นิราศพระปถวี
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
แตกต่างถัดไป →
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
แตกต่างถัดไป →
การปรับปรุง เมื่อ 07:00, 26 ตุลาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หลวงจักรปาณี (ฤกษ)
บทประพันธ์
๏ นิราสสร้างปางธุระไปปถวี | ||||
ไหว้พระฉายหมายพระคุณจอมมุนี | เปนเจดีย์ปาฏิหารบันดาลดล | |||
ด้วยชาตินี้มีกรรมแสนลำบาก | มาอดอยากยากเย็นไม่เปนผล | |||
ทั้งญาติมิตรคิดเหมือนเพื่อนชน | ครั้นยามจนจืดเปรี้ยวไม่เหลียวแล | |||
จะหาซึ่งพึ่งพาก็หาไม่ | เที่ยวเลื่อนไหลลอยระลอกเหมือนจอกแหน | |||
ให้ง่วงเหงาเศร้าเสียวอยู่เดียวแด | สุดจะแปรพักตรหาพึ่งพาใคร | |||
จะพึ่งตนตนก็มาอนาโถ | เที่ยวเซโซใส่ปากถลากไถล | |||
ให้จนจิตต์คิดมาก็สาใจ | มาเถิดไยยามมหาอนาทร | |||
แต่กุศลจนยากไม่อยากละ | ไปไหว้พระรัศมียังศีขร | |||
ศิโรตม์ราบกราบกรานพระมารดร | ท่านอวยพรเพิ่มซ้ำแล้วล่ำลา | |||
ขอพระคุณจุณเจิมเฉลิมเกศ | ให้พ้นเภทภัยทุกข์เปนสุขา | |||
พอย่ำสามยามเบิกได้ฤกษ์พา | ลงนาวาหวั่นหวาดอนาถทรวง | |||
ยามประดาษขาดผู้ที่คู่คิด | ไม่มีมิตรหมายปองประคองหวง | |||
ที่ปลูกรักชักชุ่มเปนพุ่มพวง | มีแต่ร่วงโรยรสไม่งดงาม | |||
พอผลิดอกออกหอมได้น้อมโน้ม | มาลองโลมเลยกระดากเหมือนขวากหนาม | |||
เสียดายเอ๋ยเคยอุส่าห์พยายาม | คิดถึงความหลังหลังแทบคลั่งใจ | |||
จึงจำจดบทบาทนิราสรัก | ไว้ต่างพักตรเพื่อนมิตรที่พิสมัย | |||
ให้เห็นอกตกยากจะจากไกล | ยังอาไลยลับหลังได้สั่งลา | |||
ออกคลองน้อยลอยล่องมาคลองใหญ่ | ดูแจ่มใสแสงดาววาวเวหา | |||
น้ำค้างย้อยพรอยพรายพระพายพา | อนาถน่าหนาวใจกระไรเลย | |||
โอ้ยามนี้ที่สนิทเคยชิดโฉม | ได้น้อมโน้มนัดมานิจจาเอ๋ย | |||
เพราะหมองจางใจจึงไกลเชย | ที่เคยเคยคิดหมายไม่วายครวญ | |||
แรมเดือนยี่นี้ก็คราวหนาวน้ำค้าง | ได้หมอนข้างเคียงกายไม่วายหวน | |||
ไม่เหมือนโลมโฉมหอมถนอมนวล | แสนรำจวนจับใจอาไลยลาน | |||
พอนาวาคลาคล่องเข้าคลองลัด | นามชื่อวัดพรหมสุรินทร์ที่ถิ่นฐาน | |||
เขาฦาข่าวเล่ามาก็ช้านาน | ว่าชายชาญเชิงวิชาข้างหากิน | |||
คิดโสฬสหมดเม็ดสำเร็จทั่ว | แทงโปถั่วถูกได้ดังใจถวิล | |||
สร้างอารามนามสมพรหมสุรินทร์ | ตามฐานถิ่นที่ตนเปนคนรวย | |||
โอ้ตัวเราเขลาจิตต์แม้นคิดได้ | เหมือนเขาไซร้สมถวิลจะหิ้นหวย | |||
ให้มั่งมีดีกว่ามหาละลวย | จะชุ่มชวยชูชื่อเลื่องฦาลอย | |||
ทั้งสาวแส้แม่หม้ายจะหมายง้อ | มาแค่นขอหวยให้เราใช้สอย | |||
ไรจุกเก็บเล็บยาวสาวน้อยน้อย | จะหมอบชม้อยเมียงชม้ายคล้ายขุนนาง | |||
นี่จนจิตตคิดอะไรเขาไม่เห็น | ให้แสนเข็ญสารพัดจะขัดขวาง | |||
มิได้มีที่รักแต่สักปาง | ต้องเคว้งคว้างคว้าหาเลือดตากระเดน | |||
แม่ผิวขาวสาวทึมทึกพี่นึกหวัง | แต่รุ่นยังอยู่ใกล้เคยได้เห็น | |||
มาอยู่นี่พี่เสียดายไม่วายเว้น | มาเที่ยวเล่นหลายหนไม่ยลพักตร | |||
จะพึ่งบุญคุณพี่อยู่ที่บ้าน | เปนตะพานพาดเดิรก็เหิรหัก | |||
ไม่ผัดผ่อนหย่อนนิยมพอสมรัก | น้อยใจนักหนอที่บุญไม่คุ้นเคย | |||
จนนวลนางกลางคนยลยังสาว | เดชะท้าวเทวดาเจ้าข้าเอ๋ย | |||
อย่าให้น้องของฉันขึ้นคานเลย | ให้ได้เชยโฉมผกาเหมือนปรารมภ์ | |||
พอออกลัดตัดมาตามหน้าวัด | โสมนัสน้อมนบขอสบสม | |||
เข้าคลองเปรมประชากรสท้อนระทม | ให้งายงมง่วงเหงาเศร้าฤทัย | |||
ถึงบ้านน้าขุนวิจารณ์ของหลานรัก | อนาถนักนึกน่าน้ำตาไหล | |||
เมื่อก่อนนั้นฉันก็ดูไม่สู้กะไร | จวนบรรไลยแล้วจึงรักฉันหนักครัน | |||
ฉันหมายพึ่งถึงกระนั้นไม่ทันพึ่ง | ไปหลงคลึงเคล้าเคลียเหี้ยสวรรค์ | |||
มาทำเล่นเช่นกับเขายำเต่ามัน | จนอาสัญสูญยศถึงหมดตัว | |||
ข้างฝ่ายว่าน้าสะใภ้ก็ไม่หาญ | ไม่เชื่อหลานเลยชวดน่าปวดหัว | |||
มันรวบเอาเข้าของยังตรองกลัว | พาฉันมัวหมองหน้าเปนราคิน | |||
ทั้งนี้นั้นก็เพราะฉันนี้อาภัพ | จะลาลับแล้วนะจ๋าอย่าถวิล | |||
เขาแจวจ้วงล่วงมาในวาริน | พอได้ยินยิงปืนเสียงครืนโครม | |||
พระพายผ่าวหนาวอุรานิจจาเอ๋ย | เมื่อไรเลยเล่าจะคืนมาชื่นโฉม | |||
เสียงระฆังหงั่งง่วงเพียงทรวงโทรม | จะลาโลมเหมือนกับเดือนแรม | |||
เคยชมสถานบ้านเมืองที่เรืองรุ่ง | จะชมทุ่งแถวกระท่อมที่หรอมแหรม | |||
เคยชมเรื่องเครื่องประดับวับแวม | จะชมแขมคาแฝกที่แปลกปลอม | |||
เคยดูสาวชาวในวิไลยล้ำ | ที่คมขำขาวแต่งล้วนแป้งหอม | |||
ไปดูสาวชาวนาหน้ามอมมอม | เหลือจะตรอมตรมถวิลไม่ยินดี | |||
ดูดวงดาววาววับลับไศล | พอใสใสแสงทองผุดผองศรี | |||
อรุณรุ่งพุ่งผาดทั้งธาษตรี | ยลแต่ที่แถวคลองกับท้องนา | |||
ตามริมคลองสองข้างห่างห่างบ้าน | ระยะย่านยังดูไม่สู้หนา | |||
เขาต้มหุงปรุงสรรพรับกระยา | แล้วลีลาล่วงเลยเสบยสบาย | |||
มาย่านท้ายปลายคลองสามเสนชื่อ | จนบางซื่อบางซ่อนแดดร้อนสาย | |||
มีเรือนบ้านร้านโถงปลูกโรงราย | ต่างซื้อขายสินค้านานานอง | |||
พวกแม่ค้าหน้าแปลกมาแลกเข้า | จับเขม่าหมึกมอมินหม้อหมอง | |||
ที่รุ่นเนื้อเจือขมิ้นดินสอพอง | ไม่เหมือนน้องในเมืองเนื้อเหลืองเอง | |||
ถึงวัดชีมีแต่สงฆ์องค์เดียวโดด | กุฎีโบสถ์เครื่องไม้ไผ่โหรงเหรง | |||
มุงจากคาฝาโถงดูโกรงเกรง | ไม่เหมาะเหม็งเหมือนกะป่าไม่น่าเนา | |||
โอ้อาวาสพาสนายังอาภัพ | ใครจะรับเริ่มเรียมขึ้นเทียมเขา | |||
สัมหาว่าแต่คนเหมือนตนเรา | จะมิเศร้าโทมนัสกว่าวัดวา | |||
ขาดที่ซึ่งพึ่งพาแสนอาภัพ | ทั้งไร้ทรัพย์ซ้ำประดาษวาสนา | |||
เหมือนลอยคว้างกลางทเลทุกเวลา | ใครจะมามุ่นหมกยกพยูง | |||
ถึงท้ายช่องคลองบางตนาวสี | ดูเจดีย์วัดเฉลิมช่างเสริมสูง | |||
เขาหยุดทอดจอดเสือกผูกเชือกจูง | ขึ้นฝ่าฝูงเพื่อนโยงตะโพงเดิร | |||
ถึงสองห้องตรองตรึกให้นึกแหนง | ใครช่างแต่งตั้งนามไม่ขามเขิน | |||
ฤาห้องหอขอสู่กันอยู่เพลิน | ฤาประเมินมาประสมพอกลมเกลียว | |||
เหมือนเราไซร้ไร้คู่ที่อยู่สอง | สักสิบห้องเห็นไม่อุ่นไม่ฉุนเฉียว | |||
แม้นได้แอบแนบน้องสักห้องเดียว | จะทราบเสียวแสนสุขสนุกครัน | |||
ถึงท้ายทางบางตลาดอนาถจิตต์ | เคยชมมิตรมาตลาดขาดรับขวัญ | |||
เห็นร้านโถงโรงนาพวกรามัญ | เขาพูดกันก็แต่เขาเราไม่เจน | |||
ผู้หญิงนุ่งถุงถกเมื่อยกย่าง | แลสว่างวาบตาเหมือนท่าแขน | |||
ผู้หญิงไทยใช้โหย่งโจงกระเบน | ถึงโอนเอนอ่อนอ้าไม่น่าอาย | |||
ข้างขวาคลองท้องที่นั้นมีหลัก | ร้อยเส้นปักเปนสำคัญเหมือนมั่นหมาย | |||
มีศาลาอาศรัยให้สบาย | ทั้งหญิงชายชาวเรือเหลือประมาณ | |||
พระราชทรัพย์นับพันสรรค์สละ | ทรงสร้างพระบารมีอภินิหาร | |||
ให้ขุดคลองท้องที่นี้เปนทาน | แสนสำราญราษฎรสัญจรไป | |||
นึกโมทนาสาธุสะพระกุศล | จงเพิ่มผลผ่านพบสบสมัย | |||
เขาโยงยุดฉุดเรือมาเหนือไกล | ยิ่งร้างไร้เรือนสถานแลร้านโรง | |||
คิดถึงมิตรติดพันกระสันเสียว | ไหนจะเหลียวแลทางกลัวช้างโขลง | |||
เขาบุกแฝกแหวกเฝือจนเหลือโยง | ต้องชะโลงลากส่งกันลงเรือ | |||
พอบ่ายคล้อยค่อยแจวตามแนวเนื่อง | ถึงดอนเมืองเหมือนจะอ้อมคดค้อมเหลือ | |||
ตลิ่งแขมแซมกกขึ้นรกเรื้อ | น่ากลัวเสือสุ้มมองต้องระแวง | |||
จนเลยไกลให้ประทับรับอาหาร | เสพย์สำราญริมไม้เงาไผ่แฝง | |||
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง | บรรลุแขวงบางหลวงล่วงลีลา | |||
ยิ่งไกลแดนแหงนชะแง้ยิ่งแลเหลียว | คิดยังเปลี่ยวเปล่าใจอาไลยหา | |||
โอ้ป่านนี้ที่หมายสายสุดา | เจ้าเคยมามิได้เห็นจะเย็นทรวง | |||
มาลเลิงเชิงรากจนจากรัก | ต้องมาหนักอกครางอยู่บางหลวง | |||
สุริยงค์ลงลัลจะดับดวง | เหมือนพี่ล่วงเลยลับจะดับแด | |||
เดือนมืดมัวทั่วหล้าท้องฟ้าคลุ้ม | ยุงก็ชุมช่วยกันปัดฉวัดแฉว | |||
ไม่เห็นหนอนธการลลานแล | ทั้งสองแควซ้ายขวายิ่งอาดูร | |||
ไม่มีเรือนเพื่อนเรือเหลือจะเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดูอนาถช่างขาดสูญ | |||
เห็นดาราฟ้าคล้ำไม่จำรูญ | เหมือนจะพูลเพิ่มซ้ำให้ช้ำใจ | |||
จนดื่นดึกพฤกษพร้อยหิ่งห้อยแพร้ว | จักระจั่นแจ้วจังหรีดหวีดหวีดไหว | |||
ยิ่งเย็นเยียบเซียบเสียวเหลือบเหลียวไป | เหมือนแสงไฟวามวับแล้วกลับแดง | |||
เขาว่าสีผีโขมดมันโลดหลอน | คนแจวจรเจรจาว่าน่าแสยง | |||
ต่างโห่เห่เฮฮาพอพาแรง | แต่เรียมระแวงหวังสวาทไม่คลาศลาย | |||
ถ้าขวัญตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะกอดพี่ผินผันมิ่งขวัญหาย | |||
เรียมจะยอบปลอบน้องประคองกาย | ให้เจ้าวายโศกโทรมแล้วโลมเลียม | |||
นี่แก้วตามิได้มาเปนเพื่อนรัก | เห็นแต่พักตรเพื่อนชายน่าอายเหนียม | |||
หนาวน้ำค้างพร่างพรมยิ่งกรมเกรียม | ในใจเจียมจะระงับไม่หลับลง | |||
จนออกคลองมองลำแม่น้ำกว้าง | ดูอ้างว้างหวั่นใจให้ไหลหลง | |||
พระพายผ่าวหนาวอกอยู่งกงง | ให้เอ้องค์อาทวาลล้าลลัง | |||
เสนาะสำเนียงเสียงนาฬิกาเกราะ | สองยามเคาะระฆังให้อาไลยหลัง | |||
ถึงเกาะบางนางอินดูถิ่นวัง | งามเหมือนดังทิพยสถานพิมานแมน | |||
ฟากหนึ่งสร้างอารามนามนิเวศน์ | ธรรมประวัติวิเศษสนุกแสน | |||
มีหอคอยลอยเด่นเห็นเขตแดน | ทุกแว่นแคว้นขวัญตาได้มาชม | |||
เข้าจอดเรือเหนือเกาะจำเพาะพุ่ม | ไม้วัดจุมพลชิดสนิทสนม | |||
พอรุ่งเช้าเขาก็ฟื้นตื่นรงม | ก็แจวรดมด่วนไปใจวิงวิง | |||
ถึงบ้านพาดพาดแต่ชื่อฤาว่าบ้าน | เคยเปนตะพานพาดทอดถึงยอดหญิง | |||
ขอบุญบ้านวานสวาทไปพาดพิง | พอได้อิงแอบชมเมื่อลมชิว | |||
เห็นน้ำเจิ่งเว้งวุ้งดูทุ่งกว้าง | ให้นึกวางเวงใจไหวไหวหวิว | |||
ทุกแขวงแควแลวิเวกหมอกเมฆปลิว | ละลิ่วลิ่วลิบฟ้าดูน่าเพลิน | |||
เห็นริ้วริ้วทิวไม้รำไรรอบ | จนเขตขอบลำเนาภูเขาเขิน | |||
ฝูงปักษาหากินลงดินเดิร | ทุกแถวเทินทุ่งท่าวนาแนว | |||
นกเป็ดน้ำดำมุดแล้วผุดโผล่ | ปักหลักโด่โดดน้ำลงต้ำแผลว | |||
นกกดก๋าตามองดูบ้องแบว | นกแซงแซวซุ่มซุกอยู่ชุกชม | |||
นกกวักรอนช้อนหอยนั้นคอยฉก | กับฝูงนกดอกบัวเที่ยวมั่วสุม | |||
หัวเปนมันนั้นวิหคนกตะกรุม | เห็นคุ่มคุ่มทิวไม้รำไรตา | |||
กาไล่ล้อมตอมรุ้งกะทุงทอง | อีลุ้มล่องลอยสูงฝูงกระสา | |||
นกยางขาวก้าวสับคอยจับปลา | อุปมาเสมือนตนของคนร้าย | |||
ข้างนอกล้วนนวลวิลัยแต่ใจเผือด | คอยกินเลือดเนื้อได้น่าใจหาย | |||
เห็นคนตะคุ่มคลุมหัวเลี้ยงวัวควาย | ทั้งหญิงชายชาวนาน่าอิดโรย | |||
ตรำแดดฝนทนเหงื่อไม่เบื่อหน่าย | เที่ยวเรี่ยรายริ้วริ้วน่าหิวโหย | |||
บ้างขับนกยกเหวี่ยงเสียงโวยโวย | แสนลำโบยลำบากเพราะยากเย็น | |||
ว่าแต่เขาเราหนาก็อาภัพ | แสวงทรัพย์สารพัดจะขัดเข็ญ | |||
อยู่บางกอกดอกจะหาเลือดตากระเด็น | ยิ่งกว่าเปนบ้านนอกจนออกเกรียม | |||
ถึงเกาะเรียนเรียนอะไรก็ไม่เห็น | ชื่อยังเปนไปได้ไม่อายเหนียม | |||
เราก็เพียรเรียนบ้างแต่ยังเจียม | รู้ไม่เรี่ยมเปนแต่รู้งูงูปลา | |||
ไม่ทันเขาเหล่าผู้ที่รู้มาก | ต้องหุบปากประหนึ่งหอยคอยหุบฝา | |||
จึงยากแค้นแสนทุพลจนชรา | ไม่มีหน้านามเพราะเหมือนเกาะเรียน | |||
พอยินเสียงว่าเสบียงยังอยู่น้อย | ยิ่งโศกสร้อยเศร้าจิตต์ตะขวิดตะเขวียน | |||
ให้ข้ามเข้าเหล่าช่องคลองตะเคียน | เที่ยวเยี่ยมเยียนญาติสหายเปนหลายวัน | |||
จนคลองเมืองเยื้องจะย่างกลางเดือนสาม | จะคิดความก็จะซ้ำไม่ขำขัน | |||
นิราสทวาราวดีก็มีครัน | ทางนี้ฉันคิดไว้เคยไคลคลา | |||
ครั้นมิลัดตัดบทจะหมดสมุด | ต้องจำหยุดยั้งบ้างอย่ากังขา | |||
พอได้เสบียงเลี้ยงท้องก็ล่องมา | เข้าจอดอารามอ้างพระนางเชิง | |||
หยิบธูปเทียนดอกไม้แบ่งให้เขา | ชวนไปเข้าโบสถ์ชะแง้สูงแลเหลิง | |||
ที่พระประธานท่านอยู่ดูดำเกิง | สูงใหญ่เทิ่งทองแจ่มแอร่มเรือง | |||
แต่ตัวเราก็ไม่เท่าพระกนิษฐา | ชนคณานับถือออกฦาเลื่อง | |||
กรุงตั้งฝั่งนี้ที่เปนเมือง | มีในเรื่องจดหมายไม่ป่ายปีน | |||
ก่อนอู่ทองครองสมบัติกษัตริย์หลาย | พระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งมีศีล | |||
ไม่รับนุชบุตรสาวเจ้ากรุงจีน | มาอยู่ตีนท่าทำเชิงร่ำไป | |||
จนอาสัญภรรดามาบุรณะ | ชื่อวัดพระนางเชิงถเกิงใหญ่ | |||
พวกจีนเขาที่เข้ามาภาราไทย | เขาจึงไหว้ว่าพระเจ้าเท้าวันนี้ | |||
จึงซายิดติดมาประสาเจ๊ก | ทำกงเต๊กตามชนิดทุกดิดถี | |||
จะเท็จจริงสิ่งนั้นสำคัญมี | เขาเล่ากันฉันนี้ก็เล่าตาม | |||
แต่พระนี้เปนที่เสี่ยงทายชัด | ดูก็อัศจรรย์น่าหวั่นหวาม | |||
ใครใจบุญกรุณามาประนาม | ไม่คิดขามเข้าใกล้เหมือนใจตัว | |||
ใครใจบาปหยาบช้ามาคำนับ | กลัวจะทับขนพองสยองหัว | |||
แต่ก่อนนั้นฉันมายังน่ากลัว | ทุกวันหวังยังชั่วไม่เช่นเดิม | |||
ปิดทองคำทำใหม่พึ่งได้เห็น | เขาว่าเปนมาแต่วันที่สรรค์เสริม | |||
นึกนิยมชมบุญกระตุ้นเติม | ตามเฉลิมเลื่อมใสในใจตน | |||
แล้วตั้งจิตต์คิดถึงพระพุทธเจ้า | พลางก้มเกล้ากราบงามลงสามหน | |||
จุดเทียนธูปบุบผาประสาจน | แล้วสวดมนต์มอบกายถวายพระ | |||
ขอนิสัยให้ถึงซึ่งวิมุติ์ | เดชะพุทธบูชาอุสาหะ | |||
ขอฉันได้พบพระไตรรัตนะ | กว่าจะละเกลสเสร็จเด็ดกระเด็น | |||
ซึ่งยากแค้นแสนประดาษเหมือนชาตินี้ | ขออย่ามีมาพบประสบเห็น | |||
ให้ชนม์ยืนชื่นชูทั้งอยู่เย็น | อย่ารู้เปนโรคไภยเหมือนใจจง | |||
ขออย่าคบพบพาลสันดานเขลา | คบแต่เผ่าพงศปราชญ์ดังราชหงส์ | |||
ให้ปราชญ์เปรื่องเรืองวิชาปัญญายง | ทั้งรูปทรงสวยเสน่ห์เหมือนเทวดา | |||
ที่สำอางนางไหนฉันหมายมั่น | ให้นางนั้นนึกสวาทเหมือนปราถนา | |||
ทั้งสาวแส้แม่หม้ายพอชายตา | ให้ตามมาสอสอเฝ้าง้องอน | |||
อันแพศยากาลีฤาขี้หึง | ขออย่าพึงผูกพันร่วมบรรจฐรณ์ | |||
เสร็จเคารพนบพระชินวร | ก็ลาจรจากโบสถ์ลิงโลดใจ | |||
ดูภูมิฐานลานเลี่ยนเตียนสอาด | รุกชาติช่อชุ่มพุ่มไสว | |||
ระรื่นร่มลมพาสุมาไลย | มาทราบในนาสาน่ารำจวน | |||
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น | เหมือนเมื่อคืนเคียงถนอมให้หอมหวน | |||
หอมบุหงาสารภีมายียวน | เหมือนแป้งนวลนางร่ำพร่ำคนึง | |||
หอมกระถินกลิ่นเกลี้ยงเพียงกระแจะ | เหมือนจะแนะน้ำจิตต์ให้คิดถึง | |||
โอ้บุบผามาลีก็มีอึง | เปนที่ผึ้งภุมรินได้บินตอม | |||
แต่มณฑาสาหรีเปนที่ชื่น | รสรวยรื่นรัญจวนควรถนอม | |||
เสียดายดวงหวงรสสู้อดออม | จนหายหอมโหยหาเหลืออาไลย | |||
คะนึงพลางทางดูกุฎีวัด | แปลกถนัดนึกน่าน้ำตาไหล | |||
แต่ปางหลังครั้งเรายังเยาว์ไวย | พระวินัยธรอยู่อุ้มชูฟัด | |||
พามาเลี้ยงเพียงบุตรรักสุดอย่าง | ว่าฉันช่างพูดจานี้สาหัส | |||
มิทันใหญ่ไพล่เพลินพเอิญพลัด | ไปอยู่วัดเชิงท่าหน้าบ้านเรา | |||
ยังมิหนำซ้ำร้างไปบางกอก | ไปแห้งกรอกกรอบเกรียมไม่เทียมเขา | |||
ขึ้นมาบ้านพานอดสูเขาดูเบา | ไม่อาจเข้าเคียงใครเหมือนไม่คุ้น | |||
โอ้อาลัยพระวินัยธรอยู่เอ๋ย | เมื่อก่อนเคยขาดเหลือท่านเกื้อหนุน | |||
น้าป้าป่วยช่วยรักษาเพราะการุญ | มาสิ้นบุญเสียเมื่อไรก็ไม่รู้ | |||
ท่านยังไม่ได้สอนเพราะอ่อนหัด | ซ้ำเคืองขัดคุณป้าว่าลาหนู | |||
ถึงกระนั้นฉันก็ยังกตัญญู | พระคุณอยู่เกศาประนามัย | |||
ซึ่งฉันเพียรเรียนร่ำธรรมรส | อุโบสถศีลทานที่สานต์ใส | |||
ขอแผ่ผลาอานิสงส์นั้นส่งไป | ให้ท่านได้ดลสวรรค์ชั้นวิมาน | |||
หนึ่งอักษรกลอนเกริ่นที่เยินยศ | ให้เจนจดใจเจนสืบเหลนหลาน | |||
แล้วลาตรงลงเรือด้วยเหลือนาน | จากสถานถิ่นท่าพว้าพะวัง | |||
เห็นน้ำวนชลกระแสแลละห้วย | ดูวนน้อยมิได้วนเหมือนหนหลัง | |||
แต่ก่อนเอ๋ยเคยเสียงสำเนียงดัง | ได้นอนฟังเสียงน้ำทุกค่ำคืน | |||
โอ้น้ำเอ๋ยเคยฦกยังตื้นหลาย | เพราะตมทรายสมมาเหลือฝ่าฝืน | |||
เหมือนตัวเราเล่าหวังไม่ยั่งยืน | จะต้องตื้นตามรทมที่ถมทรวง | |||
แต่จากสถานนานช้าขึ้นมามั่ง | ก็น่าสังเวชใจเปนใหญ่หลวง | |||
ที่รุ่นราวคราวกะฉันนั้นทั้งปวง | ดูก็ล่วงลับจากไปมากครัน | |||
เห็นกรุงเก่าเศร้าอกดูรกเรื้อ | เสียดายเหลือเหลือจะคิดจิตต์กระสัน | |||
ฟังผู้เฒ่าเล่ามาสาระพัน | เมืองดีนั้นน่าเพลินเจริญใจ | |||
โอ้เรานี้นี่ก็ชาวกรุงเก่าชัด | โทมนัสน้อยจิตต์คิดสงไสย | |||
มากำเหนิดเกิดมิทันเปนฉันใด | จึงมิได้ดูชมสมคะเน | |||
พอคนท้ายบ่ายแฉวเข้าแควประสัก | นึกถึงรักที่จะร้างไปห่างเห | |||
ให้ดิ้นโดยโหยหวนอยู่รวนเร | จวนโพล้เพล้พลบค่ำยิ่งคร่ำครวญ | |||
เห็นสาวสาวชาวแพแลสลอน | เหมือนกินรน่าประโลมโฉมสงวน | |||
ดูคมขำทำทีก็ยียวน | ทั้งสำนวนวาจาก็น่าฟัง | |||
จะนุ่งห่มก็พอสมแก่ศักดิสาว | ไม่เหมือนชาวบ้านนอกที่ลอกหนัง | |||
เปนชาวเมืองเหลืองขาวเหมือนชาววัง | ถึงเมืองรั้งราศียังมีเชื้อ | |||
เหมือนของคร่ำน้ำทองเปนของเก่า | จะเคียงเข้าของใหม่ก็ไม่เฝือ | |||
โอ้เรานี้นี่ก็ชาวกรุงเก่าเจือ | แต่ใกล้เกลือกินด่างหมางฤทัย | |||
จะคืนหลังก็เหมือนดั่งน้ำเต้าแก่ | ใครจะแลเหลียวคิดพิสมัย | |||
โอ้บุญน้อยน้อยหน้าขอลาไกล | จะขอบใจบ้างไหมนั่นที่ฉันชม | |||
ถึงสองแควแม่น้ำลำแชวก | โอ้โอ๋แยกอย่างนี้ยังดีถม | |||
แต่นิสัยใจน้องสองอารามณ์ | แม้นหลงงมคบค้าแล้วพางอม | |||
ตัดตำราปาน้ำจำใส่จิตต์ | ไม่ขอชิดชาติเชื้อพวกเนื้อหอม | |||
ถึงบ้านไผ่ดูไผ่มิได้ตรอม | แต่เรียมผอมไผ่กว่าหนักหนานัก | |||
ถึงปากจั่นจั่นนี่ฤาเขาฦาอยู่ | คอยดักผู้มีฤทธิมาติดกัก | |||
เหมือนฉันนี้เล่าก็มีแต่ฤทธิรัก | ใครจะดักไปให้นุชแม่พุธโธ | |||
ถึงบ้านเสื่อเหลือจะคิดถึงมิตรมิ่ง | เมื่อพาดพิงผูกรักเรียมอักโข | |||
สู้หอบเสื่อเมื่อตามทั้งยามโซ | ยังพาโลลากลับให้อัประมาน | |||
ถึงบางระกำไม่ระกำช้ำแต่ชื่อ | อันเรียมฤารักนุชสุดสงสาร | |||
แสนระกำช้ำมานั้นช้านาน | ยังพบบ้านบางระกำให้ช้ำใจ | |||
ร่ำคนึงถึงพระนครหลวง | ให้งงง่วงเหงาจิตต์คิดสงไสย | |||
ในหลวงสร้างปางหลังแต่ครั้งใด | เมืองมิใหญ่อยู่ฤาชื่อจึงดัง | |||
เดี๋ยวนี้ไฉนไยมาชตาตก | สุดจะยกหยิบยุบลแต่หนหลัง | |||
โอ้เราหนาน่าคิดอนิจจัง | แต่เมืองยังอย่างนี้ย่อมมีมา | |||
ถึงแม่ลาเมื่อจะมาน้ำตาคร่ำ | มิได้ล่ำลามิตรขนิษฐา | |||
จึงจดหมายรายทางไว้ต่างลา | ทุกถิ่นแถวแนวท่าล่ำลานาง | |||
เข้าหยุดทอดจอดที่กุฎีตรุ | พอล่วงลุยามสองให้หมองหมาง | |||
ยิ่งทุกข์แถมแรมร้อนมานอนทาง | ไม่มีนางเนื้ออ่อนมานอนเคียง | |||
หนาวน้ำค้างพร่างกระเซ็นให้เย็นเยียบ | ดูเงียบเซียบสิงสัตว์สงัดเสียง | |||
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไม้เรไรเรียง | เหมือนสำเนียงนวลน้องเจ้าร้องลำ | |||
นิจจาเอ๋ยเคยได้ไปบอกบท | ได้ฟังรสคารมที่คมขำ | |||
มาฟังเสียงเรไรใจระกำ | ไม่เหมือนน้ำเสียงรักในสักระวา | |||
ให้โหยหนจนสว่างกระจ่างแจ้ง | เขาจัดแจงจับปรุงทั้งหุงหา | |||
รับประทานแล้วแผ้วศรีสุริยา | ก็ล่องมาเขตขัณฑ์อรัญญิก | |||
เปนพวกลาวชาววิลัยมิใช่เจ๊ก | แต่ตีเหล็กเหลือสนุกเสียงกรุกกริก | |||
ผู้หญิงลาวสาวใหญ่ทำไพล่พลิก | ดูตุกติกเต่งตั้งอลั่งงาม | |||
ถ้าเปนไทยแล้วที่ไหนจะเปลื้องปลด | ย่อมปิดหมดไม่ออกนอกสนาม | |||
นึกถึงของต้องประสงค์ของนงค์ราม | มาเขตคามตะเคียนด้วนหวนเสียดาย | |||
มองเขม้นก็ไม่เห็นตะเคียนด้วน | เห็นแต่ล้วนเหล่าสวาทนั้นขาดหลาย | |||
ยิ่งตรึกตรองนึกแค้นแสนเสียดาย | ด้วยเจ้าสายสุดสวาทที่ขาดลอย | |||
มาถึงศาลาลอยพลอยอนาถ | เหมือนพี่มาดหมายมิตรสู้ติดสอย | |||
แม้นชายไหนใครจะปองสบร่องรอย | เกรงจะพลอยหลุดเลื่อนเหมือนศาลา | |||
ขอกุศลดลจิตต์ของมิตรมิ่ง | ให้เห็นจริงใจเทวษของเชษฐา | |||
ถึงใครปองอย่าให้น้องเจ้านำพา | ให้เมตตาก็แต่ฉันจนวันตาย | |||
ถึงบ้านขวางขวางบ้านรำคาญหู | ไม่อยากรู้เรื่องขวางให้ห่างหาย | |||
ถึงท่าเรือเรือเคียงอยู่เรียงราย | ออกเหลือหลายหลามจอดตลอดคุ้ง | |||
พวกสัปรุษสุดใจไปไหว้พระ | ดูระดะดาษระดมทั้งต้มหุง | |||
พวกร้านขายรายของกองกะบุง | เห็นคนมุงเหมือนตลาดไม่ขาดคราว | |||
ให้จอดเรือริมแพพอแลเห็น | ได้ดูเล่นหลากชุมทั้งหนุ่มสาว | |||
เขมรไทยใหญ่เด็กแลเจ๊กลาว | อิกทั้งชาวบ้านนอกแลขอกนา | |||
ต่างบำรุงนุ่งห่มพอกลมเกลี้ยง | แต่สำเนียงนั้นแลออกบอกภาษา | |||
ที่สาวสาวชาวเมืองเนื้อเหลืองมา | ดูแช่มช้าเฉิดฉายกรีดกรายกรุย | |||
ล้วนผัดหน้าทาจันทร์กระแจะแป้ง | ซัดสีแสงแสดย้อมออกหอมฉุย | |||
ที่สาวสาวชาวสนุกพวกรุกรุย | ทำใบ้บุ้ยบอกขบวรให้ชวนเชย | |||
แม้นพบเพื่อนเหมือนใจแล้วไม่ละ | เสียงจ๋าจ๊ะจ๊ะจ๋านิจจาเอ๋ย | |||
โอ้ตัวเราเฝ้าถวิลสิ้นเชลย | นั่งแหงนเงยงุ่มง่ามคร้ามตัวเมีย | |||
ไม่ออกตัวกลัวใครเขาไม่ทัก | ไม่เห็นพักตรที่ผู้จะซูเอี๋ย | |||
ทั้งอายเหนียมเจียมตัวไม่ปัวเปีย | ต้องยอมเสียค่ารักหักชรา | |||
แค้นแต่ใจในตานิจจาเอ๋ย | ไม่ยอมเลยเหลือวิสัยเจียวใจจ๋า | |||
พบสีแสงแดงฉาดให้บาดตา | ยิ่งค้อนมาเหมือนกะศรยอนฤทัย | |||
ถึงต้องศรถอนหลุดพอฉุดคร่า | ถ้าต้องตาแลค้อนไม่ถอนไหว | |||
แต่มืดเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มใจ | สุดจะใฝ่แฝงเงาเฝ้าประจง | |||
ด้วยทางท่าคลาเคลื่อนไม่เหมือนเก่า | ให้โฉดเฉาชั้นเชิงลเลิงหลง | |||
เหมือนนกเขาเข้าเพนียดรังเกียจกรง | เกรงจะงงจิกปีกต้องหลีกลา | |||
สงสารจนตนเดียวแต่เที่ยวท่อง | แสวงร่องรอยรักมานักหนา | |||
ทั้งแก่สาวชาวมนุษย์อยุธยา | ไม่ปะหน้านึกสท้อนถอนฤทัย | |||
คิดถึงความยามปฐมที่สมมาด | เพราะประมาทหมางมิตรพิสมัย | |||
จึงเหินห่างร้างราที่อาไลย | มาจำใจเจ็บอุราอยู่อาจิณ | |||
ยังจะไปไกลสถานกันดารแสน | ถึงด้าวแดนดงใหญ่ไพรพฤกษิน | |||
ต้องซื้อของตรองตริปฏิทิน | พอไปกินเก็บงำไว้สำรวม | |||
หยิบเหรียญใช้ให้เขาก็เจ้าเคราะห์ | มันจำเพาะตกน้ำไปต้ำป๋วม | |||
ให้เขาดำคลำหาจนตาบวม | ก็ไม่สวมสบพานเหลือทานทน | |||
ต้องหยิบใช้ให้เขาเล่าอิกบาท | มาช้ำขาดทุนรองถึงสองหน | |||
โอ้นึกมาแล้วก็น่าน้อยใจตน | มันยิ่งจนแล้วมิหนำมาซ้ำจัน | |||
ต้องจำลาท่าเรือเหลือขยาด | พอบ่ายคลาศคล้อยศรีสุริยฉัน | |||
ให้แสนโศกมาถึงโคกมะนาวพลัน | เสียดายขวัญความหลังทุกครั้งคราว | |||
เมื่อยามรักมักจะชื่นทุกคืนค่ำ | เปนน้ำฉ่ำชุ่มชื่อไม่อื้อฉาว | |||
เมื่อยามหมางจางจืดไม่ยืดยาว | เหมือนมะนาวไม่มีน้ำช้ำอุรา | |||
มาถึงบ้านจำปานิจจาเอ๋ย | ให้ระเหยหวนหื่นชื่นนาสา | |||
สไบนางอย่างดีสีจำปา | เสนหาหอมวิไลยมิได้ลืม | |||
เมื่อนัดกันวันพบประสบพักตร | เฝ้าฉุดชักชายชมให้ดมดื่ม | |||
น่าน้อยจิตต์มิได้คิดจะขอยืม | เหมือนปลิดปลื้มปลุกปล้ำช้ำฤทัย | |||
ถึงท่างามงามอื่นสักหมื่นแสน | ไม่งามแม้นเหมือนน้องที่ผ่องใส | |||
ดังอัปสรร่อนฟ้ามายาใจ | จะดูไหนงามนั่นเปนขวัญตา | |||
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า | คอยฟังข่าวคอยแลชะแง้หา | |||
มาแลลับกลับไกลอาไลยลา | เห็นแต่ท่างามเขม้นไม่เห็นงาม | |||
แต่เขตแคว้นแสนสนุกทุกหน้าท่า | เรือสินค้าเคียงจอดตลอดหลาม | |||
พี่น้องเราเขาอุส่าห์พยายาม | มาอยู่คามเขตนี้มีเงินทอง | |||
เขาเห็นฉันพันจะไร้เขาไปล่าง | เขาไม่ย่างเหยียบบ้านพานจองหอง | |||
มาถิ่นเขาเราก็เจียมจะเยี่ยมมอง | เขาไม่ร้องเรียกหากลัวหน้าพัง | |||
ให้ข้ามตัดจอดวัดพระนอนนะ | ขึ้นชมพระสูงกว่าฝาผนัง | |||
ท่านผู้สร้างค้างไว้ไม่อินัง | ฉันน้อมบังคมข้องหมองกมล | |||
โอ้แต่พระปฏิมายังราร้าง | เราก็บุญหนุนสร้างมาปฏิสนธิ์ | |||
ให้เปนมนุษย์แต่ว่าสุดที่แสนจน | นัยว่าคนตกค้างหมางฤทัย | |||
เห็นพระโตโอ้ว่านิจจาเอ๋ย | คนก็เคยพบเห็นเปนไหนไหน | |||
ที่คนดีมีศรัทธาประนามัย | โดยเลื่อมใสบริสุทธิว่าพุธโธ | |||
ที่รุกรุยรุงรังเคยหยั่งเห็น | หล่อนอมเล่นเหมือนกะอมขนมโก๋ | |||
เมื่อกระนั้นฉันก็ปะพระโตโต | แม่สาวโซสวยปลั่งเขายังอม | |||
ฉันออกตัวกลัวกรรมไม่ทำได้ | ต้องใส่ใจจำปิดสนิทสนม | |||
เลยกราบลามาสถานบ้านยางนม | ฉันนึกชมชื่อชัดที่ฟัดครือ | |||
โอ้นมยางอย่างไหนไม่ประสบ | ฉันขอพบพอระงับได้จับถือ | |||
ถึงไม่มากหากสักนิดพอติดมือ | ได้ขึ้นชื่อว่าได้ชมเจ้านมยาง | |||
ไม่ปะตาพอเวลาขมุกขมัว | ถึงบ้านหัวหินให้ใจขนาง | |||
อันหัวแขงมักตะแคงไม่เข้าทาง | เอาแต่ข้างเข้าดันแล้วฉันกลัว | |||
ถึงท่าช้างช้างมีที่นี่ฤา | พอยินชื่อฉันก็พองสยองหัว | |||
ด้วยมืดค่ำคล้ำคลุ้มชอุ่มมัว | ไม่เห็นตัวเต็มยากจะบากเบือน | |||
เขากลัวข้างช้างพลายว่าร้ายแท้ | ฉันกลัวแต่พังพากันหาเถื่อน | |||
ที่ท่าช้างบางกอกก็ออกเฟือน | มักหลงเลือนเหลือขยาดไม่อาจรอ | |||
ถึงเริงรางโอ้พี่ร้างเสนหา | ไม่อาจร่าเริงรางสักอย่างหนอ | |||
แม้นได้ชมสมหมายจะกรายกรอ | ประโลมล่อลอยเหลิงร่าเริงรมย์ | |||
ถึงบ้านหมากบ้านม่วงในทรวงช้ำ | คิดถึงน้ำรักนางปางปฐม | |||
ที่ไปสวนนวลนางที่บางพรม | ชมหมากส้มสวนมะพลับผลทับทิม | |||
เขาไปห้างกลางวันฉันกับน้อง | อยู่เฝ้าห้องหับเซียบเงียบเงียบหงิม | |||
มะม่วงหวานฝานเรี่ยมให้เรียมชิม | ยังนึกอิ่มอกหวานปานชะเอม | |||
เรียมประมาทคลาศแคล้วเสียแล้วเจ้า | ไม่อยู่เล้าโลมลูบแม่รูปเหม | |||
จนนวลน้องหมองศรีไม่ปรีดิ์เปรม | สิ้นเกษมสิ้นสุขสนุกสบาย | |||
เปนเคราะห์กรรมทำแขนงเสียแรงริ | อโหสิเสียเถอะน้องอย่าหมองหมาย | |||
เมื่อชาติหน้าอย่าหมางจนวางวาย | ให้กอดสายสุดสวาทอย่าคลาศคลา | |||
ถึงท้ายสระบุรีไม่มีชื่น | ยิ่งดึกดื่นดิ้นรนกระหนหา | |||
ให้จอดเข้าเหล่าที่มีนาวา | ประจำท่าเทียบแฝงผ่อนแรงโรย | |||
เขาแจวเหนื่อยเมื่อยอ่อนลงนอนกลาด | เรียมอนาถนั่งครวญกระหวนโหย | |||
ดูดาวเกลื่อนเดือนหงายพระพายโชย | น้ำค้างโปรยปรายฝอยลงปรอยเปรย | |||
หอมบุบผาสารพัดที่วัดชุ้ง | จนค่อนรุ่งรื่นอุรานิจจาเอ๋ย | |||
คิดถึงความยามสุขสนุกเสบย | ที่เคยเคยคอยสนองไม่หมองมอม | |||
เฝ้าปรารภอบรมผ้าห่มนุ่ง | ให้บำรุงร่างกายไม่วายหอม | |||
มาเสื่อมหายคลายรสต้องอดออม | จนเผือดผอมผิวเนื้อตรำเหงื่อไคล | |||
เสียงเป็ดผีปี่แก้วแจ้วแจ้วร้อง | แม่หม้ายลองไนแหร่แหว่แหว่ไหว | |||
เหมือนพิณพาทย์ฆาฎเพลงวังเวงใจ | โอ้เคยได้ดูงารสำราญตา | |||
คิดถึงฟ้อนอ่อนหยัดเคยนัดหมาย | มาห่างหายโหยหวนให้ครวญหา | |||
อาลัยวรณ์พวกละครที่เคยมา | สักระวาวานเล่นไม่เว้นวาย | |||
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เคยดูเล่น | ที่เคยเห็นมิได้เห็นก็ใจหาย | |||
มาจำพรากจากแดนแสนเสียดาย | ก็เอนกายกอดหมอนลงนอนยาว | |||
อ้ายเรือหนึ่งอึงร้องออกก้องหน | ว่ามีคนเข้ามาหาลูกสาว | |||
แม่ยายตีหนีโร่ซ้ำโห่กราว | แกบ่นปาวไปจนตรู่สูริยา | |||
จนผู้คนบนเรือนมาเยือนข่าว | บ้างก็กล่าวกลอนหยันขันนักหนา | |||
สงสารเจ้าจุ๊บแจงแกล้งมารดา | แม่เลี้ยงมายากใจกระไรเลย | |||
หมายได้กินขันหมากมากกว่าร้อย | มันปลอดปล้อยเข้าไปแล้วจุ๊บแจงเอ๋ย | |||
พวกเรือเราเขาก็พาฮาเสบย | แล้วก็เลยล่วงมาตามวารี | |||
เห็นสาวสาวลาวมาออกคลาคล่ำ | บ้างตักน้ำนวลลอองผุดผ่องศรี | |||
ดูก็งามตามประสาน่าปราณี | มิรู้ที่ทำไฉนจะไว้วาง | |||
พอเรือชายถามว่าขายอะไรขา | ฉันบอกว่าเรือฉันพันขัดขวาง | |||
ข้อยมาหมายขายรักให้สักนาง | เขาว่าอย่างไรซั้นสันบเคย | |||
ข้อยย่านข่าวบ่าวไทยว่าใจชั่ว | มักขายหัวกินซ้ำแล้วทำเสย | |||
ข้างพวกเราเล่าก็หัวอย่ากลัวเลย | เขาก็เย้ยหยันเยาะหัวเราะเรา | |||
ถึงสาวไห้เดิมใครมิรู้ว่า | ว่าคนมาเมืองไกลตัดไม้เสา | |||
มีนางไม้วิลัยล้ำโฉมลำเพา | เปนสาวเศร้าโศกาออกมาพลัน | |||
จึงได้นามตามลาวชื่อสาวไห้ | ดูก็ไม่เห็นสาวเหมือนกล่าวขวัญ | |||
ฤาที่หมายสายสมรเจ้าจรจรัล | มาคอยฉันช้าหายฟายน้ำตา | |||
หมายจะปลอบลอบแลเห็นแต่ตลิ่ง | ไม่เห็นหญิงยอดสร้อยละห้อยหา | |||
ฤาสี่เสาร์เจ้าเคราะห์เลียบเลาะมา | ยามชตาตกอับถึงคับแค้น | |||
ถึงภูมีสี่เสาร์ที่เจ้าเคราะห์ | มาภายหลังยังเสดาะได้ดีแสน | |||
เหมือนเคราะห์เราเล่าก็ร้ายมาถ่ายแทน | ไม่เหมือนแม้นสี่เสาร์ที่เบาบาง | |||
ยิ่งเสดาะก็เหมือนเคราะห์นั้นร้ายมาก | น้ำท่วมปากสารพัดจะขัดขวาง | |||
พูดไม่ออกบอกใครได้แต่คราง | จะเกิดร่างรูปกับเขามาเอาอะไร | |||
แสนอนาถมาถึงหาดพระยาทศ | เปนชื่อยศเจ้าพระยาครั้งคราไหน | |||
ได้ชื่อชูอยู่นานเพราะชาญไชย | เหมือนเราไซร้แสนเข็ญอยู่เช่นนี้ | |||
ถึงวางวายกายก็ลับชื่อดับสูญ | แม้นบุญหนูนสนองเหตุเปนเศรษฐี | |||
ได้ฦาอึงถึงจะตายวายชีวี | ชื่อคงมีปรากฏไม่หมดเร็ว | |||
สมบัติบ้ามาครู่ก็รู้สึก | เห็นเต็มฦกยิ่งกว่าครั้งสังข์ตกเหว | |||
เห็นอยู่แลแต่กรรมจะซ้ำเลว | แต่ชั้นเปลวก็จะหมดซึ่งรสมัน | |||
เห็นหญิงลาวสาวแก่เขาแก้ผ้า | เมื่อเวลาอาบน้ำนั้นทำขัน | |||
พอถกแผลวแววไวดูไม่ทัน | ผ้านุ่งนั้นเหนี่ยวขึ้นหัวแต่ตัวเปลือย | |||
ยามจะขึ้นหยิบผ้าผืนสวมหัว | สอดถึงตัวเต็มผืนลุกยืนเรื่อย | |||
พวกเรือเราเขาเขม้นไม่เห็นเฟือย | เขาทำเฉื่อยเฉยไปจนใจจริง | |||
ถึงท่าราบราบไหนไม่ราบคาบ | ไม่เหมือนระเบียบเรียบราบสุภาพหญิง | |||
ตลิ่งนั้นชันสูงเห็นฝูงลิง | มันวุ่นวิ่งวนโลดกระโดดโจน | |||
แม่ลิงคุ่มอุ้มลูกทั้งหน้าหลัง | บางพวกผังเผ่นโลดกระโดดโผน | |||
พานรผัวตัวใหญ่ไอ้ทะโมน | มันทำโลนแล่นออกมาหลอกซ้ำ | |||
ริมท่างอกออกแอ่งเปนแก่งหิน | มิใช่ดินดิรยากถลากถลำ | |||
กลัวเรือโดนโจนท่องหาร่องน้ำ | เขาประจำจูงลากลำบากใจ | |||
ถึงเขาแก้วไม่เห็นแก้วที่แพร้วศรี | พระเจดีย์ดูตระหง่านปานไศล | |||
นึกถึงแก้วแววฟ้าสุมาไลย | สักเมื่อไรฤาจะเรียงมาเคียงคลอ | |||
ถึงบ้านอ้อยอ้อยนี้ก็มีมาก | แต่ยามยากอยากจะได้น้ำลายสอ | |||
มองเขม้นก็ไม่เห็นอ้อยสักกอ | เห็นแต่อ้อต่างอ้อยน่าน้อยใจ | |||
ดูใต้เหนือมีเรือสองลำจอด | ช่างเปล่าปลอดสัปรุษสุดสงไสย | |||
เลยไปศาลาแดงยิ่งแคลงใจ | เรือก็ไม่มีประจำสักลำเดียว | |||
แต่พวกลาวชาวนั้นมันขันนัก | มานั่งชักชวนเราแลกเข้าเหนียว | |||
ต้องเลยแหล่งแก่งมาจอดท่าเพรียว | พลางเหลือบเหลียวแลไปไกลไกลตา | |||
เห็นคนผู้ดูก็น้อยกรองกรอยกร่อง | มีบ้านช่องปึกแผ่นไม่แน่นหนา | |||
มีร้านรายขายชำธรรมดา | ดูเคหาห่างไกลต้นไม้เกร็ง | |||
โรงกงษีมีประจำก็คร่ำคร่า | พวกขายอาเพี่ยนมีขี้ฉำเฉ็ง | |||
ไม่สนุกสุขล้ำเหมือนสำเพ็ง | มีตึกเก๋งนางฟ้าน่าสำราญ | |||
ตะวันรอนอ่อนอับลงลับไม้ | เสียงนกไพรพร้องเรียกกันเพรียกขาน | |||
บ้างว้าว่อนร่อนร้องซร้องสำนาน | ต่างขนานเนื่องประนังมารังเรียง | |||
ที่มีคู่อยู่เคล้าเฝ้าชอ้อน | เอาปากป้อนปีกประคองแล้วซร้องเสียง | |||
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวเมียง | ทำเลี่ยงเลี่ยงหลีกหลบแล้วซบเซา | |||
โอ้ตัวพี่นี่ก๊อกเหมือนนกเปลี่ยว | ด้วยอยู่เดียวดาลทรวงให้ง่วงเหงา | |||
ไม่มีคู่สู่สมเที่ยวงมเงา | อายกับเขาคู่นกที่กกรัง | |||
โอ้แลดูสุริยาจะลาทวีป | ไม่รอรีบรอดวงเปนห่วงหลัง | |||
แต่น้ำในใจมนุษย์สุดระวัง | ไม่เหมือนดั่งสุริยาที่อาวรณ์ | |||
จนพลบค่ำคล้ำฟ้าพนาสณฑ์ | น้ำค้างหล่นลมระบายชายศิงขร | |||
ศศิแสงแจ้งฟ้าดารากร | คนึงนอนหนาวทรวงให้ง่วงงม | |||
แลดูเดือนเหมือนดวงพักตรพวงแก้ม | กระต่ายแต้มตละไฝวิไลยสม | |||
โอ้ยามค่ำน้ำค้างลงพร่างพรม | ไม่ลอยลมลิ่วฟ้าลงมาทรวง | |||
โอ้กระต่ายหมายแขไม่แลเปล่า | พระจันทร์เจ้าแจ้งความไม่ห้ามหวง | |||
สู้รับเงาเข้าประทับไว้กับดวง | ให้ทั้งปวงเห็นรักประจักษ์ตา | |||
แต่ใจมนุษย์สุดจะเห็นไม่เช่นนั้น | จะรักกันก็แต่ที่มีวาสนา | |||
แม้นขัดเข็ญเห็นต่ำไม่นำพา | ดูแต่หน้าน้ำใจมิได้ดู | |||
จนดึกดื่นชื่นฉ่ำด้วยน้ำฟ้า | เสียงคณานกร้องออกก้องหู | |||
ไม่แจ้งนามถามใครก็ไม่รู้ | ผิดกับอยู่ยังสถานในบ้านเมือง | |||
ที่รู้บ้างดุจดั่งบุหรงร้อง | อากาศก้องเกริ่นกู่สุดหูเหือง | |||
นกกะเตนเบญจวรรณสนั่นเนือง | แลดูเบื้องบนพนัสก็ชัฏซื้อ | |||
ที่นกร้ายร่ายร้องคนองมี่ | ฮูกวิหคนกผีกระพือหือ | |||
เค้าแมวแมกแสกขวัญผันกระพือ | นกทึดทือทิ้งทูดมันพูดพึม | |||
เสียงสัตว์เหล่าเขาโขดโขมดป่า | ทั้งคณานางไม้ไห้กระหึม | |||
ตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ดูครึกครึม | สงัดงึมเงี่ยฟังให้วังเวง | |||
ดึกสงัดบริษัทก็หลับหมด | ฉันรทดรทวยอ่อนลงนอนเขลง | |||
เสียงเรไรไก่ขันมาบันเลง | นึกว่าเพลงเพลินหลับด้วยจับใจ | |||
พอเต็มตาพากันตื่นแต่ดื่นดึก | ประกายพฤกษ์พราวพร่างกระจ่างใส | |||
บริษัทจัดแจงแต่งจะไป | แต่อ้ายไหร่โคราชมันชาติโกง | |||
เพราะบ่าวเราเจ้ากรรมมันทำชั่ว | จ้างแทนตัวตามนายอ้ายตายโหง | |||
หมายไปด้วยจะได้ช่วยกันชักโยง | กลับหนีโด่งโดดลับไปกับตา | |||
เหลือแต่บ่าวสองชายกับยายแก่ | ต่างเหลียวแลแล้วก็นึกนั่งปฤกษา | |||
มันหนีไปใช่จะลับคงกลับมา | เพราะรู้ว่าเงินมีอยู่ที่เรือ | |||
พวกกรุงเก่าเขาใช้ให้ชั่งหนึ่ง | เงินนอกสามตำลึงก็ยังเหลือ | |||
ยายอยู่เดียวมันจะเลี้ยวลงเรือเมือ | จะถุบเถือถองชิงวิ่งเข้าไพร | |||
ครั้นย่อท้อก็จะไม่ได้ไหว้พระ | นึกมานะมิได้กลัวตัวตักไษย | |||
หยิบเงินแบ่งให้เจ้าแฉ่งช่วยเอาไป | กับเราไซร้คนละครึ่งจนถึงดง | |||
ให้ยายเฒ่าเฝ้าเรือจอดเหนือแก่ง | ฉันกับแฉ่งสามชายทั้งอ้ายสง | |||
เจ้าแฉ่งมือถือพร้าง่าทนง | อ้ายสงหลงลักเข้าเอาไปกิน | |||
ฉันถือดาบจรดลขึ้นบนตลิ่ง | เห็นคนวิ่งวับไปไวไวถวิล | |||
ก็รู้ว่าอ้ายไหร่ใจทมิฬ | แอบได้ยินอยู่ว่าเราเอาเงินมา | |||
คงไปเยือนเพื่อนฝูงจูงมาปล้น | จะแฝงตนตามชิงยิงปืนผา | |||
ทั้งสองบ่าวเขาจะหนีรอดชีวา | แต่ตัวข้าคนเดียวนึกเสียวทรวง | |||
ก็ตั้งจิตต์อธิษฐานประสานหัตถ์ | คุณพระรัตนไตรยเปนใหญ่หลวง | |||
ขอคุ้มขังรวังรไวไภยทั้งปวง | กว่าจะล่วงลุพระฉายเหมือนหมายมา | |||
บุญทั้งนี้ที่จะไปหวังไหว้พระ | เหมือนสละชีวังไม่กังขา | |||
เพราะรู้อยู่ว่าศัตรูจะบีฑา | ยังตั้งหน้าน้อมไปมิได้คลาย | |||
ทั้งเทพยเจ้าเขาดงแลป่งป่า | ขอแผ่อานิสงส์ส่งถวาย | |||
พระธรณีทิพย์นี้อย่านิ่งดาย | ช่วยป้องกันอันตรายให้แขงแรง | |||
พอเสร็จกิจที่อุทิศค่อยคลายทุกข์ | นึกสนุกน้อมไปมิได้แหนง | |||
เห็นเงาไม้ไววับกลับรแวง | ยืนทแมงขมุกขมัวเหมือนตัวคน | |||
ครั้นเข้าใกล้ไม่เห็นให้เย็นชืด | ยังเช้ามืดมิดมัวอยู่ทั่วหน | |||
โอ้นิสัยใจมนุษย์ปุถุชน | มักกังวลหวั่นไหวมิใคร่ดี | |||
เสียงคนกู่หูสดับแล้วกลับหาย | นึกว่าอ้ายไหร่มาฤาว่าผี | |||
ยิ่งสงไสยให้เห็นไปเช่นนี้ | จนสร่างศรีแสงทองส่องอัมพร | |||
ข้างซ้ายหัตถ์ทัศนาภูผาพืด | เปนเมฆมืดหมอกมัวทั่วศิงขร | |||
เห็นไทยลาวชาวป่าพนาดอน | บ้างหาบคอนเข้าขนไปบนเกวียน | |||
ครั้นแลลับกลับชมพนมมาศ | ศิลาลาดแลสล้างเหมือนอย่างเขียน | |||
แสนสนุกรุกขาลดาเดียร | บ้างกร๋อยเกรียนโกร๋นเกรงน่าเลงแล | |||
ทั้งสองข้างทางเตียนเฉวียนวุ้ง | เปนที่ทุ่งทางแยกแฉวกแฉว | |||
ไม่พบคนยลเสียวให้เปลี่ยวแด | ได้เห็นแต่ชาวบ้านนานนานคน | |||
ครั้นไปไปก็มิใคร่ประสบพบ | ให้ปรารภร้อนจิตต์คิดฉงน | |||
ทั้งสองบ่าวเราหนอก็ทรพล | จะคิดปล้นปล้ำเราปลิดเอาเงิน | |||
ไม่วางใจประเดี๋ยวเผ้าเหลียวหา | คเนหน้าน้ำใจเขาไม่เจิ่น | |||
เขาหยอกกันนั้นเหนอพูดเออเอิน | เราไม่เลินเล่อหลังรวังไว | |||
จนเลยมาศาลาที่หนึ่งนะ | มีบ่อสระน้ำท่าได้อาไศรย | |||
จนถึงศาลาสองก็ต้องใจ | ท่านสร้างไว้หวังกุศลเปนต้นเดิม | |||
นึกภิญโญโมทนาสาธุสะ | มาได้พะพึ่งพักเปนหลักเฉลิม | |||
ขอกุศลผลบุญให้จุนเจิม | เหมือนน้ำเติมเต็มบ่อได้พอครอง | |||
ครั้นเหลือบแลแต่ไกลก็กลับเห็น | ดูเหมือนเช่นคนนั่งอยู่ทั้งสอง | |||
คนหนึ่งมาทีหลังนั่งยองยอง | ลงปรองดองไต่ถามกันสามคน | |||
อยู่ริมไผ่ใกล้ทางหว่างชวาก | ฉันแลหลากหลากจิตต์คิดฉงน | |||
นึกถึงบุญคุณพระสละตน | ถึงอับจนใจมั่นไม่พรั่นพรึง | |||
เดิรชแง้แลจับให้วับไหว | ก็หายไปเสียกระนั้นไม่ทันถึง | |||
จะบอกบ่าวเขาฤากลัวอื้ออึง | จะเห็นซึ่งขลาดเขลาไม่เข้าการ | |||
แต่ทำเมินเดิรดูแต่หมู่ไม้ | มะทรางไทรโศกแกแสมสาร | |||
ไม้ทรากสนคณฑาทรงบาดาล | เมื่อลมพานพัดหนักกิ่งกวักไกว | |||
เหมือนเอนดูผู้เดิรดำเนินหน | เมื่อร้อนรนเรียกมาให้อาไศรย | |||
ทั้งจิกแจงแทงทวยกร่างกรวยไกร | ข้างภายใต้เตียนร่มด้วยลมโชย | |||
ฝูงปักษาสิงตามกิ่งไม้ | กระเวนไพรภูรโดกโหวกโหวกโหวย | |||
นกกินปลีอีแอ่นกระแวนโวย | กรอดโรยรับเสียงสำเนียงเพราะ | |||
นกหนึ่งนั้นมันสนองตามร้องบอก | ว่าแขนคอกเสือขบพอสบเหมาะ | |||
ข้างพวกฉันพรั่นตัวต่างหัวเราะ | แขนใครเคราะห์ร้ายคอกบอกโดยดี | |||
เจ้าสงแฉ่งแขงขันจะชันศูจน์ | ฉันไม่พูดผันพักตรชมปักษี | |||
เสียงค้อนทองป๋องป่งเหมือนดั่งตี | ทั้งโกกีลาร้องกึกก้องดง | |||
ค่อยลีลาศคลาศแคล้วตามแถวหลัก | เส้นหนึ่งปักเปนระยะตามประสงค์ | |||
ท่านศรัทธามาสร้างบอกทางตรง | ไม่ลุ่มหลงลีลาได้อาจิณ | |||
คิดยิ่งแสนแค้นเคืองแต่เรื่องรัก | หมายเปนหลักแล้วก็ไม่เหมือนใจถวิล | |||
ไม่มั่นเหมือนเขื่อนหลักที่ปักดิน | ให้หลงลิ้นลุมเล้าเฝ้าเลมอ | |||
เดิรคะนึงจนถึงทวารป่า | มีศาลาลาวร้องซื้อของเหนอ | |||
มิใช่สาวลาวแก่แม่กะเซอ | เครื่องกเฌอเดิมป่าหยิบมาวาง | |||
เขาฦาว่าประตูป่านี้มีบ้าน | แลไม่พานพบตาหน้าขนาง | |||
ครั้นถามไถ่ยายเฒ่าแกเล่าพลาง | มีอยู่กลางราวไพรไม่ใกล้เคียง | |||
แต่สระท่าวารีนั้นมีอยู่ | เสียงคนกู่โก่นรุดมาสุดเสียง | |||
ยายแก่รู้กู่รับตรับสำเนียง | เรายิ้มเมียงมองดูแกกู่คึก | |||
กลัวผีปอบลอบไปทำไม่รู้ | เข้าประตูป่ารหงล้วนดงดึก | |||
แลไสวไพรกรังสพรั่งพฤกษ์ | น่าพิฦกลานใจเสียไม่เบา | |||
แลดูพื้นพสุธาข้างหน้านั้น | ก็สูงชันเช่นกะเดิรขึ้นเนินเขา | |||
ครั้นเหลียวข้างหลังต่ำดูลำเนา | สูงหลายเท่าแต่ท่าขึ้นมาดอน | |||
ริมวิถีไผ่ไรลำลอก | ขึ้นซ้อนซอกแซกซับสลับสลอน | |||
ดูชัฏชื้ออื้อฉอ่ำทิฆัมพร | น่าสยอนเยือกเห็นให้เย็นใจ | |||
พ้นพฤกษาป่าไผ่ล้วนไม้สูง | ตะเคียนยูงยางเยียดเบียดเสียดไสว | |||
ดูครึ้มครึกพฤกษาพนาไลย | ขึ้นบดใบบังสีสุริยงค์ | |||
รกฟ้าเขลงเตงรังเหมือนดั่งฉัตร | ดูรกชัฏร่มชื้นรื่นรหง | |||
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มพง | ไม่เคยดงดูก็สุขสนุกพอ | |||
ทั้งรอกแย้ตุ่นกระแตกระต่ายเต้น | ไก่เถื่อนเร้นรกเลี้ยวล้วนเปรียวปร๋อ | |||
นกเขาไฟไก่ฟ้าพระยาลอ | เขาขันคลอคู่เคล้าเขาชวา | |||
เสียงแก้วสาลิกาพลอดฉอดฉอดเพราะ | เหมือนฉอเลาะลมเล่ห์เสนหา | |||
โอ้เช่นนี้ที่หวังตามหลังมา | ไม่อายหน้านกพลอดฉอดฉอดชม | |||
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยรักเคยเรียงเคยเคียงสม | |||
มาเหิรห่างร้างราให้ปรารมภ์ | จนตรึกตรมเตรียมตรอมผอมกริงกริว | |||
ดูเบื้องซ้ายชายทางหว่างชวาก | เสียงกรากกรากมิใช่คนยลหวิวหวิว | |||
เหมือนย่างเท้าเข้าไปใบไผ่ปลิว | ฉันยืนพลิ้วพลางชงักไม่ทักทาย | |||
ดูสองเข่าเล่าก็ล้าพอมาถึง | ฉันคนึงนิ่งไว้ไม่ขยาย | |||
แผ่กุศลผลไปให้สบาย | ทั้งภูตพรายพฤกษาพนาวัน | |||
โอ้ยามยากจากบุรีไม่มีเพื่อน | มาทางเถื่อนแทบชีวาจะอาสัญ | |||
ถึงป่วยไข้ใครจะมารักษาทัน | ข้างบ่าวนั้นก็ขนางมิวางใจ | |||
ถึงสามคนจรดลมาแดนเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล | |||
แสนวิตกรหกรเหิรสู้เดินไพร | เอานกไม้มาเปนเพื่อนเหมือนเรือนรัง | |||
พอยินอึงผึงผางขึ้นข้างหน้า | ประมาณกว่าเส้นกึ่งเสียงกึ๋งกั๋ง | |||
เหมือนตัดไม้ไผ่ขอนกระดอนดัง | ฉันฟังฟังเฟือนถวิลนึกยินดี | |||
ชะรอยเถรเณรคฤหัสถ์ลงตัดไม้ | เห็นเกือบใกล้ถึงพระปถวี | |||
ครั้นใกล้กลายหายพลันไปทันที | เสียงไปมีอยู่เหมือนว่าข้างหน้าไป | |||
เสียงนี้หรือชื่อผีมีผู้บอก | ฉันลืมไปไม่ออกไม่อาจไข | |||
ยังนานเนิ่นเดิรหนักอิกพักไกล | ก็ถึงในลานพระที่ชลา | |||
พวกร้านขายรายเพรียกมาเรียกรอบ | ฉันนึกขอบใจใครก็ไปหา | |||
เจ้าของร้านพานจะสาวขาวโสภา | ชื่อแม่ปลาตะเพียนนั่งเจียนตอง | |||
อันปากสาวชาวร้านถึงบ้านนอก | หวานไม่หยอกยกยอพอสนอง | |||
สำรับฉันพันจะมักมีผักดอง | ด้วยเปนของคนยากไม่พากภูมิ์ | |||
ฉันนึกชอบตอบความไปตามนุสนธิ์ | ฉันก็จนจนไม่มีที่จะอู้ม | |||
แต่ยามไร้ได้ชมส้มชอูม | คงจะมูมมามกินอย่านินทา | |||
เขายิ้มพลางทางยกสำรับตั้ง | ขอเชิญนั่งรับประทานเถิดท่านจ๋า | |||
สำรับบ่าวเขาก็พลันจัดสรรมา | ได้เวลาแล้วก็จับรับประทาน | |||
ครั้นอิ่มหนำช่ำใจก็ให้เขา | คือเงินตราค่าเข้าทั้งคาวหวาน | |||
ต่างไต่ถามตามมีไมตรีการ | ถึงถิ่นบ้านบอกนามกันตามควร | |||
แล้วซื้อทองของจะไปขึ้นไหว้พระ | จะลาละแล้วก็ให้อาลัยหวน | |||
มาสบตาปลาตะเพียนเมื่อเจียนจวน | ต้องจำด่วนเด็ดใจอาลัยลา | |||
ดูสัปรุษสุดใจมิใคร่หลาย | กลัวผู้ร้ายร้านร่อยไม่ค่อยหนา | |||
ข้างฝ่ายชีมีแต่สงฆ์ธุดงค์มา | ฉันก็พาพวกผันขึ้นบันได | |||
ถึงเงื้อมเขาเข้าชลาตรงหน้าพระ | สาธุสะมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส | |||
น้อมประนมชมพระฉายพรายประไพ | อยู่ที่ในเงื้อมผาหน้าคิรี | |||
พระสัณฐานสูงประมาณหกศอกนะ | เปนแปดศอกทั้งพระรัศมี | |||
ก็สมควรส่วนมาในบาลี | ดูเหมือนทีอุ้มบาตรทรงยาตรา | |||
ตามพระองค์ดุจทรงกาสาวพัสตร | พระบาทหยัดเหยียบยืนกับพื้นผา | |||
เขาปิดทองผ่องทับแทบลับตา | แต่พระชาณุพระชงฆ์นั้นลงไป | |||
ข้างพื้นต่ำมีน้ำใสสนิท | ฉันพินิจทั่วพระองค์ไม่สงสัย | |||
แท้ว่าพระประดิษฐ์อุทิศไว้ | หวังปัจจัยแก่สัตว์ปัจฉิมา | |||
ฉันเพลิดเพลินเดิรผ่านตามชานเขา | เห็นเปนเงาพรายทั้งซ้ายขวา | |||
คือฉายพระอรหันต์สุดพรรณนา | แต่บรรดาโดยเสด็จเสร็จดำเนิร | |||
ถึงประเทศเขตนี้เปนที่ป่า | พอเวลาฝนชุกก็ฉุกเฉิน | |||
พระพุทธองค์พาพระสงฆ์เสด็จเดิร | ขึ้นสู่เทินที่ประทับยืนยับยั้ง | |||
ที่เขานี้เดิมทีเขาเล่าพูด | ว่าสูงชะลูดตละว่าฝาผนัง | |||
ก็อ่อนเอื้อมเงื้อมผาลงมาบัง | ดูหมือนดั่งยินดีมีกมล | |||
รู้คุณพระพุทธองค์สงฆ์ทั้งหลาย | บังพระกายมิให้ต้องละอองฝน | |||
เปนอัศจรรย์ขวัญตาประชาชน | ได้ยืนยลอยู่ช้าชั่วฟ้าดิน | |||
แต่คิรีมิได้มีกมลจิตต์ | ยังรู้คิดคุณเห็นทั้งเปนหิน | |||
เราทั้งหลายกายเปนคนได้ยลยิน | ควรถวิลถึงพระคุณอดุลญาณ | |||
ใครพะวงสงสัยหรือไม่เชื่อ | ฉันพูดเผื่อมีบ้างจงฟังสาร | |||
ให้ตรึกตรองถ่องถ้วนทีควรการ | อย่าเพ่อค้านคัดไค้ว่าไม่จริง | |||
ผู้เบาใจได้สดับจะกลับแหนง | จะเคลือบแคลงเคลื่อนคลายทั้งชายหญิง | |||
ฉันจึงทำคำกลอนไว้ค้อนติง | ขออย่าทิ้งทางกุศลที่ตนเคย | |||
แต่ไหว้รูปพระปฏิมาอุสาหะ | นึกถึงพระยังได้บุญเจ้าคุณเอ๋ย | |||
ถึงมิจริงก็อย่าทิ้งพุทโธเลย | คงเสวยส่วนกุศลไม่พ้นมือ | |||
ถึงพระธรรมคำพระเทศนา | เจตนานั้นเปนใหญ่มิใช่หรือ | |||
ถ้าของจริงยิ่งประเสริฐที่เลิศลือ | ใครนับถือผลก็เลิศประเสริฐครัน | |||
คุณพระรัตนไตรยผู้ใดคิด | ถึงดับจิตต์ก็จะได้ไปสวรรค์ | |||
พระชินศรีมีมาข้างหน้านั้น | น่าที่ทันทุกพระองค์อย่าสงกา | |||
ฉันนึกพลางทางมาข้างหน้าพระ | คารวะไหว้นบจบเกศา | |||
เอาทองติดปิดพระฉายพระพรายตา | เข้าสู่ศาลามีอยู่ที่ลาน | |||
จุดธูปเทียนเวียนสมาสักการะ | แล้วกราบพระพร้อมประดิษฐ์อธิษฐาน | |||
ข้าจำพรากจากแดนแสนกันดาร | ทรมานมาถึงในไพรพนม | |||
เขาว่าพระปถวีมีพระฉาย | สู้มุ่งหมายมาจนพบประสบสม | |||
โสมนัสศรัทธาบูชาชม | น้อมประนมนึกถึงพระรัตนไตรย | |||
ขอบุญญาอานิสงส์จงสำเร็จ | สรรเพ็ชญโพธิญาณโดยสานต์ใส | |||
ยังมิถึงซึ่งนิพพานณกาลใด | ขอเกิดไปเปนมนุษย์บุรุษชน | |||
ในมัชฌิมประเทศเขตสมัย | พบพระไตรรัตนรักทางมรรคผล | |||
ขอชนกชนนีมีกมล | เปนกุศลเลื่อมใสในไตรรัตน์ | |||
ญาติเมียบุตรที่สุดชั้นทาสา | ล้วนสัมมาทิฎฐิปฏิบัติ | |||
ขอภิญโญโภคาสารพัด | ชื่อว่าขัดเข็ญใจอย่าได้พบ | |||
ทั้งอาภัพคับใจพูดไม่ออก | กินน้ำในใต้ศอกไม่ขอสบ | |||
ขอเปรื่องปราชญ์เฉลียวฉลาดเลิศลบ | ให้เจนจบเจนจิตต์ทุกวิชชา | |||
รู้พระธรรมคัมภีร์ถึงที่สุด | ให้เรืองญาณปานพระพุทธโฆษา | |||
รู้อรรถแปลแก้ไขไวปัญญา | เฉลยคิดปฤศนาได้ลึกซึ้ง | |||
ใครคิดร้ายถ่ายเทด้วยเล่ห์ล้น | ให้ซ้อนกลแก้เขารู้เท่าถึง | |||
ใครสอพลอยอยกอย่าตกตลึง | ให้ทราบซึ่งสอพลออย่าพอใจ | |||
ให้รอบคอบรอบรู้ดูการกิจ | อย่าพลั้งผิดพองามตามวิสัย | |||
ให้แสนซื่อถือสัตย์ในหทัย | อย่าหลงใหลลำเอียงทั้งเที่ยงตรง | |||
ลัทธิใดภายนอกพระสาสนา | ขออย่ามามีใจลุ่มใหลหลง | |||
ให้รักแลแต่พระธรรม์อันดำรง | ล้วนเปนองค์โอวาทพระศาสดา | |||
ขอพบองค์หงส์เหมคือเปรมปราชญ์ | อันฉลาดแหลมลึกได้ศึกษา | |||
ที่หฤโหดโฉดเฉาเผ่าพาลา | ขออย่ามามอบมิตรสนิทนำ | |||
จะตกไปในทิศทุกแห่งหน | ให้มีคนคอยชุบอุปถัมภ์ | |||
ทั้งรักแรงแขงขอบโดยชอบธรรม | ให้เลิศล้ำลือเลื่องกระเดื่องดี | |||
เดชะทำคำกลอนอักษรถวาย | พระพุทธฉายจำรัสพระรัศมี | |||
ยกพระคุณบุญญาบารมี | ไว้เปนที่สาธุการเนิ่นนานไป | |||
ทั้งปิดทองปองถวายพระฉายฉัน | ขอผิวพรรณเพียงทองผุดผ่องใส | |||
อย่ารู้มีที่โศกแลโรคไภย | อายุไขยก็เหมือนหนุ่มกระชุ่มกระชวย | |||
ทั้งเทียนธูปบุบผาบูชาพร้อม | ขอเนื้อหอมเหมือนกะธูปทั้งรูปสวย | |||
ขอวาจาเปนมหาลมละลวย | ใครพูดด้วยก็ให้เขารักเราเอง | |||
จะประดิษฐ์คิดกลอนอักษรสรรค์ | ให้เร็วพลันไพเราะล้วนเหมาะเหม็ง | |||
ใครฟังสารอ่านลือชื่อบรรเลง | ให้วังเวงวับหวามติดตามมา | |||
กราบพระอธิษฐานสำราญรื่น | เขาชวนชื่นชมดูซึ่งภูผา | |||
สัปุรุษสุดใจที่ไคลคลา | พูดชักพาพวกเราไปเขาลม | |||
ก็ลงชั้นบันไดครรลัยล่อง | จนถึงช่องเชิงผาก็สาสม | |||
จะขึ้นเขาเฝ้าระหวยให้งวยงม | เขารดมเดิรเหยาะหัวเราะครึน | |||
นึกถึงอ้ายไหร่พาลรำคาญแสน | ให้เมื่อยแขนแข้งขาอุส่าห์ขึ้น | |||
เหมือนปวดเศียรเวียนหัวให้มัวมึน | สู้นิ่งนึกบึกบึนไม่บอกใคร | |||
ถึงจอมเขาเหล่าชลามีสาโรช | ทั้งสระโบสถ์บรรพชาน่าเลื่อมใส | |||
โสมนัสศรัทธาประนามัย | พระวิลัยลายลักษณ์จักจำลอง | |||
แล้วก็เดิรเพลินชมพนมไม้ | แลไศลสูงลลิ่วเปนทิวท่อง | |||
ล้วนป่ารหงพงพีผีคะนอง | เปนแดนดองดงป่าพระยาไฟ | |||
เห็นทุ่งสาลิกาพนาพฤกษ์ | แลพิลึกเหลือจะร่ำจำไม่ไหว | |||
เห็นทับลาวชาวกระเหรี่ยงเรียงรำไร | วิเวกใจเจียนจะพาน้ำตากระเด็น | |||
เมื่อตัวฉันบรรพชาเหมือนหาไม่ | เพราะมิได้มาธุดงค์ให้ปลงเห็น | |||
มาเห็นไพรใจฅอระย่อเย็น | ให้แสนเข็ญคิดไปล้วนไม่ควร | |||
เสียแรงพบสบบรมอุดมเพศ | มาหลงเลศเลยคิดจนผิดผวน | |||
มาแสนจนทนระเหอยู่เรรวน | ชมแต่ล้วนลิงค่างบ้างบ่นโบย | |||
เสียงสัตว์แซ่แต่ใกล้ในไพรศรี | เหล่าชนีเหนี่ยวไม้แล้วไห้โหย | |||
เหมือนเสียงนุชสุดถวิลให้ดิ้นโดย | พระพายโชยชายเขาผ่าวรำเพย | |||
หอมลั่นทมดมกลิ่นมารินรื่น | ให้หวนหื่นโหยหานิจจาเอ๋ย | |||
โอ้เทวดาอารักษ์ไม่ชักเชย | เมื่อไรเลยจะได้โลมเจ้าโฉมงาม | |||
เฝ้าเหิรห่างร้างรสให้อดอยาก | จนลำบากบุกมาพนาหนาม | |||
แม้นพี่หมายสายสุดาได้มาตาม | เรียมจะทรามเสื่อมโศกวิโยคทรวง | |||
จะกล่าวกลอนนอนเล่นเย็นเย็นร่ม | จะชี้ชมช่อไม้ไศลหลวง | |||
จะชื่นใจไหนจะชุ่มด้วยพุ่มพวง | ดั่งได้ดวงดอกฟ้ามายาเยียว | |||
นี่สุดแค้นแสนทวีไม่มีเพื่อน | มาทางเถื่อนทุกข์ใจอยู่ไพรเขียว | |||
ถึงมามากจากสุดาเหมือนมาเดียว | แล้วเดิรเลี้ยวลงล่างข้างคิริน | |||
เที่ยวเลียบแลชมชแง้ชง่อนง้ำ | บ้างวุ้งหวำเวิ้งว้างเหมือนอ่างสินธุ์ | |||
ที่ลางลายพรายพร้อยเหมือนพลอยนิล | ลางหลืบหินหุบแตกดูแยกเยอะ | |||
ที่ร่องน้อยมีจงอยจแง่เห็น | ดูเหมือนเปนปากถ้ำมีน้ำเฉอะ | |||
ต้นหญ้ารกปกแซมหรอมแหรมเรอะ | เปนคราบเคลอะคละคลุ้งพรุงพรัง | |||
สุริยฉายบ่ายจวนก็ชวนเพื่อน | ครรลัยเลอนเลี้ยวลับแล้วกลับหลัง | |||
เที่ยววกวงลงได้ระไวระวัง | ไม่หยุดยั้งย่างยาวก้าวตะโพง | |||
กลับขึ้นวัดทัศนาด้วยฝ่าฝัน | เห็นเณรฟันฟืนใส่ไฟโขมง | |||
ดูตะวันนั้นจะชายได้สักโมง | ยังโก้งโค้งก่อไฟว่าไม่เพล | |||
ฉันก็เข้าเคารพนั่งนบไหว้ | ได้ปราไสยสนทนามหาเถร | |||
แล้วไต่ถามความรู้ไม่สู้เจน | จนพระเณรนิ่งนั่งฟังสำราญ | |||
แล้วถามว่าบาลีที่พระฉาย | ถ้ามีหมายจะใคร่พบประสบสาร | |||
ท่านยิ้มพลางทางยื่นผูกใบลาน | แล้วว่าอ่านจะไม่ออกดอกกระมัง | |||
ฉันยิ้มพรายหมายว่าบาลีอรรถ | พอรู้ชัดแปลร้อยก็ถอยหลัง | |||
ได้ความนิดจิตต์จำโดยลำพัง | ว่าพระยั้งหยุดประโยชน์โปรดพรานไพร | |||
ก็ส่งคืนยื่นให้เสียไม่อ่าน | กลัวจะนานนึกจะลาอัชฌาไสย | |||
ฝ่ายสมภารท่านก็เล่ากับเราไป | ปีนี้ไม่สู้สบายผู้ร้ายชุม | |||
เที่ยวตีปล้นชนบทแลบ้านป่า | ชาวประชาชักครัวเที่ยวมั่วสุม | |||
พวกร้านรับสัปรุษสุดจะคุม | ที่ชุมนุมน้อยไปไม่ไคลคลา | |||
แต่เดี๋ยวนี้มีคนขึ้นรายราย | เพราะผู้ร้ายหลบลี้เที่ยวหนีหน้า | |||
ด้วยท้องตราข้าหลวงล่วงขึ้นมา | พึ่งจะซาเสื่อมเลื่อนลงเดือนนี้ | |||
ฉันสดับซับทราบให้วาบวับ | เพราะจะกลับกลัวภัยในวิถี | |||
ไหว้มาลาละจากพระชี | จรลีเลยมาเข้าหน้าลาน | |||
ศิโรตม์ราบกราบลงตรงพระบาท | อภิวาทวอนถวายพระฉายฉาน | |||
ตูข้ามาครานี้ก็มีมาร | แสนสำราญเคืองขุ่นคิดวุ่นวาย | |||
นี่บุญช่วยจึงไม่ม้วยได้มาปะ | พระฉายพระพุทธองค์สงฆ์ทั้งหลาย | |||
ยังขากลับคับใจไม่สบาย | ขอพระฉายช่วยพิทักษ์รักการุญ | |||
ระวังโศกโรคภัยที่ในเถื่อน | ขอให้เคลื่อนแคล้วคลาศชาติสถุล | |||
ข้ามาหวังตั้งใจอยากได้บุญ | ขอพระคุณคุ้มได้เหมือนใจปอง | |||
แล้วกราบลาล่าลงตรงไปหา | พบแม่ปลาตะเพียนนางพลางสนอง | |||
ฉันขอบคำน้ำรักในผักดอง | ได้มาลองดูประเดี๋ยวไม่เปรี้ยวเค็ม | |||
จะลาลับกลับไปให้ใจหาย | หล่อนชม้ายเนตรส่องดังต้องเข็ม | |||
แล้วยิ้มว่ามาประเดี๋ยวจะเที่ยวเล็ม | ก็เห็นเต็มแต่จะหมายหรือนายเคย | |||
ได้ฟังคำฉ่ำใจกระไรนะ | แต่ธุระเต็มอุรานิจจาเอ๋ย | |||
เปนบุญน้อยน้อยใจไม่เสบย | ต้องจำเลยลาน้องล่องลงมา | |||
เดชะบุญทั้งคุณพระไตรรัตน์ | ช่วยป้องปัดปกปักตามรักษา | |||
ไม่มีโศกโรคภัยในวนา | จนถึงท่าเรือล่องคล่องคล่องใจ | |||
สองสามวันพลันถึงกรุงเทพแล้ว | พอผ่องแผ้วผ่อนทุกข์ค่อยสุกใส | |||
จึงจดหมายรายทางที่ร้างไป | เปนกลอนไว้หวังวิถารไปนานนม | |||
ใช่จะหวังตั้งจิตต์คิดเปล่าเปล่า | หมายจะเอาบุญบ้างจึงสร้างสม | |||
ที่คนดีมีศรัทธาในอารมณ์ | ได้อ่านชมชื่นในฤทัยทวี | |||
ที่สงสัยไม่เคยไปเคารพ | อยากได้พบพานพระปถวี | |||
คงขวนขวายผายผันไปอัญชลี | ฉันคงมีอานิสงส์เหมือนจงปอง | |||
ฉันคิดความตามประสาปัญญาไร้ | แม้นปราชญ์ใดดูอ่านสารสนอง | |||
บทไหนเขินเชิญคิดประดิษฐ์ตรอง | อย่ายิ้มย่องเย้ยหยันฉันระอา | |||
ซึ่งร่ำไรในนิราสสังวาสนี้ | เปนคดีโลกติดดำฤษณา | |||
ก็ตามศักดิ์นักกลอนแต่ก่อนมา | ย่อมลีลาโลมโลกโศกสำออย | |||
ใช่จะมีที่หวังดังประสงค์ | เหมือนหนมกงก็วิลัยเพราะใส่ฝอย | |||
จะครหาว่าคิดตะบิดตะบอย | ที่หยดย้อยก็ย่อมรู้อยู่ทุกคน | |||
ว่าโดยธรรมก็เปนคำขาดประโยชน์ | มีแต่โทษแท้เห็นไม่เปนผล | |||
ฉันขอบอกออกตัวด้วยกลัวตน | จะไม่พ้นบาปกรรมที่รำพรรณ | |||
ซึ่งร่ำไรให้ฟังสิ้นทั้งหมด | พื้นแต่ปดเปนเบืออย่าเชื่อฉัน | |||
ที่ข้อจริงเล่าก็จริงแต่สิ่งอัน | อย่าสำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป | |||
ดีจริงแท้ก็แต่ไปที่ไหว้พระ | สาธุสะดุดตรงอย่าสงไสย | |||
แม้นชอบหูผู้ฟังจงตั้งใจ | ขอเชิญไปปฏิบัตินมัสการ | |||
ได้คิดถึงพุทธคุณกรุณา | ทางพุทธานุสสติภินิหาร | |||
ก่อนิสัยไปสว่างทางนิพพาน | เปนแก่นสารสุดเล่ากันเท่านี้ | |||
จึงกำหนดจดตามซึ่งความชอบ | ได้ไปนอบนบพระปถวี | |||
ในเดือนสามสุกปักษ์โดยภักดี | แต่สุดที่จดหมายซึ่งรายวัน | |||
บรรลุจุลศักราชมาดไม่น้อย | พันสองร้อยสามสิบเจ็ดเบ็ดเสร็จสรรพ์ | |||
ปีชวดอัฐศกตกเหมันต์ | เปนปีฉันไปพระฉายถวายตน | |||
ขอแผ่ผลส่วนกุศลให้สมหวัง | ทั้งผู้ฟังผู้อ่านสารนุสนธิ์ | |||
ฉันตั้งใจให้ทั่วทุกตัวคน | จงมีกมลโมทนาปลื้มอาลัย | |||
ทั้งนารีที่รักหรือลักลอบ | ยังนึกขอบคุณคิดพิสมัย | |||
จงโมทนาอานิสงส์เหมือนจงใจ | จบเรื่องไปปถวีเท่านี้เอย ฯ | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราสพระปถวี หลวงจักรปาณี (ฤกษ) เปรียญ แต่ง แจกในการกฐินพระราชทาน มหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์ อุปราชมณฑลอยุธยา ณ วัดวรนายกรังสรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
(ขอขอบคุณ คุณ "หญิง. มะ" ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน)