นิราศหนองคาย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
(บทประพันธ์)
แถว 7: แถว 7:
'''ผู้แต่ง:''' [[หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)]]
'''ผู้แต่ง:''' [[หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)]]
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
 +
==== ====
<tpoem>
<tpoem>
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ  ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ  ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
แถว 120: แถว 121:
-
๏  
+
ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่  เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
 +
เอิกเกริกเร่งมาในสาคร  เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
 +
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว  ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
 +
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม  ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
 +
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล  เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
 +
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร  ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง  มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
 +
ชยันโตอวยชัยในนาวา  จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
 +
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ  ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
 +
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง  บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม  รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
 +
พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม  พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
 +
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ  เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
 +
สังเกตลมพระพายพัดชายธง  นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
 +
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา  พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
 +
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน  เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
 +
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ    แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
 +
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ  นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
 +
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน  นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
 +
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา  ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
 +
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร  เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
 +
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป  เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม  ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
 +
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร  ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
 +
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์  ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
 +
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน  มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
 +
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง  ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
 +
พอจวนถึงรอรานาวาคอย  เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
 +
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ  สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
 +
พระทัยดีมีพระกรุณประจำ  หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
 +
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ  สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
 +
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ  ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน  บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
 +
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน  บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
 +
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา  ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
 +
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์  อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
 +
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน  จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
 +
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง  นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
 +
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต  โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
 +
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม  ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
 +
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า  หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
 +
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย  โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
 +
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย  พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
 +
จวนแจ้งแสงศรีสุริยา  ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
 +
เสร็จเสพโภชนากระยาหาร  ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
 +
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม  ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต  สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
 +
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง  จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
 +
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ  ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
 +
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง  เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
 +
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร  พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
 +
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์  ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
 +
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน  ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
 +
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม  ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
 +
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ  ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
 +
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง  กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์  วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
 +
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง  เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
 +
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง  พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
 +
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา  ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม  มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
 +
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป  ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
 +
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท  ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
 +
น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน  เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
 +
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด  พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
 +
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์  เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
 +
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย  เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
 +
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน  คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
 +
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ  นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
 +
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน  เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
 +
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่  ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
 +
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา  อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
 +
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก  บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
 +
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว  ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
 +
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย  อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
 +
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา  เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
 +
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส  ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
 +
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา  ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
 +
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก  ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
 +
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม  ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
 +
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง  ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
 +
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย  เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
 +
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา  เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
 +
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน  จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
 +
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่  ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
 +
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา  ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร  กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย
 +
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย  น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง  จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง
 +
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง  นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล
 +
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง  ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์
 +
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน  ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน
 +
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด  บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร
 +
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน  แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ
 +
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่  ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม
 +
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม  ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา
 +
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร  ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา
 +
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา  จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์
 +
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง  ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์
 +
มีพระราชศรัทธาปัญญายง  เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล
 +
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม  ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล
 +
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน  ชื่อชุมพลนิกายาราม
 +
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา  ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม
 +
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม  ไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ
 +
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน
 +
แล้วเลยทรงสถาปนาการ  พระวิหารให้คงดำรงดี
 +
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง  ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี
 +
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี  ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา
 +
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ  ก็เลยละผายผันจิตหรรษา
 +
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา  โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว
 +
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี  บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว
 +
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว  ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล
 +
ฝีพายไม่รอรามาตะบึง  บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่
 +
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป  เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน
 +
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา  น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน
 +
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ  ใจเบิกบานยินดีที่สบาย
 +
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว  บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย
 +
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย  ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา
 +
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง  พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา
 +
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา  พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง
 +
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ  คารวะขอความตามประสงค์
 +
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง  สิงในองค์พระปฏิมากร
 +
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ  ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน
 +
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน  จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน
 +
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ  ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน
 +
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน  ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ
 +
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ  คนที่รับไทยทานประมาณโข
 +
บางคนออกวาจาวราโร  รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล
 +
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน  เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน
 +
ละลิ่วมาในวนชลธาร  บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา  แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
 +
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ  เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย  เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน
 +
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร  หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา
 +
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง  มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา
 +
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา  ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง
 +
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย  เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง
 +
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง  คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์  ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร
 +
แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ  พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา
 +
เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร  แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา
 +
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา  พระมหาที่นั่งในวังจันทร์
 +
ออกจากวังไปยังพระอาวาส  นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน
 +
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์  ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ
 +
ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง  เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม
 +
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ  แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง
 +
เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด  เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง
 +
วัดสลักหักพังออกนังนุง  แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน
 +
ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน
 +
เสด็จมาบำรุงผดุงการ  พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม
 +
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ  ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม
 +
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ  อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง
 +
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ  ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง
 +
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง  เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ
 +
จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง  ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร
 +
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน  กรมการเขาว่าตราไม่มี
 +
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร  แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี
 +
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี  แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ  สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล
 +
ต่างลงเรือทุกลำประจำพล  บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว
 +
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง  พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว
 +
นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว  ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ
 +
ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน  โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ
 +
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ  ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ  ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย
 +
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย  บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ
 +
บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม  เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส
 +
ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ  ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน
 +
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ  แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน
 +
ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน  เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ
 +
 
 +
 
 +
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน  มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน
 +
เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน  แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง
 +
ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด  น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง
 +
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง  อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ
 +
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ  คนที่เหลืออาศัยในวิหาร
 +
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน  เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน
 +
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ  นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน
 +
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์  เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน
 +
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ  ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ
 +
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ  สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน
 +
ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ  ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น
 +
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์  โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ
.
.
.
.
แถว 162: แถว 367:
.
.
</tpoem>
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== ที่มา ==
== ที่มา ==
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔

การปรับปรุง เมื่อ 12:45, 22 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)

บทประพันธ์

๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออกก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียงเมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชาลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดชซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัวศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่นทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลันพร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอเป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีกให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนายทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัวดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครันบ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกายทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัดขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกองเอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรีที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏหวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
กางกรประคองกอดแม่ยอดรักพิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวลด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียวนึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือนจะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิตนึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไปกลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอดคนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
ต้องจำใจจำร้างห่างพธูจงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศกอย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคีนั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำเป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไปจำครรไลโลมลาสุดาดวง
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้องเหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวงแล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุขอย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
สวัสดีมีชียพ้นภัยยันเมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่นถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณกำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานองใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาสใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาลทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
เกินจะพรรณนาเหลือตาดูเครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพันล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จสักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามาทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวงหวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือจดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลันเจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงรายที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จแล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงครามขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวานโหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะพระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดังขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จน้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
สุริยงทรงรถหมดมลทินทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรีท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือนเสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกันเสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
กลามตลอดจอดแพออกแจจนกญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
ดูเรือแพแออัดสงัดหายไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธารหลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสวพวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตราเสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่งลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็งเสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำถวายคำนับน้อมจอมสถาน
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกรานตามบูราณประเพณีที่มีมา
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณาเป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบาแต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพรแล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
ทองคำทำตลับระยับย้อยทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
พระจอมนาถมีพระราชโองการว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับเจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอเสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อยพระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
คนในเรือรับพลางต่างวางพายน้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
เอิกเกริกเร่งมาในสาครเรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่วล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลมฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุลเห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพรประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรงมีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
ชยันโตอวยชัยในนาวาจอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียงบ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมรองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
พระกายไทยใจทหารชาญสงครามพระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับเรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
สังเกตลมพระพายพัดชายธงนิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวาพระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทันเห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือนี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วนนิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามาฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตรเรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไปเรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตารามประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจรก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลันมาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋งฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
พอจวนถึงรอรานาวาคอยเรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับสมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
พระทัยดีมีพระกรุณประจำหยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของสมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสนบ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กันบางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลาฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวนจะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึงนอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิตโอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอมประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่าหัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลายโศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อยพอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
จวนแจ้งแสงศรีสุริยาตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
เสร็จเสพโภชนากระยาหารทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตมด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิตสำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดังจอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียงเรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทรพายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้านก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดมล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพังกระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดงเรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทองพินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยาตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมมีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไปตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาททั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
น้อมจิตคิดตั้งปณิธานเจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมดพระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัยเดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอนคนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับนอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พันเร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกาอนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศกบังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาวไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหยอุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมาเกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาสใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบายุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึกครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียมไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่างลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบายเหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวาเสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครันจ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตาครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกรกำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงยน่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งจอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียงนั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวังดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลันก็เหหันเรือประทับกับตะพาน
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุดบูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานานแต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วามทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหารครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตราจึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททองได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์
มีพระราชศรัทธาปัญญายงเสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอารามประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคนชื่อชุมพลนิกายาราม
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปราซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตามไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน
แล้วเลยทรงสถาปนาการพระวิหารให้คงดำรงดี
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททองดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมีทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระก็เลยละผายผันจิตหรรษา
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวาโห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนีบ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียวปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล
ฝีพายไม่รอรามาตะบึงบรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไปเจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชาน้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญใจเบิกบานยินดีที่สบาย
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่วบ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลายให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิงพอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทาพระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระคารวะขอความตามประสงค์
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรงสิงในองค์พระปฏิมากร
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอนจงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับผู้คนคับสองข้างหว่างถนน
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชนที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับคนที่รับไทยทานประมาณโข
บางคนออกวาจาวราโรรัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อนเรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ละลิ่วมาในวนชลธารบ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ
             

๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปราแวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำเวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสายเหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจรหมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวังมาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชาที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกายเสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียงคอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร
แล้วชักชวนไปวัดมนัสการพระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา
เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียรแล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชาพระมหาที่นั่งในวังจันทร์
ออกจากวังไปยังพระอาวาสนามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ
ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททองเป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความแจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง
เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุดเอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง
วัดสลักหักพังออกนังนุงแต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน
ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน
เสด็จมาบำรุงผดุงการพระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความอยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลังเจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ
จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่องด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวานกรมการเขาว่าตราไม่มี
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสารแจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดีแจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศสักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล
ต่างลงเรือทุกลำประจำพลบ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวังพร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว
นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัวให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ
ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวานโห่ประสานสามลาสง่าเหลือ
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพายบ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ
บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลมเรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส
ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับแดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน
ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยนเหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่านมีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน
เรือกองทัพคับคั่งประดังกันแรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง
ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมดน้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิงอาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือคนที่เหลืออาศัยในวิหาร
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพานเหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศนองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการสุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน
ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ
.
.
.
ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขดสูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน
ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตนขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน
ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผาหนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน
เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดินสะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ
ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลดช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ
ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำแม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก
.
.
.
ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำบ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา
บางแห่งเหลืองสีซ้ำดอกจำปาพื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน
ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาดด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน
บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการบ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา
บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวซักหาวนอนบ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา
บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตาบ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม
บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูดไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม
ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลามตลอดตามสองข้างหนทางจร
อีกอายว่านอายยาในป่าชิดล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน
ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากรกำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล
อายพื้นดินนำพาให้อาพาธวิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน
ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทนจึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ
คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุกช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร
เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซานบ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค
ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้าดูก็น่าสมเพชสังเวชโข
เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง
ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติดพระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง
คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรงบ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง
.
.
.
ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปดได้จำจดผูกพันจนวันกลับ
ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับได้สดับเรื่องหมดจดจำมา
ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพบางคนกลับผูกจิตริษยา
แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทาค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน
.
.
.
             

เชิงอรรถ

ที่มา

นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔

เครื่องมือส่วนตัว