เพลงยาวสามชาย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|พลเงยาวสามชาย}} [[หมว…') |
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
||
แถว 4: | แถว 4: | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | ||
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]] | [[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]] | ||
- | '''ผู้แต่ง:''' [[]] | + | '''ผู้แต่ง:''' ตามที่กล่าวในเพลงยาว ชายที่ ๑ คือ [[พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ชายที่ ๒ กล่าวกันว่าคือ [[กรมหลวงวงศาธิราชสนิท]] เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวงศาสนิท ชาบที่ ๓ คือ [[พระสุริยภักดี (สนิท บุนนาค)]] บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ส่วนหญิงนั้นคือ [[คุณพุ่ม]] "[[บุษบาท่าเรือจ้าง]]" |
- | + | ||
- | + | เพลงยาวสามชายเป็นเพลงยาวแต่งเทียบเรื่องอิเหนา ชายที่ ๑ เป็นอิเหนา ชายที่ ๒ เป็นสังคามาระตา ชายที่ ๓ เป็นประสันตา โต้ตอบกับหญิงซึ่งเป็นมะเดหวี | |
+ | |||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
===บทที่ ๑ ของชายที่ ๑=== | ===บทที่ ๑ ของชายที่ ๑=== |
รุ่นปัจจุบันของ 16:02, 25 สิงหาคม 2553
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ตามที่กล่าวในเพลงยาว ชายที่ ๑ คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ชายที่ ๒ กล่าวกันว่าคือ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวงศาสนิท ชาบที่ ๓ คือ พระสุริยภักดี (สนิท บุนนาค) บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ส่วนหญิงนั้นคือ คุณพุ่ม "บุษบาท่าเรือจ้าง"
เพลงยาวสามชายเป็นเพลงยาวแต่งเทียบเรื่องอิเหนา ชายที่ ๑ เป็นอิเหนา ชายที่ ๒ เป็นสังคามาระตา ชายที่ ๓ เป็นประสันตา โต้ตอบกับหญิงซึ่งเป็นมะเดหวี
บทประพันธ์
บทที่ ๑ ของชายที่ ๑
๏ สงสารสามอนุชานิจจาเอ๋ย | |||
เชษฐาช่างไม่เห็นอกวิตกเลย | มีแต่เย้ยเย้าเล่นอยู่เช่นนั้น | ||
เฝ้าบอกแต่ธุระร้อนแกล้งผ่อนผัด | ถึงสามนัดแล้วเมืองคงคำมั่น | ||
ให้น้องคลั่งนั่งนึกปรึกษากัน | จนนอนฝันว่าเชษฐาจะพาไป | ||
น้องลืมเลยเคยศึกษาวิชาทหาร | ทั้งการงานก็ไม่สู้เอาใจใส่ | ||
พากันร้อนร่านรักหนักฤทัย | ด้วยจะใคร่พบพักตร์อีกสักคราว | ||
ถึงลำบากยากอย่างไรก็ไม่ว่า | จะสู้ฝ่าฟ้าฝนไปทนหนาว | ||
พอได้สนิทชิดเชื่องเป็นเรื่องราว | ครั้นได้ข่าวให้มานัดเป็นสัจจา | ||
ว่าจะไปในราตรีวันนี้แน่ | ก็กริ่งแต่จะไม่ต้องพี่ปรารถนา | ||
ถึงกระนั้นก็ยินดีทั้งปรีดา | ขอแต่อย่าหน่วงเหนี่ยวให้เหี่ยวใจ | ||
อันที่จะให้น้องแน่พอแก้หนาว | ก็ได้ข่าวคำลือว่ารื้อไข้ | ||
พี่เอ็นดูอนุชาช่วยพาไป | จึงจะได้เห็นว่าเมตตาน้อง | ||
จงพร้อมความตามประสงค์จำนงหมาย | พอห่างหายคลายกังวลกมลหมอง | ||
อย่าหนีเร้นเช่นวันมิปรองดอง | จะต้องร้องตะโกนเรียกกันเพรียกไป | ||
อันเรื่องหนึ่งนั้นเชษฐาได้รับที่ | มะเดหวีไว้นั้นลืมแล้วฤาไฉน | ||
ถึงจะขัดอยู่ด้วยเขินสะเทินใจ | น้องก็ไม่น้อยจิตคิดขุ่นเคือง | ||
แต่ธรรมดาว่าเป็นมะเดหวี | ต้องปรานีข้างอิเหนาตามราวเรื่อง | ||
จะคิดไปให้ถึงเข้ามาเผาเมือง | ก็อายชื่อจะลือเลื่องทั้งแดนดิน | ||
จะขอแปลงแต่งอิเหนาเสียอย่างใหม่ | เป็นมะเดหวีช่วยให้ได้สมถวิล | ||
ชำระเรื่องเปลื้องปลดหมดมลทิน | จึงจะยินดีได้โดยใจนิยม | ||
อันทุกข์น้องสองวิตกโอ้อกเอ๋ย | ไม่เห็นเลยใครจะช่วยให้เสร็จสม | ||
จะนอนนั่งตั้งแต่ร้อนฤทัยระทม | ให้ปรารมภ์กลัวว่าพี่มิเมตตา | ||
สิ่งใดข้องน้องขออภัยโทษ | จงอวยโอษฐ์อนุญาตดังปรารถนา | ||
ขอเชิญไปเสียสักวันตามสัญญา | ต่อกลับมาจึงค่อยพร้องสนองเอย | ||
ฯ ๒๔ คำ ฯ | |||
บทที่ ๒ ของชายที่ ๓
๏ ประสันตาคนคะนองสนองสาร | |||
นี่เรื่องใหม่ใช่อิเหนาสำเนาบุราณ | ได้คิดอ่านยินยอมกันพร้อมใจ | ||
อันบาหยันนั้นสิของประสันตา | ก็บุษบาของระเด่นนั้นจะเป็นไฉน | ||
มะดีหวีจึงมิว่าจะพาไป | จนอิเหนาเฝ้าเป็นไข้คะนึงนาง | ||
เตือนให้ช่วยด้วยเห็นดีกว่านิ่งอยู่ | เผื่อว่าพี่จะเอ็นดูแก่น้องบ้าง | ||
สงสารนายต้องตะกายไปนอกทาง | ซึ่งว่านางบาหยันขันเข้ามา | ||
ทั้งนวดพัดจะจัดแจงแต่งให้ | แล้วกลัวว่าจะไม่ได้เหมือนเช่นว่า | ||
อย่าเพิ่ดำริติเตียนประสันตา | ผิดก็พามามอบไว้กับนาย | ||
สุดแต่จะคิดสางให้สิ้นยุ่ง | ถ้าอิเหนาสมมุ่งก็สมหมาย | ||
ที่จะพร้องสองสามเป็นความปลาย | ขอเชิญไปชมเดือนหงายเล่นอีกเอย | ||
ฯ ๑๐ คำ ฯ | |||
บทที่ ๓ ของหญิง
๏ สดับบทที่กำหนดมาโนสาร | |||
ว่าเรื่องใหม่ใช่สำเนาอิเหนาบุราณ | ท่านคิดอ่านเห็นพร้อมกันยอมใจ | ||
อันบาหยันนั้นก็จริงเหมือนเช่นว่า | แค่บุษบาเหลืออกจะยกให้ | ||
องค์อิเหนาเฝ้าประชวรป่วนพระทัย | มะเดหวีมิใช่เช่นเรื่องราว | ||
เพราะสุจริตคิดตามอารมณ์รัก | ไม่เทียงพักตร์บุษบาจึงพาฉาว | ||
ต้องขัดบทกำหนดนัดผัดคราว | ไว้เป็นหล่าวนางเชลยที่เคยเป็น | ||
เพราะนอกทางจึงค้างบทต้องงดเรื่อง | ประทานโทษเสียอย่าเคืองเป็นเรื่องเล่น | ||
ที่นัดใหม่มิใช่เรื่องฉันขอเว้น | ประสันตากับระเด่นเร่งตรึกตรอง | ||
ต่อสี่กษัตริย์นัดพร้อมมโนกาหลัง | สมดังมาดมุ่งบำรุงสนอง | ||
นางเชลยเคยเป็นข้าผัวละออง | จึงจะพาไปรองธุลีเอย | ||
ฯ ๑๐ คำ ฯ | |||
บทที่ ๔ ของชายที่ ๒
๏ ขนิษฐ์น้อยพลอยโสมนัสสา | |||
พี่แต่ตั้งเป็นสังคามาระตา | จะขอว่าให้เห็นความแต่ตามจริง | ||
ฉันสำหรับพนักงานการแต่งถ้ำ | อันเรื่องน้ำจะต้องหาแต่ท่าตลิ่ง | ||
ใช่ฉันจะลามล่วงเข้าท้วงติง | ด้วยคิดกริ่งอยู่ที่ข้อจะต่อไป | ||
พี่รับที่มะเดหวีไว้วันนั้น | ต่อหน้าฉันมั่นคำยังจำได้ | ||
ครั้นประสันตาเตือนเห็นเบือนไป | ก็เสียใจแต่ว่ายังจะฟังดู | ||
ด้วยเชษฐาได้แถลงไว้แจ้งประจักษ์ | จึงถือว่ารักข้างอิเหนานี้มากอยู่ | ||
แม้นขอบช่องเข้าก็เห็นจะเอ็นดู | อยากจะรู้ถึงปัญญาเชษฐาคิด | ||
เมื่อไรหนอจะเสร็จสมอารมณ์หมาย | น้องจะได้เคลื่อนคลายสบายจิต | ||
จะรับส่วนนางเชลยไปเชยชิด | ให้เป็นสิทธิ์สักสองสามตามจินดา | ||
พี่ช่วยตัดลัดเรื่องให้สมหวัง | ถึงสักขีที่กาหลังเสียนัดหน้า | ||
นี่ปลายบทสังคามาระตา | ขอเชษฐาหาให้อีกคนเอย | ||
ฯ ๑๒ คำ ฯ | |||
บทที่ ๕ ของหญิง
๏ ฟังสังคามาระตาน่าสงสาร | |||
ต้องแต่งถ้ำทำทำมาช้านาน | กำหนดการก็ไม่แน่ยังแชเชือน | ||
ฉันรับบทมะเดหวีไม่หนีคำ | แต่บุษบาจะพลอยทำให้จำเปื้อน | ||
ไม่แน่ไหนแค่อาลัยไหลเลือน | อึ้งเอื้อนอยู่ไม่อาจจะขาดคำ | ||
ให้ตัดกลางสร้างหนังแล้วแล้วฤา | เกรงแอหนังจะรื้อฉันเข้าค่ำ | ||
มะเดหวีไม่มีบทกำหนดทำ | แท้บุษบาเจ้ากรรมของฉันเอย | ||
ฯ ๖ คำ ฯ | |||
บทที่ ๖ ของชายที่ ๑
๏ เนาในติกาหรังวังสถาน | |||
เป็นไข้ใจให้อาวรณ์ร้อนรำคาญ | แต่คิดการที่ลอบประโลมลอง | ||
พออนุชาคู่คิดขนิษฐา | กับพี่เลี้ยงประสันตามาทั้งสอง | ||
เข้าชี้แจงแถลงความตามทำนอง | เอาอักษรสารสนองให้น้องยล | ||
ทั้งสองฉบับสดับเรื่องเห็นเคืองขึ้น | ก็นิ่งอึ้งอัดจัดด้วยคิดฉงน | ||
เมื่อวานว่าตามประสาเข้าตาจน | ฤาไม่พ้นความผิดมาติดตัว | ||
น้องตอบโดยน้ำจิตสุจริตรัก | ระวังนักมิให้มีราคีกลั้ว | ||
ด้วยว่าเป็นงานประชันเข้าพันพัว | จะเปลื้องตัวเสียก็อายแก่ชายชาญ | ||
ฉันขอบคุณพี่การุญร่ำพ้อตัด | น้องก็รู้อยู่ชัดว่าขมหวาน | ||
ถึงสักหมื่นอื่นฤาจะเทียมประทาน | ก็ไม่นานดอกจะได้เห็นใจน้อง | ||
ครั้นฟังฟัฟก็น่าสรวลสำรวลเล่น | ว่านางเชลยนั้นไม่เป็นเช่านสารสนอง | ||
เหมือนตีปลาหน้าไซไม่ปรองดอง | ถ้ารักน้องแล้วอย่าฉาวเสียงคราวครวญ | ||
ทุกวันนี้อนุชาอุตส่าห์ชื่น | ทั้งเช้าค่ำกล่ำกลืนแต่กำสรวล | ||
เป็นหลายทุกข์หลายเท่าเข้าประมวล | ให้รัญจวนใจสวาทเพียงขาดใจ | ||
ดังแผ่นทรวงพุพองเป็นหนองทราม | อย่าได้ถามเลยว่าเจ็บสักเพียงไหน | ||
ยิ่งเยียวยาโรครักยิ่งหนักไป | ไม่เห็นใครที่จะมาพยาบาล | ||
ชะรอยบุญบุพเพพาสนา | จึงเชษฐาให้มีจิตคิดสงสาร | ||
มาถามดูรู้แน่ในอาการ | รับเป็นภารธุระมั่นช่วยผันแปร | ||
ว่าโรคทรวงพังพองเพราะข้องขัด | เอาไม้กลัดเสี้ยมส่งให้บ่งแผล | ||
ก็พลันหายคลายเจ็บในดวงแด | ยังเป็นแต่เฝ้าติดอยู่นิดเดียว | ||
น้องมิได้มีจิตคิดเข็ดขาม | จะรื้อเข้าสู้สงครามสิหนามเกี่ยว | ||
กลับอักเสบแสบยิ่งจริงจริงเจียว | โอ้ใครจะเยียวยาเล่าคิดเศร้าใจ | ||
ก็เห็นแต่พี่ซึ่งมีเมตตาน้อง | จะตรึกตรองให้เห็นความหนามนี้ได้ | ||
ทั้งช่วยคิดประกอบยาทาหทัย | นั่นแลไข้ใจฉันจะพลันคลาย | ||
ที่เชษฐาปรานีนุชช่วยอุดหนุน | ก็คิดคุณพี่อยู่ไม่รู้หาย | ||
จะจงรักไปกว่าชีวาวาย | น้องนี้หมายใจเป็นหนึ่งจะพึ่งพา | ||
อันกำเนิดเกิดมาเป็นบุรุษ | ได้ทุกข์สุดก็แต่สิ่งเสน่หา | ||
กับมานะในสันดานการพูดจา | สุดแต่ว่าเป็นชายอย่าหมิ่นชาย | ||
น้องจะสู้สงคราวด้วยความคิด | ถ้าสิ้นฤทธิ์รู้แน่จะแพ้พ่าย | ||
ก็จะเข็ดเรื่องนี้เป็นนิยาย | ขึ้นถวายไว้ให้เล่นละครรำ | ||
ซึ่งสังคามาระตาขอตัดบท | ก็ทราบหมดว่ายังเลื่อนแลเอื้อนอ้ำ | ||
บุษบาราคาแพงควรแคลงคำ | แต่ว่าจำจะรังแกให้แชเชือน | ||
แต่รุ่นเยาว์เท่าบัดนี้นะเชษฐา | ได้น้อยใจครั้งไรมาไม่มีเหมือน | ||
ดังจารึกด้วยหมึกหมายถึงลายเลือน | ยากจะเกลื่อนเกลี่ยไกล่ให้หายรอย | ||
น้องสนองพจมานสารสวัสดิ์ | สารพัดสัตย์ซื่ออย่าถือถ้อย | ||
ถ้าข้อไหนไม่งามเงื่อนแลเลื่อนลอย | จงตรองหน่อยอย่าด่วนแหนงระแวงเอย | ||
ฯ ๓๖ คำ ฯ | |||
บทที่ ๗ ของชายที่ ๑
๏ ได้ฟังข่าวกล่าวไข้ก็ใจหาย | |||
ว่าจับสะท้านหนาวเย็นเป็นมากมาย | ทั้งผิวกายก็ร้อนรุ่มคลุมสไบ | ||
โภชนากระยาหารก็ลืมรส | อันโอสถซึ่งเคยประกอบหาชอบไม่ | ||
เห็นอาการจะนานคลายหลายวันไป | ดังจิตใจน้องจะขาดอนาถทรวง | ||
แต่เวียนถามโรคาเชษฐาน้อง | มิได้พร้องเลยในกิจการหลวง | ||
ดังแสนเขาเท่าทับฤดีดวง | ให้เหงาง่วงหงอยจิตคิดคะนึง | ||
ครั้นจะใช้คนสนิทธิดาเลี้ยง | มากล่างเกลี้ยงคำงามถามข่าวถึง | ||
ก็เกรงคนจะแหนงในสงสัยอึง | ด้วยพี่พึ่งจะนับน้องครองไมตรี | ||
ถ้าไปได้น้องจะไปให้ถึงสถาน | พยาบาลโรคารักษาพี่ | ||
จะชะอ้อนวอนถามไปตามที | ให้ปรานีบอกโรคที่รึงกาย | ||
ทั้งจะวอนให้อุตส่าห์เสพอาหาร | เห็นอาการเชษฐานั้นจะพลันหาย | ||
นี่ตัวไกลใจเพียงจะขาดตาย | ได้แต่คอยข่าวคลายไม่วายวัน | ||
อันอกน้องที่ต้องหนามสองสามแผล | ก็กำเริบขึ้นแหลแท้เวรฉัน | ||
จึงเผอิญให้เจ็บป่วยลงด้วยกัน | เห็นแสงจันทร์แล้วยิ่งแสนเสียดายเดือน | ||
จะแก้ใจด้วยกาพย์กลอนละครคิด | โคลงลิลิตกระบี่ปืนไม่ชื่นเหมือน | ||
ยามนอนนอนกระสันนึกฟั่นเฟือน | คิดจะเตือนก็พอทราบซึ่งอาการ | ||
อนุชาพากันวิตกนัก | จึงลิขิตลายลักษณ์อักษรสาร | ||
มาต่างกายอยู่รักษาพยาบาล | อย่าไข้นานเลยจงหายเคลื่อนคลายเอย | ||
ฯ ๑๘ คำ ฯ | |||
บทที่ ๘ ของหญิง
๏ อภิวาทรับกระดาษบรรหารสาร | |||
นิพนธ์ทรางแทนพระโอษฐ์โปรดประทาน | ได้ทราบสารก็สิ้นแคลงระแวงวน | ||
ดังสุหร่ายทิพย์โรยโปรยละออง | ชำระหมองกระหม่อมฉันสักพันหน | ||
มิเสียแรงที่เพรียรพากฝากสกนธ์ | ถวายชนม์ชีพไว้ใต้บาทมูล | ||
สัจจังจิตมิได้คิดรำพันพ้อ | คิดว่าก่อไม่สานตามเกรงความสูญ | ||
เมื่อตรัสประภาษสิไม่อาจสนองทูล | เกรงจะพูนเพิ่มผิดเมื่อปลายมือ | ||
จึงทูลฉลองโดยทำนองสุจริต | กระหม่อมฉันนั้นคิดตามจิตซื่อ | ||
ไม่ลบล้างบทเบื้องให้เคืองครือ | ใช่จะรื้อเสียไม่ริดำริตรอง | ||
ทุกวันนี้เว้นแต่หลับจึงลืมตรึก | คะนึงนึกถึงพระคุณการุญสนอง | ||
ที่สิ่งชั่วมิให้กลั้วใต้ฝ่าละออง | ที่สิ่งเคืองมิให้ข้องพระอัธยา | ||
ประสาใจโดยที่สุจริต | ระแวงผิดจะติดพันไปวันหน้า | ||
เหมือนทรงดำรัสตัดพ้อในอักขรา | ว่าตีปลาหน้าไซไม่ปรองดอง | ||
ยามการุญก็เป็นคุณอยู่ส่วนตัว | แม้นไม่โปรดก็จะชั่วมัวหมอง | ||
ใช่ทูลทัดให้ขัดเคืองใต้เบื้องละออง | มาเกี่ยวข้องเป็นเช่นนี้นี่เนื้อกรรม | ||
ก็ทราบสิ้นอยู่ว่าปิ่นกษัตริย์ศึก | หมายนึกในสงครามจะห้ำหั่น | ||
ก็ย่อมหมายชนะกะได้กัน | กระหม่อมฉันฤาจะกล้าเข้าฝ่าเกิน | ||
ซึ่งหนามความรับสั่งมาครั้งนี้ | ว่าหมดดียาชะงัดตรัสสรรเสริญ | ||
รับสอยส่งให้บุพโพเดิน | ไม่ทันเนิ่นสิหนามเกี่ยวน่าเหี่ยวใจ | ||
รับสั่งให้ประกอบยาทาแผลหนาม | พิเคราะห์ความข้อนี้น่าสงสัย | ||
พระโรคคลายย้ายยักกลับหนักไป | จนแพทย์ไม่ทันตรึกรำลึกยา | ||
เห็นเหลือหมอจะหายาทาพระแผล | เกรงพระโรคจะแปรไปวันหน้า | ||
เมื่อแพทย์เดียวเวียนค้นตำรา | เฝ้าตรึกตราถึงพระโรคจนเจียนงอม | ||
ซึ่งจะให้เสื่อมคลายหายแผลหนาม | ทรงจับความเรื่องปลายที่หมายถนอม | ||
เห็นพอจะคลายลงที่ทรงตรอม | นั่นแหละทูลกระหม่อมเป็นทิพยา | ||
ใช่จะทูลเกี่ยงกันนั้นมิได้ | ด้วยสุดใจเหลืออกจะยกว่า | ||
ซึ่งออกพระโอษฐ์โปรดปรานประทานมา | จะชุบเลี้องไปกว่าชีวาวาย | ||
พระคุณเหลือเจือจอมกระหม่อมชุ่ม | ดังโพธิ์พุ่มแม่นมั่นสำคัญหมาย | ||
ขอรองบาทยุคลจนวันตาย | ไม่หนีหน่ายหลีกเลี่ยงคิดเบี่ยงเบือน | ||
จะทอกกายหมายว่าแทนฉลองบาท | ธุลีพาดมิให้หมองละอองเปื้อน | ||
อาสาโดยสุจริตไม่บิดเบือน | ไม่ลอยเลื่อนหมายเป็นหนึ่งจะพึ่งพา | ||
เว้นเสียแต่ในภพนภาพื้น | นั้นสุดฝืนที่จะฝ่าทูลอาสา | ||
ที่จัดจริงทุกสิ่งสนองมา | เป็นสัจจาสารพัดจะขัดเคือง | ||
อันสารสนองรองเบื้องบทรัช | ไม่สันทัดทูลความไปตามเรื่อง | ||
ที่ข้อไหนไม่ประจักษ์ยังยักเยื้อง | ประทานโปรดอย่าเคืองเบื้องบาทเอย | ||
ฯ ๓๔ คำ ฯ | |||
บทที่ ๙ ของชายที่ ๑
๏ สดับสารแสนโสมนัสสา | |||
ปานจุลจักรพรรดิขัตติยา | ได้จินดาดวงรัตน์จำรัสเรือง | ||
ทราบสุนทรที่อำนวยอวยโอษฐ์ | เสนาะโสตแสนประคิ่นจนสิ้นเรื่อง | ||
สารพัดจะการุญไม่ขุ่นเคือง | แต่ยักเยื้องอยู่ที่ข้อจะต่อความ | ||
ขอเชษฐาอย่าได้แคลงแหนงฉงน | อันอนุชานี้เป็นคนเคยสนาม | ||
ถ้าใครก่อพอเห็นเส้นคงสานตาม | มิใช่จะลามย่ามใจไม่เกรงกลัว | ||
ด้วยเหตุว่าเป็นเนื้อน้ำธรรมชาติ | ถึงจดมาศมิได้มีราคีกลั้ว | ||
จึงสู้ออมตรอมจิตไม่คิดกลัว | จนพันพัวเพิ่มวิตกในอกน้อง | ||
ฉันบอกพี่ว่าหนามเหน็บที่เจ็บเหลือ | ก็มิเชื่อเนื้อกรรมมาจำสนอง | ||
ที่ข้อแคลงแหนงฤทัยในทำนอง | ไม่การุญขุ่นข้องหมองกมล | ||
น้องใจซื่อถือว่าพี่เป็นที่หวัง | จะปลูกฝังแล้วควรรักเป็นพักผล | ||
เหมือนหว่านกล้านาปรังริมฝั่งชล | จะงามต้นไปทุกกอแตกหน่อรวง | ||
อย่าประวิงกริ่งเหตุเลยเชษฐา | ว่าน้อน้อยจะเสียนาต้องคว้าสวง | ||
จงเห็นรักประจักษแจ้งใช่แสร้งลวง | ก้ควรท้วงแล้วที่กลัวจะมัวไป | ||
ฉันขอบคำพี่ร่ำว่าเมตตาน้อง | ช่วยตรึกตรองเว้นแต่หลับหาลืมไม่ | ||
ครั้งนี้น้องก็หมายมั่นสำคัญใจ | จะรื้อไข้ก็เพราะพี่พยาบาล | ||
ซึ่งให้จับเรื่องปลายจะคลายเจ็บ | เมื่อหนามเหน็บอยู่ยังหาแต่ยาสมาน | ||
เห็นเหลือกำลังประทังทุกข์ที่ทรมาน | กระยาหารมื้อหนึ่งลงครึ่งช้อน | ||
ถึงจะสูญสิ่งสวาทสิ้นวาสนา | น้องจะเอาใจไว้ท่าเชษฐาก่อน | ||
จะสู้ยากพากเพียรไปเวียนวอน | กว่าจะอ่อนผ่อนจิตคิดเมตตา | ||
ซึ่งเชษฐาตอบตัดว่าขัดข้อง | ด้วยโรคน้องนี้ยังยากเหลือรักษา | ||
ฉวยหายแล้วจะกลับเล่าเฝ้าขอยา | ฟังพี่ว่าก็เห็นต้องทำนองความ | ||
อันธรรมดาหญิงชายทั้งหลายหมด | ควรกำหนดได้ฤาหนอน้องขอถาม | ||
ย่อมทุกข์โศกโรคร้อนทุกรูปนาม | ใครไม่ห้ามหักได้ใจเจตนา | ||
เป็นนิสัยประเพณีชาตรีบุรุษ | มิรู้สุดสิ้นสวาทแลปรารถนา | ||
ควรฤาพี่ช่างไม่คิดอนิจจา | ให้อนุชาทุกข์ตรอมออมอาลัย | ||
จงเห็นว่าน้องหมองจิตคิดขัดสน | เหมือนนอนว่ายสายชลชเลไหล | ||
จะหมายฝั่งมหาสมุทรก็สุดไกล | จะพึ่งไม้ขอนน้อยก็ลอยเคียง | ||
จะอ่อนแรงสิ้นกำลังประทังว่าย | ก็หมายใจว่าจะตายนี้แท้เที่ยง | ||
ได้แต่กุศลผลสัตย์ไว้เป็นเสบียง | บำรุงเลี้ยงชีพว่ายอยู่หลายวัน | ||
อันพี่นางอย่างเทพอัปสร | ซึ่งเขจรจากสถานพิมานสวรรค์ | ||
มาช่วยน้องในมหาสาครคัน | ให้รอดชีวันพ้นชลเวทนา | ||
ทุกวันนี้ไม่ลับล่วงเพราะห่วงน้อง | ด้วยรักสองดรุณเรศกับเชษฐา | ||
เหมือนถือสัตย์ว่ายวนในชลชลา | จนนางฟ้ามาชูช่วยไม่ม้วยมรณ์ | ||
จะเปรียบปรายคล้ายพระลอรัญจวนจิต | เมื่อต้องวิทยาน้องสองสมร | ||
ไม่อาลัยในสุรางค์แลนคร | สู้สัญจรไปสมสองได้ครองกัน | ||
อันเรื่องอิเหนานั้นก็คิดเป็นนิจอยู่ | จะพันตูสู้ศึกสงครามขัน | ||
แต่ยังขัดอยู่ด้วยแผลนี้แก่วัน | ฤาแสงจันทร์นั้นไม่คอยน่าน้อยใจ | ||
โอ้ดวงเดือนเลื่อนฟ้าวราฤทธิ์ | ยังดลจิตพี่นางบ้างฤาไฉน | ||
ให้พาน้องสองสมรเขจรไป | พอพี่ได้พบพักตร์รู้จักเอย | ||
ฯ ๔๐ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๐ ของหญิง
๏ ชลีกรอ่อนศิโรตม์รับสั่งสาว | |||
น้อมสดับจับโสตโปรดประทาน | พระบรรหารล้วนเลิศประเสริฐทรง | ||
ดังตรีเนตรประเวศดาวดึงส์หวัง | ประสิทธิ์สังขวารินมาโสรจสรง | ||
เฉลิมยศปรากฏขจรพงศ์ | เป็นฉัตรทรงร่มเกล้ากระหม่อมเย็น | ||
พระเดชานุภาพเพียงปราบภพ | ไม่เล็งลบในทวีปชมพูเห็น | ||
พระเมตตาดังมหาพิรุณกระเซ็น | มิได้เว้นว่างหน้าข้าละออง | ||
น้ำพระทัยใสสุดจะเอื้อมอ้าง | จะไว้หว่างเกล้าจอมกระหม่อมสนอง | ||
ประภาษพจน์แต่ละคำดังจำลอง | จารึกทองไว้กับแผ่นศิลางาม | ||
ด้วยการุณังหวังพระทัยในนพมาศ | แต่ธรรมชาตินี้เชื่อเพื่อเนื้อสาม | ||
เพราะน้ำอ้อมช่วยถนอมจึงชูนาม | เห็นไม่งามรับยาราชาวดี | ||
ที่ตรงแท้แน่นพคุณถ้วน | นั่นแหละควรเครื่องคู่ให้ชูศรี | ||
อันเนื้อต่ำช้ำยาราชาวดี | ที่ทูลนี้โดยรักไม่ชักแช | ||
ก็ทราบสิ้นในระบิลพระโรครบ | หนามกระทบยอกช้ำระกำแผล | ||
ทำไมกับเสี้ยนนิดไม่คิดแปร | วิตกแต่ข้างสงครามให้งามควร | ||
ซึ่งนิสัยประเพณีชาตรีบุรุษ | มิรู้สุดสิ้นมาดสวาทหวน | ||
ก็ชอบชื่อในรหัสตรัสประมวล | ประทานถ้วนทูลถามด้วยความแคลง | ||
อันธรรมดาว่ากุมารประธานโลก | จะซูบโศกเฝ้าช้ำเป็นคำแฝง | ||
ด้วยสงครามนั้นสิค้างอยู่กลางแปลง | ว่าศึกทรวงหน่วงแย่งไว้หว่างการ | ||
จะยั้งทัพกลับรอพอปะทะ | รักษาแผลพระอุระเห็นผิดสาร | ||
ฤาเยื้องเล่นเช่นราชาธิราชมอญ | นั่นทหารลองพระทัยในแจ้งจริง | ||
เมื่อทูลกระหม่อมนี้เป็นจอมจรรโลงเลิศ | พระโรคเกิดตรัสเยื้องอย่าเรื่องสมิง | ||
เห็นไม่ต้องพระธรรมนูญทูลท้วงติง | ประทานโทษโปรดอย่ากริ่งว่าทูลเกิน | ||
พระวาจังหวังเกล้ากระหม่อมเปรียบ | ประทานเทียบเทียมเทพสรรเสริญ | ||
เป็นอัปสรรักษาชลาเนิน | สำหรับเชิญช่วยชีพให้พ้นชล | ||
ก็ควรขอบชอบพระกำหนดอ้าง | แต่ใช่นางจะช่วยสุขทุกแห่งหน | ||
จะขึ้นพ้นกระสินธุ์สายที่ว่ายวน | นั่นกุศลส่วนพระองค์ดำรงชู | ||
อันสองนางอย่างเรื่องพระลอดิลก | ประทานยกบทห้ามยังคร้ามอยู่ | ||
จับเมื่อจากหมันหยามาพันตู | จะได้ดูระเด่นโศกวิโยคโทรม | ||
ศศิธรจรดลบันดาลเดช | ก็สังเกตตามรับสั่งยังบังโฉม | ||
ไม่เด่นดวงมืดมิดปิดโพยม | สุดที่โทมนัสคอยน่าน้อยใจ | ||
อนิจจาแขดวงจะล่วงรีบ | สี่ทวีปส่องสว่างกระจ่างไข | ||
ที่มืดมนัสขัดข้องหมองฤทัย | ไม่เรื่อไรเมฆปิดเจียนมิดดวง | ||
ทั้งสูงโสตนับโยชน์เหลือโอษฐ์แถลง | ชมแต่แสงไม่ทันสิ้นเมฆินทร์หวง | ||
สู้ทนมืดฝืดช้ำระกำทรวง | จะถามท้วงเกรงจะเคืองเบื้องบาทเอย | ||
ฯ ๓๔ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๑ ของชายที่ ๑
๏ สำเนาลักษณ์อักขรานุชาสนอง | |||
โดยระบอบชอบความตามทำนอง | สิ่งใดข้องคำขัดอย่าตัดใจ | ||
ซึ่งสรรเสริญอนุชามาทั้งเรื่อง | ก็กระเดื่องดินฟ้าสุธาไหว | ||
สมพรปากให้เป็นจริงทุกสิ่งไป | น้องจะได้โกยกองสนองคุณ | ||
ว่านพมาศชาติทองคำเป็นน้ำสาม | ช่วยชูนามย้อมเนื้อเกื้อหนุน | ||
ฟังก็งามตามประสาไม่การุญ | เหมือนน้ำขุ่นแต่กลั้วกลิ่นจึงกินเย็น | ||
อันที่กำเนิดเกิดบ่ออุไรร่อน | ทั่วนครที่มีอยู่น้องรู้เห็น | ||
ได้ร่อนแล้วแล้วก็ได้ไปไว้เป็น | จะชี้เช่นน้ำเนื้อเห็นเหลือประมาณ | ||
ถึงบ่อบางตะพานใหญ่ก็ได้ฟื้น | ก็ไม่ยินเนื้อน้ำซ้ำแตกฉาน | ||
อันอัตปือเขาลือแร่แต่บุราณ | น้องก็พานพบบ่อได้พอเพียง | ||
แต่ร่อนลองสองตำบลจนล้นเหลือ | จะถือว่าเนื้อแปดที่ไหนนั้นไม่เกี่ยง | ||
บ้างสูงน้ำต่ำนิดพอชิดเคียง | บ้างก็เพียงสี่เศษสังเกตตา | ||
อันบ่อบางตะพานน้อยนี้ลอยเลิศ | เป็นที่เกิดชมพูนุทเห็นสุดหา | ||
ถึงร่อนได้ก็แต่ล้วนคู่ควรราคา | จึงอุตส่าห์สู้ลำบากพากเพียรกาย | ||
จะสูงต่ำน้ำเนื้อนั้นทราบสิ้น | แต่รักถิ่นธรรมชาติจึงมาดหมาย | ||
ทำไมกับการสงครามเป็นความปลาย | ซึ่งจักนิยายรามัญรำพันมา | ||
นั่นยกไว้ต่อเมื่อแน่จะแพ้ฤทธิ์ | จึงจะคิดหาเหตุสองเชษฐา | ||
เป็นมั่นแม่นแม้นมิเฮก็ได้ฮา | พี่แต่งตาไว้คอยดูเงี่ยหูฟัง | ||
เมื่อหนามเหน็บเจ็บสวาทเพียงขาดชีพ | ฤากลับบีบให้แผลช้ำเนื้อกรรมหลัง | ||
สงสารตัวมัวรักพี่จริงจัง | พี่หากชังน้องนี้แน่จึงแปรปรวน | ||
โอ้อาลัยประหนึ่งใจจะจากร้าง | ฤาพี่นางก็มาเอื้อนให้เตือนหวาน | ||
แม้นรู้ว่าถ้ามิได้แล้วไม่กวน | จะสู้ม้วนหน้าเศร้ากอดเข่าตรอม | ||
นี่เวรเคยได้เชือนชักสมัครสมาน | ทรมานมิใช่คู่เข้าชูถนอม | ||
มาตามทันชาตินี้มีแต่ตรอม | สุดจะอ้อมอกช้ำระกำใจ | ||
ครั้นคิดคำที่ร่ำว่าเมตตาน้อง | สิ่งประสงค์มิให้ข้องอัชฌาสัย | ||
เว้นแต่ดวงดอกฟ้านภาลัย | ในต่ำใต้แล้วคงเสร็จสำเร็จรัก | ||
ยังจับจิตคิดคุณมิรู้หาย | ฤามากลายเป็นแสลงพึ่งแจ้งประจักษ์ | ||
เพราะดวงเดือนไม่เลื่อนล่องจึงหมองพักตร | ครั้นส่องนักเกลือกจะเบือนให้เดือนอาย | ||
น้องขอถามถึงความไข้ด้วยเชษฐา | ได้ยินข่าวกล่าวว่าโรคาหาย | ||
จงอยู่ชมธิดาสามแต่ตามสบาย | อันน้องชายนี้อย่าคิดให้จิตพะวง | ||
โอ้สองสมรมิตรขนิษฐนาฏ | แม้นสิ่งสวาทพี่ไม่เสร็จสำเร็จประสงค์ | ||
จะจาบัลย์รันทดกำสรดทรง | เชษฐาจงกรุณาเมตตาเอย | ||
ฯ ๓๒ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๒ ของชายที่ ๓
๏ ฉันทราบข่าวเล่าลือกันอื้อฉาว | |||
ว่ามีโจทก์กล่าวโทษด้วยเรื่องราว | ขอกราบเท้าเรียนฟ้องทำนองความ | ||
เป็นสาหัสคัดข้อต่อสาเหตุ | ปฏิเสธกลับความให้งามสนาม | ||
ในข้อหาว่าฉันขันประชันงาม | ไม่ต่อตามราคาว่าเต็มแพง | ||
ข้อหนึ่งว่าของดีไม่มีชั่ว | ฉันปลุกปล้ำจำให้มัวด้วยลมแสลง | ||
จะแบกบาปหาบหักจนหนักแรง | แยกแย้งไม่เกรงผิดจนติดพัว | ||
สู้ฟันฝ่าสามิภักดิ์รักสินจ้าง | มณีนางแผ้วผ่องว่าหมองสลัว | ||
เอาเท็จแฝงแต่งคำให้จำมัว | แกล้งถมชื่อลือทั่วจนมัวนวล | ||
ในข้อหาทราบมาพอสมนึก | ที่ตรอมตรึกจะใคร่ให้คุณไต่สวน | ||
ที่ข้อแฝงแต่งคำยังอำยวน | ให้ถามทวนเบิกความตามข้อฟ้อง | ||
แต่คอยฟังตั้งท่าทิวาเนิ่น | กำหนดเกินนั้นเลื่อนจึงเตือนสนอง | ||
ข้อคดีนี้ได้ทราบกราบฝ่าละออง | ฤาเกี่ยวข้องอยู่เพียงเท้าเจ้าคุณเธอ | ||
คือตัวใครกล่าวโทษเป็นโจทก์อ้าง | ที่เรื่องร่างข้อคำนำเสนอ | ||
แม้นเจ้าคุณได้อำนวยอวยเออ | โปรดอย่เพิ่ฟังความถามฝ่ายเดียว | ||
จงวินิจฉัยไตร่ตรองให้ถ่องแท้ | โปรดแปรสำเนาความตามซีกเสี้ยว | ||
ให้สะส่างสว่างอกที่รกเรี้ยว | เดือนหงายจะได้เที่ยวเล่นอีกเอย | ||
ฯ ๑๖ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๓ ของชายที่ ๒
๏ สนทนาอยู่กับนายถึงรายหนาม | |||
พอพี่ใช้ให้มาแข้งแถลงความ | พิเคราะห์ตามคำว่าก็น่าแคลง | ||
แต่เวียนอ่านสารสำนวนทวนหลายกลับ | ดูเลื่อนลับคมขำเป็นคำแฝง | ||
เห็นความนิดที่ข้อว่าราคาแพง | ไม่โจ่งแจ้งต้นปลายให้ทายเดา | ||
เหลือปัญญาตรึกไตรจะไต่สวน | ด้วยความทวนทบเยื้องไปเรื่องอิเหนา | ||
ไม่ได้เห็นไม่ได้รู้เลยหูเรา | นี่ใคราเล่าประหลาดหนอมาก่อการ | ||
จึงนำสำเนาเค้ามูลขึ้นทูลสนอง | ตามเรื่องฟ้องโจทก์หาให้ว่าขาน | ||
เกรงเกลือกจะไม่มีสักขีพยาน | ตระลาการถูกอุทธรณ์แน่นอนใจ | ||
ท่านยิ้มเยื้อนเอื้อนโอษฐ์โปรดประภาษ | ฟังประหลาดเหลือสังเกตนี่เหตุไฉน | ||
ทั้งข้อหาก็น่าแหนงแคลงฤทัย | เมื่อใครมิได้มากล่าวโทษเป็นโจทก์กัน | ||
ครั้นจะว่าแสร้งสงสัยก็ใช่ที่ | เห็นจะมีผู้กระตุ้นให้หุนหัน | ||
ช่างต่อติดผิดถูกเข้าผูกพัน | ยังมิทันที่จะเชิดสิเกิดความ | ||
แล้วท่านกลับหารือรื้อปรึกษา | กับตัวฉันประสันตาด้วยเป็นสาม | ||
รู้ฤาไม่อย่างไรอยู่ดูงุ่มง่าม | ใครต่อตามให้จนขึ้นราคาแพง | ||
เมื่อเราสำรวลอยู่ไม่รู้เรื่อง | เขาลือเลื่องที่ตรงใครก็ไม่แจ้ง | ||
ทั้งไม่มีผู้จะกล้ามายุแยง | มิรู้แห่งจะตรึกไตรใคร่ครวญ | ||
ถ้าหากว่ามีผู้บอกออกตัวให้ | เห็นพอจะวินิจฉัยไต่สวน | ||
นี่เป็นแต่สื่ออื้อฉาวกล่าวทบทวน | จะเก็บประมวลเอามาฟ้องแลร้องฎีกา | ||
กฏหมายห้ามตามธรรมนูญกระทรวงศาล | ตระลาการผู้บังคับอย่ารับว่า | ||
แต่เป็นความมลทินเขานินทา | ผูกสาเหตุเชษฐาว่าน้อยใจ | ||
อนุชาก็คิดแค้นแสนพิโรธ | แต่หารู้ที่จะโกรธผู้ใดไม่ | ||
ฤาพี่หากขังฉันนอนฝันไป | ก็ผิดนิสัยใช่ที่จะควรเป็น | ||
ฉันใดจะได้ตัวคนโกรธพี่ | ใครตาทิพหนอช่วยชี้ออกให้เห็น | ||
จะสืบสางลมปากนี้ยากเย็น | ประหนึ่งเล่นปิดตาเที่ยวหากัน | ||
ท่านให้น้องสนองมาว่าความพี่ | ถ้าแม้นมีผู้ถ้อยยำคำมั่น | ||
จะออกเป็นตัวว่ากล้ายืนยัน | ก็ให้ไปว่ากันในวันแรม | ||
อันข้อฟ้องน้องฟังกระแสตรัส | มิให้ผลัดนัดเลื่อนถึงเดือนแจ่ม | ||
ทั้งท่านบ่นอยู่ด้วยความหนามเหน็บแนม | ไม่มีแย้มยิ้มสรวลสำรวจเลย | ||
เห็นพระจริตปรวนแปรกว่าแต่ก่อน | เฝ้าอาวรณ์ถอนพระทัยไม่สรงเสวย | ||
สารพัดจะผิดจริงทุกสิ่งเคย | จนลืมเลยเครื่องอิเหนาคิดเผาเมือง | ||
น้องขอเชิญไปตรวจงานการวัดใหม่ | พอชูพระทัยที่กำสรดให้ปลดเปลื้อง | ||
เหมือนพี่ได้การุญอย่าขุ่นเคือง | อย่าให้เปลืองวันคืนไปหมื่นปี | ||
ทั้งทุกข์ฉันจะบรรเทาที่โหยหา | ประสันตาก็คลายหายปวดฝี | ||
น้องชะอ้อนวอนว่าจงปรานี | ในราตรีพรุ่งนี้เชิญดำเนินจร | ||
อันข้อดำรัสตรัสประภาษนั้นอาจหาญ | ตามทำนองตระลาการไม่โอนอ่น | ||
เชษฐาจงอวยโอษฐ์ที่โทษกรณ์ | อย่าตัดรอนเลื่อนผลัดผ่อนไป | ||
ฉันขอกระซิบความลับกำชับพี่ | ที่หนามนี้คิดถวายให้จงได้ | ||
เบื้องหน้าถ้ามิงามความขอบไซร้ | จึงอย่าได้นับหน้าอนุชาเอย | ||
ฯ ๓๘ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๔ ของชายที่ ๓
๏ ลิขิตสารโดยการสุจริต | |||
ได้แจ้งร้อนใช่นอนอารมณ์คิด | สัจจังจิตใช่จะเฉลยละเลยความ | ||
แต่คอยฟังตั้งท่าทิวานับ | โสตสดับคอยความสงครามสนาม | ||
ตาตั้งระวังประตูคอยดูงาม | ตามสั่งมิให้คลาดประมาทเมิน | ||
เห็นวาวแววแล้วไม่แน่อารมณ์เล่า | เรียนไต้เท้าทวนถามกลับขามเขิน | ||
คุณอ้ำเอื้อนเหมือนฉันถามข้อความเกิน | มีกรรมเผอิญแล้วฤาหนอน่าท้อใจ | ||
สำคัญคิดจิตจงแต่ตรงซื่อ | โอ้ยามนี้สิท่านรื้อนี่เหตุไฉน | ||
ก็แล้วเถิดคุณอย่าให้วุ่นฉันต่อไป | จะเจียมใจเจียมตัวด้วยกลัวพราง | ||
สารพันในอกหยิบยกแจ้ง | นี่ระแวงข้อใดหนอไม่พอหมาง | ||
ไม่พอที่จะมามัวชั่วอยู่กลาง | อันเรื่องนางไม่ขอเพียรเรียนแล้วเอย | ||
ฯ ๑๐ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๕ ของหญิง
๏ สรวมชีพข้าบาทบรมนาถ | |||
ควรมิควรขออย่าเคืองให้เบื้องบาท | อันชีวาตม์อยู่ใต้ธุลีละออง | ||
จะเท็จจริงไฉนไม่ทราบเกล้า | เป็นแต่คำลือเล่ากล่าวสนอง | ||
ว่าจอมเจ้าอิเหนานาถนั้นสมปอง | กระหม่อมฉันก็พลอยผ่องอารมณ์ครัน | ||
เห็นศศิส่องผ่องแผ้วนภาพื้น | โดยแต่ชื่นแสงเดือนจนเชือนฝัน | ||
ว่าจากถิ่นสู่ท่าสาครครัน | ประทับมั่นบางจากข้ามอารามตรง | ||
จนฟื้นฝันแล้วยังมั่นไม่วายชื่น | เป็นหลายคืนตั้งเพ้อละเมอหลง | ||
ฝันประหลาดอนาถจิตคิดพะวง | ฤาจะส่งยศยิ่งภิญโญเรือง | ||
ฤาจะถอยอัพลานิรายศ | จะกำหนดลงไฉนไม่ได้เรื่อง | ||
ฤาจะผิดราชกิจระแวงเคือง | ประทานเปลื้องแก้นิมิตประสิทธิ์พร | ||
เหมือนพระอิศโรราชประสาทพจน์ | ชำระรดอุปัทวะสละสลอน | ||
เจริญสวัสดิ์สารพัดสถาวร | จะได้จรไปชมเดือนเหมือนฝันเอย | ||
ฯ ๑๒ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๖ ของชายที่ ๑
๏ เป็นน่าสรวลสำนวนคำช่างทำเส | |||
เดิมไม่แจ้งก็สำคัญว่าฝันคะเน | มิรู้เล่ห์สุกระสารจึงเสียกล | ||
ซึ่งเชษฐาว่าอิเหนานั้นสมหวัง | น้องฟังฟังก็แหนงนึกตรึกฉงน | ||
บัดนี้ระเด่นเป็นขุนแผนแสนขลังมนต์ | ผูกภาพยนต์มาหาน้องวันทองไป | ||
อันท่านแท้องค์อิเหนาอสัญหยา | ย่อมเรืองณรงค์ทรงปัญญาจะหาไหน | ||
ทั้งสมบัติพัสถานออกลานใจ | ควรจะได้นางดาหาวราทรง | ||
ด้วยมะเดหวีก็รับรักช่วยชักเย่อ | ไหนพวกพ้องจะอือเออเสนอส่ง | ||
รู้จักพักตร์ตระหนักนามอยู่สามอนงค์ | ล้วนแต่จงใจพุ้ยตะกุยตะกาย | ||
ขี้คร้านฟังขี้คร้านเชื่อมันเหลือยุ่ง | จะใส่ถุงถ่วงให้ละลายหาย | ||
แต่เสียแรงที่กำเนิดเกิดเป็นชาย | จำจะจ่ายเสียให้เฟื่องตามเรื่องราว | ||
เจ้าข้าเอ๋ยนักเลงเล่นจงเห็นประจักษ์ | อยากปลูกรักไว้กันกาจะพาฉาว | ||
ถ้าแม้นได้เป็นเพื่อนชมเดือนดาว | จึงค่อยกล่าวขอสูได้ดูใจ | ||
ประการหนึ่งฟังให้รู้ในเชิงด้วย | ถ้าแต่งมวยแล้วเราอย่าเข้าใกล้ | ||
เล็บจะหักเสียดอกพ่อฉันขออภัย | ขอเชิญไปพูดกันสักวันเอย | ||
ฯ ๑๔ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๗ ของชายที่ ๑
๏ ขนิษฐน้องหมองฤทัยไห้หวน | |||
ด้วยพี่นางขนางจิตคิดมิควร | ฤามาปรวนแปรสวาทเหมือนขาดรัก | ||
จะว่าไปไหนเลยจะเล็งเห็น | ประหนึ่งเช่นว่าหงส์หลงตกปลัก | ||
สุบรรณบินรีบรุดไม่หยุดพัก | จนปีกหักตกตมระทมใจ | ||
แค่เสร็จศึกสมนึกน้องได้ครองชื่น | ไม่มากคืนก็ใจจางทางพิสมัย | ||
ด้วยข้อขำอำเอื้อนชายเกลื่อนไป | จึงเห็นว่าใจจะเกรงจิตคิดคำปราม | ||
ก็ใช่น้องจะฟื้นฝอยหารอยตะเข็บ | ใช่หนามเหน็บแล้วจะคงบ่งด้วยหนาม | ||
คอยจะเยียวยาให้มิดผนิดความ | ได้ทำตามถึงสามครั้งไม่พังเค | ||
ครั้นจะปรามห้ามกันไปก่อนพร้อง | เห็นพวกพ้องเขาจะชวนกันสรวลเส | ||
ที่น้องว่าถ้ามีฮาก็ได้เฮ | จะต้องเร่เรื่องสงครามไปตามชิง | ||
แต่เกรงผิดคิดตัวด้วยกลัวจะหมอง | ถึงหนาวเนื้อจะต้องกองอัคคีผิง | ||
อนุชากาฝากนี้ยากจริง | แต่ความนิดหนึ่งก็กริ่งประวิงประแวง | ||
แม้นคืนกายได้ดังจันทคาธจับ | เป็นแต่เลียมเทียมทับพอลับแสง | ||
จะบอกบริสุทธิ์ให้อย่าได้แคลง | มิให้แล้งฝนฟ้าทั้งนาดอน | ||
ได้รู้เช่นเห็นงามสิ้นยามชื่น | น้องไม่คืนคิดเพียรมาเวียนหลอน | ||
จะได้ดูเล่นสบายฝีพายคอน | ให้นายอากรผูกขาดเขามาดประมูล | ||
โอ้อาลัยไยเชษฐานิราสวาท | มิทันสมอารมณ์มาดจะขาดสูญ | ||
เมื่อเคยเอ็นดูชูช่วยอนุกูล | ให้เพิ่มพูนสิ่งเสน่ห์ไม่เรรวน | ||
เห็นเฉยเชือนครั้นจะเบือนก็เกรงจิต | แต่ใคร่คิดทุกคืนค่ำกินกำสรวล | ||
เหมือนจะแสร้งแกล้งกลบให้รบกวน | เมื่อไม่ควรฤามาเคืองกระเดื่องใจ | ||
น้องรับผิดแล้วที่ปลิดนางดาหา | จนเชษฐาได้หมองหมางทางพิสมัย | ||
ก็สาเจ็บสิที่คิดให้ผิดไป | สาแก่ใจสิที่ช่างไม่รั้งรอ | ||
ซึ่งพี่นางปรานีน้องไว้สองนัด | ก็เห็นชัดแล้วสวาทสิทธิ์ขาดหนอ | ||
อายุสัตว์เจ็ดสิบปีนี้มิพอ | ทำไมจะขอต่อชีวันได้พันปี | ||
บุรุษฤาควรถือเช่นไว้เป็นอย่าง | เหมือนแอหนังท่าเรือจ้างกับปันหยี | ||
สู้พากเพียรเวียนระไวเป็นไมตรี | ได้สมนึกสึกชีชรารา | ||
อันเดือนพิธีตรุษแม้นหลุดเลิก | เห็นสิ้นฤกษ์แล้วหนอต่อปีหน้า | ||
ฉวยละเลยลับเลื่อนเดือนแรกนา | พระวสาสารทซ้ำอัมพวาย | ||
ประจบชนเดือนสี่สิ้นปีเถาะ | ก็เป็นเคราะห์จึงไม่สมอารมณ์หมาย | ||
ใช่น้องจะคิดแก่ยากลำบากกาย | จะเพียรพายไปจนเสร็จสำเร็จรัก | ||
แม้นชาตินี้มิได้ครองประคองชื่น | ด้วยได้อื่นรื่นสำราญสมานสมัคร | ||
ควรจำเพาะเจาะจงเอาทรงสะพัก | ทำธงปักขึ้นบูชาจุฬามณี | ||
จะตั้งจิตพิษฐานการกุศล | เดชะผลสามิภักดิ์ที่รักพี่ | ||
จะเกิดเป้นบุรุษไปในโลกีย์ | ขอให้มีปรีชาเฉลียวการเกี้ยวพาน | ||
บรรดาหญิงใช่ญาติสนิทให้จิตประหวัด | เหมือนลมพัดถูกธงจงใจสมาน | ||
จะนึกไหนได้สมหวังจิรังกาล | อย่ารู้รานรักร่ำระกำตรอม | ||
การวิวาห์อย่าหน่วงเนิ่นให้เหินหาว | ต้องนอนหนาวตึกแพรดำร่ำกลิ่นหอม | ||
ขอชมเดือนเหมือนเมื่อยังประนังประนอม | ประชุมพร้อมเช่นเชษฐาเคยพาพาย | ||
อันเรื่องอิเหนานี้ขยาดไม่อาจต่อ | แต่เรื่องพระลอลิลิตนั้นยังมั่นหมาย | ||
ถึงพงศ์เผ่าเขาห้ำหั่นชีวันวาย | ก็นับว่าชายตายด้วยรักประจักษ์จริง | ||
ต้องถืออย่างเรื่องอุเซ็นไว้เป็นทำเนียบ | จะทานเทียบเปรียบปรายคล้ายทุกสิ่ง | ||
เพราะแรงรักหักรอนสู้วอนวิง | ถึงเจ็ดปีมีแต่นิ่งไม่นึกจาง | ||
อนุชาพจมานสารสุจริต | ขอเชษฐาอย่าได้คิดอางขนาง | ||
มาก่อกวนชวนเชิญไว้พลางพลาง | พอเดือนสว่างจะได้จรเช่นก่อนเอย | ||
ฯ ๔๔ คำ ฯ | |||
บทที่ ๑๘ ของหญิง
๏ สงสารจิตเหลือผัดแล้วอกเอ๋ย | |||
ทรงพระคุณไม่การุญกระหม่อมเลย | มีแต่เปรยปรายเปรียบประเทียบมา | ||
เมื่อสุจริตจิตจริงทุกสิ่งซื่อ | มีกรรมฤากลับเห็นเป็นโทษา | ||
อนาถจิตคิดคิดน่าอนิจจา | โอ้ชาตาคล้ายจันทร์มณีพราหมณ์ | ||
ก็เพราะทรงอนุกูลการุญเลี้ยง | จึงเรียบเรียงศุภอรรถมาตรัสถาม | ||
ได้ทูลสนองโดยทำนองสำเนาความ | ตามจริงสิ่งสัตย์ไม่ดัดแปลง | ||
เผอิญเป็นกุศลเข้าดลแทรก | แย้งแยกความจริงเป็นสิ่งแฝง | ||
ความสัตย์ที่วิบัติเป็นคำระแวง | กลับเป็นแกล้งแย้งแยกแหวกกัน | ||
สู้สามิภักดิ์รักเบื้องบทรัช | ด้วยความสัตย์ใจจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
โอ้ยามหนาวคราวฤดูเหมันต์ | เวลานั้นลืมหนาวเป็นคราวเพลิน | ||
จึงชวนเชิญโฉมอัปสรไปชมชล | เสาวคนธ์จึงได้ฟุ้งจรุงเหิน | ||
ฤามีโทษที่พาจรสาครเกิน | กระนั้นแน่แท้เผอิญว่าเวรจอง | ||
โอ้เทวาองค์ใดมาให้โทษ | จึงสร่างโปรดเคืองคำที่นำสนอง | ||
ที่สุจริตคิดเป็นข้าใต้ฝ่าละออง | กลับเป็นเปลือกท่านเลือกดองไม่เป็นอัน | ||
กว่าจะต้องคำบุราณว่านานเห็น | สิจวนเจียนจะไม่เป็นกระหม่อมฉัน | ||
กว่าจะเห็นสิท่านเล่นเสียครันครัน | ถ้ากระนั้นก็ตายเปล่าน่าเศร้าใจ | ||
โอ้สัตว์ผู้ยากไร้ปากยากทุกสิ่ง | สัจจังจริงก็ไม่กู้ชูตัวไหว | ||
ท่านยังไม่สมก็ตรอมตรมด้วยเกรงภัย | ครั้นท่านได้ยิ่งโทษทับกลับความ | ||
ได้พึ่งพระเดชปกเกศเป็นฉัตรกั้น | รวีวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นสิบสาม | ||
จึงขึ้นชื่อลือเลื่องกระเดื่องนาม | งามด้วยชุบเกล้าย้อมกระหม่อมชู | ||
ครั้นยามเคืองเบื้องบาทสิคาดโทษ | โอ้แสนโหดชั่วช้าน่าอดสู | ||
มืดมิดปิดสิ้นทุกประตู | จนอุดอู้เพียบล่มลงจมลำ | ||
เดชะผลกตัญญูนั้นชูช่วย | กับสัตย์ด้วยนั้นเป็นที่อุปถัมภ์ | ||
ชาตาพ้นอำพุอุระระยำ | กุศลนำขึ้นนระสละเคือง | ||
จึงทรงดำริถึงความเมื่อยามหลัง | มีรับสั่งทวนถามมาตามเรื่อง | ||
จะกราบทูลให้ประจักษ์ไม่ยักเยื้อง | ซึ่งจะเปลื้องฤามิเปลื้องสุดแต่ใจ | ||
ที่รอรั้งหวังจะให้ประมูลเพิ่ม | เหมือนเช่นเดิมลือกันสนั่นไหว | ||
จึงหน่วงนัดผัดเดือนเลื่อนออกไป | เห็นมากไหนจึงล่มนิยมยอม | ||
อันแอหนังท่าเรือจ้างอย่างเช่นตรัส | นั่นท่านขัดคู่คงจะจงถนอม | ||
ถึงสักหมื่นพระวษาชรางอม | ก็ประนอมจิตจงอยู่คงงาม | ||
ที่ทูลกระหม่อมทรงตรอมด้วยนัดเนิ่น | เกรงพระชนม์นั้นจะเกินกำหนดห้าม | ||
เป็นปะวังทะศกยกข้อความ | พิกัดห้ามความคู่สู้สืบพยาน | ||
ประการหนึ่งถึงจะสู้สงครามเล่า | ก็ไม่เพราะเคล่าคล่องทำนองหาญ | ||
จึงรีบรันขนไปให้ทันกาล | แต่ชนมานยังหนุ่มสาวคราวรื่นรวย | ||
แม้นทราบลงตรงแท้แน่กระนั้น | กระหม่อมฉันผู้ไปเล่นก็เห็นด้วย | ||
ว่านางใดดังใบไม้ได้ลมชวย | ก็เออเอยลงให้เห็นเป็นใจดี | ||
เจ้าข้าเอ๋ยหญิงใดอย่าใจดื้อ | ไม่ทันอือก็ให้ปรึกถึงข้างที่ | ||
นั่นแลแน่แท้ว่ายอดกระษัตรี | ลูกหลานมีจะสอนใหม่ให้ใจลอย | ||
ซึ่งทรงขยาดตัดขาดเรื่องชวา | ก็บุษบาที่ไหนนี่มีบ่อยบ่อย | ||
ประภาษตรัสต้องขาดความไปตามรอย | ใช่ฟื้นฝอยหาตะเข็บให้เหน็บแหนม | ||
ซึ่งทรงศรัทธาเอาผ้านั้นทำธง | ต้องประสงค์เช่นหลังครั้งเดือนแจ่ม | ||
ทรงสละมัจฉริยะไม่ปะแปม | ต่อเดือนแรมจึงจะค่อยไปโมทนา | ||
แพรดำร่ำนั้นจะทำคัมภีร์รัด | จะตั้งสัตย์อธิษฐานพานภพหน้า | ||
จะเกิดไหนขอให้งามตามเจตนา | เหมือนดังผ้าห่อมั่นพันคัมภีร์ | ||
อย่าให้หมองละอองวายุพาพาด | อย่ารู้หวาดไหวตรงอยู่คงที่ | ||
ประสายากบริจาคได้ตามมี | กุศลนี้ขอถวายใต้บาทมูล | ||
ขอให้ทรงภิญโญยิ่งทุกสิ่งสุข | ชื่อว่าทุกข์เคืองระคายจงหายสูญ | ||
ถ้วนหน้าข้าละอองสนองทูล | จงเพิ่มพูนสิ่งสุขทุกหน้าอนงค์ | ||
ซึ่งจะทรงเรื่องพระลอต่ออิเหนา | ตามสำเนาลิลิตนั้นฉันต้องประสงค์ | ||
นั่นพระลอมิได้ปองสองนางจง | พระลอหลงคุณศาสตร์จึงอาจจร | ||
ที่ต่อไปนั้นไฉนไม่ทราบเรื่อง | ประทานโทษโปรดอย่าเคืองว่าทูลหลอน | ||
ใช่จะหวงหน่วงไว้ให้ทรงวอน | จนต้องผ่อนตามทำเนียบเปรียบอุเซ็น | ||
เป็นเหลืออกที่จะยกรำพันแจ้ง | จะชี้แจงทูลถวายไม่หมายเห็น | ||
แสนเทวษนองเนตรทุกเช้าเย็น | จะไปเล่นเกรงจะเคืองเบื้องบาทเอย | ||
ฯ ๕๔ คำ ฯ | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๒
(ขอขอบคุณ คุณพิกุลแก้ว สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน)