เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาและคำวิจารณ์

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(บันทึกครั้งที่ ๒ และแก้ไขรูปแบบการแสดง)
(บันทึกครั้งที่ ๓)
แถว 84: แถว 84:
</tpoem>
</tpoem>
<tpoem>
<tpoem>
-
   ตามความในเพลงยาวพึงเห็นได้ว่าผู้แต่เพลงยาวบทนี้เป็นแต่อ้างตามคำพยากรณ์ที่มีอยู่แล้ว หาได้เป็นผู้พยากรณ์ไม่ จึงเกิดปัญหาเป็นข้อต้นว่าใครเป็นผู้พยากรณ์ วิสัชนาข้อนี้มีเค้าเงื่อนอยู่ในหนังสือเก่าเรียกว่า "มหาสุบินชาดก" (ซึ่งหอพระสมุดพิมพ์ไว้ในหนังสือนิบาตชาดก เล่ม ๒ หน้า ๑๗๒) เนื้อความในชาดกนั้นว่า
+
   ตามความในเพลงยาวพึงเห็นได้ว่าผู้แต่เพลงยาวบทนี้เป็นแต่อ้างตามคำพยากรณ์ที่มีอยู่แล้ว หาได้เป็นผู้พยากรณ์ไม่ จึงเกิดปัญหาเป็นข้อต้นว่าใครเป็นผู้พยากรณ์ วิสัชนาข้อนี้มีเค้าเงื่อนอยู่ในหนังสือเก่าเรียกว่า "มหาสุบินชาดก" (ซึ่งหอพระสมุดพิมพ์ไว้ในหนังสือนิบาตชาดก เล่ม ๒ หน้า ๑๗๒) เนื้อความในชาดกนั้นว่าคืนหนึ่งพระเจ้าปะเสนทิซึ่งครองประเทศโกศลอยู่ ณ เมืองสาวัตถีเป็นราชธานี ทรงพระสุบินนิมิตอย่างแปลกปลาด ๑๖ ข้อ (จำนวนตรงกันกับในเพลงาว) เกิดหวาดหวั่นพระราชหฤทัย ตรัสให้พวกพราหมณ์พยากรณ์ พวกพราหมณ์ว่าพระสุบินนั้นร้ายนัก เป็นนิมิตที่จะเกิกภัยอันตรายใหญ่หลวง ทูลแนะนำให้ทำพธีบูชายัญป้องกันอันตราย แต่นางมัลลิกามเหสีเห็นว่าพิธีบูชายัญนั้นต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจกลับเป็นบาปกรรม ทูลขอให้พระเจ้าปะเสนทิไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงพยากรณ์เสียก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าไปทูลถามพระพุทธองค์ ตรัสตอบว่าพระสุบิน ๑๖ ข้อนั้นสังหรณ์เหตุร้ายจริง แต่เหตุร้ายเหล่านั้นจะยังไม่เกิดในรัชกาลของพระเจ้าปะเสนทิและในพุทธกาล จะเกิดต่อเบื้องหน้าเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในราชธรรมและมนุษย์ทั้งหลายทิ้งกุศลสุจริตจึงจะถึงยุคเข็ญ นิมิตร้ายในพระสุบินหามีภัยอันตรายแก่พระองค์อย่างไรไม่ พระเจ้าปเสนทิได้ทรงฟังพระพุทธฎีกาก็สิ้นพระวิตก ทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์นิมิต ๑๖ ข้อนั้นต่อไป พระพุทธองค์จึงทรงพยากรณ์ทีละข้อ แต่จะคัดพุทธพยากรณ์มาแสดงโดนพิศดารจะยืดยาวนัก จะกล่าวแต่ ๒ ข้อซึ่งใกล้อย่างยิ่งกับทีกล่าวในเพลงยาวว่า
 +
  "กระเบื้อจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันจะลอยจะถอยจม"
 +
  ในพระสุบินข้อ ๑๒ ว่าพระเจ้าปะเสนทิทอดพระเนตรเห็น "น้ำเต้าเปล่า" (คือที่รวงเอาเยื่อข้างในออกเหลือแต่เปลือกสำหรับใช้ตักน้ำ) อันลอยน้ำเป็นธรมดากลับจมลงไปอยู่กับพื้นที่ข้างใต้น้ำ ข้อนี้พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อถึงยุคเข็ญนั้นพระมหากษัตริย์จะชุบเลี้ยงคนแต่เสเพล เปรียบเหมือนลูกน้ำเต้าเปล่าอันได้แต่ลอยตามสายน้ำ ตั้งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการ เปรียบดังน้ำเต้าเปล่าจมลงไปเป็นภาคพื้นใต้น้ำ
 +
  ในพระสุบินข้อ ๑๓ ว่าพระเจ้าปะเสนทิได้ทอดพระเนตรเห็นหินก้อนใหญ่สักเท่าเรือน (ในเพลงยาวว่ากระเบื้อง) ลอยขึ้นมาอยู่บนหลังน้ำ พุทธพยากรณ์ข้อนี้ก็อย่างเดียวกับข้อก่อนแต่กลับกัน ว่าผู้ทรงคุณเป็นหลักฐานมั่นคง เปรียบเหมือนหินดานที่เป็นพื้นของลำน้ำ เมื่อถึงยุคสิ้นเข็ญจะสิ้นวาสนาต้องเที่ยวซัดเซเร่ร่อน เปรียบเหมือนกับหินกลับลอยตามกระแสน้ำ
 +
  นอกจาก ๒ ข้อนี้ เหตุร้ายต่างๆ ที่ในพุทธพยากรณ์ว่าจะเกิดในยุคเข็ญก็เป็นเค้าเดียวกับที่กล่าวในเพลงยาว เห็นได้ชัดว่าผู้แต่งคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาเอาความในมหาสุบินชาดกมาแต่ง แต่มีผิดกันเป็นข้อสำคัญอยู่ ๒ แห่ง แห่ง ๑ ใมหาสุบินชาดก พระพุทธเจ้ามิได้ทรงพยากรณ์ว่ายุคเข็ญนั้นจะเกิดในประเทศใด เป็นแต่ว่าจะเกิดเพราะพระราชาไม่อยู่ในราชธรรม แต่ในคำพยากรณ์เจาะจงว่าจะเกิด ณ กรุงศรีอยุธยาอีกแห่ง ๑ ในพระพุทธพยากรณ์มิได้กล่าวว่ายุคเข็ญจะเกิดเมื่อใด เป็นแต่ว่ายังอีกช้านานในภายหน้า แต่ในคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอ้างว่าจะเกิดยุคเข็ญเมื่อศักราชได้ ๒,๐๐๐ ปี
 +
 
 +
 
 +
 

การปรับปรุง เมื่อ 01:05, 10 ตุลาคม 2553

ข้อมูลเบื้องต้น


เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุทยา
เป็นกรุงรัตนราชพระศาสดามหาดิเรกอันเลิศล้น
เป็นที่ปรากฏิ์รจนาสรรเสริญอยุทยาทุกแห่งหน
ทุกบุรีสีมามณฑลจบสกลลูกค้าวานิจ
ทุกประเทศสิบสองภาษาย่อมมาพึ่งกรุงสรีอยุทยาเป็นอัคะนิด
ประชาราษฏร์ปราศจากไภยพิศม์ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข์
ฝ่ายองค์พระบรมราชาครองขันทสีมาเป็นศุข
ด้วยพระกฤษฎกาทำนุกจึ่งอยู่เย็นเป็นศุขสวัสดี
เป็นที่อาไศรยแก่มนุษย์ในใต้หล้าเป็นที่อาไศรยแก่เทวาทุกราศรี
ทุกนิกรนรชนมนตรีคะหะบดีชีพราหมณพฤฒา
ประดุจดั่งศาลาอาไศรยดั่งหนึ่งร่มพระไทรอันษาขา
ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคาเป็นที่สิเนหาเมื่อกันดาน
ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพอาจปราบไภรีทุกทิศาน
ทุกประเทศเขตขันฑ์บันดานแต่งเครื่องบัณาการมานอบนบ
กรุงศรีอยุทยานั้นสมบูรณ์เพิ่มพูลด้วยพระเกรียศคะจรจบ
อุดมบรมศุขทั้งแผ่นภิภพจนคำรบศักราชได้สองพัน
คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลายจะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น
ด้วยพระมหากระษัตรมิได้ทรงทศมิตราธรรม์จึ่งเกิดเข็ญเป็นมหัศจรร์สิบหกประการ
คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพดอุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทีศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลีงกาลเกิดนิมิตพิศดานทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนกอกแผ่นฟ้าเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมืองผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนีพระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกไห้อกพระกาลจะไหม้อยู่เกรียมกลม
ในลักษณะทำนายไว้บ่อห่อนผิดเมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงมมิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้นมิใช่เทสกาลฝนฝนก็อุบัติ
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัดเกิดวิบัตินานาทั่วสากล
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนาจะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปรุษย์จะแพ้ก่ทระชนมิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัวคนชั่วจะมล้างผู้มีศักด์
ลูกสิทธิ์จะสู้ครูพักจะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจนักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอยน้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่าเพราะจันทานมันเข้าาเสพสม
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์เพราะสมัคสมาคมด้วยมารยา
พระมหากระษัตรจะเสื่อมสิงหนาทประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
อาสัจจะเลื่องฦๅชาพระธรรมาจะตกฦกลับ
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญจะสาบสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์สัปรุษย์จะอับซึ่งน้ำใจ
ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปีประเวณีจะแปรปรวนตามวิไส
ทั้งพืชแผ่นดีนจะผ่อนไปผลหมากรากไม้จะถอยรศ
ทั้งแพศพรรว่านยาก็อาเพดเคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จวงจันทร์พรรณไม้อันหอมรศจะถอยถดไปตามประเพณี
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพงสารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกีดทรพิศม์มิคสัญญีฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานีจะเกีดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพรพลจะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราชจะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวายฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบกเวียงวังก็จะรกเป็นป่าเสือ
แต่สิงห์สารสัตว์เนื้อเบื้อนั้นจะหลงหลอเหลือในแผ่นดิน
ทั้งผู้คนสาระพัดสัตว์ทั้งหลายจะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
ด้วยพระกาลจะมาผลานแผ่นดินจะสูญสิ้นการณรงสงคราม
กรุงศรีอยุทยาจะสูญแล้วจะกลับรัดสมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยามจนสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุทยาเขษมสุขแสนสนุกนี้ยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาทันนับวันจะเสื่อมสูญเอย ฯ
             

จบเรื่องพระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนายกรุงแต่เท่านี้

......... .......... ..........

วิจารณ์เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์

      พิจารณาเนื้อความตามที่กล่าวในเพลงยาวบทนี้ มีคำพยากรณ์มาแต่ก่อนว่ากรุงศรีอยุธยาจะสมบูรณ์พูลสุขเป็นอย่างเลิศล้นจนศักราชได้ ๒,๐๐๐ ปี พ้นนั้นไปจะ "เกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์ ๑๖ ประการ" เหตุด้วยพระมหากษัตริย์ไม่ทรงทศพิศราชธรรม" บ้านเมืองก็จะมีเภทภัยต่างๆ ที่สุดถึงฆ่าฟันกันตาย จนกรุงศรีอยุธยาสูญไปตลอดอายุพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี ว่ามีคำพยากรณ์อยูแล้วดังกล่าวมานี้ มาในสมัยหนึ่งเมื่อกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีอยู่นั้น ผู้แต่งเพลงยาวบทนี้สังเกตเห็นเกิดวิปริตต่างๆ ตาม "ในลักษณะทำนายไว้บ่อห่อนผิด เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม" เกรงว่าจะเข้ายุคเข็ญตามคำพยากรณ์ จึงแต่งเพลงยาวบทนี้ด้วยความอาลัยกรุงศรีอยุธยา ลงท้ายว่า
             
"กรุงศรีอยุธยาเขษมสุขแสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์นับวันแต่จะเสื่อมสูญเอย"
             
      ตามความในเพลงยาวพึงเห็นได้ว่าผู้แต่เพลงยาวบทนี้เป็นแต่อ้างตามคำพยากรณ์ที่มีอยู่แล้ว หาได้เป็นผู้พยากรณ์ไม่ จึงเกิดปัญหาเป็นข้อต้นว่าใครเป็นผู้พยากรณ์ วิสัชนาข้อนี้มีเค้าเงื่อนอยู่ในหนังสือเก่าเรียกว่า "มหาสุบินชาดก" (ซึ่งหอพระสมุดพิมพ์ไว้ในหนังสือนิบาตชาดก เล่ม ๒ หน้า ๑๗๒) เนื้อความในชาดกนั้นว่าคืนหนึ่งพระเจ้าปะเสนทิซึ่งครองประเทศโกศลอยู่ ณ เมืองสาวัตถีเป็นราชธานี ทรงพระสุบินนิมิตอย่างแปลกปลาด ๑๖ ข้อ (จำนวนตรงกันกับในเพลงาว) เกิดหวาดหวั่นพระราชหฤทัย ตรัสให้พวกพราหมณ์พยากรณ์ พวกพราหมณ์ว่าพระสุบินนั้นร้ายนัก เป็นนิมิตที่จะเกิกภัยอันตรายใหญ่หลวง ทูลแนะนำให้ทำพธีบูชายัญป้องกันอันตราย แต่นางมัลลิกามเหสีเห็นว่าพิธีบูชายัญนั้นต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจกลับเป็นบาปกรรม ทูลขอให้พระเจ้าปะเสนทิไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงพยากรณ์เสียก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าไปทูลถามพระพุทธองค์ ตรัสตอบว่าพระสุบิน ๑๖ ข้อนั้นสังหรณ์เหตุร้ายจริง แต่เหตุร้ายเหล่านั้นจะยังไม่เกิดในรัชกาลของพระเจ้าปะเสนทิและในพุทธกาล จะเกิดต่อเบื้องหน้าเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในราชธรรมและมนุษย์ทั้งหลายทิ้งกุศลสุจริตจึงจะถึงยุคเข็ญ นิมิตร้ายในพระสุบินหามีภัยอันตรายแก่พระองค์อย่างไรไม่ พระเจ้าปเสนทิได้ทรงฟังพระพุทธฎีกาก็สิ้นพระวิตก ทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์นิมิต ๑๖ ข้อนั้นต่อไป พระพุทธองค์จึงทรงพยากรณ์ทีละข้อ แต่จะคัดพุทธพยากรณ์มาแสดงโดนพิศดารจะยืดยาวนัก จะกล่าวแต่ ๒ ข้อซึ่งใกล้อย่างยิ่งกับทีกล่าวในเพลงยาวว่า
      "กระเบื้อจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันจะลอยจะถอยจม"
      ในพระสุบินข้อ ๑๒ ว่าพระเจ้าปะเสนทิทอดพระเนตรเห็น "น้ำเต้าเปล่า" (คือที่รวงเอาเยื่อข้างในออกเหลือแต่เปลือกสำหรับใช้ตักน้ำ) อันลอยน้ำเป็นธรมดากลับจมลงไปอยู่กับพื้นที่ข้างใต้น้ำ ข้อนี้พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อถึงยุคเข็ญนั้นพระมหากษัตริย์จะชุบเลี้ยงคนแต่เสเพล เปรียบเหมือนลูกน้ำเต้าเปล่าอันได้แต่ลอยตามสายน้ำ ตั้งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการ เปรียบดังน้ำเต้าเปล่าจมลงไปเป็นภาคพื้นใต้น้ำ
      ในพระสุบินข้อ ๑๓ ว่าพระเจ้าปะเสนทิได้ทอดพระเนตรเห็นหินก้อนใหญ่สักเท่าเรือน (ในเพลงยาวว่ากระเบื้อง) ลอยขึ้นมาอยู่บนหลังน้ำ พุทธพยากรณ์ข้อนี้ก็อย่างเดียวกับข้อก่อนแต่กลับกัน ว่าผู้ทรงคุณเป็นหลักฐานมั่นคง เปรียบเหมือนหินดานที่เป็นพื้นของลำน้ำ เมื่อถึงยุคสิ้นเข็ญจะสิ้นวาสนาต้องเที่ยวซัดเซเร่ร่อน เปรียบเหมือนกับหินกลับลอยตามกระแสน้ำ
      นอกจาก ๒ ข้อนี้ เหตุร้ายต่างๆ ที่ในพุทธพยากรณ์ว่าจะเกิดในยุคเข็ญก็เป็นเค้าเดียวกับที่กล่าวในเพลงยาว เห็นได้ชัดว่าผู้แต่งคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาเอาความในมหาสุบินชาดกมาแต่ง แต่มีผิดกันเป็นข้อสำคัญอยู่ ๒ แห่ง แห่ง ๑ ใมหาสุบินชาดก พระพุทธเจ้ามิได้ทรงพยากรณ์ว่ายุคเข็ญนั้นจะเกิดในประเทศใด เป็นแต่ว่าจะเกิดเพราะพระราชาไม่อยู่ในราชธรรม แต่ในคำพยากรณ์เจาะจงว่าจะเกิด ณ กรุงศรีอยุธยาอีกแห่ง ๑ ในพระพุทธพยากรณ์มิได้กล่าวว่ายุคเข็ญจะเกิดเมื่อใด เป็นแต่ว่ายังอีกช้านานในภายหน้า แต่ในคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอ้างว่าจะเกิดยุคเข็ญเมื่อศักราชได้ ๒,๐๐๐ ปี
             

เชิงอรรถ

(๑) ในคำให้การชาวกรุงเก่าว่าเป็นคำพยากรณ์ของสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี (พระพุทธเจ้าเสือ)แต่เป็นคำร้อยแก้วและเนื้อความสั้นกว่า ทีพะม่าจะแปลจากภาษาไทยไม่ได้ตลอด


ที่มา

เครื่องมือส่วนตัว