นิราศเขาลูกช้าง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศขเาลูกชาง}} [[หม…')

รุ่นปัจจุบันของ 03:09, 3 พฤศจิกายน 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายต่วน

แต่งขึ้นในคราวเดินทางไปเตรียมการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เขาลูกช้าง ต.ท่าไม้รวก เมืองเพชนบุรี พ.ศ.๒๔๒๙

บทประพันธ์

      นิราศเรื่องลูกช้างขนานนาม
ต่วนผู้ประดิษฐ์ตามที่รู้
ใช่จะคิดเลิงลามอ้างอวด ตนนา
หวังกุศลที่ผู้สดับแล้วโมทนา ฯ
      รอยพุทธิบาทเจ้าสุคต
สถิตยอดบรรพตลูกช้าง
ลักขณะเห็นปรากฏจักษุ ชนนา
สู้สละนิราศร้างนุชน้องวันทนา ฯ
             
โอ้เวราทำไว้อย่างใดหนอ
ทุกราตรีมีแต่ว่าน้ำตาคลอเข้าปีจออัฐศกตกฤดู
ถึงเดือนสามเข้าวสันต์เหมันตะต้องจำจะไกลนุชไปสุดกู่
ธุระอื่นไหนจะร้างห่างพธูครั้นจะอยู่ดูท่าเป็นราคี
ด้วยท่านพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์จะไปจัดแจงทางกลางวิถี
ต้องไปตั้งพลับพลาท่ากบชีแต่ฉันนี้มีบัญชาต้องคลาไคล
ด้วยนายท่านอาสามหากษัตริย์มีมนัสตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
เราเป็นข้าต้องอาสาเจ้านายไปเป็นคนใช้สำหรับกำกับการ
ครั้นจะนิ่งเสียไม่ไปกระไรอยู่พิเคราะห์ดูใช่เช่นเป็นทหาร
นายมีกิจควรคิดทำราชการจะเกียจคร้านนึกอดสูดูไม่ดี
จำใจร้างห่างนุชสุดวิตกจะระหกระเหินเดินวิถี
เขาลูกช้างทางจะไปไกลเต็มทีโอ้คราวนี้จำจะลาสุดาจร
พี่จนจิตดอกนะน้องต้องจำพรากลาแต่ปากใจเป็นห่วงดวงสมร
ใช่ว่าเรียมจะอยากไปจากจรนี่กรรมก่อนทำไว้ต้องไกลกัน
ถึงยามดีสี่ศูนย์พูนสวัสดิ์ฉันจึงจัดแจงกายจะผายผัน
แล้วใส่เสื้อเนื้อนุ่งกวางตุ้งพลันผ้านุ่งนั้นพื้นดีเป็นสีไพล
จึงหยิบดาบตะพายบ่าลาพี่น้องทั้งพวกพ้องชิดเชื้อข้างเหนือใต้
แล้วรีบจรจรัลจากบันไดแสนอาลัยด้วยจะร้างไปห่างเรือน ฯ
      ออกจากบ้านจวนเก่าให้เศร้าสร้อยแสนละห้อยโหนไห้ใครจะเหมือน
ไปคราวนี้ดูท่าเห็นกว่าเดือนคิดถึงเพื่อนเหล่านี้เหมือนพี่น้อง
ตั้งแต่ฉันมาอยู่นี่หลายปีเศษไม่มีเหตุสิ่งไรจะได้หมอง
จะไปมาได้สะดวกตามพวกพ้องยิ่งตรองตรองคิดมิใคร่จะไคลคลา
นี่จนใจด้วยจะไปราชการถ้าแม้นจ้างหรือวานไม่ปรารถนา
คอยอยู่ก่อนเถิดหนอฉันขอลาจงสุขาอยู่สุขนั้นทุกคน ฯ
      แล้วก็เร่งรีบออกตรอกวัดธ่อเลี้ยวหัวรองุ่มง่ามไปตามถนน
ยังไม่แจ้งแสงศรีสุริยนพโยมบนมืดมัวไปทั่วทิศ ฯ
      จะประมาณไม่ช้านักถึงหลักเมืองดูรุ่งเรืองน่าสนุกท่านอุกฤษฎ์
มีทั้งศาลเทวาวราฤทธิ์สิงสถิตดูสง่าแก่ตาคน
ฉันหยุดยั้งนั่งประณมก้มเกศีอัญชุลีกราบงามลงสามหน
หนึ่งอีกเทศสถานวิมานมนขอฝากมิ่งนิรมลจนกลับมา
แม้นใครคิดหาญหักพูดยักเยื้องพ่อหลักเมืองผลาญชีวังให้สังขาร์
ขอให้เห็นตระหนักประจักษ์ตาจะบูชาข้าวของที่ต้องใจ
เทียนเงินเทียนทองของอย่างดีเหล้าอาหนีเบ็ดเสร็จหมูเป็ดไก่
ทั้งจันอับทับทิมลูกลำใยให้สมใจเจ้าพระคุณกรุณา
แล้วลาพ่อหลักเมืองค่อยเยื้องย่างพอสว่างหายมัวทั่วเวหา
แซ่สำเนียงสกุไณทั้งไก่กาพื้นนภาแจ่มกระจ่างกลางอัมพร
ทั้งหญิงชายก็ฟื้นตื่นนิทราเปิดหน้าต่างล้างหน้าออกสลอน
ทั้งสองฟากถนนหนทางจรล้วนสมรน่ารักลักขณา
ไทยแท้แท้นั้นน้อยไม่ค่อยมากทั้งสองฟากล้วนแต่ข้างต่างภาษา
แม่เป็นไทยจีนไพล่เป็นบิดานั่งเยี่ยมหน้าขาวขาวลูกสาวเจ๊ก
บ้านนั่งร้านขายของดูผ่องผิวรูปหิวหิวร่างราวเป็นสาวเด็ก
ทำไฉนจะได้เชยเป็นเขยเจ๊กได้กินเล็กกินน้อยอร่อยคอ
ถึงจะต้องมีเตี่ยไว้เปียด้วยถ้าแม้นสวยฉันไม่ว่าดอกหนาหนอ
เมื่อพบพักตร์เหมือนหล่อนทักให้เดินรอทั้งเศียรศอรูปราวสาวสุรางค์
งามกระไรนี่หนอมาล่อโลกฉันพลอยโศกเสียเพราะน้องยิ่งหมองหมาง
ชมลูกสาวเจ๊กเพลินแล้วเดินพลางไปตามทางมรรคารีบคลาไคล ฯ
      ประเดี๋ยวหนึ่งถึงบ้านยกกระบัตรฉันยกหัตถ์วันทาหาช้าไม่
ด้วยท่านมีเมตตามาแต่ไรฉันเคยไปเที่ยวเล่นอยู่เป็นนิจ
ทั้งเหย้าเรือนเรียงรายนั้นหลายหลังมีหอนั่งตั้งขวางหน้าต่างปิด
ทั้งบันไดขึ้นลงลูกกรงมิดเป็นที่สถิตนั่งเล่นไม่เว้นวัน
ทั้งทาสีทาสาหน้าเหมือนเหมดูปรีเปรมเยื้องกรายเดินผายผัน
ในย่านนี้ท่านเป็นที่นามวันเมื่อก่อนนั้นสนุกนักเล่นสักวา
ฉันหลงรักหนักใจอาลัยเหลือรักไม่เบื่อแทบจะเลยเป็นเขยข้า
เกรงอยู่นิดกิจจะรู้ถึงสุดาฉันอุตส่าห์สู้อดเหมือนมดแดง
ด้วยฉันหรือซื่อตรงต่อนงนุชได้ถือพุทธทางข้างไสยไม่แสวง
กลัวน้องจะจืดจางทำคลางแคลงหล่อนระแวงกลัวว่ารักจะชักช้า
สู้อดใจเหมือนพระชนะยักษ์ก็เพราะรักโฉมเอกเมขลา
สตรีอื่นนอกจากน้องเอาทองทาไม่ปรารถนาที่จะอยู่เป็นคู่เคล้า ฯ
      รีบตะบึงถึงตำบลถนนวัดลาดนึกอนาถแสนวิโยคให้โศกเศร้า
ฉันเหลียวไปไม่พบพักตร์ยอดรักเราเห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา
ทั้งเรือนโรงสองข้างทางถนนทั้งผู้คนหญิงชายหลายภาษา
ฝรั่งแขกแปลกกันวิลันดามอญพม่าลาวพวนญวนทวาย
ยังอีกพวกกะเหรี่ยงเสียงขรมเขาไว้ผมใส่เสื้อหาบเนื้อขาย
ตามถนนวิถีมีมากมายแล้วผันผายรีบไปไม่รอรั้ง ฯ
      สักโมงหนึ่งพอถึงบ้านนารายณ์เป็นนิยายบุราณอ้างแต่ปางหลัง
ว่าพระรามตามสีดามาประดังจึงยับยั้งตั้งพลับพลาที่ท่านี้
จะเท็จจริงฉันใดยังไม่รู้พิเคราะห์ดูเห็นจะจริงทุกสิ่งศรี
เมื่อสมเด็จหริรักษ์จอมจักรีทศศีรลักโฉมยงไปลงกา
พระจักรกฤษณ์ติดตามข้ามสมุทรวายุบุตรเข้าคำนับรับอาสา
คุมพวกลิงจองถนนขนศิลามาถมกลางมหาชลาลัย
แต่องค์นางสีดายุพาพักตร์อยู่เมืองยักษ์หม่นหมองไม่ผ่องใส
ทศกัณฐ์เกี้ยวพานประการใดนางมิได้ยินดีมีเมตตา
ด้วยซื่อตรงต่อองค์พระราเมศยุพเรศไม่คิดรักท้าวยักษา
ถ้ามิตรเราได้เหมือนอย่างนางสีดาเกินลงกาคงจะไปมิได้กลัว
คนเดี๋ยวนี้เห็นไม่มีแล้วอย่างนั้นพอจากกันสองราตรีต้องมีผัว
เฝ้าผัดหน้าทาแต่แป้งแต่งแต่ตัวฉันนึกกลัวหล่อนจะเป็นเช่นนั้น ฯ
      แล้วรีบร้นพ้นระยะบ้านนารายณ์พบหญิงชายที่รู้จักเขาทักฉัน
ก็หยุดยืนสนทนาพูดจากันแล้วผายผันถึงท่าช่องเข้าทันที
ท่าช่องเอ๋ยทำไฉนจะได้ช่องถ้าพบน้องนึกจะพาสุดาหนี
พระสมุทรยังอุ้มบุษมาลีเขาจะดีกว่าเราสักเท่าไร
ที่ท่าช่องมีช่องลงท่องท่าชาวบ้านนอกคอกนาลงอาศัย
แล้วเดินจรจรัลจากนั้นไปด่วนครรไลมิได้รอรีบจรดล ฯ
      ถึงโรงเหล้าเตาสุรานายอากรโรงอยู่ริมสาครเคียงถนน
ล้วนแต่จีนไม่มีไทยเข้าไปปนบ้างหาบขนข้างของที่ต้องการ
มีหลงจู๊ผู้กำกับสำหรับกิจเป็นคนชิดใช้ต่างตาได้ว่าขาน
พวกนักเลงกินเหล้าเมาออกซ่านบ้างเดินกรานพูดโวเที่ยวโซเซ
ถึงเมาเหล้าเมาฝิ่นยังสิ้นสร่างแต่เมารักที่ฉันร้างมาห่างเห
ดูยิ่งกว่ากินเหล้าสักเก้าเทเหลือคะเนที่ฉันจะพรรณนา
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกาอนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศกมาเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
อันความรักหนักจิตเหมือนติดกาวไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหยอุระโรยร่วงหรุบเหมือนบุปผา
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมาเกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาทใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
แสนวิปโยคโศกศัลย์ไม่บรรเทาไม่บางเบาเสื่อมสร่างลงบ้างเลย
ยิ่งคิดไปใจคอให้ห่อหู่ป่านนี้หนูจะคอยหานิจจาเอ๋ย
ต้องร้างรักหักใจครรไลเลยนิจจาเอ๋ยอกแทบหักหนักอุรา ฯ
      ถึงท่าสงมีศาลาชื่อท่าสงใครบรรจงสร้างไว้ในศาสนา
ด้วยจิตหมายจะธุระพระนิพพาน์เพราะศรัทธาจึงได้สร้างไว้อย่างนี้
ทั้งหญิงชายมากมายที่ท่าสงบ้างขึ้นลงอาบแช่กระแสศรี
น่าพินิจพิศดูหมู่นารีบ้างขัดสีเหงื่อไคลในกายา
บ้างผลัดกันถูหลังนั่งแช่น้ำลางคนดำทนจัดเหมือนมัจฉา
นางคนหนึ่งพึ่งเดินดำเนินมาพอผลัดผ้านมออกเหมือนดอกบัว
ดูน่าจูบรูปร่างเหมือนอย่างหุ่นพึ่งแรกรุ่นเหมือนลูกสาวเจ๊กเจ้าสัว
ชั้นเนื้อหนังมิได้มีราคีมัวหล่อนมีผัวแล้วหรือยังเป็นอย่างไร ฯ
      เดินไปถึงโรงแม่ส่านร้านขายยาเขาลือว่าเขียวหวานสะท้านไหว
อยากจะซื้อสูบลองสักสองไพแวะเข้าไปมีเนื้อความถามราคา
ยาของแม่อย่างนี้กี่มวนร้อยเขาตอบถ้อยว่าเคยขายนะนายขา
สามมวนอัฐขายเขาไปแต่ไรมาฉันตอบว่าพานแพงแรงเต็มที
ฉันเป็นชาวบ้านนอกดอกหนาขาขอเพียงห้ามวนมิได้ให้เพียงสี่
เอ็นดูเถิดแม่หนอฉันต่อดีแม้นปรานีจะซื้อน้องสักสองไพ
ฝ่ายแม่ส่านนั้นฉลาดว่าขาดทุนนี้การุณดอกฉันจะปันให้
ฉันจึงมีคำตอบว่าขอบใจจึงหยอบอัฐส่งให้มิได้ช้า
ฝ่ายแม่ส่านโฉมยงส่งบุหรี่ข้างฉันนี้ก็รับกับหัตถา
นึกกระสันรัญจวนป่วนวิญญาณ์พอสบตามองดูรู้ว่ารัก ฯ
      เดินไปถึงมีถนนมีต้นไทรขวามือไปตลอดแถบเสาแคบปัก
หนทางนั้นทางมีเป็นสี่กั๊กทางหนึ่งยักลงท่าสงวารี
ทางหนึ่งนั้นครรไลไปวัดป้อมทางหนึ่งอ้อมวกมาป่าช้าผี
หนทางหนึ่งนั้นเล่าเข้าบุรีรวมเป็นสี่หนทางอย่างรำพัน ฯ
      ก็พอพ้นโรงร้านย่านถนนจรดลมุ่งหมายรีบผายผัน
จะชมอะไรไม่เห็นงามตามเลานั้นเห็นเถาวัลย์เบียดเสียดดูเยียดยัด
บ้างก็ขึ้นพ้นรั้วออกยั้วเยี้ยอ้ายเถาเหี้ยคนเขาเห็นกลายเป็นสัตว์
ฉันก็เร่งรีบมาถึงหน้าวัดรู้นามชัดชื่อวัดเกาะดูเหมาะครัน
พระอารามงามเลิศประเสริฐแสนดูแม้นแม้นราวกะเมืองสวรรค์
โบสถ์วิหารมีอยู่เป็นคู่กันกำแพงนั้นล้อมรอบขอบอาราม
มีเสาหงส์สูงเยี่ยมเทียมเวหาดูสง่าแลวิไลในสยาม
นอกกำแพงมีศาลาสง่างามประมาณสามสี่หลังน่านั่งนอน
ตามริมที่ศาลาป่าช้ามีพระธรณีสูงยิ่งเกือบสิงขร
ทั้งหญิงชายตายกลาดดาษดินดอนอกสะท้อนถึงความตายที่วายชนม์
แล้วจึงปลงอนิจจังสังขาราเราเกิดมาตายแล้วเห็นไม่เป็นผล
ตายเป็นชัดไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลไม่ทานทนอยู่ได้ว่าใครดี
ถึงเหาะเหินเดินได้ในเวหามีเพชรนิลจินดาเป็นเศรษฐี
ถึงมียศมีศักดิ์เป็นจักรีต้องเป็นผีถ้วนหน้าไม่ว่าใคร
แต่องค์พระชินศรียังนิพพานนี่เราท่านอย่าพะวงคิดสงสัย
เร่งจำศีลภาวนาตั้งหน้าไปเมื่อบรรลัยได้พ้นห่วงซึ่งบ่วงมาร
แต่ตัวฉันทุกวันนี้มีแต่โศกแสนวิโยคเห็นไม่พ้นวนสงสาร
อกจะแตกแบกแต่รักแทบดักดานทรมานกายมาหลายราตรี
ถึงไม่ได้ขึ้นสวรรค์ฉันไม่ว่าได้แก้วตามาชมประสมศรี
ช่างกระไรใจฉันเป็นพรรค์นี้ใครจะมีเหมือนมั่งทั่วทั้งเพชร ฯ
      แล้วก็เดินบุ่มบ่ามข้ามสะพานยังมีร้านขายของนั้นเบ็ดเสร็จ
โน่นข้าวหมากนั่นเมี่ยงนี่เรียงเล็ดมีอยู่เสร็จหมากยาสารพัด
ขนมถ้วยกล้วยทอดยอดสินค้าขนมครกหกฝาราคาอัฐ
เขาตั้งร้านคอยท่าอยู่หน้าวัดสารพัดแม้นต้องการทั้งหวานคาว
แต่เจ้าของนั้นชแรแก่ชราถ้าแม้นว่าหนุ่มยังกำลังสาว
ถึงแพงถูกผูกรักเล่นสักคราวนี่ดูราวพ่อแม่เห็นแก่เกิน ฯ
      ถึงวัดจันทร์หันหน้าวันทาพระขอเดชะซึ่งความทุกข์อย่าฉุกเฉิน
เขาลูกช้างจะไปไกลเหลือเกินด้วยจะเดินไปคนเดียวนึกเปลี่ยวใจ
ทั้งเสือสีห์ผีสางแรดช้างร้ายอย่ามุ่งหมายขบกัดให้ตัดษัย
โจรภัยอย่าได้มีอัคคีภัยขอให้ไปแคว้นคลาดทั้งศาสตรา
แล้วก็เร่งรีบร้นพ้นวัดจันทร์ตามเหล่านั้นสับสนต้นพฤกษา
มีกอไผ่ใบร่มรื่นพื้นพสุธาถึงแสงแดดแผดมาไม่ต้องกาย ฯ
      ไม่ถึงทางสองแพรกต้องแยกขวาหวนคะนึงถึงสุดาไม่เหือดหาย
แม้นใจน้องเป็นสองแพรกอกแตกตายถ้ารักชายอื่นแอบมาแนบน้อง
ขอเดชะเทวารักษาสัตย์ช่วยป้องปัดอย่าให้ใจเป็นสอง
ฉันกลับมาเมื่อไรให้ได้ครองขอให้น้องกรุณังเหมือนยังเคย ฯ
      ถึงวัดเลาเศร้าอุราวัดวาร้างอยู่เคียงทางเวทนานิจจาเอ๋ย
เห็นวัดร้างเหมือนเราร้างมาห่างเชยเมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้ามิตร ฯ
      ถึงกะฎีที่เขาสร้างชื่อนางป้อมประณมน้อมเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์
บุราณว่าเจ้าหญิงสิงสถิตฉันตั้งจิตสวดพระกรณี
จึงตั้งความปรารถนาต่อหน้าศาลซึ่งภัยพาลตามทางหว่างวิถี
อันความชั่วขออย่าใกล้กายีจนถึงที่เขาลูกช้างในกลางไพร
หนึ่งให้สบพบนายข้าหมายมาดอย่าแคล้วคลาดกับคุณพระเพชรพิไสย
ด้วยคราวนี้สมจิตที่คิดไว้ข้าตั้งใจคอยมานั้นช้านาน
ยังมิได้ใช้สอยสักหน่อยหนึ่งแม้นไปถึงจงมีจิตคิดสงสาร
ฉันรักนายเหมือนบิดาครูอาจารย์ถึงว่าทางกันดารก็ต้องเดิน
เพราะซื่อสัตย์สุจริตไม่คิดคดแม้นทรยศเชิญปู่เจ้าทุกเขาเขิน
ให้บรรลัยเสียที่ในพนมเนินถ้าแม้นเดินให้เป็นเหยื่อแก่เสือร้าย
แล้วยกหัตถ์อำลาเทพารักษ์ไม่หยุดพักเดินเรื่อยเหนื่อยใจหาย
ทั้งสองฟากมรรคาล้วนป่ารายพระสุริย์ฉายแดงเด่นเผ่นอัมพร ฯ
             

      ถึงวัดหนึ่งเขาเรียกว่าวัดท่าขวิดสะดุ้งจิตคิดไปถึงใจสมร
แม้นขวิดที่เหมือนชื่อท่าริมสาครจะต้องมรณ์เสียเพราะรักภัคินี
พิศดูพระอาวาสอนาถเนตรน่าทุเรศดังว่าป่าช้าผี
นี่พระสงฆ์ไปไหนหรือไม่มีทั้งกะฎีศาลาฝาเกือบพัง
วัดริมท่าดูไม่น่าจะโรยร้างอยู่ริมทางไม่น่าโซพุทโธพุทถัง
พวกชาวบ้านช่างไม่คิดอนิจจังจะต้องพังป่นปี้คราวนี้แล้ว
หรือชาวบ้านวัดท่าขวิดติดจะน้อยศรัทธาถอยไม่ปกป้องให้ผ่องแผ้ว
เป็นชตาอารามไม่งามแล้วไม่เพริศแพร้วสโมสรเหมือนก่อนมา
เหมือนตัวพี่ที่คร่ำครวญไม่ควรร้างมาเหินห่างหวนเหเสน่หา
ไม่ควรร้างไปในกลางพนาวาร้างเคหาแล้วยังร้างไปห่างน้อง ฯ
      แล้วเร่งรีบไปพ้นตำบลวัดโทมนัสง่วงเหงาทรวงเศร้าหมอง
ถึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อนกายไม่วายตรองแสนคะนึงถึงน้องนองน้ำตา
ทั้งสองฟากถนนล้วนต้นไม้ดูคว้าไขว่สับสนต้นพฤกษา
ต้นตะโกโพไทรไม้พุทรากระดังงาหว้ากุ่มมะรุมมะระ
ทั้งแคข่อยกุ่มน้ำประคำไก่ต้นขุดไทรไม้สมอตอตะกะ
ทั้งเถาวัลย์พันต้นเข้าปนคละสกุณะอาศัยอยู่ในนั้น
เห็นนกเขาเคล้าเคลียตัวเมียแอบนกผู้แนบคลึงคู่บ้างคูขัน
โอ้ปักษายังรู้จักร่วมรักกันบ้างโผผันตามเล่ห์ประเพณี
ซึ่งเรื่องราวตัณหานี้กล้าแข็งเรี่ยวแรงมากนักหนากว่ายักษี
ไม่ว่ามนุษย์ครุฑาวาสุกรีก็ย่อมมีตัณหาไม่ว่าใคร
เหมือนกำปั่นที่รับจ้างกลางกระแสทั้งเรือแพฉุดกระชากลากมาได้
ทั้งเรือใหญ่เรือน้อยผูกห้อยไปทนไม่ไหวลอยตามมาหลามคลอง
ฉันใดอุปไมยเหมือนตัณหาแรงหนักหนาโลกนี้ไม่มีสอง
ท่านที่มีสติจงตริตรองด้วยเป็นของลึกลับคับอุรา
สมเด็จพระชินศรีโมลีโลกเห็นทุกข์โศกแท้เที่ยงไม่เดียงสา
จึงทรงสร้างข้างธุระพระนิพพาน์ปรารถนาสร้างกุศลให้พ้นภัย ฯ
      ถึงท่ายางมียางอยู่ข้างตลิ่งทั้งรากกิ่งดูเกะกะออกไสว
ล้มไปขวางกลางกระแสเห็นแต่ไกลเขาว่าไม้ใกล้ฝั่งเป็นดังนี้
เปรียบเหมือนคนที่ชแรแก่ชราเกือบถึงความมรณาไปเมืองผี
ก็เห็นจริงแล้วหนอซึ่งข้อนี้จรลีเห็นศาลาที่ท่าโพ ฯ
      ถึงสถานบ้านนายจูเป็นผู้คุมดูพากภูมิน่าสนุกเป็นสุโข
อันเคหาเหมือนพระยาที่โตโตดูเอี่ยมโอ่เป็นสง่าฝากระดาน
เมียก็สาวรูปก็สวยรวยทั้งทรัพย์ดูคั่งคับมากมายหลายสถาน
ทั้งม้าลาข้าคนก็อลหม่านแสนสำราญบุญนำท่านทำมา
ทั้งเมียน้อยเมียหลวงไม่หวงหึงไม่โกรธขึ้งดีแท้เจียวแม่จ๋า
เหมือนพี่น้องท้องเดียวกันไม่ฉันทาแม้นเราหาได้อย่างนี้จะดีครัน
จะได้ปกได้ครองเป็นสองฝ่ายไม่หนีหน่ายแก้วตาจนอาสัญ
แต่นายจูเมียใจดีไม่ดุดันแต่เมียฉันยอดหญิงจริงจริงเจียว
ฉันตามนายไปได้นางต่างประเทศพอรู้เหตุโกรธาจนตาเขียว
อยากให้พี่มีเมียเสียคนเดียวเฝ้ากราดเกรี้ยวกลัวหาไว้มาเชย
หล่อนสั่งแล้วสั่งเล่าเฝ้าแต่สั่งว่าทีหลังแล้วอย่ามีเลยพี่เอ๋ย
ซึ่งเมียใหม่แล้วอย่าหานั้นมาเลยหล่อนภิเปรยวอนว่าสารพัน
แล้วแวะเข้าหยุดนั่งยังศาลาพอหายเหนื่อยเมื่อยล้าเกษมสันต์
ทั้งหญิงชายมากหนักหนาที่ท่านั้นดูผิวพรรณโสภณเหมือนคนใน
ที่รุ่นรุ่นชันษาสิบห้าสิบหกพอเต็มอกเดินเขยื้อนสะเทือนไหว
พอสบตาดูเหมือนมาเตือนใจบ้างเดินไปเดินมาหลายนารี
บ้างก็ดำขำขาวสาวสวยสวยถ้าแม้นฉวยได้สุดาจะพาหนี
ไปให้ถึงพลับพลาท่ากบชีนายเรามีแม้นตามพบได้รบกัน
นั่งบ่นบ้าตามภาษาที่รักเขาสันดานเมาใครจะเป็นดังเช่นฉัน
แต่รักเดียวเจียวหายใจจะไม่ทันถ้าแม้นดันเข้าเป็นสองจะต้องโซ ฯ
      บนศาลามีธรรมาสน์อาสนะมีรูปพระพุทธพงศ์หลายองค์โข
พระทรงญาณยอดมงกุฏสัมพุทโธเป็นยอดโมลีจบภพไตร
เขาเขียนเมื่อพระองค์ทรงประชวรให้ปวดป่วนหม่นหมองไม่ผ่องใส
พระอานนท์แนบข้างไม่ห่างไกลถัดลงไปล้วนพระสงฆ์ทรงศีลา
จนถึงพระชินศรีเข้านิพพานน่าสงสารเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนา
พระสาวกฟูมฟายฟายน้ำตาทั้งพระอานนท์น้องของพระองค์
พระมหากัสสปอภิวาทน์ฝ่ายพระบาททั้งสองที่ต้องประสงค์
บันดาลออกมาได้ดังใจจงโอ้พระองค์สู่พารานิพพานัง
เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าสัตว์ผู้ยากจะพ้นจากติดคุกคือทุกขัง
ก็หรือว่าพระองค์ทรงเกลียดชังไม่โปรดสัตว์ข้างหลังให้พ้นภัย
พระยอดญาณเข้านิพพานไปเสียก่อนฝูงสัตว์ร้อนหม่นหมองไม่ผ่องใส
ถ้าแม้นว่าพระองค์อยู่ค่อยชูใจคงจะได้พ้นเขตกิเลสมาร
ถ้าเกิดทันฉันจะทูลพระทศพลให้อยู่จนครบห้าพันเหมือนบรรหาร
ได้โปรดสัตว์หญิงชายสบายบานแล้วจะเข้านิพพานตามพระทัย ฯ
      ฉันยกหัตถ์วันทาพระนาโถจากศาลาท่าโพหาช้าไม่
ถึงตะพานข้ามกระแสแลวิไลแม้นจะไปวัดไม้รวกสะดวกดาย
มีเรือนบ้านร้านเจ๊กขายเล็กน้อยทั้งกล้วยอ้อยของหวานตั้งร้านขาย
ทั้งลูกเมียพร้อมหน้าท่าสบายแล้วผันผายเข้าตรอกจึงออกทาง ฯ
      พอถึงวัดท่าไชยอยู่ในป่าอันวัดวานั้นไซร้ก็ใหญ่กว้าง
ดูน่ากลัวร้อยแปดทั้งแรดช้างทั้งเสือสางข้างอารามงามจะมี
ถึงนามวัดน่าอัศจรรย์ใจชื่อท่าไชยได้มีไชยเมื่อไรนี่
หรือว่าใครรบรอต่อตีรบกันมาถึงนี่จึงมีไชย
อยากจะถามใครดูให้รู้ชัดว่านามวัดนี้ตั้งแต่ครั้งไหน
คนนับถือลือชามาแต่ไรทำไฉนจะได้รู้แต่บูราณ
สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดชซึ่งโปรดเกศร่มเกล้าเจ้าสถาน
ยังเสวยตามจริตกิจโบราณชลธารที่หน้าวัดท่าไชย ฯ
      แล้วก็รีบจรดลพ้นอาวาสล่วงลินลาศมรรคาหาช้าไม่
ถึงสมอพลือพลันในทันใดแลวิไลสองข้างหนทางจร
ทั้งเหย้าเรือนเกลื่อนกล่นคนไม่น้อยดูหลายร้อยเซ็งแซ่แลสลอน
บ้างปลูกฝังตั้งเคหาเคียงสาครถึงหน้าร้อนลงท่าน่าสบาย
พวกชาวบ้านสมอพลือเขาลือว่าหล่อนทอผ้าว่องไวดีใจหาย
คิดละห้อยละเหี่ยนึกเสียดายแม้นโฉมฉายหล่อนมาจะพาจร
จะแวะเข้าซื้อหาสักห้าผืนให้งามชื่นนุ่งสมอารมณ์สมร
เก็บไว้ให้แม่หนูนุ่งดูละครนี่งามงอนมิได้มายิ่งอาลัย
เห็นสาวสาวชาวบ้านประมาณมากฉันไม่อยากที่จะคิดพิศมัย
ถึงจะสวยน่าสงสารสักปานใดมายกให้เปล่าเปล่าไม่เอาเลย
จะขออยู่สู้ตายกับสายสวาทไม่นิราศแรมร้างห่างเขนย
ในชาตินี้แล้วไม่อยากไปจากเชยถึงใครงามก็ไม่เงยดูหน้าตา
เดินพลางครวญพลางตามทางหลวงใจเป็นห่วงถึงมิตรกนิษฐา
วันนี้มาจากกันกับขวัญตาไม่ทันลานิ่มนุชสุดอาลัย
ด้วยว่าอยู่ต่างบ้านนานนานปะไม่ทันจะเล่าแจ้งแถลงไข
จงคอยอยู่จงดีอย่ามีภัยจงตั้งใจไว้ท่าอย่าราคี ฯ
      ถึงมะขามสาแหรกขาดให้หวาดหวามใครหาบหามของอะไรที่ไหนนี่
สาแหรกจึงขาดลงที่ตรงนี้เหตุคงมีเราไม่รู้แต่บูราณ
มีมะขามสามต้นคนอาศัยดูโตใหญ่สาขาพฤกษาสาร
คนแต่ก่อนเห็นมานั้นช้านานจะประมาณมิใช่น้อยหลายร้อยปี ฯ
      ออกจากมะขามสาแหรกขาดคลาดแคล้วไปตามแนวแถวทางกลางวิถี
สารพัดพฤกษาบรรดามีทั้งนนทรีต้นมะตูมพุ่งพุงดอ
ทั้งมะกรูดมีอุดมลูกส้มส้าดูก็น่าเสียดายน้ำลายสอ
ยิ่งคิดถึงต้นมะดูกและลูกยอทั้งสมอสมีลูกขี้กา
ทั้งมะดันต้นมะดูกมีลูกดกฝูงวิหคโผผินบินถลา
ที่ลางสัตว์พลัดคู่อยู่เอกาเหมือนเรามาคนเดียวเปลี่ยวใจ
บ้างเฉี่ยวฉาบคาบเหยื่อไปเผื่อบุตรบินรีบรุดจับพฤกษาที่อาศัย
นกกระสากาเหว่าและเขาไฟนกยางใหญ่ไซ้ขนบนต้นยาง
นกแก้วจับแก้วแล้วพูดตลอดเสียงฉอดฉอดไต่ไม้แล้วไซ้หาง
ชมฝูงนกออกเพลินแล้วเดินพลางไปตามทางอรัญด่วนครรไล ฯ
      แวะเข้าบ้านวัดหาดทรายหานายเนตรด้วยจิตเจตน์หิวแหบให้แสบไส้
แล้วก็ด่วนจรจรัลขึ้นบันไดจึงขึ้นไปหาเพื่อนไม่เชือนแช
นายเนตรจึงถามว่ามาวันนี้ธุระมีจะไปข้างไหนแน่
ตะพายดาบใส่เสื้อเนื้อเหมือนแพรนี่มาแต่ผู้เดียวหรือกี่คน
ฉันจึงตอบคำแถลงแจ้งกระจ่างจะไปเขาลูกช้างกลางไพรสณฑ์
ทางไกลไม่รู้จักใครสักคนเป็นความจนจำใจต้องไคลคลา
แต่เมียเพื่อนใจดีเป็นที่สุดจึงรีบรุดรู้ว่าแสบท้องมองดูหน้า
จึงหยิบชามคดข้าวแล้วเผาปลาทั้งผักหญ้าใส่ชามของตามมี
แล้วจึงยกสำรับเครื่องกับข้าวไปซื้อเหล้ามาพอไวหนอจี๋
กลับมาเชิญให้รับทานก้มกรานดีดูท่วงทีเขาชำนาญการนักเลง
ต่างคนต่างก็รินกินสุราทั้งข้าวปลาใส่กันนุงจนพุงเขลง
ข้างนายเนตรนั้นคนองนั่งร้องเพลงดูครื้นเครงเหมือนพวกพลคนสักพัน
กำลังหิวรับประทานอาหารจุเหมือนเขาว่ายัดพลุยัดจังหัน
พออิ่มหนำสำเร็จสรรพเสร็จพลันแต่ฝ่ายฉันลสเพื่อนลงเรือนไป ฯ
      ข้ามสะพานย่านวัดลัดออกทางพอถึงกลางทางหลวงก็จำได้
ด้วยแต่เดิมที่นี่มีต้นไทรฉันเคยไปเที่ยวเล่นเป็นเจ้าชู้
เมื่อคราวนั้นขวัญใจอ่อนไปหึงโกรธขึ้งด่าว่าน่าอดสู
หล่อนทำหน้าตาขึงขึ้นมึงกูฉันอดสูที่จะห้ามต้องตามใจ
ไปปดข้างหนึ่งว่าข้าตัวเปล่าให้สร้อยเศร้าด้วยไม่มีที่อาศัย
มาวันหนึ่งแจ่มจันทร์ดันขึ้นไปเขาจับได้ว่าเราปดสดสดร้อนร้อน
ตั้งแต่นั้นฉันไซร้ไม่ไปอีกสู้หลบหลีกมิให้พบสบสมร
น่าเสียดายสุดาพังงางอนด้วยว่านอนกอดกันได้วันเดียว
ถึงว่าชาวบ้านนอกก็ออกรสฉันลองซดอ่อนเค็มแต่เต็มเปรี้ยว
แต่ท่าทางข้างจะชมไม่กลมเกลียวไม่ลดเลี้ยวซื่อราวกับลาวตาย ฯ
      เดินครรไลไปพ้นตำบลนั้นพระสุรนิยันส่องโอฆโลกทั้งหลาย
แสงสว่างสอดส่องมาต้องกายแล้วผันผายถึงท่าเสนพอเพลพลัน
เสียงระเบ็งเส็งแซ่พวกแม่ค้าเสียงจ๊ะจ๋าฟังคารมดูคมสัน
บ้างก็ซื้อบ้างก็ขายแจกจ่ายกันเสียงสนั่นล้วนสาวสาวพวกชาวดอน
ร้านขายของสองแถวข้างแนวท่าล้วนแม่ค้าชาวบ้านนออกออกสลอน
นางคนหนึ่งขายดอกแคดูแลงอนทั้งกะท้อนลูกใหญ่สองใบฬส
ทั้งแตงกวาแตงไทยใบโตโตแต่แตงโมถามราคาไม่น่าจด
ถึงเจ้าของมองดูท่าไม่น่าซดสัปรดนั้นค่อยถูกลูกละไพ
ยังร้อนหนึ่งเจ้าของสวยขายกล้วยทอดเจ้าของหยอดไม่ค่อยทันซื้อกันไขว่
ซื้อก็ง่ายขายก็ดีมีกำไรหล่อนมีไฝอยู่แก้มขาวนัยน์ตาคม
ทำไฉนจึงจะได้แม่ดวงแขฉันกลัวแต่คิดไปจะไม่สม
นางคนหนึ่งกิริยาก็น่าชมขายมะยมลำใยมะไฟมะเฟือง
ทั้งมะกรูดมะนาวมะพร้าวสวนมะม่วงพรวนมะซางมะปรางเหลือง
ฝ่ายแม่ค้าเรือใหญ่ที่ในเมืองขนกันเนื่องรีบรี่ไม่รีรอ
ทั้งโรงบ่อนโรงสุราโรงอาเพี่ยนแม้นใครเงี่ยนแล้วคงหายน้ำลายสอ
พวกนักเลงเล่นเบี้ยเสียกันพอถึงจะอ๋อจะเหม็งต้องเจ๊งมัน
ที่นักเลงกินเหล้าเมาออกเกเที่ยวเดินเซมองดูเล่นก็เห็นขัน
แสนสนุกหนักหนาที่ท่านั้นทั้งผู้คนนับพันเหมือนสัญญา
เจ๊กหมื่นพัฒน์นัดไก่ไว้ในบ่อนมีละครเรื่องขุนแผนที่แสนกล้า
เมื่อขุนช้างทูลฉลองร้องฎีกาจนถึงฆ่าวันทองคนสองใจ
ฉันดูดูละครให้ร้อนจิตถ้าแม้นมิตรเหมือนวันทองที่ผ่องใส
จะอยู่เขาลูกช้างในกลางไพรไม่กลับไปพิศวาทแล้วชาตินี้
ครั้นจะร่ำรำพันนั้นให้หมดขี้เกียจจดกล่าวกล่อนอักษรศรี
ใช่มาเที่ยวเป็นเจ้าชู้เชื้อผู้ดีธุระมีมุ่งมาดไปราชการ ฯ
      ออกจากท่าเสนพลันรีบผันผายไม่เหือดหายถึงอนงค์แสนสงสาร
แกล้งทำเฉยเลยตรงเข้าดงตาลสูงเกินการคนขึ้นได้เด็ดใจจริง
ที่ลางคนนักเลงร้องเพลงเหนือเขาว่าเมื่อไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
ฟังสำเนียงร้องเพลงวังเวงจริงเสียงหริ่งหริ่งหยุดฟังเหลียวหลังแล
แล้วเอ่ยเมื่อพระจันทโครบเปิดผอบเห็นโมราหน้าเหมือนแข
ก็พอเกิดอัศจรรย์กันจอแจกระต่ายแตตกใจกันใหญ่โต
จนพระจันทโครบไปพบโจรมันเผ่นโผนเห็นโมราท่าจะโผ
ล้วนแต่พวกโจราใจพาโลในมะโนมัวเมาเป็นเค้ามูล
ฝ่ายโมราตาโปนรักโจรป่าแพศยาใจร้ายไม่หายสูญ
ใจเอ๋ยใจสตรีไม่มีตระกูลไม่เพิ่มพูนอุปมาเช่นกากี
ผัวเขารักหนักหนาถึงสาหัสควรหรือตัดรักได้คนใจผี
เลือดในกายยังให้นางต่างวารีไม่ควรที่กลับกลอกมานอกใจ
ผัวก็ตายนายโจรนั้นก็จากระยำยากเอกาอยู่ป่าใหญ่
แล้วร้อนถึงแท่นอาสน์สหัสนัยน์จึงสาปให้รูปร่างเป็นนางชะนี
เพราะหญิงร้ายรักชายไม่เลือกหน้าใครได้มาเป็นเมียเสียราศี
จะพาตัวชั่วช้าเป็นราคีสิ้นชีวีกองกรรมจะนำตน
ขึ้นต้นงิ้วยมบาลท่านไม่หยอกแทงด้วยหอกทองแดงแสยงขน
เพราะทำชั่วจึงตัวไปทุกข์ทนกว่าจะพ้นทรมาน์นั้นช้านาน
ถ้าหญิงดีมีชื่อซื้อต่อผัวจะพาตัวไปพ้นวนสงสาร
พอดับจิตดวงใจไปนิพพานแสนสำราญพ้นภัยในอนา ฯ
      แล้วด่วนเดินไปพ้นคนขึ้นตาลตำบลบ้านเหล่านี้มีหนักหนา
ข้างซ้ายมือมองมุ่งเห็นทุ่งนาซีกข้างขวาแม้นจะแลเห็นแม่น้ำ
ฟากกระโน้นชื่อว่าศาลาหมูสีฟากข้างนี้มีสาวสาวขาวขาวขำ
ทั้งรูปร่างน่ารักลงตักน้ำห่มแพรดำดอกเด่นมองเป็นมัน ฯ
      ถึงท่ามะพูดโบราณว่าชื่อหมาพูดชันสูตรก็ได้จริงทุกสิ่งสรรพ์
เดิมยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนั้นมีทรัพย์นับพันทั้งวัวควาย
แต่ตัวของเศรษฐีตระหนี่เหนียวแห้งเหี่ยวเกินการประมาณหมาย
ชั้นจะกินเข้าไปที่ในกายคิดเสียดายกลัวจะเปลืองชั้นเฟื้องไพ
มาวันหนึ่งไปซื้อปลาจาระเม็ดชั้นก้างเกล็ดหาลงมาถึงหมาไม่
ฝ่ายสุนัขคอยอยู่นานรำคาญใจหมายจะได้ก้างปลาหาไม่มี
แต่คอยแล้วคอยเล่าจนเขาเสร็จสุนัขเด็ดออกจากบ้านท่านเศรษฐี
มาหยุดพูดนินทาที่ท่านี้ว่าเศรษฐีขี้เหนียวเจียวใจคอ
จะเท็จจริงนั้นก็อยู่กับผู้เล่าข้าพเจ้ามิได้หลอกใครดอกหนอ
แล้วเร่งรีบจรลีไม่รีรอเหมือนม้าห้อเร็วรัดเทียมทัดลม
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้านก็ขี้คร้านหลีกลัดตัดประสม
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดมล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง ฯ
             

      พอถึงท่าศาลามีท่ากระแสฉันแลแลพระอารามงามขึงขัง
น่าสนุกตามภาษาวัดป่ารังเต็มไปทั้งทั่ววัดดูอัดแอ
ทั้งพระสงฆ์สามเณรและเถนเฒ่าฟังเสียงเล่าสวดมนตร์บ่นกันแซ่
ทั้งลูกศิษย์หนุ่มตะกอออกจอแจเสียงเซ็งแซ่เคียงข้างหนทางจร
เข้าในวัดทัศนาพระอาวาสรุกขชาติสับสนต้นสลอน
สารภีพิกุลยี่สุ่นซ้อนต้นกระท้อนละมุดทั้งพุทรา
ต้นพะยอมหอมกรุ่นดอกบุนนากของหายากเห็นไม่มีที่จะหา
ดอกลำดวนต้นกระสังกระดังงามะลิลามะลิวัลย์อัญชันซ้อน
ทั้งสาวหยุดพุดลาการเกดหอมวิเศษดูที่มีเกสร
ทั้งไทรสนต้นกระถินกลิ่นขจรทั้งพุดซ้อนถันวิฬาร์นขานาง
ต้นกาหลงชงโคโยทะกาหงอนไก่ฟ้ามีดอกออกสล้าง
ทั้งเกดแก้วกรรณิการ์สารพางค์มีต่างต่างน่าพินิจพิศดู
ของดีดีมีถ้วนล้วนบุปผาดกหนักหนาน่าชมดมทัดหู
วายุพัดหอมระเหยน่าเชยชูแมลงผึ้งคลึงวู่แมงภู่ทอง
เข้าคลึงเคล้าเอาชาติสาโรชเสียงอุโฆษหึ่งหึ่งเอ็ดอึงก้อง
บ้างร่วงโรยโปรยปรายลงก่ายกองใครไม่ต้องปรารถนาบุปผาโรย
ฉันใดอุปไมยเหมือนนารีแม้นเสียศรีซีดรูปทรงซูบโหย
ถึงจะเหมาะจะงามเมื่อยามโรยนึกจะเชยแล้วก็โชยไม่แวะชาย
เสาวคนธ์มณฑาผกาเมศแม้นวิเศษแล้วคงจะปลงหมาย
อุปไมยใจมนุษย์บุรุษชายก็มาดหมายแต่ที่งามอร่ามตา
เข้าไปเที่ยวเลี้ยวออกมานอกวัดตั้งรีบรัดทางจะไปไกลนักหนา
ทั้งร้อนแสงสุริยงส่องลงมาพื้นสุธาเหยียบไม่ลงเป็นผงคลี
ทั้งร้อนล่างร้อนบนทนไม่ไหวเหมือนเหยียบไฟในเตามาเผาจี่
เดชะบุญจำเพาะคราวเคราะห์ดีเพื่อนมีร่มกางพอบางเบา ฯ
      ถึงคลองยอมีพลับพลาคอยท่าเสด็จยังไม่เสร็จดูกำลังพึ่งตั้งเสา
ที่ติดกลอนไปพลางบ้างก็เกลาบ้างก็เข้าพงไพรหาไม้มา
บ้างก็ปราบปัถพีที่โกกเกกล้วนพวกเลกคึกคักมากนักหนา
คนที่เป็นนายหมวดเที่ยวตรวจตราหมายจะหาความชอบบอบระบม ฯ
      แล้วออกจากคลองยอไม่รอราคิดขึ้นมาถึงความรักยังหมักหมม
นั้งอยู่หลังพี่ตั้งแต่ทุกข์ระทมกลัวถูกลมลูกยอเขาปร๋อไป
แต่เสาหินแปดศอกตอกเป็นหลักไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
ถ้อยบุรำคำบุราณ์ท่านว่าไว้เหมือนใบไม้ลมต้องจ้องจะปลิว
ซึ่งว่านี้เห็นมีแต่หญิงอื่นอันงามชื่นของฉันไม่แล่นไปฉิว
แต่จอมขวัญฉันมิใช่ใจปลาซิวไม่บิดพลิ้วใจของน้องไม่สองใจ
เมื่อเดือนยี่ปีระกาเขามาขอชั้นแม่พ่อพรั่งพร้อมยอมยกให้
เว้นเสียแต่โฉมยงไม่ปลงใจเพราะรักใคร่ในพี่ไมตรีตรง
เป็นความจริงกระบวนใจใช่จะอวดดียิ่งยวดอุปไมยเหมือนใจสงฆ์
พูดคำไหนคำนั้นดูมั่นคงใครยุยงหล่อนไม่เชื่อยังเยื่อใย
เพราะเท่านั้นฉันจึงรักนั้นหนักหนาไม่ทิ้งขว้างร้างอย่าจนตกษัย
มิได้คิดนอกน้องเป็นสองใจถึงมีใหม่ก็ไม่เหมือนแม่เพื่อนเชย
แต่มีเมียหลายคนเกือบจนแก่ไม่เหลือแม่รูปทองเลยน้องเอ๋ย
ทั้งนี้ก็เพราะบุญได้คุ้นเคยขอให้เกยกอดกันจนวันตาย ฯ
      เดินไปตามมรรคาถึงท่ามะเกลือคนข้างเหนือเขาเอาของมากองขาย
เป็นลาวแท้แต่ไม่นุ่งผ้าถุงลายเขาเฉิดฉายลักขณาไม่ราคิน
จะพิศไหนดูวิไลดังอัปสรช่างงามงอนล้ำเลิศโฉมเฉิดฉิน
ในใต้หล้าจะหาเปรียบเทียบยุพินถึงเมืองอินทร์ก็ไม่เทียบเปรียบสุดา
ท่ามะเกลือมะเกลือมีที่นี้หรือฉันขอซื้อให้เนื้อหอมหล่อนย้อมผ้า
ไม่เห็นผลต้นมะเกลือเหลือปัญญาเห็นพฤกษาอื่นอื่นดาษดื่นไป ฯ
      ถึงท่ากระเทียมมีหนทางกว้างนักหนาเป็นทางตรงลงชลาคนอาศัย
ข้างพวกเกวียนเข็นส่งเดินตรงไปจนถึงในท้องท่าริมวารี
ทั้งเกวียนวัวเกวียนควายหลายสถานเขาทำการหากินตามถิ่นที่
พวกสาวสาวชาวป่ามาก็มีดูกายีม่ต้อเหมือนตอตะโก
ชั้นท่วงทีกิริยาไม่น่าเกี่ยวเนื้อหนังเขียวขี้ไคลพอกออกเหม็นโฉ่
ของอื่นอื่นไม่น่าชมแต่นมโตสักเท่าโถขนาดใหญ่ที่ใส่แกง
ฉันผลัดผ้าอาบน้ำดำศีรษะใครอุระเร่าร้อนดังศรแผลง
พอถูกน้ำเข้าหน่อยค่อยมีแรงหายร้อนแสงพระอาทิตย์ฤทธิรงค์
กระแสใสไหลเชี่ยวเหมือนเกลียวคลื่นตามภาคพื้นน่าพินิจพิศวง
ฉันลองยืนดูหน่อยไม่ค่อยตรงน้ำนั้นวงเวียนรอบขอบหาดทราย
ดูหมดเพราะเปรียบเหมือนเกาะกลางสมุทรมัจฉาผุดตามวลชลสาย
มองเห็นหมดกดกาแลปลากรายปลาเวียนว่ายเล่นชลตามวนวัง
ฝูงปักษากาเหยี่ยวคอยเฉี่ยวฉาบบ้างก็คาบได้สมอารมณ์หวัง
ครั้นได้เหยื่อยังไม่กินบินไปรังลางตัวยังเที่ยวหามัจฉากิน
ฉันขึ้นมาจากท่าผลัดผ้านุ่งแล้วหมายมุ่งรีบไปในไพรสิณฑ์
คนึงนึกถึงสุดายุพาพินไม่เสื่อมสิ้นความวิตกในอกเลย
ถึงตัวไปใจอยู่เป็นคู่เคล้าแต่ใจเจ้าพี่ไม่แจ้งหรือแกล้งเฉย
พี่ทุกข์ร้อนดังว่านอนบนหนามเตยมาจากเชยไม่มีชื่นทุกคืนวัน ฯ
      ประเดี๋ยวใจไปปะเลกพระพลทำถนนถางทางกลางไพรสัณฑ์
บ้างก็ขุดบ้างก็เข้าทึ้งเถาวัลย์บ้างก็ฟันไม้ตายออกรายเรียง
ท่านหลวงรามงามสง่าปัญญายงเหมือนหวังตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง
ท่านหลวงยงบ้านอาสาปัญญาเพียงเสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ
เป็นที่สองรองพระพลกุมพลมากต้องเหนื่อยยากก็หน่อเนื้อเชื้อทหาร
ครั้นแผ่นดินในพระโกศย่อมโปรดปรานเคยชำนาญการป่าพนาลี
ต้องเป่าร้องให้เจ้าของที่ช่วยถางให้กว้างขวางเรียบราบปราบหน้าที่
แม้นมิทันเสด็จเฆี่ยนเจ็ดทีเจ้าของที่รีบร้อนไม่นอนใจ
พ้นจากนั่นผันผายเดินหมายมุ่งถึงท่าพุ่งร้อนเหลือจนเหงื่อไหล
ร้อนข้างนอกยังมิหนำซ้ำร้อนในร้อนทั้งใจร้อนจิตระอิดระอา
อันร้อนอื่นแล้วเห็นพอเย็นได้อันร้อนใจฉันไม่เย็นเลยหนา
ฉันร้อนใจด้วยว่าไกลสุดามาไม่เห็นหน้าวันหนึ่งเหมือนครึ่งปี
พระอภัยสุริวงศ์เมื่อหลงรูปไม่โศกซูบหมองมัวเหมือนตัวพี่
หลงของใครที่ไหนมั่งเหมือนดังนี้ไม่เหมือนพี่เจาะจงเฝ้าหลงน้อง
ทำไฉนขวัญใจจะทราบเหตุขอเทเวศนำยุบลที่หม่นหมอง
ให้เนื้อเย็นเห็นจริงอย่ากริ่งกรองช่วยบอกน้องให้แจ้งอย่าแคลงใจ ฯ
      ถึงท่าคอยน้องหล่อนคอยพี่คอยอยู่นี่หรือคอยอยู่ไหนไหน
ออกมาหาฉันหน่อยเถิดกลอยใจเชิญมาไปเพื่อนพี่ทีเถิดนาง
แต่เฝ้าเรียกสักเท่าไรก็ไม่พบไม่ประสบพักตร์น้องยิ่งหมองหมาง
แล้วก็เร่งรีบร้นตามหนทางไห้ครวญครางไปในป่าพนาลี ฯ
      ถึงท่าข้ามไม่รู้ว่าชื่อท่าข้ามพบคนถามเขาดอกจึงบอกพี่
ว่าตำแหน่งแห่งตำบลนี้บ้านนั้นมีหลายเรือนกลาดเกลื่อนไป
ฉันจึงถามหนทางไปข้างหน้าเขาบอกว่าไม่มีบ้านเป็นย่านใหญ่
ได้ยินบอกมรรคาข้างหน้าไปให้ตันใจอัดอ้นด้วยคนเดียว
ด้วยทางใหม่ทำไปเพียงท่าข้ามต้องเดินตามทางเก่าให้เปล่าเปลี่ยว
ด้วยหนทางนั้นก็คดหลายลดเลี้ยวให้เสียวเสียวด้วยกลัวเสือฉีกเนื้อกิน
ไหนจะกลัวหลงหนทางในกลางป่าจะผินหน้าถามใครในไพรสิณฑ์
มีแต่สัตว์กับป่าฟ้าและดินให้วิ่นวิ่นหวาดหวั่นพรั่นวิญญาณ์
เหมือนมีผู้เตือนใจกลับได้ยินว่าติฉินใจเอ๋ยใจกระไรหนา
ช่างกลัวตายใช่ชายที่ปรีชาเราจะอยู่ค้ำฟ้าหรือว่าไร
จะตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่งเวลาถึงเข้าแล้วหาแคล้วไม่
เอาคุณพระเป็นที่พึ่งตะบึงไปถึงบรรลัยคงสบายเมื่อปลายมือ
แล้วกล้ำกลืนฝืนอารมณ์ชมฝูงสัตว์บ้างหลีกลัดกลัวจะยิงเที่ยววิ่งตื๋อ
ฉันก็พลอยเพิดประจบไล่ตบมือเสียงฮือฮือไม่รอหน้าเข้าป่าไป
มีหลายอย่างกวางทรายกระต่ายตุ่นทั้งลิงจุ่นรอกกระแตตุ๊กแกไก่
ฝูงหมีเม่นหมูป่าแลหมาไนจิ้งจอกไล่กัดอ้ายเก้งครืนเครงครัน
โคกระทิงวิ่งปรื๋อถือว่าเสือน่ากลัวเหลือตกใจไม่มีขวัญ
ไหนชีวิตจะรอดตลอดวันจะด้นดั้นไปแห่งใดด้วยไม่เคย
จึงเดินเข้าไปใกล้มิใช่เสือเห็นฝูงเนื้อยืนเป็นกองเจียวน้องเอ๋ย
ตัวของพี่ดีใจกระไรเลยเหมือนได้เชยชมนางเมื่อกลางคืน
แสนวิตกอกจะครากด้วยอยากน้ำจนหน้าดำเหลือปัญญาจะฝ่าฝืน
แทบจะวายชีวังลงทั้งยืนสะอึกสะอื้นอาวรณ์ด้วยอ่อนแรง
เที่ยวดั้นด้นค้นหากระแสศรีไม่เห็นมีน้ำสักหน่อยคอหอยแห้ง
ด้วยเดือนสี่เดือนห้าเป็นหน้าแล้งน้ำจึงแห้งหายากลำบากครัน
ได้ยินคนงุมงุมในพุ่มรกยากวิตกค่อยคลายหายโศกศัลย์
แวะเข้าไปถามทางกลางอรัญเห็นคนนั้นตักน้ำในลำธาร
กำลังอยากดีใจดังได้แก้วพออิ่มแล้วปรีเปรมเกษมศานต์
แล้วจึงมีวาจาไม่ช้านานรับประทานได้การุณเถิดคุณตา
ตำบลนี้มีชื่อหรือหาไม่เขาเรียกบ้านอะไรไฉนหนา
ฝ่ายตาเฒ่าเล่าแถลงแจ้งกิจจาเขาเรียก(ว่า)บ้านกระจับตั้งกัปกัลป์
คนเดินทางไปมาหยุดอาศัยดูยาวใหญ่เหมือนตะโลโตมหันต์
เป็นเซิงซุ้มพุ่มพฤกษาลดาวัลย์แสงตะวันมิได้ส่องมาต้องชล
ในวารีเห็นจะมีจระเข้คาดคะเนเห็นไม่ผิดคิดฉงน
ชาติตะเข้ใจเสือฉันเหลือทนไม่ว่าคนว่าสัตว์มันกัดยับ
ครั้นจะชมให้ทั่วกลัวจระเข้ฉันเดินเร่ออกจากย่านบ้านกระจับ
เดินไปตามทางหลวงค่อยล่วงลับถ้าจะนับมรรคาทางกว่าร้อย ฯ
      พอถึงท่าไม้รวกพบพวกแพออกเซ็งแซ่อยากหยุดพักเสียสักหน่อย
หลัวจะช้าอย่าเลยนะหยุดตะบอยตะวันคล้อยกลัวจะค่ำหยุดร่ำไร ฯ
      ถึงบ่อตะกั่วดีใจอยากได้ตะกั่วเที่ยวหาทั่วไม่เห็นมีอยู่ที่ไหน
เป็นแต่นามชื่อหรือว่าไรก็เรียกไปตามกันทุกวันมา
ทั้งโรงเรือนมีรายรายอยู่ท้ายทุ่งเป็นเวิ้งวุ้งอยู่กลางป่า
คนบ้านนั้นเขาชำนาญในการนาเขาขุดดินกินหญ้าประสาจน
บ้างก็ทำไร่ยากัญชาด้วยสาวสวยสวยน่ารักเป็นพักผล
อยากมีเมียชาวไร่ไว้สักคนถึงยากจนเอาไว้เพื่อไปมา
ของดีดีมีขายอยู่หลายสิ่งเป็นความจริงฉันไซร้ไม่มุสา
ฉันจะรำพันนั้นนักก็ชักช้าแล้วตั้งหน้าถอนถีบรีบตะบึง ฯ
      ฉันก็เดินไปพ้นตำบลนั้นยังไกลครันเดินเท่าไรไม่ใคร่ถึง
อันหนทางไกลกรึกยังลึกซึ้งประเดี๋ยวถึงทุกแฝกละแวกดง
มีพลับพลาที่สำหรับประทับเย็นน่านั่งเล่นควรพินิจพิศวง
มี่ค่ายรอบขอบคันดูมั่นคงทั้งห้องสรงนั้นก็มีมู่ลี่บัง
เครื่องสำหรับกษัตริย์จัดไว้เสร็จคอยเสด็จรับองค์พระทรงสังข์
แลวิไลในมนุษย์อุตมังอนันตังดูอเนกวิเวกตา
ก็เพื่อเพราะบุญญามหากษัตริย์มีผู้จัดเรียบร้อยไว้คอยท่า
คุณหลวงวิชิตภักดีท่าปรีชาทำพลับพลาวางแผนที่ดีสุดใจ
แม้นสำเร็จเสด็จมาก็น่าโปรดคงสูงโสดสมศักดิ์พักตร์ผ่องใส
ขอให้มียศศักดิ์หนักขึ้นไปทั้งน้ำใจก็ดีมีปัญญา
คนอยากเข้าเป็นข้าสามิภักดิ์ท่านก็รับชุบเลี้ยงไม่เดียงสา
ทั้งนอกเมืองในเมืองเลื่องลือชาขอชันษาท่านอย่างน้อยสักร้อยปี ฯ
      แล้วออกจากทุ่งแฝกทางแยกย้ายต้องเลี้ยวซ้ายไปตามทางกลางวิถี
พอถึงท่าซิกพลันเข้าทันทีด่วนรีบรี่ถึงระยะภุชะคราม
มีศาลเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ในดวงจิตเต้นตึกยิ่งนึกขาม
มีรูปเจว็ดตั้งท่าสง่างามราวกับรูปพระรามเมื่อตามกวาง ฯ
      ยังมิทันหายกลัวถึงหัวตะเข้ฉันเดินเร่รีบไปเสียให้ห่าง
ตำบลนี้มีน้ำเป็นลำรางสองข้างทางไม่เห็นมีกุมภีล์ไพร ฯ
      ถึงดงพะยอมตรอมอุราเข้าป่าชัฏเงียบสงัดไปคนเดียวนึกเสียวไส้
จักจั่นร่ำร้องลำลองไนเสียงเรไรเย็นฉ่ำดังน้ำค้าง
จะเหลียวซ้ายแลขวาฟ้าขมัวให้นึกกลัวเสือสีห์ทั้งผีสาง
ไม่มีเลยสักคนตามหนทางให้อ้างว้างว้าเหว่ดูเอกา
เป็นป่าสูงยูงยางสล้างเสลาดูเหมือนเกลาลิดตลอดยอดพฤกษา
รักสำโรงประปรกต้นรกฟ้าเคี่ยมมะค่าข่อยมะขามแคเถาคัน
ทั้งไกรกร่างกรรเกราสะเดามะเดื่อต้นมะเกลือผลดกวิหคหัน
มวงมองโมงมีลูกและมูกมันจิกแจงจันทร์จิงจ้อสมอไทย
ทั้งสักสนต้นฝางมะซางซากประมาณมากจะรำพันนั้นไม่ไหว
ต้นประดูหูกวางยางลำใยมะเฟืองไฟสูงระหงในดงดอน
จะเหลียวซ้ายแลขวาล้วนป่าชัฏใบระบัดแต่ละต้นผลสลอน
บ้างงอกงามตามถิ่นแผ่นดินดอนหอมเกสรสารภภีมะลิวัลย์
ต้นมะรุมกุ่มน้ำประคำไก่อินทผาลำลำใยและไม้หมัน
ต้นพุทราฝรั่งแลอังชันส้มมะดันต้นมะดูกลูกกะดอม
ทั้งเถาคันวัลย์เปรียงพุมเรียงป่าต้นสมีขี้กาสันพร้าหอม
เถานมวัวบัวบกโคกกระออมต้นพะยอมยูงยางกลางอรัญ
ทั้งไม้ดอกไม้ผลหล่นออกกลาดปักษาชาติจิกกินบินถลัน
ดูก็น่าอดิเรกอเนกอนันต์ในดงนั้นพระอาทิตย์มืดมิดเม้น
ด้วยความกลัวตัวจะค้างค่ำกลางป่าสิ้นชีวากลางไพรใครจะเห็น
ไปคนเดียวไม่มีเพื่อนดูเหมือนเย็นถ่อกายเกนกัดฟันด่วนครรไล
แล้วออกจากป่าระหงชื่อดงแฝกอกแทบแตกหิวเกินเดินไม่ไหว
ทั้งบาทาพุพองเป็นหนองในสู้แข็งใจงุ่มง่ามไปตามที ฯ
      พอถึงบ้านเขาเรียกนายายผลมีเรือนคนอยู่ข้างทางวิถี
จึงแวะเข้าไปพลันในทันทีเห็นคนมีดีเรียกไปพลัน
ว่าคุณแม่เจ้าขาทั้งตายายเชิญผันผายลงมาเมตตาฉัน
จงชูช่วยอย่าให้ม้วยซึ่งชีวันจะขอปันอาหารรัปทานมื้อ
แม่จะเอาเท่าไรฉันไม่ว่าจะเมตตาหรือไฉนอย่างไรหือ
ฉันไม่หลอกดอกหนอจงอออือว่ากันมื้อหนึ่งจะเอาสักเท่าไร
เจ้าของบ้านตอบว่าด้วยปรานีเชิญมานี่ข้าวปลาจะหาให้
นึกว่าคนกันเองอย่าเกรงใจจะซื้อหาว่ากระไรไม่ต้องการ
ฉันก็เดินจรดลขึ้นบนเรือนดูก็เหมือนญาติกาทำหน้าด้าน
เขาก็ยกข้าวปลามาให้ทานฉันก็กินอาหารด้วยจานแบน
เครื่องกับข้าวเต่ายำและน้ำพริกของจุกจิกปลามะเขือดีเหลือแสน
ทั้งของจืดของเค็มไม่เต็มแกนดูแม้นแม้นกับเราข้างชาวใน
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระในอุระหม่นหมองค่อยผ่องใส
ครั้นแล้วจึงลาตายายไปจากบันไดเดินออกนอกประตู
พระสุริยนรีบรถเกือบหมดแสงท้องฟ้าแดงแวววูบสีรุบหรู่
เป็นเมฆหมอกออกกลุ้มทั่วชุมพูประมาณครู่หนึ่งมาถึงท่าลาว
จะชมให้ถี่ถ้วนจวนจะค่ำข้างแนวน้ำคนออกกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
มิใช่ว่าไทยเราเขาเป็นลาวเป็นเชื้อชาวบ้านป่าริมวารี ฯ
             

      ฉันก็เร่งรีบเดินเกินท่าลาวเห็นสาวสาวยืนอยู่ไม่สูสี
ถึงตำบลเขาเรียกว่าท่ากบชีนึกยินดีดังได้ไปนิพพาน
เห็นนายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ผ้าดูสง่าอำนาจก็อาจหาญ
ทั้งไทยลาวเกลื่อนกลาดข้าราชการจะประมาณมิใช่น้อยสักร้อยคน
ครั้นถึงจะประณมก้มเกศีอัญชลีแล้วก็นั่งฟังนุสนธ์
นายจึงเผยพจนามาบัดดลมากี่คนหรือว่ามาคนเดียว
จึงกราบเรียนไปพลันมิทันช้ารับประทานผมมาในป่าเขียว
ออกจากบ้านเช้าตรูแต่ผู้เดียวให้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอยู่กลางไพร
เอาบารมีใต้เท้าเป็นที่พึ่งจนมาถึงหามีเหตุสิ่งไรไม่
นายจึงมีคำตอบเออขอบใจพูดกันได้สองสามคำพอค่ำลง
ต่างคนต่างก็หาซึ่งอาหารรับประทานสำเร็จเสร็จประสงค์
มีบัญชาจำเพาะมาเจาะจงบัญชีส่งมาให้ทั้งไทยลาว
คนที่ในบรรดาศักดิ์สักสี่สิบดูพอดิบพอดีเหมือนมี่ฉาว
ฉันลานายบ่ายหน้ากรวดกรากราวทั้งไทยลาวมืดค่ำต้องทำการ
แต่ที่เป็นตัวนายมีรายชื่อที่หนึ่งคือหลวงบรรเทาผู้อาจหาญ
ด้วยว่าเป็นผู้ใหญ่เข้าใจการท่านโปรดปรานได้ว่าที่เพราะปรีชา
แต่นายจูอยู่ที่สองรองที่หนึ่งกระบวนซึ่งท่วงทีดีนักหนา
ได้ว่าที่ผู้คุมแต่หนุ่มมาเป็นคนซื่อลอชาในแผ่นดิน
ท่ามเหล่านี้ภาคภูมิไม่งู่มง่ามแต่ที่สามสามนั้นชื่อนายผิน
พอสมควรจัดเข้าเป็นเคาซิลใจทมิฬดุด่าไม่ปรานี
พวกเลกกลัวทั่วไปว่าไรเป็นนั่นแม้นไม่ทันถูกกระบองร้องอี๋อี๋
ถ้าทำการไม่ทันใจจับไม้ตีแต่ที่สี่ชื่อนายทับกำกับกอง
ด้วยเขาเป็นข้าหลวงเดิมแต่เริ่มแรกเขาเคยแบกท่านมาบ่าทั้งสอง
ได้ว่าที่พี่เลี้ยงเคียงประคองเป็นนายกองนายหมวดเที่ยวตรวจการ
แต่ตัวของฉันนี้เป็นที่ห้าไม่แกล้วกล้าเชิงอำนาจไม่ฉาดฉาน
ยังไม่มีความชอบประกอบการเป็นนายงานคุมคนตัดต้นไม้
ท่านที่เป็นตัวนายต้องจ่ายเลกเสียงโหวกเหวกเรียกกันสนั่นไหว
พวกเลกออกจากชุมนุมใต้พุ่มไม้ทั้งลาวไทยพร้อมหน้าออกมาพลัน ฯ
      ไปถึงที่จะทำวังที่ตั้งเต๊นท์มีลายเซ็นต่อหัตถามาถึงฉัน
ให้ทำทางกลางป่าพนาวันหนทางนั้นตรงลำเนาเขาลูกช้าง
จงเร่งรัดรีบร้อนอย่านอนใจชั้นต้นไม้อย่าให้มีที่กีดขวาง
ทำให้เป็นถนนตามหนทางให้กว้างขวางม้ารถบทจร
แม้นพลาดพลั้งหลังมึงถึงต้นคออย่าย่อท้อรีบรุดอย่าหยุดหย่อน
ฉันก็รับว่าที่ชุลีกรมิได้นอนน้ำใจต้องไคลคลา
ทั้งมีดขวานจอบเสียมเตรียมไว้เสร็จพอสำเร็จรีบไปที่ในป่า
ทั้งนายไพร่พร้อมกันตามบัญชาก็ตั้งหน้าตัดดงตรงคะเน
เขาลูกช้างนั้นอยู่ข้างบูรพ์ทิศถ้าจะคิดตรงกันไม่หันเห
ท่ากบชีนี้อยู่ริมประจิมเมคิดถ่ายเทตัดลงอยู่ตรงกัน
แต่ถางทางกลางคืนจนดื่นดึกอึกทึกถึงเพลาไก่ป่าขัน
พระจันทร์แจ่มกระจ่างดังกลางวันแล้วชวนกันกลับมาท่ากบชี
คนทำการอยู่ที่ท่าก็ว้าวุ่นทั้งหมื่นขุนพร้อมกันขมันขมี
บ้างก็แบกต้นไม้ใส่อัคคีการนั้นมีถ้วนทั่วทุกตัวคน
บ้างก็หาบบ้างก็หามตามวิสัยบ้างก็ไขว้สาแหรกมาแบกขน
มิได้นั่งนิ่งเฉยเลยสักคนสู้อดทนทำการงานของนาย
จนประมาณนาฬิกาได้ห้าทุ่มกลับมายังที่ชุมนุมดังใจหมาย
บ้างหาวนอนอ่อนเนนเที่ยวเอนกายพอได้หายเหน็ดเหนื่อยที่เมื่อยล้า
แต่ตัวฉันอาวรณ์นอนไม่หลับพอระงับพลิกฟื้นตื่นผวา
เที่ยวเดินไปพอให้เพลินแล้วเดินมาหนาวน้ำฟ้าเย็นทั่วถึงหัวใจ
ฟังเสียงหยัดหยดเหยาะเผาะเผาะผอยดูเหมือนฝอยน้ำฝนทนไม่ไหว
มันช่างหนาวลึกลับถึงตับไตเฝ้าเวียนไปเวียนมาอยู่หน้าเต๊นท์
ผ้าห่มนอนฉันมิได้เอาไปด้วยได้แต่ฉวยผ้ายี่โปโอ้ยามเข็ญ
หนาวอุราแทบน้ำตาจะกระเด็นให้เยือกเย็นกายินทั่วอินทรีย์
ลุกขึ้นนั่งผิงไฟเมื่อใกล้สว่างพอได้สร่างเสื่อมทุกข์เป็นสุขี
เสียงสัตว์ร้องก้องป่าพนาลีพยัคฆีส่งเสียงสำเนียงดัง
นึกน่ากลัวหัวพองสยองขนแต่มีคนนอนข้างนอกออกสะพรั่ง
ล้วนนั่งยามตามไฟระไวระวังทั้งหน้าหลังมากมายพร้อมนายกอง
แซ่สำเนียงเสียงสัตว์จัตุบาทปักษาชาติแซ่เสียงสำเนียงก้อง
บ้างโหยหวนครวญคร่ำบ้างร่ำร้องนกค้อนทองมีทั้งระวังไพร
เขาเป็นนกแล้วยังระวังป่าโอ้ตัวข้ากรรมเอ๋ยกรรมทำไหน
มิได้อยู่นอนนั่งระวังระไวมาทิ้งให้แม่หนูอยู่คนเดียว
เสียงเรไรร้องหริ่งหริ่งกิ่งพฤกษาพี่แลหานึกว่าแม่ชะแง้เหลียว
ถ้าแม้นว่ายอดหญิงมาจริงเจียวจะพาเที่ยวชมเขาเช้าพรุ่งนี้
แต่ฟังไปใช่เสียงสำเนียงน้องเรไรร้องแจ้วเจื้อยระเรื่อยรี่
เมื่อแรกฟังยังชัดว่าสตรีมาเดี๋ยวนี้รู้ชัดว่าสัตว์ร้อง
เป็นทั้งนี้เพราะว่ารักนั้นหนักจิตยิ่งคิดคิดสารพัดจะขัดข้อง
ด้วยว่าเรียมแรมร้างมาห่างน้องเคยประคองรับขวัญทุกวันคืน
เพลานี้แก้วพี่เคยปลุกตัวด้วยความกลัวพงษ์เผ่าเขาจะตื่น
คิดขึ้นมาน่าสงสารเมื่อวานซืนน้องยังขืนว่าพี่นี้ไม่รัก
จะบอกเจ้าเท่าไรยังไม่เชื่อฉันก็เหลือรำคาญพูดหาญหัก
เป็นความจริงใช่จะจางในทางรักนี่เหลือจักควักล้วงดวงฤทัย
ตามประสาสาวสาวคราวกับน้องดูเป็นรองเนื้อเย็นเป็นไหนไหน
ฉันตั้งสัตย์ปฏิญญาณสาบานไว้แม้นมิได้ผูกคอให้มรณา
ได้สมหวังยังจิตคิดอนาถไม่สิทธิ์ขาดคลุ้มคลั่งดังเป็นบ้า
ให้กระวนกระวายซังตายมาพอนิทราหลับลงทรงสุบิน
ในความฝันนั้นว่าได้มากอดสองกรสอดต้องถันน้องผันผิน
เหมือนวานรเมื่อเข้าหาวานรินดัดจริตดีดดิ้นกระสัตรี
อัศจรรย์อัศจอยน้อยน้อยนิดวิปริตนักหนาฟ้ามัวศรี
น้ำค้างหยัดลงมาต้องกายีพอตัวพี่พลิกฟื้นชื่นอารมณ์
ครั้นรู้สึกนึกดูรู้ว่าฝันแสนกระสันไม่มีสุขทุกข์มาถม
เที่ยวแลหามิได้เห็นแทบเป็นลมฉันได้ชมแต่เมื่อฝันเท่านั้นเอง
พอตื่นตาตั้งหน้าคอยรับโศกแสนวิโยคแต่เดือนยี่ปีมะเส็ง
ตั้งแต่แรกรักกันเมื่อวันเพ็งน้องเหลือบเล็งแลมาสบตากัน
ตั้งแต่เวลานั้นจนวันนี้ใจของพี่มุ่งหมายเฝ้าใฝ่ฝัน
แต่คร่ำครวญจวนจะแจ้งแสงตะวันตัวของฉันต้องลุกขึ้นปลุกคน
จะต้องตื่นแต่เช้าหุงข้าวปลาอันการงานข้างหน้ายังสับสน
เที่ยวปลุกกันนั้นทั่วทุกตัวคนต้องรีบร้นเรียกกันสนั่นไป
เลกลุกขึ้นพร้อมหน้าหุงอาหารรับประทานข้าวปลาหาช้าไม่
ทั้งมีดพร้อจอบเสียมหาเตรียมไปทั้งขวานใหญ่ขวานเล็กเหล็กชะแลง
ของสำหรับที่จะได้ไปใช้สอยพอเรียบร้อยจรจรัลตะวันแจ้ง
คนที่เคยทำทางในกลางแปลงก็จัดแจงกันไปทั้งไทยลาว ฯ
      ไปถึงที่ทำทางข้างอยู่นั้นแล้วชวนกันกรูกรีเสียงมี่ฉาว
บ้างก็รั้งบ้างก็เหนี่ยวออกเกรียวกราวบ้างก็สาวเถาวัลย์พันตะบึง
ฉันก็เที่ยวตรวจคนอยู่จนเที่ยงไม่หลีกเลี่ยงลดเลี้ยวประเดี๋ยวถึง
พิศดูเขาลูกช้างเหมือนอย่างกลึงงามประหนึ่งวิษณุกรรม์มาสรรค์ไว้
เขาลือว่าเขาลูกช้างอ๋ออย่างนี้เป็นคีรีหลายหมู่ไม่สู้ใหญ่
เป็นก้อนก้อนกลาดกลุ้มคุ่มคุ่มไปมองแต่ไกลห่างห่างเหมือนช้างนอน
มิได้อยู่แห่งเดียวเที่ยวเกะกะดูระดะซ้อนซับสลับสลอน
แต่สีนั้นไม่เหมือนหินในดินดอนดำทุกก้อนโตถนัดน่าอัศจรรย์
เป็นเหวห้วยกรวยโกรกชะโงกเงื้อมศิลาเลื่อมแลวิไลในไพรสัณฑ์
ที่ลางเขาดูสิงขรขึ้นซ้อนกันเป็นเชิงชั้นบรรพตรจนา
ยิงก้อนหนึ่งรูปรีรีกลางมีรูฉันยืนดูหินนั้นนักหนา
แล้วยังมีน้ำพุดุออกมามีต้นหญ้ารายรอบขอบลำราง
ชรอยจะมีสัตว์ป่าเข้าอาศัยที่ปากถ้ำนั้นไซร้จึงใหญ่กว้าง
พิเคราะห์ดูป่านี้จะมีช้างที่ตรงกลางคีรินหินก็มี
อีกเขาหนึ่งชอบกลมีคนตั้งเป็นหินเพิงแทบจะพังลงยังที่
บ้างซ้อนกันหมิ่นหมิ่นหินรีรีลางคีรีขึ้นไปซ้อนบนก้อนเล็ก
กูไม่น่าจะธำรงทรงอยู่ได้ก้อนหนึ่งใหญ่เท่าลำกำปั่นเหล็ก
ยิ่งก้อนหนึ่งโตเท่าสำเภาเจ๊กก้อนหนึ่งเล็กเล็กเหลือเหมือนเรือกุและ
อีกก้อนหนึ่งเปรียบยังเหมือนหลังเต่าก้อนหนึ่งเล่าอยู่ข้างบนเหมือนคนแกะ
ดูรูปเหมือนฝาชีมีออกแยะบ้างก็แบะบิดเบี้ยวเป็นเลี้ยวลด
พิศดูภูผาก็น่าเพลินฉันเที่ยวเดินเที่ยวไปมิได้หมด
ดูตั้งร้อยตั้งพันล้วนบรรพตเหลือที่จดจำทำเป็นกลอน
ยังเขาหนึ่งสูงกว่าเขาตามเหล่านั้นงามเฉิดฉันยอดยิ่งกว่าสิงขร
ถ้ามองทั่วมีหัวซึ่งกุญชรสง่างอนดูเหมือนหน้าเอราวัณ
บนคีรีเขาว่ามีรอยพระบาทของพระศาสดานราสรรค์
ประดิษฐานไว้ในไพรวันแต่เดิมนั้นเมื่อจะแจ้งแห่งคดี
ได้รู้เพราะยายชราบ้านศาลาเห็ดทำการเสร็จนอนหลับอยู่กับที่
จึงดลใจให้ฝันไปทันทีว่ายังมีตาปะขาวหูยาวยาน
มาบอกว่ารอยฝ่าพระบาทพระอยู่เหนือยอดสิงขรคชสาร
อย่านอนใจจงไปนมัสการประดิษฐานไว้บนมอมีกอข้าวนก
แม้นเห็นหญ้าคงพบพระบาทแล้วไม่คลาดแคล้วคงปะอย่ากระหนก
จงสืบเสาะแสวงหาหญ้าข้าวนกยายแก่ตกใจตื่นฟื้นกายา
แกสอบสวนจำได้ที่ในฝันเกษมสันต์เปิดหน้าต่างล้างหน้า
จึงชักชวนลูกผัวของตัวมามิทันช้าครู่หนึ่งถึงคีรี
แกขึ้นไปบนเขาเห็นข้าวนกใบไม้ปกรอยบาทพระชินศรี
จึงเปลื้องผ้านั้นลงปัดผงคลีจึงเห็นมีลายลักษณ์ประจักษ์ตา
คำบุราณท่านอ้างไว้อย่างนี้รอยจะมีจริงจังเหมือนดังว่า
ก็ควรเราท่านจะวันทามิทันช้าจรจรัลขึ้นบรรพต
ครั้นถึงจึงเห็นรอยบาทาอยู่เหนือยอดบรรพตามีปรากฏ
ความดีใจเหมือนพบองค์พระทรงพรตน้อมประณตตั้งสัตย์ปฏิญาณ
สาธุสะขอเดชะพระจอมโลกซึ่งโปรดสัตว์ข้ามโอฆวนสงสาร
นะโมตั้งมนัสนมัสการหัตถ์ประสานจำนงเนียนต่างเทียนทอง
เป็นกุศลล้นลบพบพระบาทสักแสนชาติใคร่จะพบประสบสอง
ฉันกรานกราบแล้วก็ตรึกระลึกตรองเดชะกองกุศลผลทาน
แม้นเวียนว่ายอยู่ในสายกระแสเชี่ยวยังท่องเที่ยวอยู่ตราบใดในสงสาร
เกิดมาเหมือนชาตินี้นี่ป่วยการแสนกันดารยุบยับแทบอับจน
ทั้งบิดรมารดาข้างขวาซ้ายก็วอดวายเกิดวิบัติจะขัดสน
เป็นกำพร้ายังมิหนำกลับซ้ำจนอยู่สองคนด้วยคุณยายนั้นหลายปี
จนประมาณชันษาได้ห้าขวบเคราะห์ประจวบพอคุณยายตายเป็นผี
แล้วอยู่กับแม่น้าหลายราตรีท่านปรานีเลี้ยงไว้จนใหญ่มา
ครั้นอายุได้สิบสามรู้ความชัดไปอยู่วัดตื้นลึกได้ศึกษา
ด้วยอาจารย์เป็นเชื้อสายฝ่ายมารดาท่านเมตตาชุบเลี้ยงด้วยเที่ยงธรรม
ความลำบากมากมายนั้นหลายท่าเกิดชาติหน้าบุญช่วยชุบอุปถัมภ์
ฉันเกิดมาชาตินี้นี่มีกรรมช่วยชักนำอย่าให้เป็นคนเข็ญใจ
สตรีหนึ่งหึงผัวมัวละโมภคนหลงโลภไม่อยากคิดพิศมัย
ถ้าแม้นจะมีคู่ที่ชูใจขอให้ได้ดังจิตเจตนา
รูปให้สวยรวยทั้งทรัพย์นั้นนับแสนนั่งเท้าแขนบนเก้าอี้หับสี่ขา
ทั้งเมียน้อยเกลื่อนกลาดดาษดาให้พักตราโฉมแฉล้มนั้นแช่มช้อย
อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาทให้หวั่นหวาดคิดไปให้ละห้อย
ด้วยมีความอาลัยที่ในรอยอะไรสักหน่อยไม่เห็นมีเป็นที่บัง
ต้องตากแดดตากลมน่าสมเพชถ้าเรืองเดชจะนิมิตด้วยจิตหวัง
จะก่อสร้างปราสาทราชวังมณฑปตั้งครอบรอยพระบาทา
ฉันจนจิตฤทธีหามีไม่มาจนใจด้วยว่าตนคนคาถา
ทั้งต่ำต้อยน้อยทรัพย์อับปัญญาถึงศรัทธาชาติไหนจะได้ทำ
บุราณว่ามีเงินทองพูดจาได้มิไม้ไหล้เหย้าเรือนก็งามขำ
อันข้อนี้ฟังสำนวนเราควรจำเป็นของคำอุปไมยแต่ได้จริง ฯ
      ฉันกราบกรานแล้วก็ลาคงมาพลันด้วยการนั้นของนายยังหลายสิ่ง
จะต้องปลูกปะรำทำที่อิงเป็นตำหนักพักพิงผ่อนสบาย
ไว้สำหรับเสด็จมาวันทาพระที่ตั้งเต๊นท์เป็นระยะตามจดหมาย
ทั้งสองข้างทางวิถีคีรีรายทั้งดินทรายขุดถมระดมกัน
จะประมาณได้เวลากลับมาที่ต่างเปรมปรีดิ์ชักชวนกันสรวลสันต์
ก็พอจวนพระสุริยาเข้าสายัณห์ก็ชวนกันหลับนอนเพราะอ่อนใจ
พอรุ่งแจ้งแสงทองขึ้นส่องหล้าพื้นนภาเหลืองแอร่มอยู่แจ่มใส
ทั้งลิงค่างร่ำร้องกึกก้องไพรสกุไณชูคอเสียงจอแจ
ต่างคนต่างฟื้นตื่นนิทราบ้างพูดจากันออจ้อประจ๋อประแจ๋
บ้างก็ร้องละครมอญทะแยร้องทแวต่างนักเลงเพลงทวาย
พอสนุกแก้ทุกข์บรรเทาถอยที่เศร้าสร้อยความอาดูรค่อยสูญหาย
แล้วก็มาทำงานการของนายประมาณหลายราตรีอยู่ที่นั้น ฯ
      ถึงเดือนสี่ปีจอพอสำเร็จอันการงานก็เสร็จทุกสิ่งสรรพ์
ได้กำหนดจดจำเป็นสำคัญพอถึงวันสามค่ำหยุดทำการ* (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๙)
พอรุ่งขึ้นราตรีวันสี่ค่ำทรวงระกำหายทุกข์สนุกสนาน
ทั้งผู้คนเกลื่อนกลาดข้าราชการนามขนานฉายามหานิกร
ไปด้วยกันสองคนพระชลยุทธฤทธิรุทรนายทหารชาญสมร
แต่นามเมืองของเขานั้นชื่อลันดอนตัวต้องจรมาอยู่เขตประเทศไทย ฯ
      ส่วนพระองค์เจ้าสายพอบ่ายอ่อนทรงกุญชรกูบทองอันผ่องใส
มีรับสั่งให้ตั้งเต๊นท์ไวไวพระชลยุทธวุฒิไกรรับบัญชา
แล้วตั้งร่างวางเต๊นท์เป็นจังหวะไม่เกะกะท่วงทีดีนักหนา
คล้ายคล้ายเหมือนเวียงวังอลังการ์ดูสง่างามแม้นแดนวิมาน
แต่ก่อนไกลใครได้เห็นเต๊นท์อย่างนี้พึ่งเกิดมีเมื่อข้าวถูกชั้นลูกหลาน
ดูเลิศแล้วเหมือนแก้วเจ็ดประการแลละลานดูราวดาวดารา
ในมณเฑียรยิ่งกว่าเวียนเขาวงกตกว่าจะหมดเดินเหนื่อยแทบเมื่อยขา
ยิ่งชมแล้วยิ่งเพลินเจริญตาเหลือปัญญาที่จะเล่าให้เข้าใจ ฯ
      พอตั้งเต๊นท์นั้นเสร็จเสด็จถึงเสียงอื้ออึงอลหม่านสะท้านไหว
ทั้งรถรัตน์อัศดรกุญชรชัยพลไกรเกลื่อนกลาดดาษดา
แต่องค์พระปรมินทร์ปิ่นจังหวัดเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีนั้นที่ห้า
เสด็จนั่งอยู่บนหลังอาชาดูสง่ารูปทรงดังองค์อินทร์
พร้อมไปด้วยข้าเฝ้าเหล่าเสนาเร่งรีบมาตามองค์พระทรงศิลป์
ทั้งไพร่นายพร้อมหน้าข้าแผ่นดินพอถึงถิ่นหิมวาท่ากบชี ฯ
      พระจักรพงศ์ลงจากม้าพระที่นั่งเสด็จยังเต๊นท์ผ้าพลับพลาศรี
แต่ตัวฉันดีใจใช่พอดีครั้นได้ที่น้อมกายถวายบังคม
ด้วยพระองค์ทรงสมมุติเทวาเป็นวาสนาเราได้พบประสบสม
ก็ควรที่หญิงชายถวายบังคมจะอุดมไชโยเดโชชัย
เราอยู่เย็นเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนครั้งก่อนก่อนศึกเสือทั้งเหนือใต้
มาเดี๋ยวนี้ราษฎรไม่ร้อนใจทั้งโพยภัยมิได้มีมาบีฑา
ถึงว่าพวกข้าศึกนึกขยาดใครไม่อาจเกรงฤทธิ์ทั่วทิศา
ยอมถวายเครื่องหิรัญสุวรรณาทุกภาษาจีนจามทั้งพราหมณ์ชี
ทั้งหัวเมืองเนืองไปทั้งใหญ่น้อยดูกว่าร้อยขึ้นผดุงแก่กรุงศรี
ถึงบาทมูลทูลกระหม่อยจอมโมลีเอกโทตรีจัตวาบรรดาเมือง
บำรุงราษฎร์ศาสนาก็ผาสุกพระสงห์ทุกอาวาสก็ปราดเปรื่อง
ทรงประทานเครื่องยศหมดทุกเมืองดูรุ่งเรืองรจนาสถาพร
ขอพระองค์ยงยืนหมื่นพรรษาพระเดชาชาญชัยดังไกรสร
ให้เหมือนองค์จักรีพระสี่กรครองนครกรุงศรีอยุธยา
ทั้งผู้คนถึงเต๊นท์พอเย็นย่ำตีฆ้องค่ำสิ้นแสงทุกแหล่งหล้า
จุดโคมแก้วแวววามอร่ามตาพระจันทราทรงกลดหมดราคี
ทั้งผู้คนกลาดกลุ้มทั้งหนุ่มแก่เสียงเซ็งแซ่สวยสมบ้างห่มสี
ทั้งรูปร่างใครไม่รู้ว่าผู้ดีชั้นท่วงทีพูดจาหล่อนน่าฟัง
นึกจะเกี้ยวเลี้ยวเล่นเช่นเจ้าชู้นึกอดสูกลัวหวายเสียดายหลัง
เขาไม่หยอกดอกสาวสาวพวกชาววังแม้นพลากพลั้งตากลวงถึงพวงคอ
ที่เขาเคยเชยโชมประโลมประเล้าที่อยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าเหมือนเราหนอ
มิได้พาเมียมาน้ำตาคลอนั่งจอนจ๋ออยู่คนเดียวนึกเปลี่ยวใจ
ที่เพื่อนกันกลาดกลุ้มหนุ่มตะกอเขาโดนอ๋อดีกว่าฉันนั้นไหนไหน
สู้หักจิตให้เนื้อเย็นหล่อนเห็นใจถึงนางในชั้นอินทร์ไม่ยินดี ฯ
             

      เห็นสาวสาวชาวในใจยิ่งโศกแสนวิโยคถึงน้องยิ่งหมองศรี
รักคนอื่นไม่เท่ารักภัคินีถึงห่มสีฉันเห็นก็เป็นรอง
รักคนอื่นไม่ถึงพักรักก็หายไม่มุ่งหมายที่จะอยู่เป็นคู่สอง
จิตจำเพาะเจาะจงที่ตรงน้องถึงเงินทองจะให้ฉันเท่าบรรพต
ไม่ดีใจเหมือนได้ดวงสมรตั้งแต่จรจากมาถ้าจะจด
อันความรักแม้นจะใส่ลงในรถเห็นไม่หมดบรรทุกเรือก็เหลือลำ ฯ
      พอดึกดื่นเดือนดับพยับพโยมเสียงประโคมแตรสังข์ฝรั่งร่ำ
พวกหนุ่มหนุ่มนั้นคะนองนั่งร้องลำเอาปากทำปี่พาทย์ระนาดฆ้อง
ที่บางคนดูชำนาญในการรักร้องลำสักวาดีไม่มีสอง
ช่างเรียงร้อยถ้อยคำแลทำนองดูเพราะพร้องแทบจะหลับฟังจับใจ
แล้วมานั่งฟังตาเฒ่าเล่านิทานแก้รำคาญทุกข์ทนที่หม่นไหม้
ฟังสำเนียงไก่แก้วแจ้วจับใจเสียงเรไรร่ำร้องก้องพนา
ต่างคนต่างก็เอนระเนนนอนศศินทรลับไม้ไพรพฤกษา
ดูมืดมัวทั่วกระทั่งยังสุธาจวนเวลาจะสว่างน้ำค้างเชย
สุมาลีคลี่คลายขยายกลีบดูเร่งรีบบานขยายพระพายเชย
หอมดอกแก้วแนวพนมลมรำเพยหอยระเหยกลิ่นเจือเหมือนเนื้อน้อง
เพลาใดได้กลับไปรับขวัญนั่นแหละฉันจะค่อยคลายหายหม่นหมอง
แม้นอยู่ดงฉันคงไม่วายตรองถ้าปะน้องพี่จะเล่าให้เจ้าฟัง
ตั้งแต่จากน้องไปอยู่ในป่าผู้หญิงมาพูดเกี้ยวไม่เหลียวหลัง
ชั้นแต่เรียมหนอไม่ขอฟังให้นึกชังน้ำหน้าไม่ว่าใคร
แต่คร่ำครวญจวนสว่างกระจ่างจบทั่วพิภพเสียงปักษาทั้งกาไก่
กำลังโศกเศร้าสร้อยนอนม่อยไปตื่นตกใจลุกขึ้นมาล้างหน้าพลัน
ต่างคนต่างก็ตื่นฟื้นกายทั้งไพร่นายรีบรี่ขมีขมัน
บ้างผูกม้าผูกรถหมดทั้งนั้นช้างสำคัญหลายเชือกเลือกเอามา
ทหารดาบทหารปืนยืนขยายมีตัวนายถือกระบี่เป็นทีท่า
หมู่ทหารหมาดเล็กและเด็กชาตำรวจหน้าถือหวายนายทั้งนั้น ฯ
      ฝ่ายพระองค์พงศ์กษัตริย์ขัติเยศทอดพระเนตรเห็นพหลพลขันธ์
ทั้งข้าเจ้าท้าวพระยาพร้อมหน้ากันถวายอัญชลีดีพระทัย
พระจักรพงศ์ทรงพระยาอาชาชาญหมู่ทหารสังข์แตรแซ่ไสว
ฟังเสียงเมริกันสนั่นไพรบัดเดี๋ยวใจถึงพลับพลาหน้าคีรี
พระจักรพงศ์ลงจากม้าที่นั่งประทับยังบนยอดคีรีศรี
จุดธูปเทียนบุปผาไม่ช้าทีอัญชุลีรอยบาทพระศาสดา
ฝ่ายพระองค์พงศ์กษัตริย์ตรัสประภาษว่าพระบาทรอยนี้ดีนักหนา
ก็ควรที่กราบไหว้ได้บูชาเป็นสง่ารุ่งเรืองกับเมืองเพชร
แล้วจึงตรัสเจาะจงกับองค์เจ้าสายจงยักย้ายคิดทำให้สำเร็จ
มณฑปครอบบาทาพระสารเพชญ์แล้วเสด็จทรงพระยาอาชาใน
เที่ยวลอดลัดทัศนาภูผาเผินพระทรงเพลินเสร็จรอบขอบไศล
พวกข้าหลวงน้อยน้อยสอยลูกไม้บ้างเด็ดได้ดอกดวงพวงพะยอม
บ้างก็วิ่งชิงกันสนั่นป่าบ้างเที่ยวหาดอกกระถินมีกลิ่นหอม
ที่รูปร่างเฉิดฉายผู้ชายตอมบ้างเที่ยวก้อมดุ่มดุ่มตามพุ่มไม้
บ้างก็ขึ้นคีรีเป็นที่ลับบ้างจูบจับพูดจาต่างปราศรัย
ทั้งชายหญิงหลายคนปนกันไปที่ผู้ใดมีเมียเดินเคลียคลอ
แสนสนุกหนักหนาเวลานั้นแต่ตัวฉันเศร้าใจมิได้ปร๋อ
เข้าอาศัยอยู่ใต้ต้นตะคร้อนั่งจอนจ๋อเพื่อนถามเป็นความใน
บิดตะกูดพูดประสมว่าลมจับอันความลับไม่ต้องการจะขานไข
นอกจากน้องมิให้รู้ถึงหูใครถ้าแม้นไม่เหมือนหมายตายเสียดี ฯ
      จอมนรินทร์ปิ่นอาณาประชาราษฎร์เที่ยวประพาสปรีดิ์เปรมเกษมศรี
แล้วเสด็จลงมาท่าพาชีสถิตที่เต๊นท์สุวรรณพรรณราย
จักรพงศ์ทรงประทับอยู่พลับพลาสามเพลาราตรีแล้วมีหลาย
ให้รู้ตัวทั่วไปทั้งไพร่นายต้องเตรียมกายตามกำหนดที่กตชา
วันพรุ่งนี้ที่สิบเจ็ดเสด็จกลับตรวจกำชับทุกกระบวนนั้นถ้วนหน้า
พอสิ้นแสงสุริยนสนธยาบ้างหุงหาอาหารสำราญใจ
เวลานั้นฉันนั่งฟังกระแสก็รู้แน่มั่นคงไม่สงสัย
นึกกระหยิ่มอิ่มเอิบกำเริบใจเหมือนหนึ่งได้เพชรนิลดวงจินดา
แต่จากนางห่างเรือนมาเดือนเศษไม่ทราบเหตุมิ่งมิตรขนิษฐา
น้องอยู่ดีหรือว่ามีซึ่งโรคาไม่รู้ว่าข้างหลังเป็นอย่างไร
วันพรุ่งนี้พี่จะกลับไปรับขวัญจะโศกศัลย์เคืองเข็ญเป็นไฉน
แม้นใครกวนเล่นกันให้บรรลัยถ้าเจ็บใจแล้วไม่คิดชีวิตเลย
แต่คร่ำครวญจวนสว่างน้ำค้างหยัดพระพายพัดกลิ่นลำดวนหวนระเหย
ในดวงจิตคิดจะกลับไม่หลับเลยแล้วแหงนเงยชมจันทร์พรรณราย
โอ้พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างโฉมลอยพโยมแล้วก็กลับไปลับหาย
มาล้อโลกให้ระทมตรมไม่วายอกกระต่ายเห็นจะแห้งด้วยแสงจันทร์
เหมือนตัวพี่แรกสมัครรักสมรให้อาวรณ์คลั่งไคล้เฝ้าใฝ่ฝัน
ดูยิ่งกว่าอกกระต่ายที่หมายจันทร์แสนกระสันสู้อุตส่าห์พยายาม
ต้องไปหาแม่สื่อเขาถือสารจะว่าขานน้องเองก็เกรงขาม
กลัวสมรหล่อนจะว่าพี่บ้ากามเพราะรักงามอกกระต่ายก็คล้ายกัน ฯ
      พอนาทีตีสว่างกระจ่างฟ้าโกกิลาเจื้อยแจ้วไก่แก้วขัน
ต่างก็ตื่นนิทราพร้อมหน้ากันบ้างจัดสรรคอยองค์พงศ์นารายณ์
พอพร้อมเสร็จก็เสด็จยุรยาตรทั้งข้าบาทประณมบังคมถวาย
แล้วก็เร่งรีบไปทั้งไพร่นายแต่พี่ชายยังค้างอยู่กลางดง
ด้วยธุระของนายนั้นหลายสิ่งยังยุ่งยิ่งไม่สำเร็จเสร็จประสงค์
พอเพลาสายัณห์ตะวันตรงเอาของลงเกวียนเสร็จสำเร็จการ
ฉันผินพักตร์ตรงคีรีที่พระบาทอิภวาทด้วยศรัทธานั้นกล้าหาญ
ขอกราบลาบาทบงสุ์พระทรงญาณมาอยู่นานจะต้องลาฝ่าธุลี
แล้วเลยลาป่าไม้ในไพรชัฏใบระบัดร่มรุกข์เคยสุขี
จึงเหลียวหลังอำลาท่ากบชีโอ้วันนี้แล้วหนอฉันขอลา
จงอยู่เย็นเป็นสุขอย่าทุกข์ร้อนทั้งสาครฝูงสัตว์หมู่มัจฉา
แล้วน้อมเศียรลงคำนับที่พลับพลาทั้งเมวาเจ้าไพรที่ในดง
นิจจาเอ๋ยเคยได้อาศัยพักอยู่สำนักเย็นใจในไพรระหง
จงสุขีเป็นสุขนั้นทุกองค์เทพจงเมตตาได้ปรานี
แล้วขึ้นเกวียนพลันในทันใดดังว่าได้ผ่านพิภพท้าวโกสีย์
ตัวยังค้างกลางป่าพนาลีใจของพี่รีบตะบึงไปถึงน้อง
ที่เคยโศกนั้นก็หายกลายเป็นสุขอันความทุกข์ค่อยบรรเทาหายเศร้าหมอง
ด้วยจิตหวังตั้งหน้าไปหาน้องดังได้ทองธรรมชาติสะอาดตา
เจ้าของเกวียนขับเกวียนไม่เวียนวนจรดลมาในไพรพฤกษา
โคทั้งสองย่องย่างเหมือนอย่างม้าเสียงร้องท่าโคก็มาทางขวามือ
พอเจ้าของร้องทือมาทางซ้ายรู้กำหนดจดหมายกันเจียวหือ
เจ้าของช่างเจนจัดเขาหัดปรือลงปะฏักหนักมือวิ่งตื๋อไป
ฟังเสียงแอกนั้นเบียดออดเดียดอาดโคนั้นพลาดย่างเท้าก้าวไถล
ล้วนพวกเกวียนมาด้วยกันสนั่นไพรด้วยตั้งใจหมายจะมาเคหาตน
บ้างก็รีบขึ้นหน้าอยากมาก่อนแต่ตัวฉันนั้นอยากจรขึ้นเวหน
แม้นมีฤทธิ์คงจะคิดขึ้นเดินบนจะได้ยลจอมขวัญให้ทันใจ
พี่เรืองเดชเหมือนพระยาวายุบุตรจะให้นุชชมเปาะว่าเหาะได้
จะโลมเล้าเข้าประคองถึงห้องในนี้จนใจเป็นมนุษย์สุดปัญญา ฯ
      แล้วรีบร้นพ้นระยะหลายสถานตำบลบ้านบึงบางในกลางป่า
จรดลย่นย่อมรรคาพอถึงท่าคอยค่ำหยุดสำนัก
ครั้นรุ่งแจ้งแสงตะวันหิรัญเรื่อฝูงนกเนื้อบินบนจับต้นสัก
ฉันขึ้นเดิมรีบรุดไม่หยุดพักคิดถึงรักเร่าร้อนไม่นอนใจ ฯ
      พอบ่ายแสงสุริยาถึงท่าโพหยุดให้โคกินหญ้าชลาไหล
แล้วออกจากท่านั้นด่วนครรไลเจ้าของไล่ขับโควิ่งโร่มา ฯ
      ถึงกะฎีที่เขาสร้างชื่อนางป้อมคนเขาย่อมเกรงฤทธิ์ทั่วทิศา
ให้พรแล้วลินลาศคลาศคลามิทันช้าถึงสถานสำราญใจ
พอสิ้นโหยหวนรัญจวนหาในอุราหม่นหมองค่อยผ่องใส
พอสิ้นทุกข์สิ้นโศกสิ้นโรคภัยตั้งแต่ไปถ้าจะนับจนกลับมา
ไปเดือนหนึ่งพอดีไม่มีเศษจดหมายเหตุระยะทางในกลางป่า
อย่าสงสัยใช่นิราศคลาศคลาท่านเมธาจงแจ้งแห่งคดี
ธรรมดาด้วยเป็นข้าราชการต้องคิดอ่านกล่าวกลอนอักษรศรี
แม้นใครถามไม่ต้องบอกออกวาทีหนังสือมีอ่านดูพอรู้ความ
ทำไว้เพื่อผู้ที่มีศรัทธาด้วยหวังว่าไปคล่องคล่องไม่ต้องถาม
รอยพระบาทปรากฏมีงดงามไม่เชื่อถามคนที่ไปคงได้รู้
ไม่ไกลนักคืนหนึ่งก็ถึงที่มิใช่มีเกินมนุษย์ไปสุดกู่
อย่ามัวแต่ท้าวแขนใส่แหวนงูเชิญไปดูไปแลเห็นแก่ตา
ถึงผู้ชายอย่าเที่ยวกรายอยู่ตามบ้านไปมัสการเสียสักทีเถิดพี่ขา
แต่เขาอยู่ถึงบางกอกยังออกมาพระมหากษัตริย์เสด็จไป
แก้วมาเกิดขึ้นในเมืองออกเลื่องลือเราจะดื้อนิ่งอยู่หาดูไม่
เปรียบเหมือนคนตามืดจืดทั้งใจเชิญท่านไปดูเล่นให้เห็นจริง
ใช่จะแต่งกลอนมาค่อนว่าขอสมาท่านทั้งหลายทั้งชายหญิง
ฉันช่วยเตือนใจดอกบอกจริงจริงอย่าค้านติงข้อคำที่รำพัน ฯ
      ข้าพเจ้าผู้แสดงแต่งนิราศมิใช่ปราชญ์ปรีชาปัญญาขยัน
ด้วยจากเรือนไปกับนายนั้นหลายวันแสนกระสันอยู่ในป่าพนาลี
ฉันแต่งเล่นพอหายคลายวิโยคเพราะแสนโศกคิดถึงบ้านสถานที่
ฉันมิใช้ตัวเอ้ผู้เมธีข้าเจ้านี้ยังเยาว์เบาปัญญา
พอสนุกแก้ทุกข์บรรเทาถอยยังรู้น้อยไม่สู้เปรื่องเรื่องเลขา
เป็นแต่เรียนรู้งูปลาปลาใช่ปรีชาเปรื่องปราดฉลาดกลอน
มิได้เรียนมุตโตคิดโวหารฉันท์กรองกานท์พอใช้ได้อักษร
ไม่เผ่นโผนเหมือนโจนชโลทรถึงแง่งอนก็ไม่งามเหมือนความใน
เชิญนักปราชญ์ผู้บัณฑิตคิดสงสารถ้าเห็นการสูงต่ำที่คำไหน
ช่วยติเตียนเสมือนช่วยเตือนใจขออย่าได้รังเกียจพูดเบียดแทง
ไว้อ่านเล่นแก้รำคาญดอกท่านเอ๋ยอย่าเยาะเย้ยพูดแยบให้แอบแฝง
อันถ้อยคำจุกจิกไม่พลิกแพลงอย่านึกแหนงโปรดให้อภัยเอย ฯ
      ฯ นายต่วน ๘๙๐ คำ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

ประชุมนิราศเมืองเพชรบุรี พ.ศ.๒๕๒๕

เครื่องมือส่วนตัว