เราได้ดำเนิรมาเมื่อเวลาเช้าเพื่อเก็บผลไม้. ศุภลักษณนารี, น้องจงดำเนิรไปตามทางที่เราได้ผ่านมาแล้วนั้นเถิด. ใกล้ทางซึ่งมีต้นปะลาศปกคลุมอยู่ทางแยกเปนสองแพร่ง. จงดำเนิรไปทางที่แยกไปทิศเหนือเถิด บัดนี้พี่สบายขึ้นแล้วและได้กำลังคืนมาแล้ว. พี่อยากใคร่ได้เฝ้าพระบิดา และพระมารดาจริงๆ.” -- เมื่อตรัสดังนี้แล้วพระสัตยวานก็รีบดำเนิรสู่พระอาศรม


(เรื่องนางสาวิตรีแท้จริงก็จบเพียงเท่านี้, แต่ในฉบับเดิมยังมีต่ออีก ๒ สรรค, ซึ่งเห็นว่าไม่จำเปนต้องแปลมาไว้ในที่นี้โดยพิสดาร แต่ขอเล่าความไว้โดยย่อๆ. ต่อจากที่ได้แปลไว้แล้วข้างบนนี้ จับกล่าวถึงท้าวทยุมัตเสน, ซึ่งได้กลับพระเนตร์สว่างขึ้นแล้ว, จึ่งชวนนางไสพยาผู้มเหษีออกเที่ยวตามหาพระสัตยวาน, แวะถามตามอาศรมที่ใกล้เคียง, พวกฤษีชีไพรพากันทำนายว่าพระสัตยวานหาได้เปนอันตรายไม่, เพราะอำนาจแห่งคุณสมบัติของนางสาวิตรีคุ้มเกรงอยู่. เมื่อได้ฟังคำทำนายของพวกฤษีดังนั้นท้าวทยุมัตเสนกับนางไสพยาก็ค่อยคลายความวิตก, จึ่งกลับไปยังพระอาศรม. ในคืนนั้นเองพระสัตยวานกับนางสาวิตรีก็กลับไปถึงพระอาศรม, ซึ่งทำให้มีความยินดีโดยทั่วกัน, และต่างถามและเล่าข่าวคราวสู่กันและกัน ครั้นรุ่งขึ้นมีชาวศาลวะเปนอันมากไปยังพระอาศรมและทูลฃ่าวแก่ทยุมัตเสนว่าศัตรูผู้ชิงราชสมบัตินั้น ได้ถูกอมาตย์ฆ่าตายเสียแล้วและบรรดาไพร่พลของศัตรูก็ได้หนีไปหมดแล้ว, แล้วพศกนิกรได้พร้อมใจกันขออัญเชิญพระราชาเดิมเสด็จกลับเข้าไปทรงราชย์ในศาลวะนคร. ท้าวทยุมัตเสนก็เสด็จกลับคืนเข้าสู่พระนคร, พร้อมด้วยเสนานิกรแห่งห้อม. พระนางไสพยาและนางสาวิตรีทรงวอทองไปในกระบวน. ชีพ่อพราหมณ์จึ่งกระทำพิธีราชาภิเษกท้าวทยุมัตเสนและประดิษฐานพระสัตยวานไว้ในตำแหน่งพระยุพราช. ต่อนั้นมานางสาวิตรีก็ได้มีโอรสอันกล้าหาญร้อยองค์ และท้าวอัศวบดีมัทรราชก็ได้มีพระโอรสด้วยพระนางมาลวิร้อยองค์, เปนอันได้ผลเต็มตามพระพรที่พระยมได้ประสาทแด่นางสาวิตรีนั้นถ้วนทุกประการ.)


จบเรื่องสาวิตรีเท่านี้


(หมายเหตุ แปลจากฉบับคำแปลภาษาอังกฤษของประตับจันทระโรย, ซึ่งยืมมาจากหอพระสมุดวชิรญาณ. – ราม ร.)

เชิงอรรถ

ที่มา

ขอขอบคุณ คุณวิลลี่ มาลัยทอง ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน

เครื่องมือส่วนตัว