นิราศบ้านà¹à¸«à¸¥à¸¡
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศบานหลแม}} [[หมวด…')
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศบานหลแม}} [[หมวด…')
รุ่นปัจจุบันของ 16:11, 5 ตุลาคม 2553
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายพิน
เป็นนิราศบอกเล่าการเดินทางจากบ้านแหลมไปยังบางสะพาน (ในเรื่องว่าบังตะพาน) แต่เนื้อความสิ้นสุดลงเพียงสามร้อยยอด ไม่ทราบว่าแต่งไม่จบหรือต้นฉบับสูญหาย ในเนื้อความไม่ได้ระบุเวลาที่แต่ง
บทประพันธ์
๏ นิ รารักหักจิตต์ให้ | โหยหวน | ||
ราศ จากนุชฉวีนวล | เสน่ห์หนิ้ว | ||
บ้าน เคยเกิดกามกวน | กอดกก แก้วเฮย | ||
แหลม กว่าวนดูดดิ้ว | ฤดีดิ้นถวิลทวี ฯ | ||
๏ นิราศน้องคลองบ้านแหลมแรมสถาน | |||
สู่ประเทศถึงกระทั่งบังตะพาน | เวลาประมาณสองยามพอน้ำลง | ||
พร้อมต้นหนคนื้ายบ่ายนาเวศ | จากประเทศล่องน้ำตามประสงค์ | ||
เสียงน้ำจิตต์คิดขอให้คืนคง | ลาอนงค์นวลลอองนิ่มน้องนาง | ||
จงอยู่ดีเจริญศรีสุขสวัสดิ์ | อย่าข้องขัดราคินมลทินหมาง | ||
อาลัยน้องตรองตรึกรำลึกพลาง | เรือยิ่งห่างใจยิ่งเหี่ยวเปลี่ยวฤทัย | ||
เห็นภูมิถานบ้านช่องสองฟากฝั่ง | ยิ่งหล่อหลั่งชลนาน้ำตาไหล | ||
สะท้อนถอนอ่อนรันทดสลดใจ | แต่นี้ไปเป็นวิบากจากสบาย | ||
โอ้ชตาอาภัพอัปประภาค | ไม่อยากจากจำไกลพาใจหาย | ||
เคยคลึงเคล้าเช้าเย็นไม่เว้นวาย | แสนเสียดายดูอื่นไม่ชื่นตา | ||
คนึงน้องล่องน้ำข้ามคุ้งวัด | ยกสองหัตถ์ขึ้นประนมก้มเกศา | ||
ชวลิตจิตต์คำรพนบวันทา | วิหารมหาเขตต์ขอบรอบอาราม | ||
ขอพระเดชเกศมงกุฎวิสุทธิแก้ว | อันเลิศแล้วเฉลิมลบภพทั้งสาม | ||
คุณบิดรมารดาเมตตาตาม | ช่วยหักห้ามป้องกันสรรพภัย | ||
พอเรือเลี้ยวแหลมคุ้งสดุ้งวาบ | ตัวแมงสาบบินถลามาแต่ไหน | ||
ถูกที่อกตกตายแล้วหายไป | ให้หวั่นใจคิดวนฉงนงง | ||
พิเคราะห์ความตามนิมิตรอุทิศหมาย | จะดีร้ายหน้าหลังหวังประสงค์ | ||
ขอพระรัตนมิ่งอันยิ่งยง | ยอดมิ่งมงคลคุ้มประชุมมา | ||
โปรดระงับดับร้ายให้หายเหตุ | เป็นปิ่นเกศปกปักช่วยรักษา | ||
น้องที่อยู่ผู้ที่ไปในนาวา | ทั้งตัวข้าขออย่ามีราคีพาน | ||
ให้ไปดีมาดีศรีสวัสดิ์ | สารพัดลาภผลดลสถาน | ||
ต้องจากสวาทขาดชมไปนมนาน | ขอคืนบ้านเคียงคู่อยู่กับนวล | ||
พอเรือเลยเกยเลนแหลมปากอ่าว | พระพายผ่าวพัดฮือกระพือหวน | ||
ที่ฝั่งตื้นคลื่นลั่นเสียงครั่นครวญ | น้ำก็ป่วนเรือปั่นเที่ยวหันแปร | ||
เอาแจวซ้ำค้ำท้ายบ่ายไม่ออก | ข้างท้ายบอกหัวให้ค้ำลำไม่เห | ||
ต้องจำอยู่สู้หนาวแอบอ่าวชะเล | ให้ว้าเหว่เวิ้งว้างเมื่อกลางคืน | ||
จะเหลียวแลซ้ายขวาดูหน้าหลัง | เห็นแต่รังรั้วเรียงกับเสียงคลื่น | ||
ทั้งสองฟากซ้ายขวาล้วนป่าฟืน | ข้างบนดื่นดาวดาษสะอาดดวง | ||
ข้างพื้นล่างพร่างแพรกระแสสินธุ์ | ตลอดสิ้นสุดคะเนชะเลหลวง | ||
เอนกคณาปลาปูอยู่ทั้งปวง | เห็นมากดวงไต้แดงนึกแคลงใจ | ||
จึงถามเขาเหล่าพวกที่มาเพื่อน | ว่าบ้านเรือนที่โน่นมีหรือที่ไหน | ||
ดูดื่นดวงช่วงแดงด้วยแสงไฟ | กระแสใสเสียงผู้หญิงเที่ยววิ่งวง | ||
คนเข้าใจในวิธีเขาชี้บอก | กลับตะคอกขู่ให้ว่าใหลหลง | ||
พวกจับรังฝั่งเรือกเอาเฝือกวง | พอน้ำลงจับปลาได้พาไป | ||
เที่ยวซื้อขายจ่ายแจกแลกขนม | ไปแกงต้มปิ้งจี่ตามวิสัย | ||
เขาหากินถิ่นที่ตมถมทั่วไป | แต่พอได้เลี้ยงชีวาประสาจน | ||
ได้ทราบแจ้งแหนงจิตต์คิดสละ | วิจารณะตรองเห็นไม่เป็นผล | ||
นิยมหยาบบาปกรรมจะนำตน | ไปทุกข์ทนทางทุเรศเวทนา | ||
เป็นทั้งนี้ที่แท้แน่หนักหนอ | ให้เกิดก่อความประมาทในศาสนา | ||
บาลีธรรมคำพระว่าอวิชชา | เป็นผู้พาสัตว์ให้วนทรมาน | ||
เป็นสัตว์มนุษย์สุดเลิศประเสริฐสัตว์ | สารพัดทำได้หลายสถาน | ||
แต่ปลาว่ายมาในสายนทีธาร | ประกอบการจับปลาพาไปกิน | ||
เอาไม้รวกทำหลักปักเป็นรั้ว | เป็นแถวทั่วเรียงรายในสายสินธุ์ | ||
รั้วรวกห่างหว่างหลักปันปักดิน | เหมือนนกบินกางปีกฉลีกลม | ||
มีก้นถุงวุ้งแว้งฉะเวิกวาก | ทำเป็นปากปิดปิดสนิทสนม | ||
เป็นที่ปูชูก้ามในน้ำตม | ตั้งนิยมบัดพลีพะลีการ | ||
ขนานนามตามสำเนียกเรียกเป็นโป๊ะ | จะลวงโละปลากินในถิ่นถาน | ||
สงสารปลาต้องมาติดนิจกาล | เที่ยวซมซานเซอะเซิงละเลิงมา | ||
กระทบรั้วกลัวนักไม่ยักรู้ | ก็พาหมู่พวกพ้องเพื่อนมัจฉา | ||
เข้าก้นบึ้งถึงกระทั่งที่ขังปลา | เพราะปัญญาไม่รู้ข้อเขาล่อลวง | ||
เวลาเย็นเห็นเขาพากันมาเฝ้า | นั่งนอนเนาพยายามคอยห้ามหวง | ||
เช้าอวนล้อมอ้อมชักขึ้นตักตวง | ปลาทั้งปวงโดดดิ้นดับสิ้นปราณ | ||
โอ้สารพัดสัตว์เกิดมาลุ่มหลง | เที่ยวเวียนวงอยู่ในวัฏสงสาร | ||
ไม่ยืดยืนอยู่ยังจิรังนาน | ทรมานมากำเนิดเกิดแล้วตาย | ||
แต่ตัวเราเขลาเมือนคนพิกลจริต | ครั้นหวนคิดขึ้นมาได้โอ้ใจหาย | ||
จะซูบผอมตรอมอุระไม่สบาย | ร้างรสสายสวาทร้อนอาวรณ์ใจ | ||
โอ้บ้านแหลมแหลมจริงยิ่งกว่าเข็ม | มาตำเต็มเจ็บอุราน้ำตาไหล | ||
อกระบมตรมตรึกนึกเมื่อใด | มาเจ็บใจด้วยไม่ชังเสียบ้างเลย | ||
นั่งรำจวนป่วนจิตต์คิดถึงน้อง | หนาวลอองวิรุณพรมลมระเหย | ||
เอนระงับทับที่หมอนยกกรเกย | ละลาเลยอาลัยตรองถึงน้องนาง | ||
แม้นเปลี่ยนใจไปสถิตในจิตต์น้อง | แม่คุณของพี่จะแจ้งแห่งเรียมหมาง | ||
จะเห็นจริงสิ่งที่ครวญถึงนวลนาง | จะเห็นทางที่ไม่อยากจะจากเลย | ||
ถ้าเหาะเหินเดินโดยโพยมได้ | พี่จะไปร่วมเรียงเคียงเขนย | ||
อนาถนึกตรึกตรมอยากชมเชย | จนหลับเลยลงกับที่ค่อยมีแรง | ||
พอน้ำขึ้นตื่นตาผวาลุก | ร้องเรียกปลุกคนข้างท้ายจวนฉายแสง | ||
ก็เร่งลุกรีบรัดขึ้นจัดแจง | ได้ลมแรงแล่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยมา | ||
โอ้ป่านนี้ศรีเสาวลักษณล้วน | จะคร่ำครวญนึกถึงคำนึงหา | ||
จะแลเหลียวก็จะเปลี่ยวจะเปล่าตา | คงโสกาซบเศร้าเงียบเหงาใจ | ||
พี่อยู้ด้วยน้องได้พี่ไม่จาก | แสนวิบากกรรมกรมทำไฉน | ||
ต้องจำเข็ญเป็นจรสท้อนใจ | ตัดอาลัยจากน้องพี่ต้องลา | ||
ขอทวยไทยเทพท้าวเทพารักษ์ | สิทธิศักดิ์เรืองฤทธิ์ทั่วทิศา | ||
มารับพรวอนไหว้วันทนา | ฝากสุดาเดียวด้วยเชิญช่วยดู | ||
ให้อยู่เย็นเป็นสุขศรีสวัสดิ์ | ไม่ข้องขัดจะพะลีทั้งหมีหมู | ||
ขอเทพทั่วอุปถัมภ์ได้ค้ำชู | ช่วยดอดดูดวงเนตรเวทนา ฯ | ||
๏ เรือกระทั่งบางหูใส่หัวใจเสียว | ชำเลืองเหลียวแลหลังดูฝั่งฝา | ||
เห็นบ้านเรือนเกลื่อนกลาดดาษดา | ที่วัดวารกร้างอยู่อย่างไร | ||
ไม่มีคนปรนนิบัติสันทัดเที่ยง | สงฆ์จึงเลี่ยงหลีกล่าไม่อาศรัย | ||
ธรรมดาว่าพระสงฆ์ทุกองค์ไป | อยู่ที่ไหนผาสุกชอบชุกชุม | ||
นี่กระไรใจจิตต์คิดสละ | ไม่พึ่งพระเพลินไปทางแต่สร้างสุม | ||
อกุศลผลที่ทำจะร่ำรุม | กรรมจะกุมเกาะกายให้ว่ายวน | ||
โอ้นึกวินิจแล้วก็คิดถึงนวลน้อง | มีแต่ปองสมสร้างทางกุศล | ||
ประพฤติศีลาทานุวัตรสัจสวดมนต์ | บำเพ็ญผลแผ่บุญกรุณา | ||
ไม่ฆ่าสัตว์ติดชีวิตคิดสมเพช | หมั่นฟังเทศน์ทางโอวาทพระศาสนา | ||
แม่งามสำรวยสวยสำอางมาห่างตา | พี่โหยหาอยากให้เห็นไม่เว้นวาย | ||
โอ้ป่านนี้ยุพยงอนงนาฏ | เคยลินลาศไปเสาะซื้อสิ่งของขาย | ||
ลงเรือเล็กเด็กด้วยช่วยกันพาย | เที่ยวจับจ่ายสารพันสิ่งอันมี | ||
ทั้งมังสาปลาทูหมูกล้วยส้ม | ขนุนขนมถมไปในวิถี | ||
ถ้าพบของท้องตลาดรสชาติดี | มาฝากพี่ตั้งไว้มิได้วาย | ||
เรือครรไลไกลบ้านมานานช้า | พระสุริยาส่องนภางค์กระจ่างฉาย | ||
ร้อนแสงแดดแผดกล้าหน่วยตาพราย | เรือถึงท้ายบ้านมากปากชะเล | ||
ลมไม่แรงแคลงโคลงสายโยงขย้อน | ในก้านหย่อนแกว่งกวัดตะปัดตะเป๋ | ||
ละลอกต้องคล่องแคล่งเหมือนแกว่งเปล | ตุหรัดตุเหร่ลอยเลื่อนเคลื่อนเคลื่อนคลา | ||
พี่ยืนยลบนบ้านสถานถิ่น | ชำเลดินบ้านนี้ดีหนักหนา | ||
บริบูรณ์พูลเกิดหอยปูปลา | จีนไทยพากันมาอยู่ดูสบาย | ||
นิยมหยาบบาปกรรมจำใจสู้ | เลี้ยงล้วนหมูเป็ดไก่เอาไข่ขาย | ||
ชนิดเราเนาไม่ได้ไม่สบาย | ถึงไร้ร้ายทรัพย์สินไม่ยินดี | ||
ด้วยจะมาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต | ถึงสิ้นคิดขัดลงเป็นคงหนี | ||
จะพาน้องของฉันขยันดี | ไปทำที่ไร่นากว่าจะตาย | ||
โอ้ป่านฉนี้ยุพเยาว์เสาวภาคย์ | ธุระมากนฤมลแม่ขวนขวาย | ||
จะนิ่งอยู่ดูไม่ได้ไม่สบาย | เรียกหญิงชายบ่าวทาสประกาศการ | ||
ให้ทำโน่นทำนี่เที่ยวชี้บอก | ข้างในนอกวุ่นวายหลายสถาน | ||
จนสำเร็จเสร็จวินิจในกิจการ | แสนสงสารสายสุดใจพี่ไม่วาย ฯ | ||
๏ ครั้นนาวามาถึงบ้านบางแก้ว | เห็นแต่แนวเนินป่าพฤกษาหลาย | ||
แล่นข้ามอ่าวก้าวออกนอกสบาย | เห็นขาวทรายบนหาดสะอาดตา | ||
เรียกบางแก้วแก้วจะมีอยู่ที่ไหน | เที่ยวแลในท้องชะเลพระเวหา | ||
ถ้ามีแก้วแวววับคงจับตา | นี่ไม่ปรากฏมีที่แห่งใด | ||
มาตั้งนามตามบ้านบูราณเรียก | หรือสำเนียกกำหนดมีอยู่ที่ไหน | ||
อยากถามผู้รู้เล่าให้เข้าใจ | ไม่มีใครชี้เช่นไม่เห็นจริง | ||
เห็นเขาเรียกเรียกนามตามเรียกนั้น | โอ้นึกขวัญดวงเนตรแก้วเกศหญิง | ||
พี่รักน้องปองรักสมัครจริง | รักสุดสิ่งรักแล้วเกินแก้วตา | ||
โอ้ป่านฉนี้ศรีสวัสดิ์กำดัดโฉม | จะทุกข์โทมนัสทะเวศถึงเชษฐา | ||
ด้วยพี่พรากจากครรไลมาไกลตา | ไม่รู้ว่าร้อนเย็นเป็นอย่างไร | ||
เวลานี้พี่กับน้องสองไสยาสน์ | ไม่เคยขาดเคียงชิดพิสมัย | ||
สำราญรมย์สมสองแห่งห้องใน | โอ้สายใจจะว้าเหว่อยู่เอกา ฯ | ||
๏ ถึงแหลมพะเนินเกินบางแก้วมาแล้วหนอ | เกิดกกกอต้นแสมแลนักหนา | ||
เป็นพงพืชยืดหยั่งฝั่งชลา | แหลมมีป่าต้นโพทะเลราย | ||
พฤกษาสูงยูงยางหามีไม่ | เป็นแหลมใหญ่คนผู้หมู่มากหลาย | ||
เที่ยวจับหอยหาปูอยู่สบาย | ไม่เอือมอายเวรกรรมจะนำคน | ||
แต่ว่ายากหากจะเห็นว่าเป็นโทษ | หาประโยชน์อื่นไม่อวยอำนวยผล | ||
มิอาจล่วงหลักลุปุถุชน | เพราะความจนจึงจำทำบาปกรรมเวร | ||
สังเวชจิตคิดถึงตัวมากมัวหมอง | ไม่รักน้องปองจิตคิดบวชเถร | ||
ประพฤติธรรมคำพระสละเวร | ไม่โอนเอนกอบกับกายจนตายเลย | ||
นี่สุดจิตคิดจะไกลใจไม่จาก | แบกวิบากอกอานิจจาเอ๋ย | ||
ไม่สมประกอบชอบได้ชื่นคืนชวดเชย | นั่งนึกเสวยทุกข์วิโยคเศร้าโศกโซ | ||
ถึงยากเย็นขอให้เห็นวันละหน | ที่ร้อนรนก็จะชื่นขึ้นอักโข | ||
เฝ้าคิดถึงคนึงในใจเรโร | แทบเผ่นโผลงชลาให้ปลากิน | ||
โอ้ป่านนี้นิ่มนุชสุดสวาท | เคยลีลาศลงท่าชลาสินธุ์ | ||
ชำระล้างกายสกลหมดมลทิน | ทาขมิ้นขัดสีฉวีวรรณ | ||
แล้วเข้าห้องส่องกระจกหวีศกสาง | ให้สำอางเอี่ยมดีห่มศรีสรรพ์ | ||
ทั้งสองปรางปรุงแฉล้มแต้มอำพัน | ดังผลจันทน์หอมโอชาชวนน่ากิน | ||
แต่โหยหวนครวญคร่ำร่ำถึงน้อง | เรือแล่นล่องฝืนฝ่าชลาสินธุ์ | ||
เกลือกละลอกลอกมาในวาริน | ถึงที่ถิ่นแหลมผักเบี้ยยังเสียใจ | ||
บางบ้านนี้เขาว่ามีทับทิมมาก | ให้นึกอยากรสร่ำทำไฉน | ||
ครั้นจะหยุดนาวาช้าทีไป | เรือเดินได้ลมดีดูมิควร | ||
ถึงอยากนั่นอยากนี่พี่อดได้ | เหลืออดใจที่จะห้ามความสงวน | ||
อยากให้น้องของพี่นั่งยียวน | อยากไม่ควรแค่นคิดอยากวิบากครัน | ||
โอ้ปานฉนี้วรนุชสุดถนอม | จะทุกข์ตรอมใจวิโยคเฝ้าโศกศัลย์ | ||
ด้วยพี่กับเจ้าเช้าเย็นเคยเห็นกัน | มาทิ้งขวัญเนตรน้องอยู่แต่ผู้เดียว | ||
เคยปรึกษาปราศรัยได้ดับทุกข์ | มาสิ้นสุขเสียไม่มีที่จะเหลียว | ||
สงสารแสนสายสมรแม่นอนเดียว | คงแห้งเหี่ยวโหยหาพี่ทุกวี่วัน | ||
ฉงนฉะแง้แลรอบขอบค้นเขตร์ | ถิ่นประเทศฝั่งฝาเวหาสวรรค์ | ||
จวนจะดับลับแสงพระสุริยัน | คัดท้ายหันเหหัวด้วยกลัวลม ฯ | ||
๏ แล่นแฉลบแอบถึงฝั่งบางทะลุ | พอมีพยุทอดสมอก็พอสม | ||
ควรแก่กาลถานที่อับเข้าลับลม | หยุดนิยมกินนอนผ่อนสบาย | ||
แต่ตัวเรียมเตรียมตรมอารมณ์ถวิล | ไม่ทราบระบินเรื่องยุบลในชลสาย | ||
ถึงมีเพื่อนก็เหมือนมาเอกากาย | ให้วุ่นวายเวทนาไปท่าเดียว | ||
แม้นได้นุชสุดแสนสวาทพี่ | มานั่งนี่หน่อยไม่หนักสักประเดี๋ยว | ||
ขอชมโฉมขนิษฐาสุดาเดียว | ให้หายเปลี่ยวทรวงเปล่าเปลื้องเศร้าใจ | ||
บางทะลุชื่อบางเปนอย่างนี้ | แต่อกพี่ตันจิตพิสมัย | ||
ไม่ทะลุเหมือนชื่อบางให้สร่างใจ | ด้วยไม่ได้เห็นนางสำอางตา | ||
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง | จนยามสองเดือนดับลับเวหา | ||
เคลิ้มระงับหลับไปในนาวา | หวาดผวาถึงที่รักภัคินี | ||
จนแสงทองส่องสางน้ำค้างตก | คณานกร้องเร่งพระสุริย์ศรี | ||
ค่อยฟื้นกายหมายว่านุชสุดสตรี | มาปลุกพี่แว่วเสียงสำเนียงดัง | ||
ร้องขานขาลืมตาไม่เห็นนุช | ให้แสนสุดทรวงเสียวเหลียวหน้าหลัง | ||
ไม่มีสุขทุกข์ถวิลสิ้นกำลัง | ลุกขึ้นนั่งแลรอบขอบชะเล | ||
ดาราดับอับแสงไม่มีศรี | ทั่วทิศที่บนล่างสว่างเสว | ||
ชอุ่มเขียวขอบฟ้าอาคเณ | วันนี้เวลาบ่ายลมร้ายแรง | ||
จะพานพัดจัดจ้านมาด้านนี้ | ออกจากนี่ไปไหนจะได้แฝง | ||
พอตื่นพร้อมล้อมระดมกันต้มแกง | สุกเสร็จแบ่งแจกปันพากันกิน | ||
แล้วถอนสมอช่อใบใส่หางเสือ | บ่ายหัวเรือแล่นล่องตามท้องสินธุ์ | ||
สายกระแสแลปลาในวาริน | บ้างโดดดิ้นดำว่ายมีหลายพรรณ์ | ||
ชนิดหนึ่งพึ่งเห็นทั้งหางหัว | มีกายตัวโตแท้แลดูขัน | ||
หลั่นสองลอนห่อนหัวตัวเป็นมัน | เขาพูดกันเรียกว่าชื่อปลาวาฬ | ||
ขึ้นทีไรให้เสียงสำเนียงโฟ้ | จมลอยโผล่ว่ายเข้ามาดูกล้าหาญ | ||
เพราะเชื่อตนว่าตัวโตโง่สันดาน | อยากประหารเสียด้วยปืนไม่คืนเป็น | ||
ขัดอยู่นิดกีดด้วยกรรมจึงจำนิ่ง | มันเย่อหยิ่งว่าไว้พอให้เห็น | ||
เราเป็นคนเคยกินปลากล้าก็เป็น | มิใช่เช่นฉันจะฆ่ามันว่าไร | ||
โอ้ยามเช้าหนาวกายไม่หายหนาว | หัวอกร้าวรอนคิดถึงพิสมัย | ||
ได้มานั่งยังที่นี่พี่ดีใจ | จะชี้ให้ชมปลาในสาคร | ||
ฝูงกระโห้โลมาปลาฉลาม | ฉนากตามเรือเรียงเคียงสลอน | ||
ฝูงกู้เราเต่ากระเข้าคละจร | เอนกนิการมากสัตว์ในนที | ||
มีเหลือล้นสุดที่คณนานับ | แต่ภัทธิกัปเกิดเกาะชมภูศรี | ||
ก็เกิดมาสารพัดสัตว์อันมี | ในนทีฟ้าดินสิ้นด้วยกัน | ||
กิเลศราคหากให้ปฏิสนธิ์ | เกิดสกนธ์ร่างกายเที่ยวผายผัน | ||
แสวงสุขทุกนิสสัยใจเหมือนกัน | แต่ใจฉันคราวนี้เต็มทีทน | ||
ความรักนุชสุดที่รักหักไม่หาย | ชีพจะวายลงเสียวันละพันหน | ||
เพราะตัณหาพาเหียรให้เวียนวน | เหลือจะทนทานที่ทุกข์ไม่สุขเลย | ||
โอ้ยามนี้ศรีสมรวิมลมิ่ง | แม่ยอดหญิงภคินีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
คำนึงนุชสุดใจกระไรเลย | ด้วยแม่เคยสรรหาอุส่าห์ทำ | ||
โภชนาอาหารใส่พานโตก | ให้พี่พอบริโภคจนอิ่มหนำ | ||
ทั้งหมากพลูบุหรีมีประจำ | เคยสุขสำราญกายสบายเสบย ฯ | ||
๏ ถึงบางช้องมองเชือนพอเบือนหน้า | เห็นราวป่ารำไรโอ้ใจเอ๋ย | ||
ห่อนเห็นสุขสนุกสนานสำราญเลย | หรือเขาเคยอยู่สุขสนุกมี | ||
อยากจะถามนามขนานบ้านบางช้อง | ว่าในคลองแห่งหนตำบลนี้ | ||
จะหากินถิ่นอาศัยฉันใดดี | เข้าปลามีบริโภคหรือโศกโซ | ||
นั่งวินิจคิดจำนงค์ความสงสัย | จะถามใครไม่เห็นมาน่าโมโห | ||
โอ้บางช้องคลองบางกว้างเติบโต | ตลอดโร่แลลิ่วแถวทิวทาง | ||
เที่ยวแลโน่นแลนี่ไม่มีสุข | เหมือนอุ้มทุกข์เทียมเท่าภูเขาขวาง | ||
อาดูโดยโหยหวนเฝ้าครวญคราง | คิดถึงนางน้องพี่ไม่คลี่คลาย | ||
โอ้ปานฉนี้ยุพยงยอดสงสาร | เคยจากบ้านจรดลเที่ยวขวนขวาย | ||
เก็บบุบผามาลัยใส่กระทาย | สำราญกายเดินเล่นเย็นเย็นลง | ||
พี่จากน้องคราวนี้มีแต่ทุกข์ | ไม่มีสุขสักเท่าซีกกระผีกผม | ||
ให้หนาวจิตต์หนาวใจไม่ได้ชม | ให้หนาวลมหนาวอุราเอกากาย ฯ | ||
๏ ถึงบางเก่าเหงาแก่ยิ่งแต่ก่อน | แทบจะถอนใจจิตต์หวิดหวิดหาย | ||
นึกนับวันหมั่นมีเป็นไม่เว้นวาย | สงสารกายคงจะผอมด้วยตรอมใจ | ||
เขาพูดว่ากินน้ำตาตนต่างเข้า | นึกว่าเปล่าเล่าจิตต์คิดสงสัย | ||
ได้เห็นแท้แน่คราวนี้มีจริงใจ | จะจำไว้ว่าเขาว่าวาจาจริง | ||
โอ้ชาตินี้มีกรรมล้ำวิบาก | ต้องพลัดพรากนวลลอองแม่น้องหญิง | ||
ถึงบางเก่าก็จะเก่าเหมือนบางจริง | ชื่อว่าสิ่งใดเล่าที่เก่ารา | ||
เป็นนทีศรีขรินทร์แผ่นดินสถาน | ถ้าถึงกาลแก่เก่าเหมือนเขาว่า | ||
รู้สูญสิ้นไปด้วยไฟประลัยมา | สำมะหาสิ่งอื่นมากหมื่นพัน | ||
โอ้ตัวเราเก่าแก่แพ้ลงโข | ด้วยซูบโซร่างกายผายผัน | ||
มาพลัดพรากจากสุดาไม่ช้าวัน | ไม่เป็นอันนอนกินสิ้นเสบย | ||
เห็นจะลับดับสูญเสียเป็นแน่ | เพราะว่าแก่รักจนเก่ากายเราเอ๋ย | ||
ไม่เริงรื่นชื่นจิตต์สักนิดเลย | แล้วไม่เคยมามีที่รำคาญ | ||
ครั้นคราวนี้ปี้ป่นเป็นคนเสีย | กระปลกกระเปลี้ยวุ่นวายหลายสถาน | ||
เพื่อนพวกมาพาสำรวลชวนสำราญ | เล่านิทานเฮฮาพูดจากัน | ||
ถึงเรื่องรักเรื่องใคร่เขาไม่ทุกข์ | กลับสนุกหัวร่อเป็นข้อขัน | ||
ว่านางนี้นางโน้นได้โดนกัน | เหมือนตุ่มคันแกะเกาพอเบาตน | ||
ไม่เคยคบอยากค้าไม่ผาสุก | พวกพาทุกข์พาเข็ญไม่เป็นผล | ||
ใครหลงรักมักมากลำบากตน | เขาพูดบ่นเสียดตำให้ช้ำใจ | ||
นึกน้อยจิตต์คิดถึงตัวช่างชั่วชาติ | ไม่วายสวาทพิศวงเฝ้าหลงใหล | ||
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ | ใยเขาไม่ทุกข์นักเรื่องรักกัน | ||
โอ้ตัวเราคราวนี้มีทุกข์มาก | ครั้นพลัดพรากจากนิ่มนุชสุดกะสัน | ||
แสนคนึงถึงแม่งามอยู่ครามครัน | ดวงตะวันคล้อยเย็นไม่เด่นดวง | ||
โอ้ป่านฉนี้ยุพเยาว์ลำเภาพักตร์ | เคยเก็บรักเอามาร้อยแล้วห้อยหวง | ||
มะลิร้อยห้อยเล่นเป็นพวงพวง | ลำดับดวงดอกดีดูวิไล | ||
จะหาไหนได้เหมือนนุชสุดเสาะหา | ไม่สบตาตัวพี่เข้าที่ไหน | ||
พี่รำพึงถึงสวาทเพียงขาดใจ | สุดอาลัยสุดรักสุดหนักทรวง ฯ | ||
๏ พอตั้งพยับอับพยุจะพัดใหญ่ | รีบใช้ใบมาถึงบ้านโตนดหลวง | ||
ขึ้นยืนยลเห็นแต่ต้นตาลทั้งปวง | เป็นตาลหลวงเหลือล้นคณนา | ||
คลอดลิ่วทิวแถวตามแนวน้ำ | เอนกล้ำหลายหลากมากนักหนา | ||
เป็นพุ่มบนต้นโล่งโปร่งในตา | งามสง่าย่านนี้ดีสุดใจ | ||
บางสูงต่ำคร่ำคร่าชราโรค | ลางต้นโศกแห้งหดไม่สดใส | ||
เที่ยวยืนต้นตายตามแลหลามไป | ดูต้นใบก็ไม่น่าจะว่าดี | ||
แต่โอชาปรากฏด้วยรสชาติ | ถึงไม่สะอาดใบก้านรสหวานจี๋ | ||
เป็นที่ชอบใจมนุษย์สุดยินดี | รสหวานนี้ชอบทั่วทุกตัวคน | ||
แต่ตัวฉันหวั่นถวิลสิ้นเสื่อมสุข | เรื่องที่ทุกข์ใครไม่ทราบอนุสนธิ์ | ||
ด้วยทิ้งพธูอยู่ข้างหลังเกิดกังวล | กลัวแต่คนปากหวานจะพานพา | ||
เอานุชน้องของฉันกันไปกอด | ด้วยใจยอดเยาวมิตรขนิษฐา | ||
ชอบแต่หวานการที่ขมสมเป็นยา | ไม่ปรารถนาเจ็บไข้ยังไม่กิน | ||
โอ้ป่านฉนี้นวลลอองนิ่มน้องนาถ | สุดสวาทของพี่ชายไม่วายถวิล | ||
เคยสำราญกายาเป็นอาจิณ | หรือยุพินพี่จะทุกข์ไม่สุขกาย | ||
จะดีชั่วฉันใดไม่พึงรู้ | พิเคราะห์ดูคิดไปยิ่งใจหาย | ||
เป็นห่วงหวงดวงจิตคิดไม่วาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาน้ำตากิน ฯ | ||
๏ ระยะย่านบ้านโตนดยืดยาวเหลือ | แต่ลำเรือได้ลมสมถวิล | ||
แล่นชะเลแลลายคล้ายนกบิน | ถึงหัวหินฉับพลันมิทันนาน | ||
เรียกหัวหินหินจะมีอยู่ที่ไหน | อ่อมีในชลท่าแถวหน้าบ้าน | ||
ถานหัวหินถิ่นนี้ที่สำราญ | ตำบลบ้านบ่อนนี้ดีสุดใจ | ||
ไม่ต้องตั้งฝั่งเขตต์ทำเขื่อนรั้ว | ใครไม่กลัวก็ต้องเกรงอัชฌาสัย | ||
ถึงเรือแพนาวาเที่ยวมาไป | ไม่เข้าใกล้หลีกตัวกลัวอยู่เอง | ||
โดยน้อยศักดิ์อรรคถานศฤงฆารยศ | คนกลัวหมดเหมาะเจาะที่เหมาะเหม็ง | ||
บางบ้านอื่นดื่นไปเขาไม่เกรง | มายำเยงกลัวสิ้นหาดหินมี | ||
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก | ให้แน่นหนักอยู่เหมือนหินในถิ่นที่ | ||
ประกอบเกิดกีดสง่าไม่ราคี | ขออย่ามีชายใดอาจใกล้กราย | ||
คลื่นกระทุ่มกลุ้มกระแทกแตกหัวหิน | เป็นอาจิณฉ่าฉาดไม่ขาดสาย | ||
เหมือนพี่ทุ่มทุกข์ถึงนางไม่วางวาย | ดูคล้ายคล้ายกันกับคลื่นแผ่นพื้นธาร | ||
โอ้ยามนี้ศรีสวัสดิ์กำดัดสวาท | เคยยุรยาตรจากที่เคหะถาน | ||
เที่ยวบันเทิงเริงรื่นชื่นสำราญ | สบายบานผ่องใสน้ำใจคอ | ||
น้องอยู่หลังครั้งนี้มีสิ่งสุข | หรือจะทุกข์ทะเวศใจไฉนหนอ | ||
แต่อกพี่นี้รันทดสลดพอ | คิดขึ้นท้อใจทุพลทรมาน ฯ | ||
๏ เรือแล่นล่องก้าวเลียบตะเกียบเกาะ | รีบละเลาะรุดตะบึงถึงสถาน | ||
เข้าชิดเฉียดเบียดท่าหน้าเมืองปราณ | เห็นเรือนบ้านมีตั้งแฝงฝั่งคลอง | ||
หวนรำลึกนึกคำนึงถึงบ้านแหลม | บ้านข้างแคมฟากฝั่งมีทั้งสอง | ||
เคยนั่งเล่นเย็นสำราญร้านริมคลอง | ได้เห็นน้องลอยนวลมายวนตา | ||
ถึงสร้อยเศร้าเหงาง่วงโศกทรวงนัก | ได้เพ่งพักตร์พิศโฉมขนิษฐา | ||
พอแลพบสบเนตรสังเกตตา | กลับพูลผาสุขชื่นคืนสบาย | ||
โอ้ยามนี้อกเราก็เศร้านัก | ด้วยความรักคิดถึงนางไม่ห่างหาย | ||
สิ่งอื่นอื่นพื้นไม่มีที่สบาย | ให้วุ่นวายเวทนาในอารมณ์ | ||
พระสุริยนสนธยาเพลาค่ำ | อากาศคล้ำคลุ้มสีครามยามปฐม | ||
เย็นลอองต้องน้ำค้างที่พร่างพรม | เย็นด้วยลมเฉื่อยฉิวพัดผิวกาย | ||
ชะเลลั่นครั่นครื้นเปนคลื่นคลั่ง | กระทบฝั่งเฟือนหูไม่รู้หาย | ||
จะเหลียวดูผู้พวกเรือก็เหลืออาย | ทำเชิงชายตาเยาะหัวเราะกัน | ||
สู้จำนิ่งเมินหน้าประสาประสี | ดูวารีเหล่าปลาพฤกษาสรรพ์ | ||
ให้ชอกช้ำจำใจชื่นทุกคืนวัน | พาตื้นตันเต็มวิตกโอ้อกเรา | ||
คิดถึงโฉมเหมือนหนึ่งโฉมแม่งามพริ้ง | มาสู่สิงทรงทรวงให้ง่วงเหงา | ||
หรือโฉมยอดเยาวหญิงน้องนิ่งเนา | สิงเปนเงาเฝ้าอยู่ตาหรือว่าไร | ||
ให้หลับเห็นตื่นเห็นอยู่เป็นนิตย์ | เหลือจะปลิดปลดวางเสียข้างไหน | ||
ด้วยจำจากหากต้องทนจนจำใจ | กว่าจะได้กลับคืนไปชื่นเชย | ||
อาภัพพาอาเภททุเรศรัก | เมื่อหนาวนักได้นอนแนบแอบเขนย | ||
ถึงยามร้อนพอได้ผ่อนด้วยลมเชย | เวลาเคยเห็นโฉมประโลมใจ | ||
มาเหลียวแลก็เห็นแต่น้ำกับฟ้า | ก้ามน้ำตาว่าให้เว้นเห็นไม่ไหว | ||
ในทรวงเต้นตึกตึกนึกเมื่อใด | เจียนขาดใจเสียด้วยน้องที่คลองปราณ | ||
โอ้ปานฉนี้ศรีสุดากัลยาหญิง | วิมลมิ่งยุพยงยอดสงสาร | ||
จะเปลี่ยวเปล่าเหงาใจอาลัยลาญ | ด้วยเปนกาลเย็นย่ำจวนค่ำคืน | ||
เมื่อเข้าห้องส่องเห็นปัญจฐรณ์ | ที่เคยนอนแนบน้แงประคองชื่น | ||
สำราญเรียงเคียงข้างไม่ห่างคืน | น้องจะฝืนอาลัยแลดูแดดาล ฯ | ||
๏ แต่ล่วงตำบลชลเชตร์ประเทศแถว | ลำเนาแนวสาขรินทร์ถิ่นสถาน | ||
ถึงสามร้อยยอดปลอดเปลี่ยวลำเดียวดาน | ดึกประมาณสามยามครั่นคร้ามใจ | ||
เขาว่าสลัดคอยสลักสำนักนี้ | มักเคยมีริมเขาเข้าอาศรัย | ||
เห็นเรือแพนาวาวิ่งมาไป | เอาหม้อไฟทิ้งทุ่มล้อมรุมกัน | ||
เข้าแย่งหยอบรอบรุกพิฆาตฆ่า | ใครน้อยกว่าสู้ไม่ไหวใครอาสัญ | ||
ที่เหลือตายกายตัวยอมกลัวมัน | ทำเช่นนั้นในที่นี้มีเนืองเนือง | ||
ประพฤติพาลการโกงเก่งฉกาจ | ถือฉลาดเห็นงามไปตามเรื่อง | ||
แม้นเรือเราเข้ามาทำให้ช้ำเคือง | ถึงจะเรืองแรงกำลังไม่ฟังมัน | ||
ปัจจามิตรจิตโหดทำเหลือเหตุ | ไม่เกรงพระเดชจอมวังณรังสรรค์ | ||
ปิ่นมกุฎอยุธยาวราธรรม์ | เปนฉัตรกั้นร่มเกล้าชาวนคร | ||
ปราบบรรดาข้าศึกฮึกเปนเสี้ยน | ให้ราบเลี่ยนหลีกหลบสยบสยอน | ||
บำรุงเลี้ยงไพร่ฟ้าประชากร | ให้ถาวรไปมาเที่ยวหากิน | ||
ทั้งบกเรือเหนือใต้รายเลขรอบ | โปรดประกอบประกาศกิจนิจสิน | ||
ยังลาดตระเวณเกณฑ์รักษาเป็นอาจิณ | พระเจ้าแผ่นดินตั้งพระทัยมิให้กวน | ||
พวกพาลทุพลสนธิเปรตเศษสลัด | เที่ยวสกัดก่อเป็นศึกใจฮึกหวน | ||
นิยมเห็นเป็นไปเป็นไม่ควร | ถึงเจอะจวนเข้าเดี๋ยวนี้ไม่หนีกลัว | ||
ขอพระฤทธิ์อิศราอาญาจักร์ | ช่วยพิทักษ์กั้นสกนธ์อยู่บนหัว | ||
บำรุงเลี้ยงเสี่ยงจิตอุทิศตัว | จิตมิกลัวตั้งมั่นไม่พรั่นพรึง | ||
จะยิงแย่งแทงฟันเอามันหมด | พวกคนคดขาดคิดพระคุณถึง | ||
มูลิกาฝ่าธุลีที่คำนึง | ด้วยได้พึ่งพระบรมสมภาร | ||
กลับเป็นศึกนึกเป็นเสี้ยนเบียฬรุกราษฎร์ | ล่วงอำนาจเจ้าแผ่นดินหมิ่นอาจหาญ | ||
เทวฤทธิ์สิทธิศักดิ์จักบันดาล | จูงสังขารสู่ที่เข็ญเห็นทันตา | ||
ใครขืนคิดจิตนำอำนวยผล | เพราะจิต...มืดมิดด้วยอิจฉา | ||
สันดานชาติขาดจิตคิดเมตตา | วิบากพาพวกผู้นั้นเกิดอันตราย | ||
แต่ศึกสลัดตัดจิตพอคิดสู้ | มาสิ้นรู้ด้วยศึกรักหักไม่หาย | ||
โอ้เกิดมาท่านว่าถูกลูกผู้ชาย | เหมือนเรือพายหมายจะข้ามห้วงน้ำวน | ||
ไปปะหญิงยิงเรือทะลุรั่ว | เรือคือตัวบุรุษชายที่ขวายขวน | ||
อาวุธหญิงสิ่งที่ว่าคือตาคน | ยิงเอาจนเรือนั้นล่มจมชะเล | ||
ที่ชนชายพายเรือไม่เฝือฟาก | เหมือนวิบากเราท่านเที่ยวหันเห | ||
สู้บวชเรียนเพียรจะพาเอากาเย | สู่ถึงเทวนิพพานสำราญรมย์ | ||
ไม่สมประสงค์เพราะมารักผู้หญิง | พายุ่งยิ่งยากเข็ญเป็นประถม | ||
ใครปรนนิบัติตัดได้ไม่นิยม | ดีฉันชมว่าผู้นั้นท่านเมธี | ||
ฉันตัดบ้างยังไม่ไหวทุกข์ใจฉัน | นั่งโศกศัลย์คิดถึงน้องจนหมองศรี | ||
คอยแลเรือสลัดมารุมราวี | ไม่เห็นมีเจ็กแขกปลอมแปลกทำ | ||
ยินแต่เสียงเลียงผาไก่กาสร | จิ้งจอกหอนลองไนเรไรร่ำ | ||
โฉงกเงื้อมเลื่อมเขาเป็นเงางำ | เสียงครึมครำลิงค่างร้องครางครวญ | ||
ค่อยล่องเรือเลียบผามาหน้าเกาะ | สำเนียงเสนาะสัตว์ระงมเมื่อลมหวน | ||
น้ำค้างพรมร่มพฤกษ์นึกรัญจวน | ให้ปั่นป่วนอกใจกระไรเลย | ||
สู้ฝืนจิตจับหนังสือขึ้นถืออ่าน | เป็นนิทานเรื่องราวกล่าวเฉลย | ||
ถึงท่านท้าวพรหมทัตพลัดคู่เชย | สลบเลยลงกับแท่นแสนระทม | ||
นางนงลักษณ์ภคินีสนมนาฏ | สำอางสะอาดสวยอื่นพันหมื่นถม | ||
น้ำพระทัยเธอไม่รักหนักอารมณ์ | เหมือนงามคมกากีศรีสุดา | ||
โอ้เรานี้มีแม้นไม่เหมือนนัก | โดยความรักจักเที่ยวเลือกเสือกเสาะหา | ||
ถ้าประสงค์คงคนมีที่เมตตา | เที่ยวขายค้ากินมานานทุกบ้านเมือง | ||
ได้เห็นโน่นเห็นนั่นไม่เหมือนนี่ | ที่ดีดีนวลเนื้อนั้นเหลือเหลือง | ||
ขืนเข้ามากล้ำกรายชายชำเลือง | ยังคิดเคืองไม่ประสงค์ที่นงเยาว์ | ||
แต่คราวนี้นี่กระไรที่ไหนหนอ | เล่นจนงออยู่กับที่เหมือนอิเหนา | ||
เมื่อจากนุชบุษบายุพาเยาว์ | เธอแสนเศร้ากะสันหายุพาพิน | ||
โอ้ตัวพี่พลัดพรากแต่จากสวาท | ใจจะขาดเสียด้วยนุชสุดถวิล | ||
สู้กลืนรักหนักหน้าน้ำตากิน | แทบจะสิ้นสูญหายกายสกนธ์ | ||
เอาขันหนุนต่างหมอนลงนอนหงาย | วิรุณปรายโปรยปรอยเป็นฝอยฝน | ||
ลอองหยาดสาดกระเซ็นเย็นสกนธ์ | มัวกระมลม่อยหลับกลับบันดาล | ||
ฝันว่าได้สายสมรมานอนแอบ | ถนอมแนบชิดชมภิรมย์สมาน | ||
ประคองกอดยอดยิ่งวิมลมาลย์ | แสนสำราญรื่นรื่นชื่นอารมณ์ | ||
ประจงจูบลูบคลำเค้นคลึงเคล้า | ทั้งสองเต้าประทิ่นกลิ่นผ้าห่ม | ||
ดูสองเนตรน้องชม้ายคายค้อนคม | พี่ได้สมสวาทนี้ความดีใจ | ||
เสมอเหมือนเลื่อนลอยจากสถาน | ขึ้นวิมานมรกตสุกสดใส | ||
ได้เชยสุรางค์นางสวรรค์นั้นฉันใด | ความดีใจจะประมาณก็ปานกัน | ||
รริกรรื่นชื่นชมสมสนิท | ปลุกปลื้มจิตปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
ผว่ตื่นฟื้นสมประดีพลัน | ไม่เห็นขวัญตาพี่เนาที่นอน | ||
แสนกำสรดถดถอยห้อนใจโหย | ให้กอบโกยความคำนึงถึงสมร | ||
ถวิลทวีอาทวาให้อาวรณ์ | คิดยิ่งค่อนทรวงเศร้าเปล่าอุรา | ||
ปานฉะนี้เป็นไฉนก็ไม่รู้ | แหงนแลดูเดือนกระจ่างหว่างเวหา | ||
พระจันทรจรครรไลในนภา | มีเมฆมามืดมิดปิดมณฑล | ||
รัศมีสีเศร้าสลดแสง | ไม่จ่มแจ้งท้องฟ้าเวหาหน | ||
ดูดวงเดือนเหมือนกับเราเศร้าสกนธ์ | หมองกระมลมืดมิดคิดอาลัย | ||
โอ้ยามนี้โฉมฉายสายสมร | จะอาวรณ์ถึงพี่บ้างหรือไฉน | ||
ได้มาเรียงเคียงคู่ชูชื่นใจ | จะกอดไว้มิได้วางให้ห่างกาย | ||
นั่งนึกมานึกไปใจเคลิ้มเห็น | เหมือนนั่งเล่นชานเรือนเดือนหงาย ๆ | ||
น้องมาเคล้าเฝ้าให้พี่เล่านิยาย | จึ่งอธิบายความให้ฟังเรื่องหลังมา | ||
ตำนานนี้มีผู้รู้ดูน้อยนัก | แม่แหงนพักตร์เพ่งยลบนเวหา | ||
ดูศะศิจันทรจรเมฆา | เห็นเต็มตาติดช่วงในดวงจันทร์ | ||
คือพระฉายกายศะศิพระโพธิสัตว์ | ดูไม่ชัดไกลพ้นบนสวรรค์ | ||
ด้วยเดิมกล่าวเล่ามาว่าพระจันทร์ | กระต่ายนั้นเนาในป่าพนาลี | ||
เวลาค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | ตัวต่ายต้อยเต้นตามความสุขี | ||
เห็นดวงจันทร์นั้นงามความยินดี | ถวิลทวีทะเวศกะสันทุกวันคืน | ||
จนซูบผอมตรอมใจด้วยไกลนัก | เศร้าแสนรักจันทร์โรจีไม่มีชื่น | ||
เจริญพระปริตธรรมทุกค่ำคืน | ใช่บทอื่นคือยัสสานุสสะระเณ | ||
พึงกำหนดบทนี้มีเบื้องต้น | สองนิพนธ์นาปีอันตลิกเข | ||
ตลอดสู่ภูมิยังหวังคะเน | พณะมะเหจบปริตพิสดาร | ||
ด้วยวาสนาบารมีโพธิสัตว์ | ผู้จะตรัสโปรดโลกโอฆสงสาร | ||
พระจันทร์ร้อนวิญญารู้อาการ | เหาะทยานจากแท่นทิพย์บรรทม | ||
เข้าข้างเคตียงเรียงศะศิโพธิสัตว์ | ทรงสัมผัสอุ้มชูขึ้นสู่สม | ||
ยังรถแก้วสุริกาญจน์สำราญรมย์ | กระต่ายชมชื่นแช่มแจ่มวิญญา | ||
องค์ศะศิโพธิสัตว์อธิษฐาน | ขอสมานฝากกายภายภาคหน้า | ||
ให้ฉายชิดติดตรงวงจันทรา | ประจักษ์ตาโลกสิ้นแผ่นดินดาล | ||
เหตุฉะนั้นจันทระชื่อศะศิ | เพราะตำหนิรูปกระต่ายในสัณฐาน | ||
สถิตจักรราษีทุกทิวาร | พิศถานไว้หวังเห็นเป็นมงคล | ||
ให้ฝูงสัตว์ทัศนาปัญญาพระ | ทรงวิริยะอุตโมวโรผล | ||
แต่ดวงจันทร์อันวิจิตรสถิตบน | ตัวต่ายตนเตี้ยต่ำเฝ้ารำพึง | ||
เจริญธรรมร่ำเร่งไม่เลยละ | ผลเดชะมรรคญาณบันดาลถึง | ||
ได้โดยหวังดังอารมณ์สมคำนึง | ข้อนี้จึงแจ้งจิตจำเป็นคำจริง | ||
เชิญแม่น้องตรองตรึกนึกบ้างหนา | เกิดกายมายากอยู่เป็นผู้หญิง | ||
พี่ขอสอนวอนหวังไม่ชังชิง | สมรมิ่งแม่อย่ามีราคีเคือง | ||
อภัยโทษแล้วอย่าโกรธว่าพี่ว่า | มาพูดจาแจ้งกระทู้คันหูเหือง | ||
พี่สอนสั่งหวังรักจักประเทือง | ให้รุ่งเรืองกายน้องไม่หมองมัว | ||
ธรรมดาสาธุชนคนเป็นหญิง | จะสุดสิ่งชั่วดีเมื่อมีผัว | ||
ครั้นสามสองหมองศรีราคีตัว | เหมือนทองกลั่วเกลือกธาตุตะกั่วนม | ||
แต่ตัวพี่นี้ได้เห็นเช่นมากหลาย | ชายพาชายเล่นเบี้ยเสียก็ถม | ||
เกลียดจริตคิดชังไม่หวังชม | ให้สาสมใจหญิงหยิ่งเป็นพาล | ||
ไม่เสงี่ยมเจียมจิตคิดสงวน | บอนกระบวนปากกล้าเที่ยวว่าขาน | ||
ให้ชายช้ำคำเหน็บเจ็บประจาน | อย่าสามานย์ข้อนี้ไม่ดีจริง | ||
อันตัวนางอย่างมณฑาผกาหอม | ควรถนอมกายอยู่เพศผู้หญิง | ||
สัญชาติชายคล้ายภมรมาวอนวิง | เว้นหยามหยิ่งอย่าดูถูกลูกผู้ชาย | ||
ด้วยเวทมนต์ดลคาถายาแฝดแฝง | จริงก็แจ้งประจักษ์อยู่ไม่รู้หาย | ||
เกลือกเขาหาพาผู้รู้อุบาย | กระทำกายย่อยยับอับประมาณ | ||
เสียงคนไอได้สติดำริห์จิต | เอะเราผิดลุ่มหลงด้วยสงสาร | ||
มัวละเมอเพ้อพำน่ารำคาญ | เล่านิทานให้ใครฟังนั่งเอกา | ||
พอมีสติตริตรึกนึกได้หน่อย | กลับเศร้าสร้อยโศกไห้อาลัยหา | ||
เห็นเป็นน้องย่องกริบฉิบเข้ามา | แอบก้มหน้านิ่งนั่งอยู่ข้างกระออม | ||
พี่ดูกังพลั้งเผลอละเมอพลอด | หวังว่ายอดเยาวมิตรสนิทถนอม | ||
มานั่งซ่อนหลอนหลอกหยอกคนกรอม | ยกแขนอ้อมกอดไว้มิได้คลอย | ||
ไม่นุ่มนิ่มเหมือนเนื้อน้องมองเป็นถัง | เอะเราคลั่งหลงใหลใจเหี่ยวหาย | ||
สุชลไนยไหลหลั่งพรั่งพรูพราย | เฝ้าฟูมฟายฝอยฟองนองสุชล | ||
ดาวก็เคลื่อนเดือนก็ดับลงลับหาย | แสงทองพรายพร่างฟ้าเวหาหน | ||
ขาวประเทืองเหลืองแดงเขียวแฝงปน | พระสุริยนเยื้องพริ้มขึ้นปริมดวง | ||
สนั่นเสนาะเพราะเสียงสำเนียงสัตว์ | พระพายพัดพุ่มไม้ไศลหลวง | ||
น้ำค้างหยาดสาดกระเซ็นมาเย็นทรวง | คิดถึงดวงเนตรนักพะวักพะวน ฯ | ||
ฯ ๓๙๗ คำ ฯ | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
ประชุมนิราศเมืองเพชรบุรี พ.ศ.๒๕๒๕