เสภาเรื่องพระราชพงศาวดาร

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(เพิ่มเติมตอนที่ ๒)
แถว 243: แถว 243:
ฝ่ายเสนารามัญอัญชลี  แล้วก็คลี่ราชสารออกอ่านพลัน ฯ ... 11
ฝ่ายเสนารามัญอัญชลี  แล้วก็คลี่ราชสารออกอ่านพลัน ฯ ... 11
-
</poem>
+
</tpoem>
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==

การปรับปรุง เมื่อ 09:53, 25 กุมภาพันธ์ 2553

แม่แบบ:โครง

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

เสภาเรื่องพระราชพงศาวดาร ของสุนทรภู่

ตอนที่ ๑ เรื่องตีเมืองขอม

      ๏ กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูร
พระยศอย่างปางนารายณ์วายุกูลมาเพิ่มภูลภิญโญในโลกา
ทุกประเทศเขตรขอบมานอบน้อมสพรั่งพร้อมเปนศุขทุกภาษา
ขอเดชะพระคุณกรุณาด้วยเสภาถวายนิยายความ
      ๏ จะกล่าวพงศาวดารกาลแต่หลังเมื่อแรกตั้งอยุธยาภาษาสยาม
ท้าวอู่ทองท่านอุส่าห์พยายามชีพ่อพราหมร์ปโรหิตคิดพร้อมกัน
มีจดหมายลายลักษณ์ศักราชเจ็ดร้อยสิบสองคาดเปนข้อขัน
ปีขาลโทศกตกสำคัญเดือนห้าวันศุกร์ขึ้นหกค่ำควร
เพลาสามนาฬิกากับเก้าบาทตั้งพิธีไสยสาตรพระอิศวร
ได้สังขทักษิณาวัฏมงคลควรใต้ต้นหมันตามกระบวนแต่บุราณ
เปนมหามงคลเลิศประเสริฐศักดิ์สร้างปราสาทสำนักไพฑูรย์สถาน
สำเร็จแล้วจึงให้สร้างปรางปราการชื่อไพชยนต์ทิพพิมานอลงการ์
แล้วสร้างพระที่นั่งใหญ่ไอสวรรย์สามปราสาทเสร็จพลันด้วยหรรษา
ท้าวอู่ทองครองเสวยสวรรยาพระชัณษาสามสิบเจ็ดเสร็จสมปอง
ชีพ่อพราหมณ์ถวายนามตามที่พระรามาธิบดีไม่มีสอง
นามบุรีศรีอยุธยาครองให้ถูกต้องตามนามพระรามา ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ผู้ทรงศักดิ์จุลจักรจอมทศทิศา
บำรุงเมืองเรืองฤทธิ์อิศราฝูงประชาชมชื่นทุกคืนวัน
มีเมืองขึ้นสิบหกพระบุรีคือเมืองตะนาวศรี นครสวรรค์
เมืองชวา มละกา พิจิตรนั้นเมืองสวรรคโลก ศุโขทัย
เมาะลำเลิงบุรี ศรีธรรมราชทั้งสงขลามาภิวาทไม่ขาดได้
พิษณุโลก กำแพงเพ็ชร เมืองพิชัยทวายใหญ่ เมาะตมะ จันทบูร
แสนอุดมสมพงษ์วงศ์กระษัตริย์เจ้าจังหวัดราเชนทร์นเรนทร์สูร
โภชนาสาลีบริบูรณ์ยิ่งเพิ่มพูนผาศุกทุกนิรันดร์
ทรงรำพึงถึงองค์พระเชษฐาร่วมครรภาอัคเรศนรังสรรค์
จำจะให้ไปบำรุงกรุงสุพรรณด้วยท่านนั้นสิร่วมสุริวงศ์
อนึ่งราชกุมารชาญศักดาองค์พระราเมศวรควรประสงค์
จำเริญไวยใหญ่ยิ่งประยูรวงศ์ควรดำรงเมืองลพบุรี
ดำริห์พลางทางออกพระโรงรัตน์ตั้งกษัตริย์ขนานนามต้องตามที่
เฉลิมเดชเชษฐาธิบดีให้เปนที่พระบรมราชา ฯ
      ๏ ครานั้น พระเจ้ากรุงสุพรรณพระราเมศวรนั้นก็หรรษา
ต่างองค์ทรงคำนับรับบัญชาแล้วลีลาไปสู่พระบูรี ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ผู้ทรงเดชมิ่งมงกุฎอยุธเยศจำเริญศรี
สถิตย์แท่นแสนสำราญดาลฤดีด้วยบุรีขอมคดประทษร้าย
จำจะให้ราชบุตรสุดสงสารไปรอนราญไล่ริบให้ฉิบหาย
เสด็จออกพระโรงคัลพรรณรายแล้วเผยผายสิงหนาทประภาษมา
เฮ้ย เสนีย์รีบร้อนจรโดยด่วนบอกพระราเมศวรมาหน่อยหวา
ตำรวจรับพระโองการคลานออกมาลงนาวารีบไปดังใจจง
วันหนึ่งก็ถึงลพบุรีอัญชลีทูลความตามประสงค์
ว่าพระทรงฤทธิ์บิตุรงค์เชิญเสด็จเสร็จลงไปกรุงไกร ฯ
      ๏ ครานั้น พระราเมศวรราชฟังอำมาตย์ทูลแจ้งแถลงไข
ให้จัดเรือเร็วพลันในทันใดรีบครรไลคืนหนึ่งถึงบุรี
ประทับจอดทอดท่าน่าตำหนักขึ้นเฝ้าองค์หริรักษรังษี
น้อมประนมบังคมคัลอัญชลีสถิตย์ที่พระโรงรัตน์ชัชวาลย์ ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรแลมาตรงน่าฉาน
เห็นลูกยามาประนตบทมาลย์มีโองการทักทายภิปรายเปรย
นี่แน่ เจ้าเยาวยอดปิโยรสอ้ายขอมคดดูถูกนะลูกเอ๋ย
พ่อสุดแสนแค้นใจไม่เสบยแม้นละเลยจะกระเจิงละเลิงใจ
เจ้าแก้วตายาจิตรของปิตุเรศไปเหยียบเขตรดับเข็ญให้เย็นใส
จักประหารผลาญชีวันให้บรรไลยจะได้ฤๅฤๅมิได้ให้ว่ามา ฯ
      ๏ ครานั้น พระโอรสยศยงศิโรราบกราบลงแล้วทูลว่า
ซึ่งข้อขอมคบคิดจิตรพาลาจะอาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์ ฯ
      ๏ ครานั้น พระภูเบนทร์นิเรนทร์สูรได้ฟังทูลตบพระหัตถ์อยู่ฉัดฉาน
จึงเอื้อนอรรถตรัสมาไม่ช้านานจงจัดการรีบร้อนอย่านอนใจ
พลของเราห้าวหาญชำนาญยุทธเจียนจะขุดกัมพุชาก็ว่าได้
อย่าถอยหลังรั้งรอไปพ่อไปแม้นมีไชยพ่อจะภูลรางวัลครัน ฯ
      ๏ ครานั้น พระราเมศวรราชเคารพรับอภิวาทขมีขมัน
มาเกณฑ์พวกโยธาได้ห้าพันล้วนฉกรรจ์แข็งข้อจะต่อตี
ทั้งอาจองคงทนด้วยมนต์เวทแสนวิเศษฤทธิไกรชาญไชยศรี
ถืออาวุธครบมือล้วนฦๅดีโพกแพรสีแสดเสียดประเจียดรัด
บ้างก็ผูกลูกสะกดตะกรุดคาดล้วนองอาจโล่ห์เขนก็เจนจัด
มาพร้อมพรั่งนั่งเบียดเยียดยัดสารวัดตรวจตราพลากร ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ผู้ทรงยศเอกโอรสชาญไชยดังไกรสร
เสด็จเข้าที่สรงอลงกรณ์แล้วสอดซ้อนเครื่องทรงณรงค์ครบ
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพจับพระแสงโดยตำแหน่งสงครามตามขนบ
มาทูลลาบิตุรงค์ทรงพิภพประนมนบคอยสดับรับโองการ ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ดำรงราชย์สถิตย์อาศน์รจนามุกดาหาร
เห็นพระปิยะบุตรสุดสำราญจึงมีรศพจมานประภาษมา
เจ้าดวงใจพ่อจะไปกัมพุชประเทศระวังเหตุกลศึกฤกหนักหนา
จะหยุดยั้งจงระวังพระกายาไม่ได้ท่าแล้วอย่าหาญเข้าราญรอน
ชื่อว่าศึกแล้วอย่านึกประมาทหมิ่นคอยประคิ่นจดจำเอาคำสอน
อย่าให้อายขายหน้าประชากรจงถาวรสวัสดีอย่ามีไภย
รีบปรามปราบราบเตียนที่เสี้ยนหนามดังองค์รามดับเข็ญให้เย็นใส
จงมีโชคไชยะชนะไภยให้สมในมโนรถหมดทุกอัน
ยื่นพระแสงสาตราอาญาสิทธิ์ใครคดคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ
จงอุดมสมศุขทุกนิรันดร์ซึ่งไภยันตร์สิ่งใดอย่าใกล้กราย ฯ
      ๏ ครานั้น พระโอรสยศยงกราบลงแทบบาทพระฤาสาย
เคารพรับพรพลางแล้วย่างกรายผันผายมาทรงคชาธาร
ได้มหาพิชัยฤกษ์ให้เลิกทัพโห่รับแซ่เสียงสำเนียงขาน
ลั่นฆ้องหึ่งอึงออกนอกทวารเสียงสะท้านลั่นเลื่อนสเทื้อนสทึก
ทหารธงโบกธงตรงไปน่าเสียงช้างม้าเริงร้องอยู่กองกึก
ทวยหาญขานโห่โอฬารฦกอึกกะทึกข้ามทุ่งพ้นกรุงไกร
ประทับร้อนนอนค้างกลางอารัญหลายวันตั้งพลับพลาหยุดอาไศรย
เลี้ยวลัดตัดทุ่งเดินมุ่งไปถึงเวียงไชยกัมพูชาพอราตรี
มิทันตั้งค่ายคูอยู่สำนักสั่งให้พักพลทหารชายไชยศรี
ขึ้นประทับพลับพลาพนาลีให้โยธีล้อมรอบเปนขอบคัน ฯ
      ๏ ครานั้น พระองค์ทรงนัครากัมพูชาธิราชรังสรรค์
รู้เรื่องราวข่าวศึกฮึกฉกรรจ์มาบุกบันตั้งประชิดติดภารา
แสนพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาทดำรัสเรียกอุปราชโอรสา
กับข้าเฝ้าเจ้าพระยาและพระยามาปฤกษาสงครามตามทำนอง
จะผ่อนผันฉันใดไฉนเล่าภาราเราเกิดวุ่นจะขุ่นหมอง
จะคิดอ่านการศึกเร่งตรึกตรองใครเห็นช่องฉันใดให้ว่ามา ฯ
      ๏ ครานั้น เจ้าพระยาอุปราชเคารพรับอภิวาทแล้วทูลว่า
ซึ่งทัพไทยเดินบกยกกันมาขออาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์
จะหักโหมโจมจับสัปรยุทธให้ม้วยมุดยับแยกถึงแตกฉาน
ซึ่งทัพมาล้าเมื่อยเดินเหนื่อยนานถึงสถานมิทันยั้งตั้งกระบวน
จะหักหาญรานทำค่ำวันนี้เห็นจะมีไชยาสักห้าส่วน
ไม่มีค่ายถ่ายเทคงเรรวนใคร่ครวญเห็นจะได้ดังใจปอง ฯ
      ๏ ครานั้น พระเจ้ากรุงกัมพูชาได้ฟังว่าเปรมปริ่มค่อยยิ้มย่อง
จึงเอื้อนอรรถตรัสความตามทำนองดีแล้วลูกถูกต้องคลองฤไทย
แล้วผินภักตร์ถามบรรดาพวกข้าเฝ้าซึ่งลูกเราว่าเห็นเป็นไฉน
จะได้ช่องคล่องจิตรเหมือนคิดไว้ฤๅเห็นเป็นอย่างไรให้ว่ามา ฯ
๏ ฝ่ายว่าข้าเฝ้าเหล่าพวกขอมต่างเห็นพร้อมเพรียงกันยิ่งหรรษา
จึงกราบทูลตามมูลกิจจาซึ่งตรัสมาต้องที่เห็นดีนัก
ด้วยทัพไทยไพร่นายยังไรเรี่ยทำลายเสียจู่โจมรีบโหมหัก
อย่าให้ตั้งค่ายมั่นขยันนักแม้นหน่วงหนักนิ่งไว้ไม่สู้ดี ฯ
      ๏ ครานั้น พระเจ้ากรุงกัมพุชประเทศสดับเหตุปรีดี์เปรมเกษมศรี
ทรงสำรวลสรวญร่าแล้วพาทีเหวยเสนีตรวจตราพลากร
แล้วตรัสสั่งอุปราชรชโอรสจงคุมทศทวยหาญชาญสมร
ไปโจมทัพจับไทยไพรีรอนจงถาวรกูลสวัสดิ์กำจัดไภย ฯ
      ๏ ครานั้น พระอุปราชราชบุตร์เกษมสุดยินดีจะมีไหน
บังคมลามาเตรียมพลไกรจำนวนไพร่โยธาหมื่นห้าพัน
ถึงยามสองกองทัพไม่สับสนดำเนินพลออกทวารปราการกั้น
ห้ามมิให้เฮฮาพูดจากันถึงกองทัพฉับพลันในทันที
ให้ยิงปืนครื้นครึกเสียงกึกก้องโห่ร้องเลื่อนลั่นสนั่นมี่
ดาบดั้งพรั่งพร้อมล้อมวารีต้อนตีทัพมาไม่รารอ ฯ
      ๏ ครานั้น แม่กองสองทหารอลหม่านตกใจเอ๊ะใครหนอ
ฉวยดาบโดดโลดไล่ไม่ย่อท้อร้องรับพ่อพวกเราเอาให้ตาย
หมู่ทหารราญรัญรับสัปรยุทธปรายอาวุธหอกดาบกำซายสาย
พวกขอมแขงแทงกระทั่งพุงทลายไทยตาแตกตื่นเสียงครื้นครึก
เขมรโดดโลดไล่พวกไทยล่ามัวหลับตาเสียกระบวนเมื่อจวนดึก
ขอมกระทำซ้ำเติมโห่เหิมฮึกอึกกะทึกรบรับจนทัพไชย ฯ
      ๏ ครานั้น พระราเมศวรราชทรงไสยาศน์ในพลับพลาที่อาไศรย
เสียงครั่นครื้นตื่นพลันในทันใดตกพระไทยผลันผลุนหมุนออกมา
เห็นพลเมืองเนืองหนุนขนาบไร่กองทัพไทยย่อหย่อนอ่อนหนักหนา
แสนพิโรธโดดกลับเข้าพลับพลาทรงสาตราวิ่งวางออกกลางทัพ
ขับพหลพลไกรไล่ตระหลบใครไม่รบหลกเลี่ยงจะเสียงสับ
ทหารกลัวตัวตายเข้ารายรับทั้งสองทัพแขงขันประจัญบาน
ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงยุทธฤทธิรุทฟันฟาดกันฉาดฉาน
พวกขอมอ่อนหย่อนยืนไม่ทนทานไทยทหารฮึกโห่เปนโกลา ฯ
      ๏ ครานั้น มหาอุปราชกริ้วตวาดพลนิกายทั้งซ้ายขวา
ต้อนกระตุ้นหนุนซ้ำกระหน่ำมาพวกโยธาร้อนตัวกลัวความตาย
ฟันแทงแย้งยุทธอาวุธสั้นแขงขันต่อตีไม่หนีหาย
ทั้งสองข้างต่างระทมบ้างล้มตายไพร่นายกลิ้งกลาดอนาถใจ ฯ
      ๏ ครานั้น พระราเมศวรราชองอาจมิได้พรั่นประหวั่นไหว
ทรงม้าร่ารับด้วยฉับไวต้อนไพรพลทหารเข้าราญรบ
ทั้งสองข้างต่างแขงกำแหงฮึกอึกกะทึกกรูเกรียวเลี้ยวตระหลบ
ข้างทัพไทยไพร่น้อยต้องถอยทบพวกขอมรบบุกบันประจัญบาน
จนเพลาฟ้าขาวเช้าตรู่ตรู่ยังเกรียวกรูฮึกโห่ด้วยโมหานธ์
ไพร่ยิ่งตายนายต้อนเข้ารอนราญอลหม่านจนสว่างขึ้นรางรอง ฯ
      ๏ ฝ่ายว่าพระราเมศวรราชองอจมิได้หลบสยบสยอง
แต่ห็นพลน้อยกว่าท่าเปนรองจำจะต้องผ่อนพักไว้สักที
ดำริห์พลางทางให้โบกธงทัพรอรับรบไปแต่ไม่หนี
เขมรโห่โกลาตามราวีพวกไทยตีถอยทนร่นมาพราง ฯ
      ๏ ครานั้น อุปราชราชบุตรเห็นสิ้นสุดแดนเมืองเครื่องขัดขวาง
จะติดตามข้ามเขตรประเทศทางก็เหินห่างเวียงชัยไม่ชอบกล
ไม่มีกองลำเลียงเลี้ยงทหารทางกันดารสารพัดจะขัดสน
ก็เลิกทัพกลับจรไม่ร้อนรนประมาทตนมิได้คิดจะติดตาม ฯ
             

ตอนที่ ๒ เรื่องศึกหงสาวดี

<poem>

 ๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ์   มหาจักรพรรดิราชานาถนาถ

เฉลิมวงศ์มงกุฎอยุธยา บำรุงราษฎร์สาสนาให้ถาวร พระปกเกล้าชาวบุรีเปนที่ชื่น สำราษรื่นร่มโพธิ์สโมสร มีคชาพาหนะนรินทร ห้ากุญชรเผือกผู้คู่บารมี กับเผือกพังทั้งสองล้วนผ่องแผ้ว ชาติช้างแก้วเกิดสำหรับกับกรุงศรี เปนเจ็ดช้างต่างนามล้วนงามดี อยู่โรงที่ริมปราสาทในราชวัง ตั้งพานทองรองหญ้าผลาผล ผ้ารดกัมพลนั้นปกหลัง พเนกฟูกผูกม่านเพดานบัง หมอควานทั้งพราหมณ์กล่อมอยู่พร้อมเพรียง บ่ายสามโมงลงน้ำนำกลองชนะ ปิ๋งเปิงปะเปิงครื่มกระหึ่มเสียง เครื่องสูงสำหรับช้างสองข้างเคียง พร้อมเพรียงเพราะพระบารมี อุดมทั้งโภไคยไอสูรย์ เพิ่มภูลภิญโญดังโกสีย์ ทั้งเหนือใต้ไพร่ฟ้าประชาชี ล้วนมั่งคั่งมั่งมีต่างปรีดา อาณาจักรนัคเรศประเทศราช พึ่งพระบาทบุญฤทธิ์ทุกทิศา ทุกถิ่นฐานบ้านเมืองเลื่องฦๅชา พระเจ้าช้างเผือกมหาจักรพรรดิ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร ต่างเริงร่านการศึกพร้อมฝึกหัด ยิงปืนทั้งช้างม้าฝึกสารพัด สนามน่าจักรวรรดิหัดทุกวัน ฯ

 ๏ จะกลับกล่าวถึงพระเจ้าเมืองหงษา   เปนปิ่นรามัญประเทศทุกเขตรขัณฑ์

พม่าทวายฝ่ายลาวเมื่อคราวนั้น อภิวันท์หงษาพึ่งบารมี เธอทราบเรื่องเมืองไทยที่ใหญ่กว้าง มีเจ็ดช้างเผือกอยู่บุรีศรี คิดจะใคร่ได้มาไว้ธานี ให้มนตรีคิดอ่านแต่งสารตรา ฯ

 ๏ ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดปิดตราแล้ว   ใส่กล่องแก้วมรกฎตามยศถา

ให้สมิงโยคราชมาตยา คุมไพร่ห้าสิบตรงเข้าดงตาล ยี่สิบวันดั้นเดินตามแผนที่ ถึงเจดีย์สามองค์ลงทางบ้านด่าน พบขุนพลพามาในป่าลาน เข้าแจ้งเรื่องเมืองกาญจนบุรี ฯ

 ๏ ฝ่ายผู้รั้งปลัดยกรบัตรแจ้ง   ให้ขุนแพ่งรีบพามากรุงศรี

นำเข้าหาเจ้าพระยาจักรี พร้อมอยู่ที่ศาลาว่าราชการ ให้มอญล่ามถามซักตระหนักแน่ อ่านเขียนเปลี่ยนแปลพระราชสาร เปนคำไทยได้ระเบียบแล้วเทียบทาน พนักงานนำเข้าคอยเฝ้าพลัน ฯ

 ๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช   ปิ่นปักนัคเรศรังสรรค์

สถิตย์แท่นแม้นมหาเวชายันต์ เสมอชั้นบัณฑุกัมพล์อัมรินทร์ สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอบาท บำรุงราชรู้เชิงบรรเทิงถวิล บ้างร้องรับขับขานประสานพิณ บำเรอปิ่นปัถพีให้ปรีดา ครั้นสายแสงสุริกาญจน์พระผ่านเกล้า เสด็จเข้าที่สรงทรงภูษา ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ ออกข้างน่าพนักงานไขม่านทอง เสด็จเหนือพระที่นั่งบัลลังก์อาศน์ พร้อมมหาดเล็กฟังรับสั่งสนอง ประโคมดังสังข์แตรเสียงแซ่ซ้อง มโหรทึกกึกก้องท้องพระโรง ฝ่ายข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่ง ก็ตกแต่งกายาล้วนอ่าโถง นุ่งสมปักชักกลีบจับจีบโจง เข้าพระโรงบังคมก้มกราบกราน ฯ

 ๏ เจ้าพระยาจักรีศรีสมุหะ   ขอเดชะทูลความตามราชสาร

เบิกทูตรเข้าเฝ้าประนตบทมาลย์ อาลักษณ์พนักงานอ่านสารตรา ฯ

 ๏ ในลักษณพระราชสารสวัสดิ์   จอมกระษัตริย์ซึ่งดำรงเมืองหงษา

ทรงพระยศทศธรรม์กรุณา ให้เย็นใจไพร่ฟ้าประชาชี มีเมืองน้อยร้อยเอ็ดเปนเขตรขอบ มานบนอบน้อมประนตบทศรี กับกรุงเพทวาราวดี เปนทางราชไมตรีได้มีมา ทราบว่าองค์ทรงยศมีคชเรศ ล้วนเผือกผู้คู่พระเดชพระเชษฐา เสมอบุญจุลจักรทรงศักดา จนฦๅชาปรากฎบทมาลย์ เมืองหงษาวดีที่ใหญ่กว้าง ไม่มีช้างเผือกผู้คู่ถิ่นฐาน ขอพระองค์ทรงมหาปรีชาชาญ โปรดประทานให้น้องสักสองช้าง จะฦๅนามงามภักตร์สูงศักดิ์แสง สมประเทศเขตรแขวงที่กว้างขวาง ให้ร่วมแดนแผ่นดินร่วมถิ่นทาง ขอพระองค์จงสร้างทางไมตรี แม้นทรงศักดิ์รักข้างช้างเผือกผู้ ไม่ช่วยชูภักตร์น้องจะหมองศรี กรุงอยุธยากับหงษาวดี จะขาดราชไมตรีซึ่งมีมา ฯ

 ๏ พอจบสารกรานกราบพระทราบเรื่อง   ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ว่า

ให้จ่ายเสบียงเลี้ยงดูพวกทูตา แล้วตรองตรึกปฤกษาเสนาใน ซึ่งหงษามาขอช้างเผือกผู้ จงคิดดูใครจะเห็นเปนไฉน จะแขงอ่อนผ่อนผันทำฉันใด เร่งตรึกไตรใคร่ครวญให้ควรการ ฯ

 ๏ ฝ่ายเสนาข้ารองลอองบาท   อยู่พร้อมพรั่งทั้งมหาดไทยทหาร

ต่งปฤกษาว่าแต่ก่อนเคยรอนราญ กับผู้ผ่านหงษาเจ้ารามัญ จับลูกเธอทั้งสองพี่น้องได้ ก็คุมไว้ไม่ฆ่าให้อาสัญ เมื่อโปรดให้ไปขอพระหน่อนั้น เจ้ารามัญคืนให้เปนไมตรี เดี๋ยวนี้เล่าเขาขอคชสาร ควรประทานหงษาเปนราษี แม้นไม่ให้เห็นจะมารบราวี ในธานีก็คงเกิดสงคราม ฯ

 ๏ ฝ่ายพระราเมศวรพระยาจักรี   พระสุนทรอยู่ที่เฝ้าทั้งสาม

ต่างปฤกษาว่จะให้เห็นไม่งาม จะลวนลามล่วงประมาทบาทยุคล จึงทูลว่าข้าพเจ้าทั้งสามนี้ เห็นไม่สมควรที่ให้ช้างต้น ที่ไมตรีมีแต่ก่อนได้ผ่อนปรน ให้ช้างดีศรีมงคลทวีปไป ถึงสองช้างข้างมอญพม่านั้น จะขี่ขับสับฟันไม่หวั่นไหว จึงคืนให้ไว้กับเราก็เอาไว้ เราได้ให้ได้มีไมตรีกัน ช้างเผือกผู้คู่บุญทูลกระหม่อม มิควรยอมให้ไปจากไอสวรรย์ เหมือกลัวดีฝีมือพวกรามัญ จะเสียชั้นเชิงมอญเพราะอ่อนตาม แม้นหงษามาตีบุรีเรา ข้าพเจ้าพร้อมพรั่งกันทั้งสาม ขออาสาพระองค์ออกสงคราม มิให้ลามล่วงมาถึงธานี ฯ

 ๏ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินปิ่นพิภพ   หมายจะรบรับศึกไม่นึกหนี

จึงตรัสสั่งทั้งสามว่าตามที ให้เสนีที่ชำนาญแต่สารตรา เปนความตอบมอบสมิงโยคราช บังคมลาฝ่าพระบาทนาถนาถา กับไพร่ห้าสิบถ้วนด่วนเดินมา ถึงหงษาเข้าฝ้าเจ้าธานี กราบทูลความตามราชสารตอบ แล้วนอบน้อมประนตบทศรี ฝ่ายเสนารามัญอัญชลี แล้วก็คลี่ราชสารออกอ่านพลัน ฯ ... 11

</tpoem>

เชิงอรรถ

อ้างอิง

หนังสือเรื่อง สามวัง โดย ประยุทธ สิทธิพันธ์ ไม่ระบุปีทีพิมพ์

เครื่องมือส่วนตัว