มัทนะพาธา

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ตอนที่ ๑)
(ตอนที่ ๒)
แถว 912: แถว 912:
====ตอนที่ ๒====
====ตอนที่ ๒====
 +
'''ทางเดินในดง'''
 +
 +
'''[ใช้เป็นม่านม้วนทิ้งระหว่างหลบ, เขียนเป็นภาพต้นไม้และกอหนาม.]'''
 +
 +
'''(ท้าวชัยเสนออก, พร้อมด้วยศุภางค์, กับทหารและพรานอีกสี่ห้าคน.)'''
 +
<tpoem>
 +
  (อินทะวิเชียร, ๑๑.)
 +
'''ชัยเสน.'''  เรามัวละเลิงไล่  มิคะงามตะบึงบ้า
 +
  จนลึกณกลางป่า  และระอิดระอาใจ
 +
  บัดนี้มิรู้ว่า  ดละแทบณหนใด
 +
  อีกทั้งจะเดินไป  บริวารบตามทัน
 +
  เขาคงจะเป็นห่วง  และวิตกเพราะเราครัน
 +
  ใครเจนพะนารัณ-  ยะประเทศะถิ่นนี้ ?
 +
</tpoem>
 +
'''(ศุภางค์สอบถามพวกพราน. พูดกันเบา ๆ แล้วจึงกราบทูล.)'''
 +
<tpoem>
 +
'''ศุภางค์.'''  พวกพรานกระบวนตาม  พระเสด็จก็ไม่มี
 +
  ผู้ใดชำนาญที่  จะทำนูลถนัดได้
 +
  แต่เคยสดับซึ่ง  วะจะเขาแถลงไซร้
 +
  ว่ากลางอรัญใหญ่  ณ ประเทศะแถบนี้
 +
  ยังมีสำนักองค์  วรพรหมะโยคี
 +
  ผู้ครองคณาชี  ปฏิบัติตะปาการ
 +
  พรานรับจะไปค้น  พระนิวาสคณาจารย์
 +
  แล้วมาแถลงการณ์  ผิวะพบพระอาศรม
 +
'''ชัยเสน.'''  ดีแล้ว,และเรานี้  ก็จะพักณใต้ร่ม
 +
  พฤกษาสุขารม-  ยะตลอดณราตรี
 +
  เพราะว่าจะเดินต่อ  ฤก็เหนื่อยณบัดนี้
 +
  เมื่อยล้าวะรินทรี-  ยะและใคร่จะผ่อนกาย
 +
  คึนนี้ก็จวนเพ็ญ  ศศิธรจะงามหงาย
 +
  โพยภัยและสัตว์ร้าย  ผิจะมาก็เห็นพลัน
 +
  จงใช้คณาพราน  จรรีบณไพรสันฑ์
 +
  หาที่พระนักธรรม์  ธนิวาสนกลางไพร
 +
  อีกให้ทหารบาง  จรย้อนวิถีไป
 +
  จนพบกระบวนใหญ่  ละก็นำกระบวนมา
 +
  ที่เหลือก็ให้ถาง  ติณะใต้สุพฤกษา
 +
  ไทรย้อยลออตา  ละก็คงจะพอพัก
 +
  จนกว่ากระบวนใหญ่  จรพร้อมก็จึงจัก
 +
  สร้างค่ายและที่พัก  ณประเทศะถิ่นควร
 +
 +
  (ฉบงง, ๑๖.)
 +
'''ศุภางค์.'''  ข้าจะได้สั่งถี่ถวน  ตามภูมิศวร
 +
  ได้มีพระราชบัญชา.
 +
  พวกพรานจงตามเรามา  บัดนี้อย่าช้า
 +
  จะใช้ไปตามมุ่งหมาย.
 +
</tpoem>
 +
'''(ศุภางค์ถวายปังคมท้าวชัยเสนและเข้าโรงไปกับพวกพราน.)'''
 +
<tpoem>
 +
  (อุปชาติ, ๑๑.)
 +
'''ชัยเสน.'''  อโหระลึกขึ้น  ละก็สุดจะเสียดาย !
 +
  ได้เคยประสบหลาย  มิคะแล้วบ่เคยเห็น
 +
  กวางงามอร่ามทั่ว  วรกายะดังเช่น
 +
  ดนูละเลิงเล่น  จรไล่ณวันนี้
 +
  ชะเนตรสนิทนิล  กละนิลมะณีศรี
 +
  ยามแลชำเลืองมี  กิริยาประหนึ่งอาย
 +
  เขางามประหนึ่งช่อ  วรวิชชุมาลย์ฉาย
 +
  และหนังระยับลาย  กละเลื่อมประดับวาว
 +
  ขนองสนิทดำ  ดุจะเขียนเขม่ายาว
 +
  งามทรวงสะอาราว  หิมะตกณยอดผา
 +
  ยามเดินก็งามยิ่ง  และจะวิ่งก็ยวนตา
 +
  จริตกิริยา  กละสาวสุรางค์สวรรค์
 +
  และเมื่อดนูตาม  มิคะใกล้จะตามทัน
 +
  โน้มน้าวธนูมั่น  เหมาะและเตรียมจะยิงไป
 +
  มัวเพลินตะลึงนึ่ง  บมิยิงณบัดใจ
 +
  และกวางก็ว่องไว  จรแผล็วณแนวพง
 +
</tpoem>
 +
'''(ศุภางค์กลับออกมาถวายบังคมท้าว'''ชัยเสน.''')'''
 +
<tpoem>
 +
  (ฉบงง, ๑๖.)
 +
'''ศุภางค์.'''  ข้าได้จัดพรานดั้นดง  ไปตรวจตราตรง
 +
  ที่อยู่แห่งคณาจารย์
 +
  อีกจัดแบ่งพวกทหาร  ย์อนทางที่ผ่าน
 +
  มาแล้วเมื่อไล่มฤคี
 +
  ส่วนการแผ้วถางปัฐพี  สำเร็จแล้วดี
 +
  พอจะประทับอาศัย
 +
'''ชัยเสน.'''  ดีแล้ว,กูนี้อ่อนใจ  จึ่งอยากจะใคร่
 +
  ได้พักได้ผ่อนกายา.
 +
</tpoem>
 +
'''(ท้าวชัยเสน,ศุภางค์, และบริวารเข้าโรง.)'''
 +
<tpoem>
 +
====ตอนที่ ๓====
==ที่มา==
==ที่มา==

การปรับปรุง เมื่อ 14:24, 24 กุมภาพันธ์ 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

คำนำ

ละครเรื่องนี้ไม่ใช่ได้เนื้อเรื่องหรือตัดตอนมาจากแห่งใด ๆ เลย จึ่งขอบอกไว้ให้ผู้อ่านทราบเพื่อไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวค้นหาเรื่องนี้ในหนังสือโบราณใด ๆ แก่นแห่งเรื่องนี้ได้เคยมีติดอยู่ในใจของข้าพเจ้ามาช้านานแล้ว แต่เพราะเหตุต่าง ๆ ซึ่งไม่จำจะต้องแถลงในที่นี้ ข้าพเจ้ามิได้ลงมือแต่งเรื่องนี้ จนมาเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๖ เมื่อได้บังเกิดมีเหตุบังคับให้ข้าพเจ้าต้องอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ข้าพเจ้าจึงได้หวลนึกขึ้นถึงเรื่องนี้ เมื่อนึกตั้งโครงเรื่องขึ้นได้แล้ว ข้าพเจ้าได้นำไปเล่าให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินีและถามว่าเธอจะให้นางในเรื่องนี้ถูกสาปเป็นดอกไม้อย่างใด เธอตอบว่าต้องให้เป็นดอกกุหลาบแน่ละ เพราะเป็นดอกไม้ที่คนทั้งโลกทุกชาติทุกภาษานิยมว่างาม และหอมชื่นใจยิ่งกว่าดอกไม้อย่างอื่น ๆ ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าออกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะข้าพเจ้าตรองและตรวจดูเท่าใดก็นึกไม่ออกและไม่พบ ณ ที่ใด ๆ ว่าดอกกุหลาบนั้นมีนามว่ากระไรในภาษามคธหรือสันสกฤต และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าขาดศัพท์สำหรับใช้ในกวีนิพนธ์ไปนั้นอย่าง ๑ กับอีกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าสำคัญกว่า คือถ้าชื่อดอกกุหลายไม่มีในภาษามคธหรือสันสกฤตดังนั้น จะมิต้องเข้าใจละหรือว่าในภารตะวรรษ (อินเดีย) อันกำหนดจะเป็นภูมิลำเนาแห่งเรื่องนี้ มิได้เคยมีดอกกุหลาบในโบราณสมัย? ถ้าในภารตะวรรษไม่เคยมีดอกกุหลาบ จะแต่งลงไปว่ามีดูเป็นการฝ่าฝืนธรรมดาไป อาจทำให้ถูกติว่าเป็นคนตื้นได้

แต่ข้าพเจ้ายังไม่ยอมปลงใจเชื่อว่าดอกกุหลาบไม่มีชื่อในภาษามคธหรือสันสกฤต ข้าพเจ้าจึ่งได้ใช้ให้รองอำมาตย์โท ตรี นาคะประทีป เปรียญ ค้นดู นายตรี นาคะประทีปได้ไปปรึกษาพราหมณ์กุปปุสวามิ อารย ที่หอพระสมุดวชิรญาณแล้ว และ ได้รายงานมา ดังต่อไปนี้

ชั้นแรก เจตสิกของนักเรียนบาลี ผู้ได้ยินคำว่า “กุหลาบ” ย่อมนึกปราดไปถึงศัพท์ “ชปา” ตัวนายตรี นาคะประทีป ครั้นมีพราหมณ์ กุปปุสวามิ อารย เป็นที่ปรึกษาได้ความว่า “ชปา” หาใช่ “กุหลาบ” ไม่ ที่ประติเษธเด็ดขาดเช่นนี้เพราะ “ชปา” มิใช่ไม้มีหนาม และกุหลายไม่มีหนามไม่มีผลแห่งการค้นต่อไปเป็นได้ศัพท์ “กุพชก” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ในปทานุกรมสันสกฤตอังกฤษ ว่า “Roso moschata” และซึ่งมีกล่าวในคัมภีร์ธันวันตรียนิฆัณฏุ ดังนี้

กุพฺชโก ภทฺรตรุณีพฺฤหตฺปุษฺหาติเกสรา
มหาสหา กณฺฎกาฒฺยานีลาลิกุลสํกุลา. ๑
กุพฺชก สุรภิ สฺวาทุกษายสฺ ตุ รสายน
ตฺริโทษศมโน วฺฤษยศีต สํครหโณปร. ๒
             

โศลกที่ ๑ กล่าวถึงลักษณะแห่งดอก “กุพชก” มีคำแปลว่า “กุพชกงามดังสาวรุ่น มีดอกใหญ่ มีเกสรยิ่ง ทนมาก สะพรั่งด้วยหนาม มีฝูงผึ้งเขียวเป็นกลุ่ม “

โศลกที่ ๒ กล่าวถึงสรรพคุณ มีคำแปลว่า “กุพชกมีกลิ่นหอม กินอร่อย หวาน มีรสเลิศ (เมื่อกินแล้ว) ระงับตรีโทษ (คือกำเริบแห่งลม ดี เสมหะ) เจริญราค เย็นสบายแก้วโรค เช่น ท้องร่วง “

ตามที่นายตรี นาคะประทีป ค้นได้ความมาเช่นนี้ ข้าพเจ้าคเณว่าผู้ที่เป็นนักเลงหนังสือ และนักเรียน คงจะพอใจที่จะได้ทราบด้วย ข้าพเจ้าจึงได้นำมาลงไว้ในที่นี้ และข้าพเจ้าถือเอาโอกาสนี้เพื่อขอบใจ นายตรี นาคะประทีป ในการที่ได้เอาใจใส่ค้นศัพท์นี้ได้สมปรารถนาของข้าพเจ้า

ก่อนที่ได้ทราบว่าดอกกุหลาบเรียกว่าอย่างไรในภาษาสันสกฤตนั้น ข้าพเจ้าได้นึกไว้ว่าจะให้ชื่อนางเอกในเรื่องนี้ตามนามแห่งดอกไม้ แต่เมื่อได้ทราบแล้วว่าดอกกุหลาบคือ “กุพชก” เลยต้องเปลี่ยนความคิด เพราะถ้าแม้ว่าจะให้ชื่อนางว่า“กุพชก” ก็จะกลายเป็นนางค่อมไป ข้าพเจ้าจึ่งค้นหาดูศัพท์ต่าง ๆ ที่ พอจะใช้ได้เป็นนามสตรี ตกลงเลือกเอา “มัทนา” จากศัพท์ “มทน” ซึ่งแปลว่าความลุ่มหลงหรือความรัก เผอิญในขณะที่ค้นนั้นเองได้พบศัพท์ “มทนพาธา” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ว่า “ the pain or disquietude of love “ (ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก ) ซึ่งข้าพเจ้าได้ฉวยเอาทันที เพราะเหมาะกับลักษณะแห่งเรื่องทีเดียว เรื่องนี้จึ่งได้นามว่า “มัทนะพาธา หรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ” ด้วยประการฉะนี้

เรื่องละครนี้ ความตั้งใจเดิมของข้าพเจ้าจะแต่งขึ้นเป็นแต่หนังสือสำหรับอ่านอย่างกวีนิพนธ์เท่านั้นแต่พระราชินีเธอตรัสขอให้จัดเล่นออกโรงในงานวันฉลิมพระชนมพรรษาของเธอ ข้าพเจ้าจึงตกลงตามใจเธอ ส่วนนักประพันธ์อื่น ๆ จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า เมื่อข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือตั้งรูปขึ้นเป็นละครแล้ว ก็ย่อมจะรู้สึกพอใจเมื่อมีผู้ขอให้เล่นเรื่องละครนั้น และถ้าแม้ว่ามิได้พอใจหรือปรารถนาที่จะให้ผู้ใดเอาเรื่องของเราไปเล่นออกโรงเป็นละคร เราจะประดิษฐ์รูปเรื่องของเราขึ้นไว้เป็นอย่างละครทำไม ?

ส่วนวิธีเล่นเรื่อง “มัทนะพาธา” นี้ ข้าพเจ้ากำหนดไว้ให้ตัวละครพูดบทของตนเอง ไม่ใช่ร้องบท นั้น ๆ อย่างแบบที่เรียกกันว่า “ละครดึกดำบรรพ์” ต่อเมื่อบทใดเป็นบทขับร้องจึ่งให้ร้อง กับให้มีดนตรีเล่นคลอเบา ๆ ในเวลาที่เจรจา และมีหน้าพาทย์กำหนดลงไว้บางแห่งเพื่อช่วยการดำเนินแห่งเรื่อง

อนึ่งเพื่อประดับหนังสือเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ให้จางวางตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) เขียนภาพขึ้นเพื่อสอดไว้ในที่อันควร และข้าพเจ้าขอขอบใจพระยาอนุศาสน์จิตรกร ในที่นี้ด้วย


สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร

มหาวชิราวุธ

ทรงพระราชนิพนธ์


พระที่นั่งไวกูณฐ์เทพสถาน, พญาไท

วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖

คำอำนวย

๏ อ้าอินทระศักดิศะจิองค์อรเอกมเหสี
ผู้คู่หทัยและวรชี-วิตะร่วมสิเนหา
๏ อันเธอสิเปรียบประดุจกุพ-ชะกะเลิศสุมาลา
ดาลดวงฤดีสุมะทะนา-วติรื่นระตีหวาน
๏ งามใดจะเหมือนพระวรพักตร์สิริลักษณ์วิไลยลาน
ยวนเนตรระยิ่งสุมละมาลย์บริสุทธิโศภิต
๏ หอมใดจะเหมือนพระวรคุณสุวิบุลยะเนืองนิตย์
ทรงธรรมะเที่ยงและสุจริตบมิละคดีงาม
๏ อันมาลิกุพชะกะสิย่อมจะสะพรั่งสะพรึบหนาม
แต่เธอนะแสนวิมะละวามและบ่มีจะเสียใด
๏ เธอคือกุหลาบวรวิจิตรจุฑะแห่งไผทไท
ฉันขอประสาทวะจะนะให้อรรับละครนี้
๏ เป็นส่วนดนูหทยะจงจะอุทิศพะลีศรี
ตอบเธอผดุงวรฤดีดนุให้สะราญบาน
๏ ปลื้มเปรมกะมลเพราะปริยะมุ่งมนะรักษะทุกกาล
ร่วมใจบ่จืดฤดิสมานรติจวบ ณ วันตาย ฯ
             

บทประพันธ์

ตัวละคร

ชาวฟ้า

สุเทษณะเทพบุตร

จิตระเสน , หัวหน้าคนธรรพ์ของสุเทษณ์

จิตระเสน , สาระถีของสุเทษณ์

มายาวิน , วิทยาธร

มัทนา , เทพธิดา

เทพบุตร, คนธรรพ์, และอัปสร บริวารของสุเทษณ์

ชาวดิน

พระกาละทรรศิน, คณาจารย์อยู่ในป่าหิมะวัน

โสมะทัต, หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศิน

นาค และ ศุน, ศิษย์ของพระกาละทรรศิน

ท้าวชัยเสน, กษัตริย์จันทรวงศ์ผู้ทรงราชย์ในนครหัสตินาปุระ

ศุภางค์, นายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน.

นันทิวรรธนะ, อมาตย์ของท้าวชัยเสน,

ชาวสวนหลวง,

วิทูร, พราหมณ์หมอเสน่ห์.

พระนางจัณฑี, มเหสีของท้าวชัยเสน.

ปริยัมวะทา, นางกำนัลของท้าวชัยเสน.

อราลี, นางค่อมข้าหลวงพระนางจัณฑี.

เกศินี, ข้าหลวงพระนางจัณฑี


ศิษย์พระฤษี ; นายทหาร, พราน , ราชบริพาร, และข้าหลวง

ลำดับฉาก

องก์ที่ ๑

ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร, บนสวรรค์.

องก์ที่ ๒

ตอนที่ ๑ : ในกลางหิมะวัน.

ตอนที่ ๒ : ทางเดินในดง.

ตอนที่ ๓ : ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน.

องก์ที่ ๓

ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน

องก์ที่ ๔

ตอนที่ ๑ : สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.

ตอนที่ ๒ : ริมรั้วค่ายหลวง, ตำบลกุรุเกษตร

ตอนที่ ๓ : สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.

องก์ที่ ๕

ตอนที่ ๑ : พลับพลาในค่ายหลวงที่ตำบลกุรุเกษตร

ตอนที่ ๒ : ในกลางหิมะวัน.

หมายเหตุ

เรื่องนี้สมมติว่าเป็นไปในภารตะวรรษในโบราณสมัย.

องก์ที่ ๑

ฉาก : ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร์, บนสวรรค์.

[ก่อนเปิดม่าน, ตัวละครเหล่านี้ต้องพร้อมอยู่บนเวที, คือ สุเทษณะเทพบุตร์, เอกเขนกอยู่บนเตียงที่บนมุขเด็จ, มีนางอัปสรอยู่งานพัดคน ๑ ; จิตระเสนนั่งอยู่หน้ามุขเด็จ, และมีบริวารของสุเทษณ์นั่งรายเป็นแถวทั้ง ๒ ข้างเวที ; กลางเวทีมีพวกคนธรรพ์สำรับ ๑, ถือช่อดอกไม้ทั้ง ๒ มือทุกคน. พิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงจนถึงเวลาควรจะเปิดม่าน, จึงทำเพลงเหาะ, พอเปิดม่าน, พวกคนธรร์ก็เริ่มร้องและรำอย่างแบบรำโคม, ดนตรีเล่นคลอเสียงไปตลอด, ไม่ต้องรับ. ]

บทร้องของคนธรรพ์

(ลำเหาะ)

(ยานี, ๑๑. )
      ข้าบาทผู้ภักดีต่อธุลีพระบาทา
พร้อมกันถวายอา-เศียระพาทแด่เทวัญ
      ขอจงเสวยสุขนิราศทุกข์ไร้โรคัน–
ตะรายแลภยัน-ตรายาอย่ายายี
      พระองค์ทรงมีคุณกะตะบุญบาระมี
บำเพ็ญในอตี-ตะกาลดลผลไพบูลย์
      ชาติก่อนเป็นสุกษัตร์เถลิงรัฐราไชสูรย์
ในวงศะประยูรสุระแมนแคว้นปัญจาล
      ทรงธรรมล้ำมนุษย์ฤทธิรุทมหาศาล
บำเพ็ญพะลีการทุกอย่างงามตามวิสัย
      ครั้นถึงเวลาควรภูมิศวรจากไผท
เสด็จสุราลัยเสวยสุขในแดนสรวง
      เหล่าข้าพึ่งพระเดชปกป้องเกศข้าทั้งปวง
จึ่งพร้อม ณ แดดวงภักดีหมายถวายพร
      สิ่งใดพระประสงค์จงสิทธินิรันดร
ใดองค์จอมอมรไม่โปรดปรานเร่งผ่านไป ฯ
             
(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.เหวยจิตระเสน มึงบังอาจเล่น ล้อกูไฉน ?
จิตระเสน.เทวะ, ข้าบาท จะบังอาจใจ ทำเช่นนั้นไซร้ ได้บ่พึงมี.
สุเทษณ์.เช่นนั้นทำไม พวกมึงมาให้ พรกูบัดนี้
ว่าประสงค์ใด ให้สมฤดี ? มึงรู้อยู่นี่ ว่ากูเศร้าจิต
เพราะไม่ได้สม จิตที่ใฝ่ชม อกกรมเนืองนิตย์.
จิตระเสน.ตูข้าภักดี ก็มีแต่คิด เพื่อให้ทรงฤทธิ์ โปรดทุกขณะ
สุเทษณ์.กูไม่พอใจ ! ไล่คนธรรพ์ไป บัดนี้เทียวละ อย่ามัวรอรั้ง
จิตระเสน.เอวํเทวะ ! (หันไปสั่งคนธรรพ์.) เออพอแล้วนะ, พวกเจ้าจงไป.
(พวกคนธรรพ์ถวายบังคมแล้วเข้าโรง)
ข้าบาทได้เตรียม อัปสรเสงี่ยม สง่างามไว้
เพื่อร้องและรำ      บำเรอเทพไท แม้โปรดจะได้ เรียกมาบัดนี้.
สุเทษณ์.เอาเถิดลองดู เผื่อว่าตัวกู จะค่อยสุขี.
จิตระเสน.(เรียก) คณาอัปสร ผู้ฟ้อนรำดี ออกมาบัดนี้ รำถวายกร.
(พิณพาทย์ทำเพลงเร็ว. คณะอัปสรรำออกมาถึงกลางเวที,ลา, แล้วรำและร้องบทต่อไปนี้, และดนตรีเล่นคลอเสียงไปตลอด,ไม่ต้องรับ.)
             

บทร้องของอัปสร

(ลำนางนาค.)

(ฉบงง, ๑๖.)
      เหล่าข้าคณาอัปสรก้มเกศยอกร
บังคมพระเทพรังสรรค์
      พำนักเนาสุขทุกวันพระคุณอนันต์
อเนกประดุจโพธิ์ทอง
      อันเมตตาเนืองนองประดุจละออง
วะรุณระรื่นรวยเย็น
      พระกรุณาแน่เห็นดีประดุจเป็น
วายุรำเพยชื่นใจ
      พระมุทิตาแน่วในข้าบาทจึ่งได้
มานะเป็นนิตย์ในงาน
      พระอุเบกขาสมานจิตให้เบิกบาน
บ่เสื่อมบ่สูญภักดี
      เจ้านายองค์ใดในตรีโลกฤาจะมี
เหมือนพระนั่งเกศา
      ขอพึ่งยุคลบาทาไปจนเวลา
ประจวบเมื่อกัลป์บรรลัย ฯ
             

(เพลงเร็ว. อัปสรจับระบำสักสามท่าแล้ว, สุเทษณ์ยกมือห้าม, จิตระเสนก็สั่งพวกนางให้เลิกการระบำ, และพวกนางถวายบังคมแล้ว, พิณพาทย์ทำลา, พวกอัปสรเข้าโรง, พวกเทพบริวารก็คลานเข้าโรงไปด้วย.)

(ยานี, ๑๑.)
จิตระเสน.อันนางอัปสรศรีรำมิดีประการใด
ขอเทวะฤทธิ์ได้โปรดตำหนิติประทาน
สุเทษณ์.ดีแล้วทั้งการรำและลำนำขับร้องหวาน
ทั้งดนตรีประสานก็ฟังเพราะเสนาะดี
แต่กูที่ใจเศร้าและงึมเหงาอยู่เช่นนี้
ตัวเจ้าก็รู้ดีว่าเหตุนั้นเป็นฉันใด
จิตระเสน.ข้าทราบและพลอยโศกอันโรครักนี้หนักใจ
แต่ในสุราลัยสุรางค์ดีก็มีถม
ข้าเชื่อว่าพระองค์ประสงค์นางสะอางชม
คงได้สัมฤทธิ์สมหทัยแท้ทุกนงคราญ
(อันทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.จริงอยู่นะเจ้าเอยผิจะเชยสมัครสมาน
นางใด ณ แมนการก็จะสิทธิสมฤดี
เว้นเดียวก็แต่โฉมมะทะนาวิสุทธิศรี
ผู้เลิศสุรางค์มีวรรูปวิเลขวิไลย
แต่เห็นอนงค์รา-มะประเสริฐวิเศษวิสัย
ไม่มีอนงค์ใดนะจะเทียบจะเทียมจะทัน
งามผิวประไพผ่องกลทาบสุภาสุพรรณ
งามแก้มแฉล้มฉันพระอรุณแอร่มละลาน
งามเกศะดำขำกลน้ำ ณ ท้องละหาน
งามเนตรพินิจปานสุมณีมะโนหะรา
งามทรวงสล้างสองวรถันสุมนสุมา-
ลีเลศประเสริฐกว่าวรุบลสะโรชะมาศ
งามเอวอนงค์ราวสุรศิลปิชาญฉลาด
เกลากลึงประหนึ่งงวงสุระคชสุเรนทะทรง
นวยนาดวิลาศวงดุจะรำระบำระเบง
ซ้ำไพเราะน้ำเสียงอรเพียงภิรมย์ประเลง
ได้ฟังก็วังเวงบ่มิว่างมิวายถวิล
นางใดจะมีเทียบมะทะนา ณ ฟ้า ณ ดิน
เป็นยอดและจอดจิน-ตนะแน่ว ณ อก ณ ใจ
             

(จิตระรถออก, ไปไหว้สุเทษณ์, แล้วหมอบคอยฟังรับสั่ง.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.อ้อ, จิตระรถเจ้าไป ตามที่กูใช้, สำเร็จประสงค์ฤาหวา ?
จิตระรถ.เทวะ, ข้าบาทไคลคลา ตามองค์มหา ฤษีผู้นามนารท
ไปทั่วทุกแดนสามหมด ; ในฟากฟ้าจรด จนถึงขอบนภาลัย;
ไปทั่วแดนมนุษย์สุดไกล บ่เว้นแห่งใด กระทั่งยังขอบจักรวาล
ไปทั่วในแดนบาดาล ทั่วทุกสถาน ทุกถิ่นจนจบภพไตร
ไปถึงซึ่งแคว้นแดนใด ข้าบาทก็ได้ วาดรูปอนงค์งามงอน
มาเพื่อถวายมหิศร ขอองค์อมร จงทอดพระเนตรรูปา
สุเทษณ์.มาเถิดนำรูปขึ้นมา และจงเจรจา แถลงซึ่งลักษณ์ให้กู
             

(จิตระรถเรียกคนใช้ให้นำรูปออกมา, แล้วเอาขึ้นไปถวายสุเทษณ์ทอดพระเนตรพลาง, จิตระรถแถลงลักษณะแห่งรูปไปพลาง.)

(อุปชาติ, ๑๑.)
จิตระรถ.ประถมก็รูปเท-วะธิดาสง่าตรู
มีนามะเรียกยูวะสุมาลิโสภณ
งามเนตรและเกศแก้มกลดอกกะมลสน
ธิสิ่งประเสริฐปนกิริยาสง่าศรี
วธูวิเศษเป็นวระเทพะนารี
ข้าองค์อุมาศรีสุระอัคคะเทวิน
เนาคีริไกสาส
สุเทษณ์.อ๊ะฉะนั้นจะจงจิน-
ตะนาจะราคิน,บ่มิควรคะนึงถึง
จิตระรถ.ทุตียะรูปนางสิริร่างสะอางซึ่ง
แสนงามและหากถึงจะประเทียบบ่แพ้ใคร
นางชื่อวิเลขากละภาพพิเศษไซร้
วิโรจน์วิไลยใครยละร่านระตีพูน
สะขีพระเทวีมหิษีบดีสูร
ผู้สิง ณ ไวกูณฐ์
สุเทษณ์.อ๊ะมิควรจะมุ่งหมาย
หล่อนเป็นกำนัลแห่งหริราชะนารายณ์
จะมุ่ง ณ โฉมฉายก็จะทรงพระโกรธา
จิตระรถ.ฉะนั้นถวายรูปอระเทพะกัญญา
ชื่อเมนะกาภาสะวิเลขวิไลยวรรณ
ข้าเห็น ณ สวนกลางอมะราวดีสวรรค์
วิจิตรวิศิษฎ์สรร-พะสะกนธะชวนชม
นางช่างประเลงขับวรศัพทะเริงรมย์
เปรอองค์สุโรดม
สุเทษณ์.ก็มิควรจะมุ่งมาด
ท้าวศักระทรงฤท-ธิมหิทธิ์กำแหงกาจ
ผิทรงพิโรธอาจจะประหัตประลัยลาญ
จิตระรถ.ฉะนั้นถวายรูปวรราชะนงคราญ
หน่อนาถะผู้ผ่านวรเขตตะกาศี
ปรากฏพระนามนางวิมะลาสุนารี
วิสุทธ์วิศิษฎ์ที่จะตินั้นบ่พึงหา
พระโฉมบ่แพ้โฉมสุระเทวะกัญญา
สุเทษณ์.แพ้ยอดฤดีข้าดุจุกากะเปรียบหงส์
จิตระรถ.นี่รูปธิดาท้าววรเกาศิกาพงศ์
นรินทระราชทรงบุระกานยะกุพชา
ประกาศพระนามเรียกวรเรณุกาภา
สุเทษณ์.เปรียบโฉมวิเลขามะทะนาบ่แพ้นาง
จิตระรถ.นี่รูปธิดารา-ชะวิทรรภะโศภางค์
พระนามอนงค์นางทมะยันติบังอร
สุเทษณ์.จะมัวสำแดงรูปอระเนา ณ ดินดอน
หวังหาสง่างอนฤจะเปรียบธิดาสรวง
จิตระรถ.ข้าวาดวิเลขาอระงาม ณ แดนปวง
ถวายพระปิ่นสรวงและก็สุดจะโปรดปราน
และรูปธิดานา-คะและลูกอสูรหาญ
อันเห็น ณ บาดาล,ดนุวาดถวายไว้
เพื่อทอดพระเนตรเล่นตละตนก็ผ่องใส
จะควรมิควรไซร้ฤก็สุดจะปรานี
             

(จิตระรถส่งรูปถวายสุเทษณ์, และสุเทษณ์รับไปดูผาด ๆ, แล้วส่งคืนให้แก่จิตระรถ, จิตระรถส่งให้คนใช้นำเข้าโรงไป.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ปวงรูปเจ้าวาดมานี้ เป็นรูปนารี ที่ล้วนประเสริฐงาม :
แต่กูดูทุกนงราม ก็ยังเห็นทราม กว่านารีรัตน์มัทนา.
ฉะนั้นแม้ไม่อาจหา เทียมเท่ามัทนา ฤากูจะกล่าวชมเชย ?
เป็นกรรมกูแล้วเจ้าเอย จำต้องชวดเชย ที่รักสมัครจริงใจ.
จิตระรถ.ฉะนั้นต้องคิดแก้ไข โดยอุบายให้ พระองค์ได้สมจินดา.
สุเทษณ์.จะแก้ฉันใดเล่าหวา ? กูหมดปัญญา
จิตระรถ. ข้าบาทขอทูลบัดนี้
ยามข้าเที่ยวไปถึงที่ ขุนโขดคีรี ศรีมันทะระงามงอน
ได้พบหนึ่งวิทยาธร เรืองวิทยากร มีนามว่ามายาวิน
ผู้นี้มีความรู้ชิน เชิงชาญโยคิน และเชี่ยวอาถารรพ์วิทยา
รู้จักใช้โยคะนิทรา ไปผูกหทยา แห่งผู้ที่อยู่แม้ไกล
อาจร่ายมนตร์เรียกมาได้.
สุเทษณ์.อ๊อ ! จริงหรือไฉน ?
จิตระรถ. ข้าบาทได้เห็นเองแล้ว
สุเทษณ์.ถ้าจริงเขาก็เป็นแก้ว !
จิตระรถ. ข้าบาททราบแล้ว จึ่งกล้านำตัวเขามา,
สุเทษณ์.พามาด้วยแล้วหรือหวา ?
จิตระรถ. หมอเอกนั้นมา คอยอยู่ข้างนอกพระลาน.
ขอได้โปรดให้ทำการ ลองเวทชำนาญ ชำนิถวายสักครั้ง
สุเทษณ์.เจ้าพูดชวนกูให้หวัง ! แม้ไม่สมดัง ปากว่าจะทำฉันใด ?
จิตระรถ.ข้าบาทเชื่อแน่แก่ใจ อยู่แล้วจึ่งได้ กล้าพามาเฝ้าทูลเทศ.
ขอโปรดทดลองดูเวท, เผื่อพระทรงเดช จะได้ดังพระจินตนา.
สุเทษณ์.ดีละ, เรียกเขาเข้ามา ชั่วดีก็น่า จะลองให้เห็นประจักษ์
(จิตระรถถวายบังคมแล้วเข้าโรงไป.)
จิตระเสน.เทวะ ! ข้าสงสัยนัก, แต่ไม่อยากทัก อยากท้วงต่อหน้าสารถี.
เวทมนตร์นั้นเขาอาจมี จริงอยู่พอที่ จะเรียกเอาใครใครมา
แต่จะบังคับหัทยา ให้รักนั้นข้า ยังนึกระแวงแคลงนัก.
หากเรียกโฉมยงนงลักษณ์ มาแล้วไม่ภัก- ดิอยู่เป็นข้าบทมาลย์
ก็จะกลับกลายเป็นการ เสื่อมเกียรติวิศาล ขององค์พระจอมเทวัญ
สุเทษณ์.เจ้าพูดถูกทุกสิ่งอัน, แต่กูอัดอั้น อุระด้วยรักรึงใจ
ฉะนั้นถึงอย่างไรอย่างไร เพียงแต่ให้ได้ เห็นวรพักตร์เลิศงาม
แห่งมัทนานงราม, ก็อาจมีความ ประโมทย์มนัสสมถวิล
(จิตระรถพามายาวินออกมา มายาวินเป็นวิทยาธร, นุ่งห่มหนังเสือ.)
จิตระรถ.เทวะ, นี่มายาวิน มาเฝ้าบดิน- ทะด้วยมะโนภักดี
สุเทษณ์.ขอบใจที่มาครานี้ เขาว่าท่านมี ซึ่งโยคะวิทยาชาญ.
หากเราจะขอให้ท่าน ช่วยเปลื้องรำคาญ จะได้ละหรือว่ามา.
มายาวิน.เทวะ, อันเวทวิทยา ข้ารู้เรียนมา เต็มใจจะใช้ฉลอง
พระเดชพระคุณละออง ธุลีบาทลอง จนเต็มสติปัญญา
สุเทษณ์.ท่านมีเวทมนตร์คาถา อาจดลหัทยา ใครใครได้หมดฤาไฉน ?
             
(ภุชงคัปปะยาตร์, ๑๒)
มายาวิน.จะทูลเทวะเกรงดูประหนึ่งตูทะนงไป
จะงำเงื่อนบทูลไซร้ก็เหมือนปิดวิชาการ.
พระจงโปรดประทานซึ่งอภัยข้าจะทูลสาร
และความจริงวิชาการก็มีอยู่ประจำตน.
อถรรพ์เวทะเจนอยู่,และมนตร์ครูก็ได้สน
มโนจำและซ้ำค้นคดีเพิ่มบเคลิ้มหลง.
ฉะนั้นอาจจะผูกจิต-ตะใครได้ประดุจจง,
และใช้โยคะแล้วคงจะเรียกให้ตะบึงมา
บนานแม้จะอยู่ถึงณ เขาจักระวาลา,
ฤอยู่สรวงฤอยู่นา-คะ โลกต่ำ ณ บาดาล.
จะเป็นหญิงฤเป็นชายก็เรียกดายมิยากนาน,
เพราะใครเลยจะทนทานพระอาถรรพมนตร์ไหว.
ฉะนั้นแม้พระองค์มีประสงค์ให้ดนูไซร้
ประชุมมนตระเรียกใครก็โปรดมีพระบัญชา
             
(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.อันตัวเรานี้ จิตจ่ออยู่ที่ โฉมมะทะนา ผู้เลิศเลอสรร
ในชั้นกามา พะจรฟากฟ้า บ่มีใครทัน
ตั้งแต่เรามา เกิดในฟากฟ้า พิภพภูมิสวรรค์ เราเห็นต้องจิต
คิดอยากเชยขวัญ แต่โอ้นางนั้น หล่อนไม่ปลงใจ.
มายาวิน.ข้าบาทเล็งดู ด้วยญาณก็รู้ นางนี้คือใคร อีกทั้งรูเลศ
ว่าเหตุไฉน นงรามจึ่งไม่ ปลงใจยินดี.
สุเทษณ์.รู้ว่าอย่างไร ?
มายาวิน.หากทูลความไซร้ จงโปรดปรานี
สุเทษณ์.เอาเถิดอย่าเกรง เร่งบอกบัดนี้ มีเหตุร้ายดี จงเล่ามาพลัน
             
(อินทระวิเชียร, ๑๑.)
มายาวิน.เมื่อครั้งพระองค์เป็นวรราชะราชัน
ครองเขตประเทศขัณ-ฑะวิสุทธิปัญจาล
ตรัสใช้อมาตย์เป็นวรทูตะทูลสาร
ถึงราชะผู้ผ่านนรชาติสุราษฎร์งาม
ขอองค์ธิดาชื่อมะทะนาวิไลยราม
เป็นราชินีตามวรราชประเพณี
แต่ท้าวสุราษฎร์ไซร้บมิยอมและยินดี
ให้ซึ่งพระบุตรี,พระก็ทรงพระโกรธา
ตรัสเกณฑ์พหลกองจตุรงคะเสนา
ยกไปประชิตรา-ชะบุรีวโรดม
โจมตีบุรีป่นบ่มิทนทลายล่ม
จับได้นโรดมนรนาถสุราษฎร์มา
จึ่งมีพระโองการจะประหารพระชีวา
แต่หากธิดามาและประนอมมโนฉันท์
ยอมเป็นวธูบาทบริจาริกานันท์
ไถ่โทษะชีวันก็จะงดพระอาญา
ฝ่ายนางก็ยอมตามวรราชะบัญชา
พ่อรอดพระชนมาก็เพราะลูกสิภักดี
ครั้นนางเสด็จถึงวรมาละกาศรี
ก้มเกศและกราบที่ทวิบาทพระภูบาล
แล้วทูลแถลงโดยสิริสัจจะวาทหวาน
ว่าองค์พระนงคราญบมิอยากจะขัดไท้
แต่ได้ปะฏิญญาวรสัจจะมั่นไว้
ว่าจักมิยอมให้นรฝืนฤดีรัก
ครั้งนี้แหละสุดแสนจะประดักประเดิดนัก
เพราะว่าบิดารรักจะบรอดพระชนมา
จึ่งยอมถวายตัวและก็ไถ่พระโทษา
ขององค์ชนกนา-ถะบต้องมลายชนม์
เสร็จกิจจะการดีกรณียะเป็นผล
กราบบาทยุคลตนมะทะนาจะลาตาย
ว่าพลางยุพาชักวรขัคคะแพรวพราย
แทงตรงพระทรวงตายเฉพาะพักตร์พระภูมี
ตายแล้วกำเนิดในสุรภพพิศิษฎ์นี้
ฝ่างองค์พระภูมีก็บำเพ็ญพะลีกรรม์
จนได้สำเร็จผลจรดล ณ แดนสวรรค์
มาพบและรักกันเพราะวะเคยสิเนหา
แต่กรรมพระทำไว้ณ พระชาติอดีตมา
ข้องขัดและขวางหน้าบ่มิให้พระสมจินต์
อันถ้อยดนุทูลฤก็สัจจะทั้งสิ้น
ขอองค์พระผู้ปิ่นสุรเทวะปรานี
             
(สุรางคณา, ๒๘)
สุเทษณ์.ที่ท่านเล่าไซร้ เราขอขอบใจ ที่ท่านไมตรี และเราขอเพียง
เสี่ยงเคราะห์ดูที เผื่อโชคจะมี ดีได้สักครา
มายาวิน.แล้วแต่จะโปรด ไม่ทรงพิโรธ ก็บุญนักหนา
ขอประทานไฟ จะได้บูชา
จิตระรถ.(ร้องตะโกนสั่งไปในโรง.) เอาของออกมา ตามที่สั่งไว้
             

(คนใช้นำเครื่องทำพิธีออกมา, คือบายศรี ๑, หัวหมู เป็ด ไก่, มะพร้าวอ่อน,ขันเหมสำหรับจุดไฟ, และเทียนชนวนจุดไฟ พร้อม; ของเหล่านี้เอาไปตั้งตรงหน้ามายาวิน,และมีคนเอาหญ้าคามาทอดแล้วเอาหนังกวางปูบนหญ้าคาเป็นอาสนะ. มายาวินขึ้นนั่งขัดสมาธิบนอาสนะ, จุดไฟในขันเหม, แล้วกล่าวคำบูชาต่อไปนี้.)

(สัททุลวิกกีฬิต, ๑๙.)
มายาวิน.โอมบังคมพระคเณศะเทวะศิวะบุตร
ฆ่าพิฆนะสิ้นสุดประลัย
อ้างามกายะพระพรายประหนึ่งรวิอุทัย
ก้องโกญจนะนาทให้สะหรรษ์
เป็นเจ้าสิปปะประสิทธิ์วิวิธะวรรณ
วิทยาวิเศษสรร-พะสอน
ยามข้ากอบกรณีย์พิธีมะยะบวร
จงโปรดประทานพรประสาท
โอมนารายะณะเทพเถลิงอุระคะอาสน์
ขี่ขุนสุบรรณ์ราชจรัล
ถือศังข์จักระคะทาธรณิผัน
ปราบยักษะกุมภัณฑ์มลาย
เชี่ยวชาญโยคะวิธีพระพีระอภิปราย
ดลกิจจะทั้งหลายสะมิทธิ์
ยามข้ากอบกรณีย์พิธีมะยะวิจิตร
จงสมมะโนสิต-ธิเทอญ
             

(พิณพาทย์ทำเพลงสาธุการมายาวินไหว้บูชาสี่ทิศ,แล้วร่ายมนตร์ต่อไป.)

              (วิชชุมมาลา, ๘.)
อ้าสองเทเวศร์โปรดเกศข้าบาท
ทรงฟังซึ่งวาทที่กราบทูลเชิญ
โปรดช่วยดลใจทรามวัยให้เพลิน
จนลืมขวยเขินแล้วรีบเร็วมา
ด้วยเดขเทพไททรามวัยรูปงาม
จงได้ทราบความข้าขอนี้นา
แม้คิดขัดขืนฝืนมนตร์คาถา
ขอให้นิทราเข้าสึงถึงใจ
มาเถิดนางมาอย่าช้าเชื่องช้อย
ตูข้านี้คอยต้อนรับทรามวัย
อ้านางโศภาอย่าช้ามาไว
ตูข้าสั่งให้โฉมตรูรีบจร.
โฉมยงอย่าขัดรีบรัดมาเถิด
ขืนขัดคงเกิดในทรวงเร่าร้อน
มาเร็วบัดนี้รีบลีลาจร
มาเร็วบังอรข้าเรียกนางมา
             

(มายาวินประนมมือและนั่งบริกรรม พิณพาทย์ทำเพลงตระสันนิบาต, ทุก ๆ คน ตั้งตาคอยมองดูพอรัวท้ายตระ มัทนาเดินออกมา ตาจ้องเป๋งไม่แลดูใครและกิริยาอาการเป็นอย่างคนที่ยังหลับอยู่ และพูดหรือแสดงกิริยาอย่างคนที่ฝัน. สุเทษณ์ลุกจากบัลลังก์ลงมาต้อนรับด้วยความยินดี แต่ครั้นเห็นมัทนาจังงังอยู่ไม่ยิ้มแย้มก็ชะงัก แล้วหันไปพูดกับมายาวิน.)

(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.นางมาแล้วไซร้ แต่ว่าฉันใด จึ่งไม่พูดจา ?
มายาวิน.นางยังงงงวย ด้วยฤทธิ์มนตรา แต่ว่าตูข้า จะแก้บัดนี้.
(พูดกับมัทนา)
             
(อินทะวิเชียร, ๑๑)
ดูก่อนสุชาตามะทะนาวิไลยศรี
ยามองค์สุเทษณ์มีวรพจน์ประการใด
นางจงทำนูลตอบมะธุรสธตรัสไซร้
เข้าใจมิเข้าใจฤก็ตอบพะจีพลัน
มัทนา.เข้าใจละเจ้าข้า;ผิวะองค์สุเทษณ์นั้น
ตรัสมาดิฉันพลันจะเฉลยพระวาที
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
สุเทษณ์.อ้าโฉมวิไลยะสุปริยามะทะนาสุรางค์ศรี
พี่รักและกอบอภิระตีบมิเว้นสิเน่ห์หนัก
บอกหน่อยเถอะว่าดะรุณิเจ้าก็จะยอมสมัครรัก
มัทนา.ตูข้าสมัครฤมิสมัครก็มิขัดจะคล้อยตาม
สุเทษณ์.จริงฤานะจ้าสุมะทะนาวจะเจ้าแถลงความ ?
มัทนา.ข้าขอแถลงวะจะนะตามสุรเทวะโปรดปราน
สุเทษณ์.รักจริงมิจริงฤก็ไฉนอรไทบ่แจ้งการ ?
มัทนา.รักจริงมิจริงก็สุระชาญชยะโปรดสถานใด ?
สุเทษณ์.พี่รักและหวังวธุจะรักและบทอดบทิ้งไป
มัทนา.พระรักสมัครณพระหทัยฤจะทอดจะทิ้งเสีย ?
สุเทษณ์.ความรักละเหี่ยอุระระทดเพราะมิอาจจะคลอเคลีย
มัทนา.ความรักระทดอุระละเหี่ยฤจะหายเพราะเคลียคลอ ?
สุเทษณ์.โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนาบมิตอบพะจีพอ ?
มัทนา.โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อมะทะนามิพอดี !
สุเทษณ์.เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์มะทะนาบเปรมปรีย์.
มัทนา.แม้ข้าบเปรมปริยะฉะนี้ผิจะโปรดก็เสียแรง
สุเทษณ์.โอ้รูปวิไลยะศุภะเลิศบมิควรจะใจแขง.
มัทนา.โอ้รูปวิไลยะมละแรงละก็จำจะแขงใจ.
             

(สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่ สุเทษณ์ออกฉงน, จึงลองพูดไปอีก.)

สุเทษณ์.หากพี่จะกอดวธุและจุม-พิตะเจ้าจะว่าไร ?
มัทนา.ข้าบาทจะขัดฤก็มิได้ผิพระองค์จะทรงปอง
สุเทษณ์.ว่าแต่จะเต็มฤดิฤหากดนุกอดและจูบน้อง ?
มัทนา.เต็มใจมิเต็มดนุก็ต้องปฏิบัติระเบียบดี.
             

(สุเทษณ์ไม่พอใจในคำตอบของนาง, จึ่งหันไปพูดกับมายาวิน.)

(สุรางคณา, ๒๘)
สุเทษณ์.แน่ะมายาวิน เหตุใดยุพิน จึงเปนเช่นนี้ ?
ดูราวมะเมอ เผลอเผลอฤดี ประดุจไม่มี ชีวิตจิตใจ.
คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป
ดังนี้จะยวน ชวนเชยฉันใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับหุ่นยนต์.
มายาวิน.เทวะ, ที่นาง อาการเป็นอย่าง นี้เพราะฤทธิ์มนตร์
โยคะอันขลัง บังคับได้จน ให้ตอบยุบล ได้ตามต้องการ
แต่จะบังคับ ใครใครให้กลับ มโนวิญญาณ
ให้ชอบให้ชัง ยืนยังอยู่นาน ย่อมจะเป็นการ สุดพ้นวิสัย.
หากว่าพระองค์ มีพระประสงค์ อยู่เพียงจะให้
นงคราญฉลอง รองพระบาทไซร้ ข้าอาจผูกใจ ไว้ด้วยมนตรา
มิให้นงรัตน์ ดื้อดึงขึ้งขัด ซึ่งพระอัชฌา
บังคับให้ยอม ประนอมเป็นข้า บาทบริจา ริกาเทวัญ.
สุเทษณ์.อ๊ะ ! เราไม่ขอ ได้นางละหนอ โดยวิธีนั้น !
เสียแรงเรารัก สมัครใจครัน อยากให้นางนั้น สมัครรักตอบ
ผูกจิตด้วยมนตร์ แล้วตามใจตน ฝ่ายเดียวมิชอบ
เราใฝ่ละโมบ ประโลมใจปลอบ ให้นางนึกชอบ นึกรักจริงใจ
ฉะนั้นท่านครู คลายเวทมนตร์ดู อย่าช้าร่ำไร
หากเราโชคดี ครั้งนี้คงได้ สิทธิ์สมดังใจ รีบคลายมนตรา
มายาวิน.เอวํ เทวะ
             

(มายาวินประนมมือแล้วร่ายมนตร์ต่อไปนี้)

(วิชชุมมาลา, ๘.)
มายาวิน.อันเวทอาถรรพ์ ที่พันธ์ผูกจิต แห่งนางมิ่งมิตร อยู่บัดนี้นา
จงเคลื่อนคลายฤทธิ์ จากจิตกัญญา คลายคลายอย่าช้า
สวัสดีสวาหาย !
             

(พิณพาทย์ทำเพลงรัว. มายาวินยกมือไหว้แล้วเสกเป่าไปทางมัทนา. ฝ่ายมัทนาค่อย ๆ รู้สึกตัว, เอามือลูบตาเหมือนคนตื่นนอน, และพอจบรัวก็พอได้สติบริบูรณ์. บัดนี้นางเหลียวแลไปเห็นสุเทษณ์ก็ตกใจ, ตั้งท่าเหมือนจะหนีไป, แต่สุเทษณ์ขวางทางไว้.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.อ้ามัทนาโฉมฉาย เฉิดช่วงดังสาย วิชชุประโชติอัมพร
ไหนไหนก็เจ้าสายสมร มาแล้วจะร้อน และรนและรีบไปไหน ?
มัทนา.เทวะ, อันข้านี้ไซร้ มานี่อย่างไร บทราบสำนึกสักนิด
จำได้ว่าข้าสถิต ในสวนมาลิต และลมรำเพยเชยใจ
แต่อยู่ดีดีทันใด บังเกิดร้อนใน อุระประหนึ่งไฟผลาญ
ร้อนจนสุดที่ทนทาน แรงไฟในราน ก็ล้มลงสิ้นสมฤดี
ฉันใดมาได้แห่งนี้ ? หรือว่าได้มี ผู้ใดไปอุ้มข้ามา ?
ขอพระองค์จงเมตตา และงดโทษข้า ผู้บุกรุกถึงลานใน.
สุเทษณ์.อ้าอรเอกองค์อุไร พี่จะบอกให้ เจ้าทราบคดีดังจินต์
พี่เองใช้มายาวิน ให้เชิญยุพิน มาที่นี้ด้วยอาถรรพ์
มัทนา.เหตุใดพระองค์ทรงธรรม์ จึ่งทำเช่นนั้น ให้ข้าพระบาทต้องอาย
แก่หมู่ชาวฟ้าทั้งหลาย ? โอ้พระฤาสาย พระองค์บทรงปรานี
             

(มัทนาร้องได้. พิณพาทย์ทำเพลงโอด สุเทษณ์ปลอบ.)

(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.อ้ายอดสิเหนามะทะนาวิสุทธิศรี,
อย่าทรงพระโศกีวรพักตร์จะหม่นจะหมอง
พี่นี้นะรักเจ้าและจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้องบ่มิให้ระคางระคาย,
พี่รักวธูนวลบ่มิควรระอาละอาย,
อันนาริกับชายฤก็ควรจะร่วมจะรัก
รูปเจ้าวิไลยราวสุระแสร้งประจิตประจักษ์
มิควรจะร้างรักเพราะพธูพิถีพิถัน ;
ธาดาธสร้างองค์อรเพราพิสุทธิสรรพ์
ไว้เพื่อจะผูกพัน-ธนะจิตตะจองฤดี.
อันพี่สิบุญแล้วก็เผอิญประสบสุรี
แลรักสมัครมีมนะมุ่งทะนุถนอม
ขอโฉมเฉลาปลงพระฤดีประนีประนอม
รับรักและยินยอมดนุรักสมัครสมาน
หากนางมิข้องขัดประดิพัทธ์ประสมประสาน,
ทั้งสองจะสุขนานมนะจ่อบจืดบจาง.
อ้าช่วยระงับดับทุขะพี่ระคายระคาง :
พี่รักอนงค์นางผิมิสมฤดีถวิล,
เหมือนพี่มิได้คงวรชีวะชิวิติน-
ทรีย์ไซร้บ่ใฝ่จิน-ตนะห่วงและห่อนนิยม
ชีพอยู่ก็เหมือนตาย,เพราะมิวายระทวยระทม
ทุกข์ยากและกรากรมอุระช้ำระกำทวี
อ้าฟังดนูเถิดมะทะนาและตอบวจี
พอให้ดนูนี้สุขะรื่นระเริงรวย
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอนดนุนี้ผิเอออวย
จักเป็นมุสาวะจะนะด้วยบมิตรงกะความจริง
อันชายประกาศวะระประทานประดิพัทธะแด่หญิง
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่งผิวะจิตตะตอบรัก
แต่หากฤดีบอะภิรมย์จะเฉลยฉะนั้นจัก
เป็นปดและลวงบุรุษะรักก็จะหลงละเลิงไป
ตูข้าพระบาทสิสุจริตบมิคิดจะปดใคร
จึ่งหวังและมุ่งมะนะสะในวรเมตตะธรรมา
อันว่าพระองค์กรุณะข้อยฤก็ควรจะปรีดา
อีกควรฉลองวรมหากรุณาธิคุณครัน
ดังนี้คะนึงฤก็ระบมอุระแห่งกระหม่อนฉัน
ที่ตนบอาจจะอภิวัน-ทะนะตอบพระวาจา
ให้ถูกประดุจสุระประสงค์ผิวะทรงพระโกรธา
หม่อมฉันก็โอนศิระ ณ บา-ทุยุคลและกราบกราน
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.ที่หล่อนมิยินยอมมะนะรักสมัครสมาน
มีคู่สมรมานอภิรมย์ฤเป็นไฉน ?
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.หม่อมฉันบมีบุรุษะผู้ประดิพัทธะใดใด
เป็นโสดบมีมะนะสะใฝ่อภิรมย์ฤสมรส
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.เช่นนั้นก็เชิญฟังดนุกล่าวสิเนหะพจน์
เจ้างามประเสริฐหมดก็มิควรฤดีจะดำ
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.หม่อมฉันสดับมะธุระถ้อยก็สำนึกเสนาะคำ
แต่ต้องทำนูลวะจะนะซ้ำดุจะได้ทำนูลมา
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.นี่เจ้ามิยอมรับรสะรักฉะนั้นฤจ๋า ?
ตัวฉันจะเลวสาหะสะด้วยประการไฉน ?
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.อ้าองค์พระผู้สุรวิศิษฎ์พระจะผิดสถานใด ?
หม่อมฉันสิทรามเพราะบ่มิได้อนุวัตน์พระบัญฑูร
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.ยิ่งฟังพะจีศรีก็ระตีประมวลประมูล
ยิ่งขัดก็ยิ่งพูนทุขะท่วมระทมหะหัย !
อ้าเจ้าลำเพาพักตร์สิริลักษณาวิไลย
พี่จวนจะคลั่งไคล้สติเพื่อพะวงอนงค์
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.โอ้โอ๋ละเหี่ยอุระสดับวรศัพทะท่านทรง
อ้อยอิ่งแสดงวรประสง-คะณตัวกระหม่อมฉัน
อยากใคร่สนองพระวรสุน-ทรคุณอเนกนั้น
จนใจเพราะผิดคติสุธรรม์สุจริตประติชญา
ขอให้พระองค์อะมะระเท-วะเสวยประโมทา
หม่อมฉันจะขอประณตะลาสุรราชลิลาศไป
             

(มัทนากราบแล้วตั้งท่าจะไป, แต่สุเทษณ์จับข้อมือไว้ด้วยกิริยาออกจะโกรธ)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ช้าก่อน ! หล่อนจะไปไหน ?
มัทนา. หม่อมฉันอยู่ไป ก็เครื่องแต่ทรงรำคาญ.
สุเทษณ์.ใครหนอบอกแก่นงคราญ ว่าพี่รำคาญ ?
มัทนา. หม่อมฉันสังเกตเองเห็น.
สุเทษณ์.เออ ! หล่อนนี้มาล้อเล่น ! อันตัวพี่เป็น คนโง่ฤาบ้าฉันใด ?
มัทนา.หม่อมฉันเคารพเทพไท ทูลอย่างจริงใจ ก็บมิทรงเชื่อเลย
กลับทรงดำรัสเฉลย ชวนชักชมเชย และชิดสนิทเสนหา
พระองค์ทรงเป็นเทวา ธิบดีปรา- กฏเกียรติยศเกรียงไกร
มีสาวสุรางค์นางใน มากมวลแล้วไซร้ ในพระพิมานมณี
จะโปรดปรานข้าบาทนี้ สักกี่ราตรี ? และเมื่อพระเบื่อข้าน้อย
จะมิต้องนั่งละห้อย นอนโศกเศร้าสร้อย ชะเง้อชะแง้แลหรือ ?
หม่อมฉันนี้เป็นผู้ถือ สัจจาหนึ่งคือ ว่าแม้มิรักจริงใจ
ถึงแม้จะเป็นชายใด ขอสมพาศไซร้ ก็จะมิยอมพร้อมจิต
ดังนี้ขอเทพเรืองฤทธิ์ โปรดข้าน้อยนิด ข้าบาทขอบังคมลา
             
(กมล, ๑๒.)
สุเทษณ์.(ตวาด) อุเหม่ !
มะทะนาชะเจ้าเล่ห์ชิชิช่างจำนรรจา
ตะละคำอุวาทาฤกระบิดกระบวนความ
ดนุถามก็เจ้าไซร้บมิตอบณคำถาม
วนิดาพยายามกะละเล่นสำนวนหวาน
ก็และเจ้ามิเต็มจิตจะสดับดนูชวน
ผิวะให้อนงค์นวลชนะหล่อนทะนงใจ
บ่มิยอมจะร่วมรักและสมัครสมรไซร้
ก็ดนูจะยอมให้วนิดานิวาศสวรรค์
ผิวะนางเผอิญชอบมรุอื่นก็ข้าพลัน
จะทุรนทุรายศัล-ยะบ่อยากจะยินยล
เพราะฉะนั้นจะให้นางจุติสู่ ณ แดนคน
มะทะนาประสงค์ตนจะกำเนิด ณ รูปใด ?
ทวิบทจะตูร์บาทฤจะเป็นอะไรไซร้
วธุเลือกจะตามใจและจะสาปประดุจสรร
จะสถิตฉะนั้นกว่าจะสำนึกณโทษทัณฑ์
และผิวอนดนูพลันจะประสาทพระพรให้
วนิดาจรัลกลับณประเทศสุราลัย
ก็จะชอบสถานใดวธุตอบดนูมา
(สาลินี, ๑๑.)
มัทนา.อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่งพระจะลงพระอาญา
ข้าเป็นแต่เพียงข้าบมิมุ่งจะอวดดี
หม่อมฉันนี่อาภัพและก็โชคบพึงมี
จึ่งไม่ได้รองศรีวรบาทพระจอมแมน
อันทรงเมตตาควรจะประจบและตอบแทน
คุณท่านที่มากแสนคณนาประมวลมี
อันโปรดให้เลือกตามฤดิข้าณบัดนี้
ขอเป็นซึ่งมาลีรุจิเรขวิไลยวรรณ
สุดแท้แต่จอมสรวงจะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
ขอเพียงให้มีคัน-ธะระรื่นระรวยหอม
ด้วยกลิ่นของข้าบาทก็จะได้ประณตน้อม
ใจนิตย์บูชาจอมสุระบ่มบำเพ็ญบุญ
ข้าขอแต่เพียงให้มรุทรงพระการุญ
ให้ข้าได้ทำคุณและประโยชน์บ่อยู่หมัน
             
(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ที่เจ้างอนง้อขอนั้น เราจะยอมสรร- พะสิทธิดังใจจินต์.
ดูราท่านมายาวิน นางนี้ถวิล จะถือรูปเป็นมาลี.
ก็บุปผาอย่างใดมี ที่งามทั้งสี อีกทั้งมีกลิ่นส่งไกล ?
แต่ต้องให้มีหนามไว้ ป้องกันมิให้ เหล่าเดรัจฉานผลาญยับ.
มายาวิน.เทวะ ! อันไม้งามสรรพ มีลักษณ์ต้องกับ พระองค์ดำรัสนั้นมี
ในนันทะโนทยานศรี องค์พระศจี ธโปรดเป็นยอดมาลา.
เห็นมีแต่ในฟากฟ้า ในแดนคนหา ไม้นี้มิได้แห่งไหน.
สุเทษณ์.ไม้นี้มีนามฉันใด ? ท่านจงเล่าให้ เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง.
             
(อินทระวิเชียร, ๑๑.)
มายาวิน.ไม้เรียกผะกากุพ-ชะกะสีอรุณแสง
ปานแก้มแฉล้มแดงดรุณีณยามอาย
ดอกใหญ่และเกสรสุวคนธะมากมาย
อยู่ทนบวางวายมธุรสขจรไกล
อีกทั้งสะพรั่งหนามดุจะเข็มประดับไว้
ผึ้งเขียวสิบินไขว่บมิใคร่จะห่างเหิน
อันกุพชะกาหอม,บริโภคอร่อยเพลิน
รสหวานสิหวานเชิญนรลิ้มเพราะเลิศรส
กินแล้วระงับตรีพิธะโทษะหายหมด
คือลมและดีลดทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์
อีกทั้งเจริญกา-มะคุณาภิรมย์นันท์
เย็นในอุราพลัน,และระงับพยาธี
             
(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ดีละ, จะให้มารศรี เป็นดอกไม้นี้ โฉมยงจะว่าฉันใด ?
มัทนา.ไหนไหนจะเป็นดอกไม้ หม่อมฉันพอใจ เป็นดอกที่ออกนามมา
ข้าขอก้มเกศวันทา ที่จอมเทวา การุญให้เลือกเช่นนี้
สุเทษณ์.ด้วยอำนาจอิทธิ์ฤทธี อันประมวลมี ณตัวกูผู้แรงหาญ
กูสาปมัทนานงคราญ ให้จุติผ่าน ไปจากสุราลัยเลิศ
สู่แดนมนุษย์และเกิด เป็นมาลีเลิศ อันเรียกว่ากุพชะกะ
ให้เป็นเช่นนั้นกว่าจะ รู้สึกอุระ ระอุเพราะรักรึงเข็ญ
ทุกเดือนเมื่อถึงวันเพ็ญ ให้นางนี้เป็น มนุษย์อยู่กำหนดมี
เพียงหนึ่งทิวาราตรี แต่หากนางมี ความรักบุรุษเมื่อใด
เมื่อนั้นแหละให้ทรามวัย คงรูปอยู่ไซร้ บคืนกลับเป็นบุปผา
หากรักชายแล้วมัทนา บมีสุขา- ภิรมย์เพราะเริดร้างรัก
และนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก จนเหลือที่จัก อดทนอยู่อีกต่อไป
เมื่อนั้นผิว่าอรไท กล่าววอนเราไซร้ เราจึ่งจะงดโทษทัณฑ์
(จิตระปทา, ๘.)
นางมะทะนา จุติอย่านาน จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์
ไปเถอะกำเนิด ณ หิมาวัน ดังดนุลั่น วจิสาปไว้ !
             

(พิณพาทย์ทำเพลงคุกพาทย์, สุเทษณ์แผลงฤทธิ์, ฟ้าแลบแวบวาบตลอดเพลง พอถึงรัวท้าย มัทนาร้องกรี๊ดและล้มลมกับพื้น)


(ปิดม่าน.)

องก์ที่ ๒

ตอนที่ ๑

ฉาก : ในกลางหิมะวัน.

[เป็นลานหญ้าอยู่ในระหว่างต้นไม้ใหญ่งาม ๆ, ที่ตรงกลางแห่งด้านหลังของเวที มีต้นกุหลาบอยู่ต้น ๑, ซึ่งมีดอกแต่ดอกเดียว, เป็นดอกใหญ่, สีชมพูแก่. นอกจากต้นกุหลาบ มีต้นดอกไม้อย่าอื่นอีกบ้างก็ได้, และตามต้นไม้มีกล้วยไม้กำลังออกดอกไสวอยู่หลายช่อ.]


(เปิดม่านขึ้นเห็นเวทีว่างอยู่. แล้วนาค และศุน, ศิษย์ของพระกาละทรรศินมุนี, จึงออกมา.)

นาค.มันอยู่ทางนี้แน่ ! แกไม่ได้กลิ่นหรือ ?
ศุน.ฮือ !
นาค.จะพูดอะไรก็ไม่พูด. มีแต่ร้องฮือเท่านั้น.
ศุน.ก็จริง ๆ นี่ ให้ตายสิ ! (ลงนั่งเหยียดตีน และแสดงอาการกิริยาเหนื่อย.)
นาค.จริงอะไร ?
ศุน.อยู่ดี ๆ ใช้ให้ตามหากลิ่น ใครจะไปหาพบ. (นอนเหยียดลงกับพื้น)
นาค.ทำไมจมูกแกไม่มีหรือ ? (นั่งบนตอไม้.)
ศุน.ก็มีน่ะสิ ! แต่เกิดมายังไม่เคยรับใช้เช่นนี้เลย ข้าสูดหากลิ่นเสียจนจมูกเยิ้มแล้ว รู้ไหม ?
นาค.จมูกเยิ้มก็ดีอยู่แล้ว แปลว่าแกไม่เจ็บ.
ศุน.เอ๊ะ ! อย่างไรกัน ?
นาค.ข้าเคยสังเกตเห็นอ้ายด่างของข้า, เมื่อไรจมูกมันแห้งละก็แปลว่ามันไม่สบาย.
ศุน.อุวะ แล้วกัน ! เอาข้าไปเข้าประเภทหมาเสียแล้ว !
นาค.ก็ดีนี่นะ, หมาจมูกมันเก่งกว่าคนเราอีก.
ศุน.(ยกมือปัด) เฮ้ย ! อย่าเล่นน่า ! จั๊กกะจี้. (ผงกหัวขึ้นมอง.) เอ๊ะ ! พิกลแฮะ หมายว่าแกเล่นรังแกอีก. ที่แท้แมลงภู่น่ะเอง (นอนลงอีก)
นาค.แกว่าแมลงภู่หรือ ? เอ ! ท่าทางชอบกล ! (ลุกขึ้นเดินมอง)
ศุน.นั่นลุกขึ้นเดินไขว่อยู่ทำไม่นะ ? ข้าเวียนหัวพิลึก.
นาค.ที่ไหนมีแมลงภู่ต้องมีของหอม ฉะนั้น – (เดินค้นต่อไป.)
ศุน. (เอกเขนกขึ้น หันหน้าไปทางหลังเวที) แกนี่- (เห็นดอกกุหลาบจึ่งร้องขึ้น.) นั่นแน่ะ ! ได้ตัวแล้ว ให้ตกนรกสิ !
นาค.อะไร ?
ศุน.อ้ายของหอมของแก. (ชี้ดอกกุหลาบ.) นั่นเป็นไร.
นาค.(เดินเข้าไปยังต้นกุหลาบ.) จริงของแก อ้ายดอกนี่เอง. เอ๊ะ!เขาเรียกดอกอะไรนะ ?
ศุน.ชบา
นาค.บัดซบ! ชบาหอมมีหรือ !
ศุน.มี หอมเขียว !
นาค.มิลักขู ! หอมเขียวมีหรือ ?
ศุน.ไม่มีก็เเล้วไปสิ
นาค.อีกประการหนึ่ง ชบาไม่มีหนาม นี่หนามชุมพลึก.
ศุน.ถ้าฉะนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ ?
นาค.ถ้าข้ารู้ข้าจะถามแกหรือ ? แต่บางทีโสมะทัตจะรู้จัก ไปบอกข่าวให้เขาทราบเห็นจะดีนะ.
ศุน.ดีสิ. แกรีบไปเถอะ.
นาค.ก็แกล่ะ ?
ศุน.ข้าจะอยู่เฝ้าตนไม้นี่. (นอนลงอีก)
นาค.ชิ ๆ ! มันจะหายไปไหนได้เทียวนะ ต้นไม้มันเดินหนีไปเองได้เมื่อไร.
ศุน.ก็เผื่อมีคนมาลักเอาไปเสียล่ะ ?
นาค.ผู้คนอะไรมีมาในป่านี้นอกจากพวกเรา.
ศุน.ก็พวกเราน่ะแหละ ถ้าแม้ว่าเราไปเสียทั้งสองคน แล้วมีคนอื่นในพวกเรามาพบต้นไม้นี่เข้า
แล้วรีบเอาความไปเรียนท่านอาจารย์ได้ก่อน เรามีขาดทุนหรือ ?
นาค.ก็จริงอยู่ แต่ว่าถ้าท่านอาจารย์ได้ทราบข่าวที่ท่านปรารถนาแล้ว ก็เป็นผลเท่ากันไม่ใช่หรือ ?
ศุน.มันจะเท่ากันอย่างไรได้ พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ใครเป็นผู้นำความไปบอกได้ก่อน คนนั้นก็ต้องได้บำเหน็จสิ.
นาค.ถ้าเช่นนั้นแกไปบอกข่าวเถอะ จะได้ได้บำเหน็จ.
ศุน.อ๋อ, ข้าไม่เป็นที่อยากได้บำเหน็จถึงปานนั้นดอก. แกไปเถอะ.
นาค.สรุปความก็เป็นอันว่า แกขี้เกียจเกินที่จะเดินไปรับบำเหน็จ แต่ไม่อยากให้ใครแย่งความชอบ ฉะนั้นหรือ ?
ศุน.สรุปความว่าแกมัวพูดอยู่เช่นนี้เสียเวลาเปล่า ! จะไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวก็จะตามหาโสมะทัตไม่พบเท่านั้นเอง !
(โสมะทัต, หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศินออก.)
โสมะทัต.ได้ยินใครออกชื่อฉันหรือ ?
ศุน.(ตกใจ. รีบนั่งขึ้น.) ผมเองขอรับ ออกนามนาย. (ชี้ด้นกุหลาบ.)
ผมหาพบ ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมได้แล้วขอรับ นั่นขอรับ.
โสมะทัต.ก็ดีแล้ว แต่ทำไมไม่รีบไปบอกฉัน ?
ศุน.ผมกำลังจะรีบไปอยู่แล้ว-
โสมะทัต.ฉะนั้นจึ่งยังนอนเหยียดยาวฉะนั้นหรือ ?
ศุน.ที่ผมเหยียดนั้นก็เพื่อให้แข้งขายืดเสียก่อน แล้วจะลุกขึ้นวิ่งไปโดยรวดเร็วเต็มฝีเท้า.
โสมะทัต.อ้อ ! ถ้าฉะนั้นเมื่อได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะวิ่ง ก็ออกวิ่งไปเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบเดี๋ยวนี้.
ศุน.ขอรับ ! ไปปรี๋อเป็นลมพัดเทียวละขอรับ. (ไหว้แล้วลุกขึ้นวิ่งเข้าโรงไป.)
             

(โสมะทัตไปพิจารณาดูกุหลาบด้วยความพิศวงอยู่ครู่ใหญ่ ๆ แล้วจี่งกลาวคำชม.)

(อุปัฏฐิตา, ๑๑.)
โสมะทัต.อันบุษปะประหลาด บมิเห็น ณ แห่งใด
งามสรรพะวิไล- ยะวิเศษะมาลี
สีแดงก็มิจ้าดุจะดอกชบาสี
งามดังดรุณี ยละเพลินเจริญตา
กลิ่นหอมก็ระรวย รสะลมรำเพยพา
ถึงไหนฤก็น่า จะระรื่นภิรมย์หวน
แม้แต่ศิระเกล้าวนิดาละอองนวล
เห็นแน่จะประมวล วรลักษะณานาง
ลอยภาชะนะน้ำก็จะทำอุทกพลาง
หอมรื่นระสะอย่าง สุรเทวะโอสถ
จัดภาชนะตั้ง พะลิเทวะทรงยศ
กลิ่นหอมบละลด จะประลุณเเดนสรวง
อันบุษปะประเสริฐ ณสกลพิภพปวง
งามเลิศและเหมาะดวง ฤดิเท่าบพึงหา
             

(พระกาละทรรศิน คณาจารย์ออก, มีศุนกับบริวารอื่น ๆ ถือจอบเสียมตามมาหลายคน.)

(ฉบงง, ๑๖.)
กาละทรรศิน.ไหนเล่าต้นไม้ที่ว่า มีดอกสง่า
และหอมประเสริฐส่งไกล ?
ศุน. อยู่นี่เจ้าข้า ! ข้าไซร้ เป็นผู้ที่ได
ประสบพบดอกอัศจรรย์
นาค.. ตูข้ามาด้วยพร้อมกัน
ศุน. แต่ว่าดิฉัน
เป็นผู้ประสบพบแท้
นาค.. ตูข้าเดินหาเจียนแย่ ส่วนเขานอนแผ่
สบายอยู่กลางปัฐพี
ศุน. จะนอนหรือนั่งตามที แต่เห็นของดี-
เพราะโชคเท่านั้นบันดาล !
กาละทรรศิน.มัวเถียงกันไม่เข้าการ ! ไปเก็บดวงมาลย์
มาใหัเราพลันทันใด.
             

(พระกาละทรรสินไปนั่งบนตอไม้. ฝ่ายนาคกับศุนนั้นต่างวิ่งแย่งกันไปเก็บดอกกุหลาบ นาคเปืนผู้ยื่นมือเข้าไปถูกหนามเข้าก็หดมือกลับโดยอาการตกใจ, ฝ่ายศุนหัวเราะเยาะและยื่นมือเข้าไป, ก็ถูกหนามบ้างต้องหดมือกลับออกมาเหมือนกัน.)

โสมะทัต.สองคนอย่ามัวราไร !ท่านสั่งแล้วไย
มิทำดังท่านบัญชา ?
นาค..ไม่ไหวจริงจริงเจ้าข้า
ศุน.ท่านดีลองมา
เก็บเอาไปเองเถิดหนอ.
โสมะทัต.อย่ามัวพูดจาต่อล้อต่อเถียงเราหนอ
จงเก็บดอกไมัโดยพลัน.
นาค..โอ้ช่างไม่เห็นใจกัน !ใช่ว่าดิฉัน
จะแสร้งขัดคำพี่พราหมณ์
จริงจริงอยากใคร่ทำตามแต่ว่าถูกหนาม !
ศุน.โอยเจ็บพลึกกึกกือ !
โสมะทัต.แกทิ้งสองคนหัวดื้อไร้ความนับถือ
จึ่งขัดคำเราผู้ใหญ่
ช่างเถิดไม่จำต้องใช้ !
ศุน.ดีแล้วเชิญไป
ถูกหนามเล่นบ้างแหละดี !
             

(โสมะทัตตรงเข้าไปจะเด็ดดอกกุหลาบ, ถูกหนามเข้าบ้างต้องหดมือออกมา ศิษย์สองคนหัวเราะ ซี่งทําให้โสมะทัตขัดใจ, ชักมีดเหน็บออกจะฟันกิ่งกุหลาบ.)

กาละทรรศิน.ช้าก่อน ! อย่าตัดมาลีที่งามเช่นนี้
เราอยากใคร่ใหัขุดไป
ปลูกหน้าอาศรมเพื่อได้ดูเล่นต่อไป
อีกนานสำราญฤดี
             

(โสมะทัตสั่งพวกบริวารให้ขุดต้นกุหลาบ. พอบริวารเอาเครื่องมือขุดลงก็มีเสียงเหมือนผู้หญิงร้อง "โอ๊ย !" พวกบริวารตกใจ, โจษกันต่าง ๆ นานา โสมะทัตบังคับให้ขุดอก ก็มีเสียงร้องเช่นนั้นอีกทุกคราวเล่นตลกพูดกันเองพอสมควร, แล้วในที่สุดพวกบริวารไม่มีใครกล้าขุด โสมะทัตจะลงมือขุดเอง,แต่พระกาละทรรศินยกมือห้ามไว้)

(อุเปนทะวิเชียร, ๑๑.)
กาละทรรศิน.อ๊ะ !อย่านะอย่าเพ่อผิวะมิ่งสุมาลี
จะไปกะเรานี้ละก็จึ่งจะพาไป
เพราะเราสิเล็งญา-ณะเเละทราบฉะนี้ได้
ผะกาพิเศษไซร้บมิใช่ผะกาจริง
และเป็นวะธูผู้ปะระเศรษฐะยอดหญิง
เพราะรักษะสัจยิ่งบมิยอมจะเสียธรรม์
ก็ถูกกำราบให้จุติจากณแดนสวรรค์
กำเนดประดุจพัน-ธุผกาพิเศษนี้
ณ วันพระจันทร์เพ็ญก็จะเป็นสุนารี
และคงฉะนั้นมีเฉพาะหนึ่งทิวากาล
และเอกะราตรีก็จะกลับสกนธ์ปาน
ผะกาสุคนธ์หวานรสระรื่นระรวยไซร้
ณ ถิ่นวนารัณ-ยะกะนี้สิอยู่ไกล
กุฎีและทิ้งไว้จะลำบากสกนธ์นาง
ฉะนั้นจะกล่าวชวนจระไปณสวนข้าง
กุฎีดนูพลางจะทะนุถนอมดี
             

(พระกาละทรรศินลุกขึ้นไปที่ต้นกุหลาบ แล้วพูดกับต้นกุหลาบต่อไป.)

        (สัทธะรา, ๒๑.)
อ้ามาลีเลิศฤดีเพลิน,สุวิมะละและเจริญ
ข้าจะขอเชิญผะกาไป
สู่สวนงามข้างกุฏิให้ระมะณิยะจะบำรุงไว้
เพื่อบมีภัยพิบัติปวง
ข้ารับคำว่าจะแหนหวงประดุจะวรธิดาดวง
ใจจะใฝ่ห่วงสุดาภา
อ้าเชิญไปกับบิดานา !ดรุณิอภยะครา
ขุดชะลอพาจรัลไป !
             

(พระกาละทรรศินเรียกเอาหม้อน้ำไปหลั่งที่โคนต้นกุหลาบ. พิณพาทย์ทำเพลงรัวฉิ่ง. พอพระกาละทรรศินหลั่งนํ้าเสร็จแล้ว.. สั่งให้บริวารขุดต้นกุหลาบ.คราวนื้ไม่มีเสียงร้องเช่นครั้งก่อน; พิณพาทย์ทำเพลงฉิ่งในเวลาที่ขุดตลอดจนขุดเสร็จ, และพวกบริวารจัดการยกต้นกุหลาบขึ้นจากหลุมแล้ว, พิณพาทย์จี่งหยุด)

(ฉบงง, ๑๖)
กาละทรรศิน.บัดนี้เจ้าอย่าร่ำไรช่วยกันยกไป
ยังสวน ณ อาศรมสถาน
ต้องดีอย่าได้ลนลานประคองเมื่อผ่าน
ที่เดินลำบากยากเข็ญ
จำไว้ว่าไม้นี้เป็นของวิเศษเช่น
บ่มี ณ ดินแดนใด
ตามมาข้าจะนำไปโสมะทัตไซร้
จงคอยกำกับตามมา.
             

(พิณพาทย์ทำเพลงเชิด.พระกาละทรรศิน.เดินนำเข้าโรง, บริวารนำต้นกุหลาบตามไป.)

ตอนที่ ๒

ทางเดินในดง

[ใช้เป็นม่านม้วนทิ้งระหว่างหลบ, เขียนเป็นภาพต้นไม้และกอหนาม.]

(ท้าวชัยเสนออก, พร้อมด้วยศุภางค์, กับทหารและพรานอีกสี่ห้าคน.)

(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ชัยเสน.เรามัวละเลิงไล่มิคะงามตะบึงบ้า
จนลึกณกลางป่าและระอิดระอาใจ
บัดนี้มิรู้ว่าดละแทบณหนใด
อีกทั้งจะเดินไปบริวารบตามทัน
เขาคงจะเป็นห่วงและวิตกเพราะเราครัน
ใครเจนพะนารัณ-ยะประเทศะถิ่นนี้ ?
             

(ศุภางค์สอบถามพวกพราน. พูดกันเบา ๆ แล้วจึงกราบทูล.)

ศุภางค์.พวกพรานกระบวนตามพระเสด็จก็ไม่มี
ผู้ใดชำนาญที่จะทำนูลถนัดได้
แต่เคยสดับซึ่งวะจะเขาแถลงไซร้
ว่ากลางอรัญใหญ่ณ ประเทศะแถบนี้
ยังมีสำนักองค์วรพรหมะโยคี
ผู้ครองคณาชีปฏิบัติตะปาการ
พรานรับจะไปค้นพระนิวาสคณาจารย์
แล้วมาแถลงการณ์ผิวะพบพระอาศรม
ชัยเสน.ดีแล้ว,และเรานี้ก็จะพักณใต้ร่ม
พฤกษาสุขารม-ยะตลอดณราตรี
เพราะว่าจะเดินต่อฤก็เหนื่อยณบัดนี้
เมื่อยล้าวะรินทรี-ยะและใคร่จะผ่อนกาย
คึนนี้ก็จวนเพ็ญศศิธรจะงามหงาย
โพยภัยและสัตว์ร้ายผิจะมาก็เห็นพลัน
จงใช้คณาพรานจรรีบณไพรสันฑ์
หาที่พระนักธรรม์ธนิวาสนกลางไพร
อีกให้ทหารบางจรย้อนวิถีไป
จนพบกระบวนใหญ่ละก็นำกระบวนมา
ที่เหลือก็ให้ถางติณะใต้สุพฤกษา
ไทรย้อยลออตาละก็คงจะพอพัก
จนกว่ากระบวนใหญ่จรพร้อมก็จึงจัก
สร้างค่ายและที่พักณประเทศะถิ่นควร
(ฉบงง, ๑๖.)
ศุภางค์.ข้าจะได้สั่งถี่ถวนตามภูมิศวร
ได้มีพระราชบัญชา.
พวกพรานจงตามเรามาบัดนี้อย่าช้า
จะใช้ไปตามมุ่งหมาย.
             

(ศุภางค์ถวายปังคมท้าวชัยเสนและเข้าโรงไปกับพวกพราน.)

(อุปชาติ, ๑๑.)
ชัยเสน.อโหระลึกขึ้นละก็สุดจะเสียดาย !
ได้เคยประสบหลายมิคะแล้วบ่เคยเห็น
กวางงามอร่ามทั่ววรกายะดังเช่น
ดนูละเลิงเล่นจรไล่ณวันนี้
ชะเนตรสนิทนิลกละนิลมะณีศรี
ยามแลชำเลืองมีกิริยาประหนึ่งอาย
เขางามประหนึ่งช่อวรวิชชุมาลย์ฉาย
และหนังระยับลายกละเลื่อมประดับวาว
ขนองสนิทดำดุจะเขียนเขม่ายาว
งามทรวงสะอาราวหิมะตกณยอดผา
ยามเดินก็งามยิ่งและจะวิ่งก็ยวนตา
จริตกิริยากละสาวสุรางค์สวรรค์
และเมื่อดนูตามมิคะใกล้จะตามทัน
โน้มน้าวธนูมั่นเหมาะและเตรียมจะยิงไป
มัวเพลินตะลึงนึ่งบมิยิงณบัดใจ
และกวางก็ว่องไวจรแผล็วณแนวพง
             

(ศุภางค์กลับออกมาถวายบังคมท้าวชัยเสน.)

(ฉบงง, ๑๖.)
ศุภางค์.ข้าได้จัดพรานดั้นดงไปตรวจตราตรง
ที่อยู่แห่งคณาจารย์
อีกจัดแบ่งพวกทหารย์อนทางที่ผ่าน
มาแล้วเมื่อไล่มฤคี
ส่วนการแผ้วถางปัฐพีสำเร็จแล้วดี
พอจะประทับอาศัย
ชัยเสน.ดีแล้ว,กูนี้อ่อนใจจึ่งอยากจะใคร่
ได้พักได้ผ่อนกายา.
             

(ท้าวชัยเสน,ศุภางค์, และบริวารเข้าโรง.)

====ตอนที่ ๓====
==ที่มา==
๑๐๐ ปี โรงเรียนวชิราวุธ จังหวัดสงขลา
(ขอขอบคุณ คุณ gignoi สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน)
             
เครื่องมือส่วนตัว