นิราศหนà¸à¸‡à¸„าย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…') |
(→บทประพันธ์) |
||
แถว 7: | แถว 7: | ||
'''ผู้แต่ง:''' [[หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)]] | '''ผู้แต่ง:''' [[หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)]] | ||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
+ | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม | ๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม | ||
แถว 120: | แถว 121: | ||
- | ๏ | + | ๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ เสียงก้องโกลาหลพลสลอน |
+ | เอิกเกริกเร่งมาในสาคร เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม | ||
+ | เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม | ||
+ | ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน | ||
+ | พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน | ||
+ | บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา | ||
+ | ชยันโตอวยชัยในนาวา จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง | ||
+ | พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง | ||
+ | พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม | ||
+ | พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์ | ||
+ | พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง | ||
+ | สังเกตลมพระพายพัดชายธง นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน | ||
+ | เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน | ||
+ | พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ | ||
+ | นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ | ||
+ | สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา | ||
+ | เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา | ||
+ | คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ | ||
+ | โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว | ||
+ | เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน | ||
+ | ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน | ||
+ | พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น | ||
+ | ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย | ||
+ | เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย | ||
+ | พอจวนถึงรอรานาวาคอย เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ | ||
+ | เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ | ||
+ | พระทัยดีมีพระกรุณประจำ หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน | ||
+ | เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน | ||
+ | แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน | ||
+ | บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน | ||
+ | เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน | ||
+ | คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง | ||
+ | ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง | ||
+ | แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม | ||
+ | แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม | ||
+ | ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย | ||
+ | ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย | ||
+ | คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา | ||
+ | แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา | ||
+ | จวนแจ้งแสงศรีสุริยา ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม | ||
+ | เสร็จเสพโภชนากระยาหาร ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม | ||
+ | กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
+ | ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง | ||
+ | ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง | ||
+ | ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา | ||
+ | คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา | ||
+ | คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม | ||
+ | ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม | ||
+ | ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง | ||
+ | ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง | ||
+ | ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง | ||
+ | พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา | ||
+ | รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา | ||
+ | ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย | ||
+ | ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร | ||
+ | ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ | ||
+ | น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี | ||
+ | ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี | ||
+ | ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน | ||
+ | ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน | ||
+ | วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน | ||
+ | เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ | ||
+ | ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา | ||
+ | โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา | ||
+ | จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว | ||
+ | โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว | ||
+ | โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา | ||
+ | ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา | ||
+ | เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา | ||
+ | หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา | ||
+ | กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม | ||
+ | ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม | ||
+ | คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย | ||
+ | พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย | ||
+ | พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน | ||
+ | พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
+ | ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา | ||
+ | เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา | ||
+ | แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย | ||
+ | เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง | ||
+ | ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล | ||
+ | แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ | ||
+ | ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน | ||
+ | เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร | ||
+ | ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ | ||
+ | ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม | ||
+ | แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา | ||
+ | จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา | ||
+ | ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์ | ||
+ | ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์ | ||
+ | มีพระราชศรัทธาปัญญายง เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล | ||
+ | เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล | ||
+ | เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน ชื่อชุมพลนิกายาราม | ||
+ | ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม | ||
+ | โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม ไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ | ||
+ | ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน | ||
+ | แล้วเลยทรงสถาปนาการ พระวิหารให้คงดำรงดี | ||
+ | แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี | ||
+ | ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา | ||
+ | ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ ก็เลยละผายผันจิตหรรษา | ||
+ | เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว | ||
+ | เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว | ||
+ | เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล | ||
+ | ฝีพายไม่รอรามาตะบึง บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ | ||
+ | แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน | ||
+ | ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน | ||
+ | พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ ใจเบิกบานยินดีที่สบาย | ||
+ | วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา | ||
+ | รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา | ||
+ | เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง | ||
+ | จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ คารวะขอความตามประสงค์ | ||
+ | ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง สิงในองค์พระปฏิมากร | ||
+ | จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน | ||
+ | ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน | ||
+ | เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน | ||
+ | ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ | ||
+ | แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ คนที่รับไทยทานประมาณโข | ||
+ | บางคนออกวาจาวราโร รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล | ||
+ | เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน | ||
+ | ละลิ่วมาในวนชลธาร บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | ==== ==== | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | ๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ | ||
+ | เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน | ||
+ | ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา | ||
+ | ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา | ||
+ | คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง | ||
+ | เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง | ||
+ | ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร | ||
+ | แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา | ||
+ | เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
+ | จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ | ||
+ | ออกจากวังไปยังพระอาวาส นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน | ||
+ | ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ | ||
+ | ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม | ||
+ | ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง | ||
+ | เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง | ||
+ | วัดสลักหักพังออกนังนุง แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน | ||
+ | ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน | ||
+ | เสด็จมาบำรุงผดุงการ พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม | ||
+ | เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม | ||
+ | ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง | ||
+ | บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง | ||
+ | ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ | ||
+ | จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร | ||
+ | เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน กรมการเขาว่าตราไม่มี | ||
+ | ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี | ||
+ | ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล | ||
+ | ต่างลงเรือทุกลำประจำพล บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว | ||
+ | เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว | ||
+ | นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ | ||
+ | ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ | ||
+ | ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย | ||
+ | ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ | ||
+ | บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส | ||
+ | ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน | ||
+ | เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน | ||
+ | ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน | ||
+ | เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง | ||
+ | ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง | ||
+ | ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ | ||
+ | พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ คนที่เหลืออาศัยในวิหาร | ||
+ | อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน | ||
+ | แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน | ||
+ | เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน | ||
+ | ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ | ||
+ | กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน | ||
+ | ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น | ||
+ | กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ | ||
. | . | ||
. | . | ||
แถว 162: | แถว 367: | ||
. | . | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | |||
== เชิงอรรถ == | == เชิงอรรถ == | ||
== ที่มา == | == ที่มา == | ||
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔ | นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔ |
การปรับปรุง เมื่อ 12:45, 22 กันยายน 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)
บทประพันธ์
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม | ||
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง | ||
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง | ||
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา | ||
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า | ||
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ | ||
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน | ||
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน | ||
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน | ||
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร | ||
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย | ||
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย | ||
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน | ||
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน | ||
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย | ||
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย | ||
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง | ||
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง | ||
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี | ||
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี | ||
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ | ||
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | หวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร | ||
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ | ||
กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน | ||
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน | ||
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน | ||
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ | ||
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล | ||
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู | ||
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู | ||
ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี | ||
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี | ||
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ | ||
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่ | ||
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | จำครรไลโลมลาสุดาดวง | ||
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง | ||
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน | ||
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน | ||
สวัสดีมีชียพ้นภัยยัน | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน | ||
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน | ||
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง | ||
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ | ||
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม | ||
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม | ||
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ | ||
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร | ||
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู | ||
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู | ||
เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | เครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน | ||
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน | ||
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา | ||
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า | ||
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ | ||
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวง | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร | ||
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ | ||
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ | ||
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ | ||
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน | ||
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย | ||
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย | ||
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม | ||
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม | ||
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล | ||
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน | ||
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง | ||
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์ | ||
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ | ||
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย | ||
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน | ||
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล | ||
สุริยงทรงรถหมดมลทิน | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี | ||
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี | ||
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน | ||
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน | ||
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล | ||
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน | ||
กลามตลอดจอดแพออกแจจน | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ | ||
ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน | ||
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ | ||
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา | ||
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง | ||
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง | ||
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน | ||
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน | ||
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | ตามบูราณประเพณีที่มีมา | ||
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา | ||
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา | ||
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา | ||
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์ | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร | ||
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน | ||
ทองคำทำตลับระยับย้อย | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน | ||
พระจอมนาถมีพระราชโองการ | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ | ||
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ | ||
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย | ||
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย | ||
คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ | ||
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน | ||
เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม | ||
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม | ||
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน | ||
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน | ||
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ | ||
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา | ||
ชยันโตอวยชัยในนาวา | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง | ||
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง | ||
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม | ||
พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์ | ||
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง | ||
สังเกตลมพระพายพัดชายธง | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน | ||
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน | ||
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ | ||
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ | ||
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา | ||
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา | ||
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ | ||
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว | ||
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ | ||
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน | ||
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน | ||
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น | ||
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย | ||
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย | ||
พอจวนถึงรอรานาวาคอย | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ | ||
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ | ||
พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน | ||
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน | ||
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ | ||
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน | ||
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน | ||
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน | ||
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง | ||
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง | ||
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม | ||
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม | ||
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย | ||
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย | ||
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา | ||
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา | ||
จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม | ||
เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม | ||
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ | ||
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง | ||
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง | ||
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา | ||
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา | ||
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม | ||
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม | ||
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง | ||
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง | ||
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ | ||
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง | ||
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา | ||
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา | ||
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย | ||
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร | ||
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ | ||
น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี | ||
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี | ||
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน | ||
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน | ||
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน | ||
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ | ||
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา | ||
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา | ||
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว | ||
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว | ||
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา | ||
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา | ||
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา | ||
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา | ||
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม | ||
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม | ||
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย | ||
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย | ||
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน | ||
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา | ||
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา | ||
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ | ||
๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร | กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย | ||
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย | น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง | ||
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง | นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล | ||
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง | ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ | ||
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน | ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน | ||
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด | บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร | ||
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน | แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ | ||
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ | ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม | ||
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม | ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา | ||
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร | ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา | ||
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา | จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์ | ||
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง | ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์ | ||
มีพระราชศรัทธาปัญญายง | เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล | ||
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม | ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล | ||
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน | ชื่อชุมพลนิกายาราม | ||
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา | ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม | ||
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม | ไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ | ||
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน | ||
แล้วเลยทรงสถาปนาการ | พระวิหารให้คงดำรงดี | ||
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง | ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี | ||
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี | ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ | ก็เลยละผายผันจิตหรรษา | ||
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา | โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว | ||
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี | บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว | ||
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว | ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล | ||
ฝีพายไม่รอรามาตะบึง | บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ | ||
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป | เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน | ||
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา | น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน | ||
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ | ใจเบิกบานยินดีที่สบาย | ||
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว | บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย | ||
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย | ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา | ||
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง | พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา | ||
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา | พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง | ||
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ | คารวะขอความตามประสงค์ | ||
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง | สิงในองค์พระปฏิมากร | ||
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ | ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน | ||
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน | จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน | ||
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน | ||
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน | ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ | ||
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ | คนที่รับไทยทานประมาณโข | ||
บางคนออกวาจาวราโร | รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล | ||
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน | เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน | ||
ละลิ่วมาในวนชลธาร | บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ | ||
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา | แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ | ||
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย | เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน | ||
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร | หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา | ||
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง | มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา | ||
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง | ||
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง | คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร | ||
แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ | พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา | ||
เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร | แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา | พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ | ||
ออกจากวังไปยังพระอาวาส | นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน | ||
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ | ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ | ||
ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง | เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม | ||
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ | แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง | ||
เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด | เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง | ||
วัดสลักหักพังออกนังนุง | แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน | ||
ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน | ||
เสด็จมาบำรุงผดุงการ | พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม | ||
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม | ||
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ | อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง | ||
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ | ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง | ||
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง | เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ | ||
จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง | ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร | ||
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน | กรมการเขาว่าตราไม่มี | ||
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร | แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี | ||
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี | แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ | ||
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ | สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล | ||
ต่างลงเรือทุกลำประจำพล | บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว | ||
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง | พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว | ||
นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว | ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ | ||
ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน | โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ | ||
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ | ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ | ||
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ | ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย | ||
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย | บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ | ||
บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม | เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส | ||
ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ | ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน | ||
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ | แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน | ||
ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน | เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ | ||
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน | มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน | ||
เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน | แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง | ||
ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด | น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง | ||
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง | อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ | ||
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ | คนที่เหลืออาศัยในวิหาร | ||
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน | เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน | ||
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ | นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน | ||
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ | เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน | ||
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ | ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ | ||
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ | สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน | ||
ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ | ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น | ||
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ | โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด | สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน | ||
ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน | ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน | ||
ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา | หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน | ||
เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน | สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ | ||
ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด | ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ | ||
ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำ | แม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ | บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา | ||
บางแห่งเหลืองสีซ้ำดอกจำปา | พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน | ||
ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด | ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน | ||
บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ | บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา | ||
บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวซักหาวนอน | บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา | ||
บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา | บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม | ||
บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด | ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม | ||
ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม | ตลอดตามสองข้างหนทางจร | ||
อีกอายว่านอายยาในป่าชิด | ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน | ||
ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากร | กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล | ||
อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ | วิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน | ||
ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทน | จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ | ||
คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก | ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร | ||
เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน | บ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค | ||
ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า | ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข | ||
เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ | ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง | ||
ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด | พระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง | ||
คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง | บ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด | ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ | ||
ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ | ได้สดับเรื่องหมดจดจำมา | ||
ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ | บางคนกลับผูกจิตริษยา | ||
แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา | ค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔