บทเสภาเรื่à¸à¸‡à¸‚ุนช้างขุนà¹à¸œà¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→ตอนที่ ๓๓) |
(→ตอนที่ ๓๔) |
||
แถว 6,033: | แถว 6,033: | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
- | === ตอนที่ ๓๔ === | + | === ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ=== |
+ | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
- | ๏ | + | ๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ ปิ่นปักหลักโลกนาถา |
+ | สถิตเหนือพระแท่นแว่นฟ้า พอสุริยาเร่งรถขึ้นเรืองรอง | ||
+ | ถึงเวลาพระก็ฟื้นตื่นไสยาสน์ ลงจากอาสน์เสด็จออกนอกห้อง | ||
+ | นางในถ้วนหน้าข้าทูลละออง หมอบชม้อยคอยจ้องประจำงาน | ||
+ | พระชำระสระสรงทรงสุคนธ์ ปรุงปนประทิ่นกลิ่นหอมหวาน | ||
+ | ทรงพระแสงเนาวรัตน์ชัชวาล พระภูบาลออกท้องพระโรงเรือง | ||
+ | ประทับพระที่นั่งบัลลังอาสน์ อำมาตย์หมอบนอบน้อมประนมเนื่อง | ||
+ | ตรัสประภาษราชการบ้านเมือง แล้วชำเลืองมาข้างเหล่ามหาดชา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นขุนช้างเห็นว่างจังหวะ ขอเดชะฝ่าพระบาทปกเกศา | ||
+ | ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา แต่เกล้ากระหม่อมเป็นข้าฝ่าละออง | ||
+ | อยู่ในมหาดชากว่าแปดปี แต่หวายเปรียะยังไม่มีได้ถูกต้อง | ||
+ | บัดนี้จมื่นไวยใจคะนอง ทุบถองกระหม่อมฉันแทบบรรลัย | ||
+ | แต่ต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย ถึงเจ้านายของมึงหากกลัวไม่ | ||
+ | บ่าวไพร่กว่าร้อยต่อยร่ำไป พวกขุนนางขวางไว้จึงไม่ตาย | ||
+ | เมื่อขณะทุบถองร้องด่าว่า ก็ต่อหน้าขุนนางสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | ได้ห้ามปรามรู้เห็นเป็นมากมาย แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวี ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม ได้ทรงฟังถ้อยคำขุนช้างว่า | ||
+ | พระนิ่งนึกตรึกความตามกิจจา ข้อที่ว่าทุบตีทีจะจริง | ||
+ | อันจะร้องท้าทายถึงนายเจ้า มันจะเสกใส่เอาให้ใหญ่ยิ่ง | ||
+ | เหตุที่เกิดความยุ่งขึ้นนุงนิง เพราะอ้ายนี่ถือหยิ่งว่าพ่อเลี้ยง | ||
+ | ครั้นเต็มเมาเข้าจะว่ามันหยาบคาย อ้ายไวยอายจึงทะเลาะเบาะถียง | ||
+ | เกินกันแต่ละน้อยค่อยเลียบเคียง ครั้นด่ามันมันก็เหวี่ยงเอาสาใจ | ||
+ | แม้นจะนิ่งความไว้ไม่ไต่ถาม อ้ายหมื่นไวยก็จะหยามขึ้นหยาบใหญ่ | ||
+ | จะถือว่าเจ้ารักแล้วหนักไป โกรธใครก็จะพาลพาโล | ||
+ | พระตริเสร็จตรัสสั่งตำรวจใน ไปหาตัวจมื่นไวยเข้ามานี่ | ||
+ | ตำรวจรับสั่งวิ่งเป็นสิงคลี ครั้นถึงที่บ้านนอกบอกพระไวย | ||
+ | รับสั่งให้หาไปในบัดนี้ ขุนช้างทูลคดีเป็นความใหญ่ | ||
+ | พระไวยแจ้งกิจจาเรียกข้าไท ลงบันไดเดินเหย่าเข้าวังพลัน | ||
+ | นุ่งสมปักลนลานเป็นการเร็ว เอาผ้ากราบคาดเอวขมีขมัน | ||
+ | เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ บังคมคัลคอยฟังพระโองการ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระปิ่นนรินทร์ราช มีพระสิงหนาทอยู่ฉาดฉาน | ||
+ | เหวยอ้ายไวยอย่างไรเมื่อทำงาน จึงฮึกหาญข่มเหงอ้ายขุนช้าง | ||
+ | เตะต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย จ้วงจาบเจ้านายได้ทุกอย่าง | ||
+ | ใครเล่าเป็นเจ้านายของอ้ายช้าง เอ็งอ้างว่าไม่กลัวคือตัวใคร | ||
+ | พวกขุนน้ำขุนนางเข้ากางกั้น แต่กระนั้นมึงยังหาฟังไม่ | ||
+ | ถีบถองต่อยชกตกบันได จริงเท็จเป็นกระไรให้ว่ามา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระไวยทูลตามข้อขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา | ||
+ | ซึ่งขุนช้างกราบทูลพระกรุณา เสกแสร้งแกล้งว่าเอาแต่ดี | ||
+ | ที่ข้อว่าหยาบช้าเป็นสาหัส แม้นเป็นสัตย์จงประหารให้เป็นผี | ||
+ | ขุนช้างไปช่วยงานเมื่อวานนี้ รับประทานอาหนีเข้าตึงตน | ||
+ | กล่าวคำหยาบช้าสารพัน กระหม่อมฉันห้ามปรามเป็นหลายหน | ||
+ | เข้ายุดหยอกมารดาต่อหน้าคน เหลือทนแล้วจึงได้วิวาทกัน | ||
+ | โป้งโหยงหยาบคายเป็นหลายข้อ ด่าทอถอดชื่อกระหม่อมฉัน | ||
+ | เต็มอายต่อหน้าธารกำนัล แล้วเสกสรรลำเลิกโพนทะนา | ||
+ | เมื่อครั้งนั้นกระหม่อมฉันได้เจ็ดปี ขุนช้างพาไปฆ่าตีที่ในป่า | ||
+ | จนสลบซบอยู่กับพสุธา กลัวมิตายหมายว่าจะไม่ลับ | ||
+ | ทั้งสลบตบต่อยปะเตะปะตะ แสบศีรษะซ้ำเอาไม้ซีกสับ | ||
+ | ลากตัวไปในรกยกขอนทับ แล้วขุนช้างวางกลับไปบ้านตน | ||
+ | เดชะบุญกระหม่อมฉันไม่บรรลัย ฟื้นได้ซานมาหาชีต้น | ||
+ | ซ่อนตัวอยู่กับท่านอาจารย์นน มิให้คนเห็นตัวด้วยกลัวตาย | ||
+ | เมื่อวานนี้อ้ายขุนช้างอ้างความหลัง พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | กระหม่อมฉันบอกกล่าวทั้งไพร่นาย แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ ฟังจบที่พระไวยให้การว่า | ||
+ | ข้างต้นความดูเห็นเป็นอาญา แต่ข้างปลายกลายมานครบาล | ||
+ | จำเลยแก้เป็นฉกรรจ์มหันตโทษ จำจะซักข้างโจทย์ให้แตกฉาน | ||
+ | เฮ้ยขุนช้างหมื่นไวยมันให้การ ว่าประมาณอายุสักเจ็ดปี | ||
+ | มึงแกล้งชวนเอาไปในป่าใหญ่ เอาขอนทับไว้แล้วแล่นหนี | ||
+ | มันสู้นิ่งความมากว่าแปดปี จนวานนี้เอ็งว่าต่อหน้าคน | ||
+ | ข้อหยาบช้าสาหัสเขาปฏิเสธ เกิดวิวาทขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นต้น | ||
+ | มันบอกกล่าวเล่าทุกตัวตน นี่แน่ะเฮ้ยเหตุผลเป็นอย่างไร ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ขุนช้างได้ฟังรับสั่งถาม เห็นว่าความเก่าเกิดก็หวั่นไหว | ||
+ | ด้วยจริงใจในอกก็ตกใจ เหงื่อไหลโซมตัวกลัวอาญา | ||
+ | แข็งใจกราบทูลไปทันที พระบารมีปกเกล้าเหนือเกศา | ||
+ | ซึ่งพระไวยกราบทูลพระกรุณา ล้วนเสกแสร้งแกล้งว่าใช่ความจริง | ||
+ | ซึ่งจะได้ตีฆ่าหามิได้ แกล้งกล่าวเสกใส่ให้ใหญ่ยิ่ง | ||
+ | ถ้าฆ่าตีก็จะมีที่อ้างอิง ไยจึงนิ่งความไว้ไม่กราบทูล | ||
+ | ครั้นเกล้ากระหม่อมฟ้องหาว่าต่อยตบ แกล้งจะกลบความร้ายให้หายสูญ | ||
+ | จึงเสกแสร้งใส่เอาเป็นเค้ามูล เอาความเท็จเพ็ดทูลแต่โดยเดา | ||
+ | กระหม่อมฉันจะได้ว่าหามิได้ พระหมื่นไวยยุแยงแกล้งมอมเหล้า | ||
+ | ล่อให้พูดจาประสาเมา แล้วเอาความร้ายมาป้ายทา | ||
+ | อันที่ท้าถึงเจ้ากล่าวสาหัส แม้นมิสัตย์ขอพระองค์ลงโทษา | ||
+ | ถ้าแม้นไม่จริงจังดังเจรจา รับพระราชอาญาจนบรรลัย ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระองค์ทรงภพตบพระเพลา กูจะเอาความจริงให้จงได้ | ||
+ | เฮ้ยขุนนางข้าเฝ้าอย่าเข้าใคร บรรดาไปช่วยงานเมื่อวานนี้ | ||
+ | ใครรู้เห็นเป็นอย่างไรให้เร่งว่า อย่าเห็นแก่หน้าขุนนางแลเศรษฐี | ||
+ | ขุนช้างว่าหมื่นไวยไล่ทุบตี พาทีถึงเจ้ากล่าวหยาบคาย | ||
+ | ข้างหมื่นไวยว่าขุนช้างอ้างความหลัง พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | เมื่อเล็กเล็กเอาไปล้างให้วางวาย บุญตัวไม่ตายจึงรอดมา | ||
+ | เมื่อขุนช้างอ้างว่าฆ่าหมื่นไวย เต็มเมาหรือไม่สู้หนักหนา | ||
+ | อย่าได้เข้าข้างใครให้เจรจา จงเร่งว่าอย่าได้เห็นกับบุคคล ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ บรรดาข้าเฝ้าเหล่าไปงาน จึงกราบทูลพระโองการตามเหตุผล | ||
+ | กระหม่อมฉันจำไว้ได้ทุกคน เป็นต้นด้วยขุนช้างไปช่วยงาน | ||
+ | รับพระราชทานเหล้าจนเมามาย แล้ววุ่นวายว่ากล่าวห้าวหาญ | ||
+ | ขึ้นตั้งท่าอวดตนว่าหนุมาน แล้วพูดจาเกี้ยวพานถึงวันทอง | ||
+ | พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง จึงตึงตังต่อยตีกันมี่ก้อง | ||
+ | ขุนช้างโป้งปากหากคะนอง ร้องลำเลิกความหลังออกคลั่งไป | ||
+ | ว่าเมื่อพระไวยอยู่กับมารดา ขุนช้างเอาไปฆ่าในป่าใหญ่ | ||
+ | เอาไม้ซีกสับลงที่ตรงไร เอาขอนทุ่มทับไว้จะให้ตาย | ||
+ | พระไวยขัดใจก็เรียกบ่าว มี่ฉาวชกซ้ำล้มคว่ำหงาย | ||
+ | ซึ่งจะท้าว่ากล่าวถึงเจ้านาย กระหม่อมฉันทั้งหลายไม่ได้ยิน | ||
+ | แต่ขุนช้างกินเหล้าเมาเต็มประดา จนเปลื้องผ้าจากกายความอายสิ้น | ||
+ | ไม่เข้าใครใส่กลเป็นมลทิน พระภูมินทร์จงทราบพระบาทา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม พิเคราะห์คำให้การพยานว่า | ||
+ | วินิจฉัยไปด้วยพระปรีชา ซึ่งข้อที่หยาบช้านั้นสำคัญ | ||
+ | ความโจทย์กล่าวหาเป็นสาหัส แม้นเป็นสัตย์ก็โทษถึงอาสัญ | ||
+ | ถ้าไม่เป็นสัตย์โทษโจทย์เหมือนกัน อีกข้อนั้นซึ่งหาว่าฆ่าตี | ||
+ | ถ้าแพ้กับทัณฑ์บนจนกับพยาน ผู้ทำผิดต้องประหารให้เป็นผี | ||
+ | แต่หากเบาด้วยเมาอยู่เต็มที ไม่รู้สึกสมประดีก็ว่าไป | ||
+ | จำจะซักหมื่นไวยให้กระจ่าง จะเอาโทษขุนช้างยังไม่ได้ | ||
+ | จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย เมื่อแรกไอ้ขุนช้างมันฆ่าตี | ||
+ | ไยจึงนิ่งความไม่กล่าวหา พึ่งมาว่าเมื่อเขาฟ้องไม่ต้องที่ | ||
+ | ที่ป่าไหนมันฆ่าว่าให้ดี มีผู้รู้เห็นบ้างหรืออย่างไร ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ขอเดชะปกเกล้าปกกระหม่อม ด้วยยังย่อมเมื่อเขาทำจำไม่ได้ | ||
+ | รู้แต่ว่าป่าหลังสุพรรณไป ครั้นจะอ้างก็ไม่มีใครมา | ||
+ | จะร้องก็ไม่ได้ไกลบ้านคน ครั้นจะหนีก็ไม่พ้นเป็นกลางป่า | ||
+ | เดชะบุญปลดปลอดรอดชีวา จะไปร้องฟ้องหาก็เด็กนัก | ||
+ | ไม่รู้ว่ารั้วแขวงกรมการ โรงศาลอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก | ||
+ | จึงมิได้ว่าขานมานานนัก จนอารักษ์ดลใจให้พาที | ||
+ | จะอ้างอิงนั้นไม่ได้เป็นในป่า เหลือปัญญาขอพิสูจน์ไปตามที่ | ||
+ | ถ้าแม้นแพ้แก่สัตย์ดำนัทที ขอถวายชีวีพระทรงธรรม์ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณิน ได้ฟังสิ้นถ้อยคำหมื่นไวยนั่น | ||
+ | จึงมีสีหนาทประภาษพลัน อ้ายไวยนั้นมันว่าก็ชอบกล | ||
+ | แล้วตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง มึงอย่าพลางเล่าไขไปแต่ต้น | ||
+ | ถ้าแม้นว่าทำผิดคิดผ่อนปรน อย่าอั้นอ้นบอกให้หมดอย่าปดกู ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ขุนช้างฟังพระองค์ทรงถามซัก เป็นทุกข์หนักมือประนมก้มหน้าอยู่ | ||
+ | เหงื่อไหลหน้าหลังลงพรั่งพรู เป็นครู่จึงทูลพระกรุณา | ||
+ | ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท องค์พระหริราชนาถา | ||
+ | ซึ่งถ้อยคำจมื่นไวยใช่สัจจา เสกแสร้งใส่ว่าสารพัน | ||
+ | ที่จะได้ตีรันนั้นหามิได้ กล่าวพอให้กลบความกระหม่อมฉัน | ||
+ | ขุนนางเข้ากับพระไวยไปทั้งนั้น เพราะเป็นพวกเดียวกันกับพระนาย | ||
+ | กระหม่อมฉันจนใจไร้พวกพ้อง ได้อยู่ก็แต่ต้องพิสูจน์ถวาย | ||
+ | ถ้าแม้นแพ้จงล้างให้วางวาย กระหม่อมฉันขอถวายซึ่งชีวี ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงชัย วินิจฉัยในสำนวนถ้วนถี่ | ||
+ | อ้ายขุนช้างเอามุสามาพาที ในคดีพิรุธทุกประการ | ||
+ | แต่พยานร่วมกันยังติดใจ ผิดวิสัยความหลวงกระทรวงศาล | ||
+ | เดี๋ยวนี้แพ้ทัณฑ์บนจนพยาน อ้างเองยังกลับค้านทุกคนไป | ||
+ | ถึงจะพูดจาประสาเมา ก็จัดเอาเป็นข้อพิรุธได้ | ||
+ | ถ้าสั่งกรมเมืองให้ติดไม้ ครู่เดียวก็จะได้เท็จจริงกัน | ||
+ | แต่ครั้งนี้อ้ายไวยสิโปรดปราน ไพร่บ้านพลเมืองก็ลือลั่น | ||
+ | จะเป็นเข้ากับอ้ายไวยใส่ความมัน จริงเท็จทั้งนั้นใครจะรู้ | ||
+ | จำจะต้องพิสูจน์ตามกระบวน ให้มันสิ้นสำนวนที่ต่อสู้ | ||
+ | เท็จจริงข้างใครให้คนดู ตัวกูจึงจะพ้นคนนินทา | ||
+ | จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง มึงอ้างข้าราชการก็พร้อมหน้า | ||
+ | กูได้ถามความข้อว่าหยาบช้า พวกขุนนางต่างว่าไม่ได้ยิน | ||
+ | อันความฉกรรจ์มหันตโทษ พยานโจทย์กลับเจือจำเลยสิ้น | ||
+ | ครั้นอ้างเขาไม่รับก็กลับลิ้น ปลิ้นไปติดใจค้านพยานตัว | ||
+ | กูเห็นแน่แท้เท็จสิ้นทั้งหมด ถ้าใส่บทแล้วก็โทษถึงตัดหัว | ||
+ | ข้อหยาบช้ามึงมุสาไม่เกรงกลัว แล้วทำชั่วถอดชื่ออ้ายหมื่นไวย | ||
+ | ข้อหาว่าทุบตีข้อนี้รับ ที่ถอดชื่อพอจะปรับกันลงได้ | ||
+ | ข้อหยาบช้าโทษมึงถึงบรรลัย จะยกโทษให้ไอ้ขุนช้าง | ||
+ | แต่ข้อหาฆ่าฟันนั้นลับนาน ไม่มีพยานขอพิสูจน์ทั้งสองข้าง | ||
+ | ยังไม่แน่ข้างหมื่นไวยหรืออ้ายช้าง มิพิสูจน์ไม่กระจ่างซึ่งกิจจา | ||
+ | ปรึกษาเสร็จตรัสสั่งสี่พระครู ไปดูให้โจทย์จำเลยมันจัดหา | ||
+ | เครื่องสำหรับดำน้ำให้ทำมา ไปปักหลักลงที่หน้าตำหนักแพ | ||
+ | เข้ามณฑลกันวันพรุ่งนี้ จนถึงที่วันดำน้ำเจ็ดค่ำแน่ | ||
+ | ให้กำกับกันอยู่คอยดูแล ให้พร้อมแต่เวลาบ่ายโมงปลาย | ||
+ | พนักงานกรมไหนให้ไปดู พระครูจัดแจงแต่งบัตรหมาย | ||
+ | คุมตัวไว้ในวังทั้งสองนาย พระสั่งเสร็จผันผายเข้าข้างใน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระครูผู้รับสั่ง ออกมานั่งยังที่ทิมดาบใหญ่ | ||
+ | จัดแจงแต่งหมายแยกย้ายไป สั่งให้เรียกหลักนครบาล | ||
+ | ให้ทำมะรงสำรองไว้สองหลัก แล้วปักมณฑลและทำศาล | ||
+ | เสมียนเขียนฟ้องคำให้การ สุภาการให้อยู่ดูเป็นกลาง | ||
+ | มิให้ส่งข้าวปลามาแต่บ้าน ขุนศาลหาให้กินทั้งสองข้าง | ||
+ | ให้โจทก์จำเลยหาผ้าขาวบาง มาปูกลางศาลทั้งสองรองบัตรพลี | ||
+ | หมากพลูใส่กระทงประจงเจียน ทั้งธูปเทียนดอกไม้บายศรี | ||
+ | เครื่องตั้งสังเวยกรุงพาลี มีมะกรูดส้มป่อยกระแจะจันทน์ | ||
+ | ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มพรมลาด เสื่อสาดสายสิญจน์ให้จัดสรร | ||
+ | หม้อข้าวหม้อแกงใหม่และหม้อกรัณฑ์ กระโถนขันน้ำตั้งทั้งกระแซง | ||
+ | กระติกเหล้าข้าวสารเชิงกรานใหม่ ข่าตระไคร้หอมกระเทียมพริกแห้ง | ||
+ | ครกสากคนใช้ไก่พะแนง ทั้งสองแห่งจัดหาให้เหมือนกัน | ||
+ | ขุนช้างกับพระไวยได้บัญชา ก็รีบสั่งบ่าวข้าขมีขมัน | ||
+ | บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน ถ้วนจบครบครันดังบัญชา | ||
+ | เข้ามณฑลเสร็จถึงเจ็ดค่ำ นักการทำไม้หลักไปปักท่า | ||
+ | ที่ตำหนักแพโถงโรงนาวา ทำมะรงหาฆ้องไว้คอยตี | ||
+ | คำสาบานแช่งชักอาลักษณ์อ่าน ตระลาการอ่านสำนวนถ้วนถี่ | ||
+ | เอาเชือกผูกเอวไว้ให้ดิบดี ประจำที่คอยท่าเสด็จมา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พวกชายหญิงวิ่งพรูดูดำน้ำ ทั้งสาวหนุ่มกลุ้มกล้ำมาหนักหนา | ||
+ | ผู้ใหญ่เด็กเจ๊กฝรั่งทั้งละว้า แขกข่ามอญลาวมี่ฉาวไป | ||
+ | นางสาวสาวอยู่ในเรือนเห็นเพื่อนอึง ลุกทะลึ่งออกมาไม่ช้าได้ | ||
+ | ชวนเพื่อนเตือนกันให้รีบไป ดูพระไวยกับขุนช้างดำน้ำกัน | ||
+ | ที่เฒ่าแก่อยากดูไม่อยู่บ้าน อุ้มลูกจูงหลานเป็นจ้าละหวั่น | ||
+ | ที่โรงเรือเหลือหลามคนครามครัน ยัดเยียดเบียดกันอยู่วุ่นวาย | ||
+ | พวกท้าวนาวในวังทั้งปวง โขลนจ่าข้าหลวงสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | รู้ว่าขุนช้างกับพระนาย เวลาบ่ายวันนี้จะดำน้ำ | ||
+ | ต่างอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว หวีหัวนุ่งห่มให้คมขำ | ||
+ | บ้างหาหมากใส่ซองสองสามคำ บ้างชักนำเพื่อนฝูงจูงมือมา | ||
+ | ถึงที่ตำหนักแพแออัด เบียดเสียดเยียดยัดกันหนักหนา | ||
+ | ออกเพียบแพแซ่ซ้องท้องคงคา คอยท่าว่าเมื่อไหร่จะได้ดำ | ||
+ | ข้างพวกคนเหล่าเป็นชาวเรือ ทั้งใต้เหนือตลอดจอดออกส่ำ | ||
+ | เรือเล็กเล็กน้อยน้อยออกลอยลำ แน่นแม่น้ำเซ็งแซ่อยู่แจจัน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ จะกล่าวถึงสมเด็จพระพันวษา ปิ่นปักอยุธยามหาสวรรค์ | ||
+ | เนาในปราสาทแก้วอันแพรวพรรณ ฝูงกำนัลนบนอบหมอบแน่นไป | ||
+ | ทรงพระราชดำริตริตรึก ระลึกถึงพลายงามเป็นความใหญ่ | ||
+ | ดำน้ำกับขุนช้างจะอย่างงไร จนบ่ายได้เวลาสามโมงปลาย | ||
+ | จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองเนาวรัตน์จำรัสฉาย | ||
+ | ทรงพระแสงกุดั่นพรรณราย ผันผายจากที่มนเทียรทอง | ||
+ | ขึ้นเกยลาทรงมหายานุมาศ พร้อมอำมาตย์ราชกระวีมี่ก้อง | ||
+ | ประโคมแตรสังข์ประดังกลอง มาตามท้องฉนวนลงซึ่งคงคา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นถึงจึงเสด็จขึ้นบนอาสน์ หมู่อำมาตย์บังคมก้มหน้า | ||
+ | ตำรวจใหญ่ลงในเรือกัญญา ทอดทุ่นกระสุนง่าว่าห้ามคน | ||
+ | ทำมะรงลงเรือขึ้นเหนือน้ำ หลายลำขึ้นล่องออกสับสน | ||
+ | สิ่งอันใดลอยตายในชายชล ก็เสือกไสให้พ้นใส่แผ้วพาน | ||
+ | พระผู้จอมนรินทร์ปิ่นธรณี พระจึงมีพระราชบรรหาร | ||
+ | ไปบอกพระครูหวาอย่าช้านาน เวลากาลจะอัสดงให้ลงดำ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระครูผู้รับสั่งก็บังคับ ตามตำรับอัยการโบราณร่ำ | ||
+ | พระหมื่นไวยให้ขึ้นข้างเหนือน้ำ ขุนช้างดำฝ่ายใต้ให้สมควร | ||
+ | เดิมขุนช้างเป็นโจทย์ก็จริงแล แต่ไต่ถามคดีกันถี่ถ้วน | ||
+ | เป็นสัตย์รับรองท้องสำนวน ข้อพิสูจน์นี้เป็นส่วนของพระไวย | ||
+ | กับอนึ่งซึ่งเขาเป็นขุนนาง ขุนช้างต้องดำข้างฝ่ายใต้ | ||
+ | ปรึกษาเห็นพร้อมกันในทันใด แล้วจึงคุมออกไปนอกมณฑล | ||
+ | พาดำเนินย่างย่องทั้งสองนาย ผู้คุมรายกำกับอยู่สับสน | ||
+ | ชำระตัวสระหัวทั้งสองคน ชนไก่แล้วก็ลงในคงคา | ||
+ | ผู้คุมกุมยึดหางเชือกไว้ จับลำไม้ไผ่คอยพาดบ่า | ||
+ | ทั่ริมฝั่งตั้งขันนาฬิกา ทำมะรงตั้งท่าเข้าข่มคอ | ||
+ | ตีฆ้องโหม่งดำลงทั้งสองข้าง พอขุนช้างดำมุดก็ผุดฝอ | ||
+ | ผู้คุมเอาโซ่ใหญ่เข้าใส่คอ พวกคนดูด่าทอออกเพรียกมา | ||
+ | พวกผู้คุมกลุ้มฉุดไม่ละวาง ขุนช้างร้องโปรดก่อนพุทธเจ้าข้า | ||
+ | พระไวยคนนี้มีวิชา เป่าซ้ำทำมาให้ต้องตน | ||
+ | ฤทธิเดชพระเวทเข้าจับใจ ทนไม่ไหวหัวพองสยองขน | ||
+ | เอาจำเลยขึ้นเหนือน้ำดำข้างบน เป่ามนตร์ลงมาข้าติดใจ ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | ==== ==== | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | ๏ พระองค์ทรงฟังขุนช้างว่า ชะต้าอ้ายเจ้าสำนวนใหญ่ | ||
+ | แพ้เขาเฝ้าว่าโว้เว้ไป กลับพาโลว่าอ้ายไวยใช้เวทมนตร์ | ||
+ | อ้ายสิ้นคิดมันก็บิดเอาซึ่งหน้า มันแกล้งว่าจะให้ซ้ำดำอีกหน | ||
+ | อ้ายโกหกแผ่นดินลิ้นกะลาวน ชอบแต่เฆี่ยนเสียให้ป่นคนเช่นนี้ | ||
+ | แต่ซึ่งว่าให้จำเลยขึ้นเหนือน้ำ ถ้อยคำมันร้องนั้นต้องที่ | ||
+ | จะตัดสินก็ไม่สิ้นซึ่งราคี ด้วยคดีเกิดขึ้นเพราะตัวมัน | ||
+ | ให้มันขึ้นเหนือน้ำดำอีกที จงจัดแจงเดี๋ยวนี้ขมีขมัน | ||
+ | ถ้าแพ้เขาอีกครั้งอย่าฟังกัน เอาไปฟันเสียบเสียให้สาใจ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระครูรับพระโองการลนลานมา อย่าช้านายช้างมาดำใหม่ | ||
+ | เอาชือกผูกบั้นเอวเร็วพระไวย คุมออกไปยุดหลักทั้งสองนาย | ||
+ | เอาไม่พาดบ่าพลันแล้วลั่นฆ้อง ข่มคอลงทั้งสองแล้วหย่อนสาย | ||
+ | พวกคนดูชุลมุนอยู่วุ่นวาย ทั้งเรือพายแทรกเสียดเข้าเบียดกัน | ||
+ | ด้วยขุนช้างนั้นพิรุธทุจริต พอดำมิดไม่ถึงสักกึ่งกั้น | ||
+ | บันดาลเห็นเป็นงูเข้ารัดพัน ตัวสั่นกลัวสุดผุดลนลาน | ||
+ | พระกาญจน์บุรีโดดน้ำตามลงไป อุ้มพระไวยขึ้นมาต่อหน้าฉาน | ||
+ | เหล่าพวกผู้คุมนครบาล เอาคลังใส่ไอ้หัวล้านลากขึ้นมา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระองค์ทรงกริ้วกระทืบบาท ยมราชเอาไปจำให้แน่นหนา | ||
+ | อ้ายเสี้ยนหนามแผ่นดินลิ้นลังการ น้อยหรือฆ่าคนได้ช่างไม่คิด | ||
+ | แต่กูมันยังคดปดเล่นได้ มันถือใจว่าไม่มีอาชญาสิทธิ์ | ||
+ | ลอยหน้าท้าทายถวายชีวิต เดี๋ยวนี้ผิดแพ้เขาเข้าสองยก | ||
+ | บังอาจฆ่าคนได้แล้วไม่สา แต่กูมันยังกล้ามาโกหก | ||
+ | อย่าเอาไว้ให้พื้นแผ่นดินรก ไปผ่าอกเสียอย่าให้ดูเยี่ยงกัน | ||
+ | มันเอาอ้ายไวยไปฆ่าที่ป่าไหน เอามันไปเสียบเสียที่ป่านั่น | ||
+ | สั่งเสร็จเสด็จจากที่นั่งพลัน ขึ้นยานุมาศผาดผันเข้าวังใน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ฝ่ายท่านจตุสดมภ์ยมราช ประกาศสั่งขุนหมื่นน้อยใหญ่ | ||
+ | คนโทษถึงมรณาอย่าไว้ใจ ไปส่งให้เจ้ากระทรวงหลวงพัศดี | ||
+ | ทำมะรงลงเหล็กตะลีตะลาน ประทุกประทาห้าประการไม่พ้นหนี | ||
+ | โซ่ตรวนขื่อคาไม่ปรานี สี่ทำมะรงจูงมาพาไปคุก | ||
+ | ขุนช้างถูกจำตรวนถ้วนสามชั้น เคยย่างยาวก้าวสั้นก็ล้มปุก | ||
+ | ผู้คุมรุมไล่ก็ไม่ลุก ทำเป็นจุกเจ็บท้องร้องอื้ออึง | ||
+ | ทำมะรงโกรธาคว้ามัดหวาย ป่ายลงทั้งกำดังต้ำผึง | ||
+ | ตีซ้ำคว่ำหงายตายช่าง*** ผิดก็เสียเฟื้องหนึ่งบอกศาลา | ||
+ | ขุนช้างเข้าใจเขาไม่ฟัง ลุกขึ้นตึงตังทำเป็นบ้า | ||
+ | อ้าปากแลบลิ้นทำปลิ้นตา แก้ผ้านุ่งทิ้งวิ่งโทงโทง | ||
+ | หยิบเอาก้อนขี้หมาไล่ปาคน เอาหัวชนเสาเล่นเต้นเหยงเหยง | ||
+ | ลากตรวนโกรกกรากปากร้องเพลง คนดูอัดวัดเป้งเข้าด้วยคา | ||
+ | ทำมะรงร้องขู่ว่าอุแหม่ กูจะแก้มึงด้วยหวายให้หายบ้า | ||
+ | อ้ายอัปรีย์เอาขี้เที่ยวไล่ปา แก้ผ้าวิ่งโขนออกโพนเพน | ||
+ | พวกผู้หญิงแลมาหันหน้าหนี สิ้นที่ร้องเบื่อมันเหลือเถน | ||
+ | อ้ายพวกหนุ่มคะนองมันร้องเกน ไม่โจงกระเบนเสียบ้างนี่อย่างไร | ||
+ | พวกบ่าวมากับนายพลอยขายหน้า วิ่งพวยฉวยผ้ามานุ่งให้ | ||
+ | ทำมะรงฉุดคร่าพาตัวไป เอาเข้าในคุกขึงจำตรึงตรา | ||
+ | คาไม้จริงยิงประตูดูให้มั่น โซ่ร้อยแหล่งแกล้งสรรให้แน่นหนา | ||
+ | เอาอิฐหนุนก้นโงโยงหัวคา ใส่ขื่อมือยื้อคร่าให้ตึงตัว ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ขุนช้างต้องพันธนาถึงสาหัส มือรัดเอวโยงเอาโคลงหัว | ||
+ | จะไหวติงก็ไม่ได้ใจสั่นรัว โอ้ตัวกูถึงวันจะบรรลัย | ||
+ | ผุดปากภาวนาหน้าเป็นหลัง ปิติสังขาเยเผลไพล่ | ||
+ | การะมังยังมุระกุสะไล มอลอกอขอไขคัจไฉมิ | ||
+ | หิรูปักขาหิราปักเข สัมตันสันเตเยตะสิ | ||
+ | มุดทะกังทั้งกระทะคั้นกะทิ ต่อยปะเตะตกกะติปากแตกตาย | ||
+ | ทำมะรงโกรธด่าอึงมี่ สวดอะไรอย่างนี้อ้ายฉิบหาย | ||
+ | เขาจะได้ตรวจคนบ่นวุ่นวาย มึงไม่รู้ฤทธิ์หวายหรืออึงไป | ||
+ | ขุนช้างร้องขอโทษอย่าโกรธขึ้ง เจ็ดตำลึงสิบสลึงลูกจะให้ | ||
+ | จงลดก่อนผ่อนคลายให้หายใจ แล้วจะให้ค่าลดสิบตำลึง | ||
+ | เออกระนั้นสิอย่าโกรธโทษถึงตาย ครั้นมิทำนายเขาโกรธขึ้ง | ||
+ | พอให้เขาตรวจตราอย่าอื้อึง ลั่นกุญแจแล้วจึงจะเคลื่อนคลาย ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา อยู่เคหานอนไม่หลับกระสับกระส่าย | ||
+ | ด้วยผัวไปเป็นความกับลูกชาย จะดีร้ายเป็นอย่างไรจึงไม่มา | ||
+ | พออ้ายพลับกลับไปร้องไห้งอ คุณพ่อเป็นความแพ้คุณแม่ขา | ||
+ | ส่งเข้าคุกประทุกทั้งขื่อคา พระพันวษากริ้วกราดคาดโทษตาย | ||
+ | เขาเอาไว้สุดคนก้นกระชุง จำต้องนั่งยังรุ่งจนเช้าสาย | ||
+ | แขวนจนก้นพ้นกระดานสงสารนาย เมื่อฉันมายังไม่คลายอีกขอรับ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองฟังเล่าบอกข่าวผัว ทอดตัวร้องไห้จนลมจับ | ||
+ | กลิ้งเกลือกเสือกนอนอ่อนพับ ดังจะดับชีวันไปทันใด | ||
+ | พวกบ่าวข้อนอกตกตะลึง อื้ออึงอัดแอเข้าแก้ไข | ||
+ | นวดเหยียบนัดยาทาน้ำดอกไม้ พอลมถอยค่อยได้สติพลัน | ||
+ | ลุกขึ้นลนลานคลานเข้าห้อง ประจงจ้องจับกุญแจไขกำปั่น | ||
+ | เปิดฝาคว้าทองสองสามอัน แล้วหยิบขันปากสลักตักเงินตรา | ||
+ | ใส่ลงในกระทายเป็นหลายขัน ปากนั้นกอบเบี้ยเกลี่ยปิดหน้า | ||
+ | แล้วส่งให้อีเขียดกระเดียดมา ทั้งข้าวปลาหาไปใส่ขันโต | ||
+ | แล้วจัดแจงสำรองของกำนัล เนื้อฉมันน้ำผึ้งเป็นครึ่งโถ | ||
+ | ให้บ่าวเที่ยวหาซื้อปลาเทโพ บรรทุกเรือแตงโมแล้วรีบมา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นถึงจอดเรือแล้วรีบไป ข้าไทตามหลังมาหนักหนา | ||
+ | บ้างแบกโต๊ะของกำนัลขันข้าวปลา ถึงริมคุกขึ้นหาพัศดีกลาง | ||
+ | ของกำนัลให้ท่านพัศดี คุณพ่อได้ปรานีดีฉันบ้าง | ||
+ | จะขอไปส่งข้าวเจ้าขุนช้าง คุกตะรางอย่างไรฉันไม่เคย | ||
+ | พัศดีเรียกทำมะรงเนียม ช่วยพาพี่แกไปเยี่ยมผัวหน่อยเหวย | ||
+ | ทำมะรงรับคำนำลุกเลย เข้าประตูหับเผยถึงคุกใน | ||
+ | วันทองร้องง้อพ่อทำมะรง ช่วยถอดลงมากินข้าได้หรือไม่ | ||
+ | ทำมะรงว่าไปเยี่ยมกันก็ไป ถอดไม่ได้โทษอย่างนี้พี่วันทอง ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองแข็งใจเข้าในคุก แลเห็นคนทนทุกข์สยดสยอง | ||
+ | น่าเกลียดน่ากลัวหนังหัวพอง ผอมกร่องร่างกายคล้ายสัตว์นรก | ||
+ | เขาใส่คาอาหารไม่พานไส้ เห็นวันทองขึ้นไปไหว้ประหลก | ||
+ | เอากล้วยทิ้งชิงกันตัวสั่นงก ใครมีแรงแย่งฉกเอาไปกิน | ||
+ | สุดแต่มีของให้แล้วไม่เลือก จนชั้นเปลือกก็ไม่ปอกขยอกสิ้น | ||
+ | เป็นหิดฝีพุพองหนองไหลริน เหม็นกลิ่นราวกับศพตลบไป | ||
+ | ตัวเล็นเป็นขนไต่บนกบาล นางก้าวหลีกลนลานไม่ดูได้ | ||
+ | อุตส่าห์ทนจนถึงก้นคุกใน ขุนช้างเห็นเมียไปร้องไห้แง | ||
+ | วันทองเห็นผัวทอดตัวไห้ ขุนช้างใส่งองอกระป้อกระแป้ | ||
+ | น้ำตาน้ำมูกตะละลูกกะแอ แม่เอ๋ยแม่ทิ้งเสียได้ไม่พุทโธ | ||
+ | จะเดินเหินเข้าที่ไหนไปอย่าช้า แม่เมตตาอย่าให้ตายในตรวนโซ่ | ||
+ | เอาเงินใส่ในถุงให้โตโต แล้วไปหาเจ๊กโล้ซื้อเหล้ามา | ||
+ | โอ๊ยลืมไปแล้วแม่ช่วยแก้ไข แม่จะเดินข้างในหรือข้างหน้า | ||
+ | ของกำนัลเลือกสรรจัดเอามา ทั้งข้าวปลาเหล้าแกล้มหมูแนมญวน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองขัดใจอ้ายคนเคอะ ยังซมเซอะไปจนคอจะเด็ดด้วน | ||
+ | เพราะกินเหล้าจึงต้องเข้าถึงโซ่ตรวน ยังหลงเล่อลามลวนข้างเหล้ายา | ||
+ | ขุนช้างเห็นเมียโกรธขอโทษตัว แม่ต่อยหัวพี่สักโขกก็ไม่ว่า | ||
+ | ใจคอท้อแท้แล้วแม่อา ได้หน้าลืมหลังพลั้งพลาดไป | ||
+ | จะด่าทออย่างไรก็ไม่ว่า เอาเงินตราค่าคุกนั้นมาให้ | ||
+ | กับค่าลดสิบตำลึงให้ถึงใจ เสียไหนเสียไปเถิดแม่คุณ | ||
+ | วันทองตอบว่าอย่าปรารมภ์ เงินทองมีถมอย่าว้าวุ่น | ||
+ | ข้าจะเอาออกไปให้นายมุล ถึงเจ้าคุณบ้านนอกก็ปรานี ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ทำมะรงให้อ้ายรอดถอดขื่อคา กินข้าวปลาเถิดพี่ช้างอย่างครางอี๋ | ||
+ | เป็นตายอยู่กับตัวกลัวไยมี จะด้นดำดินหนีได้เมื่อไร ฯ | ||
+ | ขุนช้างฟังว่าคว้าขามข้าว เปิบใส่ปากเปล่าไม่กลืนได้ | ||
+ | เคี้ยวข้าวเป็นแป้งคอแห้งไป เอาน้ำใส่กลั้วคอให้พอกลืน | ||
+ | จะกินได้แต่ละคำเอาน้ำกลั้ว คิดถึงตัววางชามข้าวเฝ้าสะอื้น | ||
+ | วันทองปลอบว่าอุตส่าห์กลืน ขืนใจกินเถิดพ่อพอมีแรง | ||
+ | เห็นผัวยังนั่งครางนางช่วยป้อน เอาช้อนตักแกงแย้แก้คอแห้ง | ||
+ | ทั้งเนื้อพล่าปลาไหลไก่พะแนง ขุนช้างแข็งใจกินสิ้นชามโคม | ||
+ | แล้วสั่นหัวบอกพลันเท่านั้นเถิด ประดักประเดิดพี่นักอย่าหักโหม | ||
+ | คิดถึงตัวขึ้นมาน้ำตาโซม โถมกอดคอภรรยาแล้วว่าวาน | ||
+ | แม่คุณทูนหัวจงรีบไป เอาเงินติดท่านข้างในให้ว่าขาน | ||
+ | เพ็ดทูลผ่อนปรนช่วยบนบาน ขอประทานโทษตนให้พ้นภัย | ||
+ | วันทองว่าหาใครไม่ได้ดอก หนามยอกเอาหนามบ่งคงจะได้ | ||
+ | วิ่งนักมักล้มก้มซวนไป จะอ้อนวอนพ่อไวยดูสักที | ||
+ | ขุนช้างว่าจริงแท้แม่ทูนหัว จะรอดตัวก็เพราะแม่ช่วยแก้พี่ | ||
+ | ถ้าพ้นโทษโปรดถอดรอดชีวี แม่ไปไหนจะให้ขี่ไปต่างวัว ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองว่าอย่าสำออยไปหน่อยเลย พวกข้าไม่เคยขี่คอผัว | ||
+ | สิ้นชีวิตไม่คิดเสียดายตัว อย่ากลัวเลยอย่างไรไม่ทิ้งกัน | ||
+ | ว่าพลางหยิบเงินในกระทาย ให้กับนายทำมะรงขมีขมัน | ||
+ | ทั้งนายร้อยนายใหญ่ให้ทั่วกัน คนโทษทัณฑ์ให้ทานทุกคนไป | ||
+ | ฝากฝังสามีแล้วมิช้า ก็ลุกลาออกจากในคุกใหญ่ | ||
+ | ให้เงินพัศดีกลางนางรีบไป ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้ช้า | ||
+ | โถมเข้าสวมสอดกอดพระไวย ร้องไห้แทบสลบซบหน้า | ||
+ | พระหมื่นไวยสงสารกับมารดา วันทาทำเป็นถามไปฉับพลัน | ||
+ | หม่อมแม่ทุกข์เข็ญเป็นอย่างไร อย่าร้องไห้จงบอกออกกับฉัน | ||
+ | หรือปู่ย่าตายายวายชีวัน ไม่ทันบอกออกก็ร่ำแต่โศกี | ||
+ | วันทองจึงว่าพ่อทูนเกล้า ทุกข์แม่เทียมเท่าจะเป็นผี | ||
+ | เหลียวไม่เห็นใครในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยชีวีให้รอดตาย | ||
+ | เห็นแต่ดวงใจพระไวยแม่ ที่จะแก้ทุกข์ร้อนให้ผ่อนหาย | ||
+ | เจ้าขุนช้างคนคดประทษร้าย เพราะเช่นนั้นอันตรายจึงถึงตัว | ||
+ | เหมือนนมยานกลิ้งอกแม่หมกไหม้ ถึงชั่วดีเขาก็ได้มาเป็นผัว | ||
+ | ครั้นจะนิ่งให้ตายอายติดตัว จะเชิดชื่อลือชั่วทั่วกัลป์ปา | ||
+ | เหตุเท่านี้จึงนิ่งทิ้งไม่ได้ แม่จนใจจึงซานด้านมาหา | ||
+ | พ่อคุณจงการุญกับมารดา ช่วยทูลขอชีวาขุนช้างไว้ | ||
+ | พระองค์ทรงพระกรุณา คงหาขัดอัธยาพ่อพลายไม่ | ||
+ | ขุนช้างสั่งถึงพ่อขออภัย อย่ามีบาปกราบไหว้พ่อหมื่นมา | ||
+ | นอกกว่าพ่อใครจะขอเห็นไม่ได้ พ่อจงช่วยชีวิตไว้ใช้ต่างข้า | ||
+ | อันที่ได้ผิดพลั้งแต่หลังมา พ่ออย่าผูกเวรานั้นสืบไป ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระไวยพลายงาม จึงตอบความมารดาหาช้าไม่ | ||
+ | แม่มาอ้อนวอนว่าข้าทำไม ข้ามิได้ฟ้องหานายขุนช้าง | ||
+ | ข้างเขาอีกจะเอาชีวิตข้า ไปกราบทูลพระพันวษาเอาทุกอย่าง | ||
+ | แกล้งใส่ความจะให้ตายวายวาง นี่หากมีที่อ้างจึงพ้นภัย | ||
+ | เมื่อขุนช้างเขาพาไปฆ่าตี ความนี้แม่ก็ทราบอยู่เต็มไส้ | ||
+ | จะสงสารฉันบ้างก็เป็นไร นี่หากฟื้นขึ้นได้จึงรอดตัว | ||
+ | เมื่อลูกชายจะตายแม่ไม่คิด แม่รักแต่ชีวิตข้างท่านผัว | ||
+ | จึงเที่ยวท่องร้องไห้ไม่คิดตัว เพราะว่ากลัวขุนช้างจะบรรลัย | ||
+ | พระองค์กำลังทรงพิโรธ จะให้ทูลขอโทษอย่างไรได้ | ||
+ | เหมือนโถมถาผ่าขวางเข้ากลางไฟ เป็นจนใจลูกแล้วนะมารดา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองกอดพระไวยร้องไห้กลิ้ง ความทั้งนี้ก็จริงเหมือนเจ้าว่า | ||
+ | เมื่อขุนช้างฆ่าพ่อแทบมรณา มารดาก็แจ้งอยู่เต็มใจ | ||
+ | อุตส่าห์พาพ่อไปฝากวัด เอาผ้าตัดทำธงแก้สงสัย | ||
+ | แม่ไม่เห็นเจ้าสักวันปิ้มบรรลัย นอนร้องไห้รักร่ำทุกค่ำคืน | ||
+ | อันผัวรักก็หาหนักกว่าลูกไม่ ลงบันไดสามขั้นเป็นคนอื่น | ||
+ | ถึงว่ารักจริงจังดังจะกลืน ก็ไม่เหมือนพ่อหมื่นของแม่เลย | ||
+ | ซึ่งเคืองขุ่นขุนช้างที่ล้างผลาญ ก็นมนานมาแล้วนะลูกเอ๋ย | ||
+ | เอาบุญอย่าอาฆาตจองเวรเลย ถ้าพ่อเฉยแล้วไม่ช้าท่านฆ่าแท้ | ||
+ | เหมือนปล่อยปลาปล่อยเต่าเอากุศล ให้พ้นจากความเข็ญเห็นกับแม่ | ||
+ | สู้อุตส่าห์เลี้ยงเจ้าเฝ้าดูแล ตั้งแต่พ่อยังอยู่ในอุทร | ||
+ | เจ้าเกิดมามารดาถนอมเจ้า บดข้าวสามเวลาอุตส่าห์ป้อน | ||
+ | อาบน้ำใส่เปลเห่ให้นอน แต่อ่อนอ่อนจนได้วัฒนามา | ||
+ | ขุนช้างอุตส่าห์หาข้าน้อยน้อย ให้พ่อไวยใช้สอยเป็นหนักหนา | ||
+ | เอาทองคำทำกำไลสร้อยเสมา ตะกรุดโทนถายาล้วนอย่างดี | ||
+ | ยามตรุษสงกรานต์ไปลานวัด สารพัดใส่กายให้ถ้วนถี่ | ||
+ | บ่าวเล็กเล็กเหลือหลามตามมากมี ให้นางศรีแม่นมนั้นอุ้มไป | ||
+ | ยามขุนช้างรักใคร่ใครจะเหมือน ชั่วแต่ดาวกับเดือนไม่ให้ได้ | ||
+ | แต่ของมีในสุพรรณสิ่งอันใด ถ้าชอบใจแล้วไม่ขัดให้ขุ่นมัว | ||
+ | ที่ร้ายนั้นก็มีดีก็มาก พ่อหากเป็นทารกไม่รู้ทั่ว | ||
+ | อย่าคุมโทษโปรดเถิดให้เป็นตัว เหมือนทูนหัวแทนคุณของมารดา ฯ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | ==== ==== | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | ๏ ครานั้นพระไวยก็ใจอ่อน ได้ฟังมารดาอ้อนวอนว่า | ||
+ | ครั้นจะนิ่งให้ขุนช้างวางชีวา ก็สงสารมารดานั้นสุดใจ | ||
+ | ถ้าบรรลัยไหนจะมีซึ่งความสุข จะทุกข์ทุกข์เข็ญเข็ญจนเป็นไข้ | ||
+ | ผูกคอล้มก้มคอตายวุ่นวายไป บาปกรรมก็จะได้กับเราแท้ | ||
+ | ถึงขุนช้างชั่วช้าเหมือนหมาหมู เขาก็รู้อยู่ทั่วว่าผัวแม่ | ||
+ | จะนิ่งเสียทีเดียวไม่เหลียวแล ก็ตั้งแต่คนเขาจะนินทา | ||
+ | คิดแล้วจึงว่าแก่แม่ไป เป็นจนใจด้วยพระเกิดเกศา | ||
+ | ครั้นจะขัดเหมือนไม่คิดถึงมารดา จะแกล้งให้เวทนากับลูกชาย | ||
+ | แม่จงกลั้นน้ำตาอย่าร้องไห้ ลูกจะไปเพ็ดทูลขยับขยาย | ||
+ | ถ้าท่านโปรดก็จะปลอดไม่วอดวาย ถึงเวรตายแล้วก็จนพ้นกำลัง ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ เออพ่อคุณการุญให้จงได้ แม่จะให้ค่าทูลสักสองชั่ง | ||
+ | แม้นพ่อช่วยเห็นไม่ม้วยไปจริงจัง คงประทังคลายโทษเพราะโปรดปราน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ชะน้อยหรือมารดาช่างว่าได้ นึกว่าไก่แล้วจะล่อด้วยข้าวสาร | ||
+ | เห็นว่าลูกนี้จนอ้างบนบาน เหตุว่าท่านเศรษฐีมีเงินทอง | ||
+ | เพราะได้เงินสองชั่งจึงตั้งบ้าน ปลูกเรือนฝากระดานขึ้นห้าห้อง | ||
+ | เลี้ยงเมียเลี้ยงข้ามาเป็นกอง เพราะเงินทองสินบนของมารดา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ เจ้าประคุณทูนหัวของแม่เอ๋ย อย่าถือเลยแม่นี้เหมือนคนบ้า | ||
+ | ใจไม่อยู่กับตัวชั่วช้า พูดออกมาไม่ทันคิดแม่ผิดครัน | ||
+ | อย่าช้าเชิญพ่อไปขอโทษ เหมือนหนึ่งโปรดแม่ให้ไปสวรรค์ | ||
+ | จะได้บุญนั้นนับตั้งกัปกัลป์ พ่อจอมขวัญรีบจรอย่านอนใจ ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระไวยชัยชาญ ความสงสารมารดาน้ำตาไหล | ||
+ | จึงปลอบแม่อย่าละเหี่ยเสียน้ำใจ ลูกจะไปทูลขอดูตามบุญ | ||
+ | ร้องสั่งศรีมาลาหาล่วมหมาก ทั้งห่อผ้ากานากร่มญี่ปุ่น | ||
+ | กล้องยาแดงหุ้มปลายนพคุณ บ่าวใส่ยาฉุนทั้งอุดเตา | ||
+ | แล้วพระไวยอาบน้ำชำระกาย กรายเข้าเคหาผลัดผ้าเก่า | ||
+ | นุ่งม่วงสีไพลไหมตะเภา ห่มหนังไก่เปล่าปักเถาแท้ | ||
+ | พลางยิ้มหยอกหยิกแก้มศรีมาลา แล้วรีบมาหอนั่งสั่งท่านแม่ | ||
+ | ก็รีบออกจากเรือนไม่เชือนแช ข้าไทอัดแอตามติดมา | ||
+ | ประเดี๋ยวหนึ่งถึงในพระราชฐาน ทั้งข้าราชการก็พร้อมหน้า | ||
+ | ครั้นแสงสุริโยทัยได้เวลา ก็เข้ามาคอยเฝ้าพระทรงธรรม์ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ จะกล่าวถึงพระจอมจักรพรรดิ ผ่านสมบัติอยุธยามหาสวรรค์ | ||
+ | สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ สะพรั่งพร้อมพระกำนัลนารี | ||
+ | ล้วนแรกรุ่นรูปร่างเหมือนอย่างวาด เอี่ยมสะอาดนวลละอองผ่องศรี | ||
+ | บำเรอบาทมุลิกาเจ้าธานี บรรทมอยู่ในที่แท่นทองทรง | ||
+ | ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า พระตื่นจากนิทรามาที่สรง | ||
+ | เย็นฉ่ำน้ำกุหลาบอาบพระองค์ เสด็จทรงภูษาอันอำไพ | ||
+ | พระหัตถ์ซ้ายกรายจับพระแสงเพชร จึงเสด็จออกท้องพระโรงใหญ่ | ||
+ | ประทับเหนือแท่นแก้วอันแววไว พร้อมไปด้วยอำมาตย์ราชกระวี | ||
+ | เจ้าพระยาแลพระยาพระหลวง ทุกกระทรวงเฝ้าประณตบทศรี | ||
+ | คอยฟังรับสั่งพระพันปี เงียบสงัดอยู่ในที่พระโรงชัย | ||
+ | พระองค์มีสีหนาทประภาษถาม ความฎีการาษฎรเรื่องน้อยใหญ่ | ||
+ | ต้องตำแหน่งขุนนางข้างกรมใด ก็ทูลความตามในตำแหน่งตน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ เห็นว่างราชการกราบลงสามหน | ||
+ | ขอเดชะฝ่าละอองบาทยุคล พระเดชพระคุณเป็นพ้นคณนา | ||
+ | ควรมิควรกระหม่อมฉานประทานโทษ ขอพระองค์จงโปรดซึ่งเกศา | ||
+ | ด้วยขุนช้างโทษถึงมรณา ต้องพระราชอาญาอยู่คุกใน | ||
+ | บัดนี้มารดาข้าพระพุทธเจ้า โศกเศร้าแทบชีวิตจะตักษัย | ||
+ | เฝ้าวิงวอนเช้าค่ำร่ำไรไป มิได้รับประทานซึ่งข้าวปลา | ||
+ | ถ้าไม่รับกราบทูลฝ่าธุลี เห็นท่วงทีมิตายก็เป็นบ้า | ||
+ | ก็สุดแสนสงสารด้วยมารดา กระหม่อมฉันเกิดมาจนบัดนี้ | ||
+ | แต่เจ็ดขวบก็พรากจากกันไป ยังมิได้แทนคุณเท่าเกศี | ||
+ | ขอประทานโทษขุนช้างไว้สักที เหมือนหนึ่งช่วยชีวีของมารดา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครานั้นพระองค์พงศ์กษัตริย์ ทราบรหัสแห่งคำหมื่นไวยว่า | ||
+ | พระนิ่งนึกตรึกไตรอยู่ไปมา ครั้นมิไว้ชีวาอ้ายขุนช้าง | ||
+ | อีวันทองผ่ายผอมตรอมใจตาย อ้ายลูกชายก็จะต้องหมองหมาง | ||
+ | ครั้นระคายอายหน้าเพื่อนขุนนาง จะสะเทิ้นเหินห่างไปทุกวัน | ||
+ | นึกว่าเอาใจไว้ใช้สอย แต่น้อยน้อยมือศึกมันแข็งขัน | ||
+ | เป็นหน่อเนื้อเชื้อทหารชาญฉกรรจ์ อย่าให้มันละห้อยน้อยวิญญาณ์ | ||
+ | จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย อีแม่มึงนั้นกูให้ชังน้ำหน้า | ||
+ | เอาอ้ายช้างเป็นผัวแสนชั่วช้า ช่างไม่คิดถึงหน้าอ้ายหมื่นไวย | ||
+ | โดยอ้ายช้างล้มตายไปเป็นผี จะไปดีเสียกับพ่อมึงก็ได้ | ||
+ | มาเฝ้าซ้าซี้พิรี้พิไร ให้โปรดไอ้ใจบาปคนหยาบช้า | ||
+ | แต่ลูกเลี้ยงมันยังพาไปฆ่าตี มึงไม่มีใจโกรธดอกหรือหวา | ||
+ | มาขอไว้ให้หนักพสุธา ชอบแต่ฆ่าอย่าให้ดูเยี่ยงกัน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท องค์อิศราธิราชรังสรรค์ | ||
+ | ซึ่งข้อนายขุนช้างล้างชีวัน กระหม่อมฉันก็แสนจะแค้นใจ | ||
+ | ก็มั่นหมายแก้แค้นแทนขุนช้าง แต่มารดามาขวางเป็นข้อใหญ่ | ||
+ | จะทิ้งให้โศกศัลย์บรรลัย ก็เหมือนไม่คิดถึงคุณของมารดา | ||
+ | จึงกลั้นโกรธกราบทูลบทมาลย์ ขอรับพระราชทานซึ่งโทษา | ||
+ | ขอพระองค์ทรงพระกรุณา แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ภักดี ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ จึงตรัสว่าดูราอ้ายหมื่นไวย โทษอ้ายช้างนั้นไซร้ถึงเป็นผี | ||
+ | จะยกให้ไม่ประหารผลาญชีวี ทั้งนี้เพราะกูเอ็นดูมึง | ||
+ | อีแม่จะได้หายคลายโศกเศร้า เพราะลูกเต้าได้ดีเป็นที่พึ่ง | ||
+ | อันคนโทษทุจริตผิดลึกซึ้ง โทษถึงชีวันจะบรรลัย | ||
+ | กูนี้ไม่พอใจให้ใครแก้ มึงจะแทนคุณแม่จึงยกให้ | ||
+ | ตรัสแล้วสั่งราชรองเมืองไป เร่งถอดอ้ายขุนช้างในฉับพลัน | ||
+ | แล้วจงส่งตัวให้จมื่นไวย อย่าให้ใครคิดเอาค่าลดหลั่น | ||
+ | พระสั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงคัล กรายพระกรจรจรัลเข้าวังใน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระรองเมืองรับพระราชโองการ ลนลานออกมาหาช้าไม่ | ||
+ | บ่าวตามเป็นพรวนชวนพระไวย ตรงไปประทับหับเผยพลัน | ||
+ | ใช้ทนายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี รีบไปเรียกพัศดีขมีขมัน | ||
+ | ให้ทำมะรงไปถอดขุนช้างนั้น เข้าช่วยกันอึดอัดตัดตรวนพลาง | ||
+ | บ้างถอดคาหาไม้มาต่อยขื่อ อึงอื้อโปกโป้งเสียงโกร่งกร่าง | ||
+ | ประเดี๋ยวหลุดล่อนกายนายขุนช้าง พยุงย่างย่องแย่งแข้งขาพัน | ||
+ | ทำมะรงนำมาหน้าหับเผย เงยหน้าเห็นพระรองเมืองนั่น | ||
+ | กับพระหมื่นไวยนั่งใกล้กัน งกงันหมอบกรานคลานเข้าไป | ||
+ | ทั้งรักทั้งกลัวหมอบตัวราบ กราบจนหัวคะมำตำต้นขา | ||
+ | พระนายอายใจไม่เจรจา ก็อำลาท่าราชรองเมืองพลัน | ||
+ | ขุนช้างงกเงินเดินไม่ได้ พระไวยให้ทำเปลขมีขมัน | ||
+ | ให้พวกบ่าวเข้าหามมาตามกัน ขุนช้างนั่งมาในนั้นหนวดพรุมพราม | ||
+ | เหมือนตุ๊กตากวางตุ้งดูพุงพลุ้ย หัวทุยผมเถิกเป็นถ่อง่าม | ||
+ | แดดส่องต้องแสงดูแดงวาม ผู้คนดูหลามตลอดมา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครู่หนึ่งถึงจวนพระหมื่นไวย วันทองเห็นดีใจเป็นหนักหนา | ||
+ | เข้าพยุงจูงผัวให้ไคลคลา ขุนช้างกอดภรรยาเข้าร่ำไร | ||
+ | วันทองเจรจาว่ากับผัว เจ้ารอดตัวเพราะพ่อหรือมิใช่ | ||
+ | เออแม่ชีวันไม่บรรลัย เพราะพ่อคุณโปรดให้รอดชีวิต | ||
+ | ตั้งแต่วันนี้ไปในเบื้องหน้า จะมอบตัวเป็นข้าจนดับจิต | ||
+ | ไปศึกเสือเหนือใต้ลูกไม่คิด จะตามติดไปทุกอย่างไม่ห่างกัน | ||
+ | พระไวยสั่งสร้อยฟ้าศรีมาลา จัดสำรับข้าวปลาประจงสรร | ||
+ | บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน แล้วเชิญวันทองรับประทาน | ||
+ | สำรับคาวของเคียงเรียงวาง ก็เชื้อเชิญขุนช้างกินอาหาร | ||
+ | บริโภคอิ่มหนำสำราญ ยกสำรับของหวานมาวางพลัน | ||
+ | ทั้งผัวเมียอิ่มหนำสำราญใจ เข้าไปหาพระไวยในเรือนนั่น | ||
+ | ว่าพ่อจงเป็นสุขทุกนิรันดร์ นับวันคงจะได้เป็นใหญ่โต | ||
+ | จงผ่องแผ้วแคล้วคลาดราชภัย ขอให้เป็นบรมสุโข | ||
+ | ลือเลื่องกระเดื่องดินภิญโญ จะได้พึ่งร่มโพธิ์พ่อสืบไป ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พระไวยน้อมคำนับรับพรพลาง ขุนช้างเอาเงินทองออกกองให้ | ||
+ | ยี่สิบชั่งหวังจะแทนคุณพระไวย พ่อเอาซื้อข้าวใหม่ไว้เลี้ยงกัน | ||
+ | พระไวยสั่งว่าอย่าเอาไว้ เดี๋ยวนี้มีใช้อยู่ดอกทั่น | ||
+ | เอาเงินให้อย่างนี้ไม่ดีครัน เหมือนหนึ่งฉันเอาสินบนกับมารดา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ วันทองรู้กิริยาอัชฌาสัย กอบเงินใส่กระทายส่งให้ข้า | ||
+ | ครั้นตะวันจวนค่ำก็อำลา ลงนั่งในนาวาข้าเต็มลำ | ||
+ | ทั้งหญิงชายพายตะเบ็งเร่งตะบึง กระทั่งถึงสุพรรณไม่ทันค่ำ | ||
+ | ยายเทพทองมองเห็นแกเต้นรำ ลูกรอดจำมาได้ดีใจแท้ | ||
+ | รีบร้อนต้อนรับขึ้นบนเรือน บรรดาเพื่อนเคหามาเยี่ยมแซ่ | ||
+ | บนหอนั่งเยียดยัดออกอัดแอ พูดกันแต่เย็นเยี่ยมเข้ายามปลาย | ||
+ | ขุนช้างสั่งศรพระยาหาน้ำมนตร์ มารดตนเสียให้จัญไรหาย | ||
+ | นิมนต์สงฆ์สวดสะเดาะที่เคราะห์ร้าย ซัดน้ำชำระกายถ้วนสามวัน ฯ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | |||
=== ตอนที่ ๓๕ === | === ตอนที่ ๓๕ === | ||
<tpoem> | <tpoem> |
การปรับปรุง เมื่อ 16:55, 7 กันยายน 2552
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง:
บทประพันธ์
ตอนที่ ๑
๏ | |||
ตอนที่ ๒
๏ | |||
ตอนที่ ๓
๏ | |||
ตอนที่ ๔
๏ | |||
ตอนที่ ๕
๏ | |||
ตอนที่ ๖
๏ | |||
ตอนที่ ๗
๏ | |||
ตอนที่ ๘
๏ | |||
ตอนที่ ๙
๏ | |||
ตอนที่ ๑๐
๏ | |||
ตอนที่ ๑๑
๏ | |||
ตอนที่ ๑๒
๏ | |||
ตอนที่ ๑๓
๏ | |||
ตอนที่ ๑๔
๏ | |||
ตอนที่ ๑๕
๏ | |||
ตอนที่ ๑๖
๏ | |||
ตอนที่ ๑๗
๏ | |||
ตอนที่ ๑๘
๏ | |||
ตอนที่ ๑๙
๏ | |||
ตอนที่ ๒๐
๏ | |||
ตอนที่ ๒๑
๏ | |||
ตอนที่ ๒๒
๏ | |||
ตอนที่ ๒๓
๏ | |||
ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา | อยู่เคหากับขุนช้างให้หมางหมอง | |||
ไม่มีสุขทุกเวลาน้ำตานอง | ด้วยว่าท้องสิบเดือนไม่เคลื่อนคลา | |||
จะคลอดบุตรสุดปวดให้รวดร้าว | ตึงหัวเหน่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยต้นขา | |||
แสงห่องห้อยพรอยพรายพร่างสายตา | จะเรียกหาขุนช้างให้หมางใจ | |||
แต่นวดนวดปวดมวนให้ป่วนปั่น | สุดจะกลั้นกลอกหน้าน้ำตาไหล | |||
พยุงท้องร้องเรียกพวกข้าไท | จะขาดใจแล้วช่วยด้วยแม่คุณ | |||
ขุนช้างตื่นฟื้นตัวหัวผงก | เห็นเมียตกใจผวาออกว้าวุ่น | |||
ประคองนางพลางบนเอาต้นทุน | อย่าท้อแท้แม่คุณจงแข็งใจ | |||
พลางดูท้องร้องว่าเออออกแล้วซิ | ตั้งสติอารมณ์จะข่มให้ | |||
นางวันทองร้องเสือกกลิ้งเกลือกไป | ขุนช้างได้หมอนรองประคองคอ | |||
เรียกหาข้าคนอลหม่าน | บนนอกชานพวกผู้หญิงออกวิ่งสอ | |||
ให้ไปรับยายสายกับยายยอ | แต่ล้วนหมอตำแยเซ็งแซ่มา | |||
เข้าถือท้องต้องถูกว่าลูกต่ำ | เอาหน้าคว่ำไขว่ขวางไปข้างขวา | |||
ช่วยผันแปรแก้ไขใกล้เวลา | บ้างตำยาขยำส้มต้มน้ำร้อน | |||
นางวันทองร้องไห้ใจจะขาด | พอกรรมชวาตวาตะประทะถอน | |||
อรุณฤกษ์เบิกสุรินทร์ทินกร | อุทรคลอนเคลื่อนคลอดไม่วอดวาย | |||
พอพ้นท้องร้องแว้นางแม่หวีด | หน้าซีดอกสั่นมิ่งขวัญหาย | |||
ขุนช้างมองร้องอ้ายหนูเป็นผู้ชาย | ทั้งย่ายายเยี่ยมลูกให้หยูกยา | |||
แล้วทอดเตาเข้าไฟไม่ไข้เจ็บ | ครั้นจะเก็บความกล่าวยาวหนักหนา | |||
ค่อยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้จนใหญ่มา | กระทั่งอายุเจ้าได้เก้าปี | |||
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนแม้นขุนแผนพ่อ | เหลืองลอออวบอ้วนเป็นนวลศรี | |||
ทั้งจุกผมกลมกล่อมกระหม่อมดี | ช่างพาทีฉอเลาะพูดเพราะพราย | |||
นางวันทองน้องคะนึงถึงขุนแผน | ด้วยลูกแม้นเหมือนเหลือเป็นเชื้อสาย | |||
บอกบ่าวไพร่ให้สำเหนียกเรียกลูกชาย | ชื่อว่าพลายงามน้อยแก้วกลอยใจ ฯ | |||
๏ ฝ่ายขุนช้างหมางจิตให้คิดแค้น | ลูกขุนแผนมั่นคงไม่สงสัย | |||
เมื่อกระนั้นเหมือนกูครั้นดูไป | ก็กลับไพร่เหมือนพ่ออ้ายทรพี | |||
อีแม่มันวันทองก็สองจิต | ช่างประดิษฐ์ชื่อลูกให้ถูกที่ | |||
เรียกพ่อพลายคล้ายผัวอีตัวดี | ทุกราตรีตรึกตราจะฆ่าฟัน | |||
พอวันทองน้องป่วยลงด้วยเคราะห์ | มาจำเพาะจะวิโยคให้โศกศัลย์ | |||
ฟังเสียงเงียบระงับหลับกลางวัน | พลายงามนั้นนั่งกับพ่อที่หอกลาง | |||
ขุนช้างเห็นเป็นทีไม่มีเพื่อน | แกล้งชี้เชือนชักพาลงมาล่าง | |||
ให้ขี่หลังนั่งบ่าแล้วว่าพลาง | ไปชมช้างกวางทรายมีหลายพรรณ | |||
ทั้งนกยูงฝูงหงส์มันลงเกลื่อน | จับไก่เถือนมาเลี้ยงฟังเสียงขัน | |||
พูดให้เพลินเดินพลางกลางอรัญ | แกล้งให้หมั่นดูแลฝูงแกกา | |||
โพระดกนกงั่นกระตั้วเต้น | กระแตเล่นไม้โจนโผนผวา | |||
เจ้าพลายงามถามพ่อพูดจ้อมา | ขุนช้างพาเลี้ยวไปปะไม้ซุง | |||
เห็นลับลี้ที่สงัดขัดเเขมร | สะบัดเบนเบือนเหวี่ยงลงเสียงผลุง | |||
ปะเตะซ้ำต้ำผางเข้ากลางพพุง | ถีบกระทุ้งถองทุบเสียงอุบโอย | |||
พลายงามร้องสองมือมันอุดปาก | ดิ้นกระดากถลากไถลร้องไห้โหย | |||
พอหลุดมือรื้อร้องวันทองโวย | หม่อมพ่อโบยตีฉันแทบบรรลัย | |||
ไม่เห็นแม่แลหาน้ำตาตก | ขุนช้างชกฉุดคร่าไม่ปราศรัย | |||
จนเหงื่อตกกระปรกประปรอมขึ้นคร่อมไว้ | หอบหายใจฮักฮักเข้าหักคอ | |||
พลายงามดิ้นสิ้นเสียงสำเนียงร้อง | ยกแต่สองมือไหว้หายใจฝ่อ | |||
มันห้ามว่าอย่าร้องก็ต้องรอ | เรียกหม่อมพ่อเจ้าขาอย่าฆ่าเลย | |||
จงเห็นแก่แม่วันทองของลูกบ้าง | พ่อขุนช้างใจบุญพ่อคุณเอ๋ย | |||
ช่วยฝังปลูกลูกไว้ใช้เช่นเคย | ผงกเงยมันก้ทุบหงุบลงไป | |||
บีบจมูกจุกปากลากกระแทก | เสียงแอ้กแอ้กอ่อนซบสลบไสล | |||
พอผีพรายนายขุนแผนผู้แว่นไว | เข้ากอดไว้มิให้ถูกลูกของนาย | |||
ขุนช้างเห็นว่าทับจนตับแตก | เอาคาแฝกฝุ่นกลบให้ศพหาย | |||
แล้วกลิ้งขอนซ้อนทับให้ลับกาย | ทำลอยชายชมป่ากลับมาเรือนฯ | |||
๏ ฝ่ายผีพรายนายขุนแผนแค้นขุนช้าง | อุตส่าห์ง้างขอนใหญ่ให้เขยื้อน | |||
แล้วเป่าแผลแก้หายละลายเลือน | เจ้าพลายเคลื่อนคลายฟื้นเหมือนตื่นนอน | |||
นางพรายบอกว่าเราบ่าวขุนแผน | มาทำแทนเมื่อมันทับช่วยรับขอน | |||
ไม่ม้วยแล้วแก้วตาอย่าอาวรณ์ | อยู่นี่ก่อนเถิดนะเจ้าอย่าเศร้าใจ | |||
แม่ของเจ้าเราจะบอกออกมารับ | แล้วหายวับวู่วามตามนิสัย | |||
เจ้าพลายงามยามเย็นไม่เห็นใคร | เที่ยวร้องไห้หาแม่ชะแง้คอย | |||
จะไปเรือนเพื่อนทางที่กลางป่า | นึกน้ำตาหยดเหยาะลงเผาะผ็อย | |||
เจ้าแหงนดูสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อย | ให้นึกน้อยใจพ่อพูดล่อลวง | |||
เสียแรงลูกผูกใจจะได้พึ่ง | พ่อโกรธขึ้งสิ่งใดเป็นใหญ่หลวง | |||
โอ้มีพ่อก็ไม่เหมือนเพื่อทั้งปวง | มีแต่ลวงลูกรักไปหักคอ | |||
รู้กระนี้มิอยากเรียกพ่อดอก | จะไปบอกแม่วันทองให้ฟ้องพ่อ | |||
เที่ยวผันแปรแลหาน้ำตาคลอ | นึกระย่อเยือกเย้นไม่เห็นใคร | |||
ดูครึ้มครึกฟฤกษาป่าสงัด | ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว | |||
จังหรีดร้องก้องเสียงเคียงเรไร | ทั้งลองไนเรื่อยแร่แวแววับ | |||
ดุเหว่าร้องมองเมียงเสียงว่าแม่ | ยืนชะแง้แลดูเงี่ยหูตรับ | |||
อยู่นี่แน่แม่จ๋าจงมารับ | วิ่งกระสับกระสนวนเวียนไป ฯ | |||
๏ ฝ่ายพวกพรายกายสิทธิ์ฤทธิรุทร | เหมือนลมวุดวู่หนึ่งถึงไหนไหน | |||
ไปเข้าฝันวันทองถึงห้องใน | เหมือนจะให้เห็นลูกคิดผูกพัน ฯ | |||
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา | เมื่อลูกแก้วแววตาจะอาสัญ | |||
คิ้วกระเหม่นเป็นลางแต่กลางวัน | ให้หวั่นหวั่นหวิวหวิวหิวหาวนอน | |||
พอม่อยหลับคลับคล้ายเห็นพลายน้อย | ขุนช้างถ่อยทับไว้ด้วยไม้ขอน | |||
ผวาฟื้นตื่นตาด้วยอาวรณ์ | สะอื้นอ่อนในอกตกตะลึง | |||
พอแมงมุมอุ้มไข่ไต่ตีตก | นางผงกเงี่ยฟังดังผึงผึง | |||
ประหลาดลางหมางจิตคิดคะนึง | รำลึกถึงลูกชายเจ้าพลายงาม | |||
ลุกออกมาหาจบไม่พบเห็น | ที่เคยเล่นอยู่กับใครเที่ยวไต่ถาม | |||
แต่อีดูกลูกครอกมันบอกความ | ว่าเห็นตามพ่อขุนช้างไปกลางไพร | |||
นางแคลงผัวกลัวจะพาไปฆ่าเสีย | น้ำตาเรี่ยเรี่ยตกซกซกไหล | |||
ออกนอกรั้วตัวคนเดียวเที่ยวเดินไป | โอ้อาลัยเหลียวแลชะแง้เงย | |||
เห็นคุ่มคุ่มพุ่มไม้ใจจะขาด | พ่อพลายงามทรามสวาทของแม่เอ๋ย | |||
เจ้าไปไหนไม่มาหาแม่เลย | ที่โคกเคยวิ่งเล่นไม่เห็นตัว | |||
หรือล้มตายควายขวิดงูพิษขบ | ไฉนศพสาบสูญพ่อทูนหัว | |||
ยิ่งเย็นย่ำค่ำคลุ้มชอุ่มมัว | ยิ่งเริ่มรัวเรียกร่ำระกำใจ | |||
เสียงซ้อแซ้แกกาผวาว่อน | จิ้งจอกหอนโหยหาที่อาศัย | |||
จักจั่นเจื้อยร้องริมลองไน | เสียงเรไรหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง | |||
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด | เสียงจังหรีดกรีดแซ่ดังแตรสังข์ | |||
นางวันทองมองหาละล้าละลัง | หรือผีบังซ่อนเร้นไม่เห็นเลย | |||
จะบนหมูสุรารำว่าครบ | ขอให้พบลูกตัวทูนหัวเอ๋ย | |||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวแลชะแง้เงย | โอ้ทรามเชยหลากแล้วพ่อแก้วตา | |||
ตะโกนเรียกพลายงามทรามสวาท | ใจจะขาดคนเดียวเที่ยวตามหา | |||
สะอื้นโอ้โพล้เพล้เดินเอกา | สกุณานอนรังสะพรั่งไพร | |||
เห็นฝูงนกกกบุตรยิ่งสุดเศร้า | โอ้ลูกเราไม่รู้ว่าอยู่ไหน | |||
ชะนีโหวยโหยหวนรัญจวนใจ | ยิ่งอาลัยแลหาน้ำตานอง | |||
พอแจ้วแจ้วแว่วเสียงสำเนียงเรียก | นึกสำเหนียกหลายหนขนสยอง | |||
ตรงเซิงซุ้มคุ่มเคียงนางเมียงมอง | เห็นลูกร้องไห้สะอื้นยืนเหลียวแล | |||
ความดีใจไปกอดเอาลูกแก้ว | แม่มาแล้วอย่ากลัวทูนหัวแม่ | |||
เป็นไรไม่ไปเรือนเที่ยวเชือนแช | แม่ตามแต่ตะวันบ่ายเห็นหายไป ฯ | |||
๏ เจ้าพลายน้อยสร้อยเศร้าแล้วเล่าว่า | หม่อมพ่อพาเวียนวงให้หลงใหล | |||
แล้วทุบถีบบีบจมูกของลูกไว้ | เอาขอนไม้ทับคอแทบมรณา | |||
พอพวกพ้องของขุนแผนแล่นมาช่วย | จึงไม่ม้วยแม่คุณบุญหนักหนา | |||
ยังช้ำชอกยอกเหน็บเจ็บกายา | พูดน้ำตาผ็อยผ็อยด้วยน้อยใจฯ | |||
๏ นางวันทองร้องไห้ใจจะขาด | โอ้ชาตินี่มีกรรมจะทำไฉน | |||
แล้วเล่าความตามจริงทุกสิ่งไป | เจ้ามิใช่ลูกเต้าเขาจึงชัง | |||
พ่อของเจ้านั้นหรือชื่อขุนแผน | เป็นคนแค้นกับขุนช้างแต่ปางหลัง | |||
เอาทุกข์ร้อนก่อนเก่าเล่าให้ฟัง | เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในคุกเป็นทุกข์ทน | |||
จึงจนใจไม่มีที่จะพึ่ง | มันทำถึงสาหัสก็ขัดสน | |||
ครั้นจะฟ้องร้องเล่าเราก็จน | แม้นไม่พ้นมือมันจะอันตราย | |||
แต่รู้อยู่ว่าย่าทองประศรี | อยู่บ้านกาญจน์บุรีวัดเชิงหวาย | |||
แม้นไปถึงพึ่งพาย่าพ่อพลาย | จะสบายบุญปลอดตลอดไป | |||
แต่ทางนั้นวันครึ่งจึงถึงบ้าน | ทางกันดารเดินดงจะหลงใหล | |||
โอ้ใครเล่าเขาจะพาเจ้าคลาไคล | นางร้องไห้สะอื้นกลืนน้ำตา ฯ | |||
๏ เจ้าพลายงามถามซักตระหนักแน่ | พลางบอกแม่ลูกแสนแค้นหนักหนา | |||
อ้ายคนนี้มิใช่พ่อจะขอลา | ไปหาย่าอยู่บ้านกาญจน์บุรี | |||
สงสารแต่แม่คุณของลูกแก้ว | จะลับแล้วตายเป็นไม่เห็นผี | |||
เพราะพ่อเลี้ยงเดียงสาไม่ปรานี | อยู่ที่นี่ชีวันจะบรรลัย | |||
ไปสู้ตายวายวางเสียข้างหน้า | ด้วยเกิดมามีกรรมจะทำไฉน | |||
ขอลาแม่แต่นี้นับปีไป | แล้วร้องไห้หวลคิดถึงบิดา | |||
โอ้พ่อคุณขุนแผนของลูกเอ๋ย | เมื่อไรเลยลูกจะได้ไปเห็นหน้า | |||
ต้องติดคุกทุกข์ทุเรศเวทนา | เจ้าครวญคร่ำร่ำว่าด้วยอาลัย ฯ | |||
๏ นางวันทองร้องไห้จิตใจหาย | กอดเจ้าพลายงามน้อยละห้อยไห้ | |||
โอ้ลูกแก้วแววตาจะลาไป | หนทางป่าค่าไม้พ่อไม่เคย | |||
จะเลี้ยวหลงวงวกระหกระเหิน | เจ้าจะเดินไปถูกหรือลูกเอ๋ย | |||
โอ้ยากเย็นเข็ญใจกระไรเลย | เพราะกรรมเคยพรากสัตว์ให้พลัดพราย | |||
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าจะพรากไปจากแม่ | แม่จะแลเห็นใครน่าใจหาย | |||
พลางสวมสอดกอดแอบไว้แนบกาย | สะอื้นไห้ไม่วายฟายน้ำตา ฯ | |||
๏ จนจวนค่ำน้ำค้างลงพร่างพราย | ปลอบลูกชายพลายน้อยเสน่หา | |||
อ้ายศัตรูรู้ความจะตามมา | แม่จะพาเจ้าไปฝากขรัวนากไว้ | |||
แล้วพากันดั้นดัดไปวัดเขา | เห็นสมภารคลานเข้าไปกราบไหว้ | |||
แล้วเล่าความตามจริงทุกสิ่งไป | เจ้าคุณได้โปรดด้วยช่วยธุระ | |||
เอาลูกอ่อนซ่อนไว้เสียในห้อง | เผื่อพวกพ้องเขามาหาอย่าให้ปะ | |||
ท่านขรัวครูผู้เฒ่าว่าเอาวะ | ไว้ธุระเถิดอย่ากลัวที่ผัวเลย | |||
ถ้าหากว่ามาค้นจนถึงห้อง | กูมิถองก็จงว่าสีกาเอ๋ย | |||
ฆ่าลูกเลี้ยงเอี้ยงดูกูไม่เคย | อย่าทุกข์เลยลุงจะช่วยลูกอ่อนไว้ ฯ | |||
๏ นางวันทองหมองหมางไม่สร่างทุกข์ | กระหมวดจุกลูกยาน้ำตาไหล | |||
เห็นจวนค่ำจำลาทั้งอาลัย | ลงบันไดเดินด่วนด้วยจวนเย็น | |||
พอเข้าไปในรั้วด่าผัวโผง | อ้ายตายโหงหักคอไม่ขอเห็น | |||
แต่ชาตินี้กีกรรมจึงจำเป็น | ได้ชายเช่นนี้มาเป็นสามี | |||
ขึ้นบนเรือนเหมือนใจจะจากร่าง | เห็นขุนช้างชิงชังผินหลังหนี | |||
เข้าในห้องหมองอารมณ์ไม่สมประดี | เห็นแต่ที่นอนเปล่ายิ่งเศร้าใจ | |||
คิดถึงลูกผูกพันให้หวั่นอก | น้ำตาตกผ็อยผ็อยละห้อยไห้ | |||
โอ้ลูกเอ๋ยเคยนอนแต่ก่อนไร | จนเจ้าได้สิบปีเข้านี่แล้ว | |||
อยู่หลัดหลัดพลัดพรากไปจากแม่ | แม่ยังแลเห็นแต่ฟูกของลูกแก้ว | |||
โอ้พลายงามทรามสวาทจะคลาดแคล้ว | เสียงแจ้วแจ้วเจ้าวันทองนองน้ำตาฯ | |||
๏ ฝ่ายขุนช้างคางเคราอ้ายเจ้าเล่ห์ | เมาโมเมยิ้มกริ่มอยู่ริมฝา | |||
เสียงวันทองร้องไห้จุดไฟมา | ส่องดูหน้านั่งเคียงบนเตียงนอน | |||
ทำไถลไถ่ถามเป็นความหยอก | หรือหนามยอกเจ็บป่วยจะช่วยถอน | |||
พลางรับขวัญวันทองร้องละคร | เจ้าทุกข์ร้อนรำคาญประการใด ฯ | |||
นางวันทองข้องขัดสะบัดหน้า | ขุนช้างรำทำท่าเข้าคว้าไขว่ | |||
นางผลักพลิกหยิกข่วนว่ากวนใจ | ไฮ้อะไรนี่เล่าเฝ้าเซ้าซี้ | |||
ลูกข้าหายตายเป็นไม่เห็นศพ | อย่ามากลบรอยเสือเบื่อบัดสี | |||
เจ้าพาไปในป่าพนาลี | แล้วก็มิพามาว่ากระไร ฯ | |||
๏ ขุนช้างฟังช่างแก้อีแม่เจ้า | ข้าเมาเหล้าหลับซบสลบไสล | |||
ใครบอกเจ้าเล่าว่าข้าพาไป | หล่อนไม่ได้ตามข้าผ่าเถิดซิ | |||
เมื่อกลางวันยังเห็นเล่นไม้หึ่ง | กับอ้ายอึ่งอีดูกลูกอีปิ | |||
แล้วว่าเจ้าเล่าก็ช่างนั่งมึนมิ | ว่าแล้วซิอย่าให้ลงไปดิน | |||
ลูกปะหล่ำกำไลใส่ออกกลบ | ฉวยว่าพบคนร้ายอ้ายคอฝิ่น | |||
มันจะทุบยุบยับเหมือนกับริ้น | ง้างกำไลไปกินเสียแล้วกรรม | |||
แล้วแก้เก้อเร่อออกไปนอกห้อง | ตะโกนร้องเรียกข้ามาด่าพร่ำ | |||
ไปเที่ยวตามถามหาถึงท่าน้ำ | ไม่พบทำถอนใจกลับไปเรือน | |||
รินสุรามาดื่มลืมสติ | อุตริร้องไห้ใครจะเหมือน | |||
ขึ้นหอขวางกลางแจ้งเห็นแสงเดือน | โอ้พ่อเพื่อนชีวิตของบิตุรงค์ | |||
แกล้งร้องร่ำคร่ำครวญทำหวนโหย | สะโอดโอยเอกทุ้มจนลุ่มหลง | |||
ถึงท่อนปลายกรายเกริ่นเป็นเดินดง | ปีกเจ้าอ่อนร่อนลงในดงเตย | |||
แล้วรู้ตัวกลัวเมียร้องเสียใหม่ | เจ้าจำไกลพ่อแล้วลูกแก้วเอ๋ย | |||
เสียงอ้อแอ้แผ่กายนอนหงายเลย | จนลืมเลยซบเซาด้วยเมามาย ฯ | |||
๏ นวลนางวันทองค่อยย่องย่าง | เห็นขุนช้างหลับสมอารมณ์หมาย | |||
สะอื้นอั้นพันผูกถึงลูกชาย | จนพลัดพรายเพราะผัวเป็นตัวมาร | |||
จึงเย็บไถ้ใส่ขนมกับส้มลิ้ม | ทั้งแช่อิ่มจันอับลูกพลับหวาน | |||
แหวนราคาห้าช่างทองบางตะพาน | ล้วนต้องการเก็บใส่ในไถ้น้อย | |||
ไปอยู่บ้านท่านย่าจะหายาก | เมื่ออดอยากอย่างไรได้ใช้สอย | |||
แล้วนั่งนึกตรึกตราน้ำตาย้อย | รำคาญคอยสุริยาจะคลาไคล ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพลายงามทรามสงสาร | พึ่งสมภารอยู่ในห้องนั่งร้องไห้ | |||
พวกศิษย์เณรเถรชีต้นช่วยฝนไพล | มาลูบไล้แผลที่มันตีรัน | |||
แล้วสมภารท่านก็หลับระงับเงียบ | ยิ่งเย็นเยียบเยือกใจเมื่อไก่ขัน | |||
เพราะแม่ลูกผูกจิตคิดถึงกัน | เฝ้าใฝ่ฝันเฟือนแลเห็นแม่มา | |||
ดุเหว่าร้องซ้องเสียงสำเนียงแจ้ว | ให้แว่วว่าวันทองร้องเรียกหา | |||
สะดุ้งใจไหววับทั้งหลับตา | ร้องขานขาสุดเสียงแต่เที่ยงคืน | |||
ครั้นรู้สึกนึกได้ให้ละห้อย | เจ้าพลายน้อยนิ่งนอนถอนสะอื้น | |||
จนเคาะระฆังหงั่งเหง่งเสียงเครงครื้น | สมภารตื่นเตือนชีต้นสวดมนตร์เกณฑ์ฯ | |||
๏ นางวันทองร้องไห้เมื่อใกล้รุ่ง | น้ำค้างฟุ้งฟ้าแดงเป็นแสงเสน | |||
ด้วยวัดเขาเข้าใจเคยไปเจน | โจงกระเบงมั่นเหมาะห่มเพลาะดำ | |||
แล้วถือไถ้ใส่ขนมผ้าห่มหุ้ม | ออกย่างดุ่มเดินเหย่าก้าวถลำ | |||
ลงจากเรือนเชือนมาข้างท่าน้ำ | แล้วรีบร่ำเดินตรงเข้าดงตาล | |||
ถึงวัดเขาเช้าตรู่ดูลูกน้อย | เห็นมาคอยนั่งท่าน่าสงสาร | |||
จะนั่งหยุดพูดจาจะช้าการ | ลาสมภารพามาป่าสะแก | |||
ให้ขนมส้มสูกแก่ลูกรัก | สงสารนักจะร้างไปห่างแม่ | |||
หนทางบ้านกาญจน์บุรีตรงนี้แล | จำให้แน่นะอย่าหลงเที่ยววงเวียน | |||
อุตส่าห์ไปให้ถึงเหมือนหนึ่งว่า | ให้คุณย่าเป็นอาจารย์สอนอ่านเขียน | |||
จงหมายมุ่งทุ่งกว้างตามทางเกวียน | ที่โล่งเลี่ยนลัดไปในไพรวัน | |||
แล้วเกล้าจุกผูกไถ้ที่ใส่ของ | ให้แหวนทองทุกสิ่งทำมิ่งขวัญ | |||
แล้วกอดลูกผูกใจจะไกลกัน | สะอื้นอั้นออกปากฝากเทวา | |||
ขอเดชะพระไพรข้าไหว้กราบ | ช่วยกำราบเสือสิงห์มหิงสา | |||
ทั้งปู่เจ้าเขาเขินขอเชิญพา | ไปถึงย่าอย่าให้หลงเที่ยววงวน | |||
ทั้งพ่อคุณขุนแผนแสนวิเศษ | บังเกิดเกศแก้วตาสถาผล | |||
ช่วยลูกชายพลายงามเมื่อยามจน | ให้รอดพ้นภัยพาลถึงกาญจน์บุรี | |||
นางคร่ำครวญร่ำว่าน้ำตาตก | เหมือนหนึ่งอกพุพองเป็นหนองฝี | |||
แม่อุ้มท้องครองเลี้ยงถึงเพียงนี้ | ได้สิบปีเศษแล้วจะแคล้วกัน | |||
เคยกินนอนวอนแม่ไม่แหห่าง | จะอ้างว้างเปล่าใจในไพรสัณฑ์ | |||
ทั้งจุกไรใครเล่าจะเกล้าพัน | จะนับวันนับเดือนไปเลือนลับ | |||
นับปีมิได้มาเห็นหน้าแม่ | จะห่างแหหายเหมือนเมื่อเดือนดับ | |||
โอ้เสียชาติวาสนาแม่อาภัพ | ให้ย่อยยับยากแค้นแสนระอา | |||
จะมีผัวผัวก็พลัดกำจัดจาก | จนแสนยากอย่างนี้แล้วมิหนำ | |||
มามีลูกลูกก็จากวิบากกรม | สะอื้นร่ำรันทดสลดใจ ฯ | |||
๏ เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่ | ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล | ||
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย | ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ | ||
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก | ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะอ้ายขุน | ||
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ | ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน | ||
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก | คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน | ||
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน | จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว | ||
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน | เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว | ||
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว | แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ ฯ | ||
๏ นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน | อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้ | ||
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย | จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน | ||
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ | เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน | ||
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน | จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ | ||
ลูกก็และดูแม่แม่ดูลูก | ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล | ||
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย | แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา | ||
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น | แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา | ||
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ | โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง ฯ | ||
๏ นางวันทองหมองมัวกลัวขุนช้าง | ไม่เหมือนอย่างคนทั้งปวงมันหวงหึง | ||
ออกชายทุ่งมุ่งเมินเดินตะบึง | กลับมาถึงเรือนร่ำระกำตรอม | ||
ทุกเช้าเย็นเศร้าหมองเฝ้าร้องไห้ | ด้วยอาลัยพลายงามทรามถนอม | ||
ถึงยามกินสิ้นรสสู้อดออม | จนซูบผอมผิวพรรณทุกวันคืน ฯ | ||
๏ เจ้าพลายงามตามทางไปกลางทุ่ง | เขม้นมุ่งเขาเขินเดินสะอื้น | ||
ออกหลังบ้านตาลตะคุ่มเป็นพุ่มพื้น | ร่มรื่นรังเรียงเคียงตะเคียน | ||
ต้นแคคางกร่างกระทุ่มชอุ่มออก | ทั้งช่อดอกดูไสวเหมือนไม้เขียน | ||
เจ้าพลายเพลินเดินพลางตามทางเกวียน | ตลอดเลี่ยนลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยมา | ||
ถงโคกฆ้องหนองสะพานบ้านกะเหรี่ยง | เห็นโรงเรียงไร่ฝ้ายทั้งซ้ายขวา | ||
พริกมะเขือเหลืออร่ามงามตา | สาลิกาแก้วกินแล้วบินฮือ | ||
เห็นไก่เตี้ยเขี่ยคุ้ยที่ขุยไผ่ | กระโชกไล่ลดเลี้ยวมันเปรียวปรื๋อ | ||
พบนกยูงฝูงใหญ่ไล่กระพือ | มันบินหวือโห่ร้องคะนองใจ | ||
จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยข้อให้ท้อแท้ | คิดถึงแม่วันทองแล้วร้องไห้ | ||
พระสุริยาสายัณห์ลงเรไร | เหมือนจิตใจเจ้าจะขาดลงรอนรอน | ||
พอจวนพลบพบฝูงจิ้งจอกน้อย | วิ่งร่อยร่อยตามเขาแล้วเห่าหอน | ||
แสยงเส้นโลมาให้อาวรณ์ | ถึงดงดอนแดนบ้านกาญจน์บุรี | ||
เห็นวัดร้างข้างเขาดูเก่าแก่ | ยังมีแต่รูปพระชินสีห์ | ||
โบสถ์โบราณบานประตูยังดูดี | พอราตรีกราบไหว้อาศัยนอน | ||
ครั้นรุ่งเช้าเอาขนมทั้งส้มลิ้ม | พอกินอิ่มแล้วออกเดินเนินสิงขร | ||
ถึงบ้านกร่างทางคนเขาหาบคอน | เห็นเด็กต้อนควายอึงคะนึงไป | ||
ไม่รู้ความถามเหล่าพวกชาวบ้าน | ว่าเรือนท่านทองประศรีอยู่ที่ไหน | ||
เด็กบ้านนอกบอกเล่าให้เข้าใจ | แกอยู่ไร่โน่นแน่ะยังแลลับ | ||
มะยมใหญ่ในบ้านกินหวานนัก | กูไปลักบ่อยบ่อยแกคอยจับ | ||
พอฉวยได้อ้ายขิกหยิกเสียยับ | ร้ายเหมือนกับผีเสื้อแกเหลือตัว | ||
ถ้าลูกใครไปเล่นแกเห็นเข้า | แกจับเอานมยานฟัดกบาลหัว | ||
มาถามหาว่าไรช่างไม่กลัว | แกจับตัวตีตายยายนมยาน ฯ | ||
๏ เจ้าพลายงามถามแจ้งแล้วแกล้งว่า | เอ็งช่วยพาเราไปชมมะยมหวาน | ||
จะขึ้นลักหักห่อให้พอการ | มาสู่ท่านทั้งสิ้นกินด้วยกัน | ||
พวกเด็กเด็กดีใจไปสิหวา | ซ่อนข้าวปลาปล่อยควายแล้วผายผัน | ||
บ้างเหน็บหน้าผ้านุ่งเกี้ยวพุงพัน | หัวเราะกันกูจะห่อให้พอแรง | ||
พอถึงบ้านท่านยายทองประศรี | พวกเด็กชี้เรือนให้แล้วแอบแฝง | ||
เจ้าพลายงามขามจิตยังคิดแคลง | ค่อยลัดแลงเล็งแลมาแต่ไกล | ||
ดูเงียบเชียบเลียบรอบริมขอบรั้ว | ไม่เห็นตัวท่านย่าน่าสงสัย | ||
ประตูหับยับยั้งยืนฟังไป | เสียงแต่ในออดแอดแรดแรแร | ||
รู้ว่าคนบนนั้นนั่งปั่นฝ้าย | จะอุบายบอกความตามกระแส | ||
ขึ้นมะยมห่มล้อทำตอแย | ให้ท่านแลเห็นเรามาเอาตัว | ||
จึงจะบอกออกตามเนื้อความลับ | ได้อยู่กับย่าบังเกิดกำเนิดหัว | ||
แล้วเมียงมองย่องดอดเข้าลอดรั้ว | ค่อยแฝงตัวขึ้นบนต้นมะยม | ||
แล้วพยักกวักเรียกอ้ายเด็กเด็ก | ลูกเล็กหลบลอบค่อยหมอบก้ม | ||
ระวังตัวกลัวยายเฒ่าเจ้าคารม | เก็บมะยมซุบซิบกระหยิบตา ฯ | ||
๏ ครานั้นท่านยายทองประศรี | กับยายปลียายเปลอยู่เคหา | ||
ให้พวกเหล่าบ่าวไพร่ไปไร่นา | ตามประสาเพศบ้านกาญจน์บุรี | ||
แต่ขุนแผนแสนสนิทต้องติดคุก | ไม่มีสุขเศร้าหมองทองประศรี | ||
จนซูบผอมตรอมใจมาหลายปี | อยู่แต่ที่ในห้องนองน้ำตา | ||
แต่หูไวได้ยินมะยมหล่น | เป็นทำวลแหวกมองตามช่องฝา | ||
เห็นเด็กเด็กเล็ดดลอดดอเข้ามา | แกฉวยคว้าไม้ตระบองค่อยมองเมียง | ||
ลงบันไดอ้ายเด็กเล็กกเล็กวิ่ง | แกไล่ทิ้งด่าทอมันล้อเถียง | ||
ชกโคตรเหง้าเหล่ากอเอาพอเพียง | พอแว่วเสียงอยู่บนต้นมะยม | ||
มองเขม้นเห็นลูกหัวจุกน้อย | เหม่อ้ายจ้อยโจรป่าด่าขรม | ||
อย่าแอบอิงนิ่งนั่งตั้งเทพนม | ลงมาก้มหลังลองตระบองกู ฯ | ||
๏ เจ้าพลายงามคร้ามพรั่นขยั้นหยุด | ความกลัวสุดแสนกลัวตัวเป็นหนู | ||
จึงว่าฉานหลานดอกบอกให้รู้ | อันอยู่ที่เมืองสุพรรณบ้านวันทอง | ||
ทองประศรีชี้หน้าว่าอุเหม่ | อ้ายเจ้าเล่ห์หลานข้ามันน่าถอง | ||
มาเถิดมาย่าจะให้ไม้ตระบอง | แกคอยจ้องจะทำให้หนำใจ | ||
เจ้าพลายงามความกลัวจนตัวสั่น | หยุดขยั้นอยู่ไม่กล้าลงมาได้ | ||
แล้วนึกว่าย่าตัวกลัวอะไร | โจนลงไปกราบย่าที่ฝ่าตีน ฯ | ||
๏ ทองประศรีตีหลังเสียงดังผึง | จะมัดมึงกูไม่ปรับเอาทรัพย์สิน | ||
มาแต่ไหนลูกไทยหรือลูกจีน | เฝ้าลักปีนมะยมห่มหักราน | ||
เจ้าพลายน้อยคอยหลบแล้วนบนอบ | ฉันเจ็บบอบแล้วย่าเมตตาหลาน | ||
ข้าเป็นลูกพ่อขุนแผนแสนสะท้าน | ข้างฝ่ายมารดาชื่อแม่วันทอง | ||
จะมาหาย่าชื่อทองประศรี | อย่าเพ่อตีฉันจะเล่าความเศร้าหมอง | ||
ย่าเขม้นเห็นจริงทิ้งตระบอง | กอดประคองรับขวัญกลั้นน้ำตา | ||
แล้วด่าตัวชั่วเหลือไม่เชื่อเจ้า | ขืนตีเอาหลานรักเป็นหนักหนา | ||
จนหัวห้อยพลอยนอพ่อนี่นา | แล้วพามาขึ้นเรือนเตือนยายปลี | ||
ช่วยฝนไพลให้เหลวเร็วเร็วเข้า | อีเปลเอาขันล้างหน้าออกมานี่ | ||
แกตักน้ำร่ำรดหมดราคี | ช่วยขัดสีโซมขมิ้นสิ้นเป็นชาม | ||
แล้วทาไพลให้หลานสงสารเลหือ | มานั่งเสื่อลันไตปราศรัยถาม | ||
เจ้าชื่อไรใครบอกออกเนื้อความ | จึงได้ตามขึ้นมาถึงย่ายาย ฯ | ||
๏ เจ้าพลายน้อยสร้อยเศร้าแล้วเล่าเรื่อง | แต่อยู่เมืองสุพรรณเหมือนมั่นหมาย | ||
แม่วันทองครองเลี้ยงไว้เคียงกาย | ให้ชื่อพลายงามน้อยแก้วกลอยใจ | ||
ให้ไหว้บุญขุนช้างเหมือนอย่างพ่อ | มันลวงล่อหลานหลงไม่สงสัย | ||
พาหลานเที่ยวเลี้ยวทางไปกลางไพร | เอาขอนไม้ทับคอแทบมรณา | ||
แม่จึงบอกออกว่าพ่อชื่อขุนแผน | ขุนช้างแค้นเคืองคิดริษยา | ||
อยู่ไม่ได้ในสุพรรณจึงดั้นมา | ขอพึ่งบุญคุณย่าประสาจน ฯ | ||
๏ ทองประศรีตีอกชกผางผาง | ทุดอ้ายช้างชาติข้าอ้ายหน้าขน | ||
ลูกอีเฒ่าเทพทองคลองน้ำชน | จะฆ่าคนเสียทั้งเป็นไม่เอ็นดู | ||
ทำราวเจ้าชีวิตกูคิดฟ้อง | ให้มันต้องโทษกรณ์จนอ่อนหู | ||
แกบ่นว่าด่าร่ำออกพร่ำพรู | พ่อมาอยู่บ้านย่าแล้วอย่ากลัว | ||
แม้นอ้ายขุนวุ่นมาว่าเป็นลูก | มันมิถูกนมยานฟัดกบาลหัว | ||
พลางเรียกอีไหมที่ในครัว | เอาแกงคั่วข้าวปลามาให้กิน | ||
พอบ่ายเบี่ยงเสียงละว้าพวกข้าบ่าว | ทั้งมอญลาวเลิกนาเข้ามาสิ้น | ||
บ้างสุมไฟใส่ควันกันยุงริ้น | ตามถิ่นบ้านนอกอยู่คอกนา ฯ | ||
๏ ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องทองประศรี | เรียกยายปลียายเปลเข้าเคหา | ||
เย็บบายศรีนมแมวจอกแก้วมา | ใส่ข้าวปลาเปรี้ยวหวานเอาจานรอง | ||
เทียนดอกไม้ไข่ข้าวมะพร้าวพร้อม | น้ำมันหอมแป้งปรุงฟุ้งทั้งห้อง | ||
ลูกปะหล่ำกำไลไขออกกอง | บอกว่าของพ่อเจ้าแต่เยาว์มา | ||
เอาสอดใส่ให้หลานสงสารเหลือ | ด้วยหน่อเนื้อนึกรักเป็นหนักหนา | ||
เหมือนพ่อแผนแสนเหมือนไม่เคลื่อนคลา | ทั้งหูตาคมสันเป็นมันยับ | ||
พลางเรียกหาข้าคนมาบนหอ | ให้นั่งต่อต่อกันเป็นอันดับ | ||
บายศรีตั้งพรั่งพร้อมน้อมคำนับ | เจริญรับมิ่งขวัญรำพันไป ฯ | ||
๏ ขวัญพ่อพลายงามทรามสวาท | มาชมภาชนะทองอันผ่องใส | ||
ล้วนของขวัญจันทร์จวงพวงมาลัย | ขวัญอย่าไปป่าเขาลำเนาเนิน | ||
เห็นแต่เนื้อเสือสิงห์ฝูงลิงค่าง | จะอ้างว้างเวียนวกระหกระเหิน | ||
ขวัญมาหาย่าเถิดอย่าเพลิดเพลิน | จงเจริญร้อยปีอย่ามีภัย | ||
แล้วจุดเทียนเวียนวงส่งให้บ่าว | มันโห่กราวเกรียวลั่นสนั่นไหว | ||
คอยรับเทียนเเวียนส่งเป็นวงไป | แล้วดับไฟโบกควันให้ทันที | ||
มะพร้าวอ่อนป้อนเจ้าทั้งข้าวขวัญ | กระแจะจันทน์เจิมหน้าเป็นราศี | ||
ให้สาวสาวลาวเวียงที่เสียงดี | มาซอปี่อ้อซั้นทำขวัญนาย ฯ | ||
๏ พ่อเมื้อเมืองดง | เอาพงเป็นเหย้า | อึดปลาอึดข้าว | ขวัญเจ้าตกหาย | |||
ขวัญอ่อนร่อแร่ | ว้าเหว่สู่กาย | อยู่ปลายยางยูง | ท้องทุ่งท้องนา | |||
ขวัญเผือเมื้อเมิน | ขอเชิญขวัญพ่อ | ฟังซอเสียงอ้อ | ขวัญพ่อเจ้าจ๋า | |||
ข้าวเหนียวเต็มพ้อม | ข้าวป้อมเต็มป่า | ขวัญเจ้าจงมา | สู่กายพลายเอยฯ | |||
๏ แล้วพวกมอญซ้อนซอเสียงอ้อแอ้ | ร้องทะแยย่องกระเหนาะย่ายเตาะเหย | |||
ออระน่ายพลายงามพ่อทรามเชย | ขวัญเอ๋ยกกกะเนียงเกรียงเกลิง | |||
ให้อยู่ดีกินดีมีเมียสาว | เนียงกะราวกนตะละเลิงเคลิ่ง | |||
มวยบามาขวัญจงบันเทิง | จะเปิงยี่อิกะปิปอน | |||
ทองประศรีดีใจให้เงินบาท | เห็นแต่ทาสพรั่งพร้อมล้อมสลอน | |||
ถึงเวลาพาเจ้าเข้าที่นอน | มีฟูกหมอนมุ้งม่านสำราญใจ ฯ | |||
๏ เจ้าพลายงามถามย่าว่าพ่อแผน | ต้องคับแค้นเคืองเข็ญเป็นไฉน | |||
ไม่เคยคุ้นคุณย่าช่วยพาไป | พอหลานได้เห็นหน้าบิดาตัว | |||
ได้ฟังหลานท่านย่าน้ำตาตก | สะอื้นอกอาดูรว่าทูนหัว | |||
พ่อเอ็งย่าว่าไรเขาไม่กลัว | เพราะเมามัวเมียลาวนางชาววัง | |||
ไปทูลขอพระองค์ทรงพระโกรธ | ให้ลงโทษทนทุกข์ใส่คุกขัง | |||
แต่ไม่ต้องจองจำอยู่ลำพัง | ถึงสิบปีแล้วยังไม่พ้นเลย | |||
รุ่งพรุ่งนี้สิย่าจะพาเจ้า | ไปหาเขาอยู่ที่ทับริมหับเผย | |||
ให้พ่อเห็นเย็นอารมณ์ได้ชมเชย | พูดจนเลยลืมหลับระงับไป ฯ | |||
๏ เห็นแสงทองหมองจิตคิดถึงลูก | สั่งบ่าวผูกช้างสัปคับใหญ่ | |||
ใส่ข้าวปลาผ้าผ่อนท่อนสไบ | กับไต้ไฟฟักแฟงแตงน้ำตาล | |||
ทั้งปูนยาสาคูแลพลูหมาก | จะไปฝากขุนแผนแสนสงสาร | |||
อ้ายกุลาตาหลอเป็นหมอควาญ | แล้วพาหลานขึ้นช้างตามทางมา | |||
ลงบางขามข้ามบ้านสะพานโขลง | ออกทุ่งโล่งเลี้ยวทางไปข้างขวา | |||
สองวันครึ่งถึงกรุงอยุธยา | ลงเดินพาพลายงามไปตามทาง ฯ | |||
๏ จะกล่าวฝ่ายนายขุนแผนที่แสนทุกข์ | แต่ติดคุกขัดข้องให้หมองหมาง | |||
อยู่หับเผยเคยสะอาดขาดสำอาง | จนผอมซูบรูปร่างดูรุงรัง | |||
ผมยาวเกล้ากระหวัดตัดไม่เข้า | เหตุด้วยเขาคงทนทั้งมนตร์ขลัง | |||
อยู่เปล่าเปล่าเล่าก็จนพ้นกำลัง | อุตส่าห์นั่งทำการสานกระทาย | |||
ให้นางแก้วกิริยาช่วยทารัก | ขุนแผนถักขอบรัดกระหวัดหวาย | |||
ใบละบาทคาดได้ด้วยง่ายดาย | แขวนไว้ขายทั้งเรือนออกเกลื่อนไป | |||
พอมารดามาถึงทับรับเข้าห้อง | ทั้งข้าวของผู้คนขนมาให้ | |||
เห็นลูกชายพลายงามถามทันใด | นี่ลูกใครหน้าตาน่าเอ็นดู ฯ | |||
๏ ทองประศรีชี้แจงแถลงเล่า | นี่ลูกเจ้าแล้วเป็นไรไหว้เสียหนู | |||
แล้วบอกความตามที่มีศัตรู | ขุนแผนรู้รับขวัญกลั้นน้ำตา | |||
เข้าสวมสอดกอดจูบแล้วลูบหลัง | น้ำตาพรั่งพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | |||
แค้นขุนช้างดังจะดิ้นสิ้นชีวา | มันชะล่าชะเลยจนเคยตัว | |||
ฉุดคร่าพาวันทองไปครองคู่ | เห็นว่ากูถือสัตย์ไม่ตัดหัว | |||
ทั้งลูกเต้าเอาไปฆ่าเหมือนม้าวัว | หมายว่ากลัวแล้วกระมังอ้ายจังไร | |||
วันนี้ค่ำจำจะไปให้ถึงบ้าน | สับกบาลหัวเชือดให้เลือดไหล | |||
ลูกผู้ชายตายไหนก็ตายไป | ขัดใจฮึดฮัดกัดฟันฟาง ฯ | |||
๏ ท่านย่าทองประศรีว่าอีพ่อ | แม่จะขอทัดทานเหมือนขัดขวาง | |||
ไปฆ่าผีดีกว่าฆ่าขุนช้าง | จะสืบสร้างบาปกรรมไปทำไม | |||
ลูกของเจ้าเล่าก็มาหาเจ้าแล้ว | ใช่เชื้อแถวเจ้ายังมีอยู่ที่ไหน | |||
จงฟังแม่แต่เท่านั้นแล้วกันไป | พ่อจะได้ภาวนารักษากาย | |||
ลูกของเจ้าเล่าแม่จะรับเลี้ยง | ช่วยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ได้ถวาย | |||
ที่กริ้วโกรธโทษกรณ์จะผ่อนคลาย | คราวเคราะห์ร้ายเจ้าจงเจียมเสงี่ยมตน | |||
โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้ | ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน | |||
ที่ทุกข์โศกโรคร้อนค่อยผ่อนปรน | คงจะพ้นโทษทัณฑ์ไม่บรรลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ | ก้มกราบมารดาน้ำตาไหล | |||
ลูกเห็นแต่แม่คุณค่อยอุ่นใจ | ช่วยสอนให้พลายงามเรียนความรู้ | |||
อันตำรับตำราสารพัด | ลูกเก็บจัดแจงไว้ที่ในตู้ | |||
ถ้าลืมหลงตรงไหนไขออกดู | ทั้งของครูของพ่อต่อกันมา | |||
แล้วลูบหลังสั่งความพลายงามน้อย | เจ้าจงค่อยร่ำเรียนเขียนคาถา | |||
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา | ไปเบื้องหน้าเติบใหญ่จะให้คุณ | |||
เรายากแล้วแก้วตาอย่าประมาท | ทั้งสิ้นญาติสิ้นเชื้อจะเกื้อหนุน | |||
ทุกวันนี้มีแต่ย่ายังการุญ | พ่อพึ่งบุญเถิดลูกได้ปลูกเลี้ยง | |||
จงนึกว่าย่าเหมือนกับแม่พ่อ | ถึงด่าทอเท่าไรอย่าได้เถียง | |||
อันพ่อนี้มิได้อยู่ใกล้เคียง | ไม่ได้เลี้ยงลูกแล้วนาแก้วตา | |||
พลางกอดพลายงามแอบไว้แนบอก | น้ำตาตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา | |||
โอ้มีกรรมทำไว้แต่ไรมา | พอเห็นหน้าลูกแล้วจะแคล้วกัน | |||
มาหาพ่อพ่อไม่มีสิ่งไรผูก | ยังแต่ลูกประคำจะทำขวัญ | |||
อยู่หอกปืนยืนยงคงกระพัน | ได้ป้องกันกายาข้างหน้าไป ฯ | |||
๏ เจ้าพลายงามความแสนสงสารพ่อ | น้ำตาคลอคลอตกซกซกไหล | |||
รับประคำร่ำว่าประสาใจ | ฉันจะใคร่อยู่ด้วยช่วยบิดา | |||
ได้ตักน้ำตำข้าวทุกเช้าค่ำ | ที่พอทำฟืนผักจะหักหา | |||
ให้พ่อพ้นทนทุกข์แล้วลูกยา | จะอุตส่าห์เล่าเรียนค่อยเพียรไป ฯ | |||
๏ ขุนแผนแสนสวาทจะขาดจิต | กะจิริดรู้ว่าจะหาไหน | |||
น่าสงสารท่านย่าพลอยอาลัย | น้ำตาไหลพรากพรากเพราะยากเย็น | |||
ขุนแผนว่าจะอยู่ดูไม่ได้ | ในคุกใหญ่มันยากแค้นถึงแสนเข็ญ | |||
เหมือนกับนรกตกทั้งเป็น | มิได้เว้นโทษทัณฑ์สักวันเลย | |||
แต่พ่อนี้ท่านเจ้ากรมยมราช | อนุญาตให้อยู่ทับในหับเผย | |||
คนทั้งหลายนายมุลก็คุ้นเคย | เขาละเลยพ่อไม่ต้องถูกจองจำ | |||
ทั้งข้าวปลาสารพันทุกวันนี้ | พระหมื่นศรีเธอช่วยชุบอุปถัมภ์ | |||
ค่อยเบาใจไม่พักต้องตักตำ | คุณท่านล้ำล้นฟ้าด้วยปรานี | |||
ถ้าแม้นเจ้าเล่าเรียนความรู้ได้ | จะพาไปพึ่งพระจมื่นศรี | |||
ถวายตัวพระองค์ทรงธรณี | จะได้มีเกียรติยศปรากฏไป ฯ | |||
๏ พลายงามน้อยสร้อยเศร้ารับเจ้าคะ | ดีฉันจะพากเพียรเรียนให้ได้ | |||
ต่างพูดจาพาทีค่อยดีใจ | จนจวนใกล้โพล้เพล้ถึงเวลา | |||
ทองประศรีสั่งความว่ายามค่ำ | แม่จะจำจากพ่อแก้วไปแล้วหนา | |||
ขุนแผนแสนสะท้านไหว้มารดา | พลายงามลาพ่อลูกผูกอาลัย | |||
ตามย่ามาพ้นทับที่หับเผย | ไม่ลืมเลยเหลียวหน้าน้ำตาไหล | |||
ทั้งขุนแผนแสนสวาทเพียงขาดใจ | ต่างอาลัยแลลับวับวิญญาณ์ | |||
ไปขึ้นช้างข้างวัดท่าการ้อง | พอเดือนส่องแสงสว่างกลางเวหา | |||
ออกข้ามทุ่งกรุงศรีอยุธยา | รีบกลับมาถึงบ้านกาญจน์บุรีฯ | |||
๏ อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย | ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี | |||
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี | เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์ | |||
ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด | แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน | |||
หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล | แล้วเล่ามนตร์เสกขมิ้นกินน้ำมัน | |||
เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก | แทงจนเหล็กแหลมลู่ยู่ขยั้น | |||
มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน | ทั้งเลขยันตร์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย | |||
แล้วทำตัวหัวใจปิติโส | สะเดาะโซ่ตรวนได้ดังใจหมาย | |||
สะกดคนมนตร์จังงังกำบังกาย | เมฆฉายสูรย์จันทร์ขยันดี | |||
ทั้งเรียนธรรมกรรมฐานนิพพานสูตร | ร้องเรียกภูตพรายปราบกำราบผี | |||
ผูกพยนต์หุ่นหญ้าเข้าราวี | ทองประศรีสอนหลานชำนาญมา | |||
จนอายุพลายงามสิบสามขวบ | ดูขาวอวบอ้วนท้วนเป็นนวลหน้า | |||
ด้วยเนื้อแตกแรกรุ่นละมุนตา | กิริยาแย้มยิ้มหงิมหงิมงาม | |||
นัยน์ตากลมคมขำดูดำขลับ | ใครแลลับรักใคร่ปราศรัยถาม | |||
ทองประศรีดีใจได้ฤกษ์ยาม | ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้วกู | |||
จะโกนจุกสุกดิบขึ้นสิบค่ำ | แกทำน้ำยาจีนต้มตีนหมู | |||
พวกเพื่อนบ้านวานมาผ่าหมากพลู | บ้างปัดปูเสื่อสาดลาดพรมเจียม | |||
ทั้งหม้อเงินหม้อทองสำรองตั้ง | มีทั้งสังข์ใส่น้ำมนตร์ไว้จนเปี่ยม | |||
อัฒจันทร์ชั้นพระก็ตระเตรียม | ตามธรรมเนียมห้องกลองฉลองทาน | |||
ถึงวันดีนิมนต์ขรัวเกิดเฒ่า | อยู่วัดเขาชนไก่ใกล้กับบ้าน | |||
พอพิณพาทย์คาดตระสาธุการ | ท่านสมภารพาพระสงฆ์สิบองค์มา | |||
นั่งสวดมนตร์จนจบพอพลบค่ำ | ก็ซัดน้ำมนตร์สาดเสียงฉาดฉ่า | |||
ผู้ชายเสียดเบียดสาวชาวละว้า | เสียงเฮฮาฮึดฮัดเมื่อซัดน้ำ | |||
ผู้หญิงหยิกตะกายผู้ชายทับ | เสียงหนุบหนับเหนาะแหนะแขยะขยำ | |||
จนอีหังคลั่งใจถีบอ้ายดำ | ลุกขึ้นปล้ำกันออกอึงเสียงตึงตัง | |||
ทองประศรีดีใจว่าใครแพ้ | สนุกแน่แล้วอ้ายดำปล้ำอีหัง | |||
แล้วให้หลานผลัดผ้ามาเก้กัง | เข้าไปนั่งกราบกรานสมภารครู | |||
ขรัวเกิดแลมองเห็นทองประศรี | ถามว่านี่ลูกใครเล่าไอ้หนู | |||
เจ้าขรัวย่าอ้าปากน้ำหมากพรู | เล่าให้รู้แต่ต้นมาจนปลาย | |||
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าขุนแผนยังติดคุก | นี่โกนจุกแล้วจะได้ไปถวาย | |||
ท่านขรัวครูดูพ่อของออพลาย | เคราะห์จะคลายเคลื่อนบ้างหรืออย่างไร ฯ | |||
๏ ท่านขรัวครูรู้เรื่องให้เคืองแค้น | ทุดอ้ายแผนถ่อยแท้ไม่แก้ไข | |||
เมื่อความรู้กูสอนเจ้าหล่อนไว้ | ยังวิ่งไปเข้าคุกสนุกจริง | |||
อ้ายเจ้าชู้กูได้ว่ามาแต่ก่อน | จะทุกข์ร้อนอ่อนหูเพราะผู้หญิง | |||
หัวเราะพลางทางเอกเขนกอิง | พินิจนิ่งดูกายเจ้าพลายงาม | |||
เห็นน่ารักลักษณะก็ฉลาด | จะมีวาสนาดีขี่คานหาม | |||
ถ้าถึงวันชั้นโชคโฉลกยาม | ก็ต้องตามลักษณะว่าจะรวย | |||
แต่ที่เมียเสียถนัดปัตนิ | ตัวตำหนิรูปขาวเป็นสาวสวย | |||
แต่อ้ายนี่ขี้หลงจะงงงวย | ต้องถูกด้วยละโมบโลภโลกีย์ | |||
แล้วท่านขรัวหัวร่อว่าออหนู | มันเจ้าชู้เกินการหลานอีศรี | |||
ก็แต่ว่าอายุสิบแปดปี | จะได้ที่หมื่นขุนเป็นมุลนาย | |||
ทั้งเมียสาวชาวเหนือเป็นเชื้อแถว | อีนั่นแล้วมันจะมาพาฉิบหาย | |||
อันอ้ายขุนแผนพ่อของออพลาย | จะพ้นปลายเดือนยี่ในปีกุน | |||
นับแต่นี้มีสุขไม่ทุกข์ร้อน | ได้เตียงนอนนั่งเก้าอี้เป็นที่ขุน | |||
ทองประศรีดีใจไหว้เจ้าคุณ | ช่วยแบ่งบุญให้ได้ฟื้นคืนสักที | |||
สมภารรับกลับมายังอาวาส | เสียงพิณพาทย์พวกพ้องทองประศรี | |||
หาเสภามาทั่วที่ตัวดี | ท่านตามีช่างประทัดถนัดรบ | |||
ดูทำนองพองคอเสีบงอ้อแอ้ | พวกคนแก่ชอบหูว่ารู้จบ | |||
ตารองศรีดีแต่ขันรู้ครันครบ | กรับกระทบทำหลอกแล้วกลอกตา | |||
แล้วนายทั่งดังโด่งเสียงโว่งโวก | ว่ากระโชกกระชั้นขันหนักหนา | |||
ฝ่ายนายเพรชเม็ดมากลากช้าช้า | ตั้งสามวาสองศอกเหมือนบอกยาว | |||
ส่วนนายมาพระยานนท์คนตลก | ว่าหยกหยกหยาบช้าคนฮาฉาว | |||
ตาทองอยู่รู้ว่าภาษาลาว | แล้วส่งกราวเชิดเพลงโหน่งเหน่งไป | |||
ครั้นรุ่งเช้าเจ้าพลายก็โกนจุก | เป็นพ้นทุกข์พ้นร้อนนอนหลับใหล | |||
จนผมยาวเจ้าได้ตัดมหัดไทย | คิดจะใคร่ไปเป็นข้าฝ่าธุลี | |||
เดชะบุญทูลขอพ่อพ้นโทษ | เหมือนได้โปรดบิดาเป็นราศี | |||
แต่นิ่งนึกตรึกตราจนราตรี | เข้าข้างที่นอนย่าน้ำตาคลอ | |||
ทำคลึงเคล้าเว้าวอนด้วยอ่อนหวาน | พรุ่งนี้หลานจะลาไปหาพ่อ | |||
จะได้เฝ้าเจ้าชีวิตชิดชอบพอ | ทูลขอเผื่อจะโปรดที่โทษทัณฑ์ ฯ | |||
๏ ทองประศรีดีใจให้อนุญาต | เจ้าเชื้อชาติพงศ์พลายจงผายผัน | |||
จะได้ช่วยพ่อแม่คิดแก้กัน | ตามกตัญญูเถิดประเสริฐดี | |||
ย่าจะให้ไปส่งจนถึงพ่อ | จึงพาต่อไปหาพระหมื่นศรี | |||
ตามแต่บุญวาสนาบารมี | อันย่านี้นับวันจะบรรลัย | |||
มีลูกเต้าเล่าก็ทำให้ซ้ำทุกข์ | ไม่มีสุขสักเวลาน้ำตาไหล | |||
โรคก็ซ้ำช้ำบอบทั้งหอบไอ | ใครจะได้เผาผีก็มิรู้ | |||
เจ้าจงจำตำราที่ย่าสอน | จะถาวรเพิ่มยศไม่อดสู | |||
ย่าจะให้ไอ้พลัดไอ้ปัดไอ้ปู | เข้าไปอยู่ติดตามทั้งสามคน | |||
พอถือร่มสมปักตักน้ำท่า | หุงข้าวปลาสารพัดไม่ขัดสน | |||
พูดจนดึกตรึกการกับหลานตน | แล้วหลับจนแจ่มแจ้งแสงตะวัน ฯ | |||
๏ รู้สึกกายยายทองประศรีย่า | เอาเงินผ้าเสื้อใส่ในกำปั่น | |||
ทั้งหวานคาวข้าวปลาสารพัน | ขนขึ้นบรรทุกสัปคับช้าง | |||
พลายงามลาย่าช่วยอวยสวัสดิ์ | ได้ฤกษ์พาสารพัดไม่ขัดขวาง | |||
ขึ้นขี่หลังพังสะเทินเดินตามทาง | ไม่แรมค้างข้ามทุ่งถึงกรุงไกร | |||
ไปหาพ่อพอพบนั่งนบนอบ | ขุนแผนสอบไต่ถามความสงสัย | |||
เจ้าพลายน้อยค่อยเล่าให้เข้าใจ | ลูกจะใคร่ให้พระนายถวายตัว ฯ | |||
๏ ขุนแผนแสนสวาทอนุญาตว่า | จงอุตส่าห์สืบตะรกูลเถิดทูนหัว | |||
พ่อพงศ์พลายหมายศึกอย่านึกกลัว | จะพาตัวเจ้าไปให้พระนาย | |||
แล้วซักไซ้ไต่ถามถึงความรู้ | ให้ท่องดูได้สมอารมณ์หมาย | |||
ที่เข้าออกบอกความตามอุบาย | สอนลูกชายอยู่จนสนธยา | |||
พอเสียงฆ้องกลองย่ำเข้าค่ำพลบ | ถึงเดินพบผู้ใดไม่เห็นหน้า | |||
ชวนลูกชายพลายงามตามกันมา | ไปเคหาพระหมื่นศรีที่ริมคลอง | |||
ขึ้นบันไดไฟอร่ามถามพวกบ่าว | พอรู้ข่าวว่าสบายค่อยคลายหมอง | |||
ตรงมาหอรอรั้งยั้งหยุดมอง | หมื่นศรีร้องเรียกว่ามาซิเกลอ | |||
ด้วยรักใคร่ใจซื่อถือว่าเพื่อน | ไม่บากเบือนหน้าหนีดีเสมอ | |||
ขุนแผนพาลูกไปนั่งไหว้เธอ | ถามว่าเออนั่นใครที่ไหนมา ฯ | |||
๏ ขุนแผนบอกออกว่าลูกเจ้าวันทอง | ที่มีท้องเกือบแก่มาแต่ป่า | |||
เอาความหลังทั้งนั้นพรรณนา | จะพามามอบไว้ให้เจ้าคุณ | |||
ด้วยไม่มีที่เห็นแต่เป็นโทษ | พระนายโปรดช่วยเหลือทั้งเกื้อหนุน | |||
เป็นที่พึ่งจึงมาจงการุญ | เอาแต่บุญเถิดพ่อเจ้าเมื่อคราวจน | |||
อันวิชาย่าสอนลูกอ่อนแล้ว | เห็นคล่องแคล่วการศึกพอฝึกฝน | |||
ถ้ากระไรได้ช่องเห็นชอบกล | ช่วยผ่อนปรนโปรดถวายเจ้าพลายงาม ฯ | |||
๏ พระหมื่นศรีดีใจปราศรัยทัก | ดูแหลมหลักลูกทหารชาญสนาม | |||
เป็นข้าเฝ้าเจ้าชีวิตอย่าคิดคร้าม | มีสงครามเมื่อไรคงได้ดี | |||
ไว้ธุระจะถวายช่วยบ่ายเบี่ยง | ให้ชุบเลี้ยงลูกรักเป็นศักดิ์ศรี | |||
ที่กินอยู่ผู้คนของเรามี | อยู่เรือนนี่นั่งนอนไม่ร้อนรน | |||
ขุนแผนเล่าเจ้าก็รู้อยู่ว่ารัก | จนเจียนจักแหล่นตายด้วยหลายหน | |||
ก็เอ็นดูอยู่ว่าเกลอถึงเธอจน | ที่ขัดสนสารพัดไม่ขัดกัน | |||
แต่สุดช่วยด้วยว่าอาญาหลวง | ต่อได้ท่วงทีก่อนจะผ่อนผัน | |||
จริงนะเจ้าเราก็คิดทุกคืนวัน | คงช่วยกันไปกว่ากายจะวายวาง ฯ | |||
๏ นายขุนแผนแสนชื่นให้ตื้นอก | อุตส่าห์ยกมือไหว้มิได้หมาง | |||
สู้กลืนกล้ำน้ำตาแล้วว่าพลาง | พ่อเหมือนอย่างพ่อแม่ช่วยแก้ทุกข์ | |||
จนยากเย็นเป็นโทษเห็นโหดไร้ | ยังส่งให้ข้าวปลาเป็นผาสุก | |||
ก็หมายมั่นกตัญญูถึงอยู่คุก | กราบพ่อทุกทุกคืนได้ชื่นใจ | |||
อันลูกชายพลายงามตามแต่พ่อ | ลูกจะขอกราบลาช้าไม่ได้ | |||
พลางลูบหลังสั่งลูกผูกอาลัย | พ่อจะไปก่อนแล้วนะแก้วตา | |||
อยู่พึ่งบุญคุณพ่อต่อไปเถิด | จะประเสริฐสมหวังเป็นฝั่งฝา | |||
แล้วลงเรือนเดือนสว่างกระจ่างตา | ก็กลับมาหับเผยที่เคยนอน ฯ | |||
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช | เรียกพลายงามทรามสวาทมาสั่งสอน | |||
จะเป็นข้าจอมนรินทร์ปิ่นนคร | อย่านั่งนอนเปล่าเปล่าไม่เข้าการ | |||
พระกำหนดกฎหมายมีหลายเล่ม | เก็บไว้เต็มตู้ใหญ่ไขออกอ่าน | |||
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ | มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน | |||
แล้วให้รู้สุภาษิตบัณฑิตพระร่วง | ตามกระทรวงผิดชอบคิดสอบสวน | |||
ราชาศัพท์รับสั่งให้บังควร | รู้จงถ้วนถี่ไว้จึงได้การ | |||
ที่ไม่สู้รู้อะไรผู้ใหญ่เด็ก | มหาดเล็กสามต่อพ่อลูกหลาน | |||
เสียตระกูลสูญลับอัประมาณ | เพราะเกียจคร้านคร่ำคร่าเหมือนพร้ามอญ | |||
นี่ตัวเจ้าเหล่ากอทั้งพ่อแม่ | อย่าเชือนแชอุตส่าห์จำเอาคำสอน | |||
แล้วจัดแจงห้องหับให้หลับนอน | ไม่อาวรณ์เธอช่วยเลี้ยงเป็นเที่ยงธรรม์ ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาท | แหลมฉลาดเลขผาปัญญาขยัน | |||
อยู่บ้านพระหมื่นศรียินดีครัน | ทุกคืนวันตามหลังเข้าวังใน | |||
เธอเข้าเฝ้าเจ้าก็นั่งบังไม้ดัด | คอยฟังตรัสตรึกตราอัชฌาสัย | |||
ค่อยรู้กิจผิดชอบรอบคอบไป | ด้วยมิได้คบเพื่อนเที่ยวเชือนแช | |||
ครั้นอยู่บ้านอ่านคำพระธรรมศาสตร์ | ตำรับราชสงครามตามกระแส | |||
ค่อยชื่นชุ่มหนุ่ตะกอดูฟ้อแฟ้ | นางสาวแส้ใส่ใจจะใคร่พบ | |||
เข้าไปหามาสู่ไม่รู้เกี้ยว | แต่พอเหลียวเห็นผู้หญิงก็วิ่งหลบ | |||
อุตส่าห์เพียรเรียนรู้ดูจนครบ | รู้ขนบธรรมเนียมก็เจียมใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านพระจมื่นศรี | ถึงวันดีได้ช่องก็ผ่องใส | |||
จึงจัดแจงแต่งธูปเทียนดอกไม้ | จะเข้าไปทูลถวายเจ้าพลายงาม | |||
นุ่งสมปักชักกลีบจีบสลับ | ครั้นเสร็จสรรพสำราญขึ้นคานหาม | |||
พวกข้าคนอลหม่านถือพานตาม | เจ้าพลายงามตามหลังเข้าวังใน | |||
ถึงพระลานวานเขาพวกชาวที่ | ที่ค่อยมีกิริยาอัชฌาสัย | |||
ถือพานทองรองธูปเทียนดอกไม้ | ยกเข้าไปเตรียมตั้งพอบังควร | |||
ให้พลายงามตามไปนั่งตรงตั้งของ | ตามทำนองพระหมื่นศรีสั่งถี่ถ้วน | |||
ฝ่ายข้าเฝ้าเจ้าพระยาเวลาจวน | ต่างก็ชวนกันเข้ามาหน้าพระโรง | |||
นุ่งสมปักชักชายกรายกรีดเล็บ | ผ้ากราบเหน็บแนบหน้าดูอ่าโถง | |||
พอเวลานาทีถ้วนสี่โมง | เข้าพระโรงพร้อมหน้าข้าราชการ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | มงกุฎเกศอยุธยามหาสถาน | |||
สถถิตแท่นแว่นฟ้าโอฬาฬาร | ดังวิมานเมืองฟ้าสุราลัย | |||
ห้ามแหนแน่นหนุนละมุนหมอบ | งามประกอบกิริยาอัชฌาสัย | |||
ระเรื่อยรับขับร้องทำนองใน | สำราญราชหฤทัยทุกเวลา | |||
ยามกลางวันนั้นก็ออกพระโรงรัตน์ | มีแต่ตรัสสรวลสันต์ทรงหรรษา | |||
ทั้งเหนือใต้ไพรีไม่มีมา | สำราญใจไพร่ฟ้าประชาชี | |||
ด้วยเดชะบุญญาอานุภาพ | มีแต่ลาภมาประมูลพูนภาษี | |||
แต่บรรดาข้าเฝ้าเหล่าเสนี | ใครทำดีได้ประทานถึงพานทอง ฯ | |||
๏ ฝ่ายพระจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช | อภิวาทบาทมูลทูลฉลอง | |||
ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง | ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม | |||
บุตรขุนแผนแสนสะท้านหลานทองประศรี | ความรู้มีเรียบราบไม่หยาบหยาม | |||
จะขอรองมุลิกาพยายาม | พลางกราบสามทีสดับตรับโองการ ฯ | |||
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา | เหลือบเห็นหน้าพลายงามความสงสาร | |||
จะออกโอษฐ์โปรดขขุนแผนแสนสะท้าน | แต่กรรมนั้นบันดาลดลพระทัย | |||
ให้เคลิ้มองค์ทรงกลอนละครนอก | นึกไม่ออกเวียนวงให้หลงใหล | |||
ลืมประภาษราชกิจที่คิดไว้ | กลับเข้าในแท่นที่ศรีไสยา ฯ | |||
๏ อันเรื่องกล่าวความพลายงามสวาท | เป็นมหาดเล็กแล้วค่อยแกล้วกล้า | |||
อยู่ด้วยพระหมื่นศรีผู้ปรีชา | เฝ้าเวลาเช้าเย็นไม่เว้นวัน | |||
มุลนายถ้วนหน้าก็ปรานี | มิได้มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ | |||
ถึงว่าท่านจางวางทั้งสองนั้น | ก็ฝากตัวกลัวทั่นทุกคนไป ฯ | |||
ตอนที่ ๒๕
๏ | |||
ตอนที่ ๒๖
๏ | |||
ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
๏ จะกล่าวถึงพระเจ้าเชียงใหม่ | แต่ได้นางมาไว้ในกรุงศรี | ||
ไม่วายเว้นนึกคะนึงถึงไพรี | เห็นจะมีศึกมาไม่ช้านัก | ||
ด้วยล้านช้างข้างหนึ่งก็โกรธา | ฝ่ายข้างอยุธยาก็โกรธหนัก | ||
ถ้าสองข้างต่างยกมาพร้อมพรัก | จะหาญหักต่อสู้ดูยากครัน | ||
จำจะคิดชิงชัยข้างไทยก่อน | ต้องรีบรัดตัดรอนผ่อนผัน | ||
ถ้าเสร็จสิ้นศึกไทยข้างใต้นั้น | ล้านช้างก็คงพรั่นไม่อาจมา | ||
แต่นิ่งนึกตรึกไตรอยู่ในที่ | จนสุริย์ศรีเรืองแรงแสงกล้า | ||
เสด็จออกท้องพระโรงรจนา | ท้าวพระยานอบน้อมอยู่พร้อมกัน | ||
จึงปรึกษาเสนาข้าเฝ้า | ชาวเราจะเห็นเป็นไฉนนั่น | ||
เดิมเจ้าอยุธยาทำอาธรรม์ | มาชิงเมียมิ่งขวัญของกูไป | ||
ฝ่ายเราไปสั่งดักกักทาง | รับนางจับพวกมันมาได้ | ||
ถ้ารู้ข่าวราวเรื่องถึงเมืองไทย | เห็นจะยกทัพใหญ่มาราญรอน | ||
เราจะเตรียมกำลังตั้งต่อสู้ | หรือจะจู่ลงไปทำไทยก่อน | ||
จงปรึกษาว่ากันให้แน่นอน | จะตัดรอนคิดอ่านประการใด ฯ | ||
๏ ครานั้นเสนาพระยาลาว | พระยาท้าวแสนหลวงผู้เป็นใหญ่ | ||
ปรึกษากันพร้อมมูลแล้วทูลไป | อันศึกไทยไพรีมีกำลัง | ||
เห็นจะจู่ลงไปไม่ชนะ | แต่ถ้าละช้าไว้ให้พร้อมพรั่ง | ||
จะเป็นศึกใหญ่มาดาประดัง | ที่จะหวังต่อสู้ดูยากนัก | ||
ขอให้คิดอ่านการอุบาย | ท้าทายยั่วไทยให้โกรธหนัก | ||
ให้รีบมาอย่าทันจะพร้อมพรัก | จึงจะหักศึกไทยได้ง่ายดาย ฯ | ||
๏ พระเจ้าเชียงใหม่ได้ฟังทูล | เค้ามูลเห็นสมอารมณ์หมาย | ||
จึงได้แต่งสาราว่าท้าทาย | ให้หยาบคายหมายยั่วให้โกรธา | ||
เสร็จสรรพพับใส่ลงในกล่อง | มอบให้แสนกำกองตรีเพชรกล้า | ||
คุมไพร่ร้อยถ้วนล้วนขี่ม้า | ไปส่งด่านอยุธยาธานี ฯ | ||
๏ ครานั้นตรีเพชรแสนกำกอง | ทั้งสองรับราชสารศรี | ||
เรียกไพรได้ครบตามบาญชี | แล้วขึ้นขี่ม้าตามกันหลามมา | ||
ได้ข้าวตากใส่ไถ้ตะพายแล่ง | เครื่องม้าเครื่องแสงแดงดาดป่า | ||
ทวนดูพู่ระยับจับนัยน์ตา | ข้ามท่าน้ำได้ไปลำพูน | ||
ข้ามห้วยแม่ทามาเมืองนคร | ไม่หยุดหย่อนขับควบเข้าไพรสูญ | ||
ค่ำเข้าเขตเถินเดินพร้อมมูล | แสงจันทร์จำรูญจำรัสฟ้า | ||
ม้าคนหิวหอบอยู่บอบแบบ | ขึ้นเขาช่องแคบแล้วลงป่า | ||
แดดร้อนผ่อนพักเป็นเพลา | หยุดให้ม้ากินหญ้าหากำลัง | ||
พอหายเหนื่อยขึ้นมาพากันไป | สะบัดย่างวางใหญ่ไม่เหลียวหลัง | ||
สามวันดั้นมาไม่รอรั้ง | จนกระทั่งถึงด่านบ้านท่าเกวียน ฯ | ||
๏ ครานั้นนายบุญเป็นขุนไกร | เห็นลาวสงสัยว่าศึกเสี้ยน | ||
จึงเรียกพวกไพร่เวรเกณฑ์จำเนียร | ออกยืนขวางทางเตียนตรงประตู | ||
ถือสาตราอาวุธอยู่พร้อมหน้า | โน่นแน่ลาวขี่ม้ามาเป็นหมู่ | ||
แต่งตัวโพกหัวพันชมพู | แลดูแดงเถือกมะเหลือกมา | ||
บ้างปิดประตูด่านงุ่นง่านไป | ยัดปืนใหญ่หับชุดจุดไว้ท่า | ||
ไปไหนเหวยเฮ้ยสูอย่าได้ช้า | ดีร้ายเร่งว่าให้รู้พลัน | ||
ถ้าดีมานี่แต่สองม้า | ร้ายแล้วยกมากูไม่พรั่น | ||
บ้างแกว่งดาบถือปืนออกยืนยัน | ต่างพากันเตรียมตัวออกทั่วไป ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่าพวกลาวเห็นชาวด่าน | อาจหาญยืนขวางหนทางใหญ่ | ||
จึงพากันหยุดยั้งรั้งม้าไว้ | บอกให้แจ้งใจมิได้ช้า | ||
เราเป็นแต่ผู้น้อยที่นำสาร | จะมาเว้าชาวด่านแจ้งการหวา | ||
เพชรกล้ากำกองแต่สองม้า | เข้าไปส่งสาราแล้วว่าไป | ||
เรื่องราวกล่าวด้วยพระท้ายน้ำ | กับไพร่ต้องจองจำอยู่เชียงใหม่ | ||
เจ้าเราให้สารมากรุงไทย | สูจงรีบส่งไปให้กราบทูล ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่าขุนด่านรับสารมา | ไปตามดูหมู่ม้าเข้าป่าสูญ | ||
เห็นมิใช่กองทัพกลับพร้อมมูล | ให้นายมูลนายหมวดอยู่ตรวจตรา | ||
ขุนไกรได้สารขึ้นมาใช้ | สะบัดย่างวางใหญ่เข้าในป่า | ||
ข้ามทุ่งชะเรียงเร่งตะเบ็งมา | บ่ายหน้ามาตรงลงธานี | ||
ถึงสังคโลกพลันทันใด | ลงม้าจูงคลาไคลไปเร็วรี่ | ||
ขุนนางกรมการนั่งศาลมี | ปรึกษาคดีอีเม้ยทอง | ||
จีนแสไม่แก้ยอมให้ปรับ | ว่าไสบวยพวยรับแต่คล่องคล่อง | ||
พอเห็นขุนด่านกรมการร้อง | เยี่ยมมองอยู่ไยไม่เข้ามา | ||
ขุนไกรตรงมาศาลากลาง | แหวกทางหมอบคลานเข้าไปหา | ||
ส่งกล่องใส่ลานสารตรา | แล้วเล่าแจ้งกิจจาทุกสิ่งอัน ฯ | ||
๏ ครานั้นจึงท่านเจ้าพระยา | ทั้งเวียงวังคลังนาอยู่ที่นั่น | ||
กรมการถ้วนหน้าปรึกษากัน | เกิดเหตุสำคัญหนักหนานัก | ||
ชิงนางมิหนำซ้ำจับทหาร | ทำการอาจองทะนงศักดิ์ | ||
แล้วยังมีสารามาอึกฮัก | ไม่รู้จักเหมือนริ้นบินเข้าไฟ | ||
แต่ทว่าหญ้าแพรกจะแหลกก่อน | ต้องยกทัพขับต้อนจะร้อนไพร่ | ||
อย่าดูเบาเราต้องรีบส่งไป | ถ้านิ่งไว้เข้าร้ายตายทีเดียว | ||
อ้ายลาวเจ้ากรรมทำแล้วหวา | เขียนบอกปิดตราสักประเดี๋ยว | ||
เสร็จสรรพใส่กลักถักเป็นเกลียว | เคี่ยวคั่งติดประจำซ้ำตีตรา | ||
แต่งให้พันมโนเป็นนายใหญ่ | ถือไปบอกกับไพร่ยี่สิบห้า | ||
หาบโพล่แฟ้มยุ่งกรุ่งกริ่งมา | ลงเรือเก้าวากัญญายาว | ||
ให้แก้หน้าจากท่าตะเบ็งพาย | เดือนหงายน้ำฟุ้งเป็นฟองขาว | ||
ตะละเล่มเต็มเหนี่ยวเสียงเกรียวกราว | โห่ฉ่าวฉ่าลั่นสนั่นไป | ||
พอเช้าตรู่ลงมาถึงท่าเกษม | หุงต้มกินเปรมทั้งนายไพร่ | ||
อิ่มแล้วรีบร้อนไม่นอนใจ | พันมโนนายใหญ่นั่งโยกมา | ||
ครั้นพ้นวัดใหม่ไปบ้านตรุ | ลุถึงท่ากงลงพิงหวา | ||
เเข้าพิจิตรวังวังจันทร์นน้ำดันซ่า | รับวาเฮ้ยโขนโดนเรือเจ๊ก | ||
เออเรือขายเหล้าชาวเราหวย | พะซี้ไบใส่บวยฉวยเหวยเด็ก | ||
ยกขึ้นเรือได้ไหไม่เล็ก | ถีบเรือเจ๊กเจ้าของร้องโล่ไป | ||
มึงบึกกูบึกสะอึกคว้า | เรือกัญญษหน้าโขนเข้าโนไผ่ | ||
จะร่ำพรรณนาให้ช้าไย | เจ็ดวันมาได้ถึงท่าคัน ฯ | ||
๏ พอเรือจอดทอดถึงที่หน้าท่า | พันมโนรีบมาขมีขมัน | ||
ทั้งบ่าวไพร่ตามไปอยู่พร้อมกัน | เห็นสาวชาววังนั้นก็ชอบเชิง | ||
จุปากเจาะเจาะกระเดาะลิ้น | หอมกลิ่นแหงนหงายเหมือนควายเบิ่ง | ||
ทำกรีดกรายชายตาร่าเริง | หลงละเลิงลดเลี้ยวเกี้ยวพานมา | ||
งุ่มง่ามข้ามฉนวนประตูดิน | ตาถินนายประตูครู่เอาผ้า | ||
ชายพกหลุดลุ่ยหุยหม่อมตา | ยั่นอ้ายบ้าลอยชายคาดใต้พก | ||
พ่อเอ๋ยชาวบ้านนอกถือบอกมา | มึงซ่อนอะไรหวาเอาผ้าปก | ||
ดูเป็นตะะกร้าใส่ไข่นก | สกปรกชาวเหนือมันเหลือใจ | ||
เสียเงินให้สลึงเขาจึงปล่อย | หน้าจ๋อยกลับมาทั้งนายไพร่ | ||
เที่ยวถามหาศาลาลูกขุนใน | เขาชี้บอกให้ก็ตรงมา | ||
เห็นหัวพันนายเวรเกณฑ์เมืองรั้ง | พันมโนก็นั่งลงตรงหน้า | ||
พอนายควรสวนออกนอกศาลา | กราบไหว้วางตราอยู่ลนลาน | ||
นายเวรต่อยกลักกับพนักผาง | ชักบอกออกวางกับราชการ | ||
อ่านดูรู้ข้อราชการ | ก็รีบมาเรียนท่านลูกขุนใน | ||
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจักรี | เอกอัครอธิบดีเป็นใหญ่ | ||
ทราบเรื่องราชสารรำคาญใจ | สั่งให้รีบคัดจะกราบทูล ฯ | ||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ | เลิศลบโภไคยมไหศูรย์ | ||
สถิตในห้องแก้วแพรวไพฑูรย์ | ไพบูลย์พูนสุขทุกเวลา | ||
แต่เหตุการณ์ราชการหาทราบไม่ | ให้รุ่มร้อนฤทัยเป็นหนักหนา | ||
ด้วยเทพเจ้าสิงสู่อยู่อัตรา | รักษาพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ||
ประทับอยู่ข้างในได้เวลา | สามโมงนาฬิกาตีฆ้องลั่น | ||
จะเสด็จออกท้องพระโรงคัล | จรจรัลไปสรงพระคงคา | ||
น้ำกุหลาบอาบอบตลบกลิ่น | หอมประทิ่นพระสุคนธ์ปนบุปผา | ||
ฝ่ายนางพนักงานก็คลานมา | ถวายภูษาทรงอลงการ | ||
ทรงเครื่องเสร็จสรรพจับพระขรรค์ | เพชรกุดั่นพรรณรายฉายฉาน | ||
นางในใจภักดิ์พนักงาน | ถวายพานพระศรีแล้วกราบลง | ||
เสวยเสร็จพระเสด็จลีลาศ | ผุดผาดดั่งพระยาราชหงศ์ | ||
นางในตามชิดติดพระองค์ | ตรงขึ้นบรรยงค์รัตนาศน์ | ||
พระสูตรรูดกร่างขุนนางเฝ้า | คู้เข่าคึกคักแทบถมปักขาด | ||
กราบถวายบังคมบรมราช | ทั้งอำมาตย์เสนาพระยาครู | ||
แตรสังข์กระทั่งถวายเสียง | ขุนนางหมอบเรียงเคียงเป็นหมู่ | ||
ตำรวจในไล่คนพ้นประตู | คอยดูเข้าออกบอกไปมา ฯ | ||
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี | ได้ทีก็ประนมก้มเกศา | ||
กราบทูลขึ้นพลันมิทันช้า | อันชีวาอยู่ใต้บาทบงสุ์ | ||
บัดนี้เชียงใหม่มีราชสาร | มอบให้นายด่านท่าเกวียนส่ง | ||
พระยาเกษตรสงครามรามณรงค์ | ให้พันมโนจำนงนั้นถือมา | ||
เรื่องราวกล่าวด้วยพระท้ายน้ำ | เชียงใหม่จับจำยังไม่ฆ่า | ||
ให้ทรงฟังยังมิทันอ่านสารา | ก็โกรธากลุ้มกลัดขัดพระทัย | ||
กระทืบบาทผาดพระสุรเสียงก้อง | พระแท่านทองสนั่นหวั่นไหว | ||
เหม่อ้ายลาวจองหองคะนองใจ | มันพูดจาว่ากระไรให้บอกพลัน ฯ | ||
๏ ขอเดชะในสารว่าทรงเดช | ครองนิเวศสน์เชียงใหม่มไหสวรรย์ | ||
ตั้งอยู่ในสัตย์สุตจริตธรรม์ | เป็นมหันต์อิศโรอันโอฬาร | ||
ลือเดชทุกเขตอาณาจักร | ปรปักษ์ย่อท้อไม่ต่อต้าน | ||
ในตำรับข้างที่มีมานาน | จารจารึกกไว้ในแผ่นทอง | ||
ว่าพระเจ้ากษัตริย์ศึกองค์นี้ | เป็นมโหฬีเลื่องโลกไม่มีสอง | ||
ดังอวตารมาผลาญศึกคะนอง | มิให้ข้องเคืองขุ่นราะคายมี | ||
เดิมให้ราชทูตจำทูลสาร | ไปขอองค์เยาวมาลย์โฉมศรี | ||
ตามโบราณราชประเพณี | บุตรีล้านช้างนางสร้อยทอง | ||
หวังพระทัยจะได้ซึ่งองค์เอก | มาอภิเษกสู่สมภิรมย์สอง | ||
ยังเยาว์อยู่มิควรภิรมย์ครอง | จึงยังไม่รับรองมาแนบองค์ | ||
แต่เดิมมากรุงไทยอยู่ในสัตย์ | มาวิบัติถือจริตด้วยฤทธิ์หลง | ||
ให้พระท้ายน้ำนำจตุรงค์ | ดั้นดงล่วงแดนของเรามา | ||
ไม่เกรงเราผู้เป็นเจ้านคเรศ | โอหังบังเหตุแล้วมิสา | ||
ยังซ้ำกลับรับองค์พระธิดา | สร้อยทองเสนหาของเราไป | ||
จึงได้เกณฑ์กองทัพออกรับรบ | ตีตลบชิงนางนั้นไว้ได้ | ||
พระท้ายน้ำนายทัพกับพวกไทย | เราจับจำคุกไว้ไม่ฆ่าตี | ||
ครั้นจะไม่บอกมาว่าให้แจ้ง | จะเคลือบแคลงเราว่าพานางหนี | ||
อันโฉมยงค์องค์ราชบุตรี | รับมาไว้ในที่ตำหนักจันทน์ | ||
ถ้าประสงค์ซึ่งองค์อัคเรศ | ละนิเวศน์ยกมาอย่าได้พรั่น | ||
ขอเชิญเจ้าอยุธยามาประจัญ | ตัวต่อตัวสู้กันบนหลังช้าง | ||
มีชัยก็จะได้นางสร้อยทอง | ไปสมสองสัมผัสไม่ขัดขวาง | ||
พระท้ายน้ำเราจำเอาไว้พลาง | เป็นจำนำฝ่ายข้างอยุธยา | ||
ครบสามเดือนจะฆ่าทั้งห้าร้อย | เราคอยฟังอย่างไรให้เร่งว่า | ||
จะไว้ยศให้ปรากฏกัลป์ปา | หรือเกรงภัยไม่มาก็ว่าไป | ||
จะกำหนดสงครามตามแบบอย่าง | อันองค์นางยังหาร่วมภิรมย์ไม่ | ||
กว่าจะได้รบพุ่งเจ้ากรุงไทย | ให้ประจักษ์ฤทธิไกรใครรุ่งเรือง | ||
แล้วจึงจะอภิเษกให้ปรากฏ | เกียรติยศระบือลือเลื่อง | ||
ว่าชนช้างได้นางเป็นศรีเมือง | อ่านสารสิ้นเรื่องบังคมคัล ฯ | ||
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง | แค้นคั่งเคืองขัดจนอัดอั้น | ||
ให้ร้อนรุ่มกลุ้มพระทัยดังไฟกัลป์ | จะเผาผลาญชีวันให้บรรลัย | ||
เป็นครู่หนึ่งจึงเปล่งสิงหนาท | กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว | ||
ฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว | ข้าเฝ้าน้อยใหญ่ก็ถอยทรุด | ||
หน้าซีดตัวสั่นอยู่งันงก | บ้างล่วมหมากพลัดตกพกไม่หยุด | ||
บ้างแอบเสาท้องพระดรงหมอบโค้งคุด | อุตลุดหวั่นไหวไปทั้งวัง | ||
ความกลัวดังจะแทรกแผ่นดินด้น | บางคนลนลานคลานถอยหลัง | ||
เปล่งพระสุรเสียงประเปรี้ยงดัง | นักสนมแน่นนั่งก็ตกใจ | ||
เหม่เหม่อ้ายเชียงใหม่ใจพาล | จับพวกพลทหารของกูได้ | ||
หยาบช้าท้าให้ไปชิงชัย | กำเริบนี่กระไรใช่พอดี | ||
อ้ายบ้านเล็กเมืองน้อยร้อยประเทศ | บังเหตุจะสู้กับกูนี่ | ||
มันเหมือนหนึ่งลูกมฤคี | จะมาสู้ราชสีห์ให้วายปราณ | ||
ตัวกูผู้เป็นหลักนัคเรศ | ทุกประเทศมิได้รอต่อต้าน | ||
อ้ายนี่โมหันธ์อันธการ | กรรมของมันบันดาลให้หลงคิด | ||
เชียงใหม่ใหญ่เท่าสักหยิบมือ | ไม่พอครือทัพไทยจะไปติด | ||
จะพลอยพาโตตรวงศ์ปลงชีวิต | อวดฤทธิ์ประจญชนช้างกู | ||
เคลือบแฝงแกล้งว่าขอนางไว้ | ดังว่าเขายกให้ไม่อดสู | ||
เมื่อตัวนางล้านช้างเขาให้กู | ทูตมาก็รู้อยู่ทั่วไป | ||
ถ้ามันมีอำนาจดังราชสาร | เขากลัวโพธิสมภารไม่ขัดได้ | ||
นี่เพราะรู้เช่นเห็นจัญไร | เขาจึงยกลูกให้เสียเมืองนี้ | ||
ชิงนางกลางคันแล้วมิหนำ | จับพระท้ายน้ำทำป่นปี้ | ||
เอาไว้ไยให้หนักพระธรณี | เหวยพระยาจักรีเร่งเตรียมทัพ | ||
อีกสามวันกูจะยกไปเชียงใหม่ | ถ้าตีเมืองไม่ได้กูไม่กลับ | ||
เกณฑ์เมืองขึ้นน้อยใหญ่อย่าได้นับ | เร่งขับตามไปให้สิ้นพล | ||
อ้ายพวกเชียงใหม่อย่าไว้มัน | พบที่ไหนไล่ฟันเสียให้ป่น | ||
จนให้เมืองมันร้างว่างผู้คน | รื้อจนกำแพงล้อมป้อมปราการ ฯ | ||
๏ ครานั้นจตุสดมภ์กรมทั้งสี่ | ฟังคดีรับสั่งดั่งศรผลาญ | ||
สะกิดกันตัวสั่นหวั่นสะท้าน | ให้ท่านอธิบดีจักรีทูล | ||
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงเดช | ปิ่นปักนัคเรศมไหศูรย์ | ||
บารมีทรงบำเพ็ญเห็นไพบูลย์ | จะเพิ่มพูนปรโยชน์โพธิสมภาร | ||
ซึ่งพระองค์จะทรงกิจสงคราม | ก็เห็นว่าเสี้ยนหนามไม่ต่อต้าน | ||
ขอพระราชทานโทษจงโปรดปราน | จะหนักหน่วงโพธิญาณให้นานไป | ||
กับข้อราชการแต่เพียงนี้ | หาควรที่จะถึงเสด็จไม่ | ||
กับรบพุ่งพวกลาวชาวพงไพร | ใช่เสนาข้าใช้จะไม่มี | ||
เห็นพระเกียรติยศจะถดถอย | เชียงใหม่กลับจะพลอยได้ราศี | ||
ว่าเป็นคู่สู้พระองค์ทรงธรณี | ไม่ควรที่แผ่นฟ้าลงมาดิน | ||
ครั้นเมื่อสมเด็จพระรามา | หนุมานอาสาก็เสร็จสิ้น | ||
จนได้นางสีดาคืนธานินทร์ | อสุรินทร์ย่นย่อท้อทด | ||
ครั้งนี้ถ้าเสด็จไปเชียงใหม่ | ตกทหารกรุงไกรนี้สิ้นหมด | ||
ขอพระองค์ทรงชัยจงไว้ยศ | ให้ปรากฏเหมือนครั้งพระรามา ฯ | ||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ | ปิ่นปักหลักโลกนาถา | ||
ได้ฟังคำทูลเป็นมูลมา | พระตรึกตรานิ่งนึกในพระทัย | ||
จึงตรัสถามเสนาข้าเฝ้า | นี่ออเจ้าคิดเห็นเป็นไฉน | ||
เมื่อมาทานทัดขัดกูไว้ | ใครจะอาสาไปก็ว่ามา ฯ | ||
๏ ครานั้นบรรดาท่านผู้ใหญ่ | จนใจด้วยไม่มีผู้อาสา | ||
มิรู้ที่จะสนองพระบัญชา | ก็หมอบนิ่งก้มหน้าไปตามกัน | ||
พระองค์ทรงพิโรธกระทืบบาท | สุรเสียงสิงหนาทดังฟ้าลั่น | ||
อย่างไรเล่าเอาจริงก็นิ่งงัน | เปล่าทั้งนั้นพูดเล่นไม่เป็นงาน | ||
ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน | ปลอบปลิ้นสิ้นลมประสมประสาน | ||
เลี้ยงเสียเบี้ยหวัดไม่ต้องการ | มีศฤงคารยศศักดิ์หนักแผ่นดิน | ||
กริ้วพลางทางเสด็จเข้าวังใน | ขุนนางน้อยใหญ่กลับไปสิ้น | ||
พรั่นตัวทุกคนเป็นมลทิน | ด้วยได้ยินประภาษคาดโทษทัณฑ์ฯ | ||
๏ จะกล่าวถึงพลายงามทรามสวาท | เฉลียวฉลาดแกล้วกล้าวิชาขยัน | ||
เรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ทุกสิ่งอัน | หมายประจัญสงครามไม่ขามใคร | ||
อยู่กับพระหมื่นศรีมาปีกว่า | เจ้าอุตส่าห์ฝากตัวให้รักใคร่ | ||
จนเธอเลี้ยงเป็นลูกด้วยถูกใจ | สารพัดจัดให้ได้สุขสบาย | ||
วันนั้นรู้คดีว่ามีศึก | คะเนนึกเห็นจะสมอารมณ์หมาย | ||
จะอ้อนวอนพึ่งบุญคุณพระนาย | เบี่ยงบ่ายให้ได้รับอาสาไป | ||
ถ้ากระไรจะได้ทูลขอพ่อ | คิดมาน้ำตาคลอสะอื้นไห้ | ||
โอ้กรรมพ่อทำมาอย่างไร | จึงต้องไปทนทุกข์ทรมาน | ||
ติดคุกมาแต่ลูกอยู่ในท้อง | แม่วันทองช่างกระไรไม่สงสาร | ||
เสียแรงร่วมยากมาเป็นช้านาน | ครั้นถึงบ้านแล้วแม่ก็แชไป | ||
เป็นหลายปีดีดักไม่อินัง | หาคิดถึงความหลังของพ่อไม่ | ||
แต่ตัวลูกจักแหล่นจะบรรลัย | เพราะเหตุอ้ายขุนช้างเป็นตัวมาร | ||
สะอื้นพลางทางคิดถึงคุณพพระ | เดชะความสัตย์อธิษฐาน | ||
ข้าพเจ้าจะดำริตริการ | คิดอ่านขอโทษให้บิดา | ||
ขอให้ได้สมอารมณ์คิด | อย่าให้ผิดมุ่งมาดปรารถนา | ||
อธิษฐานเสร็จพลันแล้ววันทา | พอเพลาพลบค่ำเข้าไต้ไฟ | ||
เห็นพระหมื่อนศรีอยู่หอกลาง | แสงเทียนสว่างกระจ่างไข | ||
ลูกเมียหมอบนั่งสะพรั่งไป | พระหมื่นศรีทีใจไม่สบาย | ||
เล่าความถึงเรื่องกริ้วด้วยเรื่องทัพ | รับสั่งเสร็จสรรพให้บัตรหมาย | ||
เตรียมทัพหลวงไว้ทั้งไพร่นาย | วุ่นวายอึกทึกทั้งพารา | ||
พลายงามแอบฟังพระหมื่นศรี | พอได้ทีก็คลานเข้าไปหา | ||
พลางร่ายพระเวทให้เมตตา | วันทาแล้วถามไปทันที | ||
ดูคุณพ่อเป็นไรไม่สบาย | ได้ยินว่าวุ่นวายทั้งกรุงศรี | ||
เกณฑ์ทัพจับกันเป็นโกลี | ลูกนี้อยากรู้เป็นอย่างไร ฯ | ||
๏ พระหมื่นศรีว่าเออพลายงามเอ๋ย | รบพุ่งเราจะเคยก็หาไม่ | |||
วันนี้พระองค์ผู้ทรงชัย | ตรัสไถ่ถามทั่วทุกตัวคน | |||
นิ่งหมดไม่มีใครอาสา | กริ้วดังฟ้าผ่าโกลาหล | |||
เสด็จออกพรุ่งนี้เข้าที่จน | เอากุศลเสี่ยงสุดแต่บุญกรรม | |||
ถ้าไม่มีผู้ใดใครอาสา | พ่อนี้เห็นว่าไม่เป็นส่ำ | |||
จะพากันวุ่นวายตายระยำ | หน้าดำอยู่ทั่วทุกตัวคน ฯ | |||
๏ พลายงามฟังความก็สมคิด | หมอบชิดแล้วตอบอนุสนธิ์ | |||
คุณพ่ออย่าได้เป็นทำวล | จงผ่อนปรนเพ็ดทูลให้ชอบที | |||
ลูกนี้จะรับอาสาไป | ทำเมืองเชียงใหม่ให้ป่นปี้ | |||
จะจับเจ้าเชียงใหม่ไอ้ตัวดี | มิให้มีลำบากแก่ไพร่พล | |||
เสียแรงลูกเรียนรู้แต่ครูมา | จะอาสาทำศึกเสียสักหน | |||
ให้มีชื่อลือทั่วทั้งสากล | ว่าเป็นคนชาติทหารอันชาญชัย ฯ | |||
๏ ครานั้นพระหมื่นศรีผู้ปรีชา | ฟังพลายงามว่ายังสงสัย | |||
ซึ่งเจ้าจะกล้าอาสาไป | พ่อนี้ยังไม่ไว้อารมณ์ | |||
ด้วยตัวเจ้ายังเล็กเด็กหนักหนา | จะทูลความอาสาเห็นไม่สม | |||
ไม่เคยเห็นวิชาอาคม | เจ้าสะสมร่ำเรียนไว้อย่างไร | |||
ลูกเอ๋ยการศึกนี้ลึกนัก | เอาแต่หาญหักนั้นไม่ได้ | |||
ถ้าเหมือนพ่อก็พอจะไว้ใจ | หรือพ่อเจ้าเขาให้ตำรับเรียน | |||
ไปเพ็ดทูลถ้าดีก็มีหน้า | เคลื่อนคลาดก็จะพากันถูกเฆี่ยน | |||
จะเสียทีที่ลำบากพากเพียร | ไปพลั้งพลาดแล้วเจียนพากันตาย | |||
ตรองดูให้ดีนะลูกรัก | จะหาญหักเพ็ดทูลมิใช่ง่าย | |||
เอ็นดูอยู่ว่าเจ้าเป็นลูกชาย | พ่อหมายจะปลูกฝังให้เป็นตัว | |||
มิใช่แกล้งเกียดกันฉันทา | เกรงแต่ว่าจะไปไม่รอดชั่ว | |||
อย่าประมาทคาดได้ด้วยไม่กลัว | จงถ่ายเทดูให้ทั่วถึงทางความ ฯ | |||
๏ เจ้าพลายนบนอบตอบวาจา | คุณพ่อว่าเพราะรักจึงหักห้าม | |||
ด้วยยังไม่เห็นดีของพลายงาม | มิใช่ลูกว่าตามใจคะนอง | |||
เป็นลูกศิษย์มีครูรู้เที่ยงแท้ | ท่านทำนายไว้แน่ไม่เป็นสอง | |||
ถ้าจะให้ปรากฎจะทดลอง | ให้ถ่องแท้ได้เห็นเป็นแก่ตา | |||
ว่าแล้วยกมือขึ้นไหว้ครู | ให้สิงสู่แล้วอ่านพระคาถา | |||
หายตัวไปพลันมิทันช้า | ต่อหน้าคนผู้อยู่ทั้งนั้น | |||
พระหมื่นศรีค่อยมีน้ำใจมา | หัวเราะร่าเออเช่นนี้ดีขยัน | |||
พอจะเอาการได้ไม่เสียพันธุ์ | คลายเวทย์พูดกันเถิดลูกยา | |||
เจ้าพลายก็คลายให้คนเห็น | กลับเป็นเสือโคร่งตัวคร่ำคร่า | |||
โตทะมื่นยืนหยัดดัดกายา | ทำท่าเหมือนโดดโลดไล่คน | |||
แต่บรรดาลูกเมียพระหมื่นศรี | ตกใจวิ่งหนีอยู่สับสน | |||
แต่พระหมื่นศรีรู้ทีกล | ไม่ร้อนรนหัวร่ององันไป | |||
พลายงามก็คลายฤทธิมนตร์ | กลับกลายเป็นคนลงนั่งไหว้ | |||
พระหมื่นศรีเปรมปริ่มยิ้มละไม | ลูบหลังลูบไหล่เจ้าพลายงาม | |||
เอาการแน่แล้วลูกแก้วพ่อ | เจ้าเป็นต่อนักเลงอย่าเกรงขาม | |||
เมื่อแรกพ่อแคลงใจจึงไม่ตาม | พึ่งเห็นความรู้ดีฉะนี้เจียว | |||
อย่างนี้พระองค์ก็คงโปรด | ไม่พักทรงพิโรธเป็นสองเที่ยว | |||
ทั้งพระหลวงเจ้าพระยาได้หน้ากรียว | เพราะเจ้าคนเดียวได้รอดดอน | |||
พูดกันสองคนจนสว่าง | สุริยาเยื้องย่างเยี่ยมสิงขร | |||
ก็เลยเตรียมไปเฝ้าไม่เข้านอน | ได้เวลาพาจรจากบ้านพลัน ฯ | |||
๏ พระหมื่นศรีขึ้นขี่คลานหาม | เจ้าพลายเดินตามขมีขมัน | |||
เข้าไปในศาลาลูกขุนนั้น | ท่านผู้ใหญ่พร้อมกันอยู่ศาลา | |||
กำลังท่านกลาโหมจักรี | จตุสดมภ์ทั้งสี่นั่งปรึกษา | |||
จึงพระหมื่นศรีผู้ปรีชา | ก็พาตัวพลายงามตามเข้าไป | |||
กราบเรียนความพลันในทันที | ว่าคนดีจะเข้ามาอาสาได้ | |||
ลูกขุนแผนแสนสะท้านหลานขุนไกร | ชื่อพลายงามว่องไวใจคอดี | |||
วิชากล้าแกล้วแคล่วคล่อง | ล่องหนหายตัวได้ถ้วนถี่ | |||
ท่านผู้ใหญ่ได้ฟังก็เปรมปรีดิ์ | เจ้าพระยาจักรีว่าชอบกล | |||
หน่วยก้านหาญเหี้ยมดูเจียวเจ้า | ลาดเลาก็เห็นจะเป็นผล | |||
เป็นลูกหลานทหารถึงสองคน | ฤทธิ์เดชเวทมนตร์คงได้การ | |||
ดูคมคายคล้ายกับขุนแผนพ่อ | ทั้งน้ำใจในคอก็อาจหาญ | |||
นี่แน่เจ้าจะเข้ารับราชการ | ถ้าเชี่ยวชาญเหมือนว่าแล้วอย่ากลัว | |||
เราจะช่วยยกย่องให้มียศ | ปรากฏเลื่องลือระบือทั่ว | |||
ถ้าตีได้เชียงใหม่ไหนครอบครัว | ทั้งควายวัวเหลือหลายสบายใจ | |||
พูดจาหารือกันเสร็จสรรพ | เป็นลำดับแต่ล้วนท่านผู้ใหญ่ | |||
จวนเสด็จออกท้องพระโรงชัย | ก็เตรียมเฝ้าเข้าไปได้เวลา ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงสวัสดิ์ | เนาในปรางค์รัตน์จำรัสหล้า | |||
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสีสุริยา | พระผ่านฟ้าสระสรงทรงเครื่องครัน | |||
ให้เร่าร้อนพระทัยด้วยไพรี | พระเสด็จออกที่สุทธาสวรรย์ | |||
ขุนนางหมอบราบกราบพร้อมกัน | เสียงแตรแซ่สั่นเสนาะวัง | |||
ทอดพระเนตรเห็นข้าราชการ | พระพักตร์เผือดเดือดดาลดังจะคลั่ง | |||
เป็นอย่างไรนิ่งอยู่กูรอฟัง | ใครจะอาสามั่งหรือไม่มี | |||
อ้ายเลกทาสเลกสมกรมนอกใน | มันจะอาสาได้กระมังนี่ | |||
จะได้แต่งตั้งมันให้ทันที | ถอดออเจ้าเหล่านี้ลงแทนมัน ฯ | |||
๏ ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ | อภิวาททูลไปมิได้พรั่น | |||
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | อันชีวันอยู่ใต้พระบาทา | |||
กระหม่อมฉันออกไปไต่ถาม | ได้นายพลายงามจะอาสา | |||
เป็นบุตรขุนแผนแสนศักดา | ได้ร่ำเรียนวิชามาเชี่ยวชาญ | |||
กระหม่อมฉันสงสัยได้ทดลอง | ก็แคล่วคล่องสามารถอาจหาญ | |||
เป็นคนดีมีวิชาอาการ | แล้วเหล่าปราณก็เคยสงครามมา ฯ | |||
๏ พระองค์ทรงฟังพระหมื่นศรี | เปรมปรีดิ์ดำรัสตรัสให้หา | |||
ตัวมันอยู่ไหนอย่าได้ช้า | เรียกให้กูดูหน้าให้เต็มใจ | |||
พระหมื่นศรีเหลียวหลังสั่งให้เรียก | เจ้าพลายงามสำเหนียกหาช้าไม่ | |||
ค่อยคลานผ่านหมู่หุ้มแพรไป | นายเวรแหวกช่องให้เป็นทางมา | |||
ถึงหน้าพระที่นั่งก็บังคม | ปลงอารมณ์ร่ายเวทพระคาถา | |||
ผูกพระทัยให้ทรงพระเมตตา | หมอบนิ่งภาวนาอยู่ในใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรพอเห็นให้รักใคร่ | |||
จึงมีสีหนาทประภาษไป | เฮ้ยไอ้พลายงามทรามคะนอง | |||
โคตรเหง้าเหล่ามึงเป็นทหาร | อุตส่าห์ทำราชการให้แคล่วคล่อง | |||
แม้นมึงทำลาวได้ดังใจปอง | เงินทองยศอย่างจะรางวัล | |||
จะได้หรือมิได้ให้ว่ามา | กูดูหน้าตาก็คมสัน | |||
น้ำใจในคอก็พ่อมัน | นิ่งอั้นอยู่ไยไม่ว่ามา ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | ฟังความรับสั่งใส่เกศา | |||
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา | อันชีวาอยู่ใต้ฝ่าละออง | |||
กระหม่อมฉันจะขอรับอาสา | เอาพระเดชามาปกป้อง | |||
จะจับเจ้าเชียงใหม่ใจคะนอง | มิให้ต้องร้อนใจแก่ไพร่พล | |||
ขอพระราชทานโทษโปรดบิดา | ไปเป็นคู่ปรึกษากันกลางหน | |||
ทั้งจะได้ช่วยเหลือเผื่ออับจน | แก้กลศึกสู้ศัตรูนั้น | |||
แม้นว่าได้ร่วมคิดกับบิดา | จะขอรับอาสาจนอาสัญ | |||
ถ้าพ่ายแพ้แก่พวกเชียงใหม่มัน | ขอถวายชีวันทั้งโคตรปราณ ฯ | |||
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังทูลตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน | |||
ทรงพระสรวลร่วนรื่นชื่นบาน | เออเอ็งเอาการมิเสียที | |||
อนิจจาอ้ายขุนแผนแสอาภัพ | ตกอับเสียคนแทบป่นปี้ | |||
ติดคุกทุกข์ยากมาหลายปี | กูนี้ก็ชั่วมัวลืมไป | |||
ให้บังอกบังใจกระไรหนอ | อ้ายพลายงามมาขอจึงนึกได้ | |||
ครั้งขออีลาวทองกูหมองใจ | จำไว้ช้านานถึงปานนี้ | |||
ดูดู๋ขุนนางทั้งน้อยใหญ่ | พากันนิ่งเสียได้ไม่พอที่ | |||
ทาระกรรมมันมาสิบห้าปี | ช่างไม่มีผู้ใดใครชอบพอ | |||
เหตุด้วยอ้ายนี่ไม่มีทรัพย์ | เนื้อความมันจึงลับไปเจียวหนอ | |||
ถ้ามั่งมีไม่จนคนก็ปรอ | มึงขอกูขอไม่เว้นวัน | |||
นับประสาหาคนไปสู้ศึก | ก็ไม่มีใครนึกถึงมันนั่น | |||
ด้วยอิจฉาว่าวิชาไม่เท่ามัน | มันไล่ฟันเอาเมื่อตามขุนช้างไป | |||
ความกลัววิ่งหัวเป็นดอกล่อ | รู้จักฝีมือพ่อหรือหาไม่ | |||
พระยายมฟังว่าช้าอยู่ไย | จงสั่งให้ไปถอดอ้ายแผนมา ฯ | |||
๏ ท่านเจ้ากรมยมราชได้รับสั่ง | ถวายบังคมคัลด้วยหรรษา | |||
รีบออกนอกพระโรงรัตนา | ให้หานรบาลแล้วสั่งพลัน | |||
ไปถอดขุนแผนเป็นการด่วน | เวลาจวนพามาขมีขมัน | |||
ให้ทันเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | นรบาลงกงันรีบออกไป | |||
ถึงคุกเร่งรัดพัสดี | ถอดกันทันทีไม่ช้าได้ | |||
แล้วพาขุนแผนผู้แว่นไว | เข้าในวังนั่งไหว้ท่านเจ้าคุณ | |||
ท่านพระยายมราชก็ทักถาม | บอกความขุนแผนว่าแสนวุ่น | |||
พลายงามทูลขอพ่อเป็นบุญ | ทรงการรุญยกโทษโปรดประทาน | |||
อนิจจาผมเผ้ายาวเลื้อยดิน | ผิดหน้าตาสิ้นน่าสงสาร | |||
เข้าไปเฝ้าเถิดเจ้าจะช้าการ | ว่าแล้วก็คลานพาเข้าไป ฯ | |||
๏ พระองค์ทรงศักดิ์กวักพระหัตถ์ | ตรัสเรียกขุนแผนเข้ามาใกล้ | |||
หมอบหน้าพลายงามทรามวัย | บังคมไหว้กราบงามลงสามที | |||
พระองค์ทรงตรัสประภาษไป | เออไอ้ขุนแผนไม่พอที่ | |||
มึงจำเพาะเคราะห์ร้ายมาหลายปี | วันนี้สิ้นเคราะห์เพราะลูกชาย | |||
บัดนี้มีศึกข้างเชียงใหม่ | อ้ายลูกมันจะไปตีถวาย | |||
มันจะขอพ่อไปเป็นเพื่อนตาย | ปรึกษากับลูกชายก็เป็นไร | |||
ตัวมึงกูเคยได้เชื่อถือ | ไม้มือไม่มีใครหักได้ | |||
กูนี้ชั่วมัวเอามึงจำไว้ | ลืมไปใช่ว่าจะแค้นเคือง | |||
มึงจะเอาผู้คนสักกี่หมื่น | ให้เร่งกะวันคืนอย่าร่ำเรื่อง | |||
จะเอาไพร่ในกรุงหรือหัวเมือง | วัวต่างช้างเครื่องให้หมายไป ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสุภาพ | ก้มกราบแล้วทูลเฉลยไข | |||
มิต้องให้ไพร่ยากไปมากมาย | ครั้นกะเกณฑ์วุ่นวายจะช้าการ | |||
ขอพระราชทานแต่ไพร่ราบ | พอหามหาบหาเสบียงเลี้ยงอาหาร | |||
อันพวกพลจะประจญประจัญบาน | ขอประทานคนโทษที่ในคุก | |||
มีสามสิบห้าคนล้วนทนคง | ยืนยงสามารถอาจอุก | |||
ได้ร่ำเรียนรู้ครบเชิงรบรุก | เห็นมีทุกความรู้ครูต่างกัน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังขุนแผนพูดจบเห็นขบขัน | |||
เออเขตแขวงเชียงใหม่สิใหญ่ครัน | คนมันมากมายเป็นหลายเมือง | |||
ผู้คนเอ็งจะเอาไปเท่านี้ | ถึงว่าได้คนดีที่ปราดเปรื่อง | |||
จะรบราฆ่าฟันมันไม่เปลือง | กูเห็นเครื่องจะยับกลับลงมา | |||
มันดีดีอย่างไรว่าไวว่อง | มะรืนนี้เอามาลองกันต่อหน้า | |||
พระยายมว่าอย่างไรอย่าได้ช้า | ไปถอดทั้งสามสิบห้าให้แก่มัน | |||
สั่งเสร็จพระเสด็จเข้าในที่ | ภูมีแสนสุขเกษมสันต์ | |||
พวกขุนนางออกมาพร้อมหน้ากัน | ขุนแผนนั้นไหว้ทั่วตัวขุนนาง | |||
บ้างทักทายปราศรัยเป็นไมตรี | ล้วนยินดีเชยชมกันต่างต่าง | |||
ให้ศีลให้พรสั่งสอนพลาง | เคราะห์โศกสิ้นสร่างแล้วคราวนี้ | |||
ท่านเจ้ากรมยมราชก็เรียกหา | ทั้งพ่อลูกตามมากับจมื่นศรี | |||
ให้จดหมายรายชื่อลงบาญชี | ครบคนโทษที่พระราชทาน | |||
แล้วสั่งให้ประแดงไปถอดมา | ตรวจตัวทั่วหน้าให้นับอ่าน | |||
ต่อหน้าขุนแผนแสนสะท้าน | สอบคำให้การให้ขานมา ฯ | |||
๏ ข้าพเจ้าอ้ายพุกอยู่ลุกแก | เมียชื่ออีแตพระเจ้าข้า | |||
โทษปล้นให้รำระบำป่า | ให้อีมารำรื้อไปมือเดียว | |||
ถัดไปอ้ายมีบ้านยี่ล้น | เมียชื่ออีผลปล้นตาเขียว | |||
แทงถูกอีชังกำลังเยี่ยว | ปากเบี้ยวล้มหงายน้ำลายฟด | |||
ถัดไปอ้ายปานบ้านชีหน | เมียชื่ออีสนปล้นบางปลากด | |||
ผูกคอตาจ่ายกับยายรด | เอาไฟจดจุดขนหล่นร่วงไป | |||
ถัดนั้นอ้ายจันสามพันตึง | เมียชื่ออีอึ่งบ้านเหมืองใหม่ | |||
พวกปล้นขุนศรีวิชัย | เอาไม้เสียบก้นจนแกตาย | |||
ถัดมาข้าชื่ออ้ายคงเครา | เมียชื่ออีเต่าบ้านหนองหวาย | |||
ปล้นบ้านบางภาษีเมื่อปีกลาย | ได้ทรัพย์จับควายผูกต่างมา | |||
ต่อมาข้านี้อ้ายสีอาด | เมียชื่ออีกงราดพระเจ้าข้า | |||
คบไทยไล่ปล้นบ้านละว้า | แล้วเข่นฆ่าตาปานบ้านตาลเอน | |||
ถัดไปอ้ายทองอยู่ช่องขวาก | ผัวอีมากฆ่าลาวชื่อท้าวเสน | |||
ขึ้นย่องเบาเอาบาตรผ้าพาดเณร | ทุบตาเถรแล้วซ้ำปล้ำหลวงชี | |||
ที่นั่งถัดไปอ้ายช้างดำ | อยู่บ้านถ้ำย่องเบาเจ้าภาษี | |||
เก็บเงินทองของข้าวบรรดามี | ของดีดีไม่น้อยทั้งพลอยเพชร | |||
ถัดมาอ้ายบัวหัวกะโหลก | โทษปล้นชีโคกที่บ้านเกร็ด | |||
แล้วตีอ้ายดูกจมูกเฟ็ด | ฟันตาสายขายเป็ดบ้านตึกแดง | |||
ถัดมาข้าชื่ออ้ายแตงโม | เมียชื่อออีโตบ้านชุมสาย | |||
ปล้นชีดักขนนขนพอแรง | ฆ่าขุนทิพย์แสงเจ้าทรัพย์ตาย | |||
อ้ายอินเสือเหลืองเมืองชัยนาท | เมียชื่ออีปาดบ้านขนาย | |||
เที่ยวปล้นฆ่าคนสักร้อยราย | ลักควายแทงกินสิ้นเป็นเบือ | |||
อ้ายมอญมือด่างบางโฉลง | เมียชื่ออีโค่งเป็นชาวเหนือ | |||
ลักถ้วนลักถี่ทั้งตีเรือ | ครกกระบากสากกะเบือไล่เก็บครบ | |||
ถัดไปอ้ายทองอยู่หนองฟูก | เมียชื่ออีดูกลูกตาจบ | |||
กลางวันปีนเรือนเหมือนชะมบ | แต่พอพลบคนเดียวเที่ยวย่องเมา | |||
อ้ายมากสากเหล็กปล้นเจ๊กกือ | เมียมันตาปรือชื่ออีเสา | |||
ถัดไปอ้ายกุ้งคุ้งตะเภา | ฟันผัวแย่งอีเม้าเอาเป็นเมีย | |||
อ้ายสงผัวอีคงอยู่กงคอน | ตีชิงผ้าผ่อนฆ่ามอญเสีย | |||
ถัดไปอ้ายกร่างอยู่บางเหี้ย | หาเมียมิได้ไล่ตีเรือ | |||
อ้ายกลิ้งผัวอีกลักดักขนน | ลักควายขายคนปล้นเรือเหนือ | |||
อ้ายพานผัวอีพาบ้านนาเกกลือ | เอายาเบื่อหลวงโชฎึกเก็บตึกเตียน | |||
อ้ายจั่วผัวอีปรางบางน้ำชน | ขึ้นย่องเบาหมื่นชนขนเอาเลี่ยน | |||
อ้ายแมวผัวอีมาอยู่ท่าเกวียน | เข้าบ้านทิดเพียนปล้นปลอมริบ | |||
พิจารณาเป็นสัตย์ซัดทอดฟ้อง | เก็บเอาข้าวของนางทองกระหมิบ | |||
ถัดไปอ้ายมั่นผัวอีจันทิพ | อยู่น้ำดิบปล้นตีหลวงชีเภา | |||
หาได้แทงแกไม่ดังให้การ | นครบาลสอบแก้เป็นแผลเก่า | |||
อ้ายจันผัวอีจานบ้านกระเพรา | โทษปล้นจีนเก๊าเผาโรงเจ๊ก | |||
ยิงปืนปึงปังประดังโห่ | แล้วเอาสันพร้าโต้ต่อยหัวเด็ก | |||
ถัดมาอ้ายสานกเล็ก | อยู่คุ้งถลุงเหล็กผัวอีดี | |||
สกัดตีโคต่างทางโคราช | แทงอ้ายขั้วผัวอีปาดล้มกลิ้งคี่ | |||
อ้ายมากหนวดผัวอีขวดอยู่บางพลี | โทษตีเดิมบางเอากลางวัน | |||
อ้ายเกิดกระดูกดำผัวอีคำด่าง | โทษสะดมกรมช้างกับหมอมั่น | |||
ปล้นละว้าป่าดงคงกระพัน | กระหำไขว้ไข่ดันเป็นทองแดง | |||
สิริคนโทษซึ่งโปรดมา | ครบสามสิบห้าล้วนกล้าแข็ง | |||
อยู่ยงคงกระพันทั้งฟันแทง | เรี่ยวแรงทรหดอดทน | |||
ทำกรรมต้องจำมาช้านาน | สิ้นกรรมบันดาลจึงให้ผล | |||
พลายงามทูลขอพ่อออกพ้น | จึงปล่อยโปรดโทษคนทั้งนี้มา ฯ | |||
๏ ครั้นตรวจตราสำเร็จเสร็จทั่ว | จึงมอบตัวไพร่ทั้งสามสิบห้า | |||
ให้แก่ขุนแผนแสนศักดา | ท่านพระยายมราชก็อวยชัย | |||
ให้พ่อชนะมารผลาญศัตรู | เชิดชูพระยศปรากฏกระฉ่อน | |||
ทั้งลูกชายพลายงามไปราญรอน | ตีนครเชียงใหม่ให้สมนึก | |||
แล้วหันหน้ามาสั่งพวกทนาย | จงเลือกหาผ้าลายที่ในตึก | |||
ทั้งส้มสูกลูกไม้ให้ครันครึก | แจกพวกอาสาศึกให้ทั่วกัน | |||
พวกทนายขนของมากองเกลื่อน | พระยายมตัดเตือนให้เลือกสรร | |||
ขุนแผนจึงจัดแจงแล้วแบ่งปัน | แจกให้ไพร่นั้นทุกตัวคน | |||
ต่างผลัดผ้าเก่าเอาโยนเสีย | ทุดกูขายหน้าเมียไม่ปิดก้น | |||
บางคนเปลื้องกระสอบดูชอบกล | มันช่างจนเหลือจนได้พ้นทุกข์ | |||
ชวนกันกินของร้องโมทนา | ตั้งแต่วันหน้าจะเป็นสุข | |||
ถ้าหากพ่อไม่ขออกจากคุก | ก็สิ้นคิดติดกรุกจนตายไป | |||
จะเป็นข้าของนายจนตายจาก | ใช้สอยน้อยมากจะทำให้ | |||
ฝ่ายว่าขุนแผนผู้แว่นไว | กราบกรานท่านผู้ใหญ่แล้วอำลา | |||
พระหมื่นศรีขี่ม้านำมาบ้าน | ผู้คนอลหม่านเป็นหนักหนา | |||
พลายงามเดินตามขุนแผนมา | พวกไพร่สามสิบห้าก็มาพลัน | |||
พระหมื่นศรีจัดที่ให้พักอยู่ | แต่งสำรับเลี้ยงดูเกษมสันต์ | |||
พวกไพร่สามสิบห้าเฮฮากัน | พลุกพล่านจนตะวันลงรอนรอน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงนางแก้วกิริยา | เจ้าติดตามผัวมาอยู่แต่ก่อน | |||
อาศัยทับหับเผยเคยหลับนอน | ตั้งอุทรเติบใหญ่ได้สิบเดือน | |||
ครั้นผัวพ้นทุกข์จากคุกได้ | หม้อกระออมโอ่งไหกองไว้เกลื่อน | |||
ผ้าขี้ริ้วผ่อนขาดกลาดทั้งเรือน | เคยเป็นเพื่อนเมื่อยากจะจากกัน | |||
พิษฐานให้ทานคนโทษแล้ว | ผ่องแผ้วตามมาหาผัวขวัญ | |||
พระหมื่นศรีดีใจบอกไปพลัน | อยู่ด้วยกันอย่ากลัวผัวไปทัพ | |||
แล้วชวนขุนแผนกับเจ้าพลาย | ทั้งสามนายนั่งพร้อมล้อมลำดับ | |||
เรียกให้เมียน้อยยกสำรับ | กินเสร็จสรรพระหมื่นศรีก็ชี้แจง | |||
เกลอเอ๋ยน่าอดสูดูเผ้าผม | ทำรุงรังช่างสมอ้ายใจแข็ง | |||
จะเป็นเจ๊กก็ใช่ไทยก็แคลง | มันระแวงคล้ายละว้าน่าขันครัน | |||
ขุนแผนหัวร่อคุณพ่อช่างว่า | แล้วลุกมาเสกน้ำที่ในขัน | |||
ชุบตัดมหาดไทยใส่น้ำมัน | เสร็จพลันอาบน้ำชำระกาย | |||
ทาแป้งแต่งตัวเอี่ยมสะอาด | นุ่งลายผ้าคาดดูเฉิดฉาย | |||
แล้วกลับมาหน้าหอของพระนาย | ทั้งเจ้าพลายสามคนสนทนา | |||
ขุนแผนวอนไหว้พระหมื่นศรี | ว่าลูกนี้ตั้งใจจะอาสา | |||
ยังเป็นห่วงบ่วงใยด้วยมารดา | คร่อแคร่แก่ชราลงทุกวัน | |||
อยู่บ้านกาญจน์บุรีไม่มีสุข | จะเฝ้าทุกข์ถึงลูกกับหลานขวัญ | |||
ถ้ารับมาเลี้ยงดูอยู่ด้วยกัน | ถึงลูกไปทัพนั้นจะนอนใจ | |||
พระหมื่นศรีฟังคำขุนแผนว่า | โมทนาข้าจะเป็นธุระให้ | |||
รับมาจะลำบากยากอะไร | พรุ่งนี้ข้าจะให้ไปรับมา | |||
แล้วพูดกันสามคนจนดึกดื่น | ครั้นเที่ยงคืนก็เข้าในเคหา | |||
ต่างระงับหลับใหลไสยา | จนเวลารุ่งแจ้งแสงตะวัน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงสมเด็จพระพันวษา | ตรัสเรียกลาวทองมาขมีขมัน | |||
อ้ายพลายงามอาสามันกล้าครัน | แล้วทูลขอพ่อมันพ้นจากคุก | |||
มึงทรมานมากว่าสิบปี | กูเห็นมึงนี้ไม่มีสุข | |||
จะโปรดยกโทษให้พ้นทุกข์ | อย่าปักสะดึงกรึงกรุกเร่งออกไป | |||
ลาวทองได้ฟังรับสั่งโปรด | ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน | |||
ถวายบังคมลามาทันใด | ออกไปกราบลาหม่อมป้าโต | |||
เพื่อนฝูงร้องไปจะได้ลาภ | ค่อยกระซิบกระซาบนางมีโหว่ | |||
นางสีนางพรมแม่ส้มโอ | เพื่อนฝูงอักโขจะลาไป | |||
แล้วลาเจ้าขรัวนายกรายเข้าห้อง | หวีหัวกระจกส่องน้ำมันใส่ | |||
ทั้งกระแจะจันทน์ปรุงจรุงใจ | หวังจะให้ชื่นอารมณ์ชมชิด | |||
นุ่งยกดอกกลมห่มม่วงอ่อน | เทพนมห่มซ้อนดูวิจิตร | |||
ก้มแลดูกายไม่วายคิด | ใส่จริตเยื้องย่างสำอางงาม | |||
จัดแจงหีบหมากเครื่องนากทอง | ถาดรองขันน้ำทำอย่างห้าม | |||
ใส่เครื่องประดับวับแวววาม | ออกประตูข้างข้ามประตูดิน | |||
อีถึงถือหีบรีบตามนาย | อีกห้าคนขวนขวายเก็บของสิ้น | |||
เพื่อนทักถามไถ่ไม่ได้ยิน | มาถึงถิ่นบ้านขึ้นบนบันได ฯ | |||
๏ ขุนแผนครั้นเห็นนางลาวทอง | เจียนจะแปลกเจียวน้องนึกขึ้นได้ | |||
ร้องเรียกทันทีด้วยดีใจ | แปลกพี่ไปหรือเจ้าไม่เข้ามา | |||
ลาวทองฟังคำจำเสียงได้ | เข้าใกล้ผัวรักรู้จักหน้า | |||
กอดตีนร่ำไห้ฟายน้ำตา | ท่านโปรดโทษข้าข้าจึงรู้ | |||
ครั้นติดตามมาหาผัวรัก | แปลกไปไม่รู้จักจึงยืนอยู่ | |||
ไม่กล้าเข้าไปในประตู | แลดูพ่อซูบผิดรูปไป | |||
โอ้โอ๋เจ้าประคุณของเมียแก้ว | เหมือนตายแล้วเกิดมาหากันใหม่ | |||
ตั้งแต่เมียถูกขังอยู่วังใน | เฝ้าแต่ร่ำร้องไห้ไม่วายวัน | |||
ยามกินกินข้าวไม่เป็นคำ | ต้องฝืนกลืนกับน้ำร่ำโศกศัลย์ | |||
ยามนอนนอนคิดจิตผูกพัน | แทบจะกลั้นใจตายไม่วายเว้น | |||
ปักสะดึงกรึงไหมมิได้หยุด | จะสิ้นสุดเมื่อไรไม่แลเห็น | |||
ได้แต่โศกเศร้าทั้งเช้าเย็น | ตั้งแต่เป็นทุกข์มาช้านานครัน | |||
พูดพลางทางแลแล้วถามผัว | ทูนหัวใครนั่งข้างหลังนั่น | |||
ขุนแผนจึงบอกออกมาพลัน | นางนั้นชื่อแก้วกิริยา | |||
เมียข้าเมื่อพาวันทองหนี | ครั้นติดคุกนางนี้อยู่รักษา | |||
นั่นลูกพี่ที่เขาทูลขอมา | ชื่อพลายงามมารดาคือวันทอง | |||
ว่าแล้วก็พากันเข้าเรือน | ข้าวของกองเกลื่อนอยู่ในห้อง | |||
ต่างปรึกษาหารือตามทำนอง | ปรองดองมิได้คิดจิตฉันทาฯ | |||
๏ ขุนแผนออกมาหน้าหอนั่ง | พลันสั่งทหารสามสิบห้า | |||
ให้แต่งตัวตัดผมสมหน้าตา | เตรียมผ้านุ่งห่มให้คมคาย | |||
ขาดเหลือพึ่งพระจมื่นศรี | พรุ่งนี้จะได้ไปลองถวาย | |||
พระหมื่นศรีขุนแผนกับลูกชาย | ทั้งสามนายสนทนาจนราตรี ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งเช้าข้าวปลาหากินเสร็จ | จวนเสด็จออกต่างก็เร็วรี่ | |||
เข้าวังพร้อมกันในทันที | วันนี้ชาวเมืองนั้นเลื่องลือ | |||
ว่าจะลองความรู้พวกอาสา | ต่างแตกตื่นกันมาออกอึงอื้อ | |||
ไทยจีนมอญพม่าข่าลาวลื้อ | จูงมือลูกหลานซานเข้าไป | |||
ยัดเยียดเสียดแทรกเข้าประตู | นมจู้เบียดบีบกันเหลวไหล | |||
เจ้าหนุ่มหนุ่มที่ลำพองคะนองใจ | เข้าคว้าไขว่สาวสาวออกกราวเกรียว | |||
บ้างกระชากผ้าห่อมฉวยนมหมับ | พวกตำรวจหวดขวับเอาเต็มเหนี่ยว | |||
จับตัวได้ใส่คาทำหน้าเซียว | ที่เลี่ยงเลี้ยวหลบได้ไพล่เข้าวัง | |||
ยัดเยียดเบียดกันอยู่ชั้นนอก | พอเวลาเสด็จออกก็พร้อมพรั่ง | |||
สังข์แตรแซ่เสียงสนั่นดัง | ถวายบังคมกราบลงพร้อมกัน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ | เสด็จสถิตพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ | |||
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างพลัน | ดังองค์พระสุริยันเหมื่อเยี่ยมรถ | |||
ตรัสเรียกขุนแผนพลายงาม | ทหารสามสิบห้าเข้ามาหมด | |||
ต่างคลานเข้าเฝ้าองค์พระทรงยศ | น้อมประณตดาษดาหน้าพระลาน | |||
ทนายเลือกตีวงตรงพระที่นั่ง | เอาเชือกหนังขึงขอบรอบหน้าฉาน | |||
ข้างในล้วนบรรดาข้าราชการ | วงนอกไพร่บ้านพลเมือง | |||
เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ทั้งแก่หนุ่ม | มามั่วสุมคับคั่งนั่งเนื่อง | |||
บ้างยงโย่แยงแย่แลชำเลือง | บ้างยักเยื้องหยุกหยิกคะยิกกัน | |||
พวกตำรวจเรียงรายถือหวายห้าม | รอบทั้งท้องสนามเป็นกวดขัน | |||
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | สั่งขุนแผนให้สรรกันเข้ามาฯ | |||
๏ นายบัวหัวกะโหลกบ้านโคกขาม | ถวายบังคมงามแล้วออกหน้า | |||
นอนหงายร่ายมนตร์ภาวนา | ให้เอาขวานผ่าเป็นหลายซ้ำ | |||
โปกโปกขวานกระดอนนอนพยัก | ไม่แตกหักลุกมาหน้าแดงก่ำ | |||
นายคงเคราเข้านั่งบริกรรม | ให้เอาหอกตำเข้าจำเพาะ | |||
ถูกตรงยอดอกไม่ฟกช้ำ | แทงซ้ำหลายทีที่เหมาะเหมาะ | |||
เสียงอักอักพยักหน้านั่งหัวเราะ | จนด้ามหอกหักเดาะไม่ทานทน | |||
นายมอญนอนเปลือยเอาเลื่อยชัก | เลื่อยหักฟันเยินพระเนินย่น | |||
ให้เปลี่ยนหน้ามาเลื่อยก็หลายคน | เป็นหลายหนไม่เข้าเปล่าทั้งนั้น | |||
นายช้างดำกำลังดังช้างสาร | ถวายบังคมคลานมาไม่พรั่น | |||
กระโดสูงสามวาตาเป็นมัน | แข็งขันข้อลำดำทมิฬ | |||
นายสีอาดคลาดแคล้วแล้วไม่แตก | หอกซัดเจ็ดแบกพุ่งจนสิ้น | |||
ไม่ถูกเพื่อนเชือนไถลไปปักดิน | นายอินอึดใจแล้วหายตัว | |||
นายทองลองให้เอาปืนยิง | ยืนนิ่งคอยรับจับลูกตะกั่ว | |||
นายจันนั้นแปลกเข้าแบกวัว | นายบัวทำคล้ายเป็นหลายคน | |||
นายแตงโมทำโตได้เหมือนยักษ์ | คึกคักกรอกตาดูหน้าย่น | |||
นายจั่งหัวหูดูพิกล | เอาไฟลนทนได้ไฟวับวับ | |||
ลองถวายสิ้นทั้งสามสิบห้า | ต่างสำแดงวิชาเป็นลำดับ | |||
แล้วมาหมอบเรียงเคียงคำนับ | รับสั่งให้ประทานรางวัลพลัน | |||
คนหนึ่งเงินตราห้าตำลึง | กับผ้าสำรับหนึ่งให้จัดสรร | |||
ทั้งเพิ่มนอกออกไปให้ต่างกัน | ตามไม้มือมันใครเอกโท | |||
ยังอ้ายพลายงามจะอาสา | ดีจริงหรือว่ามันโยโส | |||
ดูตัวก็ไม่ใหญ่ใจมันโต | เฮ้ยอ้ายแผนลองโต้กับลูกดู ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนพลายงาม | ถวายบังคมตามกันทั้งคู่ | |||
ที่คนดูลุกยืนตื่นกันกรู | คอยดูพ่อลูกจะลองกัน | |||
เจ้าพลายงามขออภัยพ่อขุนแผน | แล้วจับทวนทอดแขนดูขบขัน | |||
ขุนแผนดาบสองมือถือยืนยัน | ชักท่าทางวางหันเข้าสู้ทวน | |||
กลองแขกติงทั่งตั้งเพลงรำ | ไม่เพลี่ยงพล้ำถ้อยทีถี่ถ้วน | |||
ชั้นเชิงกรีดกรายหลายกระบวน | สับสวนท่าทางสันทัดกัน | |||
ดูข้างพลายงามก็ไวว่อง | ดูทำนองขุนแผนก็แข็งขัน | |||
ได้ทีหนีไล่พัลวัน | กลับแทงแย้งฟันกันคนละที | |||
ถูกฉับไม่เข้าเปล่าทั้งนั้น | เจ้าพลายหันเยื้องย่องทำนองหนี | |||
แต่พอห่างวางทวนกับปัถพี | อัญชลีร่ายเวทเป็นไฟกัลป์ | |||
ลุกโพลงโผงผางกลางสนาม | เปลวฟู่วู่วามเสียงสนั่น | |||
ลามไหม่ไล่คนทั้งหลายนั้น | คนผู้อยู่นั่นก็หนีกรู | |||
ตกใจหน้าซีดทุกตัวคน | ขุนแผนอ่านมนตร์ฝนตกซู่ | |||
เป็นน้ำไหลไฟดับอยู่วับวู | เสียงคนดูฮาลั่นสนั่นอึง | |||
ชมปรอพ่อลูกนี้เอาจริง | วิชาเขายวดยิ่งไม่มีถึง | |||
ฝ่ายขุนแผนเสกซ้ำพร่ำตะบึง | ประเดี๋ยวหนึ่งเป็นงูชูโพนเพน | |||
อ้ายตัวใหญ่มีหงอนเท่าท่อนซุง | เลื้อยพุ่งตาแดงดังแสงเสน | |||
บริวารมากมายมาก่ายเกน | แผ่พังพานเพ่นเพ่นสักสองพัน | |||
เที่ยวเลี้ยวไล่ไชชอนไปทุกแห่ง | พวกคนดูแอบแฝงเป็นจ้าละหวั่น | |||
เหล่าผู้หญิงวิ่งหนีพัลวัน | ตัวสั่นหน้าซีดกรีดกราดไป | |||
ผ้าผ่อนล่อนหลุดสะดุดล้ม | เหยียบทับกันจมออกเหลวไหล | |||
พลายงามขว้างตะกรุดไปทันใด | เป็นนกกดตัวใหญ่ไล่ตามงู | |||
ตีนหยิกปากจิกปีกป้องรับ | งูขยับเลี้ยวฉกนกจิกสู้ | |||
ฝูงคนกล่นเกลื่อนกันมาดู | นกกดคาบงูชูร่อนบิน | |||
บรรดางูบริวารสิ้นทั้งหลาย | ก็พลอยหายสาบสูญไปหมดสิ้น | |||
พลายงามตัวเอกเสกก้อนดิน | นกหายกลายปลิ้นไปเป็นช้าง | |||
ซับมันชันหูชูงวง | งายาวขาวช่วงทั้งสองข้าง | |||
เงยแหงนแปร๋มาคว้างคว้าง | ขุนแผนยืนขวางรำขอรับ | |||
เหยียบขึ้นปลายงาขาคร่อมคอ | ช้างร้ายแรงหล่อเอาขอสับ | |||
ฟันกระชากหน้าผาก.....ยับ | จนตาหลับแหงนหงายท้ายติดดิน | |||
ช้างหายพลายงามทรามคะนอง | มีวิชาสำรองไม่รู้สิ้น | |||
บริกรรมสำแดงแปลงกายิน | เปลี่ยนปลิ้นกลับกลายเป็นควายรับ | |||
ขุนแผนหายกลายกลับเป็นเสือโคร่ง | เขี้ยวโง้งโดดหลอกกลอกกลับ | |||
ล่อควายบ่ายหน้ามาที่ประทับ | ตบขวับขวิดผึงทะลึ่งลอย | |||
ชุลมุนผลุนผลันถลันโดด | เสือโดดควายขวิดชิดไม่ถอย | |||
สู้กันฟั่นเฝือจนเหงื่อย้อย | ต่างปละปล่อยกลายกลับไปฉับพลัน | |||
พ่อเป็นนกแก้วแจ้วส่งเสียง | ลูกเลี่ยงเป็นสาลิกานั่น | |||
บินไปจับต้นไม้อยู่ใกล้กัน | รู้พูดสารพันภาษาคน | |||
แต่บรรดาคนผู้ดูจนเพลิน | สรรเสริญสองนายทุกแห่งหน | |||
เออช่างศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์เวทมนตร์ | ข้าศึกไหนจะทนฤทธาเธอ | |||
พระองค์ตบพระหัตถ์อยู่ฉัดฉาน | เบิกบานทรงพระสรวลสำรวลเร่อ | |||
อ้ายคู่นี้ใช้ได้ไม่อมเออ | ฤทธิ์เดชมันเสมอสมานกัน | |||
ทีนี้จะได้ดูอ้ายเชียงใหม่ | มันอวดอิทธิ์ฤทธิไกรอย่างไรนั่น | |||
จะสู้กับลูกกูอยากดูมัน | ไม่ถึงวันก็จะวิ่งเข้าป่าไป | |||
สิ้นพุงมึงเท่านี้แล้วหรือหวา | นกแก้วสาลิกาก็ทูลไข | |||
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงชัย | ยังไม่สิ้นตำราของอาจารย์ | |||
ทูลแล้วพ่อลูกก็คลายมนตร์ | กลับเป็นคนมาหมอบอยู่หน้าฉาน | |||
พระพันวษาปราโมทย์โปรดปราน | ให้เลื่อนเครื่องประทานแล้วตรัสมา | |||
ฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนแผนพลายงาม | มึงลูกพ่อต่อตามกันหนักหนา | |||
ดูหน้านิ่วหิวเหนื่อยจะเลื่อยล้า | กินข้าวปลาเสียทีให้มีแรง | |||
แล้วจึงตรัสสั่งคลังวิเศษ | ให้จัดเสื้อโหมดเทศอย่างก้านแย่ง | |||
แพรจีนดวงพุดตานส่านสีแดง | ทั้งสมปักตามตำแหน่งขุนนางใน | |||
ให้คลังหาสมบัติจัดเงินตรา | ห้าชั่งเอามาประทานให้ | |||
มึงทั้งสองใช้ของเหล่านี้ไป | กว่าจะได้บำเหน็จเสร็จสงคราม | |||
ขุนแผนพลายงามความยินดี | ถวายบังคมอยู่ที่กลางสนาม | |||
ด้วยทรงพระกรุณาสง่างาม | คนผู้ดูหลามไปทั้งวัง ฯ | |||
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา | ตรัสเรียกโหราเข้ามาสั่ง | |||
ให้คูณหารฤกษ์ยามตามกำลัง | วันไรจะตั้งให้ยาตรา | |||
พระโหราหาฤกษ์แล้วทูลพลัน | ขึ้นเจ็ดค่ำนั้นเป็นเศษห้า | |||
ได้ฤกษ์เบิกพยุหเสนา | เวลาสี่โมงเช้าเก้านาที | |||
ปลอดทั้งผีหลวงห่วงวัน | ยามนั้นได้เมื่อพระฤาษี | |||
แค้นขัดมัดมือลิงกาลี | จะไปตีบ้านเมืองย่อมมีชัย | |||
พระองค์ทรงฟังก็สั่งพลัน | ไปให้ทันฤกษ์พาอย่าช้าได้ | |||
มันขอแต่ไพร่ราบหาบของไป | ก็เกณฑ์ไพร่ให้มันเจ็ดสิบคน | |||
สั่งเสร็จพระเสด็จเข้าในวัง | ขุนนางลุกสะพรั่งอยู่สับสน | |||
ออกบอบแบบแสบท้องจนเต็มทน | อลวนกลับบ้านสำราญใจ | |||
พวกคนดูโจษกันสนั่นมา | ไม่เลือกหน้าไทยเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ | |||
เขาดีจริงยิ่งยวดในกรุงไกร | แปลงตัวไปได้ดังเทวดา | |||
ชั่วพ่อชั่วแม่ไม่เคยเห็น | แต่รำเต้นนั้นก็ดูมาหนักหนา | |||
สันนี้ได้เห็นเป็นบุญตา | เรากำเนิดเกิดมาไม่เสียทีฯ | |||
ฝ่ายว่าขุนแผนแสนสะท้าน | กลับมาอยู่บ้านพระหมื่นศรี | |||
ครั้นรุ่งเช้าเข้าไปอัญชลี | บอกคดีได้ข่าวบ่าวมันมา | |||
ว่าบัดนี้คุณแม่ทองประศรี | มาแต่กาญจน์บุรีอยู่เคหา | |||
เพราะฝ่าเท้าเจ้าคุณกรุณา | ลูกกับบุตรภรรยาจะลาไป | |||
พระหมื่นศรีเมตตาสั่งข้าคน | ให้ช่วยขนข้าวของไปส่งให้ | |||
พ่อลูกกราบลาแล้วคลาไคล | ภรรยาข้าไทก็ไปตาม | |||
พวกทหารสามสิบห้ามาติดก้น | เดินดาเต็มถนนจนล้นหลาม | |||
ชาวตลาดแลดูไม่รู้ความ | กระซิบถามเพื่อนกันว่านั่นใคร | |||
บ้างบอกพวกนี้ที่พ้นโทษ | โปรดให้ไปทัพจับเชียงใหม่ | |||
ขุนแผนมาถึงบ้านวัดตระไกร | ก็เข้าไปไหว้กราบท่านมารดา ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางทองประศรี | เห็นลูกยินดีเป็นหนักหนา | |||
ลูบหน้าลูบหลังถั่งน้ำตา | เออเหมือนมาเกิดใหม่ได้พบกัน | |||
กูขอบใจออแก้วกิริยา | มันอุตส่าห์ติดตัวตามผัวขวัญ | |||
เอ็งจงเป็นพี่น้องลาวทองนั้น | อย่าขึ้งเคียดเดียดฉันท์กันวุ่นไป | |||
อนิจจาน่ารักออพลายงาม | เพียรติดตามทูลขอพ่อจนได้ | |||
นี่แลบุราณท่านกล่าวไว้ | ว่าเป็นชายมิให้ดูหมิ่นชาย | |||
แล้วหันมาหาขุนแผนแสนสะท้าน | ยิ่งสงสารดูไปใจคอหาย | |||
ช่างผอมซูปวิปริตรผิดทั้งกาย | นี่หากว่าไม่ตายเสียในคุก | |||
สิ้นเคราะห์โศกโรคภัยเถิดแก้วแม่ | ตั้งแต่นี้มีแต่ให้เป็นสุข | |||
ร้อยปีพันปีอย่ามีทุกข์ | จงเป็นสุขตราบเท่าเข้านิพพาน ฯ | |||
๏ ขุนแผนรับพรของมารดา | แล้วออกมาเร่งรัดให้จัดบ้าน | |||
ขนของขึ้นเรือนเกลื่อนนอกชาน | ให้ปลูกร้านพวกไพร่จะได้นอน | |||
เรือนเหย้าเก่าเกจะเซคว่ำ | เอาไม้ค้ำจุนดูพออยู่ก่อน | |||
ทำกันจนตะวันลงรอนรอน | ต่างพักผ่อนลืมทุกข์สุขสำราญ ฯ | |||
๏ ฝ่ายเจ้ากรมสัสดีก็มีหมาย | ทุกตัวนายหมวดหมู่อยู่อลหม่าน | |||
เป็นการจวนด่วนวิ่งไม่นิ่งนาน | เอาที่บ้านใกล้ใกล้จะได้ทัน | |||
บ้างเร่งรัดมัดผูกลูกเมียมา | อุตลุดฉุดคร่าจ้าละหวั่น | |||
ผัดดผ่อนไม่ได้ไม่ฟังกัย | ครบครันเบ็ดเสร็จเจ็ดสิบคน | |||
จึงสั่งให้นายสมุห์บาญชี | ไปส่งที่ขุนแผนออกสับสน | |||
ลูกเมียหาข้าวสารอยูลานลน | อลวนจัดแจงประจุบัน | |||
หาได้ตามยากตามมี | ให้ทันทีตามส่งกันตัวสั่น | |||
ที่ในบ้านขุนแผนออกแน่นนันต์ | พร้อมเพรียงสามวันจะครรไล ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา | คิดกับลูกยาหาช้าไม่ | |||
จะปลุกเครื่องให้เรืองฤทธิไกร | จึงชวนกันออกไปที่ป่าช้า | |||
ให้ทหารปลูกศาลขึ้นฉับพลัน | ตั้งบายศรีสามชั้นทั้งซ้ายขวา | |||
หัวหมูเป็ดไก่ทั้งเหล้ายา | เครื่องเซ่นจัดหามาเรียงราย | |||
เอาผ้าขาวปูลาดดาดเพดาน | นมัสการจุดธูปเทียนถวาย | |||
ในมณฑลนั้นให้อยู่แต่ผู้ชาย | วงสายสิญจน์สิณจน์รอบเป็นขอบคัน | |||
ทั้งพ่อลูกเข้านั่งกลางมณฑล | อ่านมนตร์โองการอันกวดขัน | |||
ชุมนุมเทวดามาพร้อมกัน | ทุกช่องชั้นอินทร์พรหมยมยักษ์ | |||
ทั้งพระเพลิงพระพายกรุงพาลี | พระภูมิเจ้าที่อันมีศักดิ์ | |||
อีกพระไพรเจ้าป่าพนารักษ์ | พระนารายณ์ทรงจักรศิวาทิตย์ | |||
พระคเณศร์พินายทั้งซ้ายขวา | ขอเชิญลงมาให้ศักดิ์สิทธิ์ | |||
ทั้งคุณแก้วสามประการอันชาญชิต | บิดามารดาสถาวร | |||
คุณครูอุปัชฌาอาจารย์ | พระโองการบพิตรอดิศร | |||
ขออับเชิญช่วยมาอวยพร | ให้เรืองฤทธิ์ขจรทุกสิ่งอัน | |||
แล้วร่ายคาถามหาเวท | ปลุกเครื่องวิเศษทุกสิ่งสรรพ์ | |||
ว่านยาผ้าประเจียดมงคลนั้น | ตะกรุดโทนน้ำมันอันเรืองฤทธิ์ | |||
เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ | เครื่องอานกลิ้งไปดังใครบิด | |||
แล้วตั้งกองอัคคีทั้งสี่ทิศ | เอาเครื่องวางกลางมิดในกองไฟ | |||
เปลวไฟคึกคึกไม่ขาดสาย | ชั้นแต่เส้นด้ายหาไหม้ไม่ | |||
จึงเอาพระควำที่ทำไว้ | ใส่ขันสำริดประสิทธิ์มนตร์ | |||
ในขันนั้นใส่น้ำมันหอม | เสกพร้อมเป่าลงไปสามหน | |||
พระนั่งขึ้นได้ในบัดดล | น้ำมันทาทนทั้งทุบตี | |||
ล่องหนกำบังจังงังครบ | อุปเท่ห์เล่ห์จบเป็นถ้วนถี่ | |||
ปลุกเครื่องเสร็จพลันอัญชลี | อ่านมนตร์เรียกผีพวกภูตพราย | |||
ผีตายฟ้าผ่าทั้งห่าโหง | อยู่ในหลุมในโลงสิ้นทั้งหลาย | |||
ผีตายคลอดลูกผูกคอตาย | ผีนายผีไพร่ให้รีบมา | |||
ฝูงผีมิอาจจะซุ่มซ่อน | ด้วยเร่าร้อนฤทธิ์เวทพระคาถา | |||
พากันเหลื่อนกลาดดาษดา | พร้อมหน้ามาที่พิธีการ | |||
บรรดาผู้นั่งอยู่ในมณฑล | เห็นผีทุกคนออกพลุกพล่าน | |||
พลายงามขุนแผนแสนสำราญ | เอาเหล้าข้าวใส่กบาลออกเซ่นวัก | |||
เนื้อพล่าปลายำทำตามมี | ฝูงผีเข้ามากินหนักกว่าหนัก | |||
ข้างนอกยังนั่งล้อมอยู่พร้อมพรัก | ชักชวนกันกินสิ้นทั้งปวง | |||
ที่อดหยากปากไหม้ไส้ขม | ต่างชื่นชมรับเอาเครื่องบวงสรวง | |||
ล้อมกินปลิ้นตาอ้าปากกลวง | ตวงเหล้าเติบบ่อยอร่อยครัน | |||
เสร็จแล้วพ่อลูกก็สั่งผี | ว่าพวกท่านวันนี้จงจัดสรร | |||
มาอาสาศึกใหญ่ไปด้วยกัน | ให้ทันฤกษ์พาเวลาเพล | |||
พวกผีดีใจไปสิพ่อ | ลูกจะขอเป็นบ่าวให้กราวเขน | |||
อันทัพผีมิให้ต้องกะเกณฑ์ | จะเข้านอนออกเวรให้ทันการ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนกับพลายงาม | เสร็จพิธีมีความเกษมศานต์ | |||
จึงจัดแจงจงแบ่งปันซึ่งเครื่องอาน | แจกทหารกับไพร่ให้ผูกพัน | |||
พวกพลทั้งสิ้นก็ยินดี | เห็นอย่างนี้ละคุณพ่อใจคอมั่น | |||
ถึงจะให้ไปไหนก็ไปกัน | จะสู้คนร้อยพันไม่พรั่นใจ | |||
ครั้นเสร็จสรรพกลับพากันมาบ้าน | ขุนแผนเรียกทหารเข้ามาใกล้ | |||
สาตราอาวุธจงเลือกใช้ | ใครถนัดอย่างไหนเอาไปพลัน | |||
บางคนฉวยดาบชักวาบวับ | ที่บางคนก็จับเอากั้นหยั่น | |||
บ้างเข้ามาคว้าปืนถือยืนยัน | บางคนนั้นร้องบอกขอหอกยาว | |||
อ้ายเฉยว่าฉันเคยแต่ไม้พลอง | อ้ายมาว่าฉันคล่องก็เพลงหลาว | |||
อ้ายเพชรว่าพร้าก็พอกับคอลาว | อ้ายทิดสาคว้าง้าวออกลองรำ | |||
ต่างคนต่างเลือกหาเครื่องอาวุธ | อุตลุดสับสนอยู่จนค่ำ | |||
แล้วแจกจ่ายเสื้อผ้ายาประจำ | กระบอกน้ำถุงไถ้ใส่ข้าวปลา | |||
ที่พวกหาบหาไม้มาทำคาน | จักสานโพล่แฟ้มแซมตะกร้า | |||
ที่ได้เป็นนายหมวดคอยตรวจตรา | เสียงเฮฮาครึกครื้นรื่นเริงกัน ฯ | |||
๏ ฝ่ายนางทองประศรีกระปรี้กระเปร่า | ตั้งแต่เช้าจัดเสบียงเสียงสนั่น | |||
พริกเกลือข้าวปลาสารพัน | ใครเชือนช้าด่าลั่นไม่เลือกตัว | |||
นางแก้วกิริยากับลาวทอง | จัดของเครื่องใช้ให้แก่ผัว | |||
ปรึกษากันปรองดองไม่หมองมัว | ด้วยความกลัวผัวรักจักทุกข์ร้อน | |||
หีบหมากเครื่องนากอยู่ในกลี่ | ซองบุหรี่ย่ามใหญ่ใส่ผ้าผ่อน | |||
เสื้อผ้าจัดพับที่หลับนอน | มุ้งหมอนพร้อมสิ้นทุกสิ่งอัน | |||
ข้าวของขนมาไว้หน้าเรือน | กองเกลื่อนบ่าวข้าจ้าละหวั่น | |||
ส่วนว่าของนายพลายงามนั้น | พระหมื่นศรีจัดสรรทุกสิ่งไป ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งเช้าจะเข้าไปทูลลา | ขุนแผนลูกยาไม่ช้าได้ | |||
จัดพานธูปเทียนแลดอกไม้ | ไปหาท่านผู้ใหญ่ที่ในวัง | |||
เวลาสี่โมงเสด็จออก | พระโรงนอกเสียงแตรแซ่กระทั่ง | |||
เสด็จประทับเหนืออาสน์ราชบังลังก์ | มีรับสั่งไต่ถามความนานา ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี | ได้ทีก็ประนมก้มเกศา | |||
กราบทูลเบิกไปมิได้ช้า | ขอเดชะพระบาทามาปกครอง | |||
ดอกไม้ธูปเทียนทองของถวาย | ของขุนแผนนายพลายงามทั้งสอง | |||
กราบถวายบังคมลาฝ่าละออง | ไปราชการศึกสนองพระเดชา ฯ | |||
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังทูลทรงพระสรวลสำรวลร่า | |||
เฮ้ยขุนแผนพลายงามทั้งสองรา | ซึ่งอาสาทำชอบกูขอบใจ | |||
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์ | พ้นวิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข | |||
ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร | มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา | |||
ตรัสพลางทางสั่งพนักงาน | พระราชทานเครื่องยศกับเสื้อผ้า | |||
ทั้งกระบี่ทั้งทองของนานา | เงินตราเตรียมไปใช้ในทัพ | |||
อีกทั้งม้าต้นคนละม้า | เครื่องอานพานหน้าให้พร้อมสรรพ | |||
พวกไพร่ให้ผ้าคนละสำรับ | สั่งเสร็จเสด็จกลับเข้าวังใน ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนกับลูกยา | เสด็จขึ้นกลับมาหาช้าไม่ | |||
หาธูปเทียนใส่พานคลานเข้าไป | กราบไหว้ทองประศรีผู้มารดา | |||
ลูกหลายจะมาลาคุณแม่ | จงอยู่ดูแลซึ่งเคหา | |||
อันลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา | คุณแม่ได้เมตตาช่วยดูแล | |||
ถัาทุกข์ร้อนก่อนลูกกลับมาถึง | จะหมายพึ่งผู้ใดให้เป็นแน่ | |||
พระหมื่นศรีแลเธอเป็นเกลอแท้ | คุณแม่เจ็บไข้จงไหว้วาน | |||
เหย้าเรือนรุงรังจะพังคว่ำ | พอจะทำเงินมีอยู่ที่บ้าน | |||
ขอแต่ให้คุณแม่อยู่สำราญ | ถึงลูกไปช้านานไม่ร้อนใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา | ฟังลูกหลานลาน้ำตาไหล | |||
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป | อย่าเป็นห่วงบ่วงใยเลยทางนี้ | |||
เมียเจ้านั้นไซร้ไว้ธุระแม่ | จะดูแลสารพัดให้ถ้วนถี่ | |||
ทั้งเรือนเหย้าข้าวของบรรดามี | ได้พึ่งพระหมื่นศรีก็ดีแล้ว | |||
แม่ขัดขวางอย่างไรจะไปหา | เจ้าตั้งหน้าไปเถิดนะลูกแก้ว | |||
ทุกข์โศกโรคภัยให้คลาดแคล้ว | จงผ่องแผ้วพูนสุขทุกเวลา | |||
ให้เจ้าชนะมารผลาญศัตรู | ใครอย่ารอต่อสู้ได้สักหน้า | |||
อองามเจ้าอย่าห่างข้างบิดา | ยังเด็กนักเด็กหนาย่าห่วงนัก | |||
อย่าประมาททอาจหาญการรบสู้ | ขุนไกรปู่นั้นแต่หนุ่มคุ้มฟันหัก | |||
แกมิได้หมิ่นศึกทำฮึกฮัก | เบาหนักตรองดูให้รู้ความ | |||
อนึ่งพวกพลไพร่ที่ไปด้วย | ใครเดือดร้อนผ่อนช่วยอย่าหยาบหยาม | |||
อุตส่าห์เอาอกใจให้งดงาม | ไปรบพุ่งเหมือนตามกันไปตาย | |||
ถ้าใจเดียวเกลียวกลมกันหนึ่งแน่ | ถึงน้อยก็ไม่แพ้ที่มากหลาย | |||
ท่านว่าป่าพึ่งเสือเรือพึ่งพาย | เราเป็นายก็ต้องพึ่งซึ่งไพร่พล | |||
อนึ่งความกตัญญูรู้คุณเจ้า | ทุกค่ำเช้านึกไว้จะให้ผล | |||
ให้รุ่งเรืองฤทธิเดชทั้งเวทมนตร์ | เจ้าจงสนใจจำคำย่าไว้ ฯ | |||
๏ ขุนแผนพลายงามความยินดี | รับพรทองประศรีแล้วก้มไหว้ | |||
ขุนแผนกลับมาสั่งข้าไท | แล้วเข้าไปในห้องทั้งสองนาง | |||
เจ้าลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา | จงอุตส่าห์ปรองดองอย่าหมองหมาง | |||
ไปทัพถ้าข้างบ้านเกิดรานทาง | มักเป็นลางให้ร้ายฝ่ายผู้ไป | |||
การกินอยู่ดูแลแม่ทองประศรี | อย่าให้มีทุกข์ยากลำบากได้ | |||
เจ้าแก้วก็อลักเอลื่ออยู่เหลือใจ | ท้องไส้จงระวังจะนั่งนอน | |||
เมื่อคลอดลูกลาวทองน้องช่วยดู | ทั้งฟืนไฟให้อยู่แลผ้าผ่อน | |||
ให้บ่าวมันคั้นส้มต้มน้ำร้อน | เอาผ้าซ้อนเปลลูกผูกเห่ช้า | |||
อันที่จะทำมิ่งสิ่งขวัญ | เรื่องนั้นมอบไว้ให้คุณย่า | |||
ด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ได้เคยมา | ถึงหยูกยาสารพัดทั่นเข้าใจ | |||
อนึ่งพี่นึกได้ไปคราวนี้ | ท่วงทีจะได้พบท่านผู้ใหญ่ | |||
ด้วยเดินทางไม่ห่างสุโขทัย | ไปเชียงใหม่ก็จะผ่านบ้านจอมทอง | |||
จะสั่งเสียอย่างไรไปถึงบ้าง | หรือสองนางเจ้าอยากฝากข้าวของ | |||
พี่จะรับไปให้ดังใจปอง | ถ้าได้ช่องคงพบประสบกัน ฯ | |||
๏ ครานั้นลาวทองแก้วกิริยา | ฟังว่าอกใจให้ไหวหวั่น | |||
จะร้องไห้กลัวลางในกลางคัน | อุตส่าห์กลั้นโศกาแล้วว่าไป | |||
พ่ออย่าได้รำพึงถึงตัวน้อง | จะปรองดองผูกสมัครรักใคร่ | |||
รับการงานให้ท่านคุณแม่ใช้ | จะตั้งใจปฏิบัติเป็นอัตรา | |||
ถ้าขึ้นไปได้พบกับพ่อแม่ | จงบอกแต่ว่าลูกเป็นสุขา | |||
แล้วผัวเมียต่างคนสนทนา | ด้วยสนิทเสนหาต่างอาลัย ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนแสนศักดา | ตื่นขึ้นเวลาปัจจุบันสมัย | |||
บ้วนปากล้างหน้าแล้วคลาไคล | ชวนลูกออกไปตระเตรียมทัพ | |||
ที่ตำบลวัดใหม่ชัยชุมพล | เป็นมงคลเคยตั้งตามตำรับ | |||
ผู้คนพร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ | ขุนแผนกับลูกยาตรวจตราการ | |||
ทองประศรีลาวทองแก้วกิริยา | ก็ตามมาจัดเสบียงเลี้ยงอาหาร | |||
ทั้งบ่าวไพร่พวกพงศ์วงศ์วาร | ตามไปส่งพลุกพล่านทั้งลานวัด | |||
พระหมื่นศรีดีจริงไม่นิ่งได้ | พาลูกเมียบ่าวไพร่ไปเป็นขนัด | |||
ขาดเหลือเจอจานสารพัด | แล้วช่วยจัดข้าวของจะเอาไป | |||
ของใหญ่ให้เอาขึ้นหลังช้าง | วัวต่างนั้นบรรทุกเสบียงใส่ | |||
ที่เบาเบาเหล่าของต้องการใช้ | ให้พวกไพร่หาบหามตามติดนาย | |||
ครั้นจัดเสร็จเรียบร้อยคอยเวลา | โหราเหยียบเงาเอาชั้นฉาย | |||
พอถ้วนนาทีสี่โมงปลาย | ถึงฤกษ์จะขยายกระบวนพล ฯ | |||
๏ ครานั้นนางแก้วกิริยา | แต่เช้ามาหาสำรับอยู่สับสน | |||
ท้องแก่อลักเอลื่อก็เหลือทน | เจ็บท้องร้องทุรนจะขาดใจ | |||
ทองประศรีว้าวุ่นเรียกขุนแผน | แล้วลุกแล่นมาประคองทั้งสองไหล่ | |||
ขุนแผนทำน้ำสะเดาะให้ทันใด | กลืนเข้าไปพอตลอดคลอดลูกชาย | |||
ประจวบฤกษ์ดิถีกรีธาทัพ | ต้องตำรับว่าประเสริฐเลิศหลาย | |||
ทองประศรีอุ้มแอบไว้แนบกาย | ให้ชื่อพลายชุมพลรณรงค์ | |||
แล้วเรียกเรือมารับกลับเข้าบ้าน | ด้วยห่วงหลานลูกสะใภ้ไม่อยู่ส่ง | |||
พระหมื่นศรีรับว่าอย่าพะวง | จงวางใจให้ฉันไว้ทางนี้ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา | ดูท้องฟ้าเห็นจำรัสรัศมี | |||
สบยามตามตำราว่าฤกษ์ดี | สั่งให้ตีฆ้องชัยไว้เดโช | |||
ยกจากวัดใหม่ชัยชุมพล | พวกพหลพร้อมพรั่งตั้งโห่ | |||
พระสงฆ์ส่งสวดชยันโต | ออกทุ่งโพธิ์สามต้นขับพลมา | |||
โห่ร้องฆ้องลั่นมาหึ่งหึ่ง | นายจันสามพันตึงเป็นกองหน้า | |||
กองหลังสีอาดราชอาญา | พวกทหารสามสิบห้าต่างคลาไคล | |||
บ้างคอนกระสอบหอบกัญชา | ตุ้งก่าใส่ย่ามตามเหงื่อไหล | |||
บ้างเหล้าใส่กระบอกหอกคอนไป | ล้าเมื่อไรใส่อึกไม่อื้ออึง | |||
บ้างห่อใบหระท่อมตะพายแล่ง | เงี่ยนยาหน้าแห้งตะแคงขึง | |||
ถุนกระท่อมใส่ห่อพอตึงตึง | ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกัน ฯ | |||
๏ ขุนแผนพลายงามตามกันมา | ชักม้าข้ามทุ่งมุ่งไพรสัณฑ์ | |||
พอพ้นถิ่นก็สิ้นแสงตะวัน | ผ่อนผันหยุดพักพิตเพียน | |||
นายกำนันก็ชวนลูกบ้านช่อง | แบกสำรับเนืองนองไม่ต้องเฆี่ยน | |||
ไฟฟืนดื่นไปทั้งไต้เตียน | เยี่ยมเยียนกองทัพสับสนกัน | |||
พวกกองทัพทั้งสิ้นกินข้าวปลา | ชาวบ้านเอามาเลี้ยงที่นั่น | |||
แล้วกำนันไปจัดที่วัดพลัน | ให้พวกกองทัพนั้นอาศัยนอน | |||
รุ่งเช้าข้าวปลาหากินสรรพ | ขับกันรีบไปไม่หยุดหย่อน | |||
พ้นทุ่งเข้าป่ามาทางดอน | พอแดดกล้าหน้าร้อนอ่อนระทม | |||
มาถึงบ้านดาบก่งธนู | พักร้อนเข้าอยู่อาศัยร่ม | |||
พ่อลูกนั่งเล่นเย็นเย็นลม | เชยชมลูกชายสบายใจ ฯ | |||
๏ ขุนแผนจึงเรียกเจ้าพลายงาม | เดินตามไปที่ต้นไทรใหญ่ | |||
หมากพลูธูปเทียนเอาถือไป | ถึงต้นพระไทรก็กราบลง | |||
บอกว่าฟ้าฟื้นของพ่อฝัง | ไว้แต่ครั้งพระพิจิตรเขาบอกส่ง | |||
ดาบนี้มีฟทธิ์ปราบณรงค์ | ฝังไว้ตรงกิ่งทิศบูรพา | |||
พลายงามก็ขุดดินลงไป | พบดาบดีใจเป็นหนักหนา | |||
ส่งให้พ่อชักวาบปลาบนัยน์ตา | ขุนแผนทูนเกศาด้วยสุดรัก | |||
ดาบนี้ต่อไปจะให้เจ้า | รบพุ่งจะได้เอาไปเป็นหลัก | |||
อันฟ้าฟื้นเล่มนี้ดียิ่งนัก | ดาบอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเลย | |||
ถึงพระแสงทรงองค์กษัตริย์ | ไม่เทียมทัดของเราดอกเจ้าเอ๋ย | |||
จะฝึกเจ้าให้ใช้เสียให้เคย | ชมเชยดาบพลางทางเดินมา ฯ | |||
๏ กลับถึงที่สำนักแล้วพักผ่อน | ตะวันรอนแดดบ่ายลงชายป่า | |||
เตือนกันทั้งสิ้นกินข้าวปลา | พอเพลาลมตกยกต่อไป | |||
ค่ำลงหยุดนอนลพบุรี | เช้ายกจากที่อีกพักใหญ่ | |||
ตัดบางขามข้ามบ้านด่านโพธิ์ชัย | ล่องเข้าแขวงใกล้อู่ตะเภา | |||
ตรงมาหัวแดนภูเขาทอง | หนองบัวห้วยเฉียงเลี่ยงชายเขา | |||
ตัดลงชายดอนร้อนไม่เบา | พอย่างเข้าทุ่งหลวงเพลาพลบ | |||
ขุนแผนก็สั่งให้หยุดพัก | ที่ล้าเมื่อยเหนื่อยหนักนอนสลบ | |||
บรรดาพวกพหลพลรบ | จุดคบกองไฟไว้เป็นวง | |||
ลางคนหาเขียงหั่นกัญชา | นั่งชักตุ้งก่าจนคอก่ง | |||
บ้างมีแต่กัญชามานั่งลง | ผลัดกันหั่นส่งใส่ไฟโพลง | |||
ที่ไม่มีขอซื้อสามมื้อสลึง | พอส่งถึงรับหั่นชักควันโขมง | |||
อยากหวานเมางวงล้วงกระโปรง | บ้างโก้งโค้งค้นหาพุทรากวน | |||
พวกขี้ยาขึงผ้าขึ้นบังมิด | ลงนอนขิดกองไฟใส่กล้องง่วน | |||
สิ้นเนื้อเหลือขี้ลงรีรวน | จวนหมดอตส่าห์สงวนไว้ | |||
เพื่อนกันขอปันหุนละบาท | คราวขาดกลัวตายหาขายไม่ | |||
อ้ายที่เงี่ยนเต็มอ่อนวอนร่ำไร | ได้แต่ขี้สองชั้นพอกันตาย | |||
เอาดาบหอกออกแลกกับขี้ยา | จนชั้นขันล้างหน้าก็ยื่นขาย | |||
พอแก้เงี่ยนเหียนห้อยค่อยสบาย | กินอยู่พูวายแล้วหลับนอน ฯ | |||
ตอนที่ ๒๘ พลายงามได้นางศรีมาลา
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม | เพลายามสามหลับอยู่กับหมอน | ||
กำนัดหนุ่มกลุ้มใจให้อาวรณ์ | เทพเจ้าจึงสังหรณ์ให้เห็นตัว | ||
ฝันว่านารีเพิ่งรุ่นสาว | ผิวขาวคมคายมิใช่ชั่ว | ||
สองเต้าเต่งตั้งดังดอกบัว | มายืนยิ้มยั่วแล้วเยื้องกราย | ||
พอภปรายทายทักชักสนิท | นางเบือนบิดทำทีจะหนีหน่าย | ||
ก็ลุกรีบตามติดเข้าชิดกาย | คว้าเข้าเจ้าก็หายไปกับมือ | ||
เคลิ้มผวาคว้ากอดขุนแผนพ่อ | พูดจ้อนี่เจ้าไม่เมตตาหรือ | ||
ขุนแผนตื่นฟื้นตัวก็ผลักมือ | ร้องฮื้อพลายงามทำอะไร | ||
เจ้าพลายกลัวพ่อใจคอหวั่น | บอกว่าฝันเห็นผู้หญิงลูกวิ่งไล่ | ||
รุ่นสาวขาวอร่ามงามสุดใจ | จึงเผลอไปขอโทษได้โปรดปราน ฯ | ||
๏ ขุนแผนฟังความพลายงามเล่า | เอ๊ะออเจ้าช่างฝันดูขันจ้าน | ||
ฝันเช่นนี้มีตำรับแต่บุราณ | ใครฝันมักบันดาลได้เมียดี | ||
หรือจะถูกลูกเจ้าบ้านผ่านเมือง | ทำนายพลางย่างเยื้องออกจากที่ | ||
บอกกันทั่วหน้าบรรดามี | วันนี้ถึงพิจิตรไม่ทันเย็น | ||
ว่าแล้วเตือนกันกินข้าวปลา | รีบยกยาตราขะมักเขม้น | ||
ไม่หยุดหย่อนร้อนเหลือเหงื่อกรเด็น | พอแลเห็นเมืองแวะเข้าวัดจันทร์ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่านวลนางศรีมาลา | คืนวันนั้นนิทราก็ใฝ่ฝัน | ||
ว่าลงสระเล่นน้ำสำราญครัน | เห็นบุษบันดอกหนึ่งดูพึงตา | ||
ผุดขึ้นพ้นน้ำงามสะอาด | นางโผดผาดออกไปด้วยหรรษา | ||
เด็ดได้ดีใจว่ายกลับมา | กอดแนบแอบอุราประคองดม | ||
ลืมตาคว้าดูดอกบัวหาย | เสียดายนี่กระไรไม่ได้สม | ||
ปลุกอีเม้ยแก้ฝันหวั่นอารมณ์ | อีเม้ยชมว่าฝันของนายดี | ||
ดอกบัวคือผัวมิใช่อื่น | มิพรุ่งนี้ก็มะรืนคงถึงนี่ | ||
ไม่เหมือนอีเม้ยทายให้นายดี | ฝันอย่างนี้ได้ทายมาหลายคน | ||
ศรีมาลาว่าไฮ้อีมอญถ่อย | เอาผัวผ้อยมาพูดไม่เป็นผล | ||
อุตริทำนายทายสัปดน | ถึงใครใครให้จนเทวดา | ||
ถ้ามีหน้ามาเกี้ยวก็คงเก้อ | อย่าเพ้อเลยไม่อยากปรารถนา | ||
อยู่คนเดียวไม่สบายเอาชายมา | เขาย่อมว่ามันเป็นเจ้าหัวใจ | ||
อีเม้ยมอญคะนองร้องอุยย่าย | อย่าพักพูดเลยนายหาเชื่อไม่ | ||
ยังไม่พบปะก็พูดไป | ถึงตัวเข้าเมื่อไรได้ดูกัน | ||
บ่าวนายสัพยอกหยอกเย้า | รุ่งเช้าศรีมาลาก็ผายผัน | ||
ไปดูการบ้านเรือนเหมือนทุกวัน | นึกถึงฝันพรั่นใจไม่รู้วาย ฯ | ||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | พักอยู่อารามจนตกบ่าย | ||
จะเข้าไปในจวนชวนลูกชาย | แล้วย่างกรายบ่าวตามออกหลามไป | ||
ถือถาดหมากคนโทเป็นยศอย่าง | เดินมาตามทางกับบ่าวไพร่ | ||
พลายงามคิดถึงฝันปั่นป่วนใจ | เข้าในย่านตลาดก็แลชม | ||
ที่เหล่าร้านขายผ้ามีหน้าถัง | ลายสุหรัดมัดตั้งทั้งผ้าห่ม | ||
ร้านถ้วยชามรามไหมีอุดม | สะสมสินค้าสารพัด | ||
สิ่งของทองเหลืองทั้งเครื่องแก้ว | เป็นถ่องแถวคนผู้ดูแออัด | ||
พวกลูกสาวชาวร้านพานสันทัด | ทำเหยาะหยัดกิริยาท่าชาวกรุง | ||
พวกขมิ้นเหลืองจ้อยสอยไรจุก | มีแทบทุกหน้าถังบ้างเย็บถุง | ||
แต่ละหน้าหน้านวลชวนบำรุง | ใส่กลิ่นหอมฟุ้งสองฟากทาง | ||
นุ่งลายห่มสีไม่มีเศร้า | ผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวล่าง | ||
คนหนึ่งรูปขาวสาวสำอาง | ดูคล้ายนางคืนนี้เป็นนวลจันทร์ | ||
ครั้นเข้าใกล้แลเขม้นเป็นแต่แม้น | ไม่อ้อนแอ้นเหมือนนางที่ในฝัน | ||
ทั้งนมคล้อยหน่อยนึงจึงผิดกัน | นอกจากนั้นตะละอย่างต่างต่างไป | ||
นางนิมิตติดใจมิได้ลืม | ยิ่งป่วนปลื้มถึงฝันให้หวั่นไหว | ||
สู้เดินเมินหน้าไม่อาลัย | ล่วงตลาดเข้าไปในจวนพลัน ฯ | ||
๏ พระพิจิตรนั่งเล่นอยู่หอขวาง | เห็นคนเดินมาสล้างก็นึกหวั่น | ||
เอ๊ะข้าหลวงมาทำไมหลายคนครัน | ที่เดินหน้ามานั่นดังพระยา | ||
ครั้นดูไปจำได้ว่าขุนแผน | ดีใจลุกแล่นลงมาหา | ||
จูงมือขึ้นจวนชวนพูดจา | ขุนแผนวันทากับลูกชาย | ||
พระพิจิตรเรียกศรีบุษบา | ขุนแผนเขามาไปไหนหาย | ||
บุษบาเยี่ยมหน้าเห็นสองนาย | ยิ้มพรายออกมาด้วยดีใจ | ||
นั่งลงไต่ถามความทุกข์ยาก | แต่ไปจากแม่ได้แต่ร้องไห้ | ||
มิรู้ที่จะถามข่าวคราวใคร | ด้วยทางไกลเหลือไกลมิได้รู้ | ||
จะเป็นตายหายลับไปหลายปี | วันนี้แลหวังว่ายังอยู่ | ||
เห็นเจ้าเหมือนใครให้แก้วชู | ด้วยเอ็นดูเหมือนลูกจึงผูกใจ | ||
วันทองท้องแก่ไปแต่นี่ | คลอดง่ายดายดีหรือเจ็บไข้ | ||
ลูกเป็นชายหญิงอย่างกระไร | เดี๋ยวนี้อยู่ไหนไม่พามา ฯ | ||
๏ ขุนแผนเล่าความไปตามเรื่อง | เมื่อส่งไปจากเมืองก็สุขา | ||
เขาผ่อนปรนจนถึงอยุธยา | โปรดประทานโทษาไม่ฆ่าตี | ||
เป็นความกับขุนช้างก็ชนะ | ลูกไปอยู่บ้านพระจมื่นศรี | ||
เผอิญกรรมตามซัดวิบัติมี | ไปเห็นชั่วเป็นดีไม่ควรการ | ||
ให้ทูลขอลาวทองต้องติดคุก | ทนทุกข์โทษแทบถึงประหาร | ||
วันทองท้องแก่เหลือกันดาร | ทรมานว้าเหว่อยู่เอกา | ||
อ้ายขุนช้างบังอาจฉุดเอาไป | ไม่มีผู้ใดจะตามว่า | ||
จนคลอดลูกชายคนนี้มา | ชันษาเจ้าได้ถึงสิบปี | ||
มันจะเอาไปฆ่าในป่ใหญ่ | พลายช่วยไว้ได้ไม่เป็นผี | ||
หนีไปอยู่บ้านกาญจน์บุรี | แม่ทองประศรีเลี้ยงไว้ให้เรียนรู้ | ||
พอมีศึกเจ้าสะอึกเข้าอาสา | แต่ตัวข้ายังติดคุกอยู่ | ||
จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงเอ็นดู | ได้ช่องคูทูลขอพ่ออกมา | ||
ก็โปรดให้พลายงามด้วยความชอบ | รับสั่งมอบการศึกให้รักษา | ||
ประทานคนโทษที่มีวิชา | สามสิบห้าลูกหาบเจ็ดสิบคน | ||
ที่มานี่จะยกไปเชียงใหม่ | ไปจับอ้ายลาวตีให้ปี้ป่น | ||
นึกถึงคุณปกเกล้าเมื่อคราวจน | จึงแวะวนเข้ามนมัสการ ฯ | ||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | ฟังขุนแผนว่าน่าสงสาร | ||
อนิจจาเคราะห์ร้ายแทบวายปราณ | นมนานน้อยหรือแต่ทนทุกข์ | ||
นี่หากลูกยากล้าทูลขอ | หวังจะแทนคุณพ่อสู้บั่นบุก | ||
หาไม่ก็จะตายอยู่ในคุก | เจ้าให้พ่อเป็นสุขมิเสียแรง | ||
ผัวเมียชอบอารมณ์ชมเปาะ | หน้าตาเหมาะเจาะใจกล้าแข็ง | ||
ชาติทหารเหมือนพ่อไม่ย่อแยง | ดูกล้องแกล้งนึกรักเฝ้าทักทาย | ||
แค้นใจแต่ท้องบุษบา | เป็นผู้หญิงเสียข้าขันใจหาย | ||
คิดคิดขึ้นมาน่าเสียดาย | ถ้าแม้นชายจะให้ไปด้วยพลัน | ||
ว่าพลางทางร้องเรียกลูกสาวมา | ศรีมาลาเอ๋ยนั่งทำไมนั่น | ||
ออกมาหาพี่ชายอย่าอายกัน | ศรีมาลาหวั่นหวั่นแล้วแอบมอง | ||
พี่เชื้อมาแต่ไหนไม่รู้จัก | ค่อยค่อยผลักบานประตูดูตามช่อง | ||
เห็นหนุ่มน้อยหน้านวลชวนคะนอง | สองคนพ่อลูกประหลาดตา | ||
อีเม้ยรับขยับเข้ายืนชิด | มือสะกิดเย้าเยาะหัวเราะว่า | ||
นั่นเป็นไรใครบนเทวดา | อีเม้ยทายแล้วว่าอย่าไม่ผิดคำ | ||
ศรีมาลาว่าชิอีขี้เค้า | ว่าได้ว่าเอาไม่เป็นส่ำ | ||
ขืนว่าแล้วจะด่าให้ระยำ | ค้อนควักหน้าคว่ำแล้วยิ้มเมิน | ||
พอพระพิจิตรเรียกซ้ำมา | ขานเจ้าขาค่อยเยี่ยมเฟี้ยมแฝงเขิน | ||
นางอุทัจอัดใจมิใคร่เดิน | ก้มสะเทินทรุดนั่งบังมารดา | ||
ยกมือไหว้ขุนแผนกับพลายงาม | ให้วาบหวามอารมณ์แล้วก้มหน้า | ||
พลายงามรับไหว้ชายแลมา | พอสบตาก็ตะลึงตะลานใจ | ||
คนนี้แลแน่แล้วที่เราฝัน | รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่ | ||
น้องเอ๋ยรูปร่างช่างกระไร | ถึงนางในกรุงศรีไม่มีเทียม | ||
ดังพระจันทร์วันเพ็ญเมื่อผ่องผุด | บริสุทธิ์โอภาสสะอาดเอี่ยม | ||
สองแก้มแย้มเหมือนจะยั่วเรียม | งามเงี่ยมราศีผู้ดีจริง | ||
ทั้งจริตกิริรยามารยาท | ดูฉลาดไว้วางอย่างผู้หญิง | ||
อ่อนชะอ้อนเหมือนจะวอนให้ประวิง | จะยิ้มพรายก็พริ้งยิ่งเพราตา | ||
ดูไหนไม่ขัดแต่สักอย่าง | นี่คู่สร้างของเรากระมังหนา | ||
พอแลลอดสอดรับจับนัยน์ตา | ดังว่าเจ้าจะตัดเอาหัททัย | ||
หญิงอื่นหมื่นแสนที่เคยเห็น | ก็หาจับใจเป็นเช่นนี้ไม่ | ||
ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ | จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว | ||
นึกพลางเจ้าพลายร่ายพระเวท | ประสบเนตรเป่าไปให้ซ่านเสียว | ||
ศรีมาลาต้องมนตร์ขนลุกเกรียว | ชำเลืองเหลียวแลมาประหม่าใจ | ||
พอสบเนตรให้สะท้านละลานจิต | ยิ่งต่อตายิ่งคิดพิสมัย | ||
อกอ่อนร้อนรุ่มดังสุมไฟ | ไม่อยู่ได้นางก็ลาเข้ามาเรือน | ||
แอบช่องมองดูอยู่ข้างใน | ยิ่งเพ่งพิศพาใจอาลัยเลื่อน | ||
ความรักมีแต่ชักกระตุ้นเตือน | ฟั่นเฟือนดังจะคลั่งตั้งตามอง | ||
ชะชายคนนี้มิเสียแรง | ดังหนึ่งแกล้งหล่อเหลาไม่เศร้าหมอง | ||
ดูเนื้อตัวหน้าตาดังทาทอง | ไม่ขัดข้องสวยสมช่างคมคาย | ||
รู้สึกตัวนึกอายระคายเขิน | ไถลเดินเลยเข้าในห้องหาย | ||
อีเม้ยยิ้มกริ่มตามไปถามนาย | วันนี้ดูไม่สบายเป็นอย่างไร | ||
ออกไปไหว้พี่มาแต่กรุง | แล้ววิ่งกลับเข้ามุ้งเหมือนเป็นไข้ | ||
หรือผีสางทักทายนายตกใจ | ฉันจะบนบวงให้กบาลกิน | ||
ผีมาแต่กรุงหรือบ้านนอก | อย่าหลอนหลอกจงคลายให้หายสิ้น | ||
ขอผัดหน่อยคอยตะวันให้ตกดิน | ปัดยุงริ้นแล้วจะเซ่นในมุ้งนี้ | ||
ศรีมาลาต่อยหัวลงต้ำเหงาะ | เฝ้าค่อนเคาะร่ำไปไม่บัดสี | ||
นี่แลสัญชาติไพร่ที่ไหนมี | เซ่นผีในมุ้งมอญจัญไร | ||
เย้ากันจนตะวันนั้นเย็นลง | ศรีมาลายิ่งพะวงหลงใหล | ||
บุษบาเห็นช้าจึงเกริ่นไป | เป็นอย่างไรสำรับไม่จัดแจง | ||
ศรีมาลาฟังว่าก็ลุกไป | ช่วยดูแลข้าไทให้ตกแต่ง | ||
จัดสำรับอุดมทั้งต้มแกง | ฝาชีแดงปิดปกแล้วยกมา | ||
นางยกชามข้าวบ่าวยกสำรับ | ใจวับวับมิค่อยออกไปนอกฝา | ||
ครั้นถึงจัดวางข้างบิดา | ไม่อาจเงยดูหน้าเจ้าพลายงาม | ||
พระพิจิตรก็ชวนกันกินข้าว | เจ้าพลายร้อนเร่าประหวั่นหวาม | ||
ตะลึงแลศรีมาลาคว้าแต่ชาม | กลืนข้าวเหมือนหนามอยู่ในคอ | ||
กลัวเนื้อความจะฟุ้งสะดุ้งคิด | เหลือบดูพระพิจิตรแล้วดูพ่อ | ||
พระพิจิตรรู้ทีทำตัดพ้อ | อย่างไรหนอกินอยู่ดูระคาง | ||
กินอะไรไม่อร่อยหรือพ่อหรือ | ชาวเหนือฝีมือไม่เหมือนล่าง | ||
รสชาตปิ้งจี่มันจืดจาง | หัวเราะพลางหยอกเย้าเจ้าพลายงาม | ||
แล้วจึงชักชวนทั้งสองนาย | ค้างที่นี่เถิดสบายอย่าเกรงขาม | ||
บ้านมีอยู่ไยในอาราม | มาอยู่ตามชอบใจในหอนั้น | ||
อิ่มเสร็จแล้วสั่งศรีมาลา | ให้จัดแจงฟูกผ้าทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ที่นอนน้อยกำมะหยี่นุ่นสองอัน | เสื่ออ่อนสองชั้นจัดออกมา ฯ | ||
๏ ขุนแผนถามพระพิจิตรพลัน | สีหมอกนั้นอยู่ดีหรือเจ้าขา | ||
พระพิจิตรบอกว่าสีหมอกม้า | อยู่ดีแต่ชราถนัดใจ | ||
เนื้อหนังพาลติดจะเหี่ยวคร่ำ | อันหญ้าน้ำค่ำเช้าหาขาดไม่ | ||
ข้าก็ช่วยเยี่ยมเยียนเวียนมาไป | เกณฑ์ให้อ้ายจันมันเลี้ยงดู | ||
ขุนแผนจึงชวนลูกชายพลัน | ไปเยี่ยมม้าด้วยกันเสียสักครู่ | ||
ว่าพลางทางออกนอกประตู | ตรงไปที่อยู่สีหมอกม้า | ||
อ้ายจันครั้นเห็นยกมือไหว้ | ฉันเลี้ยงไว้อ้วนพีดีหนักหนา | ||
พ่อลูกเข้าไปใกล้อาชา | ขุนแผนเสกหญ้าให้ม้ากิน ฯ | ||
๏ สีหมอกม้าหญ้ามนตร์เข้าดลใจ | จำได้รู้ภาษาพูดจาสิ้น | ||
ลงตีนโปกโปกโขกแผ่นดิน | เพียงจะดิ้นหลุดแหล่งด้วยดีใจ | ||
เลียชมดมทั่วทั้งกายา | ขุนแผนกอดม้าน้ำตาไหล | ||
ลูบหลังสีหมอกแล้วบอกไป | ข้านี้ต้องราชภัยเพิ่งพ้นมา | ||
ไปติดคุกจนลูกทูนขอโทษ | ท่านปล่อยโปรดจึงได้มาเห็นหน้า | ||
เจ้าพลายนี้ลูกวันทองน้องยา | ที่ท่านรับบุกป่ามากับเรา | ||
สีหมอกฟังเหลียวหน้าหาวันทอง | ไม่เห็นน้องอยู่ไหนให้สร้อยเศร้า | ||
มิรู้ที่จะถามความหนักเบา | เฝ้าแต่ดูลูกพ่อคลอน้ำตา ฯ | ||
๏ ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ | หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา | ||
เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา | จะไปได้หรือว่าท่านหย่อนแรง | ||
สีหมอกดีใจจะไปทัพ | เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้ง | ||
ดังบอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง | ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ | ||
จึงเลือกเด็ดยอดหญ้ามาเต็มมือ | ถือเสกด้วยพระเวทมุขใหญ่ | ||
ป้อนม้ากินหญ้าในทันใด | ระงับโศกโรคภัยให้บรรเทา | ||
เดชะพระเวทวิเศษขลัง | สีหมอกมีกำลังขึ้นดังเก่า | ||
ผูกเครื่องเรืองอร่ามงามเพริศเพรา | ขุนแผนขี่เหยาะเหย่าออกมาพลัน | ||
ลองขับน้อยใหญ่ทั้งไล่หนี | ท่วงทีไวว่องคล่องขยัน | ||
ถึงม้าหนุ่มจะเปรียบไม่เทียบทัน | สารพันถูกทำนองด้วยว่องไง | ||
ขุนแผนดีใจลงจากหลัง | เรียกอ้ายจันมาสั่งหาช้าไม่ | ||
เอ็งดูให้อิ่มหนำสำราญใจ | จะขี่ไปในรุ่งพรุ่งนี้เช้าฯ | ||
๏ ครั้นสั่งแล้วขุนแผนแสนศักดา | เรียกลูกชายมาแถลงเล่า | ||
พ่อเกรงว่าช้าอยู่เหมือนดูเบา | เราจะยกในรุ่งขึ้นพรุ่งนี้ | ||
ด้วยปลอดสิ้นทักทอนยมขัน | เป็นฤกษ์เสาร์เก้าชั้นวิเศษศรี | ||
มีตบะจะชนะแก่ไพรี | เจ้านี้จะเห็นเป็นอย่างไร | ||
พลายงามความอาลัยศรีมาลา | ไม่รับมาว่าจะจากพิจิตรได้ | ||
จะแจ้งข้อกลัวพ่อไม่ตามใจ | จึงแก้ไขเบือนบิดคิดเจรจา | ||
ว่าไพร่พลบอบช้ำระกำอก | จะด่วนยกไปไหนนี่เจ้าขา | ||
ขอให้ไพร่พักสักเวลา | พอหายเหนื่อยเมื่อยล้าจึงคลาไคล | ||
ขุนแผนว่าดูเอาเถิดเจ้าพลาย | จะหยุดหาความสบายก็เป็นได้ | ||
การรับสั่งว่ายากลำบากไย | ที่ไหนจะเหมือนบ้านเรือนตน | ||
เจ้าพลายงามตอบว่าหามิได้ | ลูกจะใคร่ปลุกเครื่องอีกสักหน | ||
ด้วยยังหย่อนฤทธิ์เดชทั้งเวทมนตร์ | ขอพักพลปลุกเครื่องเสียสักนิด | ||
ขุนแผนว่าถ้าไปเสียให้ทัน | พรุ่งนี้เป็นวันมหาสิทธิ์ | ||
จะปลุกเครื่องก็เรืองอิทธิฤทธิ์ | ประกอบกิจกับฤกษ์ที่เบิกไพร | ||
อันพิธีในเรื่องปลุกเครื่องอาน | ทำในบ้านไม่เหมือนในป่าใหญ่ | ||
ด้วยบ้านเมืองผู้คนเกลื่อนกล่นไป | จะระงับดับใจไม่สู้ดี | ||
เจ้าพลายว่าป่าไม้จะปลุกฤทธิ์ | ไม่ประสิทธิ์เหมือนหนึ่งป่าช้าผี | ||
อยู่ในพาราป่าช้ามี | ก็เป็นที่สงัดเงียบปากคอ | ||
ขุนแผนรู้ว่าบิดก็คิดเคือง | เอ็งห่วงเมืองอยู่ทำไมไฉนหนอ | ||
ธุระสิ่งไรมีจะรีรอ | พ่อพูดมิฟังช่างกระไร | ||
พลายงามคร้ามพ่อไม่ต่อเถียง | พูดเลี่ยงว่าธุระหามีไม่ | ||
แล้วพ่อลูกก็พากันคลาไคล | ขึ้นจวนใหญ่พลายน้อยคะนึงนาง | ||
ขุนแผนพลายงามพระพิจิตร | ชอบชิดพูดจากันต่างต่าง | ||
ถึงเรื่องรบพุ่งแลทุ่งทาง | พูดพลางต่างหัวร่อกันเรื่อยไป ฯ | ||
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยนสนธยา | พระจันทราแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
เคลื่อนคล้อนลอยฟ้านภาลัย | หมดเมฆปัถไหมไม่หมองมอม | ||
พระพายพามาลาละอองกลิ่น | รวยรินรสร่อนขจรหอม | ||
ศรีมาลาอาวรณ์นอนใจตรอม | ถนอมแนบหมอนข้างเคียงคะนึง | ||
โอ้พ่อพลายงามของน้องเอ๋ย | ใครเลยจะเอ็นดูให้รู้ถึง | ||
ว่าน้องนี้มีจิตคิดรำพึง | ดังศรตรึงทรวงโศกวิโยคคิด | ||
พ่อชายตามาสบเมื่อน้องแล | จะรู้แน่หรือจะแหนงแคลในจิต | ||
ดูลาดเลาเจ้าก็ใคร่จะเป็นมิตร | หรือวิปริตคิดว่าไม่ปรานี | ||
อกน้องยากนักด้วยเป็นหญิง | ต้องซ่อนรักหนักนิ่งอยู่กับที่ | ||
แม้นเป็นชายพ่อพลายเป็นสตรี | ค่ำวันนี้เป็นตายจะหมายไป | ||
นึกพลางนางนอนสะท้อนท้อ | น้ำตาคลอมิใคร่จะเคลิ้มได้ | ||
ให้เฟื่องฟุ้งพลุ่งพล่านรำคาญใจ | นึกอาลัยไปจนหลับกับที่นอน ฯ | ||
๏ พระพิจิตรขุนแผนพลายงาม | พูดกันจนยามไม่หยุดหย่อน | ||
พระพิจิตรว่าเช้าเจ้าจะจร | จงพักผ่อนเสียเถิดทั้งสองรา | ||
ว่าแล้วก็ลุกไปเข้าเรือน | พลายงามฟั่นเฟือนเป็นหนักหนา | ||
ชวนพ่อเข้านอนวอนพูดจา | คุณพ่อขานี่ดึกแล้วกระมัง | ||
ฉันวันนี้อย่างไรไม่สบาย | ระส่ำระสายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสันหลัง | ||
จะนอนเสียแต่หัวค่ำเอากำลัง | จะได้ตั้งหน้ายกแต่เช้าไป ฯ | ||
ขุนแผนนึกในใจไอ้เจ้าชู้ | มันสำคัญว่ากูหารู้ไม่ | ||
กรรมกรรมเจียวจะทำเป็นอย่างไร | มันจะแกล้งให้ผู้ใหญ่ผิดใจกัน | ||
คิดแล้วก็ทำเป็นมารยา | หลับตานอนนิ่งไม่พลิกผัน | ||
คอยจับแยบคายลูกชายนั้น | ไม่วางใจให้หวั่นในอารมณ์ ฯ | ||
๏ เจ้าพลายก่ายหมอนทำนอนนิ่ง | สุดประวิงอกไหม้ไส้พุงขม | |||
กำเริบรักหนักแน่นแสนระทม | โอ้เจ้านมพวงพี่ศรีมาลา | |||
ป่านนี้เนื้ออ่อนจะนอนสนิท | หรือดวงจิตจะนึกเสนหา | |||
ดูทีเหมือนจะมีซึ่งเมตตา | แต่ทว่าเป็นหญิงก็นิ่งไว้ | |||
อันความรักหนักแน่นในอกพี่ | ข้อนี้เจ้ารู้หรือหาไม่ | |||
แม้นรู้เค้าเจ้าก็เห็นจะอาลัย | คงมิให้เสียทีพี่หมายชิด | |||
เขาย่อมว่าถ้ามีมิตรใจ | แล้วคงไม่สาบสูญมิตรจิต | |||
พี่รักเจ้าเทียมเท่าดวงชีวิต | นี่จะคิดฉันใดให้เป็นการ | |||
จะวนเวียนเพียรพูดให้ถึงปาก | ก็สุดยากเชิงชักสมัครสมาน | |||
ด้วยพรุ่งนี้ก็จะไปไม่อยู่นาน | จะพึ่งพานผู้ใดก็ไม่มี | |||
ถ้าจะไว้สู่ขอต่อขากลับ | เห็นตัวพี่นี้จะยับลงเป็นผี | |||
ด้วยความรักหนักใจเสียเต็มที | จะทวีขึ้นทุกวันจนบรรลัย | |||
จำจะคิดเข้าสนิทให่สมนึก | จึงจะคิดทำศึกต่อไปได้ | |||
แม้นมิได้ศรีมาลายาใจ | ซึ่งจะไปเชียงใหม่อย่าสงกา | |||
ตามแต่บุญกรรมเถิดน้องแก้ว | คนหลับแล้วจะลอบเข้าไปหา | |||
ถ้าแม้นแก้วพี่มิเมตตา | ก็ตามแต่เวราจะเป็นไป | |||
ยิ่งนึกยิ่งตรมอารมณ์หมอง | แสงเดือนเด่นส่องสว่างไสว | |||
น้ำค้างพร่างพร้อยละห้อยใจ | เสียงไก่แก้วขันกระชั้นยาม | |||
ฟังพ่อรอหูดูจนใกล้ | ไม่ไว้ใจแคลงคลำแล้วทำถาม | |||
ขุนแผนรู้แยบคายเจ้าพลายงาม | ไม่ตอบความนิ่งอยู่จะดูที | |||
เจ้าพลายสำคัญว่าพ่อหลับ | ค่อยขยับลุกย่องมาจากที่ | |||
พอออกนอกห้องได้ก็ยินดี | หมายว่าหนีพ้นพ่อรอบังเงา ฯ | |||
๏ ขุนแผนลุกมองแล้วย่องตาม | พอทันถามออกมาทำไมเจ้า | |||
พลายงามแก้เก้อละเมอเดา | ฉันจะออกไปเบาที่นอกชาน | |||
วันนี้มันให้ปวดแต่ท้องเยี่ยว | หลายเที่ยวแล้วด้วยกล่อนมันสังหาร | |||
จะปลุกพ่อขอยารับประทาน | ขุนแผนว่าไม่ได้การแล้วเจ้าพลาย | |||
อ้ายโรคกล่อนเช่นนี้มันขี้ถ่อย | หมอสักร้อยรักษาก็ไม่หาย | |||
ว่าพลางทางจูงมือลูกชาย | ย่างกรายเข้าห้องต้องระวัง ฯ | |||
๏ เจ้าพลายงามขัดใจไม่เป็นสุข | ล้มนอนแล้วลุกทะลึ่งนั่ง | |||
แค้นพ่อเหมือนหัวอกจะฟกพัง | กระไรช่างแกล้งได้ไม่เมตตา | |||
เป็นไรมีดีแล้วว่าไม่หลับ | จะคอยจับให้ได้ก็ไม่ว่า | |||
พลางร่ายมนตร์ขลังสั่งนิทรา | ตั้งสมาธิปลงตรงภวังค์ | |||
เป่าต้องขุนแผนแสนสนิท | ก็เคลิ้มจิตด้วยพระเวทวิเศษขลัง | |||
หลับสนิทแน่วนิ่งลงจริงจัง | พลายงามสมหวังสิ้นอาวรณ์ | |||
ขยับเท้าก้าวย่างออกจากห้อง | พระจันทร์ส่องแสงจำรัสประภัสสร | |||
พระพายพัดบุปผาพาขจร | รวยรินรสอ่อนระรื่นไป ฯ | |||
๏ มาถึงเรือนที่ศรีมาลาอยู่ | แอบบังเงาดูด้วยสงสัย | |||
หลังนี้ดอกกระมังยืนชั่งใจ | แสงไฟวับวามตามตะเกียง | |||
คิดพลางทางร่ายมนตร์สะกด | หลับหมดเงียบดีไม่มีเสียง | |||
สะเดาะกลอนถอนหลุดแล้วมองเมียง | เลี่ยงเข้าในห้องย่องเดินมา | |||
อัจกลับตามวางกระจ่างแสง | เจ้าตกแต่งเครื่องเรือนไว้หนักหนา | |||
เครื่องแป้งจัดตั้งไว้หลังม้า | ขันล้างหน้าพานรองของผู้ดี | |||
เครื่องนากเครื่องทองสองสำรับ | เรียงลำดับวางไว้เป็นที่ที่ | |||
โถขี้ผึ้งแป้งร่ำน้ำมันตานี | โต๊ะหวีตั้งเรียงไว้เคียงกัน | |||
โตกพานหีบปัดจัดตั้งซ้อน | ทั้งผ้าผ่อนพับเรียบทุกสิ่งสรรพ์ | |||
เครื่องไหว้พระนั้นจัดอัฒจันทร์ | คันฉ่องแกะงาเป็นหน้าพรหม | |||
กระจกใหญ่ใส่ตั้งทั้งไม้สอย | อุบะห้อยรื่นรวยดูสวยสม | |||
สะอาดสะอ้านลานตาน่านิยม | พลางชมม่านกางข้างที่นอน | |||
พื้นไหมใส่ทองเป็นลายปัก | น่ารักรูปร่างบางชะอ้อน | |||
ปักระเด่นเป็นไข้ใจอาวรณ์ | ทุรนร้อนรักนุชบุษบา | |||
เอาไฟเผาเข้าลักพระน้องนาฎ | โอบอุ้มใส่ราชรถา | |||
ระเด่นแกล้งแปลงเป็นจรกา | ปักเป็นบุษบาเจ้าจาบัลย์ | |||
๏ พระรีบเร่งชักรถถึงคีรี | เข้าสู่ถ้ำมณีภิรมย์ขวัญ | |||
สองกษัตริย์เชยชมสมสู่กัน | พอรุ่งแสงสุริยันก็จากนาง | |||
เข้ามาเมืองจะเปลื้องความสงสัย | สั่งพี่เลี้ยงไว้มิให้ห่าง | |||
ผลกรรมจำจากจะพรากร้าง | เผอิญข้างนางนึกนิยมไป | |||
ออกทรงรถชมพรรณบุปผา | ปักปะการะตาหลาอันเป็นใหญ่ | |||
ให้ลมเพชรหึงลั่นสนั่นไพร | พัดพาอรไทไปทั้งรถ | |||
ครั้นไกลไปตกกลงกลางป่า | บุษบายิ่งแสนโศกกำสรด | |||
คิดถึงพระองค์ผู้ทรงยศ | นางระทดระทวยแทบทำลายชนม์ | |||
ปักเป็นระเด่นเที่ยวตามหา | ค้นคว้าจบแหล่งทุกแห่งหน | |||
พระวงศาแยกย้ายหลายตำบล | แปลงตนเป็นปันจุเหร็จไพร | |||
ฉลาดนักปักงามนี้น้อยหรือ | ช่างฟัดครือเรื่องพี่หาผิดไม่ | |||
อันองค์บุษบายาใจ | พิเคราะห์ไปเหมือนเจ้าศรีมาลา | |||
อันอกของระเด่นมนตรี | เหมือนอกพี่นี่ที่โหยหา | |||
คล้ายระเด่นกับพระนุชบุษบา | แต่ไม่มีจรกาจึงผิดกัน | |||
ถ้าใครเป็จรกาเข้ามาแกล้ง | พี่ไม่แปลงอย่างเช่นระเด่นนั่น | |||
จะจิกหัวจรกาเอามาฟัน | แล้วสรวลสันต์ผันแปรแลชำเลือง | |||
เตียงจีนตีนตั้งบนตัวสิงห์ | ฉลุลายพรายพริ้งพร้อมทั้งเครื่อง | |||
แลวิจิตรปิดทองดูรองเรือง | มุ้งเหลืองแพรดอกกกระเด็นลอย | |||
หน้าระบายลายทับสลับสี | มุ้งผู้ดีมีแส้หางม้าห้อย | |||
เปิดมุ้งเมียงมองเห็นน้องน้อย | เจ้าหลับผ็อยเพ่งพิศจิตทะยาน | |||
พักตร์พริ้มเหมือนยิ้มอยู่ทั้งหลับ | ประทีปจับหน้านวลชวนสมาน | |||
เจ้านิทรามารยาทไม่มีปาน | ยิ่งคิดก็ยิ่งซ่านสวาทเตือน | |||
ค่อยประคองลองจูบเจ้าทั้งหลับ | หอมกระไรใจวับขยับเขยื้อน | |||
พอต้องเต้าตัวสั่นให้ฟั่นเฟือน | ค่อยลูบเลื่อนโลมเล้าละลานใจ | |||
จับแล้ววางเล่าเฝ้ากลัดกลุ้ม | ด้วยรุ่นหนุ่มชู้สาวหาเคยไม่ | |||
จะปลุกนางกลัวร้องย่องห่างไป | คลายเวทแล้วก็ไอให้สำเนียง ฯ | |||
๏ ครานั้นศรีมาลานารี | รู้สึกสมประดีได้ยินเสียง | |||
ลืมตาเห็นชายอยู่ปลายเตียง | เจ้ามองเมียงจำได้ว่าพลายงาม | |||
นึกสำคัญในจิตคิดว่าฝัน | ไม่หวาดหวั่นยิ้มแล้วก็ทักถาม | |||
นึกอย่างไรใจกล้าเข้ามาตาม | จะเกิดความงามหน้าพากันอาย | |||
เจ้าพลายได้ฟังเข้านั่งอิง | นางรู้ว่าคนจริงมิ่งขวัญหาย | |||
ตกใจเพียงจะดิ้นสิ้นใจตาย | ร้องว้ายแล้วก็ซบสลบไป ฯ | |||
๏ อีเม้ยรับหลับอยู่ที่เฉลียง | ได้ยินเสียงนายร้องก็จำได้ | |||
ลุกขึ้นด้วยตระหนกตกใจ | เข้าในห้องมองเมียงถึงเตียงพลัน | |||
เห็นเจ้าหนุ่มอุ้มนางวางบนตัก | รู้จักว่าเจ้าพลายที่หมายมั่น | |||
ก็แจ้งใจในเหตุปัจจุบัน | มาฉวยขันน้ำส่งให้เจ้าพลาย | |||
พ่อเอาผ้าชุบน้ำนี้ลูบหน้า | ลูบไล้ไปมากว่าจะหาย | |||
แล้วปลอบโยนตามใจให้สบาย | ถ้าขืนใจแล้วจะตายในพริบตา | |||
ว่าแล้วปิดห้องย่องกลับไป | อีเม้ยยิ้มละไมอยู่ในหน้า | |||
คอยดูผู้คนจะไปมา | ด้วยสงสารศรีมาลากับพลายงาม ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงท่านพระพิจิตร | หลับสนิทเสียงลูกตกใจหวาม | |||
จะเกิดเหตุอะไรไม่รู้ความ | จึงร้องถามอีเม้ยเฮ้ยเป็นไร | |||
กูแว่วเหมือนเสียงศรีมาลา | มึงลืมตาขึ้นฟังมั่งหรือไม่ | |||
อีเม้ยเอ่ยตอบไปทันใด | นายท่านเรียกฉันไปให้ปัดยุง | |||
ปัดไปปัดมาไม่ทันดู | จิ้งจกมันอยู่ที่ในอุ้ง | |||
ฉันปัดมันพลัดลงจากมุ้ง | ถูกพุงเธอจึงร้องออกก้องเรือน | |||
พระพิจิตรว่าดูอีมอญถ่อย | สักหน่อยอ่อนจะเลยเป็นกลากเกลื้อน | |||
บุษบาว่าฉันก็ได้เตือน | มันไม่เชือนดูแลแต่กลางวัน ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนอยู่หอนั่ง | สะดุ้งฟื้นตื่นฟังใจหวั่นหวั่น | |||
ออพลายหายแล้วไม่แคล้วกัน | อ้ายขี้เค้าคงถลันไปเข้ามุ้ง | |||
อ้ายลูกเจ้ากรรมมาทำเข็ญ | พรุ่งนี้ทีเห็นจะเกิดยุ่ง | |||
แต่ตริตรองแก้ไขสิ้นไส้พุง | คืนยังรุ่งไม่ระงับหลับนอน ฯ | |||
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา | ค่อยฟื้นตื่นมายังเหนื่อยอ่อน | |||
ได้สติลืมตาด้วยอาวรณ์ | เห็นเจ้าพลายกอดช้อนไว้ทั้งตัว | |||
มือหนึ่งลูบน้ำชดลมหน้า | นางประหม่าขนพองสยองหัว | |||
ใจเต้นหวามหวามด้วยความกลัว | ยังมึนมัวมิรู้ที่จะหนีไป | |||
จึงค่อยเคลื่อนเลื่อนตัวลงจากตัก | ละอายนักนิ่งนอนถอนใจใหญ่ | |||
ค่อยกระดิกพลิกตัวเข้าข้างใน | เจ้าแกล้งหันหลังให้ไม่แลดู ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาท | ยังไม่อาจถามทักเป็นสักครู่ | |||
ด้วยอาการอย่างไรยังไม่รู้ | เห็นนอนอยู่ดิบดีค่อยมีใจ | |||
จึงหยิบพัดหางปลามารำเพย | น้องเอ๋ยนอนเถิดจะพัดให้ | |||
เมื่อตะกี้พี่วิตกนี่กระไร | ถ้าบรรลัยพี่ชายจะตายตาม | |||
พี่บนบวงเทวดาคงมาช่วย | จึงรอดด้วยเทพไทมิได้ห้าม | |||
ท่านเอ็นดูโฉมฉายกับพลายงาม | เพราะเห็นความรักพี่มีต่อน้อง | |||
แต่แลพบสบตาเมื่อมาถึง | พี่เหมือนหนึ่งกับปลามาติดข้อง | |||
ทุรนร้อนรักรึงคะนึงปอง | ถ้าเจ้าไม่ปรองดองก็ถึงตาย | |||
เหลือที่พี่จะโศกโรครักร้าง | ช่วยรักษาพี่บ้างพอห่างหาย | |||
เชิญเจ้าผินหน้ามาหาพี่ชาย | พูดภิปรายพอให้พี่มีน้ำใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา | ได้ฟังวาจายิ่งรักใคร่ | |||
แต่หากมารยาแกล้งว่าไป | นี่อยากรู้ว่าใครให้เข้ามา | |||
เป็นผู้ดีช่างไม่มีอัชฌาสัย | ไม่เกรงใจพ่อแม่แต่สักหน้า | |||
รู้จักกันไม่ทันล่วงเวลา | จะมาฆ่าแท้แท้แก้ว่ารัก | |||
รักจริงนิ่งไยมิไปขอ | บอกแม่พ่อเป็นผู้ใหญ่ให้ประจักษ์ | |||
ล่วงเกินแล้วมาเชิญให้ทายทัก | นี่จะให้ใครสมัครไปทักทาย ฯ | |||
๏ อนิจจาแก้วตาช่างว่าได้ | ไม่เห็นใจหรือว่ารักสมัครหมาย | |||
พี่กล้ามาถึงตัวไม่กลัวตาย | ก็เพราะรักโฉมฉายกว่าชีวิต | |||
ถ้าสามารถอาจขอต่อพ่อแม่ | แน่แล้วพี่จะขอต่อพระพิจิตร | |||
ท่วงทีก็จะสมอารมณ์คิด | ท่านเป็นมิตรกับบิดามาช้านาน | |||
เมื่อนั่งกินข้าวเย็นเห็นหรือเปล่า | ท่านหยอกเย้าพี่อย่างว่าลูกหลาน | |||
แต่สุดคิดเพราะติดราชการ | จะต้องคุมพวกทหารไปพรุ่งนี้ | |||
ถ้าร้างรักหักใจไปจากเจ้า | ทุกค่ำเช้าจะระทมดังตรมฝี | |||
คงบรรลัยไม่ทันเป็นไมตรี | ใช่ว่าพี่จงจิตจะคิดร้าย | |||
เพราะขัดขวางอย่างอื่นไม่คิดเห็น | จำเป็นจึงเข้ามาหาโฉมฉาย | |||
ถ้าเจ้าไม่ปรานีพี่ยอมตาย | ขอฝากกายไว้ในห้องของน้องรัก ฯ | |||
๏ ศรีมาลาฟังความพลายงามว่า | นางตรึกตราทุกสิ่งจริงประจักษ์ | |||
นึกถึงตัวกลัวอายยิ่งร้ายนัก | เหมือนชวนชักชายไว้ที่ในเรือน | |||
ถึงเพียงนี้แล้วที่ไหนจะไปจาก | ยากที่จะผลัดวันประกันเลื่อน | |||
ทั้งใจนางความรักก็ตักเตือน | จึงลุกเบือนหน้าค้อนเข้าพลายงาม | |||
อ้อชาวกรุงศรีเช่นนี้เจียว | ฉลาดเฉลียวลิ้นลมเป็นคมหนาม | |||
จะว่าไรแก้ไขได้ทุกความ | มิน่าหญิงวิ่งตามกันปรอปรอ | |||
ขึ้นมาถึงพิจิตรติดผู้หญิง | ครั้นติดทัพกลับนิ่งไม่สูขอ | |||
ไปทัพก็ไม่ไปไถลรอ | จนแม่พ่อหลับใหลเข้าในเรือน | |||
ไม่คบค้าก็ว่าจะบรรลัย | ชาวบ้านนอกที่ไหนใครจะเหมือน | |||
ถ้าหญิงใดใจเบาให้เจ้าเชือน | ไม่ถึงเดือนก็จะทิ้งวิ่งไปทัพ | |||
ปล่อยนางร้างเปล่าอยู่ข้างนี้ | ต้องให้คอยร้อยปีไม่มีกลับ | |||
ให้เสียตัวชั่วช้ำระกำยับ | เพราะสับปลับหลงเสน่ห์เล่ห์ชาวกรุง | |||
ฉันขอบคุณที่อุตส่าห์รักษาไข้ | ไปเสียเถิดพ่อไปจะใกล้รุ่ง | |||
ถ้าพ่อแม่รู้ความจะลามนุง | จะโกรธยุ่งไม่ได้ดังใจปอง ฯ | |||
๏ น้องเอ๋ยที่จะไปอย่าได้คิด | สิ้นชีวิตก็จะตายอยู่ในห้อง | |||
พี่ไม่ลวงหลอกดอกนะน้อง | จะครอบครองเป็นคู่อยู่จนตาย | |||
ปรานีพี่เถิดอย่าเฝ้าดื้อ | ได้ถูกถือแล้วเช่นนี้ไม่มีหน่าย | |||
ว่าพลางอิงแอบเข้าแนบกาย | เจ้าพลายจับต้องจะลองใจ ฯ | |||
๏ ศรีมาลาป้องปัดสะบัดเบี่ยง | เขาว่าแล้วยังเมียงเข้ามาใกล้ | |||
สัญญาว่าแต่ปากยากอะไร | อย่าด่วนได้นะจงยั้งตั้งใจคิด | |||
ถ้าจริงใจก็ให้ความสัตย์ก่อน | ให้แน่นอนภายหน้าว่าสุจริต | |||
เชื่อได้จึงจะปลงลงเป็นมิตร | ถ้าเบือนบิดอย่าสำรวยให้ป่วยการ ฯ | |||
๏ จริงจริงกระนั้นหรือน้องแก้ว | มันก็แล้วมิให้น้องต้องว่าขาน | |||
พี่จะให้ความสัตย์ปฏิญาณ | ขอบันดาลเทพยดาจงมาฟัง | |||
ถ้าพี่นี้ทิ้งขว้างร้างหย่า | ไม่เลี้ยงเจ้าศรีมาลาไปวันหลัง | |||
ขอให้มีอันเป็นเห็นจริงจัง | ลงนรกตกกระทั่งถึงโลกันต์ | |||
พี่ให้สัตย์ปฏิญญาณอย่างนี้แล้ว | น้องแก้วยังสงสัยหรือไรนั่น | |||
เชิญเจ้าช่วยรับรักพี่หนักครัน | จะหวาดหวั่นต่อไปไม่ต้องการ ฯ | |||
๏ เห็นแล้วหม่อมพี่ที่รักน้อง | คงปรองดองร่วมรักสมัครสมาน | |||
แต่ฉันยังเป็นไข้ให้สะท้าน | ขอผัดพอนานนานจะตามใจ | |||
เจ้าพลายรู้ใจไข้มารยา | ไม่รอช้ากอดรัดกระหวัดไขว่ | |||
ประจงจูบลูบลอดในสไบ | นางผลักไสอยู่จนพับกับที่นอน | |||
ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก | ไม่ประจักษ์เสนหามาแต่ก่อน | |||
กำเริบรักเหลือทนทุรนร้อน | พอร่วมหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์ | |||
เหมือนเกิดพายุกล้ามาเป็นคลื่น | ครืนครืนฟ้าร้องก้องสนั่น | |||
พอฟ้าแลบแปลบเปรี้ยงลงทันควัน | สะเทือนลั่นดินฟ้าจลาจล | |||
นทีตีฟองนองฝั่งฝา | ท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝน | |||
โลกธาตุหวาดไหวในกมล | ทั้งสองคนรสรักประจักษ์ใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา | เสนหาพะวงหลงใหล | |||
แอบผัวเคียงข้างไม่ห่างไกล | เอาสไบซับเนื้อที่เหื่อนอง | |||
พัดพลางถามผัวกลัวอิดโรย | หิวโหยหรือข้าจะหาของ | |||
เจ้าพลายสวมสอดกอดประคอง | ได้แนบน้องเนื้อนิ่มพี่อิ่มทิพย์ | |||
กินอยู่ไม่ต้องกล่าวทั้งคาวหวาน | ขึ้นสวรรค์เห็นวิมานอยู่หวิบหวิบ | |||
ต่าคะนึงคลึงเคล้าเฝ้ากระซิบ | งุบงิบกันจนม่อยผ็อยหลับไป ฯ | |||
๏ จวนอรุณเรื่อฟ้านภาแผ้ว | ไก่แก้วขันเร่งปัจจุสมัย | |||
ศรีมาลาตื่นนอนถอนฤทัย | ด้วยจำใจจะต้องพรากจากผัวนั้น | |||
นางล้างหน้าทาแป้งแล้วหวีหัว | ค่อยขยับจับตัวผัวปลุกสั่น | |||
ตื่นเถิดจวนจะแจ้งแสงตะวัน | อยู่ด้วยกันช้าไปจะได้อาย | |||
เจ้าพลายตื่นฟื้นตัวมัวแต่จูบ | โลมลูบอยู่ใม่ใคร่จะผันผาย | |||
จะเหินห่างนางไปให้เสียดาย | ซังตายลุกมาล้างหน้าพลัน | |||
ศรีมาลามพาไปที่เครื่องแป้ง | ตกแต่งแป้งร่ำน้ำดอกไม้กลั่น | |||
เจือกระแจะปรุงประทิ่นกลิ่นจวงจันทน์ | นางจัดสรรให้ผัวแต่งตัวไป | |||
เจ้าพลายประแป้งแต่งตัวแล้ว | จะคลาดแคล้วสะท้อนถอนใจใหญ่ | |||
นั่งลงอุ้มนางวางตักไว้ | ยิ่งอาลัยยิ่งอนาถไม่อาจจร ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา | เจ้าโศกาสะอึกสอื้นอ้อน | |||
นึกได้เหลียวหน้ามาว่าวอน | คิดก่อนนะจะไปไกลจากน้อง | |||
เรื่องของเราผู้ใหญ่ไม่รู้ความ | ต้องคิดอ่านลากหนามไว้จุกช่อง | |||
พ่อไปเผื่อใครจะขอร้อง | อย่าให้ต้องขืนขัดคำบิดา | |||
ถึงน้องจะยากเข็ญเป็นอย่างไร | ก็คงจะเอาใจไว้รอท่า | |||
เสร็จราชการทัพจงกลับมา | อย่าเชือนช้าให้ม้วยด้วยตรอมใจ | |||
พลายงามความอาลัยใจละเหี่ย | ฟังเมียไม่กลั้นน้ำตาได้ | |||
พี่นี้เหลือที่จะห่วงใย | พี่จะไปบอกพ่อให้ขอน้อง | |||
ถึงกระไรให้ขอพอได้หมั้น | ป้องกันมิให้ใครเกี่ยวข้อง | |||
ถ้าหากว่าบิดาไม่ปรองดอง | ถึงจะต้องฟันคอมิขอไป | |||
อย่าวิตกหมกไหม้เลยน้องแก้ว | ไปแล้วพี่หาลืมปลื้มจิตไม่ | |||
เจ้าจงจำคำสัตย์ของพี่ไว้ | เสร็จศึกเมื่อไรจะรีบมา | |||
อย่าร้องไห้ไปนักจงฟังพี่ | พรุ่งนี้ใครเห็นจะผิดหน้า | |||
ว่าพลางทางช่วยเช็ดน้ำตา | แล้วจูบซ้ายย้ายขวาจะลาจร | |||
ศรีมาลาอาลัยใจจะขาด | นางมิอาจดูหน้าดังแต่ก่อน | |||
ผละผัวตัวเจ้าเข้าที่นอน | ลงแอบหมอนซ่อนหน้าโศกาลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | แลตามเมียขวัญให้หวั่นไหว | |||
รามรามจะใคร่ตามกลับเข้าไป | แต่จนใจจะกระจ่างสว่างฟ้า | |||
หักใจเดินออกมานอกห้อง | ค่อยค่อยย่องบังเงาเข้าริมฝา | |||
ถึงหอนั่งตั้งใจจะไสยา | เห็นบิดาตื่นอยู่ก็ตกใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา | เห็นพลายงามถามว่ามาแต่ไหน | |||
เจ้าพลายทำเฉยเอ่ยตอบไป | ฉันปวดท้องลงบันไดไปที่เว็จ | |||
ขุนแผนว่าเว็จไหนในเมืองนี้ | ถึงกับมีเครื่องแป้งแต่งตัวเสร็จ | |||
หน้าตาทาแป้งเป็นเม็ดเม็ด | กูรู้เช่นเห็นเท็จอย่าหลอกลวง | |||
มาอยู่บ้านพระพิจิตรผู้บิดา | พระคุณท่านมีมาเป็นใหญ่หลวง | |||
เอ็งนี้จ้วงจาบละลาบละล้วง | บังอาจล่วงลูกท่านผู้มีคุณ | |||
หากว่าติดนิดหนึ่งด้วยการทัพ | หาไม่กูจะขับลงใต้ถุน | |||
ไม่ถูกหวายลายพร้อยก็เป็นบุญ | ทำวุ่นแล้วจะว่าประการใด ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามสวาท | ฟังพ่อบริภาษหาเถียงไม่ | |||
คิดไปได้ทีก็ดีใจ | กราบไหว้ว่าลูกนี้ผิดจริง | |||
ด้วยความรักอักอ่วนเหลือกำลัง | ราวจะคลั่งจะใคล้ไปทุกสิ่ง | |||
มิรู้ที่จะสลัดตัดทิ้ง | ถ้าขืนนิ่งไปศึกนึกว่าตาย | |||
จะพึ่งบุญคุณพ่อช่วยขอสู่ | ก็ว่าจะไม่อยู่ตอนบ่าย | |||
คิดไปไม่ตลอดจะวอดวาย | จึงปีนป่ายเข้าห้องน้องศรีมาลา | |||
อ่อนก็เป็นมิตรจิตไม่แหนง | คุณพ่อก็เห็นแป้งที่ประหน้า | |||
ลูกได้ให้คำมั่นเป็นสัญญา | ว่าจะบอกบิดาให้ขอร้อง | |||
ถึงกระไรได้หมั้นพอกันเท็จ | การเบ็ดเสร็จไว้ว่าเมื่อขาล่อง | |||
คุณพ่อโปรดด้วยช่วยปรองดอง | จะได้คล่องอกใจไปราวี ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | นิ่งคิดใคร่ครวญดูถ้วนถี่ | |||
การทั้งปวงล่วงเลยถึงเเพียงนี้ | จะทิ้งไปไม่ดีเป็นเนรคุณ | |||
อองามก็หลงจนงงงวย | ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น | |||
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ | ทำเป็นหุนหันโกรธเจ้าพลายงาม | |||
อ้ายลูกนอกพ่อก่อความร้อน | เมื่อแต่ก่อนทำไมไม่ไต่ถาม | |||
เอาแต่ใจหนุ่มตะกรุมตะกราม | เกิดความแล้วมาง้อพ่อทำไม | |||
ถ้าไม่รักพระพิจิตรผู้บิดา | กูหาพักพูดจาให้มึงไม่ | |||
ลูกของท่านท่านรักดังดวงใจ | มึงทำให้เสียตัวเหมือนชั่วช้า | |||
ก็จะต้องแก้ไขเสียให้หาย | อย่าให้ท่านอับอายขายหน้า | |||
ถ้าวันหน้าทิ้งขว้างนางศรีมาลา | กูมิฆ่าอย่านับว่าเป็นชาย | |||
เจ้าพลายดีใจกราบไหว้พ่อ | ข้อนั้นมิให้มีที่เสียหาย | |||
ว่าพลางล้างหน้าทั้งสองนาย | แล้วเยื้องกรายออกมาอยู่หน้าเรือน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงนวลนางศรีมาลา | โศกาอาลัยใครจะเหมือน | |||
กอดหมอนถอนใจให้ฟั่นเฟือน | นอนแชเชือนจนเช้าเจ้าไม่ลุก | |||
อีเม้ยเห็นนายยังหายเงียบ | ค่อยย่องเกรียบไถลเข้าไปปลุก | |||
เห็นนายเฉยเลยทำเหมือนเป็นทุกข์ | ลงนั่งปุกแกล้งสะท้อนแล้วถอนใจ | |||
อนิจจาขัดสนช่างจนยาก | แต่จะหาใส่ปากมิใคร่ได้ | |||
ยังมาซ้ำฝันเห็นให้เป็นไป | ว่าเทพไทเธอมาเมื่อคืนนี้ | |||
กลับไปเมื่อใกล้จะสว่าง | ไปกลางทางเธออยากหมากบุหรี่ | |||
เบี้ยหอยแต่สักร้อยก็ไม่มี | จะเอาที่ไหนไปให้เทวดา | |||
นายตื่นจะต้องขึ้นค่าตัวใช้ | ด้วยสงสารเทพไทเป็นหนักหนา | |||
น่าเอ็นดูเธอสู้เหาะลงมา | ถ้านายไม่เมตตาจะเสียใจ ฯ | |||
๏ ศรีมาลาไม่อินังกำลังเฉย | ฟังอีเม้ยแก้ฝันไม่กลั้นได้ | |||
ลุกขึ้นมาต่อยหัวตัวจัญไร | ไม่มีเลือกเสือกไปเที่ยวล่วงรู้ | |||
มึงอย่าพูดมากปากสำรวย | มานั่งช่วยกันทำเสียสักครู่ | |||
ว่าพลางเจียนหมกแล้วจีบพลู | บุหรี่มีในตู้เอาแก้มัด | |||
เย็บกระทงประจงเจียนฝาชี | ใส่หมากพลูบุหรี่ที่นางจัด | |||
ทั้งของกินระหว่างทางอัตคัด | ใส่ขวดอัดผูกผ้าตราประทับ | |||
จัดเสร็จซ่อนใส่ในตะกร้า | แล้วเอาผ้าซ้อนซ้ำเป็นลำดับ | |||
เอ็งเอาไปให้ดีอีเม้ยรับ | ของคำนับเทวดาที่หามึง ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | สั่งผู้คนจนเวลาสักโมงครึ่ง | |||
เบิกเสบียงเลี้ยงกันอึงคะนึง | ครั้นเสร็จจึงออกมาหาสองนาย | |||
พอนั่งลงบุษบาก็เรียกไป | ศรีมาลาเป็นไรไปไหนหาย | |||
พ่อแผนจะไปแต่ในงาย | สายแล้วสำรับไม่ยกมา | |||
อีเม้ยบอกไปใจคอหาย | ผงเข้าตานายเมื่อล้างหน้า | |||
ยังปวดแสบเต็มที่เห็นยี่ตา | บุษบาว่ามึงเป็นแต่เล่นลิ้น | |||
ทิ้งนายมานั่งตั้งสำออย | สักหน่อยตาอ่อนจะบวมปลิ้น | |||
ชาติอีมอญหน้าเป็นเห็นแก่กิน | น้ำขมิ้นไม่เอาไปหยอดตา ฯ | |||
๏ เจ้าพลายได้ฟังนั่งนึกขัน | อีคนนี้สำคัญมันหนักหนา | |||
คงรู้เห็นเป็นใจกับศรีมาลา | นึกหน้าได้แล้วเมื่อคืนนี้ | |||
ที่เข้าไปช่วยเหลือเมื่อนางแน่ | แล้วช่วยปดพ่อแม่เป็นถ้วนถี่ | |||
นิ่งนึกตรึกตรองเห็นช่องดี | ได้ทีบอกบุษบาพลัน | |||
คุณแม่แก้ผงเข้าตาช้ำ | ถ้าลืมตาในน้ำดีขยัน | |||
กระตุกหนังตาช่วยไปด้วยกัน | ทำอย่างนั้นก็จะหายระคายตา ฯ | |||
๏ บุษบาได้ฟังนั่งหัวร่อ | พ่อคุณอารีดีหนักหนา | |||
อีเม้ยมึงจำเอาตำรา | ไปบอกศรีมาลาเหมือนพ่อพลาย | |||
แล้วหันหน้ามาพูดกับขุนแผน | แม่นี้แค้นตัวเองมิรู้หาย | |||
มีลูกก็ไม่เห็นเป็นผู้ชาย | ยังเสียดายอยากได้ไว้สักคน ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนศักดา | เห็นสบท่าตอบต่ออนุสนธิ์ | |||
ลูกได้พึ่งฝ่าเท้าเมื่อคราวจน | มีพระคุณเป็นพ้นคณนา | |||
แต่ตริตรองจะสนองพระคุณตอบ | คิดดูรอบคอบเป็นหนักหนา | |||
ยังไม่เห็นสิ่งใดในปัญญา | จนขึ้นมาถึงพิจิตรบุรี | |||
มาถึงก็รำพึงแต่เย็นวาน | เห็นการสมควรเป็นถ้วนถี่ | |||
คุณพ่อแม่ลูกชายนั้นไม่มี | อองามนี้ลูกจะยกให้ช่วงใช้ | |||
ให้แทนคุณต่างตัวทั้งแม่พ่อ | ตามแต่จะตีด่าหาว่าไม่ | |||
คุณพ่อจะเห็นเป็นอย่างไร | ใจเด็กก็สมัครรักฝ่าเท้า ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบิดา | ฟังว่าเต็มใจให้ลูกสาว | |||
ยิ้มแล้วตอบความตามเรื่องราว | อย่าต้องกล่าวอุปไมยไปเป็นเพลง | |||
เจ้าว่าข้าก็เห็นว่าเป็นมิตร | ที่จริงจิตคิดดูก็เหมาะเหม็ง | |||
แต่เป็นชาวบ้านนอกยังออกเกรง | ลูกข้าเองมันไม่สู้รู้อะไร | |||
เป็นแต่คนซื่อซื่อไม่ดื้อดึง | จะเอาถึงชาวกรุงนั้นไม่ได้ | |||
ฉวยวันหน้าถ้าลูกไม่ถูกใจ | เจ้าจะทำฉันใดอย่าให้อาย ฯ | |||
๏ ขุนแผนนบนอบตอบพระพิจิตร | ข้อนั้นลูกก็คิดเป็นเหลือหลาย | |||
เอาทานบาดคาดทานบนจนออพลาย | หายวิตกแล้วลูกจึงพูดจา | |||
อันเช่นศรีมาลานารี | ถึงในที่กรุงศรีก็สุดหา | |||
ทั้งรูปร่างท่วงทีกิริยา | พอลูกมาเห็นลูกก็ถูกใจ | |||
ถึงอองามจะเป็นเจ้าพระยา | แขกไปใครมาก็รับได้ | |||
ทั้งตัวลูกก็จะอยู่ดูไป | คงมิให้อับอายขายฝ่าเท้า ฯ | |||
๏ พระพิจิตรจึงว่าถ้ากระนั้น | พอเชื่อกันวางใจที่ในเจ้า | |||
แต่บุษบาจะว่าข้าใจเบา | ลูกของเจ้าเจ้าถามบ้างเป็นไร ฯ | |||
๏ บุษบาได้ฟังนั่งอมยิ้ม | ใจสมัครรักปิ้มจะบอกให้ | |||
แต่คิดคิดก็ตะขิดตะขวงใจ | เป็นผู้ใหญ่จู่ลู่จะดูแคลน | |||
จึงว่าลูกข้าก็คนเดียว | ขับเคี่ยวมาแต่น้อยคอยหวงแหน | |||
ขอไปแม่จะได้ที่ไหนแทน | พ่อแผนก็จำเพาะมาเจาะจง | |||
เพราะรักเจ้าล้นเหลือเหมือนเนื้อไข | ไม่ขัดได้จำตามความประสงค์ | |||
แต่ทว่าข้าจะบอกออกตรงตรง | ยังนึกสงสัยบ้างทางเจ้าพลาย | |||
มีธุระทางไกลไปเมืองลาว | สาวสาวทางนั้นมันมากหลาย | |||
ถ้ากระไรไปถูกลูกเจ้านาย | ที่พูดกันมันจะกลายเป็นเหลวเลอะ | |||
จะทำให้เสียหายฝ่ายผู้ใหญ่ | เกิดระกำช้ำใจกันไปเถอะ | |||
เขาจะว่าข้านี้เป็นคนเคอะ | ช่างซมเซอะไม่รู้จะดูชาย | |||
ที่ว่านี้มิใช่จะตัดรอน | รักเจ้ามาแต่ก่อนนั้นเหลือหลาย | |||
จะควักแก้วตาไปให้เจ้าพลาย | ก็เบี่ยงบ่ายอย่างไรให้มั่นคง ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | คิดแล้วกล่าวความตามประสงค์ | |||
ถ้าหากท่านผู้ใหญ่ได้ตกลง | ที่ตรงดีฉันนั้นอย่าแคลง | |||
ถึงจะไปนอกฟ้าป่าหิมพานต์ | อันที่การนอกใจอย่าได้แหนง | |||
แม้จะให้สัญญาปิดตราแดง | จะขีดแกงไดให้ในสัญญา | |||
ถึงเด็กอยู่รู้พระคุณแต่หนหลัง | พ่อแม่เล่าให้ฟังเป็นหนักหนา | |||
จะขอเป็นเกือกทองรองบาทา | คุณแม่พ่อขออย่าได้ปรารมภ์ | |||
ขุนแผนพ่อพูดต่อเจ้าพลายงาม | ความที่มันสัญญาน่าจะสม | |||
เห็นจะไม่โกหกพกลม | แต่นานนมหนักไปก็ไม่ดี | |||
ลูกคิดว่าถ้าหมั้นต่อกันไว้ | ถึงห่างไกลก็พะวงตรงที่นี่ | |||
เหมือนตัวไปใจอยู่ด้วยคู่มี | อย่างนี้เป็นทำนองที่ป้องกัน | |||
วันนี้ก็ประเสริฐเลิศดิถี | จงปรานีรับรองซึ่งของหมั้น | |||
แล้วจึงทำเหย้าเรือนหาเดือนวัน | การเหล่านั้นฝากไว้ในเจ้าคุณ | |||
ด้วยจะต้องไปทัพรับอาสา | การของลูกข้างหน้ายังว้าวุ่น | |||
คุณพ่อแม่เมตตาได้การุญ | ให้อุ่นอกเช่นครั้งแต่หลังมา ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร | ทั้งบุษบาสมคิดก็หรรษา | |||
รับทองหมั้นไว้มิได้ช้า | พระพิจิตรจึงว่าเป็นไรมี | |||
เจ้าคิดอ่านการศึกเอาเชียงใหม่ | ถ้าคล่องใจคงสำเร็จราวเดือนยี่ | |||
ยังจะต้องคุมทัพกลับธานี | ก็เดือนสี่แลประมาณการวิวาห์ | |||
ครั้นตกลงปลงใจให้กันแล้ว | ต่างคนผ่องแผ้วเป็นหนักหนา | |||
สำรับพร้อมล้อมนั่งกินข้าวปลา | สนทนาเบิกบานสำราญใจ | |||
เลี้ยงดูกันสำเร็จเสร็จสรรพ | พ่อลูกลากลับหาช้าไม่ | |||
พระพิจิตรมาส่งลงบันได้ | ออกจากจวนไปยังวัดจันทร์ ฯ | |||
๏ ฝ่ายอีเม้ยดักทางอยู่ข้างบ้าน | พอขุนแผนเดินผ่านพ้นที่นั่น | |||
กระแอมไอให้เสียงเป็นสำคัญ | เจ้าพลายหันมาดูก็รู้ที | |||
จึงหลีกเข้าข้างทางหว่างต้นไม้ | ถามว่ามาทำไมจนถึงนี่ | |||
อีเม้ยบอกว่าตะกร้านี้ | มีของดีจะขายพ่อพลายงาม | |||
เจ้าพลายยิ้มแล้วว่าข้าอยากได้ | จะถูกแพงเท่าไรไม่ต้องถาม | |||
รับตะกร้ามาให้ไพร่แบกตาม | เอาเงินสามตำลึงส่งให้อีเม้ย | |||
แล้วค่อยงุบงิบกระซิบสั่ง | กลับหลังเข้าเรือนอย่าเชือนเฉย | |||
ถ้านายยังร้องไห้ไม่เสบย | เจ้าคนเคยปฏิบัติอยู่อัตรา | |||
ปลอยโยนนางไว้อย่าให้เศร้า | ตัวเจ้าจงพิทักษ์รักษา | |||
ให้เป็นสุขค่ำเช้าจนเรามา | เงินตราข้าจะเติมเพิ่มรางวัล | |||
ว่าแล้วเท่านั้นก็ผันผาย | เจ้าพลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | |||
รีบตามบิดามาวัดจันทร์ | แล้วช่วยกันจัดพหลพลโยธี ฯ | |||
๏ ครั้นเรียกคนสำรวจตรวจถ้วน | จัดกระบวนหน้าหลังตั้งตามที่ | |||
พระพิจิตรมาช่วยอวยสวัสดี | แล้วคลายคลี่พหลพลโยธา | |||
กองหน้านายจันสามพันตึง | พอฆ้องหึ่งโห่กระหน่ำออกนำหน้า | |||
กองหลวงกองเสบียงเรียงกันมา | ราชอาญากองหลังนั้นรั้งพล | |||
พวกชาวบ้านร้านตลาดดาษดื่น | แตกตื่นมาดูอยู่สับสน | |||
ที่ตามวัดก็พระประน้ำมนตร์ | ขุนด่านนำส่งจนพ้นพรมแดน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม | ขี่ม้ามาตามพ่อขุนแผน | |||
ยังง่วงเหงาหาวนอนนั่งคลอนแคลน | ทรวงแสนกระสันโศกวิโยคครวญ | |||
โอ้ว่าศรีมาลาแก้วตาพี่ | ป่านฉะนี้จะเศร้าเฝ้าโหยหวน | |||
เหมือนใจพี่ที่นึกคะนึงนวล | ใครจะชวนโฉมฉายให้คลายใจ | |||
ที่พูดกันเมื่อเช้าถ้าเจ้ารู้ | ว่าขอสู่แม่พ่อก็ยกให้ | |||
เห็นจะวายหวาดหวั่นพรั่นฤทัย | นั่งนับวันไปจนถึงงาน | |||
ค่ำเช้าเจ้าคะนึงถึงตัวพี่ | พอมีที่แก้ไขได้คิดอ่าน | |||
ตระเตรียมจัดแจงแต่งเรือนชาน | แก้รำคาญเบ่งบานที่เศร้าใจ | |||
๏ เออเมื่อคิดขึ้นมาก็น่ารู้ | ว่าเนื้อคู่คิดเห็นเป็นไฉน | |||
จะตกแต่หอห้องทำนองใด | ใครจะเป็นที่ปรึกษาหารือนาง | |||
คู่คิดเจ้าก็มีแต่อีเม้ย | มันเป็นไพร่ไม่เคยคงพานขวาง | |||
จะชวนซื้อหาใหม่ไปทุกทาง | ของเก่ามีดีบ้างไม่นำพา | |||
เครื่องเรือนในห้องของน้องแก้ว | ล้วนดีดีมีแล้วก็หนักหนา | |||
พี่ยังได้ชมเล่นเห็นแก่ตา | จะต้องหาใหม่นั้นมีเพียงไร | |||
๏ เตียงนอนค่อนจะแคบอยู่สักนิด | แต่ก็ดีที่ชิดพิสมัย | |||
ถึงหนาวร้อนก็ไม่นอนห่างกันไป | อย่าต้องหาเตียงใหม่เลยน้องรัก | |||
ม่านกรองทองทับสลับสี | เรื่องระเด่นมนตรีที่เจ้าปัก | |||
มันถูกเรื่องของเราเข้าทีนัก | จะเยื้องยักปักใหม่ไม่ต้องการ | |||
ถ้ากระไรปักต่อก็จะดี | เติมเมื่อตรงศึกชีอีกสักม่าน | |||
ยังเครื่องแป้งแต่งไว้ไม่มีปาน | ขันพานขวดน้อยน้อยน่าเอ็นดู | |||
เมื่อคืนนี้ตอนดึกยังนึกได้ | เจ้าพาไปนั่งเรียงเคียงคู่ | |||
เครื่องเชี่ยนหมากนากทองของโฉมตรู | ยังติดตาพี่อยู่ทุกสิ่งอัน | |||
พี่จะปลูกหอใหม่ให้ใหญ่กว้าง | ทั้งของนางของพี่จะจัดสรร | |||
ของของพี่มีมากหลากหลากกัน | เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ก็ดีดี | |||
๏ ยังเครื่องรางปลุกเสกด้วยเลขยันต์ | หรือขวัญข้าวเจ้ารังเกียจด้วยเกลียดผี | |||
ก็ไว้ที่อื่นได้เป็นไรมี | พี่จะสร้างหอน้อยเป็นหอพระ | |||
ที่ในห้องของเราเอาพรมปู | วางหมอนคู่เคียงไว้ไม่เกะกะ | |||
ไว้นอนเล่นเย็นเช้านะเจ้านะ | พี่จะเฝ้าถนอมกล่อมน้องยา | |||
ถึงจะนั่งกินข้าวทั้งเช้าเย็น | เราอย่าให้ใครเห็นจะดีกว่า | |||
ได้หยอกเอินพูดเล่นเจรจา | กินข้าวปลาเอิบอิ่มกระหยิ่มใจ | |||
ทำไมกับเรื่องเครื่องเรือนชาน | จะเบิกบานก็ที่ชิดพิสมัย | |||
ชั้นชั่วเสื่ออ่อนกับหมอนใบ | ก็คงได้ความสุขทุกคืนวัน | |||
๏ กำลังง่วงดวงจิตคิดเลื่อนเปื้อน | เจ้าพลายฟั่นเฟือนเหมือนกับฝัน | |||
สำคัญว่าเนื้อคู่อยู่ด้วยกัน | ยิ่งยั่วยวนสรวลสันต์จำนรรจา | |||
พี่ยังทุกข์อยู่นิดคิดไม่ถูก | เผื่อเจ้าจะมีลูกในวันหน้า | |||
พี่เห็นเขาเจ็บท้องร้องเต็มประดา | แก้วตาจะอย่างไรก็ไม่รู้ | |||
เขาว่ามดถ่อหมอตำแย | มักเชือนแชข่มขยำทำจู่ลู่ | |||
ถ้าหากไม่คอยนั่งระวังดู | เคยลากถูจนตายมาหลายคน | |||
พี่จะคอยถือตระบองมองกำกับ | ถ้าสัปปลับเอาอย่างนี้ตีให้ป่าน | |||
เคลิ้มฟาดแส้ม้ามาประดน | ถูกก้นม้าพ่อเข้าพอแรง ฯ | |||
๏ ม้าผลุนขุนแผนเจียนจะตก | หากแอบอกอยู่ที่ด้วยขี่แข็ง | |||
พอรั้งอยู่เหลียวมาโกรธหน้าแดง | นี่มึงแกล้งหรือไรให้ว่ามา | |||
เจ้าพลายตกใจไม่มีขวัญ | บอกความพ่อพลันไม่มุสา | |||
ลูกหลับใหลฝันไปว่าศรีมาลา | เจ้าจะคลอดลูกยาเจ็บครวญคราง | |||
เห็นยายหมอตำแยแกมักง่าย | ทำจู่ลู่ดูดายเมื่อลูกขวาง | |||
เกรงจะเป็นอันตรายวายวาง | ลูกตีแกดังผางพอถูกม้า | |||
เพราะเคลิ้มเขลาเมามัวด้วยความฝัน | ใช่จะแกล้งตีรันไม่มุสา | |||
สีหมอกก็ได้มีพระคุณมา | คุณพ่อได้เมตตาที่โทษกรณ์ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | ฟังลูกคิดคิดก็ใจอ่อน | |||
นี่แลรักชักพาให้อาวรณ์ | ร้อนทั้งหลับตื่นทุกคืนวัน | |||
ว่าแล้วนิ่งนึกตรึกตรา | อองามหลงศรีมาลาจนใฝ่ฝัน | |||
ด้วยพึ่งแรกรู้จักความรักนั้น | ที่สำคัญทุกอย่างแต่ข้างดี | |||
ลูกเอ๋ยยังไม่เคยรู้รสร้าย | ที่ความรักกลับกลายแล้วหน่ายหนี | |||
อันเจ็บปวดยวดยิ่งทุกสิ่งมี | ไม่เท่าที่เจ็บช้ำระกำรัก | |||
จะว่าเขาอื่นไกลไปไยเล่า | ถึงแม่เจ้าพ่อก็ช้ำระกำหนัก | |||
ต้องทนทุกข์มากมายมาหลายพัก | จักแหล่นเลือดตาจะกระเด็น | |||
เมื่อหนุ่มสาวคราวอยู่เป็นชู้ชื่น | ดังจะกลืนไว้ได้มิใช่เล่น | |||
จะร่วมหอคลึงเคล้าทุกเช้าเย็น | ไม่คิดเห็นว่าจะพรากไปจากกัน | |||
พอไปทัพกลับมาเห็นหน้านิด | มันปลดปลิดผลาญรักหักสะบั้น | |||
ต้องคับแค้นเพียงจะดิ้นสิ้นชีวัน | แต่โศกศัลย์โหยหาอยู่กว่าปี | |||
สู้พากเพียรพยายามตามมาได้ | เที่ยวบุกป่าฝ่าไพรพากันหนี | |||
ทนลำบากยากไร้ในพงพี | ไม่อาลัยชีวีเพราะความรัก | |||
พอพ้นภัยหมายใจว่าพ้นทุกข์ | จะร่วมสุขอยู่เย็นเป็นแหล่งหลัก | |||
เกิดวิบากผลกรรมมานำชัก | ให้ไอ้มารผลาญรัก***ไป | |||
ความแค้นแสนที่จะชอกช้ำ | ก็มิรู้ว่าจะทำอย่างไรได้ | |||
เพราะตัวต้องทนทุกข์อยู่คุกใน | ต้องเจ็บใจตรมมากว่าสิบปี | |||
โอ้ว่าเจ้าวันทองน้องแก้ว | จะลืมพี่เสียแล้วกระมังนี่ | |||
ด้วยเริดร้างห่างนานเสียเต็มที | ป่านนี้จะหลงบุญอ้ายขุนช้าง | |||
หรือว่ายังมีจิตคิดคะนึง | นึกถึงเพื่อนยากที่จากบ้าง | |||
พี่คิดถึงเช้าเย็นไม่เว้นวาง | รำพึงพลางถอนใจอยู่ไปมา ฯ | |||
๏ กองทัพยกออกนอกพิจิตร | ต้องเลียบชิดบึงบางที่ขวางหน้า | |||
บางแห่งใหญ่โตมโหฬาร์ | เป็นที่ปลาอาศัยทั้งใหญ่น้อย | |||
ดูจากหลังม้าเห็นคลาคล่ำ | บ้างโดดดำโผล่ผุดแล้วมุดถอย | |||
ชะโดดุกอ้ายด้องขึ้นล่องลอย | ฝูงปลาสร้อยเป็นหมู่ดูคลับคล้าย | |||
เทโพเทพาทั้งปลาช่อน | เนื้ออ่นนวลจันทร์พรรณสวาย | |||
สลิดสลาดปลาตะเพียนเวียนกราย | หลากหลายว่ายแหวกอยู่ในบึง | |||
ที่บางแห่งปลาชุมเหล่ากุมภา | ไล่ปลาฟาดหางดังผางผึง | |||
พอได้ยินเสียงคนข้างบนอึง | ก็จมดึ่งหลีกหลบลงกบดาน | |||
ยังเหล่าปักษาทิชาชาติ | เกลื่อนกลาดหาปลาเป็นอาหาร | |||
กระทุงทองล่องลอยนทีธาร | เหนียงยานปากอ้าเอาราน้ำ | |||
อ้ายงั่วดำด้นลงค้นปลา | ทั้งเหล่านกกระสาก็คลาค่ำ | |||
นกยางยืนมองจ้องประจำ | พอพลบค่ำนกแขวกแกรกแกรกร้อง | |||
ฝูงเหยี่ยวเที่ยวว่อนทั้งร่อนบิน | โฉบเฉี่ยวปลากินที่ในหนอง | |||
ตะกรุมหัวเหม่เที่ยเร่มอง | ขามันยาวก้าวท่องย่องสุ่มปลา | |||
นกฝักบัวช้อนหอยแลปากห่าง | หลายอย่างต่างพรรณกันหนักหนา | |||
ฝูงนกเกลื่อนกลาดดาษดา | ดูมาไม่สิ้นในถิ่นทาง | |||
ยังพืชพรรณบุปผาลดาชาติ | ก็ประหลาดมากมายเป็นหลายอย่าง | |||
ล้วนผลิดอกออกใบในบึงบาง | ต่างต่างน่าชมภิรมย์ใจ | |||
ที่บางแห่งโกมุทบุษบัน | เป็นพืชพรรณติดต่อกอไสว | |||
บ้างชูดอกออกฝักแล้วชักใบ | แลไปล้วนโกมุทจนสุดตา | |||
เหล่าบัวสายรายกอกันห่างห่าง | พอสางสางก็ตระการบานบุปผา | |||
ทั้งกระจับตับเต่าเถาสันตะวา | ในคงคาหลายอย่างต่างต่างพรรณ | |||
พอเช้าตรู่หมู่ภมรร่อนมาถึง | หึ่งหึ่งฟังจำเรียงเสียงสนั่น | |||
เที่ยวซอกซอนเกสรบุษบัน | เลาะสรรรสหวานตระการใจ | |||
ลมพัดเฉื่อยฉ่ำน้ำกระเพื่อม | แลละเลื่อมริ้วริ้วปลิวไสว | |||
ถึงแดดร้อนลมรื่นชื่นฤทัย | ทั้งนายไพร่เพลิดเพลินเดินชมมา ฯ | |||
๏ พอพ้นแนวหนองคลองบึงบาง | ก็เลี้ยวลัดตัดทางมากลางป่า | |||
เป็นพงแซมแกมอ้อกอหญ้าคา | ทั้งซ้ายขวาสูงปรกดูรกชัฏ | |||
เห็นแต่นกกระจาบคาบทำรัง | ไม่มีทั้งสิงสาราสัตว์ | |||
ทางกันดารน้ำท่าสารพัด | ก็เร่งรัดรี้พลด้นเดินมา | |||
พ้นป่าพงลงทางข้างตลิ่ง | ถึงปากพิงเลี้ยวข้ามไปข้างขวา | |||
เข้าทางป่าไม้ไพรพนา | ถึงพาราพิษณุโลกโอฆบุรี | |||
ทั้งนายไพร่ไปวัดมหาธาตุ | ไหว้พระชินราชชินสีห์ | |||
ขอให้มีชัยสวัสดี | แล้วมาที่ศาลากลางวางท้องตรา | |||
เจ้าพระยาพิษณุโลกกรมการ | อลหม่านเลี้ยงดูกันทั่วหน้า | |||
พอพักไพร่หายเหนื่อยเลื่อยล้า | ก็ยกพลต่อมาเมืองพิชัย | |||
ผู้รั้งกรมการด้านทาง | ต่างเมืองต้อนรับไม่นิ่งได้ | |||
ยกฟากข้ามจากเมืองพิชัยไป | ถึงบ้านไกรป่าแฝกแล้วแยกมา | |||
วันหนึ่งถึงเมืองสัชนาลัย | กรมการผู้ใหญ่ก็พร้อมหน้า | |||
เลี้ยงดูรับรองตามท้องตรา | พักอยู่สามเวลาในธานี ฯ | |||
๏ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก | ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี | |||
เจ้าพลายกระสันพันทวี | รำลึกถึงนารีศรีมาลา | |||
ถ้าแม้นแก้วตามาด้วยพี่ | จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา | |||
คิดพลางเดินพลางตามทางมา | ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร | |||
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก | เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน | |||
โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ | พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์ | |||
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก | แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน | |||
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล | บ้างเหมือนกลิ่นพู่ร้อยห้อยเรียงราย | |||
ตรงตระพักเพิงผาศิลาเผิน | ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย | |||
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทะลาย | เป็นวุ้งโว้งโพรงพรายดูลายพร้อย | |||
บ้างเป็นยอดกอดก่ายระเกะระกะ | ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย | |||
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย | บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ | |||
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม | บ้างโปปมเป็นปุ่มกระปุบกระปิบ | |||
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ | โล่งตลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์ | |||
เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย | ลมชวยหล่นตามกระแสสินธิ์ | |||
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน | ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า | |||
สัตตบุษย์บัวแดงเข้าแฝงฝัก | พันผักพาดผ่านก้านบุปผา | |||
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตะวา | ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร | |||
สาหร่ายเรียงเคียงทับกระจับจอก | ผักบุ้งงอกยอดชูดูสะอ้าน | |||
ภุมรินบินเคล้าสุมามาลย์ | ในธาราปลาพล่านตระการตา | |||
ชมพลางทางเดินเนิพนม | รื่นร่มพรรณไม้ใบหนา | |||
แลดูหมู่วิหคนกนานา | สาลิกาพูดจ้ออยู่จอแจ | |||
คุ่มขาบเขาขันสนั่นป่า | กระสาจับกระสังส่งเสียงแซ่ | |||
กระลิงจับกิ่งประโลงแล | คับแคไต่คางริมทางจร | |||
ค้อนทองจับบนต้นกระถิน | แก้วจับแก้วกินแล้วบินร่อน | |||
นกยูงจับยางแผ่หางฟ้อน | กระทุงทองจับกระท้อนทำอ่อนคอ | |||
กระจาบจ้อยดจนจับกระเจาเจ่า | แซงแซวเซาจับสนดูซอมซ่อ | |||
นกกระไนไก่ฟ้าพระยาลอ | นกกรอดพรอดจ้ออยู่กิ่งจันทน์ | |||
นกเขาจับเงื่อมเขาแล้วเคล้าคู่ | จู้หุกกูจู้ฮุกกูเฝ้าคูขัน | |||
อัญชันจับกิ่งต้นชิงชัน | เบญจวรรณจับเจ่าเถาวัลย์เปรียง | |||
ไก่ป่าวิ่งกรากกระต๊ากลั่น | ตัวผู้ขันเอกอี๊เอ๊กวิเวกเสียง | |||
เข้ากินขุยคุ้ยเขี่ยยตัวเมียเมียง | เห็นคนเลี่ยงลัดแลงเข้าแฝงกอ | |||
นกกระทาราแต้แผ่ปีกปัก | ขันชักปักกะจาดกะจ้าจ้อ | |||
เห็นตัวเมียเขี่ยจังหวีดเข้ากรีดรอ | ปักก้อป่องร่าดูน่าชม | |||
เดินพลางชมพลางมากลางชัฎ | ชักม้าหลีดลัดเข้าร่มร่ม | |||
ตะวันชายบ่ายรังบังพนม | เพลาลมตกตัดออกทางเตียน | |||
ไฟป่าครอกหญ้าเพิ่งแตกอ่อน | แผ่นดินร่อนแลโล่งตลิบเลี่ยน | |||
หมู่สัตว์จตุบาทออกวาดเวียน | บ้างหยอกกันหันเหียนหาคู่เคียง | |||
พยัคฆีมีกำลังทะลวงโลด | ทะลึ่งโดดเท้าถีบปีบปะเปรี้ยง | |||
มฤคกลัวตัวลอบลงหมอบเมียง | บ้างหลีกเลี่ยงหลบเพริดเตลิดไป | |||
ริมทางกวางทองดูผ่องผุด | ยั้งหยุดหย่งกีบบีบเสียงใส | |||
กระทิงถึกโทนเที่ยวอยู่ในไพร | กระบือเบิ่งเถลิงไล่กันดาดดง | |||
อีเห็นเม่นหมีหมู่ชะมด | กระจงจดจ้องกีบดูหยิบหย่ง | |||
ละมั่งละมาดผาดเผ่นออกจากพง | กระสู้ส่งซัดกระทิงออกวิ่งโทง | |||
เสือดาวเดาะเราะรายหมายละมั่ง | ช้างพังชักผากกระชากโผง | |||
สมันเมินเดินดุ่มจากพุ่มโพรง | ออกเลียดินกินโป่งอร่อยไป | |||
ตัดข้ามเขตระแหงแขวงเถิน | เดินเลยหาเยื้องเข้าเมืองไม่ | |||
สิบสี่วันดั้นเดินตามเนินไพร | เกือบจะถึงเชียงใหม่อีกสองวัน | |||
หยุดหนองโคกเต่าไม่เข้าบ้าน | พักทหารตั้งกองริมหนองนั่น | |||
ชักหนามวงรอบเป็นขอบคัน | กำชับกันมิให้ใครเที่ยวไปมา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | เรียกลูกชายพลายงามมาปรึกษา | |||
เราเกือบถึงเชียงใหม่ใกล้พารา | จะด่วนเข้ายุทธนาไม่สู้ดี | |||
มันจับพระท้ายน้ำจำเอาไว้ | เราตรงไปคงหั่นบั่นเกศี | |||
จะคิดลอบเข้าไปในบุรี | ดูท่วงทีแก้ไขเอาไทยมา | |||
แล้วจึงเข้าประชิดติดนคร | เราผันผ่อนเช่นนี้จะดีกว่า | |||
พ่อกับเจ้าเข้าไปแต่สองรา | ไปเที่ยวหาพวกไทยให้พบพาน | |||
ต้องปลอมตัวเป็นลาวพวกชาวเมือง | เราหาเครื่องแต่งตัวเอาตามบ้าน | |||
จำจะรีบเข้าไปอย่าได้นาน | หรือเจ้าจะคิดอ่านประการใด ฯ | |||
๏ เจ้าพลายเห็นชอบตอบบิดา | คุณพ่อว่าต้องจิตหาผิดไม่ | |||
ถ้าเรายกโยธาผ่าเข้าไป | มันเห็นไทยพวกลาวจะร้าวราน | |||
จะระมือลือเลื่องทั้งเมืองใหญ่ | มิทันได้คนโทษจะฉาวฉาน | |||
อ้ายคนต้องจองจำจะรำคาญ | มันประหารตายสิ้นสิเสียที | |||
ถ้าเราลอบเข้าไปให้พบก่อน | จะได้ผ่อนผู้คนให้พ้นที่ | |||
เป็นกำลังรบลาวชาวบุรี | ทั้งไทยยลาวราวสักสี่ห้าร้อยคน | |||
ปรึกษากันทั้งสองเห็นต้องใจ | แล้วเหลียวไปข้างหลังสั่งพหล | |||
จงซุ่มซ่อนนอนั่งระวังตน | คอยดูผู้คนจะไปมา | |||
ครั้นกำชับสั่งพลทุกคนทั่ว | พ่อลูกแต่งตัวงามสง่า | |||
ประจงคาดเครื่องอานทาว่านยา | แล้วโพกผ้าประเจียดประจุฤทธิ์ | |||
พลายงามจับดาบขยับยืน | ขุนแผนจับฟ้าฟื้นอันศักดิ์สิทธิ์ | |||
บ่ายหน้ามาสู่บูรพาทิศ | ตั้งจิตหมายหมาดพิฆาตลาว | |||
ขยับยืนภาวนานัยน์ตาหลับ | ตามตำรับบุราณอาจารย์กล่าว | |||
นิมิตดูลมกลาออกขวายาว | ก็ยกก้าวตีนขวาแล้วคลาไคล | |||
พ่อลูกลัดเลาะละเมาะเมือง | แยกเยื้องเสียหาเข้าหนทางไม่ | |||
พอแลเห็นไร่แตงเข้าแฝงไม้ | ริมทางลาวชาวไร่เดินไปมา ฯ | |||
๏ จะยกกลับจับกล่าวลาวพ่อลูก | ออกไปปลูกห้างไร่อยู่ชายป่า | |||
ปลูกผักฟักแฟงทั้งแตงกวา | ถั่วงากล้วยกล้ายเป็นหลายพรรณ | |||
เมื่อจะถึงที่ตายวายชีวิต | ให้หงุดหงิดง่านใจอยู่ไหวหวั่น | |||
คิดจะคืนกลับหลังแต่ยังวัน | ก็ชวนกันออกเดินดำเนินมา | |||
ตาพ่อถือดาบงามย่ามตะพาย | ลูกชายถือทวนขึ้นพาดบ่า | |||
เอาน้ำเต้าสอดด้ามซ้ำห้อยมา | โพกชมพูดูสง่าพากันเดิน | |||
ตาพ่อเฒ่าออกหน้ามาดุ่มดุ่ม | เจ้าลูกหนุ่มตามไปไม่ห่างเหิน | |||
เมื่อถึงวันจะบรรลัยให้บังเอิญ | เจ้าลูกเพลินรับซอพ่อรับแคน | |||
โอหนออ่อเจ้าสาวคำเอ๋ย | ข้อยอยากเซ้ยสาวเวียงที่เชียงแสน | |||
ขอให้ข้อยเบิ่งนางที่ต่างแดน | ข้อยแค่นใจตายแล้วแก้วพี่อา | |||
เพี้ยงเอ๋ยปู่เจ้าในเขาเขิน | ช่วยชักเชิญสาวเวียงมาเคียงข้า | |||
เหล้าเข้มไก่หมูจะบูชา | จะเซ่นส้าบวงสรวงเข้าแทรกใจ ฯ | |||
๏ พ่อลูกร้องขับรับกันมา | ใกล้พฤกษาที่ขุนแผนเข้าอาศัย | |||
ขุนแผนเห็นลาวซ้องร้องแต่ไกล | กระซิบบอกลูกให้ระวังตัว | |||
เห็นหรือไม่เเล่านะเจ้าพ่อ | อ้ายลาวซอแลไปไม่มีหัว | |||
มันถึงที่มรณาแล้วอย่ากลัว | จิกหัวฟันเสียให้พร้อมกัน | |||
ต่างถอดดาบจากฝักยืนหยักรั้ง | พอลาวเดินมากระทั่งถึงที่นั่น | |||
ดังองคตหนุมานชาญฉกกรจ์ | ทะลึ่งถลันด้วยกำลังไม่รั้งรอ | |||
ขุนแผนฟันป่ายพลายงามฟาด | ฉะฉาดหัวเด็ดกระเด็นปร๋อ | |||
เลือดพุ่งโชนเชี่ยวสองเกลียวคอ | ลาวลูกพ่อล้มดิ้นลงสิ้นใจ | |||
เหลือกตาหน้าเผือดเลือดไหลนอง | ทั้งสองยินดีจะมีไหน | |||
หยิบเอาหัวมาต่อคอเข้าไว้ | สนิทนั่งตั้งใจภาวนา | |||
ขุนแผนซัดข้าวสารอ่านมนตร์ปลุก | ผีลาวผุดลุกขึ้นต่อหน้า | |||
เคารพราบกราบเท้าทั้งสองรา | ขุนแผนว่าสองผีมีนามใด | |||
สองผีหมอบราบแล้วกราบกราน | กระผมชื่อขนานมโนใหญ่ | |||
นั่นลูกข้อยชื่อน้อยศรีวิชัย | เจ้าประสงค์สิ่งไรจึงขึ้นมา | |||
ขุนแผนว่าขนานมโนใหญ่ | เราตั้งใจมุ่งมาดปรารถนา | |||
จะขึ้นไปประจญปล้นพารา | เจ้าช่วยพาตัวเราเข้าบุรี | |||
ผีคำนับนรับแล้วก็ล้มลง | พ่อลูกตรงเข้าเปลื้องเอาผ้าผี | |||
เอาดาบตัดผมพลันด้วยทันที | สีชมพูโพกเกล้าก็เอามา | |||
พ่อลูกนุ่งห่มใส่ผมช้อง | โพกสะพองเหมือนลาวพวกชาวป่า | |||
ขุนแผนหยิบย่ามใหญ่ใส่ไหล่มา | พลายงามคว้าทวนถือติดมือพลัน | |||
ทั้งลูกทั้งพ่อหัวร่อร่า | ก็พากันเดินขมีขมัน | |||
ถึงโคกเต่าเข้าเพลาจะสายัณห์ | พวกอาสาทั้งนั้นก็ตกใจ | |||
บ้างก็เข้าซ่อนซุ่มในพุ่มชิด | สำคัญคิดว่าเป็นลาวพวกชาวไร่ | |||
ขุนแผนไม่แวะวงตรงเข้าไป | พวกอาสาสงสัยว่าลาวจริง | |||
พากันมองดูไม่รู้จัก | ไม่มีใครถามทักต่างแอบนิ่ง | |||
ขุนแผนว่าอย่างไรไม่ไหวติง | ทหารรู้กรูวิ่งมาวันทา | |||
เจ้าประคุณนุ่งห่มใส่ผมยาว | ช่างเหมือนลาวจริงจังไม่กังขา | |||
ลูกได้แอบพินิจพิจารณา | ช่างแปลกหน้าแปลกกายคล้ายพุงดำ | |||
พ่อลูกปลดผมแล้วเปลื้องผ้า | แล้วสั่งว่าเราจะไปเสียในค่ำ | |||
ถ้าช้าอยู่มันจะรู้ซึ่งเงื่อนงำ | ลาวจะร่ำลือดังไปทั้งกรุงฯ | |||
ทหารรับจับจัดผูกช้างม้า | แล้วก็ยกโยธามากลางทุ่ง | |||
อย่าอื้อฉาวชาวเมืองจะเฟื่องฟุ้ง | พอจวนรุ่งเข้าดงปลงม้าช้าง | |||
ให้แฝพุ่มซุ่มซ่อนนอนจนค่ำ | กลางคืนร่ำรุดไปจนใกล้สว่าง | |||
สองคืนสองวันดั้นเดินทาง | กระทั่งถึงบึงกว้างเข้าทันใด | |||
ก็หยุดทัพจับจัดตัดไม้ปัก | ชักหนามวงรอบขอบบึงใหญ่ | |||
สงบทัพยับยั้งตั้งมั่นไว้ | ด้วยทางใกล้จวนถึงสักครึ่งวัน | |||
ช้างม้าหญ้าน้ำก็สำราญ | พวกทหารพักผ่อนนอนที่นั่น | |||
เอากูบอานเรีบเรียงเข้าเคียงกัน | ให้สองท่านแม่ทัพนั้นยับยั้ง ฯ | |||
ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
๏ จะกล่าวถึงพระนายท้ายน้ำ | ลาวมันจำครบไว้ในคุกขัง | |||
เป็นกึ่งปีได้ออกนอกฝาบัง | แทบจะคลั่งไคล้ไปด้วยใจตรอม | |||
แสนรันทดอดอยากลำบากกาย | แต่ร้องไห้ไม่วายจนผ่ายผอม | |||
ไม่ถูกน้ำเนื้อตัวก็มัวมอม | ต้องอดออมเฝ้าสะอื้นทุกคืนวัน | |||
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | จะทิ้งลูกเสียแล้วหรือไรนั่น | |||
ต้องทนทุกข์ทรมานมานานครัน | พระทรงธรรม์มิได้ใช้ผู้ใดมา | |||
ทั้งเพี้ยกึ่งกำกงที่ส่งนาง | ก็ครวญครางขุ่นคอยละห้อยหา | |||
ทนลำบากยากแค้นแสนเวทนา | กินน้ำตาต่างข้าวทุกเช้าเย็น | |||
พระท้ายน้ำร่ำไห้ใจจะขาด | โอ้อนาถยากแค้นนี้แสนเข็ญ | |||
เหมือนมาอยู่ในนรกตกทั้งเป็น | ไม่ว่างเว้นโพยภัยกระไรเลย | |||
แต่อ้ายหลอออสามันผาสุก | มาปรับทุกข์กันบ้างเป็นไรเหวย | |||
ช่างหน้าเป็นเล่นหัวมัวเสบย | ดูเชิงเฉยไม่ช้ำระกำใจ | |||
ตาหลอว่าคุณพ่อก็ติดคุก | ถึงจะทุกข์จะทำอย่างไรได้ | |||
ต้องแช่มชื่นกลืนกล้ำด้วยจำใจ | จะดิ้นรนร้องไห้ก็ไม่พ้น | |||
พระท้ายน้ำร่ำว่าอ้ายหลอเอ๋ย | ท่านละเลยเรานี้ให้ปี้ป่น | |||
ประหลาดนักนอนพระทัยไม่ใช่คน | ให้กรูกรีรี้พลมาแก้กัน | |||
ตาหลอว่าคุณพ่ออย่าดิ้นโดด | คุณกับโทษมันก็เท่ากันอยู่นั่น | |||
ถึงจะยกโยธามาประจัญ | ลาวขยันมิใช่เล่นเห็นแก่ตา | |||
ฝีมือศึกสอยดาวท้าวกรุงกาฬ | ทหารปราบเมืองแมนแสนเพชรกล้า | |||
ผิดพ่อแผนแม้นใช้ผู้ใดมา | เหมือนเร่งให้มันฆ่าเสียเร็วพลัน | |||
เมื่อเรายกแกยังนั่งติดคุก | จะขุกเข็ญเป็นตายอย่างไรนั่น | |||
ขุนนางไทยใครอื่นสักหมื่นพัน | เห็นไม่ทันมือลาวชาวเชียงอินทร์ | |||
พระท้ายน้ำฟังคำของตาหลอ | เอออ้ายพ่อเอ็งว่าก็จริงสิ้น | |||
กูเล็งไม่เห็นใครในแผ่นดิน | ที่จะภิญโญยิ่งขุนแผนไป | |||
เจ้าประคุณเทวาสุราฤทธิ์ | ซึ่งสถิตในเศวตฉัตรใหญ่ | |||
จงช่วยดับทุกข์ทนดลพระทัย | ให้ทรงใช้ให้พ่อขุนแผนมา | |||
แต่ปรับทุกข์สองคนจนค่ำลง | อัสดงแดดดับลงลับหล้า | |||
อ้ายผู้คุมเข้มงวดเที่ยวตรวจตรา | ใส่ขื่อคาร้อยแหล่งทุกแห่งไป | |||
พระท้ายน้ำกำกงพวกอาสา | มันจำห้าประการหมดหาลดไม่ | |||
ให้คนโทษตีเกราะเคาะไม้ | นั่งยามตามไปไม่นิทรา | |||
แต่กำกงท้ายน้ำมันจำนั่ง | ต้องบ่ายเบนเอนหลังพิงข้างฝา | |||
หาวนอนอ่อนคอลงทับคา | ภาวนาไปจนม่อยผ็อยหลับลง ฯ | |||
๏ คืนนั้นพระท้ายน้ำระกำจิต | เกิดนิมิตเห็นพราหมณ์งามระหง | |||
กระหมวดมุ่นมวยผมรูปสมทรง | จิ้มประจงเจิมหน้าอุณาโลม | |||
ถือสังข์ทรงศักดิ์ทักขินาวัฏ | สังวาลรัดเจ็ดเส้นเห็ฯเฉิดโฉม | |||
ใส่ตุ้มหูห่มสไบไขว้กระโจม | ผ้าขาวโขมพัตถ์นุ่งดูรุ่งเรือง | |||
บรรจงจีบโจงข้างแล้ววางชาย | พรรณรายรัศมีเนื้อสีเหลือง | |||
เหาะลอยคล้อยลงตรงท้ายเมือง | เปิดตะรางย้างเยื่องเข้าใกล้ตน | |||
เอาน้ำสังข์โอสถรดเกศา | เครื่องพันธนาทั้งปวงก็ร่วงหล่น | |||
แล้วก็สาดราดรดหมดทุกคน | เครื่องจำตนร่วงกราวทั้งลาวไทย | |||
พรามหณ์ก็คลายหายวับไปกับตา | สะดุ้งฟื้นตื่นผวาหาช้าไม่ | |||
คิดว่าจำหลุดกายสบายใจ | พอหวาดไหวตัวตึงอยู่ตรึงตรา | |||
นิ่งนึกตรึกดูรู้ว่าฝัน | นิมิตนี้สำคัญเป็นหนักหนา | |||
กระซิบปลุกตาหลอพ่อกูอา | ลุกขึ้นมาช่วยทำนายทายฝันที | |||
ตาหลอว่าคุณพ่อฝันอย่างไร | พระท้ายน้ำเล่าให้เป็นถ้วนถี่ | |||
จงตรองคำทำนายทายให้ดี | นิมิตนี้ล้ำเลิศประเสริฐครัน ฯ | |||
๏ ตาหลอยิ้มพลางทางทำนาย | ไม่ตายในเชียงใหม่แล้วแม่นมั่น | |||
คงจะพ้นพันธนาไม่ช้าวัน | เห็นสำคัญคนดีจะมีมา | |||
พิเคราะห์ฤกษ์ก็งามเป็นยามเสาร์ | ทีนี้เรารอดแท้แน่นักหนา | |||
ซุบซิบกันสองคนสนทนา | จนเวลายามสองร้องเรียกยาม | |||
ถึงชื่อใครลนลานขึ้นขานรับ | เสียงโวยวายเป็นลำดับตลอดหลาม | |||
ใครไม่ขานเฆี่ยนสิ้นดิ้นโครมคราม | ร้องเรียกตามโทษทั่วทุกตัวคน | |||
ครั้นเสร็จแล้วตีเกราะเคาะห้อง | เสียงสนั่นลั่นก้องโกลาหล | |||
ผลัดกันลุกปลุกกันนั่งระวังตน | ประจวบจนรุ่งแจ้งแสงรวี ฯ | |||
๏ นายร้อยพะทำมะรงตรงเข้าคุก | จ่ายคนโทษไปทุกตำแหน่งที่ | |||
ตาหลอกับตารักบักจันดี | อ้ายเหล่านี้เกี่ยวหญ้าหาเคียวคาน | |||
ตาหลอนึกถึงฝันท่านท้ายน้ำ | ร้องรำปรีเปรมเกษมศานต์ | |||
ผู้คุมตามกันมาลนลาน | เดินผ่านล้วงตลาดวินาศไป | |||
ฉวยกระชากหมากดิบหยิบใส่กระ | เขาโขลกพลาดกลับฉวยเอากล้วยไข่ | |||
เสียงฉุ่งฉิ่งวิ่งเลยไม่หลีกใคร | เจออะไรไขว่คว้ามาเป็นราว | |||
โซ่ตรวนโกร่งกร่างตามทางมา | เข้าร้านไหนแม่ค้าก็ฉ่าวฉาว | |||
บ้างโกรธด่าเปรี้ยงเสียงกราว | ข้ามสะพานย่านยาวเหย่าเหย่ามา | |||
ครั้นถึงทุ่งมุ่งตรงลงขอบหนอง | กำเริบร้องรำเคียวแล้วเกี่ยวหญ้า | |||
ผู้คุมนั่งบังสุมทุมพุ่มพุทรา | แล้วปูผ้านอนเล่นเย็นหลับไป ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสะท้าน | กำชับสั่งพวกหทารทั้งน้อยใหญ่ | |||
ให้ผลัดกันลุกนั่งระวังระไว | อยู่แต่ในที่ซุ่มประชุมกัน | |||
อย่าเที่ยวไปเที่ยวมารอท่าเรา | ข้าสองคนจะเข้าไปเขตขัณฑ์ | |||
ไปคิดอ่านแก้ไทยในคุกนั้น | กับพวกลาวเวียงจันทน์ที่มันจำ | |||
เอารีบร้นมาให้พ้นจากพารา | เราคงมาถึงนี่พรุ่งนี้ค่ำ | |||
พวกทหารต่างคำนับรับถ้อยคำ | แล้วสั่งกำชับกันให้มั่นคง | |||
สั่งเสร็จขุนแผนกับลูกชาย | ต่างคนแต่งกายงามระหง | |||
โพกประเจียดเคยประจญรณรงค์ | สอดสวมเสื้อลงเป็นองค์พระ | |||
แล้วนุ่งผ้าลาวเหมือชาวไร่ | เอาช้องใส่สีชมพูโพกศีรษะ | |||
ผูกพันกระสันเครื่องเรืองเดชะ | เข็มขัดปะขมองพรายคาดกายพลัน | |||
ขุนแผนจับดาบกลายสะพายย่าม | เจ้าพลายงามแบกทวนดูแข็งขัน | |||
ดูดังสองสิหราชกาจฉกรรจ์ | เยื้องกรายผายผันเข้ากรุงไกร ฯ | |||
๏ เดินปนมากับลาวชาวพารา | หามีใครสงการสังเกตไม่ | |||
ด้วยฤทธิ์ผีแรงมนตร์เข้าดลใจ | เห็นป็นลาวชาวไร่เข้าพารา | |||
นางสาวสาวชาวบ้านในชานเมือง | ชำเลืองดูพลายน้อยเสนหา | |||
ให้วาบวับจับใจไม่วางตา | เจ้าพลายเดินเมินหน้าไม่ดูใคร | |||
พวกสาวแส้แม่ม่ายทั้งยายเฒ่า | ทักว่าเจ้าหนุ่มน้อยจะไปไหน | |||
จงหยุดยั้งนั่งเล่นก่อนเป็นไร | ข้อยจะให้หมากพลูบุหรี่ดี | |||
ปีศาจน้อยศรีวิชัยที่ไปด้วย | ก็ช่วยตอบคำลาวนางสาวศรี | |||
สาวเอยเพื่อนว่าจงปรานี | ธุระมีจะไปในนคร | |||
จิตข้อยนี้มักเจ้าหนักหนา | แต่เดี๋ยวนี้พี่จะลาเจ้าไปก่อน | |||
ไปเที่ยวเบิ่งเมืองเล่นพอเย็นรอน | กลับมานอนจึงจะเข้ามาเว้ากัน | |||
พูดพลางเดินพลางตามทางมา | ถึงแม่ค้าขายของล้วนคมสัน | |||
เห็นโฉมฉายพลายน้อยเป็นนวลจันทร์ | คิดสำคัญว่าลาวชาวป่าดง | |||
จึงทักทายแม่นายที่เดินหลัง | ไม่เอิ้นมั่งนั่งบึ้งตะลึงหลง | |||
อยากได้อะไรมั่งก็นั่งลง | แล้วยื่นส่งดอกไม้ให้พลายงาม | |||
เจ้าพลายรับจับมือรื้อสะกิด | นางลาวบิดเบือนสะบัดประหวัดหวาม | |||
บ้านเฮือนเพื่อนอยู่ใดอยากได้ความ | จะใคร่ตามหนุ่มน้อยไปแนบนอน | |||
เจ้าพลายชายตาว่าพี่มัก | นางลาวรักทำทอดฤทัยถอน | |||
ชมดชม้อยเชือนชายชม้ายงอน | ยิ้มแล้วก้มคมค้อนตะแคงดู | |||
นางแม่ม่ายขายหมากปากคะนอง | ร้องทักออกไปไม่อดสู | |||
เจ้าหนุ่มน้อยรูปดีสีชมพู | เพื่อนจะอยากหมากพลูของตูมี | |||
นางสาวอ่องร้องห้ามนางสาวฟัก | เราบ่มักแม่ม่ายจึงหน่ายหนี | |||
เพราะรูปร่างของสูไม่สู้ดี | ไปเรียกเขาเซ้าซี้บ่อายใจ | |||
นางสาวฟักตอบว่าอย่ากั้นกาง | สาวนางอย่างสูสู้ข้อยบ่ได้ | |||
เพื่อนบ่เคยเชยชู้รู้อะไร | ทำนองในนางสาวเหมือนลาวตาย | |||
มีแต่ลมหายใจใครจะมัก | เชิงเยื้องยักอย่าประมาทชาติแม่ม่าย | |||
ยังหนุ่มเหมือนเพื่อนนี้ขี้งมงาย | ถูกแต่ปลายเงื่อนกระทกจะงกไป ฯ | |||
๏ ขุนแผนพลายงามตามกันมา | ถึงไหนแม่ค้าก็ปราศรัย | |||
สองสูอยู้บ้านถิ่นฐานใด | มีธุระสิ่งไรจึงได้มา | |||
ผีที่ไปด้วยช่วยขุนแผน | พูดแทนว่าเราเป็นชาวป่า | |||
เขาลือว่าจับไทยไว้ในพารา | ข้อยบ่เคยเห็นหน้าไอ้บักไทย | |||
อยากจะไปเบิ่งเล่นว่าเป็นหยัง | เขาจำขังคนโทษไว้ที่ไหน | |||
พวกลาวบอกตามจริงไม่กริ่งใจ | เขาจำไว้ในตะรางข้างโรงม้า | |||
แต่ตัวนายตรำตรากไม่ลากใช้ | พวกไพร่นั้นเขาคุมไปเกี่ยวหญ้า | |||
เพื่อนจะเบิ่งบักไทยไปท้องนา | มันกลับมาสายัณห์ตะวัรอน | |||
ขุนแผนชื่นชมสมปรารถนา | ว่ากระนั้นฉันจะลาท่านไปก่อน | |||
พ่อลูกสองราพากันจร | ก็รีบร้อนตรงมุ่งไปทุ่งนา | |||
เห็นพวกไทยไขว่คว้างอยู่กลางบึง | ก็ย่างเยาะเดาะดึ่งเข้าไปหา | |||
เห็นผู้คุมคลุมหัวมัวหลับตา | จึงเลาะลัดตัดมาที่ไทยพลัน ฯ | |||
๏ ตารักกับตาหลอพอแลไป | เจ้าสองรามาแต่ไหนดูคมสัน | |||
พ่อลูกเดินเข้าไปพอใกล้กัน | ตาหลอผันหน้าพิศพินิจแล | |||
แต่แรกเห็นเป็นลาวชาวบ้านป่า | ครั้นดูซ้ำจำหน้าถนัดแน่ | |||
เอ๊ะพ่อขุนแผนแล้วแม่นแท้ | พาตารักรีบแร่ไปทันใด | |||
พอเข้าใกล้ตาหลอว่าพ่อเรา | โถมเข้ากอดตีนแล้วร้องไห้ | |||
ซบหน้ากลิ้งเกลือกเสือกไป | เป็นครู่หนึ่งจึงได้สติคืน | |||
ขุนแผนว่าตาหลอกับตารัก | อย่าอึงนักอ้ายผู้คุมมันจะตื่น | |||
โศกเศร้าแต่เท่านั้นจงกลั้นกลืน | ฉวยผู้อื่นมันเห็นไม่เป็นการ | |||
ตาหลอกับตารักได้ฟังว่า | เช็ดน้ำตาร่อยร่อยค่อยเล่าขาน | |||
พ่อแผนลูกนี้แสนทรมาน | ถูกจองจำทำประจานให้เจ็บช้ำ | |||
มันใช้จับจ่ายหวายล่อหลัง | เหลือกำลังข้าวเช้าเป็นข้าวค่ำ | |||
หลังลูกกว่าร้อยรอยระยำ | พระท้ายน้ำจำครบทุกคืนวัน | |||
ทั้งเจ็บใจเจ็บเนื้อเหลือพรรณนา | คิดจะฆ่าตัวเสียให้อาสัญ | |||
เดชะบุญเจ้าประคุณขึ้นมาทัน | พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นนั่นลูกใคร ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | ก็ชี้แจงแจ้งความหาช้าไม่ | |||
คนนี้มิใช่ผู้อื่นไกล | ลูกคนใหญ่เกิดแต่แม่วันทอง | |||
พระนายถวายเป็นมหาดเล็ก | ถึงตัวเด็กใจใหญ่ไม่มีสอง | |||
เขาองอาจอาสาฝ่าละออง | ข้าพ้นจากจำจองเพราะเจ้าพลาย | |||
ทูลขอคนดทษก็โปรดปราน | สามสิบห้ากล้าหาญสิ้นทั้งหลาย | |||
จะขึ้นมาแก้ไขให้พ้นตาย | บอกพระนายท้ายน้ำให้รู้ตัว | |||
บอกทั้งพวกลาวชาวเวียงจันทน์ | กับพวกเราเหล่านั้นเสียให้ทั่ว | |||
คืนนี้จะเข้าไปอย่าได้กลัว | คอยช่วยกันหั่นหัวอ้ายผู้คุม | |||
อย่าเห็นแก่หลับใหลให้ชักช้า | จะเข้าไปในเวลาสักห้าทุ่ม | |||
มัวพูดกันมันเห็นจะจับกุม | แต่กลางวันนั้นจะซุ่มอยู่ไหนดี ฯ | |||
๏ ตาหลอว่าคุณพ่อออย่าเป็นทุกข์ | วัดหนังหลังคุกเห็นชอบที่ | |||
กุฎีร้างริมสระพระไม่มี | ทั้งตาปีไม่เห็นใครเที่ยวไปมา | |||
ว่าพลางทางชี้ตำแหน่งให้ | ตรงไปหลังเมืองเยื้องข้างขวา | |||
ก็จะเห็นตะรางข้างโรงม้า | วัดหนังหลังศาลาตรงเข้าไป ฯ | |||
๏ ขุนแผนรู้ตำแหน่งแจ้งกิจจา | พูดกันนักจักช้าเห็นไม่ได้ | |||
พ่อลูกสองราก็คลาไคล | ตัดทุ่งมุ่งไปที่หมู่ยาง | |||
สังเกตผู้คนตามทางมา | แวะข้างขวาข้ามย่านสะพานขวาง | |||
หลีกคนด้นเดินเสียนอกทาง | ผ่านตะรางเห็นถนัดวัดรุงรัง | |||
ร้างรกปกคลุมล้วนพุ่มหนาม | เอออารามนี้แน่แลวัดหนัง | |||
ตรงเข้ากุฎีคร่ำคร่ามีฝาบัง | ต่างนอนนั่งคอยท่าเวลากาล ฯ | |||
๏ พอสายัณห์ตะวันลงตรงปลายไม้ | ผู้คนเรียกคนไปเสียงมี่ฉาน | |||
พวกคนโทษวิ่งรี่ตะลีตะลาน | จับสาแหรกแบกคานเข้าทุกคน | |||
สวบสาบหาบหญ้ามาเป็นกลุ่ม | อ้ายผู้คุมถือหวายแล้วไล่ก้น | |||
เสียงฉุ่งฉิ่งวิ่งออกอลวน | หาบหญ้าผ่าถนนตลาดมา | |||
แม่ค้าเห็นคนพวงล่วงเข้าตลาด | บ้างยกกระจาดหับกระชังระวังผ้า | |||
พวกที่นั่งร้านรายขายกุ้งปลา | ถือกะโล่โงง่าตั้งท่าคอย | |||
ตาหลอหัวพวงล้วงปลาไหล | ตารักร่าคว้าใส่เอาปลาสร้อย | |||
อ้ายลูกแล่งแย่งคว้าปลาเล็กน้อย | เขาโขกคอยหลบหน้าแล้วด่าทอ | |||
ตาหลอหัวร่อร่าออกราแต้ | วันนี้แลพ่อจะสั่งปีสังก้อ | |||
เขาตีตบหลบขนเอาจนพอ | ทั้งส้มกล้วยมะละกอก็พอการ | |||
เสียงโซ่ตรวนโกร่งกร่างวางกันอึง | นางคนหนึ่งรำมาะก้าออกหน้าบ้าน | |||
ฉวยไม้คานตีผลับแกจับคาน | พลัดตกคานล้มเค้ลงเก้กัง | |||
พวกแม่ค้าด่าเปรี้ยงเสียงเกรี้ยวโกรธ | อ้ายคนโทษวันนี้เป็นปีสัง | |||
จึงเริงร่ากล้าหาญออกตึงตัง | จะไปเรียนเฆี่ยนหลังเสียให้เลอะ | |||
ตาหลอว่าพ่อไม่อยากกลัว | จะฟ้องใครไสหัวมึงไปเถอะ | |||
ไม่พรั่นพรึงมึงดอกอีหน้าเคอะ | เชอะเข้ามากูจะใส่ให้นอนคราง | |||
พ้นตลาดพอเวลาสายัณห์ | ก็ชวนกันวุ่นวิ่งมากริ่งกร่าง | |||
หิ้วปลาหาบหญ้ามาตามทาง | ถึงตะรางวางหญ้าลงหากิน | |||
ชวนกันตั้งหม้อข้าวเผาปลาดุก | ประเดี๋ยวใจก็สุกอยู่เสร็จสิ้น | |||
คดข้าวใส่กระบายให้นายกิน | พอตะวันตกดินลงทันใด | |||
นายร้อยคอยนับคนโทษถ้วน | ตรวจตรวนแล้วก็ร้อยด้วยโซ่ใหญ่ | |||
ตะเกียงตามสามแห่งออกแดงไป | กุญแจใส่ลั่นกลอนซ้อนสองชั้น ฯ | |||
๏ พอผู้คุมสามคนขึ้นบนร้าน | ตาหลอคลานหานายขมีขมัน | |||
กระซิบบอกพระท้ายน้ำพลัน | คุณพ่อฝันแน่นักประจักษ์ตา | |||
ที่พูดกับกระผมสมทุกสิ่ง | ขุนแผนมาจริงเจียวพ่อขา | |||
กับลูกชายแปลงกายเป็นลาวมา | กระผมยืนเกี่ยวหญ้าผ่าเข้าไป | |||
ใส่ผมยาวเหมือนลาวสนิทนัก | แต่กระผมกับอ้ายรักยังจำได้ | |||
ถ่มถึงคุณเจียวขอรับกับพวกไทย | ข้าพเจ้าเล่าไปทุกสิ่งอัน | |||
เธอให้บอกให้ทั่วเตรียมตัวท่า | คืนวันนี้จะเข้ามาเป็นแม่นมั่น | |||
จะสะกดให้หมดทั้งคุกนั้น | สะเดาะกุญแจแก้กันให้พ้นไปฯ | |||
๏ พระท้ายน้ำฟังคำตาหลอเล่า | ดังได้น้ำทิพย์มารดให้ | |||
สว่างอกอิ่มเอิบกำเริบใจ | ดุจได้ไปผ่านพิมานอินทร์ | |||
เฮ้ยอ้ายหลอโม้โซ่มันยาว | ค่อยค่อยสาวกระซิบบอกกันให้สิ้น | |||
พวกเชียงใหม่อย่าให้มันได้ยิน | พ่อจะพามาบินไปคืนนี้ | |||
ค่อยงุบงิบกระซิบกันต่อไป | ลาวไทยที่ติดตรวนรู้ถ้วนถี่ | |||
พวกคนโทษทั้งสิ้นก็ยินดี | เตรียมตัวไว้ไม่มีใครนิทราฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์เชี่ยวชาญหาญกล้า | |||
กับพลายงามลูกกรักอันศักดา | ดูเวลาปลอดห่วงการทัณฑ์ | |||
เห็นดวงดาวสะกดหมดจดแจ่ม | พระจันทร์แรมลบสิ้นดินสวรรค์ | |||
ดึกได้ฤกษ์งามยามสำคัญ | ก็แต่งตัวจัดสรรให้มั่นคง | |||
ปลดเปลื้องเครื่องลาวลงใส่ย่าม | นุ่งม่วงสีครามงามระหง | |||
เข็มขัดขมองโขมดคาดดูอาจอง | แล้วประจงโพกประเจียดประจุฤทธิ์ | |||
ใส่เสื้อลงเลขยันตร์ย้อมว่านยา | เสกจันทน์เจิมหน้าประกาศิต | |||
จับดาบย่างกรายบ่ายตามทิศ | แล้วยกเมฆได้นิมิตเหมือนรูปคน | |||
ลมจันกลาล่องคล่องทางซ้าย | ก็ก้าวกรายซ้ายก่อนออกจรถนน | |||
แล้วร่ายเวทจังงังกำบังตน | เดินรีบร้นถึงตะรางสว่างไฟ | |||
ขุนแผนอ่านอาคมสะดมคน | ทั้งตารางครางกรนไม่ทนได้ | |||
กระซิบสั่งโหงพรายทั้งหลายไป | สะกดอ้ายนายคุกเสียทุกคน | |||
แล้วแก้มนตร์พวกไทยที่ในคุก | ราวกลับปลุกตื่นเตือนกันเกลื่อนกล่น | |||
สะเดาะประตูเปิดกว้างทั้งล่างบน | ทั้งสองคนเข้าไปมิได้ช้า ฯ | |||
๏ ขุนแผนเสกข้าวสารหว่านซัดซ้ำ | เครื่องจำหลุดกายทั้งซ้ายขวา | |||
ร่วงกราวเท้ามือทั้งขื่อคา | ต่างทะลึ่งลุกถลาทั้งลาวไทย | |||
พระท้ายน้ำกำกงตรงออกมา | วันทาขุนแผนทั้งนายไพร่ | |||
อ้ายลางคนขุ่นแค้นแสนเจ็บใจ | ใครข่มเหงนึกได้ไล่ฟาดฟัน | |||
อ้ายผู้คุมสามนายที่ร้ายกาจ | ฟันผลัวะฉัวะฉาดขาดสะบั้น | |||
เลือดอาบดาบมันแลฟันมัน | มันดุดันด่าเฆี่ยนพ่อเจียนตาย | |||
ยังอ้ายผู้กำกับอยู่ทับนอก | อ้ายขี้ครอกเฆี่ยนพ่อถึงสองหวาย | |||
ตาหลอขึ้นทับคร่าฝาทลาย | เอาดาบป่ายปุบดิ้นสิ้นชีวี | |||
ตารักแค้นใจอ้ายตรวจเพลิง | มันตรวจหวดหลังเปิงอยู่ป่นปี้ | |||
จะเอามันไว้ไยไอ้อัปรีย์ | แกฟันทิ้งกลิ้งคี่อยู่คาเรือน | |||
อ้ายคนโทษโกรธใครไล่พิฆาต | ฟันเสียหัวขาดออกกลาดเกลื่อน | |||
ที่ไม่ถูกฆ่าฟันก็ฟั่นเฟือน | ละเมอกรนป่นเปื้อนเหมือนป่าช้า ฯ | |||
ครั้นออกจากตะรางมาข้างนอก | ตาหลอจึงบอกขุนแผนว่า | |||
พวกเราถูกรัดรึงไว้ตรึงตรา | จนง่อยเปลี้ยเสียขาไปหลายคน | |||
จะคลุกคลีหนีไล่ไม่ถนัด | ฉวยมันตัดทางตีสิปี้ป่น | |||
ต้องลักม้าไปบ้างต่างตีนตน | ได้ถ้วนคนตามพ่อพอจะทัน | |||
พวกฉันจะไปดูด้วยรู้แห่ง | โรงข้างขวาม้าแซงนั้นแข็งขัน | |||
โรงซ้ายม้าทาวนล้วนสำคัญ | เอาให้ครบขากันทุกคนไป ฯ | |||
๏ ขุนแผนร้องว่าช้าตาเฒ่า | แต่ลำพังพวกเจ้าเห็นไม่ได้ | |||
ไปเจอลาวก็จะฉาวทั้งเวียงชัย | มันจะไล่เอาแหลกขี้แตกตาย | |||
จึงสั่งตาหลอให้นำหน้า | แล้วต่างคนตามมาสิ้นทั้งหลาย | |||
ถึงโรงม้าซัดปาข้าสารปราย | แล้วสั่งพรายให้กำบังระวังตัว | |||
อ้ายพวกลาวเฝ้าม้าพากันหลับ | กอดประกับกรนดังทั้งเมียผัว | |||
เปิดประตูกรูเข้าไปไม่คิดกลัว | เที่ยวค้นของมองทั่วทุกสิ่งไป | |||
บ้างฉวยคว้าผ้าแพรแก้ผ้านุ่ง | รูดเอาถุงเมียหมดปลดเอาไถ้ | |||
ทั้งเงินทองของดีที่พอใจ | พบที่ไหนฉวยคว้าไม่ปรานี | |||
ขุนแผนร้องเหวยเฮ้ยอย่าช้า | ต่างก็มาแก้ม้าขมันขมี | |||
เครื่องใครใส่มันเข้าทันที | แล้วขึ้นขี่พร้อมหน้าถ้วนขากัน | |||
ตาหมอเลือกม้าดีให้สี่นาย | ล้วนแยบคายขี่ถูกผูกเครื่องมั่น | |||
พระท้ายน้ำขับม้านำหน้าพลัน | ถัดนั้นกำกงมาตรงกลาง | |||
ม้าขุนแผนพลายงามตามต้อนหลัง | กระทืบโกกลนกังกังสะบัดย่าง | |||
ครั้นถึงสี่แพรกจะแยกทาง | ขุนแผนถากไม้ทองหลางคาบหลักไว้ | |||
เอาถ่านมาจารึกอักษรศรี | ให้ชาวบุรีรู้ระบิลสิ้นสงสัย | |||
ใครมาพบอักษรอย่านอนใจ | จงรีบเอาเข้าไปให้นายมึง | |||
ครั้นสำเร็จเสร็จปักหลักสารา | เผ่นขึ้นหลังม้ากระทืบผึง | |||
ตามกันสะบัดย่างวางปรึงปรึง | มาถึงทางจะออกนอกนคร ฯ | |||
๏ ตาโม้กับตามาทั้งตาหลอ | ว่าคุณพ่ออย่าเพ่อรีบไปก่อน | |||
อ้ายพวกลาวเลี้ยงช้างอยู่กลางดอน | ล้วนงางอนงามงามสามสิบตัว | |||
เราจะต้องรบรับยับยั้ง | ถ้าช้างมีขี่มั่งจะยังชั่ว | |||
ล้วนแต่ดีฝีงาน่ากลัว | ฉันรู้ที่ทอดทั่งทุกตำบล ฯ | |||
ขุนแผนร้องว่าเออตาเฒ่า | ถ้าพวกเรารู้ตำแหน่งแห่งหน | |||
คิดจะเข้าเอาช้างก็ชอบกล | ด้วยผู้คนของเราไม่มากมาย | |||
ถึงแม้นได้ช้างงามมาหลายหลัง | พอจะได้เป็นกำลังเราทั้งหลาย | |||
ควาญหมอเราก็มีดีมากนาย | ไว้ดันแดกแหกค่ายทลายทัพ | |||
แน่ตาหลอคุมไพร่ไปสักร้อย | อ้ายลาวน้อยจงกลุ้มเข้ารุมจับ | |||
ชิงช้างทั้งจำลองสัปคับ | เอาให้ได้พร้อมสรรพแล้วขับมา ฯ | |||
๏ ตาหลอรับนับคนได้ร้อยเศษ | สังเกตที่ได้ชัดเดินลัดป่า | |||
ถึงก็ยั้งตั้งโห่ขึ้นสามลา | ตรงเข้าคว้าจับเอาอ้ายชาวช้าง | |||
ทำแต่ให้ตกใจไม่ฆ่าฟัน | มัดศอกติดกันทั้งสองข้าง | |||
เข้าควักล้วงช่วงชิงวิ่งโกรงกราง | เครื่องเคราขนพลางไม่รั้งรอ | |||
ประโคนพานหน้าหลังหนังชนัก | อานจำหลักทั้งแหย่งกระแชงขอ | |||
บรรดาของต้องการกว้านจนพอ | แล้วขึ้นคอไล่วิ่งลูกดิ่งตี | |||
ช้างถูกลูกดิ่งวิ่งชิงคลอง | บ้างก็ร้องแหกป่ามาอึงมี่ | |||
พวกไทยลาวตัวลือฝีมือดี | ทั้งหมอควาญขับขี่ไม่มีช้า | |||
ครู่หนึ่งถึงที่ขุนแผนคอย | ตาหลอตามรอยเข้าไปหา | |||
บอกว่าลูกไปได้ช้างมา | ล้วนว่องไวใหญ่กล้างาลากดิน | |||
ขุนแผนฟังตาหลอัวร่อร่า | สั่งให้เดินช้างม้ามาทั้งสิ้น | |||
กำลังดึกดาวกระจ่างน้ำค้างริน | ก็เข้าถิ่นจะถึงที่บึงบอน ฯ | |||
๏ ฝ่ายข้างทหารสามสิบห้า | ได้ยินอื้ออึงมาป่ากระฉ่อน | |||
สำคัญคิดว่าลาวชาวนคร | ก็รีบร้อนแต่งตัวทั่วทุกคน | |||
พรหมศรสำมะยังสั่งอาสา | เราคอยท่าตัดทัพให้ยับย่น | |||
ถ้าได้ยินกลองน้อยแล้วถอยตน | ฆ้องกระแตรีบร้นเร่งเข้ามา | |||
สั่งกันเสร็จสรรพจับอาวุธ | คาดตะกรุดโพกประเจียดมงคลใส่ | |||
พรหมศรคุมอาสาแยกขวาไป | สำมะยังคุมไพร่แยกซ้ายจร | |||
ครั้นถึงที่แถบทางหว่างช่องแคบ | ต่างเข้าไปแอบในพุ่มแล้วซุ่มซ่อน | |||
แต่ล้วนคนหัวไม้ใจแน่นอน | มิได้หย่อนย่อท้อต่อไพรี | |||
พอพระท้ายน้ำที่นำหน้า | ขับม้าเดินเฉยเลยพ้นที่ | |||
สำมะยังสั่งให้โห่ขึ้นสามที | ออกจากพงตรงรี่เข้าตัดทัพ | |||
เผ่นขึ้นงาช้างง้างฟันคอ | ถูกตาหลอพอเลือดเป็นยางหนับ | |||
ตาหลอยกขอขึ้นรำรับ | ฟาดขวับถูกถนัดพลัดตกตึง | |||
หล่นปุกลุกขึ้นได้ใส่พวกม้า | เอาดาบปาพระท้ายน้ำเข้าต้ำผึง | |||
เสื้อขาดพลาดท่าควบม้าปรึง | กระทืบโกลนโผ่นทะลึ่งไปตามช้าง | |||
ทั้งพวกลาวไทยไม่รู้ตัว | พากันกลัวโดดวิ่งทิ้งดาบผาง | |||
ขุนแผนคิดว่าลาวมาดักทาง | กระทืบม้าผ่ากลางวางเข้าไป | |||
เจ้าพลายกระทืบแผงแข่งบิดา | ฟันฟาดสาตราเข้าลุยใส่ | |||
ธรรมเถียรวิ่งถลันมาทันใด | กับพวกไพร่กรูพร้อมล้อมเข้ามา | |||
ขุนแผนตวาดอำนาจครุฑ | ดาบหลุดหกล้มลงจมหญ้า | |||
พรหมศรสำมะยังยืนจังก้า | หยักรั้งตั้งท่าแล้วแทงเอา | |||
ถูกอกขุนแผนเข้าต้ำอัก | หอกหักยู่ไปไม่ยักเข้า | |||
ขุนแผนเห็นหอกหักชักนางกระเบา | แทงอ่ายเฒ่าพรหมศรลงนอนดิ้น | |||
ไม่เข้าหนังสำมะยังวิ่งเข้าแก้ | แร่เข้าฟันเจ้าพลายคล้ายฟันหิน | |||
ชั้นเสื้อนอกหอกดาบก็ไม่กิน | หักบิ่นยู่พับยับย่อยไป | |||
นายโดดกับนายเสือเงื้อหอกง่า | ขุนแผนปาลงต้ำฉาดพลาดไถล | |||
สำมะยังธรรมเถียรเปลี่ยนแปลกใจ | นี่อย่างไรคงทนพ้นกำลัง | |||
พิโรธแรงแกว่งดาบทะลวงไล่ | เหลือบไปเห็นขุนแผนก็ถอยหลัง | |||
ใครนั่นหนอคุณพ่อดอกกระมัง | เออ้ายสำมะยังดอหรือไร | |||
พวกทหารเห็นแม่นขุนแผนนาย | ใจหายทิ้งดาบลงกราบไหว้ | |||
ไม่รู้ว่าคุณพ่อขออภัย | คิดว่าลาวเชียงใหม่มันยกมา | |||
แทงคุณพ่อกับพ่อพลายเป็นหลายที | โทษลูกถึงที่จะสังขาร์ | |||
ขุนแผนชอบใจไม่โกรธา | ว่าแกล้วกล้าเช่นนี้แลดีครัน | |||
ครั้นรู้จักตัวกันทั่วหน้า | ให้ลดเลี้ยวเที่ยวหากันจ้าละหวั่น | |||
ทั้งพวกช้างพวกม้าตามมาพลัน | เสียงเพรียกเรียกกันอึงคะนึง | |||
กำกงกับพระท้ายน้ำนั้น | ด้วยความกลัวตัวสั่นจนมาถึง | |||
ประทับทอดม้าช้างวางกันอึง | พร้อมกันอยู่ที่บึงสบายใจ ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งรางสางแสงสุริเยนทร์ | เยื้องพระเมรุเลื่อนล่องส่องแสงใส | |||
พวกพนักงานลาวชาวเวียงชัย | จะเบิกไขคนโทษไปทำงาน | |||
ถึงประตูจู่เดินมาดุ่มดุ่ม | เห็นผู้คุมหัวขาดอยู่กลาดย่าน | |||
ต่างตกใจไปค้านวิ่งลนลาน | พบซมซานยังไม่ตายก็หลายคน | |||
เรือนนายตรวจหักแหกของแตกหาย | กระจัดกระจายไปทุกเรือนออกเกลื่อนกล่น | |||
เข้าไปในตะรางที่ข้างบน | เห็นผู้คนหายไปทั้งไทยลาว | |||
นายร้อยพะทำมะรงลงกลิ้งกลาด | บ้างหัวขาดเหลือกตาดูหน้าขาว | |||
โซ่ตรวนหลุดกองทั้งสองราว | คาขื่อมือเท้าเกะกะไป | |||
โซ่พันยังลั่นกุญแจติด | ตรวนก็ชิดหาเห็นรอยตัดไม่ | |||
ขื่อลิ่มก็ยังดีนี่อย่างไร | ประหลาดใจโดดตะรางวางวิ่งมา | |||
ฝ่ายอ้ายลาวเฝ้าม้าทั้งผัวเมีย | ลุกขึ้นนั่งงัวเงียยังแก้ผ้า | |||
ครั้นสร่างมนตร์เหลี้ยวคว้างเห็นว่างตา | หมอนมุ้งกระบุงตะกร้าก็หายไป | |||
เมียแลดูผัวเห็นตัวเปล่า | เอ๊ะใครเอาผ้านุ่งไปเสียไหน | |||
ผัวแลดูเมียเสียน้ำใจ | ผ้าผ่อนล่อนกระไรไม่ติดกาย | |||
ผัวเมียตีอกตกประหม่า | นางเมียไม่มีผ้าคว้าเสื่อหวาย | |||
ผัวขยุ้มกุมจุ่นอยู่วุ่นวาย | ฉวยกระสอบสวมกายคล้ายกางเกง | |||
ทั้งโรงเหนือโรงใต้ไม่มีม้า | พวกคนเลี้ยงวิ่งร่ามาเหยงเหยง | |||
อ้ายบางคนแก้ผ้ามาดโทงเทง | โรงกูเองก็หายตายแล้วเรา | |||
กำลังพวกเลี้ยงม้าจ้าละหวั่น | ก็พบกันกับอ้ายพวกนายคุกเข้า | |||
พูดกันฟั่นเฟือนเหมือนกับเมา | พออ้ายเฒ่าเลี้ยงช้างวางวิ่งมา | |||
พบกันเข้าทุกคนที่ต้นทาง | เล่าคดีถี่ห่างกันพร้อมหน้า | |||
จะพากันเข้าไปในศาลา | มาพบหลักอักขราเข้ากลางทาง | |||
ก็รู้ว่าหนังสือฝีมือไทย | ตรงเข้าไปถอนชักหลักทองหลาง | |||
อ่านดูรู้แจ้งไม่แคลงคลาง | ก็แบกวางเข้ามาศาลาใน ฯ | |||
๏ ครานั้นแสนท้าวเหล่าพระยา | นั่งอยู่บนศาลาลูกขุนใหญ่ | |||
กำลังว่าราชการงานเวียงชัย | แลไปเห็นคนวิ่งลนลาน | |||
บ้างนุ่งเสื่อใส่กระสอบวิ่งหอบโครง | บ้างโล่งโต้งแก้ผ้ามางุ่นง่าน | |||
ก็ร้องทักถามไปไม่ได้การ | อ้ายพวกนั้นจัณฑาลเป็นสิใด | |||
ผ้าผ่อนล่อนแก่นแล่นออกฉาว | ใครฉกชิงวิ่งราวหรือไฉน | |||
คนดีหรือคนบ้ามาทำไม | นายเวรไปถามดูให้รู้ความ | |||
พอพวกนั้นเข้าไปในศาลา | หมอบกราบคลานเข้ามาออกงุ่นง่าน | |||
ปากคอสั่นให้ครั่นคร้าม | ฟังถามต่างก็แจ้งแห่งกิจจา | |||
ว่าสาธุเจ้าประคุณบุญปกหัว | โทษตัวข้อยนี้เป็นหนักหนา | |||
เมื่อยามดึกคนดีมีเข้ามา | สะกดฆ่าผู้คุมเสียมากมาย | |||
สะเดาะโซ่กุญแจเข้าแก้ไทย | ทั้งพวกล้านช้างไปเสียศูนย์หาย | |||
นายตรวนนายตรามันฆ่าตาย | เจ้าประคุณทั้งหลายได้โปรดปราน | |||
ฝ่ายพวกกองช้างก็กราบเรียน | มันผูกมัดรัดเฆี่ยนกระหม่อมฉาน | |||
เข้าแก้แหล่งลักช้างทั้งเครื่องอาน | เอาช้างไปประมาณสามสิบตัว | |||
อ้ายพวกม้าปากสั่นรันเรียนไป | ว่าสาธุคุณผู้ใหญ่ได้ปกหัว | |||
มันสะกดข้าพเจ้าหลับเมามัว | แก้ผ้าผ่อนล่อนตัวไม่ว่าใคร | |||
แล้วเลือกม้าดีดีมีกำลัง | ทั้งเครื่องอานเบาะหนังหาเหลือไม่ | |||
ประมาณม้าทั้งหลายที่หายไป | นับได้เป็นม้าห้าร้อยปลาย | |||
แล้วมาพบไม้หลักปักกลางทาง | ปิดหนังสืออวดอ้างไว้มากหลาย | |||
ว่ากล่าวหยาบช้าถึงท้าทาย | จะทำลายเชียงอินทร์ให้สิ้นกรุง ฯ | |||
๏ พระยาลาวฟังแถลงแจ้งคดี | อ้ายพวกไทยแล้วนี่ที่ทำยุ่ง | |||
ต่างพิโรธโกรธใจดังไฟฟุ้ง | จับหนังสือถือมุ่งเขม้นดู | |||
ครั้นรู้แจ้งประจักษ์ในอักษรา | ต่างคนต่างผลัดผ้าไม่ช้าอยู่ | |||
เพี้ยกวานตามหลังมาพรั่งพรู | กรูเข้าท้องพระโรงด้วยทันใด ฯ | |||
ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นพุงดำ | ฤทธิ์ล้ำลึกจบพิภพไหว | |||
สถิตแท่นสุวรรณอันอำไพ | อยู่ที่ในพระโรงรัตน์ชัชวาล | |||
หร้อมหมู่แสนท้าวเหล่าพระยา | บัญชาตรัสประภาษอยู่ฉาดฉาน | |||
เห็นข้าเฝ้าเข้ามาดูลนลาน | เฮ้ยเพี้กวานเอาไม้อะไรมา ฯ | |||
๏ เพี้ยกวานกราบทูลมูลเหตุ | ว่าสาธุทรงเดชโปรดเกศา | |||
เมื่อคืนมีโจรอหังการ์ | มาแก้ชาวอยุธยาพาหนีไป | |||
ซ้ำลักเอาม้าห้าร้อยถ้วน | เลือกแต่ล้วนตัวดีที่สูงใหญ | |||
แล้วออกไปชิงช้างที่กลางไพร | เอาไปได้งามงามสามสิบตัว | |||
อ้ายคนโทษพวกลาวชาวล้านช้าง | ก็พลอยหนีหมดตะรางพระทูนหัว | |||
มันปักหนังสือท้าว่าไม่กลัว | ได้ค้นคว้าหาทั่วก็ไม่ทัน ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังดังไฟผลาญ | ร้องเรียกล่ามพนักงานขมีขมัน | |||
เฮ้ยอ่านไปให้แจ้งแห่งสำคัญ | หนังสือนั้นมันว่าท่ากระไร ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าพันจามล่ามพนักงาน | คลานมารับจับอ่านหาช้าไม่ | |||
ว่าพระจอมนครินทร์ปิ่นกรุงไทย | บัญชาใช้ให้ทหารพระกาลมา | |||
เราหรือชื่อพระยาแผนพิฆาฏ | คุมพวกไพร่อาทมาตสามสิบห้า | |||
กับพลายงามลูกรักอันศักดา | ยกมาจะประหารผลาญบุรี | |||
ด้วยลาวชิงสร้อยทองของท่านไว้ | แล้วจับไทยจองจำทำป่นปี้ | |||
เราเข้ามาแก้ไขไทยเหล่านี้ | กับพวกที่ล้านช้างส่งนางไป | |||
ให้พวกเรารอดพ้นทนทุกข์ก่อน | จะหลบลี้หนีซ่อนนั้นหาไม่ | |||
จะรอเราให้เข้ามาชิงชัย | หรือจะตามก็ไปที่บึงบัว | |||
ถ้ารักชีวิตคิดถึงซึ่งพวกพ้อง | จงทูนนางสร้อยทองไว้บนหัว | |||
ส่งให้แล้วคำนับรับว่ากลัว | จึงจะปลอดรอดตัวไม่มรณา ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ครั้นได้ฟัง | แค้นคั่งราวกับไฟไหม้เวหา | |||
เหม่อ้ายไทยขี้ถังอหังการ์ | มาอวดกล้าท้าทายหยาบคายแท้ | |||
เฮ้ยบรรดาแสนท้าวเหล่าพระยา | ซึ่งมันว่ายังจะจริงฉะนั้นแน่ | |||
หรือพรั่นตัวกลัวเราจะตามแจ | จึงพูดแก้ขู่ไว้ให้รอช้า | |||
กับพวกมันสามสิบสักหยิบมือ | อ้ายที่หนีคุกหรือจะสู้หน้า | |||
ล้อมฟันเสยไม่ทันจะพริบตา | ซึ่งเราว่าใครจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ | |||
๏ ครานั้นพระยาจันทรังสี | ผู้ว่าที่สมุหทหารใหญ่ | |||
คิดพลางทางทูลไปทันใด | มันท้าไว้ถ้อยคำก็สำคัญ | |||
ถ้าไม่ดีไหนจะมีหนังสือท้า | อ้ายคนที่ยกมาจะแข็งขัน | |||
เรายกไปคงได้ถึงรบกัน | ด้วยว่ามันอิ่มเอิบกำเริบใจ | |||
แต่อ้ายพวกมาตามสามสิบห้า | ถึงดีแท้ก็จะมาทำไมได้ | |||
อ้ายห้าร้อยที่มันลักพาไป | ทั้งลาวไทยไม่มีอ้วนล้วนพุงโร | |||
มันเสมือนหมู่เนื้อเสือเคยทับ | ไหนจะกลับหันหน้าเข้ามาโต้ | |||
สามสิบห้าถึงจะกล้าเป็นเอกโท | อ้ายคนโซก็จะพาอ้ายกล้าไป | |||
ขอให้แต่งม้าใช้ออกไปดู | ถ้ามันยังตั้งอยู่ที่บึงใหญ่ | |||
จึงค่อยยกกองทัพขับพลไกร | เข้าลุยไล่เสียให้แหลกเป็นผงคลี ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นพิภพ | ฟังจบตรึกตรองเห็นต้องที่ | |||
จึงสั่งตรัสมุงกะยองกองพาชี | จงเลือกหาม้าดีขี่ออกไป | |||
รีบไปสืบดูให้รู้แท้ | มันหนีแน่หรือยังอยู่ที่บึงใหญ่ | |||
ถ้ามันอยู่สูมาอย่านอนใจ | เราจะได้เกณฑ์ทัพไปจับมัน ฯ | |||
๏ ครานั้นมุงกะยองมองไล่ | รับสั่งแล้วรีบไปขมีขมัน | |||
ผูกม้าโผนธรณีสีจันทน์ | ขึ้นกระทบแผงผันผยองไป | |||
ปล่อยใหญ่ใส่ห้อไม่ย่อหย่อน | พอแดดอ่อนก็ถึงที่บึงใหญ่ | |||
ลงจากม้าดอดดุ่มเข้าพุ่มไพร | ขึ้นบนต้นไม้ลอบแลดู | |||
ประมาณคนเบ็ดเสร็จเจ็ดร้อยกว่า | เห็นทางท่าไม่หนีทีจะสู้ | |||
แต่แลไปไม่เห็นตั้งค่ายคู | สังเกตรู้แน่ชัดถนัดตา | |||
ลงจากต้นไม้มารี่หรับ | ขึ้นพาชีขี่ขับไปกลางป่า | |||
พอตะวันอัสดงก็ปลงม้า | ตรงเข้ามายังท้องพระโรงชัย | |||
ครั้นถึงหน้าที่นั่งบังคมทูล | ตามมูลเหตุแจ้งแถลงไข | |||
ข้าพเจ้าเล็ดลอดดอดเข้าไป | เห็นลาวไทยลุกนั่งอยู่พรั่งพรู | |||
ทั้งนายไพร่ใหญ่น้อยเจ็ดร้อยกว่า | เห็นทางท่ารั้งรอจะต่อสู้ | |||
แต่อย่างไรไม่เห็นตั้งค่ายคู | มันตั้งอยู่ที่บึงทางครึ่งวัน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง | แผดเสียงเปรี้ยงดังสนั่นลั่น | |||
เหม่เหม่อ้ายไทยใจฉกรรจ์ | เจ็ดร้อยน้อยหรือนั่นมาขันรบ | |||
ไม่พอครือมือลาวชาวเชียงใหม่ | สักอึดใจก็จะมัดดังรัดกบ | |||
เพียงหักไม้คนละกิ่งทิ้งสมทบ | ก็จะกลบเสียได้ไม่คณนา | |||
ดำรัสตรัสประภาษอยู่ฉาดฉาน | สั่งท้าวกรุงกาฬตรีเพชรกล้า | |||
จงเร่งพหลพลโยธา | ไปจับจิกหัวมาให้หนำใจ | |||
อันเพี้ยปราบเมืองแมนแสนกำกอง | ทั้งสองเคยเคี่ยวเข็ญเป็นผู้ใหญ่ | |||
ยกเป็นปีกซ้ายขวาคลาไคล | ให้กรุงกาฬนั้นไซร้เป็นแม่ทัพ | |||
แสนตรีเพชรกล้าขี่ม้าคล่อง | เคยทำนองหักโหมเข้าโจมจับ | |||
เป็นแม่ทัพสินธพไปรบรับ | ให้พร้อมสรรพพรุ่งนี้สี่โมงปลาย ฯ | |||
๏ พระยาจันทรังสีได้รับสั่ง | ออกมานั่งศาลาให้บัตรหมาย | |||
เร่งเรียกพลไกรทั้งไพร่นาย | จัดจ่ายช้างม้าเครื่องอาวุธ | |||
ทัพม้าห้าพันสกรรจ์หมด | ใจคอทรหดเป็นที่สุด | |||
เคยฝึกฝนทนทานชำนาญยุทธ์ | ทั้งซ้ายขวาอุตลุดล้วนขี่ม้า | |||
บ้างถือทวนถือเสน่าเกาทัณฑ์ | เรี่ยวแรงแข็งขันเคยอาสา | |||
มีนายกองนายหมวดคอยตรวจตรา | พร้อมสรรพทัพหน้าได้ห้าพัน | |||
เพชรกล้าประทานม้าพระที่นั่ง | มีกำลังไวว่องคล่องขยัน | |||
ชื่อว่าเหมรัศมีสีจันทน์ | ผูกเครื่องกุดั่นประดับพลอย | |||
แผงข้างเขียงนางกินนรรำ | โกลนคร่ำโพธิ์ทองทั้งพู่ย้อย | |||
อานปรุลายฉลุจำหลักลอย | ควาญประจำจูงคอยจะยาตรา ฯ | |||
๏ กรุงกาฬทัพใหญ่ยกไว้ก่อน | กล่าวถึงทัพอัสดรตรีเพชรกล้า | |||
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา | อยู่คงสาตราวิชาดี | |||
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ | แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ | |||
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี | ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง | |||
สักอุระรูปพระโมคคัลลาน์ | ภควัมปิดตานั้นสักหลัง | |||
สีข้างสักอักขระนะจังงัง | ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา | |||
ฝังเข็มแล่มทองไว้สองไหล่ | ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า | |||
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา | ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว | |||
เป็นโปเปาปุบปิบยิบทั้งกาย | ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว | |||
แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว | ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว | |||
สูงใหญ่รูปร่างเหมือนอย่างเสือ | กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว | |||
หนวดโง้งโก่งฟั่นพันเป็นเกลียว | ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย | |||
นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายกับตาเสือ | ขอบตาแดงเรื่องดังชาดป้าย | |||
คิ้วกระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย | ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี | |||
แต่รุ่นหนุ่มคุ้มใหญ่ไม่อาบน้ำ | เพื่อนตำแต่ว่านยาทาขัดสี | |||
ไม่นอนด้วยภรรยาทั้งตาปี | ต่อศึกมีเมื่อไรได้อาบน้ำ | |||
จะไปทัพจึงหาบรรดาว่าน | มาเสกอ่านอาคมถมถนำ | |||
เครื่องรางตะกรุดลงองค์ภควัม | บริกรรมเสกเป่าเข้าทันใด | |||
แล้วตักน้ำตีนท่ามาใส่ขัน | หยิบเครื่องอานว่านนั่นเอาลงใส่ | |||
เสกเดือดพล่านพลั่งดังตั้งไฟ | เห็นประจักษ์วักได้ใส่หัวพลัน | |||
หยิบเครื่องอานว่านยาขึ้นมาไว้ | เพชรกล้าลงไปในแม่ขัน | |||
ประจงจบเคารพแล้วอาบพลัน | ดูสำคัญในนทีจะมีลาง | |||
ถ้าจะเกิดอันตรายวายชีวิต | ในนิมิตน้ำแดงเป็นแสงฝาง | |||
ถ้าไม่ชนะไม่แพ้แต่ปานกลาง | น้ำเป็นอย่าสีรงลงละลาย | |||
ถ้าจะไปมีชัยแก่ข้าศึก | น้ำเลื่อมดังผลึกวิเชียรฉาย | |||
ครั้งนั้นขาดชันษาชะตาตาย | นิมิตสายชลธีเป็นสีแดง | |||
เพชรกล้ามุ่งเขม้นเห็นนิมิต | รู้แท้แน่จิตประจักษ์แจ้ง | |||
น้ำอย่างสีฝางลางร้ายแรง | นึกแสยงสยดสยอนถอนฤทัย | |||
เป็นสุดทุกข์ลุกออกมาผลัดผ้า | ประหนึ่งว่าไม่ดำรงทรงกายได้ | |||
แล้วนึกว่าชาติทหารอันชาญชัย | ถึงบรรลัยก็ให้ลือฝีมือลาว | |||
ฮึดฮัดจัดแจงแต่งกายา | วันจันทร์นุ่งผ้ายกพื้นขาว | |||
คาดตะกรุดเครื่องรางปรอทวาว | ใส่แหวนเพชรเม็ดวาวเหมือนดาวราย | |||
ประเจียดประจงจับตะเบงมาน | สอดสังวาลสะอิ้งรัดจำรัสฉาย | |||
โพกผ้าขลิบพื้นขาวดาวกระจาย | เข็มขัดสายทองถักล้วนอักขรา | |||
จบจับประคำทองเข้าคล้องคอ | ผงดินสอเสกเสริมแล้วเจิมหน้า | |||
ถือง้าวก้าวย่างสามขุมมา | เผ่นขึ้นหลังม้าสง่างาม | |||
ท่วงทีองอาจดังราชสีห์ | สมกับที่ชาญชัยในสนาม | |||
ขยับยกเมฆในได้ฤกษ์ยาม | ให้โห่สามลาเลิกโยธาไป | |||
แม่ทัพสัปทนคนกางกั้น | เสียงฝีเท้าม้าลั่นแผ่นดินไหว | |||
พวกพลโห่ร้องคะนองใจ | เป็นโกลามาในอรัญวา ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงกองทัพท้าวกรุงกาฬ | ทหารแม่ทัพใหญ่ใจกล้า | |||
ต่างเร่งรัดจัดแจงแต่โยะา | สั่งให้ผูกช้างงาเข้าฉับพลัน | |||
กรมช้างเร่งรัดจัดช้างตั้ง | ล้วนพ่วงพีมีกำลังผูกเครื่องมั่น | |||
ควาญหมอท้ายคอคนสำคัญ | ทหารนั้นนั่งกลางข้างละคน | |||
มีอาวุธพร้อมสรรพสำหรับช้าง | มายืนข้างสองแถวแนวถนน | |||
สวมสอดเสื้อลงใส่มงคล | ล้วนอยู่ยงคงทนซึ่งสาตรา | |||
บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพรว่าน | บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา | |||
บ้างอยู่ด้วยเลขยันตร์น้ำมันทา | บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน | |||
บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์ | บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน | |||
บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพชรนิล | ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนสาตรา | |||
เพี้ยปราบเมืองแมนแสนเสนี | คุมกองโยธีข้างปีกขวา | |||
ขึ้นขี่คชสารตระหง่านงา | โพกผ้าสีทับทิมริมขลิบทอง | |||
ใส่เสื่อสีชมพูดูแดงฉาด | ขลิบตาดต้นแขนไว้ทั้งสอง | |||
ฝ่ายข้างปีกซ้ายนายกำกอง | โพกทับทิมขลิบททองอยู่เหมือนกัน | |||
ใส่เสื้อกำมะหยี่สีตอง | ประคำทองคล้องคอดูแข็งขัน | |||
ทั้งสองล้วนอยู่คงลงเลขยันตร์ | คุมพลข้างละพันทั้งขวาซ้าย | |||
แต่ล้วนเหล่าทหารชำนาญยุทธ์ | ถือสาตราอาวุธเป็นเหล่าหลาย | |||
นายสอยดาวคุมสกรรจ์ก็พันปลาย | เป็นทัพหลังรั้งท้ายสำราจพล | |||
ขี่พลายแก้วมิ่งเมืองผูกเครื่องมั่น | ใส่เสื้อจีบสีจันทน์หนังไก่ย่น | |||
หมวดโหมดลงยันตร์กั้นสัปทน | พร้อมพรั่งทั้งพหลพลโยธี | |||
ที่นั่งรองขององค์เจ้าเชียงใหม่ | ประทานให้แม่ทัพนั้นขับขี่ | |||
สำหรับทรงชิงชัยกับไพรี | ชื่อพลายพลิกธรณีมีน้ำมัน | |||
สูงหกศอกกำมางารัดทอง | ตะพองผายท้ายด้อยดังช้างปั้น | |||
หางยาวหูใหญ่ใจฉกรรจ์ | โขมดหัวสองชั้นคั่นมงคล | |||
จะย่างย่องว่องไวใช้กิริยา | หนังหนาหน้ายักษ์ชักเนื้อย่น | |||
อยู่ปืนฟืนไฟไม่ดิ้นรน | หางสะพัดปัดส้นเส้นขนกลม | |||
ผูกสะพักปักตระพองด้วยทองแล่ง | พู่แดงห้อยหูดูงามสม | |||
พานหน้าท้านลายดาวเป็นดอกกลม | สองช้างแนบแถบถมด้วยเงินยวง | |||
สายชนักถักไหมกลางใส่เบาะ | ขอเกาะปลายง้าวคมขาวช่วง | |||
ควาญใส่เสื้อแดงแย่งชิงดวง | ใส่หมวกโหมดม่วงทะมัดทะแมง ฯ | |||
๏ ครานั้นกรุงกาฬชำนาญทัพ | จบจับเครื่องอานเข้าตกแต่ง | |||
นุ่งยกอย่างลาวขาวดอกแดง | ใส่เสื้อกรองทองแล่งเป็นแย่งครุฑ | |||
สายสังวาลภควัมประจำคล้อง | แหวนทองปัทมราชคาดตะกรุด | |||
เสื้อในลงยันต์กันอาวุธ | เข็มขัดขุดขมองพรายเป็นลายดุน | |||
เหน็บกริชตรงลงคมประจุขาด | แล้วซ้ำคาดราตคดหนามขุน | |||
ใส่หมวกถักไหมทองกรองตาชุน | สะพายดาบญี่ปุ่นฝักหุ้มทอง | |||
เอาน้ำสระสรงองค์นารายณ์ | มาพรมกายกรายกรากออกจากห้อง | |||
ควาญเทียบช้างประทับเข้ารับรอง | ก็ย่างย่องขึ้นคอจับขอกราย | |||
ภาวนาเขม้นเห็นนิมิต | วิปริตเป็นรูปคนหัวหาย | |||
จะยกต่อคอแขนไม่ติดกาย | เป็นลางร้ายวิปริตก็ผิดใจ | |||
ครั้นจะทูลขอรั้งรออยู่ | ก็อดสูโยธาบรรดาไพร่ | |||
เกิดเป็นคนใครจะพ้นที่บรรลัย | ก็แข็งใจไปตามแต่เวรา | |||
ขาขยับไสช้างพอย่างกราย | เห็นลูกนกตกตายลงต่อหน้า | |||
นกแสกแถกเสียดศีรษะมา | แร้งกาบินจับสัปทน | |||
วันนั้นท้าวกรุงกาฬสะท้านจิต | โอ้ชีวิตกูนี้คงปี้ป่น | |||
จะใจได้ฤกษ์ให้เลิกพล | ขานโห่สามหนแล้วยกไป | |||
ดูชายธงตรงลิ่วไม่ปลิวสะบัด | ลมก็จัดวิปลาสไม่หวาดไหว | |||
ทั้งเสียงโห่ก็ไม่ก้องให้หมองใจ | สะทึกสะท้อนถอนฤทัยมาในดง ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์พริ้งเพริศระเหิดระหง | |||
กับเจ้าพลายท้ายน้ำกึงกำกง | นั่งปรึกษาการณรงค์กับโยธา | |||
เห็นผงคลีกลุ้มกลบตลบบน | ชะรอยลาวยกพลมาหนักหนา | |||
ขุนแผนนิ่งระงับหลับตา | พิจารณารู้แน่ในทางปราณ | |||
นี่ลาวยกทัพหมื่นมาดื่นป่า | ก็บัญชาสั่งให้ไพร่ทหาร | |||
ไปตัดอ้อขมมาอย่าเนิ่นนาน | ปักขนาบหน้ากระดานด้านท้ายบึง | |||
แล้วปักแยกแหกฉีกเป็นปีกกา | เอาไม้มาขีดคูดูขังขึง | |||
ทั้งหอรบหอคอยร้อยแขมกรึง | ดูประหนึ่งปักเล่นไม่แน่นแฟ้น | |||
พอแม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ | แขมอ้อกลายไปเป็นไม้แก่น | |||
เชิงเทินรอบขัณฑ์ไม่คลอนแคลน | ปีกกาชักปักแน่นกว่าไม้จริง | |||
ที่รอยขีดกลับเป็นคูดูลึกซึ้ง | อยู่ข้างบึงขวางดงตรงตลิ่ง | |||
ถึงจะต้องปืนใหญ่ไม่ไหวติง | ทั้งหอรบครบสิ่งสำเร็จการ | |||
ขุนแผนสั่งพวกไพร่ที่ในทัพ | กำชับเตรียมตัวทั่วทุกด้าน | |||
แต่ตัวนายสี่คนอยู่บนร้าน | ให้กองด่านดูลาวจะเข้ามา ฯ | |||
๏ จะขอหยุดยับยั้งข้างขุนแผน | กล่าวถึงทัพนายแสนตรีเพชรกล้า | |||
รีบร้อนต้อนขับกองทัพม้า | มาถึงป่าดอนตะแบกจะแยกทาง | |||
ดูไปไกลประมาณสามสิบเส้น | แลเห็นค่ายไทยทั้งใหญ่กว้าง | |||
ทั้งขวาซ้ายรายชักปีกกากาง | ขุดคูข้างขอบบึงไปถึงกัน | |||
ครั้นถึงที่เห็นสนามตามตำรับ | ก็หยุดทัพยับยั้งลงตั้งมั่น | |||
แล้วปักธงยิงปืนเป็นสำคัญ | ให้โห่สามลาลั่นสนั่นไป ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนทหาร | ได้ยินลาวโห่ขานสะท้านไหว | |||
ร้องประกาศบอกกันนั่นเป็นไร | ลาวยกทัพใหญ่มาคั่งคับ | |||
เรากับลูกรักอันศักดา | จะยกพลโยธาออกเคี่ยวขับ | |||
ท่านทั้งสองคอยอยู่ดูในทัพ | เราจะรับมือลาวชาวเชียงอินทร์ | |||
แต่บรรดาพวกลาวบ่าวของท่าน | ประจำการอยู่ในค่ายวงสายสิญจน์ | |||
แต่บรรดาพวกไทยใจทมิฬ | จงขี่ม้ามาสิ้นให้ครบกัน | |||
เจ้าพลายงามยกไปเป็นทัพหน้า | คุมพวกสามสิบห้าล้วนแข็งขัน | |||
เราจะยกทัพใหญ่หนุนไปพลัน | ถ้าได้ทีตีตะบันบุกเข้าไป | |||
ถ้าพลลาวเหลือล้นพ้นประมาณ | เราจะไสคชสารเข้าลุยไล่ | |||
จะรบราฆ่ามันให้บรรลัย | จงตั้งใจอย่าประมาทต้องอาจอง | |||
สั่งแล้วขุนแผนกับลูกชาย | แต่งกายคาดเครื่องเรืองระหง | |||
นุ่งผ้าตามตำรารณงค์ | เข็มขัดลงยันต์คาดสะอาดงาม | |||
เสื้อลงเลขยันต์ใส่ชั้นใน | เสื้อนอกดอกใหญ่ทองอร่าม | |||
แหวนมณฑปนพเก้าดูวาววาม | สังวาลสามสายแย่งตะแบงมาน | |||
สวมสายประคำทองเข้าคล้องคอ | ทั้งลูกพ่อองอาจชาติทหาร | |||
ใส่หมวกขลิบตาดพระราชทาน | ถือฟ้าฟื้นยืนตระหง่านสง่าดี | |||
ภาวนาตาเขม้นเห็นเมฆฉาย | นิมิตเป็นรูปนารายณ์เรืองศรี | |||
สี่กรร่อนติดบนเมฆี | ขุนแผนขึ้นคอขี่คชฉกรรจ์ | |||
เอานายเพชรเจ็ดปานเป็นควาญท้าย | ใส่เสื้อลายสีแดงแสงเฉิดฉัน | |||
พลายงามขึ้นขี่ม้าสีจันทน์ | สั่งให้ลั่นฆ้องฤกษ์แล้วเลิกพล | |||
ยิงปืนสัญญาณขึ้นห้าตึง | ฆ้องหึ่งขานโห่ขึ้นสามหน | |||
นายปลออดโบกธงเป็นมงคล | ก็รีบร้นโยธาคลาไคล ฯ | |||
๏ พอสองทัพถึงกันประจันหน้า | ลาวก็แยกปีกกาออกหวั่นไหว | |||
แสนตรีเพชรกล้าทอดตาไป | เห็นทัพไทยลิบลิบสักหยิบมือ | |||
มันเสมือนแมลงเม่ามาเข้าไฟ | นี่เข้าใจว่าจะรอดไปแล้วหรือ | |||
สั่งให้ขับอัสดรต้อนพลฮือ | คนละมือก็จะยับทั้งทัพไทย | |||
เอาเหวยเอาหวาโยธาทัพ | จับเอาตัวมันให้จงได้ | |||
อย่าให้มันปลอดรอดหนีไป | กระทืบม้าผ่าไล่ไพร่พลมา | |||
เข้าล้อมหน้าล้อมหลังประดังฟัน | พวกไทยตัวกลั่นล้วนแกล้วกล้า | |||
เจ้าพลายสั่งตั้งโห่ขึ้นสามลา | กระทืบม้าฝ่าฟันประจัญรับ | |||
ลาวแทงเข้าด้วยทวนสวนสกัด | ไทยปัดทวนพลาดฟาดฟันฉับ | |||
พวกลาวแร่แก้กันไทยฟันยับ | โถมจับล้มคะมำคว่ำโก้งโค้ง | |||
ไล่ตะบันฟันฟัดสกัดสะแกง | ลาวแทงไทยผลุงสะดุ้งโหยง | |||
ไม่เข้าไทยไทยกระทืบอยู่โกรงโกรง | ไล่ทันฟันโป้งเข้าหลังปึง | |||
ลาวเงื้อทวนใหญ่แทงไทยปราด | ไทยฟาดคันทวนสวนแทงผึง | |||
หัวถลำคว่ำถลาตกม้าตึง | ยิ่งตายยิ่งตะบึงเข้าบุกบัน ฯ | |||
๏ เจ้าพลายกับพวกสามสิบห้า | คว้างคว้างวางมาดังกังหัน | |||
เห็นลาวล้อมเข้าใกล้ออกไล่ฟัน | ลาวเข้ารันรุมตีไม่หนีไทย | |||
ลาวแทงไทยฟันตะบันฆ่า | ที่อยู่เหยียบกันเข้ามาหาถอยไม่ | |||
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มห้อมล้อมเข้าไว้ | จนเต็มทีพวกไทยหัวไหล่ล้า | |||
เจ้าพลายขับสีจันทน์เข้าฟันฟาด | ดาบลงยันต์ฟันขาดดังฟ้าผ่า | |||
ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา | ถูกดาบมรณาลงดาดดิน | |||
ลาวรุมกลุ้มแทงเสียงอึกอัก | ทวนหักหอกยู่บู้บิ่น | |||
บุกตะบันฟันขนาบดาบไม่กิน | เจ้าพลายฟาดขาดดิ้นสิ้นเป็นเบือ | |||
พวกลาวหวาดหวั่นพรั่นชะงัก | ดังสุนัขพาหมู่เข้าสู้เสือ | |||
ร้องว่าดาบเราบ่เข้าเนื้อ | กูฟันชั้นแต่เสื้อบ่เข้ามัน | |||
เจ้าพลายแกว่งดาบอยู่วาบวาว | พวกลาวถอยท้อย่อขยั้น | |||
ดังพระยาสีหราชกาจฉกรรจ์ | เข้าผกผันเผ่นคว้างกลางฝูงวัว | |||
เข้าไหนลาวหนีอยู่มี่ฉาว | พวกลาวต่างขยั้นสั่นหัว | |||
เกรงสง่าไม่กล้าเข้าใกล้ตัว | ด้วยความกลัวชีวันจะบรรลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงแสนตรีเพชรกล้า | ขับต้อนโยธาอยู่หวั่นไหว | |||
เห็นไพร่พลเรรวนปั่นป่วนไป | เพชรกล้าขัดใจกระโจนมา | |||
เท้ากระทืบแผงข้างผางผางลั่น | เร่งรุกบุกบันขึ้นมาหน้า | |||
เสียงตวาดประกาศก้องเป็นโกลา | มาจนหน้าม้าเจ้าพลายงาม | |||
เห็นรูปร่างสำอางลออตา | เพชรกล้าเข้าใกล้แล้วไต่ถาม | |||
แน่ะเจ้านายทหารชาญสงคราม | เจ้านี้มีนามกรไร | |||
พึ่งรุ่นหนุ่มร่างน้อยกะจิดริด | เจ้าเป็นศิษย์ศึกษาอาจารย์ไหน | |||
เป็นเผ่าพงศ์วงศ์วานท่านผู้ใด | จงบอกไปให้แจ้งแก่กิจจา ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง | ร้องตอบคดีตรีเพชรกล้า | |||
อันตัวเราเป็นทหารอยุธยา | ชื่อว่าพลายงามมาตามวงศ์ | |||
บิดาชื่อพระยาแผนพิฆาฏ | พระราชทานตั้งนามตามประสงค์ | |||
ตัวเราเป็นศิษย์บิตุรงค์ | เผ่าพงศ์วงศ์พลายหลายชั่วมา | |||
ท่านนี้มีนามกรใด | ครั้นจะถามถึงผู้ใหญ่ก็เกินหน้า | |||
ถึงยังมีมิตายก็เต็มชรา | แต่เรียนรู้ครูบาอาจารย์ใด ฯ | |||
๏ ครานั้นเพชรกล้าได้ฟังถาม | ก็ชื่นชมตอบความหาช้าไม่ | |||
ซึ่งถามเราจะเล่าให้เข้าใจ | เจ้าชาวใต้ไม่รู้จู่ขึ้นมา | |||
เราเป็นเชื้อเจ้าท้าวคำแมน | มียศเป็นแสนตรีเพชรกล้า | |||
เราเป็นเชื้อชาติทหารชาญศักดา | ในลานนาใครใครไม่ต่อแรง | |||
พระครูผู้บอกวิทยา | ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง | |||
สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง | ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง | |||
เจ้าหนุ่มน้อยนี้หรือชื่อพลายงาม | ช่างสมรูปสมนามดูงามยิ่ง | |||
ตะละแกล้งหล่อเหลาเพราพริ้ง | รูปร่างอย่างผู้หญิงพริ้งพรายตา | |||
จะเปรียบลูกก็อ่อนกว่าลูกเล็ก | จะเปรียบหลานพานจะเด็กกว่าหลานข้า | |||
ไม่ควรจะรบสู้กับปู่ตา | กลับไปบอกบิดามารอนราญ | |||
จะได้เป็นขวัญตาโยธาทัพ | เห็นฉบับแบบไว้ในทหาร | |||
ยังเด็กอยู่คอยดูวิชาการ | เฮ้ยหลานพ่ออยู่ไหนไปบอกมา ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง | ร้องตอบต่อคดีตรีเพชรกล้า | |||
แน่เธออย่าเพ่ออหังการ์ | เจรจาหมิ่นประมาทเราชาติเชื้อ | |||
ตัวท่านแก่กายอย่างควายเฒ่า | อันตัวถึงเด็กเล็กลูกเสือ | |||
ฝีมือใครไพร่ลาวแหลกเป็นเบือ | อย่าหลงเชื่อว่าผู้ใหญ่จะไม่แพ้ | |||
ถ้าไม่ดีที่ไหนใครจะมา | จะขอลองวิชากับตาแก่ | |||
ให้ปรากฎฤทธีว่าดีแท้ | หรือเป็นแต่ปากกล้ากว่าฝีมือ | |||
ขออภัยอย่าเพ่อให้ถึงบิดา | แต่ลูกยาท่านจะชนะหรือ | |||
มาลองดูสักหนให้คนลือ | จะปลกเปลี้ยเสียชื่อดอกกระมัง ฯ | |||
๏ ครานั้นแสนตรีเพชรกล้า | โกรธาตาแดงดังแสงครั่ง | |||
เหม่อ้ายนี่หนักหนาว่าไม่ฟัง | มาโอหังอวดรู้สู้สงคราม | |||
เท้ากระทืบกระทบโกลนโผนผก | มุ่นหมกขับคว้างมากลางสนาม | |||
ท่วงทีขี่ม้าสง่างาม | รำง้าวก้าวตามกระบวนทวน ฯ | |||
๏ ฝ่ายเจ้าพลายงามทรามสง่า | เห็นตรีเพชรขับม้ามาปั่นป่วน | |||
ก็ชักม้ารับร่ายย้ายกระบวน | แล้วหันทวนว่องไวในทำนอง | |||
เพชรกล้ารำง้าววาววาววับ | เจ้าพลายรำดาบรับสองมือป้อง | |||
สองนายร่ายรำตามทำนอง | ม้าผยองผันผกวกวนเวียน | |||
แล้วยกรำทำท่าหงส์สองคอ | เยื้องล่อเลี้ยวฟันหันเ***ยน | |||
แล้วรำท่ามังกรช้อนวิเชียร | ผลัดเปลี่ยนว่องไวไม่เสียที | |||
เพชรกล้าถือง้าวยาวกว่าดาบ | เจ้าพลายฉาบเข้าฟันแล้วผันหนี | |||
เพชรกล้าขัดใจไม่คลุกคลี | เจ้าพลายรำทำทีให้ไล่ทัน | |||
เพชรกล้าได้ท่าปาลงฉาด | เจ้าพลายหลบลาวพลาดคะมำหัน | |||
พลายงามตามชิดติดตะบัน | สบท่าผ่าฟันลงต้ำตึง | |||
หยึ่นเปล่าหาเข้าตรีเพชรไม่ | เยื้องขยับกลับใส่เจ้าพลายผึง | |||
เจ้าพลายผันฟันบ่าเพชรกล้าปึง | เนื้อประหนึ่งหินผาศิลาแลง | |||
แสนตรีเพชรกล้าง่าง้าวกราย | ฟันเจ้าพลายงามพรวดดังกรวดแข็ง | |||
ราวกับเกาหลังให้ยิ่งได้แรง | ฟันตะแบงบุกไปไล่ตะครุบ | |||
เอาดาบฟาดฉาดฟันตะบันส่ง | เป็นหลายหนคงทนไม่บู้บุบ | |||
เพชรกล้ากลับด่ำเข้าตำทุบ | ถูกเนื้อยุบพอขยายก็หายไป ฯ | |||
๏ แสนตรีเพชรกล้าระอาจิต | สุดคิดที่จะเอาชนะได้ | |||
น่งนึกตรึกตราแต่ในใจ | ชะเด็กไทยคนนี้มันดีจริง | |||
ช่างกล้าแข็งแรงฤทธิ์นั้นเกินร่าง | ดูแต่หน้าท่าทางอย่างผู้หญิง | |||
มันสู้กูผู้ใหญ่ไหวมันจริง | ด้วยเชิงชิงชัยชาญชำนาญแท้ | |||
จะรบรันฟันฟาดด้วยสาตรา | เห็นทางท่าเอาชัยบ่ได้แน่ | |||
ต้องใช้มนตร์ทางในให้มันแพ้ | ก็ชักม้าราแต้ออกยืนไกล | |||
หลับตาภาวนาร่ายพระเวท | อันวิเศษเชี่ยวชาญอาจารย์ให้ | |||
เรียกมหาอาโปเป่าออกไป | เป็นน้ำไหลพลุ่งพลั่งดังท่อธาร | |||
พิลึกล้นท้นท่วมทั่วจังหวัด | ลมก็พัดเป็นระลอกกระฉอกฉาน | |||
พวกทัพไทยต่างคนตะลนตะลาน | ตะเกียกตะกายว่ายซานขึ้นต้นไม้ | |||
ทั้งขี่ม้าหยั่งขาไม่ถึงที่ | ด้วยนทีโชนเชี่ยวเป็นเกลียวไหล | |||
เหล่าพวกอาสาระอาใจ | ต่างร้องบอกนายไปให้แก้มนตร์ ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามเจ้าความคิด | เรืองฤทธิ์ลือแจ้งทุกแห่งหน | |||
อ่านคาถาเป่าปัดไปบัดดล | ก็ทดท้นน้ำแห้งทุกแห่งไป | |||
แล้วอ่านมนตร์ดลเรียกเตโชธาตุ | เป่าปราดไปเป็นเพลิงเถกิงไหม้ | |||
โพลงพลุ่งทุ่งเถือกเป็นเปลวไฟ | วาบวามลามไล่ไพร่พลลาว | |||
พอลาวเห็นไฟไหม้ลามมา | กระทืบม้าหนีพล่านออกฉานฉาว | |||
กัมปนาทหวาดหวั่นตัวสั่นท้าว | ร้องเรียกเจ้านายช่วยข้าด้วยรา ฯ | |||
๏ ครานั้นเพชรกล้าเป็นจ่าศึก | เห็นไฟไหม้คึกคึกมาเต็มป่า | |||
ระงับการร่ายพระเวทวิทยา | เรียกกมหาวลาหกให้ตกลง | |||
ก็เกิดเป็นเมฆตั้งขึ้นบังปก | แล้วฝนตกโฉมซ่าป่าระหง | |||
สักห่าใหญ่ไหลดาดแผ่นดินดง | ดับไฟไหม้พงนั้นสูญไป | |||
เหล่าพวกอาสาโยธาหาญ | หนาวสะท้านทุกคนไม่ทนได้ | |||
เข้ามั่วสุมกลุ่มกลมใต้ร่มไม้ | ถูกเม็ดใหญ่ลูกเห็บเจ็บแทบตาย ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามความสามารถ | ชาญฉลาดเฉลียวเลิศเฉิดฉาย | |||
อ่านอาคมเรียกลมที่ในกาย | ระบายวาโยธาตุเป่าปราดไป | |||
ด้วยอาคมเกิดเป็นลมเพชรหึง | ตึงตึงพัดฝนไม่หล่นได้ | |||
ที่หยดหยาดขาดสายหายทันใด | ด้วยพระเวทฤทธิไกรอันชัยชาญ | |||
แล้วเอาก้อนกรวดมาซัดปราด | เป็นเม็ดฝนกรวดทรายกระเซ็นซ่าน | |||
ตกต้องลาวพลตะลนตะลาน | อลหม่านหนีซุกไปทุกคน | |||
บ้างขับม้าเข้าพุ่มคลุมหัวร้อง | บ้างถูกต้องเจ็บปวดเม็ดกรวดฝน | |||
เป็นแผลเหือดเลือดไหลไปทุกคน | เหลือทนเต็มประดาแก้ผ้าคลุม ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงแสนตรีเพชรกล้า | เห็นโยธาหน้าฟกอกเป็นตุ่ม | |||
แสนพิโรธโกรธใจดังไฟรุม | ประชุมนิ้วเหนือเกล้าแล้วเป่าไป | |||
เกิดเป็นตารางกลางอากาศ | กั้นหยาดเม็ดฝนไม่หล่นได้ | |||
เม็ดฝนกรวดทรายหายทันใด | แล้วสั่งไพร่ให้ลงจากพาชี | |||
อันจะเข้ารบรุกกันคลุกคลี | การว่องไวไม่ดีเหมือนเดินเท้า | |||
ให้เอาม้าไปซุ่มเสียพุ่มชัฎ | เลือกจัดแต่ล้วนทวนแหลนหลาว | |||
ให้พร้อมสรรพเครื่องยุทธ์อาวุธยาว | สกัดก้าวห้อมล้อมให้พร้อมพรัก | |||
พวกเราเอาแต่แรงแทงมันส่ง | ถึงอยู่คงก็ถูกกระดูกหัก | |||
ด้วยข้างเรากว่าพันมันน้อยนัก | เอาเสียพักเดียวเถิดอ้ายพ่อกู ฯ | |||
๏ ทหารลาวกราวลงจากหลังม้า | วิ่งผลุนหมุนมาเป็นหมู่หมู่ | |||
เข้าล้อมหน้าล้อมหลังออกพรั่งพรู | เกรียวกรูทิ่มตำกระหน่ำแทง | |||
เหล่าพวกอาสาเข้าฝ่าฟัน | ถูกลาวขาดสะบั้นสะพายแล่ง | |||
หัวขาดตัวขาดเลือดสาดแดง | พวกกองหลังยังแซงแข่งเข้าไป | |||
เกลื่อนกลุ้มหุ้มไทยไว้เป็นหมู่ | หอกยู่แทงเปล่าไม่เข้าได้ | |||
พวกอาสาฟันฟอนจนอ่อนใจ | ยิ่งบรรลัยยิ่งรุมกลุ้มเข้ามา ฯ | |||
๏ จนไหล่ตกยกมือขึ้นไม่ไหว | อึดใจเรียกนายพ่อพลายขา | |||
ลูกฟันมันจนสิ้นแรงระอา | ตายหนึ่งหนุนมาห้าหกคน ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | เชี่ยวชาญการสงครามไม่ย่อย่น | |||
เห็นพวกอาสาบรรดาพล | เหนื่อยจนไหล่ตกไม่ยกมือ | |||
จึงรูดเอาใบมะขามมาสามกำ | เสกซ้ำเป็นต่อบินปร๋อปรื๋อ | |||
ตั้งโกฎิแสนแน่นป่ามาฮือฮือ | ดูออกคล่ำดำปื้อไปทุกละเมาะ | |||
ตัวยาวราวก้อยไม่ต่อยไทย | จำเพะลาวกราวไล่ใส่เปาะเปาะ | |||
พิษสงเหล็กในดังใครเคาะ | ถูกเหมาะเหมาะล้มทับกันยับยุบ | |||
พวกลาวอาวุธหลุดมือถือ | เอาแต่มือตบสู้อยู่ปับปุบ | |||
เหลือทนลุกล้มลงก้มฟุบ | โดดผลุบลงในน้ำดำหนีไป | |||
พอเต็มกลั้นผุดฟ่อต่อต่อยซ้ำ | ไม่กลับดำต่อยป่นทนไม่ได้ | |||
เพชรกล้าตาปิดพิษเหล็กใน | ทั้งม้าม่อยต่อยไล่ไปพรั่งพรู | |||
หน้าตาล้วนแต่คาเหล็กในต่อ | ม้าลาพาห้อชักไม่อยู่ | |||
บ่าวนายพ่ายหนีวิ่งกรีกรู | พวกไทยไล่ลู่ตะลุมบอน ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านท้าวกรุงกาฬ | เห็นทหารเพชรกล้าวิ่งว้าว่อน | |||
กะปลกกะเปลี้ยเสียทีหนีซอกซอน | ก็ไสช้างวางต้อนโยธามา ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าขุนแผนแสนสะท้าน | เห็นกรุงกาฬเข้าด้วยช่วยทัพหน้า | |||
ก็ขับกุญชรต้อนโยธา | ไสช้างขวางหน้าเจ้ากรุงกาฬ | |||
จึงร้องฮ้าท่านหรือทัพหลวง | จึงเลยล่วงขับช้างมากลางทหาร | |||
ดูช้างม้ารี้พลพ้นประมาณ | นี่จะไปรบราญบ้านเมืองใด ฯ | |||
๏ ครานั้นกรุงกาฬชาญกำแหง | ได้ฟังคำเสียดแทงให้หมั่นไส้ | |||
สูนี้พระยาแผนแล้วแม่นใจ | มายกความถามไถ่ไม่มีอาย | |||
เข้ามาลักช้างม้าพาคนหนี | แล้วเข่นฆ่าราตีคนทั้งหลาย | |||
ซ้ำปักหนังสือท้าว่าหยาบคาย | ตัวไม่เป็นผู้ร้ายดอกหรือไร | |||
อยุธยาช้างม้าไม่มีหรือ | จึงดึงดื้อมาปล้นจนเชียงใหม่ | |||
เรายกพลมาประจญจับโจรไพร | ถ้าคืนของกลางให้จะรอดตัว ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสะท้าน | ได้ฟังท้าวกรุงกาฬก็ยิ้มหัว | |||
ช่างพูดได้ไม่คิดถึงเงาตัว | ทำความชั่วถึงปิดไม่มิดควัน | |||
ซึ่งล้านช้างส่งนางไปกรุงไทย | เจ้าเชียงใหม่เมามืดด้วยโมหันธ์ | |||
ลอบไปฉกชิงนางไว้กลางคัน | จับพวกส่งลงทัณฑกรรมไว้ | |||
ข้าหลวงไทยที่มารับก็จับจำ | เฆี่ยนขับยับระยำทั้งนายไพร่ | |||
กระทำความข่มเหงไม่เกรงใจ | ยังท้าให้ยกพลมาชนช้าง | |||
เจ้าท่านนั้นแลเป็นโจรป่า | เอาชีวาแลกสตรีไม่มีอย่าง | |||
ถ้ารักตัวกลัวว่าจะวายวาง | ให้ส่งนางคืนไปจะไม่ตาย ฯ | |||
๏ กรุงกาฬทหารใหญ่ครั้นได้ฟัง | แค้นคั่งอสนีบาตฟาดสาย | |||
จะตอบเหมือนล้มไม้ลงทับกาย | ด้วยเจ้านายทำความไม่งามดี | |||
จึงแกล้งกลบเกลื่อนเป็นเงื่อนงำ | อันถ้อยคำอาจเอิ้นเห็นเกินที่ | |||
เพราะเจ้าเวียงจันทน์นั้นไม่ดี | เป็นพาลีสองหน้ามาแต่ไร | |||
มีสารามาถวายองค์สร้อยทอง | แก่พระผู้ครองเมืองเชียงใหม่ | |||
แล้วกลับยกยักย้ายถวายไทย | เราจึงได้อาฆาตวิวาทกัน | |||
จนติดพันประจัญรณรงค์ | มากล่าวไยให้ส่งองค์นางนั้น | |||
อย่าช้ามาชนช้างกันกลางครัน | ถ้าใครดีชีวันไม่บรรลัย | |||
ถ้าแม้นเราแพ้ท่านในการณรงค์ | ก็ควรละจะส่งสร้อยทองให้ | |||
ถ้าแม้นท่านเสียท่าปราชัย | สร้อยทองต้องเอาไว้ในเชียงอินทร์ | |||
ว่าพลางทางสั่งปีกซ้ายขวา | ทั้งกองกลางช้างม้าดากันสิ้น | |||
ให้รายล้อมพวกไทยใจทมิฬ | อย่าให้ปลิ้นหนีพล่านออกด้านใคร ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนวิเศษ | ขจรเดชลือเลื่องกระเดื่องไหว | |||
จึงร้องสั่งทหารอันชาญชัย | อย่าคลุกคลีตีให้เป็นด้านกัน | |||
สำมะยังรั้งรับกับปีกขวา | พรหมศรรับราปีกซ้ายนั่น | |||
ธรรมเถียรคอยทัพรับหลังมัน | ตัวเราจะประจญเข้าชนช้าง | |||
สั่งแล้วไสสีห์คชเดช | ร่ายพระเวทเป่าตะพองงาสองข้าง | |||
ให้คงทนทั้งตัวทั่วสรรพางค์ | แล้วไสวางช้างมุ่งท้าวกรุงกาฬ ฯ | |||
๏ ครานั้นกรุงกาฬชาญชัยศรี | ไสพลายพลิกธรณีมาง่านง่าน | |||
กรายของ้าวรำด้วยชำนาญ | คชสารสองปะทะเข้าประงา | |||
ด้วยช้างลาวกำลังที่คลั่งเมา | เมื่อยกออกกรอกเหล้าไว้หนักหนา | |||
คขเดชยั่งยืนชื่นนัยน์ตา | บ่มมันกลั่นกล้าไม่กลัวช้าง | |||
ครั้นพลายพลิกธรณีรี่เข้าชิด | คชเดชก็ขวิดปลายงาผาง | |||
พอช้างลาวเบนเสยเข้าเกยคาง | ช้างไทยได้ล่างเข้าหว่างคอ | |||
นายเจ็ดปานพานกระแชงแทงต้ำเฮือก | ถูกช้างลาวหน้าเสือกหงายท้ายย่อ | |||
ขุนแผนคะยิกใหญ่ไม่รั้งรอ | ช้างไทยเป็นต่อดันตะบึง | |||
ช้างลาวถอยหลังยั้งไม่ถนัด | เพียรจะงัดช้างไทยใส่ผึงผึง | |||
ช้างไทยดันแดกกระแทกตึง | ช้างลาวถอยดึ่งทุกทีไป | |||
กรุงกาฬเหนี่ยวสับให้กลับหัน | ช้างไทยดันไม่ฝืนคืนมาได้ | |||
ด้วยช้างลาวเมาสุราเป็นบ้าใจ | ครั้นเจ็บหนักยักไหล่สลัดคว้าง | |||
ขุนแผนเห็นได้ทีไม่รีรอ | รำของ้าวฟาดลงฉาดผาง | |||
ถูกกรุงกาฬซานซบทบคอช้าง | ไม่เข้าคอพอเป็นยางออกช้ำช้ำ | |||
กรุงกาฬฟื้นลุกคืนขึ้นมาได้ | ขุนแผนไสช้างกระชั้นไล่ฟันร่ำ | |||
จนตีนหลุดจากชนักหัวปักปำ | ขุนแผนซ้ำลงอีกฉาดพลาดตกตึง | |||
ขุนแผนไสช้างเข้าร้องเอาพ่อ | ช้างก็ปร๋อปราดแปร้นแล่นเข้าถึง | |||
ม้วนงวงหลับตาลงงาตึง | ตีตะบึงแทงตะบันดันจนแบน | |||
พอถอนงาคว้าผีขึ้นโยนขวับ | ตกลงมางารับแล้วร้องแปร้น | |||
ไส้ทะลักหักแหกหัวแตกแตน | ช้างลาวแล่นหนีออกนอกโยธา | |||
สำมะยังคุมไพร่ไล่ขนาบ | ตีกองปราบเมืองแมนข้างปีกขวา | |||
พรหมศรต้อนพลกล่นเกลื่อนมา | เข้ารบราปีกซ้ายนายกำกอง | |||
สองข้างต่างโถมเข้าโจมตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไวว่อง | |||
ลาวแทงไทยจับเข้ารับรอง | ไทยฟันลาวป้องจ้องเข้ารับ | |||
พวกไทยไล่ทันฟันตะบึง | นั่นปึงนี่ปังข้างหนึ่งปับ | |||
สำมะยังโถมเข้าเอานายทัพ | นายปราบรันฟันปังดังเหล็กเพชร | |||
สำมะยังเป่าไปให้ประจุขาด | เอาดาบฟาดขาดสะบั้นกระเด็นเด็ด | |||
ดาบล่อนเลือดฝาดดังชาดเช็ด | อ้ายลาวเข็ดคิดขยาดไม่อาจรบ | |||
พรหมศรเสกคาถาว่าถอนโบสถ์ | โดดแทงกำกองเข้าท้องกบ | |||
ชักกั้นหยั่นฟันควาญลงซานซบ | ทับศพผีนายลงก่ายกัน | |||
สอยดาวเห็นแม่ทัพอัปรา | นายทั้งปีกซ้ายขวาก็อาสัญ | |||
ก็ขับไสช้างงาเข้ามาพลัน | เอาง้าวหันพวกไทยไล่ตะลุย | |||
ธรรมเถียรยืนดูอยู่ท่ามกลาง | ขัดใจไสช้างมาฉุยฉุย | |||
อ้ายพลายแก้วมิ่งเมืองไม่เงื่องงุย | เอางาชุ่ยสอยดาวเข้าราวนม | |||
นายสอยดาวทรงกายพอหายขัด | เอาของคัดงาหันฟันประสม | |||
ไทยเป่าโอ้ฟ้าผ่ามาตามลม | ฟันลาวง้าวจมลงครึ่งคอ | |||
แล้วเหยียบดจนโผนทะยานฟันควาญท้าย | อ้ายลาวบ่าวนายไม่เหลือหลอ | |||
ฉัวะแาดขาดเด็ดทั้งสองคอ | พวกพลย่นย่อเข้าป่าไป ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงแสนเพชรตรีกล้า | สิ้นพิษต่อลืมตาขึ้นมาได้ | |||
แลเห็นทัพแตกตายกระจายไป | ก็ขัดใจขับม้ามาทันที | |||
ร้องว่าฮ้าเจ้าพลายนายแผนนั้น | มิสำคัญคิดเอาว่าเราหนี | |||
ด้วยตัวต่อต่อยตาเอาพาชี | มันแล่นลี้ชักฉุดไม่หยุดยั้ง | |||
เรากลับมากล้าดีมาลองฤทธิ์ | อย่าได้คิดว่าเราจะถอยหลัง | |||
มาตรแม้นแพ้นายวายชีวัง | จะให้ชื่อลือดังทั้งแผ่นดิน ฯ | |||
ครานั้นขุนแผนแมนศักดา | ฟังคำเพชรกล้าพูดบ้าบิ่น | |||
จึงร้องตอบคำไปให้ได้ยิน | ยังเล่นลิ้นลอยหน้ามาท้าทาย | |||
เราเห็นทำศักดากับทารก | ยังต้องยกธงล่าเข้าป่าหาย | |||
แพ้ลูกกะจิดริดไม่คิดอาย | จะมาหมายต่อสู้ผู้บิดา | |||
นี่แท้นายอายลาวพวกบ่าวไพร่ | จึงซ่องแซ่งแข็งใจมาแก้หน้า | |||
ด้วยจนตรอกบอกไม่ได้แข็งใจมา | ในครั้งนี้ชีวาไม่คงชนม์ ฯ | |||
๏ เพชรกล้าตาเขียวให้เกรี้ยวโกรธ | ดังถูกหอกรอกโสตรสักแสนหน | |||
เดือดดาลไม่ทันอ่านพระเวทย์มนตร์ | ก็ขับม้าผ่าพลเข้าชิงชัย | |||
ขุนแผนตวาดอำนาจยักษ์ | เพชรกล้าง่าชะงักไม่ไหวได้ | |||
แล้วยกเงื้อง้าวฟาดฉาดลงไป | ถูกหัวไหล่ลาวล้มลงจมอาน | |||
ตาหลอว่าคุณพ่อดิฉันเอง | วิ่งถลันฟันเป้งลงด้วยขวาน | |||
ตารักว่าฉันด้วยช่วยลนลาน | เอาพลองกระทุ้งพุงกรานให้ตกม้า | |||
นายโห้สามหอกกรอกด้วยทวน | เหล็กม้วนไม่เข้าตรีเพชรกล้า | |||
ทิ้งทวนเข้าปะทะฉะด้วยพร้า | นายปานขวานฟ้าเอาดาบฟัน | |||
ราวกับฟาดทองแดงแทงก้อนหิน | หักบิ่นยู่ย่นไปจนกั่น | |||
แม้กระดูกก็ไม่หักแต่สักอัน | คงกระพันชาตรีดีทั่วกาย | |||
ตาหลอว่าคุณพ่อพ่อพลายขา | อ้ายเพชรกล้าคนนี้ดีใจหาย | |||
จะฟันแทงสักเท่าไรก็ไม่ตาย | ยังนอนหายใจอยู่ดูพิกล | |||
ขุนแผนร้องว่าอย่ามี่ฉาว | เฮ้ยพวกเราเอาหลาวทะลวงก้น | |||
ถึงมาตรแม้นอยู่ยงมันคงทน | แยงให้จนถึงคอคงมรณา | |||
ตาหลอกับตารักยืนหยักรั้ง | พวกทะลึ่งตึงตังเข้าแก้ผ้า | |||
นายโม้กับนายเม้าเอาหลาวมา | ผ่าทวารเข้าปรอดตลอดตัว | |||
หลายคนช่วยกันดันกระดอก | เอาไม้ตอกกังกังกระทั่งหัว | |||
หน้าเผือดเลือดแดงดังแทงวัว | ถูกรูรั่วเลือดราดลงดาดดิน ฯ | |||
๏ พวกโยธาบรรดาที่เหลือตาย | บ้างหลบลี้หนีหายเข้าป่าสิ้น | |||
พวกม้าเร็วรีบตะบึงถึงบุรินทร์ | บอกระบิลแสนท้าวเหล่าพระยา | |||
ว่าสาธุโยธาทั้งห้าทัพ | ตายยับสิ้นแล้วพระเจ้าข้า | |||
เหล่าพวกที่หลบลี้มิมรณา | ไม่ทราบว่ามาได้สักเท่าไร ฯ | |||
๏ พวกผู้ใหญ่ได้ฟังพวกม้าเร็ว | เอาผ้ากราบคาดเอวหาช้าไม่ | |||
วิ่งมางกงกด้วยตกใจ | ตรงเข้าในท้องพระดรงรจนา | |||
เห็นจอมนคเรศเกศเชียงอินทร์ | สถิตแท่นมณีนิลข้างฝ่ายหน้า | |||
อำมาตย์หมอบยอบกรานคลานเข้ามา | วันทาทูลพลันในทันใด | |||
ว่าเพชรกล้าสอยดาวท้าวกรุงกาฬ | ทหารปราบเมืองแมนทั้งนายไพร่ | |||
ยกออกไปรบกรับกับพวกไทย | บรรลัยย่อยยับอัปรา | |||
พวกทหารน้อยใหญ่ทั้งไพร่นาย | ที่เหลือตายหลบลี้หนีเข้าป่า | |||
ยังแตกซ่านซ่อนเร้นไม่เห็นมา | ไม่ทราบว่ามากน้อยกี่ร้อยคน ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นนคเรศ | ได้ฟังเหตุว่าทัพนั้นยับย่น | |||
ดังพระกาลจะผลาญให้วายชนม์ | พระพักตร์หม่นหมองสลดระทดใจ | |||
แต่มานะกษัตริย์ตรัสประภาษ | ประกาศสั่งเสนาทั้งน้อยใหญ่ | |||
ให้เร่งรัดจัดรักษาซึ่งเวียงชัย | ให้ตั้งค่ายรายไปรอบพารา | |||
ปิดทวารทั้งนั้นให้มั่นคง | ลงเขื่อนไม้แก่นให้แน่นหนา | |||
ปืนหามแล่นเอาจุกทุกเสนา | คาบศิลาใส่ตับลำดับไว้ | |||
ที่ขอบค่ายนั้นให้รายปืนจ่ารง | ที่ช่องตรงประตูกลางวางปืนใหญ่ | |||
เอาปะขาวกวาดวัดทั้งฉัตรชัย | จุกใส่ให้ทุกช่องทวารา | |||
บนทวารกำแพงข้างด้านใต้ | จงเอาซุงแขวนไไว้ให้หนักหนา | |||
แม้นข้าศึกฮึกโหมโจมเข้ามา | เอามีดพร้าตัดทับให้ยับไป | |||
ในกำแพงถากถางหนทางเดิน | แนวถนนบนเชิงเทินให้กว้างใหญ่ | |||
ที่ตรงหว่างวางปืนกองฟืนไฟ | คั่วกรวดทรายไว้ให้ทุกกอง | |||
ให้กรมเมืองร้องป่าวชาวประชา | ผู้ดีไพร่ให้เข้ามาทุกบ้านช่อง | |||
นั่งยามตามไฟเที่ยวสอดมอง | ตีฆ้องตรวจตระเวณกะเกณฑ์กัน | |||
ผลัดกันลุกปลุกกันนั่งระวังไฟ | ถ้าเกิดขึ้นเรือนใครจะอาสัญ | |||
เหล่าบ้านนอกกำแพงทุกแห่งนั้น | ให้ผ่อนผันคนมาในธานี | |||
สระบ่อท่อธารบ้านของใคร | ขุดไขน้ำเข้าให้เต็มที่ | |||
ข้าวปลานาไร่ของใครมี | ให้ขนมาไว้ที่นี่สิ้นทั้งนั้น | |||
แต่บรรดาแสนท้าวเหล่าเพี้ยกวาน | คอยระวังการงานให้แข็งขัน | |||
ถ้าศึกเข้าด้านใดอย่าไว้มัน | เอาไปฟันเสียบเสียให้สาใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นแสนท้าวเหล่าพระยา | รับสั่งออกมาหาช้าไม่ | |||
อื้ออึงเอะอะกะเกณฑ์ไป | ลากปืนใหญ่จุกจ้องช่องประตู | |||
ให้กรมเมืองร้องป่าวชาวประชา | ทั้งชายหญิงวิ่งมาเป็นหมู่หมู่ | |||
บ้างตั้งค่ายรายรอบที่ขอบคู | บ้างเกณฑ์คนขึ้นอยู่บนกำแพง | |||
เอาฟืนใส่ไฟก่อเอาหม้อตั้ง | คั่วกรวดทรายรายระวังไปทุกแห่ง | |||
ให้มีสารวัตรเที่ยวจัดแจง | ตีฆ้องป๋องแป๋งออกรอบไป | |||
ชุลมุนวุ่นแาวพวกชาวบ้าน | บ้างอุ้มลูกจูงหลานอยู่ขวักไขว่ | |||
เชี่ยนขันโตกพานในบ้านใคร | บ้างขุดไว้ฝังดินสิ้นทั้งนั้น | |||
ลูกแหวนรวงทองของสะอาด | บ้างเย็บไถ้ใส่คาดบั้นเอวมั่น | |||
บ้างเอาผ้าปะในไว้อีกชั้น | ของสำคัญซ่อนซุกไว้ทุกคน | |||
ที่แม่ม่ายยายแก่รำมะก้า | เอาห่อผ้าใส่หนีบไว้กลีบก้น | |||
ให้นึกกลัวพวกไทยจะไล่ค้น | เอาซุกซนลงไว้ใต้พริกเกลือ | |||
บ้างซ่อนใส่มวยผมผ้าห่มนอน | บ้างซุกไว้ในหมอนซ่อนในเสื่อ | |||
บ้างเอาชันปะไว้ใต้ท้องเรือ | ไม่ให้เหลือสักนิดเอาติดไป | |||
ที่รู้ว่าลูกผัวของตัวตาย | ทั้งสาวแส้แม่ม่ายร่ำร้องไห้ | |||
ออกอัดแอแซ่เสียงทั้งเวียงชัย | ด้วยกวาดกันเข้ามาในกำแพง | |||
ข้างในวังชุลมุนกันวุ่นวาย | เจ้านายทุกองค์ทรงกันแสง | |||
ทั้งหม่อมคุณวุ่นว่อนข้อนอกแดง | บ้างฝังแฝงของไว้ใต้ตึกราม ฯ | |||
๏ ส่วนพระเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นเชียงใหม่ | พูดเอาใจลูกเต้าเหล่าหม่อมห้าม | |||
อ้ายศึกนิดพวกเราเบาสงคราม | เข้ารบรุมซุ่มซ่ามจึงเสียที | |||
เฮ้ยฝีมือของกูสูคอยเบิ่ง | จะลุยไล่ให้เปิงแหกป่าหนี | |||
กับอ้ายพวกห้าร้อยน้อยเท่านี้ | จะขยี้เสียให้ยับลงกับเท้า | |||
จะร้องไห้ทำไมให้เป็นลาง | ทัพขุนนางหรือจะสู้กูเป็นเจ้า | |||
ถ้าขืนจะรุกรานบ้านเมืองเรา | ระดมเอาเสียสักวันก็บรรลัย | |||
พระตรัสพลางทางเสด็จออกข้างหน้า | ประกาศสั่งเสนาทั้งน้อยใหญ่ | |||
ให้เร่งรัดจัดเตรียมให้พร้อมไว้ | เอาเชียงใหม่เป็นค่ายได้สำคัญ | |||
ถ้าแม้นมันบกตะบึงถึงบุรี | อย่าเพ่อออกต่อตีให้ตั้งมั่น | |||
ข้างเรามีข้าวปลาสารพพัน | พวกมันนั้นจะได้อะไรกิน | |||
เหล่าบ้านนอกธานีมียุ้งข้าว | เอาไฟเผายุ้งฉางล้างให้สิ้น | |||
ตัดกำลังพวกไอ้ใจทมิฬ | มันจะบินไปข้างไหนได้เห็นกัน | |||
พอเสบียงเลี้ยงท้องมันหมดตัว | จึงออกไปจิกหัวเอาดาบหั่น | |||
อ้ายศึกสักหยิบมือไม่ครือครัน | พวกเราทำเสียไม่ทันจะพริบตา ฯ | |||
๏ ครานั้นเสนีสี่จตุสดมภ์ | ถวายบังคมเห็นชอบกันพร้อมหน้า | |||
ซึ่งพระองค์ทรงดำริตริตรา | คงสมดังบัญชาทุกประการ | |||
จะมีชัยอาศัยเพราะเสบียง | ตัดลำเลียงเสียให้หมดอดอาหาร | |||
ข้าวตากมันจะมีกี่ทะนาน | หมดข้าวสารก็จะสิ้นกำลังลง | |||
ถึงโดยมันมาล้อมเราอ้อมนอก | อย่าให้ออกไปหาเสบียงส่ง | |||
ไม่กี่วันจะวิ่งเป็นชิงธง | คอยสกัดปากดงคงได้ตัว | |||
ไม่พักต้องรบรับขับเคี่ยว | โห่สักเกรียวก็จะบุกเที่ยวซุกหัว | |||
อ้ายห้าร้อยเป็นเชลยมันเคยกลัว | จับเป็นเอาให้ทั่วทั้งไพร่นาย | |||
แต่บรรดาเพี้ยกวานท่านผู้ใหญ่ | ปรึกษาเห็นพร้อมใจสิ้นทั้งหลาย | |||
ออกมานั่งสั่งความตามอุบาย | เอากำแพงเป็นค่ายรายเขื่อนคู ฯ | |||
ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับเจ้าเชียงใหม่
ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนพลายงามจับเจ้าเชียงใหม่
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์ราวีไม่มีสู้ | |||
เห็นทัพลาวแตกพ่ายกระจายพรู | ที่เหลืออยู่พวกไทยไล่ตามฟัน | |||
พอจวนเย็นเรียกทัพกกลับเข้าค่าย | หุงต้มล้มควายกินจ้าละหวั่น | |||
พวกทหารพูดจาเฮฮากัน | จนสิ้นแสงสุริยันลงทันใด | |||
ขุนแผนบอกลูกชายเจ้าพลายกล้า | จะเฉยช้าอยู่ที่นี่หาดีไม่ | |||
ควรกรูกรีรี้พลพหลไกร | เข้าประชิดติดเชียงใหม่ให้ทันที | |||
อย่าให้มันหยุดยั้งตั้งตัวได้ | เข้าลุยไล่รีบทำให้ป่นปี้ | |||
ด้วยเสบียงเลี้ยงไพร่เราไม่มี | ต้องคลุกคลีเสียให้ได้ในสองวัน ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | ฟังความเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์ | |||
จะเนิ่นช้าอาหารกันดารครัน | ด้วยลาวนั้นที่ไหนจะยกมา | |||
พอรู้ข่าวก็จะหนาวสะท้านจิต | เป็นจะปิดประตูน้ำค้ำประตูท่า | |||
ถ้าเราไม่เข้าไปถึงพารา | จะรอให้มันมาเห็นจะลึก | |||
เอาทัพเราเข้าประชิดติดเวียงชัย | แล้วสะกดเข้าไปเมื่อยามดึก | |||
ถ้าจับเจ้าเชียงใหม่ได้สมนึก | จะตัดศึกสิ้นลำบากไม่ยากใจ | |||
พ่อลูกพูดจาปรึกษากัน | พอแสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างไข | |||
สั่งให้พวกอาสาพากันไป | ตัดไม้ปลูกศาลขึ้นเพียงตา | |||
วงสายสิญจน์เสกลงเลขยันต์ | เครื่องเซ่นสารพันให้จัดหา | |||
เป็ดไก่เต่าหมูและสุรา | ทั้งข้าวปลาอาหารทุกสิ่งอัน | |||
สั่งแล้วขันแผนแสนสนิท | ประชุมฤทธิ์ปลุกตัวขมีขมัน | |||
ใส่มงคลมนตร์เสกข้าวสารพลัน | เหน็บมีดหมอจรจรัลมาทันที | |||
จุดเทียนติดศาลอ่านคาถา | เรียกบรรดาโหงพรายโขมดผี | |||
ทั้งปู้เจ้าเขาเขินเนินคีรี | เชิญมารับบัดพลีพลีการ ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงภูตพรายผีตายโหง | ที่ป่าโปร่งรังรุกข์ทุกสถาน | |||
ทั้งปู่เจ้าเขาถ้ำทุกลำธาร | ต้องมนตร์อลหม่านไปทั้งดง | |||
พวกผีไทยไปทัพกับขุนแผน | ต่างเที่ยวแล่นเรียกหาทุกป่าระหง | |||
ผีลาวครั่นคร้ามขามฤทธิรงค์ | ต่างก็ตรงมาที่พิธีกรรม์ | |||
แต่ล้วนผีดาษดื่นสักหมื่นแสน | ดูออกแน่นคั่งคึกพิลึกลั่น | |||
ล้อมศาลรอบรายเป็นหลายชั้น | คนทั้งนั้นนั่งเขม้นไม่เห็นกาย | |||
แต่ขุนแผนแสนสนิทเรืองฤทธี | เห็นผีสะพรั่งสิ้นทั้งหลาย | |||
ที่ร้ายกาจผาดแผลงแกล้งอุบาย | เป็นสัตว์ร้ายต่างต่างวางเข้ามา | |||
ขุนแผนเสกซัดข้าวสารปราย | ผีร้ายหมอบกราดลงดาดป่า | |||
ซ้ำเป่าอาคมลมจินดา | ให้ฝูงผีมีเมตตาไปทุกตน | |||
ขุนแผนว่าข้าแต่เทพารักษ์ | อันเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ทุกแห่งหน | |||
ท่านจงยกพยุหบาตรปีศาจพล | ไปประจญอารักษ์หลักเชียงอินทร | |||
ด้วยว่าเจ้าเชียงใหม่ไม่ครองธรรม | ถึงกรรมเมืองจะแหลกแตกสิ้น | |||
จงช่วยเรามาอาสาแผ่นดิน | เชิญมากินเครื่องเซ่นอย่าเว้นตัว | |||
เทพเจ้าเหล่าโขมดมายา | ต้องมนตร์จินดาก็ยิ้มหัว | |||
ต่างรับอาสาว่าอย่ากลัว | จะช่วยท่านเรียงตัวทั่วทั้งนั้น | |||
กินเครื่องเซ่นสุราแล้วลาแล่น | ออกเยียดยัดอัดแน่นในไพรสัณฑ์ | |||
แผลงฤทธิ์บิดร่างต่างต่างกัน | แผ่นดินลั่นดังจะถล่มทลาย | |||
สนั่นเมืองเปรื่องเปรี้ยงเสียงปีศาจ | ดังพสุธาฟ้าฟาดไม่ขาดสาย | |||
เหมือนจะล่มเมืองคว่ำให้ทำลาย | เข้ารุมรายล้อมรอบขอบบุรี ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าอารักษ์หลักเชียงใหม่ | พระเสื้อเมืองเรืองชัยแลเจ้าผี | |||
สถิตศาลน้อยใหญ่ในธานี | ที่ได้รับเครื่องพลีเจ้าเชียงอินทร์ | |||
เห็นผีไพรไทยมาเป็นสามารถ | ก็เกณฑ์กวาดผีบ้านทุกฐานถิ่น | |||
ผีป่าช้าอยู่ในใต้แผ่นดิน | เรียกมาสิ้นให้สู้หมู่ผีไทย | |||
ต่างตนสำแดงฤทธิรุทร | บ้างพุ่งซัดอาวุธอยู่หวั่นไหว | |||
บ้างฉวยได้ม้าช้างขว้างออกไป | คว้าท่อนไม้เท่าซุงเอาพุ่งโยน | |||
ถูกผีป่าล้มคว่ำคะมำกลิ้ง | ผีไทยผลุนหนุนวิ่งมาผาดโผน | |||
เอากอหนาดฟาดไล่ดังไฟโชน | พวกผีป่ากลับกระโจนเข้าโรมรัน ฯ | |||
๏ เดิมเชียงอินทร์เป็นปิ่นเอกราช | ชะตาขาดนครอ่อนอาถรรพ์ | |||
จะเสื่อมสิ้นยศอย่างแต่ปางบรรพ์ | เป็นประจันตประเทศเขตกรุงไทย | |||
ผีป่าจึงแข็งแรงร้ายกาจ | ผีเมืองมิอาจจะสู้ได้ | |||
ก็ถอยป่นย่นยับอัปราชัย | ผีป่าเข้าไปไล่ลุยเมือง | |||
เทพทุกศาลสิงออกวิ่งพล่าน | กำภูฉัตรพระกาฬโดดศาลเปรื่อง | |||
ไม่หลอเหลือทั้งพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง | หอเครื่องเจตคุกบุกหนีไป | |||
พวกเหล่าผีเล็กผีน้อยพลอยวิ่งว่อน | ทั้งนครเสียงมี่ผีร้องไห้ | |||
บ้างอุ้มลูกจูงหลานซานเข้าไพร | เพราะผีป่าเข้าได้ในนคร ฯ | |||
๏ เวลานั้นเจ้าเชียงใหม่เธอไสยาสน์ | ครั้นทัพผีวิปลาสเกิดสังหรณ์ | |||
ทั้งตระกูลประยูรญาติราษฎร | พากันนอนใฝ่ฝันออกฟั่นเฟือน | |||
เห็นเป็นกองทัพไทยไล่ฟันลาว | ขุนนางเจ้าชาวบุรีหนีเข้าเถื่อน | |||
ตื่นแซ่แก้ฝันกันทุกเรือน | หลากจิตนิมิตเหมือนกันทั้งนั้น | |||
บ้างก็ว่าเวลาเคาะระฆัง | ได้ยินดังคึกคึกพิลึกลั่น | |||
เห็นชะรอยภูตผีเราหนีมัน | ต่างวิตกอกสั่นทุกคนไป ฯ | |||
๏ พระเจ้าเชียงใหม่ฟื้นตื่นนิทรา | ลุกผวาหวั่นหวาดพระทัยไหว | |||
ก็ทราบว่าผีบ้านย่านผีไพร | อยู่ไม่ได้หนีออกนอกบุรี | |||
แสนวิตกอกเมืองจะเคืองเข็ญ | ต้องยากเย็นผู้คนจะป่นปี้ | |||
นี่เพราะกูทำความไม่งามดี | ไปชักให้ไพรีมีขึ้นมา | |||
แล้วหวนมานะนึกกลับฮึกเหี้ยม | อายุกูก็เยี่ยมหกสิบห้า | |||
ถึงจะครองเมืองไปก็ไม่ช้า | ไม่ขายหน้ายอมไทยให้อัปประมาณ | |||
อันชาติเสือถึงจะตายลายก็อยู่ | ให้ใครดูรู้ชาติว่าอาจหาญ | |||
ชาติกษัตริย์ถึงจะป่นจนวายปราณ | มิให้พานชื่อชั่วว่ากลัวใคร | |||
ถึงชีวันบรรลัยจะไว้ยศ | ให้ปรากฏทั่วโลกวิสัย | |||
เหมือนทศเศียรสุริย์วงศ์ทรงฤทธิไกร | ถูกลักล้วงดวงใจไปให้ราม | |||
แม้นรักชีวิตรักวงศ์จะส่งนาง | เธอสู้ตายวายวางไม่คิดขาม | |||
จึงเลื่องชื่อลือยศปรากฏนาม | มีเรื่องความในนิพนธ์จนทุกวัน | |||
ถ้ากลัวเขาเราจะส่งสร้อยทองให้ | ก็คงไม่เกิดเข็ญเป็นมหันต์ | |||
สู้บรรลัยไว้ยศเหมือนทศกัณฐ์ | ให้ลือลั่นชั่วหล้าแลฟ้าดิน | |||
ตริพลางทางเสด็จออกข้างหน้า | ดำรัสสั่งเสนาทั้งปวงสิ้น | |||
ให้คอยระวังระไวพวกไพริน | เราเอาเวียงเชียงอินทร์เป็นเรือนตาย ฯ | |||
๏ อำมาตย์กับโองการคลานออกมา | ต่างเข้มงวดตรวจตราคนทั้งหลาย | |||
ทุกค่ายคูปิดประตูหอรบราย | กระทะทรายตั้งคั่วทั่วกำแพง | |||
ทั้งหญิงชายให้มาขึ้นหน้าที่ | มองอัคคีให้สว่างกระจ่างแสง | |||
ให้เหล่าสารวัตคอยจัดแจง | ทั่วตำแหน่งเกณฑ์ตรวจทุกหมวดกรม ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลี | มเหสีเชียงอินทร์ปิ่นสนม | |||
เห็นบ้านเมืองวิปริตผิดนิยม | จะแหลกล่มเสียกระมังในครั้งนี้ | |||
จำจะไปเพ็ดทูลมูลเหตุ | ให้ทรงเดชวินิจฉัยให้ต้องที่ | |||
คิดพลางย่างเเยื้องจรลี | ไปเฝ้าเจ้าธานีในทันใด | |||
ครั้นถึงกราบก้มประนมกร | บังอรซบเศียรสะอื้นไห้ | |||
แล้วกราบทูลสามีพิรี้พิไร | ขอพระองค์จงได้กรุณา | |||
เป็นความสัตย์สุจริตไม่คิดหึง | หมายจะพึ่งภูวไนยจนสังขาร์ | |||
อันซึ่งศึกประชิดติดพารา | ด้วยสาเหตุเนื้อเคราะห์เพราะสร้อยทอง | |||
จะเอานางไว้ไยในพารา | ให้ไพร่ฟ้าทุกข์ทนหม่นหมอง | |||
เคืองระคายบาทาฝ่าละออง | ขอพระองค์จงตรองในพระทัย | |||
พระสนมแน่งนวลควรประคอง | งามกว่าเจ้าสร้อยทองไม่นับได้ | |||
ไม่ควรจะขุ่นเคืองกับเมืองไทย | ถ้าส่งสร้อยทองให้กับนายทัพ | |||
ที่คนเขาเขาก็คืนเอาไปได้ | เห็นพวกไทยจะเลิกกองทัพกลับ | |||
ทั้งวังเวียงเชียงใหม่ไม่ย่อยยับ | เหมือนพระดับความเข็ญเย็นประชา | |||
ให้หมดสิ้นเสี้ยนหนามได้ความสุข | ตัดยุคเสียอย่างนี้จะดีกว่า | |||
ขอพระองค์ทรงพระกรุณา | ให้ไพร่ฟ้าแผ่นดินสิ้นทุกข์ภัย ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์บดินทร์สูร | ฟังทูลก็สะท้อนถอนใจใหญ่ | |||
นึกสงสารสายสมรอ่อนพระทัย | ประเดี๋ยวใจหวนพิโรธโกรธขึ้นมา | |||
น้องเอ๋ยพี่ไม่เคยให้ใครหยาม | เจ้าเวียงจันทน์ทำความไว้ข้ามหน้า | |||
ยังมิหนำซ้ำพวกอยุธยา | หยาบช้ามาประชิดติดนคร | |||
ถ้าขอนางโดยดีพี่จะให้ | นี่มันไม่ยำเกรงข่มเหงก่อน | |||
บังอาจลักช้างม้าฆ่าราษฎร | ลือกระฉ่อนออกดังทั้งแดนไตร | |||
มันเขียนหนังสือว่าท้าประจาน | มิใช่พระในวิหารจะอดได้ | |||
จึงได้เกิดรบพุ่งกันยุ่งไป | ลาวบรรลัยมากมายเป็นหลายคน | |||
ซึ่งจะส่งองค์นางไปเดี๋ยวนี้ | เหลือที่จะทำได้ให้ขัดสน | |||
ไม่ขอส่งคงสู้จนวายชนม์ | เกิดเป็นคนถึงกรรมก็จำตาย ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลี | ได้ฟังคำสามีก็ใจหาย | |||
ช่างดึงดันโกรธเกรี้ยวไปเดียวดาย | จะทานทัดมากมายก็ไม่ควร | |||
เคารพราบกราบลาพระสามี | เทวีเสด็จมาโดยด่วน | |||
ทอดองค์ลงกับแท่นแสนรัญจวน | ยิ่งปั่นป่วนโศกเศร้าเสียพระทัย | |||
กรกอดลูกน้อยเจ้าสร้อยฟ้า | นางโศกาสะอึกสะอื้นไห้ | |||
แม่ไปทูลพระองค์ผู้ทรงชัย | เธอดื้อดึงขึงไปไม่นำพา | |||
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมนำนิยม | จะให้ล่มโลกลาวตลอดหล้า | |||
ทั้งหญิงชายก็จะฟายแต่น้ำตา | คงยากเย็นเป็นข้าพวกไทยแท้ | |||
แสนวิตกโอ้อกเจ้าแม่เอ๋ย | จะเป็นเชลยเขาเสียแล้วนะแก้วแม่ | |||
จึงเผอิญให้กษัตริย์วิบัติแปร | ที่ชั่วแน่กลับเห็นว่าเป็นดี | |||
ตรัสทางพลางข้อนพระทรวงร่ำ | แสนระกำดังจะม้วยไปเป็นผี | |||
เจ้าครอกน้อยสร้อยฟ้านารี | ก็โศกีลูกแม่แน่นิ่งไป | |||
กำนัลนางต่างเอาสุคนธ์สรง | ค่อยชุ่มชื่นฟื้นองค์ขึ้นมาได้ | |||
แต่โศกแล้วโศกเล่าเฝ้าร่ำไร | ร้องไห้ข้อนอกจนฟกแดง ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์ลือทั่วกลัวแสยง | |||
พอรุ่งแสงทินกรขึ้นร้อนแรง | ก็จัดแจงกองทัพกำชับการ | |||
ให้เร่งผูกอัสดรกุญชรชาติ | จะยกยาตราหลพลหาญ | |||
ล่วงลัดตัดตรงเข้าดงดาน | ประชิดชานเชียงใหม่ในวันนี้ ฯ | |||
๏ พวกอาสารับสั่งไม่รั้งรา | ต่างไปผูกช้างม้าอยู่อึงมี่ | |||
จับอาวุธวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | ประจำที่พยุหบาตรจะยาตรา | |||
ให้พระนายท้ายน้ำนั้นนำศึก | ขี่พลายประกายพรึกมาข้างหน้า | |||
เพี้ยกึงกำกงถัดลงมา | ขี่พลายพลิกพสุธามากลางพล | |||
ขุนแผนขี่พลายศรีคชเดช | พลายงามขี่พลายเกตุต้อนพหล | |||
พวกอาสาร่าเริงทุกตัวคน | รีบร้นโยธาคลาไคล | |||
โห่สั่นลั่นก้องท้องอรัญ | ครึ่งวันก็กระทั่งถึงเชียงใหม่ | |||
ให้หยุดทัพยับยั้งตั้งพลไว้ | นายไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ | |||
เอาอ้อแขมมากระหนาบคาบเอาไว้ | ซัดข้าวสารหว่านไปเป็นค่ายตับ | |||
ปักรายหลายชั้นกั้นหน้าทัพ | สำหรับปืนใหญ่ในบุรี ฯ | |||
๏ ในชานเวียงเสียงสนั่นออกหวั่นไหว | เห็นทัพไทยมาประชิดติดกรุงศรี | |||
พวกลาวระวังตัวทั่วธานี | เข้าประจำหน้าที่สิ้นทั้งนั้น | |||
บ้างเคี่ยวชันหลอมตะกั่วคั่วทราย | ตั้งเตารายบนกำแพงไว้แข็งขัน | |||
กองไฟรอบเมืองเนื่องเนื่องกัน | ส่งแสงแดงฉานทั้งเวียงชัย | |||
องค์พระเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นนครา | ออกมาสั่งเสนาผู้น้อยใหญ่ | |||
ให้ระแวดระวังตั้งใจ | ดูอย่าให้ผู้คนปนเข้ามา | |||
เอาหอกดาบปืนผาอาวุธ | เครื่องยุทธ์เตรียมไว้ให้แน่นหนา | |||
ชั้นแมวหมูสุนัขนกกา | แม้นเข้าเมืองจับฆ่าให้วายชนม์ | |||
ให้เสนีสี่นายแยกย้ายไป | ตรวจไพร่โยธาโกลาหล | |||
รอบจังหวัดอัดแอแต่ล้วนคน | ทุกถนนหนทางสว่างไฟ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์ลือจบพิภพไหว | |||
กับลูกชายพลายงามทรามวัย | พอดึกได้สามยามตามตำรา | |||
ฟ้าขาวดาวดวงสะกดแจ่ม | พระจันทร์แรมรีบดับลงลับหล้า | |||
พ่อลูกจัดแจงแต่งกายา | นุ่งผ้าม่วงดำประจำกาย | |||
สะเอวคาดราตคดก็สีดำ | คล้องประคำตะกรุดทองทั้งสองสาย | |||
ใส่เสื้อยันต์ลงองค์นารายณ์ | เข็มขัดขมองพรายคาดกายพัน | |||
ประจงจับจบประเจียดประจุพระ | โพกศีรษะทะมัดทะแมงดูแข็งขัน | |||
ทั้งพ่อลูกผัดผงที่ลงยันต์ | แล้วเสกจันทน์เจิมหน้าสง่างาม | |||
ขึงขังทั้งคู่ดูสง่า | ดังพระยาสีหราชเรืองสนาม | |||
จบคำนับจับดาบปราบสงคราม | บ่ายหน้ามาตามยามอาทิตย์ | |||
ตรงเข้าไปในป่าแล้วปลุกตัว | เป่าทั่วด้วยคาถาประกาศิต | |||
ขยับยืนยกเมฆดูนิมิต | เห็นรูปนารายณ์เรืองฤทธิ์ติดอัมพร | |||
สี่หัตถ์ทรงศัตราคทาเพชร | พร้อมเสร็จจักรสังข์พระแสงศร | |||
ลมสองคลองคล่องขวาเวลาจร | ก็ก้าวเท้าขวาก่อนทั้งสองคน | |||
กุมารทองโหงพรายรายรอบข้าง | พ่อลูกเยื้องย่างมาทางถนน | |||
ร่ายเวทจังงังกำบังตน | ไม่มีคนทายทักแต่สักคำ | |||
ปีนข้ามเนินคูประตูค่าย | อ้ายพวกลาวบ่าวนายอยู่คลาคล่ำ | |||
ล้วนต้องมนตร์ง่วงหงับระงับงำ | ขุนแผนนำหน้าไปใกล้กำแพง | |||
ยืนมองช่องประตูคนผู้ไขว่ | กองไฟไว้สว่างกระจ่างแสง | |||
ทหารปืนยืนเป็นพวกใส่หมวกแดง | เสียงฆ้องป๋องแป๋งออกรอบไป | |||
ขุนแผนกับลูกชายร่ายพระเวท | อันวิเศษสองนายใช้พรายได้ | |||
แล้วขึ้นคอผีกุมารอันชาญชัย | ผีก็แผลงฤทธิไกรวิสัยตน | |||
ผาดโผนโจนข้ามกำแพงเมือง | เปรื่องเดียวเข้าได้ไม่ขัดสน | |||
ขุนแผนเป่าซ้ำกระหน่ำมนตร์ | สะกดคนหลับรอบขอบนคร | |||
แล้วตรงมาถึงวังเจ้าเชียงใหม่ | ขุนแผนใช้พรายลาวเข้าไปก่อน | |||
ให้ถอนลิ่มถอดสลักชักกลอน | ทั้งพ่อลูกบทจรเข้าวังใน ฯ | |||
๏ ผู้หญิงลาวท้าวนางแลโขลนจ่า | แลมาหาเห็นขุนแผนไม่ | |||
ทั้งคุณหม่อมจอมเจ้าแลสาวใช้ | จรลีสีไหล่กันไปมา | |||
ขุนแผนพลายงามตามกันจร | เที่ยวทุกตรอกซอกซอนทั้งซ้ายขวา | |||
ขึ้นตำหนักเจ้าจอมหม่อมมารดา | จะดูท่าชาววังเป็นอย่างไร | |||
บ้างซุบซิบสนทนาถึงข้าศึก | บ้างข้อนอกเข้าสะอึกสะอื้นไห้ | |||
บ้างจับเบี้ยบนผีพิรี้พิไร | บ้างเย็บไถ้คาดแน่นใส่แหวนทอง | |||
ทุกหนแห่งแสยงสยดทั่ว | ไม่มีหัวมีแต่ไห้ไปทุกห้อง | |||
พ่อลูกเล็ดลอดเที่ยวสอดมอง | เห็นหม่นหมองเวทนาในอารมณ์ | |||
แต่พวกเล่นจับคู่ไม่สู้ทุกข์ | ยังสนุกรื่นรวยทำสวยสม | |||
บ้างไปมาหาคู่ที่เคยชม | เชยแก้มแนมนมกระนี้กระนั้น | |||
บ้างขึ้นมาหาสู่เหมือนชู้ชาย | แย้มคายลิ้นลมเป็นคมสัน | |||
บ้างหวงหึงบึงบอนควักค้อนกัน | บ้างแดกดันทุ่งเถียงเสียงอลวน | |||
ที่ลางนางทอดตัวเกาหัวแกรก | ถ้าเมืองแตกเรานี้คงปี้ป่น | |||
ลางนางบ้างว่าอย่าร้อนรน | ของยังมีที่ตนไม่จนนาน | |||
บ้างว่าถ้าตกไปเมืองใต้ | ทำอย่างไรจึงจะดีให้วิถาร | |||
ที่ลางนางนอกคอกบอกอาการ | อย่าเกียจคร้านโต้ตอบชอบทุกคน | |||
ที่คนโง่ถามว่าโต้อย่างไรขา | ถ้าผัวด่าด่าโต้หรือยังฉงน | |||
ใครเขาให้โต้ปากอยากสัปดน | ให้เอาตนโต้ดอกบอกตามการ | |||
ซึ่งโต้ตอบอย่างนี้ไม่มีครู | ด้วยต่างคู่ต่างวิสัยหลายสถาน | |||
ถ้าโต้ตอบชอบใจแล้วไม่นาน | ต้องซมซานฝากตัวกลัวจนงอ | |||
แน่พวกเรานะอย่าเอาที่ผัวไพร่ | เหมือนกับเหยียบขี้ไก่มันไม่ฝ่อ | |||
ปะนายมุลขุนนางวางให้พอ | เข้าเคลียคลอเคล้าคลึงให้ถึงใจ | |||
ทั้งนวดฟั้นปรนนิบัติพัดวี | ทำให้ดีขี้คร้านจะหลงใหล | |||
ยิ่งกว่ายาแฝดฝังยังเข้าใจ | ท่านผู้หญิงทิ้งไล่เสียเลเพ | |||
บิ่งงกงันฟันหักยิ่งรักสาว | กลัวจะซานลานลาวเจ้าเสน่ห์ | |||
อุตส่าห์เฝ้าเอาใจใช้อุปเทห์ | แก่ขี้เหร่ดีนักยิ่งรักเมีย | |||
ระวังแต่อ้ายหนุ่มกระจุ๋มกระจิ๋ม | มันมักชิมแล้วเฉยเลยทิ้งเสีย | |||
ถ้าไม่ช่วยตัวได้อย่าให้เยีย | ทำปัวเปียเสียพอป่องพร่องราคา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนประเสริฐ | เลื่องชื่อลือเลิศตลอดหล้า | |||
กับลูกชายหงายแหงนดูดารา | พอเพลาดาวธงเข้าตรงรถ | |||
ดูอากาศแผ้วผ่องเป็นคลองช้าง | แจ่มกระจ่งเด่นดาวดวงสะกด | |||
พระจันทรล่อนดับลับบรรพต | กำหนดต้องฤกษ์พาตำราเรียน | |||
พ่อลูกเสกซัดข้าวสารกราว | พวกแสนลาวล้มเกลือกลงเสือกเศียร | |||
ที่นั่งขึงแข็งตาน่าวิงเวียน | จนล้มพาดดาษเดียรลำดับกัน | |||
ที่ลุกขึ้นกึกกักมาตักน้ำ | ต้องอาคมล้มคะมำคว่ำทับขัน | |||
ลางนางเช็ดไรใส่น้ำมัน | สำลีพันไม้คาหลับตาไป | |||
ลางนางปักสะดึงตรึงตราขุน | ง่วงงุนหลับตามือคาไหม | |||
ที่ปั่นฝ้ายกระหลอดลงกอดไน | ที่นั่งยามตามไฟไม่สมประดี | |||
ขุนแผนสั่งผีโขมดกุมารทอง | จงเข้าไปในห้องปราสาทศรี | |||
สะกดพระยาลาวเจ้าธานี | มเหสีลูกสาวชาวพนักงาน ฯ | |||
๏ ผีคำนับรับคำทำเดชา | พอพริบตาเดี๋ยวหนึ่งถึงราชฐาน | |||
ขึ้นบนตำหนักพลันมิทันนาน | เข้ากดทับหลับซานไปทุกคน | |||
ด้วยเทวดารักษากำภูฉัตร | ผีไทยไล่กำจัดเข้าไพรสณฑ์ | |||
กุมารจึงเข้าไปได้ใกล้ตน | ทบเจ้าภูวดลไว้ตรึงตรา | |||
องค์พระเจ้าเชียงใหม่ชัยศรี | ครั้นต้องมนตร์ดลผีให้มืดหน้า | |||
ดังใจปลิดจิตปลิวจากกายา | ลงนิทราแน่นิ่งไม่ติงองค์ ฯ | |||
๏ ขุนแผนกับลูกยาศักดาเดช | ร่ายพระเวทเป่าลมประสมส่ง | |||
แล้วเยื้องย่างอย่างสองพยัฆค์ยง | ตรงเข้าเรือนทองห้องสุวรรณ | |||
อเนกแน่นล้วนแสนสุรางค์ราช | ต้องอาคมล้มกลาดเป็นหลั่นหลั่น | |||
ดูงามถ้วนล้วนเหล่าพระกำนัล | ผิวพรรณพึงชมสมสะคราญ | |||
ผ้าผวยเทพประนมห่มนอน | ฟูกหมอนเสื่อสาดสะอาดสะอ้าน | |||
กลิ่นฟุ้งมุ้งแพรแลละลาน | พนักงานต่างต่างทุกอย่างไป | |||
พ่อลูกจรจรัลเข้าชั้นสอง | ประทีปส่องแสงสว่างกระจ่างไข | |||
พระสนมล้มหลับระเนนใน | ล้วนวิไลเลิศล้ำดูสำอาง | |||
ละม่อมเหมาะเพลาะกลอมหอมห่ม | บ้างเปิดนมขาวช่วงอล่างฉ่าง | |||
ดูสองแก้มแจ่มเจียนผิวมะปราง | ล้วนแต่อย่างสาวใหญ่ไว้ท่วงที | |||
สนิทนิ่งเหนือหมอนที่นอนนาง | ดูสำอางอ่อนสะอาดลาดกำมะหยี่ | |||
มุ้งน้อยน้อยห้อยพู่ประตูมี | ล้วนแพรบางต่างสีดูสมทรง | |||
พ่อลูกจรจรัลเข้าชั้นสาม | ประทีปอัจกลับตามงามระหง | |||
ทั้งสองย่างยุรยาตรดูอาจอง | เห็นองค์แน่งน้อยสนิทนอน | |||
ล้วนรุ่นรุ่นรูปเรี่ยมจำเริญลักษณ์ | ผิวพักตร์ผ่องเกลี้ยงเพียงอัปสร | |||
ห่มแพรสีมีวลัยใส่สวมกร | เอาสร้อยอ่อนทำสายสะอิ้งรัด | |||
ใส่ตุ้มหูซ้ายขวาระย้าย้อย | เอวบางร่างน้อยนมถนัด | |||
ดังปทุมตูมเต่งเคร่งครัด | จำปาทัดถันได้ไม่ลอดทรวง | |||
เจ้าพลายงามเดินหลังตั้งตาเขม้น | เสียดายเป็นที่นั่งรองของหลวง | |||
เอามือข้อนเข้าที่พุ่มปทุมทรวง | ไม่โรยร่วงกลีบกลัดกำดัดตึง | |||
ขุนแผนเห็นลูกเข้าไปเคล้าคลอ | เอามือห่อป่ายหลังลงดังผึง | |||
นี่ของหลวงนะอย่าเข้าไปเคล้าคลึง | ถ้าแม้นนึกลึกซึ้งสิเสียความ | |||
ไม่ควรนะเจ้าเราเป็นไพร่ | เขาก็ได้เป็นนางระวางห้าม | |||
ยิ่งจะให้เชี่ยวชาญการสงคราม | มาคุกคามลามลวนอย่าควรทำ | |||
เจ้าพลายงามบอกความกับบิดา | แวะเข้ามาชมเล่นเห็นขำขำ | |||
เพียงลักหลับลูกต้องประคองคลำ | ไม่ได้นึกลึกล้ำละเลิงใจ | |||
เออนะเจ้าเราขอเสียคืนเดียว | ช่วยกันเคี่ยวแข็งข้อเอาให้ได้ | |||
ถ้าเสร็จศึกแล้วจะนึกเอานางใด | เว้นแต่หม่อมยอมให้ทุกนารี ฯ | |||
๏ พ่อลูกไคลคลามาทั้งสอง | ถึงห้องทองที่ประทมเจ้ากรุงศรี | |||
เสกสะเดาะลิ่มลั่นออกทันที | ตรงขึ้นที่อัฒจันทร์บนชั้นพัก | |||
เข้าปรางค์ทองชมห้องปราสาทศรี | เธอเทียบที่พระประทมไว้สมศักดิ์ | |||
มีม่านทองสองไขใส่เชือกชัก | ที่ฝาทำจำหลักเป็นลายลอย | |||
เพดานเขียนลายทองเป็นถ่องแถว | ระย้าแก้วแพรวพรายสายโซ่ห้อย | |||
โคมปัดอัจกลับระยับย้อย | แสงสว่างพร่างพร้อยดูพรายตา | |||
หน้าพระแท่นล้วนแต่แสนสาวสุรางค์ | อนงค์นางอยู่งานขนานหน้า | |||
ดูรูปเรียบกะทัดรัดจำรัสตา | โสภานิ่มนวลควรจะชม | |||
ขนงเนตรเกศแก้มจำรัส | ถันก็ถัดกันทั้งคู่ดูงามสม | |||
มีสุจหนี่นอนหมอนพรม | ล้วนแต่ห่มแพรสีมีขลิบริม | |||
ทองวลัยใส่แขนแหวนสอดก้อย | ผูกสายสร้อยสิบนิ้วเจ้านุ่มนิ่ม | |||
ใส่ตุ้มหูเฟื่องห้อยพลอยทับทิม | ดูหน้าตาจิ้มลิ้มดังลูกจันทน์ | |||
เหล่านางดีดสีที่ข้างแท่น | ละม้ายแม้นเหมือนตุ๊กตาปั้น | |||
งามระหงทรงศรีฉวีวรรณ | ประดับกายคล้ายกันทุกนารี | |||
คนระนาดนอนหลับทับคนฆ้อง | นางคนร้องนอนทับกระจับปี่ | |||
คนโทนทับหลับใหลไม่สมประดี | นางคนสีซอทับคนกรับนอน ฯ | |||
๏ พ่อลูกชมย่างย่อง | ขึ้นพระแท่นในห้องข้างซ้ายก่อน | |||
แหวกวิสูตรสุวรรณอันบวร | เข้าในที่บรรจถรณ์ด้วยทันใด | |||
เห็นสองนางต่างองค์บรรทมหลับ | อัจกลับจับผิวดูผ่องใส | |||
งามจริงพริ้งพร้อมละม่อมละไม | เป็นนวลปลั่งดังใยสำลีชี | |||
เพ่งพินิจพิศทรงพระองค์ใหญ่ | แลวิไลเลิศลักษณ์เป็นศักดิ์ศรี | |||
ดูผิวพักตร์ก็ยังผ่องละอองดี | แต่ตรงที่พระถันนั้นพร่องทรวง | |||
เห็นอนงค์จะเป็นองค์ชนนี | นางโฉมยงค์องค์นี้เป็นลูกหลวง | |||
พึ่งเป็นสาวรุ่นร่างกระจ่างดวง | ดูสองถันนั้นเป็นพวงผกาทิพย์ | |||
เหมือนโกมุทพึ่งผุดหลังชลา | พอต้องตาเตือนใจให้จะหยิบ | |||
เจ้าพลายแลเล็งเพ่งไม่พริบ | พ่อกระซิบห้ามปรามก็ขามใจ | |||
สนิทนิ่งเหนือหมอนดังท่อนแก้ว | พระพักตร์แผ้วมิได้มีรอยฝีไฝ | |||
งามขนงก่งค้อมละม่อมละไม | แต่เนตรหลับยังวิไลประหลาดนาง | |||
นาสิกตะละทรงพระแสงขอ | โอษฐ์ลออเรี่ยมริมเหมือนจิ้มฝาง | |||
สองปรางอย่างผิวผลมะปราง | ดูทรงศอคอคางอย่างกลึงกลม | |||
งามระหงทรงศรีไม่พีผอม | เพริศพร้อมแต่บาทจนถึงผม | |||
กระหมวดมุ่นเกศาก็น่าชม | ปักปิ่นทองถมราชาวดี | |||
กุณฑลสองข้างพร่างแสงเพชร | สังวาลประดับสลับเม็ดพลอยต่างสี | |||
กำไลกรทองร่อนรูปนาคี | ธำมรงค์เรือนมณีสีพร่างพราย | |||
ผ้านุ่งถถุงยกกระหนกกรอง | ห่มแพรริ้วทองจำรัสฉาย | |||
มเหสีทรงยกกระหนกลาย | ห่มแพรเหลืองลายมะลิทอง | |||
พระเทพีมีบุตรจนเป็นสาว | ยังดูลาวสักสิบหกไม่บกพร่อง | |||
กทัดรัดผิวเรี่ยมเอี่ยมละออง | ควรประคองไว้ถนอมเป็นจอมนาง ฯ | |||
๏ ชมพลางย่างมาพระแท่นใหญ่ | ตรงเข้าไปรวบรูดวิสูตรกร่าง | |||
แต่ล้วนเครื่องทองคำดูสำอาง | พระแสงวางข้างที่มีหลายองค์ | |||
แลเห็นเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นไอศวรรย์ | สถิตบรรจถรณ์ประเทืองเรืองระหง | |||
ดูขาวนวลอ้วนกลมสมทรวดทรง | ควรเป็นวงศ์อิศเรศเกศเชียงอินทร์ | |||
คลุมประทมถมเถือกด้วยทองชุด | เป็นเครือครุฑยุดนาคดูเฉิดฉิน | |||
ภูษาทรงพื้นแดงแย่งข้าวบิณฑ์ | ดูงามสิ้นสมศักดิ์กษัตรา | |||
พลายงามก็กรายเข้าซ้ายองค์ | ขุนแผนแสนณรงค์เข้าเบื้องขวา | |||
หยิบเอาพระแสงวางข้างที่มา | จนสิ้นราชสาตราจะรอนราญ | |||
แล้วสองนายเข้าประจำทั้งซ้ายขวา | ดังพระยาสีหราชอาจหาญ | |||
ขุนแผนเป่ามนตร์ประทับขับกุมาร | ผีก็คลานเคลื่อนตนลงพ้นองค์ | |||
ขุนแผนกระทืบเตียงทองร้องตวาด | ด้วยอำนาจพระยาครุฑสุดเสียงส่ง | |||
ฝ่ายว่าท้าวเจ้าฟ้ามลาวงศ์ | สะดุ้งองค์ตกประหม่าสง่าครุฑ | |||
ลืมพระเนตรเห็นไทยอยู่ในที่ | พระอินทรีย์เสียวสันพรั่นที่สุด | |||
นึกมานะจะประจญรณยุทธ์ | คว้าหาอาวุธไม่พบพาน | |||
ดังใครเอาตรีเพชรมาเด็ดเศียร | พระทัยเจียนจะแยกแตกฉาน | |||
ชีวิตกูตกอยู่ในมือมาร | ไม่ช้านานมันคงฆ่าชีวาวาย | |||
จะออกปากวอนง้อขอชีวิต | ก็ละอายแก่จิตไม่คิดหมาย | |||
ลุกขึ้นนั่งนิ่งไม่ติงกาย | มาดหมายว่าไม่มีชีวาคง ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | เห็นเจ้าเชียงอินทร์สิ้นคิดตะลึงหลง | |||
หากมานะนั่งนิ่งไม่ติงองค์ | ขุนแผนส่งสุรเสียงประเปรี้ยงมา | |||
ฮ้าเฮ้ยพระยาปัจจามิตร | ตัวเป็นคนพาลผิดริษยา | |||
องค์พระจอมมงกุฎอยุธยา | มิได้มาย่ำยีเมืองเชียงอินทร์ | |||
เจ้าฟ้าสัตนาคนหุต | ถวายบุตรกรุงไทยดังใจถวิล | |||
ตัวกระทำจัญไรใจทมิฬ | ออกชิงไว้ให้สิ้นเสียไมตรี | |||
ทั้งพวกไทยที่มารับก็จับจำ | เฆี่ยนขับยับระยำจนป่นปี้ | |||
แล้วมีสารไปท้าถึงธานี | ให้กรูกรีรี้พลมาชนช้าง | |||
ไม่เจียมตัวเป็นประจันตประเทศ | ช่างโอหังบังเหตุเสียสิ้นอย่าง | |||
จึงตรัสใช้เราทหารแต่ปานกลาง | ให้มาล้างชีวันให้บรรลัย | |||
อย่านั่งก้มหน้านิ่งไม่ติงกาย | จะยอมตายหรือจะคิดกลับจิตใหม่ | |||
แผ่นดินลาวนี้จะเห็นเป็นของใคร | จะว่าไรว่ามาอย่านิ่งนาน ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ครั้นได้ฟัง | อุระดังเพลิงไหม้ประลัยผลาญ | |||
สุดฤทธิ์ที่จะคิดประจัญบาน | ด้วยทหารกรุงไทยอยู่ใกล้ตน | |||
จะต่อตีก็ไม่มีอาวุธสู้ | เป็นสุดรู้สุดฤทธิ์ติดขัดสน | |||
จะผุดลุกหนีไปก็ไม่พ้น | ให้อัดอ้นจนจิตคิดเสียใจ | |||
กลัวตายคลายมานะละทิฐิ | ดำริแล้วดำรัสตรัสปราศรัย | |||
นี่แน่ะท่านสองทหารอันชาญชัย | ข้อยก็ได้พลั้งจิตผิดเสียแล้ว | |||
ถ้าท่านไว้ชีวิตคิดเมตตา | จะเป็นข้าพระทูลกระหม่อมแก้ว | |||
สร้อยทองข้อยบ่ได้ไปวี่แวว | มิได้แผ้วพานพ้องประเพณี | |||
จะอ่อนน้อมยอมถวายเจ้านายแล้ว | ทั้งลูกแก้วเมียมิ่งมเหสี | |||
ทั้งเวียงชัยไพร่ฟ้าข้าบุรี | ถวายไว้ใต้ธุลีพระบาทา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนกับพลายงาม | ได้ฟังความเจ้าเชียงอินทร์สิ้นกังขา | |||
เห็นเต็มหวั่นครั่นคร้ามความมรณา | ก็รู้ว่ายอมตัวกลัวเป็นแท้ | |||
จึงตอบว่าวาจาของเจ้าตรัส | ยังจะสัตย์สุจริตสนิทแน่ | |||
หรือเห็นเข้าที่คับจึงรับแท้ | แล้วจะเบือนเชือนแชดอกกระมัง ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังจึงตอบถ้อย | อันคำข้อยเว้าแล้วบ่ถอยหลัง | |||
ทุกสิ่งสิ้นสารพัดเป็นสัจจัง | ชาติกษัตริย์ตรัสดังว่าช้างงา | |||
ถ้าขืนคดหดเหี้ยนเหมือนเศียรเต่า | ขอให้เราสิ้นชีวังสังขาร์ | |||
แล้วทนทุกข์ท่วมหัวชั่วกัลปา | ในมหาโลกันต์แต่วันตาย | |||
จะเชื่อคำข้าเฝ้าเหล่าลูกเมีย | ยุให้เสียสุจริตอย่าคิดหมาย | |||
จะถือสัตย์ให้ตลอดจนวอดวาย | ขอให้ท่านสองนายจงวางใจ ฯ | |||
๏ ขุนแผนฟังท้าวเจ้าเชียงอินทร์ | ให้ความสัตย์สมถวิลสิ้นสงสัย | |||
ทั้งสองนายคลายขู่ลงทันใด | เข้านั่งใกล้แล้วกล่าววาจาพลัน | |||
ถ้าเที่ยงตรงคงสัตย์ปฏิญญาณ | ซึ่งโทษท่านนั้นไว้ให้หม่อมฉัน | |||
จะเบี่ยงบ่ายทูลองค์พระทรงธรรม์ | มิให้ท่านอันตรายวายชีวิต | |||
แล้วพ่อลูกก็ถวายพระแสงคืน | จงชูชื่นเถิดอย่าช้ำระกำจิต | |||
จะทูลลาพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ | คืนไปที่สถิตกองทัพไทย ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงอินทร์คำนับรับพระแสง | พระพักตร์แดงมัวหมองค่อยผ่องใส | |||
ถ้าแม้นท่านเมตตาเหมือนว่าไว้ | ก็จะรอดบรรลัยด้วยสองนาย | |||
ขอมอบชีวิตไว้ที่ในท่าน | ช่วยโปรดปรานเพ็ดทูลขยับขยาย | |||
ให้พระองค์ทรงโปรดโทษเคลื่อนคลาย | จะเป็นตายก็เพราะท่านกรุณา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | กับลูกชายพลายงามงามสง่า | |||
ได้ฟังเจ้าธานีมีเมตตา | จึงตอบว่าอย่าแหนงแคลงพระทัย | |||
ที่ทูลรับกับท่านนั้นทุกสิ่ง | เป็นคำจริงหามีมุสาไม่ | |||
แม้นพระองค์คงสัตย์เหมือนตรัสไว้ | คงมิให้ตัวท่านอันตราย | |||
ทั้งสองคนพ่อลูกขอสมา | แล้วลุกลาจรจรัลผันผาย | |||
ลงจากปรางค์ย่างเยื้องชำเลืองกาย | กระซิบสั่งโหงพรายกุมารทอง | |||
เอ็งจงดูอยู่ปรางค์อย่าห่างไกล | ประจำเจ้าเชียงใหม่อยู่ในห้อง | |||
สะกดตามทุกรอยคอยสอดมอง | เธอจะตรองอย่างไรก็ให้รู้ | |||
ลูกเมียมาตะบอยอ้อยอิ่ง | เธอตรงไว้ไม่ประวิงให้นิ่งอยู่ | |||
ถ้าเชื่อเมียเสียสัตย์เป็นศัตรู | เอ็งรีบออกไปบอกกูอย่านอนใจ | |||
สั่งพลางทางแก้สะกดคน | ล่องหนออกทางช่องลูกดาลไข | |||
ขุนแผนพลายงามตามกันไป | ถึงกองทัพไทยมิได้ช้า ฯ | |||
๏ เดินยิ้มเข้าในค่ายไปนั่งลง | พระท้ายน้ำกำกงพวกอาสา | |||
ทั้งพวกไพร่ทั้งหลายเห็นนายมา | ต่างวันทาไต่ถามความณรงค์ | |||
ขุนแผนเล่าแจ้งแถลงความ | ที่ไปกับพลายงามตามประสงค์ | |||
ลอบสะกดเข้าได้จนใกล้องค์ | แล้วปลุกขึ้นจะปลงชีวิตท้าว | |||
เธอตกใจจวนตัวกลัวความตาย | ยอมถวายสร้อยทองกับลูกสาว | |||
ทั้งเสนาข้าแผ่นดินสิ้นเมืองลาว | ทั้งไพร่เจ้าเมียมิ่งแลศฤงคาร | |||
ตัวเธอก็ถ่อมยอมเป็นข้า | ขอขึ้นอยุธยามหาสถาน | |||
ขอแต่อย่าให้ตายวายปรารณ | ได้ให้สัตย์ปฏิญญาณไว้แน่นอน ฯ | |||
๏ พวกนายไพร่ได้ฟังขุนแผนว่า | ทั้งไทยลาวราวจะพากันบินร่อน | |||
เสร็จศึกเชียงอินทร์สิ้นทุกข์ร้อน | จะร้องละครไปบ้านสำราญใจ | |||
ทั้งนายไพร่พูดจ้อหัวร่อร่า | จนเวลาจวบจวนประจุสมัย | |||
ขุนแผนกับพลายงามผู้ทรามวัย | ก็เข้าในที่สถิตแล้วนิทรา ฯ | |||
๏ ครั้นอุทัยไขประเทองเรืองรุ่งราง | ส่องสว่างทั่วทศทิศา | |||
ฝ่ายพระจอมเชียงอินทร์ปิ่นนครา | เสด็จมาที่สถิตพระเทพี | |||
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | แล้วดำรัสบอกมิ่งมเหสี | |||
พี่นอนหลับใหลในราตรี | ไพรีเข้ามาได้จนใกล้กาย | |||
ครั้นสะดุ้งจิตฟื้นตื่นผวา | คว้าหาอาวุธก็สูญหาย | |||
จะแล่นหนีปัจจามิตรก็คิดอาย | จึงถวายกรุงลาวกับชาวไทย | |||
ทั้งองค์นางสร้อยทองของสำคัญ | พระสนมกำนัลน้อยใหญ่ | |||
ทั้งเจ้าข้อยสร้อยฟ้าข้าเวียงชัย | ถวายไว้ใต้เบื้องบทมาลย์ | |||
พี่ยอมน้อมคำนับรับความผิด | ขอแต่ชีวิตอย่าสังหาร | |||
จะถวายสุวรรณบรรณาการ | ได้ให้สัตย์ปฏิญญาณทุกสิ่งไป | |||
ก็ขอบใจไพรีที่เข้ามา | เราสัญญาเขาก็กลับไปทัพใหญ่ | |||
ดวงจิตเจ้าอย่าคิดเสียน้ำใจ | เพราะมีกรรมทำไว้แต่ก่อนมา ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรมารศรี | ได้สดับคดีที่ผัวว่า | |||
ดังพระกาฬจะผลาญให้มรณา | ก็โศกาข้อนทรวงเข้าร่ำไร | |||
เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของเมียแก้ว | ได้ทูลแล้วหาฟังคำเมียไม่ | |||
เพราะรู้แน่แท้เที่ยงจะเกิดภัย | แต่แรกไทยยกมาถึงธานี | |||
สะกดคุกลักคนปล้นช้างม้า | เข่นฆ่าผู้คนเสียป่นปี้ | |||
เพียงคนสามสิบห้ามาเท่านี้ | แม้นไม่ดีหรือจะหาญมาราญรอน | |||
เสนาห้านายไปรบมัน | ก็แตกตายก่ายทับเป็นไม้ขอน | |||
ทั้งทัพผีก็หนีเข้าซอกซอน | แต่ภูธรดื้อดึงตะบึงไป | |||
แม้นพระองค์ทรงฤทธิ์คิดปรองดอง | ส่งสร้อยทองคืนเสียไปเกลี่ยไกล่ | |||
กองทัพก็จะกลับไปกรุงไทย | เชียงใหม่จะดำรงคงเจริญ | |||
แต่นี้ไปไหนจะพ้นความฉิบหาย | ถึงไม่ตายก็จะตกระหกระเหิน | |||
ฝูงประชาก็จะซ้ำระยับระเยิน | ต้องเป็นทุกข์ฉุกเฉินทั้งไพร่นาย | |||
เหมือนปางหลังเมื่อครั้งนางสีดา | เกิดมาล้างลงกาให้ฉิบหาย | |||
ทศพักตร์รักหลงให้วงศ์วาย | ต้องฆ่าฟันกันตายลงก่ายกอง | |||
นางมณโฑทูลทัดท้าวขัดเคือง | จึงบรรลัยไพร่เมืองได้หม่นหมอง | |||
เหมือนครั้งนี้พระองค์หลงสร้อยทอง | จึงได้พาพวกพ้องต้องบรรลัย | |||
นางสร้อยทองก็ทำนองนางสีดา | เกิดมาล้างผลาญเมืองเชียงใหม่ | |||
ครั้นเมียห้ามก็ว่าหึงจึงจนใจ | ร่ำพลางสะอื้นไห้ไม่สมประดี ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังนางอัปสร | ให้เร่าร้อนฤทัยดังไฟจี้ | |||
จึงดำรัสตรัสตอบพระเทพี | จะขืนเฝ้าเซ้าซี้ไปทำไม | |||
ใช่พะวงหลงรักนางสร้อยทอง | เพราะเคืองข้องเวียงจันทน์นั้นข้อใหญ่ | |||
ไม่เกรงขามข้ามหน้าไปหาไทย | เราจึงชิงนางไว้ในพารา | |||
ถ้าแม้นพี่สมัครรักจริง | ไหนจะนิ่งเสียไม่ร่วมเสนหา | |||
เป็นกึ่งปีพี่มิได้จะไปมา | นิจจาเจ้าเฝ้าว่าให้ช้ำใจ | |||
รู้ว่าธานีจะมีทัพ | รบรับหมายจะสู้ศัตรูได้ | |||
เหมือนเขาเล่นการพนันกันอึงไป | จะใคร่ดีมีชัยจึงเล่นกัน | |||
ไม่สมมาตรคาดผิดก็แพ้เขา | จะขืนเฝ้าเสียดแทงมาแกล้งกลั่น | |||
ไหนไหนก็ได้พลั้งยั้งไม่ทัน | จะโศกศัลย์เสียเปล่าไม่เข้าการ | |||
ถ้าร้องร่ำน้ำตาเป็นโลหิต | ความผิดก็ไม่คลายหายร้าวฉาน | |||
จะถึงเข็ญมันก็เป็นไปตามกาล | ถึงที่ตายวายปราณก็คงตาย ฯ | |||
๏ ตรัสเสร็จเสด็จออกข้างฝ่ายหน้า | พร้อมเหล่าท้าวพระยาสิ้นทั้งหลาย | |||
จึงตรัสเล่าอนุสนธิ์ต้นปลาย | ซึ่งถวายเมืองขึ้นกับกรุงไทย | |||
สูไปบอกนายไพร่ให้มันรู้ | ให้รื้อค่ายเปิดประตูเมืองเชียงใหม่ | |||
ปืนล้อลากกลับเข้าโรงใน | แล้วเลิกไล่คนออกเสียนอกวัง | |||
ท้องสนามปราบปรามให้ราบเรียบ | ปลูกทำเนียบขึ้นให้ดียี่สิบหลัง | |||
ทำหอกลางขวางรีมีฝาบัง | ไม้ไผ่ตั้งเรียงรำทำรั้วราย | |||
สนามเล่นต่างต่างวิ่งช้างม้า | เป็นข้างหน้าข้างในให้เฉิดฉาย | |||
เอาผ้าขาวดาดเเพดานผูกม่านราย | แล้วไปเชิญสองนายกับไพร่มา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระยาจันทรังสี | ได้สดับรับคดีใส่เกศา | |||
ถอยหลังลนลานคลานออกมา | สั่งเสนาหลายนายแยกย้ายไป | |||
บ้างเกก็บงำปืนผาเลิกหน้าที่ | เปิดประตูบูรีอยู่ขวักไขว่ | |||
ปล่อยประชาชนชาวนอกให้ออกไป | ข้างในทำทำเนียบเทียบที่ทาง | |||
ปลูกเรือนขวางรียี่สิบหลัง | ระเนียดบังล้อมไว้ให้ใหญ่กว้าง | |||
ทั้งปลูกโรงน้อยใหญ่ไว้ม้าช้าง | ถากถางที่ปราบราบรื่นไป | |||
แล้วบัญชาสั่งเสียพวกเพี้ยกวาน | ให้ไปเชิญสองท่านเม่ทัพใหญ่ | |||
เข้ามาอยู่ที่เทียบทำเนียบใน | ทั้งนายไพร่ไทยลาวชาวเวียงจันทน์ ฯ | |||
๏ ท้าวหนูผู้เฒ่าเหล่าเพี้ยกวาน | จัดเอาคานหามมาขมีขมัน | |||
ถึงกองทัพไทยเข้าไปพลัน | อภิวันท์อัญเชิญทั้งสองนาย | |||
ว่าพระจอมเชียงอินทร์ปิ่นไอศวรรย์ | ให้มาเชิญสองทั่นนั้นผันผาย | |||
กับทหารลาวไทยทั้งไพร่นาย | เข้าไปพักให้สบายในบุรี ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์แรงราวราชสีห์ | |||
เห็นเพี้ยกวานคลานมาอัญชลี | เชิญเข้าไปอยู่ที่ทำเนียบใน | |||
ชวนเจ้าพลายท้ายน้ำกำกึงกง | กับอาสาจตุรงค์ทั้งนายไพร่ | |||
แล้วขุนแผนนำหน้าคลาไคล | ขึ้นนั่งในคานหามมาสามนาย | |||
กำกงขี้ม้ามาข้างหลัง | สะพรั่งพร้อมโยธามาทั้งหลาย | |||
ครั้นถึงที่ทำเนียบเขาเรียบราย | ทั้งนายไพร่ก็เข้าพักสำนักใน | |||
ออกสะพรั่งนั่นอนสลอนหลาม | อยู่กันตามตำแหน่งผู้น้อยใหญ่ | |||
วิเสทแต่งเครื่องเทียบเพียบไป | เลี้ยงกองทัพไทยทุกเพลา ฯ | |||
ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนพลายงามยกทัพกลับ
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | พระท้ายน้ำพลายงามนั่งปรึกษา | |||
บัดนี้มีชัยได้พารา | จำจะแจ้งกิจจาไปกรุงไกร | |||
ให้พระองค์ทรงทราบข่าวคดี | ว่าเราตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ | |||
ทั้งตัวเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นราชัย | จะโปรดปรานประการใดให้รู้ความ | |||
จึงพร้อมใจให้เขียนเป็นสารา | ประทับตราหนุมานชาญสนาม | |||
กับสำเนาเข้าผนึกบันทึกความ | ห่อสามชั้นใส่ในกลักพลัน | |||
ปากกระบอกพอกคลั่งประจำตรา | สั่งนายปานขวานฟ้านายคงมั่น | |||
เอ็งไปเลือกม้าดีที่สำคัญ | พากันรีบไปในพรุ่งนี้ | |||
ไปทางลัดตัดตรงลงระแหง | พ้นกำแพงหมายมุ่งเอากรุงศรี | |||
เสร็จการกลับมาอย่าช้าที | ให้ถึงนี่ปลายเดือนอย่าเคลื่อนคลา ฯ | |||
๏ สองนายคำนับรับกระบอก | ออกมารีบรัดจัดห่อผ้า | |||
ได้ข้าวตากรอกไถ้ไปผูกม้า | เลือกหาถูกทำนองที่ว่องไว | |||
ได้ม้าเผ่นผจญด้นธรณี | ต่างขึ้นขี่ควบร่อยแล้วปล่อยใหญ่ | |||
ลัดป่าผ่าดงตรงไป | พอได้สิบวันครึ่งถึงอยุธยา | |||
ตรงมาศาลาลูกขุนใน | เรียนเจ้าคุณผู้ใหญ่อยู่พร้อมหน้า | |||
บัดนี้ท่านขุนแผนแสนศักดา | ให้กระผมถือตรามากราบเท้า | |||
บอกขานการไปรณรงค์ | ให้กราบทูลพระองค์ทรงทราบข่าว | |||
ว่าบัดนี้มีชัยได้เมืองลาว | จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประการใด ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณอธิบดี | ทราบว่าตีได้เวียงเชียงใหม่ | |||
สั่งนายเวรทันทีด้วยดีใจ | คัดบอกไวไวมาให้เรา | |||
นุ่งสมปักปูมแดงแย่งนาคราช | หยิบผ้ากรายมาคาดบั้นเอวเข้า | |||
จวนเสด็จออกข้างหน้าเวลาเช้า | ก็รีบไปคอยเฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ | สถิตที่ข้างในมไหศวรรย์ | |||
พอเวลาสายสีรวีวรรณ | จรจรัลออกพระโรงพรรณราย | |||
ประทับเหนือพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรจำรัสฉาย | |||
เหล่าอำมาตย์หมื่นหมอบนอบน้อมกาย | กราบถวายบังคมอยู่พร้อมกัน ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าคุณอธิบดี | กราบทูลทันทีขมีขมัน | |||
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ชีวันอยู่ใต้พระบาทา | |||
บัดนี้ขุนแผนแสนสงคราม | กับนายพลายงามซึ่งอาสา | |||
บอกมากราบทูลพระกรุณา | เสมียนตราคลี่บอกออกอ่านพลัน ฯ | |||
๏ ในบอกว่าขุนแผนแสนสงคราม | กับนายพลายงามคนขยัน | |||
อาสาบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | คุมพหลพลขันธ์ไปชิงชัย | |||
ได้เร่งรัดจตุรงค์ทวยหาญ | ยกขึ้นไปถึงชานเมืองเชียงใหม่ | |||
ให้หยุดทัพยับยั้งตั้งซุ่มไว้ | แล้วปลอมตัวเข้าไปในพารา | |||
เวลาค่ำลอบเข้าในคุกใหญ่ | แก้ไขไทยมาได้ถ้วนหน้า | |||
ช่วยกันฆ่าคนปล้นช้างม้า | แล้วกลับมาที่ตั้งยั้งโยธี | |||
ครั้นรุ่งเช้าลาวยกมาห้าทัพ | ไพร่พลคนคับทั้งไพรศรี | |||
ข้าพเจ้าขับพลเข้าราวี | ต่อตีรุมรบตะลุมบอน | |||
ฆ่านายตายลงในที่รบ | ไพร่ก็หลบหนีหายกระจายว่อน | |||
ทั้งห้าทัพกลับถอยเข้านคร | ปิดประตูลงกลอนไว้ทุกชั้น | |||
แล้วรักษาหน้าที่ใบเสมา | ตรวจตราเข้มงวดกวดขัน | |||
กองไฟไว้สว่างเหมือนกลางวัน | คอยป้องกันตั้งรับกองทัพไทย | |||
ในคืนนั้นข้าพเจ้ากับพลายงาม | ลอบตามขึ้นปราสาทเจ้าเชียงใหม่ | |||
พบกำลังนอนหลับจับตัวไว้ | แล้วปลุกขึ้นตกใจอยู่ลนลาน | |||
กลัวตายขอถวายองค์สร้อยทอง | กับพวกพ้องประยูรญาติราชฐาน | |||
ทั้งธิดาเมียมิ่งแลศฤงคาร | ไว้ใต้เบื้องบทมาลย์พระทรงฤทธิ์ | |||
ส่วนตัวนั้นก็ถ่อมยอมเป็นข้า | ถวายราชบรรณาจนดับจิต | |||
ขอแต่อย่าให้ตายวายชีวิต | ให้ความสัตย์สุจริตทุกสิ่งอัน | |||
เห็นรับเป็นสัจจังพอฟังได้ | จึงงดไว้ไม่ฆ่าให้อาสัญ | |||
ข้าพเจ้าตรึกตราปรึกษากัน | ให้นายปานกับนายมั่นถือบอกมา | |||
ให้ความทราบบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ | ถ้าพลั้งผิดได้โปรดเหนือเกศา | |||
ยับยั้งฟังพระราชบัญชา | จะทรงพระกรุณาประการใด ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทราบเหตุว่าตีเชียงใหม่ได้ | |||
ราวกับจอมสุทัศน์สหัสนัยน์ | มาเชิญให้ไปผ่านพิมานอินทร์ | |||
พระพักตร์ผุดผ่องพรรณรังสี | เปรมปรีดิ์ชื่นชมสมถวิล | |||
เออกระนี้สิหนอพอได้ยิน | เหมือนปลิดปลดหมดสิ้นที่ขุ่นแค้น | |||
กูเป็นไข้ใจมานี่กว่าปี | วันนี้หายป่วยด้วยขุนแผน | |||
ที่มันทำความชอบจะตอบแทน | ทั้งพ่อลูกให้แม้นเสมอกัน | |||
เจ้าพระยาจักรีจงมีตรา | ให้หากองทัพกลับเขตขัณฑ์ | |||
ส่วนอ้ายเฒ่าเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น | ว่าโทษมันถึงอุกฤษฎ์เพราะคิดร้าย | |||
ต้องตามกำหนดบทอัยการ | ควรประหารชีวิตให้ฉิบหาย | |||
พวกเสนาข้าเฝ้าเข้ากับนาย | ก็ล้วนโทษถึงตายไม่เว้นตัว | |||
ส่วนบุตรภรรยาข้าทาส | ต้องตกเป็นคนระบาตรด้วยโทษผัว | |||
ริบทั้งช้างม้าแลควายวัว | ครอบครัวเงินทองของที่มี | |||
ทั้งบรรดาหญิงชายชาวนคร | ต้องกวาดต้อนเป็นเชลยมาตามที่ | |||
ข้อที่มันอ่อนน้อมยอมภักดี | กูปรานียกให้ชีวิตไว้ | |||
แต่กวาดตัวเอาครัวมาให้หมด | ให้ปรากฏแก่ประเทศทั้งน้อยใหญ่ | |||
จะได้เป็นเยี่ยงอย่างข้างหน้าไป | มิให้ใครทุจริตผิดเหมือนมัน | |||
อนึ่งนางสร้อยทองผ่องโสภา | ซึ่งมันกล้าชิงไปเชียงใหม่นั่น | |||
กับสร้อยฟ้าธิดาของมันนั้น | ให้ส่งกันมาอย่างเป็นนางใน | |||
ด้วยว่าราชบุตรีศรีสัตนา | เป็นต้นเหตุรบรากับเชียงใหม่ | |||
จึงจะเป็นเกียรติยศปรากฏไป | ว่ามีชัยได้นางนั้นคืนมา | |||
จงจัดเรือประเทียบให้เรียบร้อย | ขึ้นไปคอยรับนางให้ถึงท่า | |||
เรือรับอ้ายขุนแผนแสนศักดา | ก็เอาเรือกัญญาไปสองลำ | |||
ทั้งพ่อลูกความดีมีหนักหนา | ให้มันขี่เรือกัญญามาให้ขำ | |||
ให้ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งทุกคุ้งน้ำ | ว่าไปทำเชียงใหม่ได้บ้านเมือง | |||
อันครอบครัวกับตัวอ้ายเชียงใหม่ | เอามันใส่เรือตามให้หลามเนื่อง | |||
มันอยากทำวุ่นให้ขุ่นเคือง | ให้ชาวเมืองดูเล่นเป็นขวัญตา ฯ | |||
๏ ท่านเจ้าคุณมหาดไทยชัยชาญ | รับพระราชโองการใส่เกศา | |||
ออกจากพระโรงชัยไปศาลา | ให้ร่างเรื่องสารตราเข้าฉับพลัน | |||
ขึ้นกระดาษเสร็จสรรพประทับตรา | ใส่กลักปิดฝาสนิทมั่น | |||
สองนายรับตรากราบลาพลัน | พากันรีบออกกนอกกรุงไกร | |||
ขับม้าลัดไปในไพรสัณฑ์ | สิบวันเร่งตะบึงถึงเชียงใหม่ | |||
ลงจากม้าหมอบกรานคลานเข้าไป | ส่งกลักตราให้ขุนแผนพลัน ฯ | |||
๏ ขุนแผนคำนับแล้วรับสาร | ต่อยกลักออกอ่านขมีขมัน | |||
ทราบเรื่องสารตราสารพัน | ก็บอกกันถ้วนหน้าบรรดาไทย | |||
แล้วสั่งลูกชายเจ้าพลายงาม | เจ้าเข้าไปแจ้งความเจ้าเชียงใหม่ | |||
ว่าบัดนี้พระองค์ผู้ทรงชัย | ให้กวาดครัวลงไปอยุธยา | |||
เก็บทั้งสมบัติพัสถาน | ประทานแต่ชีวิตไม่เข่นฆ่า | |||
ให้บอกกล่าวกันทั่วตัวประชา | เราจะรั้งรอท่าสิบห้าวัน ฯ | |||
๏ พลายงามรับคำแล้วอำลา | พวกอาสาตามหลังไปเป็นหลั่น | |||
เข้าไปในท้องพระโรงพลัน | อภิวันท์ทูลท้าวเจ้าเชียงอินทร์ | |||
ว่ามีตรามาแต่พระราชฐาน | ให้กวาดกว้านครัวไปให้เสร็จสิ้น | |||
ด้วยความผิดคิดร้ายในแผ่นดิน | ทั้งภูมินทร์เมียมิ่งศฤงคาร | |||
ให้เสนารักษาเมืองเชียงใหม่ | คุมพระองค์ลงไปราชฐาน | |||
ให้ต้องตามจารีตโบราณกาล | พระราชทานแต่ชีวันไม่บรรลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นนคเรศ | ทราบเหตุว่าจะกวาดไปกรุงใต้ | |||
แสนวิตกอกร้อนดังนอนไฟ | พระพักตร์ไหม้หมองหมดสลดพลัน | |||
กล่าวสุนทรวอนว่ากับพลายงาม | ก็รู้ความอยู่ว่าโทษเป็นมหันต์ | |||
ครั้งนี้ที่จะปลอดรอดชีวัน | ก็เพราะทั่นแม่ทัพทั้งสองนาย | |||
เจ้าพลายตอบว่าอย่าเศร้าจิต | ด้วยโทษท่านนั้นอุกฤษฎ์ผิดมากหลาย | |||
จำเป็นจำยากลำบากกาย | จะช่วยทูลเบี่ยงบ่ายให้คืนเมือง ฯ | |||
๏ สาธุข้อยก็หวังทั้งสองนาย | รอดตายก็เพราะท่านช่วยปลดเปลื้อง | |||
แม้นได้คืนเชียงอินทร์สิ้นความเคือง | จะมอบกายถวายเครื่องบรรณาการ | |||
เจ้าพลายงามรับคำแล้วอำลา | กลับมาที่อยู่หมู่ทหาร | |||
เจ้าเชียงใหม่สั่งเสียพวกเพี้ยกวาน | ให้ร้องป่าวชาวบ้านทั้งบุรี | |||
สั่งเสร็จก็เสด็จเยื้องย่าง | กลับเข้าในปรางค์ปราสาทศรี | |||
พระทัยแสนโศกศัลย์พันทวี | มาถึงที่แท่นทองห้องไสยา | |||
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | ตรัสบอกนางอัปสนเสนหา | |||
ว่าพระจอมมงกุฎอยุธยา | มีท้องตรามาถึงท่านแม่ทัพ | |||
ให้กวาดครัวกับตัวเราลงไป | คงตกอยู่กรุงไทยมิได้กลับ | |||
ทั้งผู้คนใหญ่น้อยจะพลอยยับ | ต้องล้มตายก่ายทับไปรวดทาง | |||
โอ้ว่ากองกรรมมานำจิต | ให้กระทำทุจริตไปผิดอย่าง | |||
อยู่หลัดหลัดจะมาพลัดไปจากปรางค์ | ตรัสพลางโศกศัลย์รำพันครวญ ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรสุมาลัย | ได้ฟังร่ำไห้พิไรหวน | |||
แสนสนมกำนัลก็รัญจจวน | สุดกำสรวลแสนกำสรดสลดใจ | |||
โอ้อกจะตกไปกรุงล่าง | จะย่อยยับอับปางเป็นไฉน | |||
ต้องตกทุกข์ขุกเข็ญเป็นบ่าวไทย | จะบรรลัยแหลกล่มถมดินดาน | |||
ลูกเต้าจะกำจัดพลัดพ่อแม่ | ปู่เฒ่าย่าแก่จะพลัดหลาน | |||
องค์กษัตริย์กำจัดจากศฤงคาร | สาวสนมก็จะพล่านไปพลัดวัง | |||
คุณจอมหม่อมยายข้างฝ่ายใน | เสียงร้องไห้เซ็งแซ่ดังแตรสังข์ | |||
ลงกลิ้งเกลือกเสือกดิ้นสิ้นกำลัง | เหมือนนางรังต้องล้มระเนนไป ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่ใจอนาถ | ตรัสประภาษแก่สนมทั้งน้อยใหญ่ | |||
จะกลั้นกลืนโศกเศร้าให้เบาใจ | มิบรรลัยคงได้มาพาราเรา | |||
ถ้าตัวกูตายอยู่ในเมืองใต้ | เอ็งจึงจะต้องไปเป็นข้าเขา | |||
เดชะบุญโทษทัณฑ์ถ้าบรรเทา | พวกสูเจ้าคงไม่ตกอยู่เมืองไทย | |||
นี่กองกรรมเราทำไว้ด้วยกัน | มาตามทันเราทั้งผองอย่าร้องไห้ | |||
จงสู้กรรมไปก่อนอย่าร้อนใจ | ถึงร้องไปก็ไม่พ้นเวทนา ฯ | |||
๏ ฝ่ายฝูงประชาชาติราษฎร | ก็ทุกข์ร้อนข้อนอกไปทั่วหน้า | |||
ดังจะตีตนตายฟายน้ำตา | ต่างจัดหาของข้าวจะเอาไป | |||
บ้างเลื่อยกลักจักระบอกกรอกปลาร้า | ทั้งน้ำปลาปลาแดกเอาแทรกใส่ | |||
พริกกะเกลือเนื้อกวางเอาย่างไว้ | บ้างเย็บไถ้ใส่ข้าวตากจัดหมากพลู | |||
ครกกระบากสากจ่าปลาร้าปลาแห้ง | หม้อข้าวหม้อแกงกระทะหู | |||
เที่ยววิ่งลนค้นหาน้ำตาพรู | บ้างแลดูหน้าเมียเสียน้ำใจ | |||
บ้างข้อนอกอึกอึกนึกถึงชู้ | บ้างแต่งขันหมากรากพลูอยู่ใหม่ใหม่ | |||
กำลังมัวหวานมันไม่ทันไร | เข้าในห้องร้องไห้ทั้งผัวเมีย | |||
ลางคนปลูกหอเพิ่งขอสู่ | พวกผู้ใหญ่ให้อยู่ด้วยกันเสีย | |||
ที่ผัวตายเป็นม่ายมีแต่เมีย | ลงทอดตัวงัวเงียร้องไห้งอ | |||
ที่นักเลงขับร้องก็ตรองเตรียม | เคี่ยมเคี้ยเพลี้ยแคนทั้งปี่อ้อ | |||
โทนทับกระจับปี่สีซอ | เตรียมไปขอทานเขาเอามากิน | |||
บ้างมีทองของแห้งเครื่องแต่งตน | เอาซุกซนซ่อนไว้ในผ้าซิ่น | |||
ทั้งแหวนเล็กแหวนน้อยหัวพลอยนิล | บ้างถอดปิ่นที่ปักหักห่อไป | |||
ที่ของหยาบหยาบเหลือหาบคอน | เอาซุกซ่อนไว้ในโพรงต้นไม่ใหญ่ | |||
บ้างฝังแฝงปลอมผีที่วัดไว้ | บ้างซุกใส่สระบ่อแลท่อน้ำ | |||
บ้างพ่อแม่แก่เกินเดินไม่รอด | บ้างตาบอดเสียขาอะร้าอะร่ำ | |||
ที่ป่วยเจ็บไข้จับระยับยำ | จะปลุกปล้ำกันไปไม่ไหวแท้ | |||
บ้างตาปู่อยู่บ้านลูกหลานไป | เสียงร้องไห้รักกันสนั่นแซ่ | |||
ทั้งลูกเล็กเด็กกระจอมมอแม | บ้างท้องแก่ไปไม่รอดลงทอดตัว | |||
บ้างออกลูกมาสักครู่เพิ่งอยู่ไฟ | พ่อก็ไปทัพตายเป็นม่ายผัว | |||
จะอยู่ก็ไม่ได้ไปก็กลัว | แต่ตีอกชกหัวไปทั่วเมือง ฯ | |||
๏ ครั้นจะใกล้เลิกทัพเขาขับต้อน | เที่ยวหาบคอนเกลื่อนกล่นถนนเนื่อง | |||
พวกนางในให้เทวษทวีเคือง | ต่างจัดเครื่องเงินทองข้าวของตน | |||
องค์พระเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นราชัย | รับสั่งให้ผูกช้างมาเกลื่อนกล่น | |||
ให้นางห้ามขึ้นนั่งหลังละคน | ข้าวของกองล้นบนสัปคับ | |||
ตุณท้าวชาววังสั่งโขลนจ่า | ให้ขึ้นหน้าประจำอยู่กำกับ | |||
พวกสนมกรมวังก็คั่งคับ | เทียบไว้เป็นอันดับออกดาดดิน | |||
ช้างทรงสร้อยทองกับสร้อยฟ้า | กระโจมทองสองหน้าดูเฉิดฉิน | |||
ดาดพื้นสีแดงแย่งทรงข้าวบิณฑ์ | มีม่านทองป้องสิ้นกำบังองค์ | |||
ช้างที่นั่งเจ้าเชียงใหม่มเหสี | แต่ล้วนขี่กูบทองก่องก่ง | |||
หมอควาญคนขยันมั่นคง | เทียบประทับเกยทรงตรงชลา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผแสนสนิท | เรืองฤทธิ์เเชี่ยวชาญหาญกล้า | |||
กับพลายงามลูกรักอันศักดา | ต่างขึ้นคอช้างงาสง่างาม | |||
พระท้ายน้ำกำกงธงอาสา | ก็ขึ้นขี่ช้างงามาทั้งสาม | |||
เหล่าพวกทหารชาญสงคราม | ขี่ช้างม้ามาตามออกหลามทาง | |||
ขุนแผนสั่งกำชับกับพวกไทย | จัดกันให้แยกกองเดินสองข้าง | |||
พวกครัวเดินรายมาสายกลาง | ให้กองช้างเดินก่อนผ่อนกันมา | |||
ให้บรรดาพวกลาวชาวเวียงจันทน์ | ช่วยป้องกันเดินรายทั้งซ้ายขวา | |||
คอยกำกับทัพลาวชาวพารา | ให้อาสาต้อนหลังระวังครัว | |||
ช้างเถื่อนมากว่าต่ออย่าอ้อแอ้ | ดูแลไปทั้งมวลให้ถ้วนทั่ว | |||
อ้ายพวกไหนสู้รบหรือหลบตัว | ออกสกัดตัดหัวอย่าไว้มัน ฯ | |||
๏ ครั้นได้ฤกษ์ให้เลิกโยธาทัพ | คั่งคับพสุธาโกลาลั่น | |||
พวกทหารขานโห่ขึ้นพร้อมกัน | ยิงปืนครื้นครั่นสนั่นไป | |||
องค์พระเจ้าเชียงใหม่มเหสี | กับสนมนารีทั้งน้อยใหญ่ | |||
ขึ้นช้างพร้อมกันด้วยทันใด | สั่งให้ท้าวหนูอยู่เฝ้าวัง | |||
ออกช้างทางประตูบูรพทิศ | เจ้าเชียงอินทร์ผินพิศมาเบื้องหลัง | |||
แลเห็นปรางค์มาศราชวัง | พระเนตรหลั่งชลนัยน์อาลัยลา | |||
โอ้เสียดายปราสาทราชฐาน | ได้อยู่มาช้านานแต่ปู่ย่า | |||
คงย่อยยับเยือกเย็นเป็นป่าช้า | จะรกร้างโรยราลงทุกวัน | |||
พระปรัศว์ทัดเทียมเทวสถาน | ปรางค์มาศดังวิมานเมืองสวรรค์ | |||
โอ้แต่นี้ลี้ลับไปฉับพลัน | สารพันจะผุพังเป็นรังแร้ง | |||
แสนเสียดายมิ่งไม้ในสวนขวา | ทั้งสระแก้วปทุมาจะเหือดแห้ง | |||
ท้องพระโรงก็จะร้างเป็นกลางแปลง | ที่นั่งโถงโรงแสงจะทรุดโทรม | |||
นิจจาเอ๋ยเคยออกที่นั่งเย็น | จะรกเป็นแฝกพงดงผักโหม | |||
เรือนสนมทุกตำหนักจะหักโทรม | ทั้งเสาโคมสี่คันจะอันตราย | |||
โอ้เสียดายโรงรถคชสาร | ทั้งโรงพาชีชาญจะฉิบหาย | |||
ป้อมกำแพงก็จะล่มถล่มทลาย | กระจัดกระจายทั่วสิ้นทั้งถิ่นเมือง | |||
เสียดายเอ๋ยเคยเล่นสนามจันทน์ | นับวันก็จะลุ่มเป็นคลองเหมือง | |||
ที่ท่าวังจะเป็นหาดน้ำขาดเคือง | ดินหล้าฟ้าจะเหลืองทั้งเมืองลาว ฯ | |||
๏ มเหสีโฉมยงองค์อัปสร | ก็อาวรณ์วิตกอกร้อนผ่าว | |||
ดังกริชกรดแกระทรวงให้ร่วงร้าว | อารมณ์ราวจะวินาศลงขาดรอน | |||
โอ้ตัวกูอยู่มาในเชียงใหม่ | เคยแต่ได้เสพสุขสโมสร | |||
ชั้นแต่มีที่ไปในนคร | ก็ทรงวออรชรให้ชูใจ | |||
พวกชะแม่แลหลามมาตามหลัง | ทั้งสนมกรมวังล้อมไสว | |||
โอ้อกจะตกไปกรุงไทย | จะเดินปนชนไหล่กับไพร่เลว | |||
ชั้นข้าหลวงก็จะล่วงมาบังคับ | จะยากยับเจ็บอกเหมือนตกเหว | |||
จนผ้าดีจะไม่มีอยู่พันเอว | อกจะแยกแหลกเหลวทุกวันไป | |||
โอ้อยู่เมืองเครื่องเสวยเคยประณีต | ตามจารีตมเหสีที่เชียงใหม่ | |||
ต้องพลัดพรากจากเมืองไปเคืองใจ | คงอดอยากยากไร้ไปตามกัน | |||
ร่ำพลางนางข้อนกายสยายเกศ | ชลเนตรไหลลงทรงโศกศัลย์ | |||
ทั้งเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | ต่างครวญคร่ำรำพันในทางจร ฯ | |||
๏ ครั้นยกออกนอกเวียงเมืองเชียงใหม่ | พวกไทยกองทัพก็ขับต้อน | |||
พวกลาวครัวกลัวราบบ้างหาบคอน | อุ้มลูกอ่อนจูงลูกแก่ออกแซ่ทาง | |||
บ้างแก่เฒ่าง่อยเปลี้ยบางเสียขา | เอาเปลหามกันมาอยู่ยุ่งย่าง | |||
ที่ลางพวกผู้ดีไม่มีช้าง | เอาวัวควายใส่ต่างบรรทุกไป | |||
ตารักตามาทั้งตาสาย | ถือหวายต้อนมาไม่ปราศรัย | |||
ใครบิดเบือนเชือนลัดพลัดออกไป | เอาหวายไล่ลุกล้มวิ่งซมซาน | |||
ตารักร้องว่าเอาอ้ายเฒ่าถี | อีพวกนี้ชาวตลาดมันจาดจ้าน | |||
กูกับอ้ายหลอไปขอทาน | มันเอาคานไล่เฆี่ยนหลังเจียนพัง | |||
กูจำหน้ามันไว้ได้สิ้นเสร็จ | คราวนี้จะแก้เผ็ดมันเสียมั่ง | |||
กูจะเฆี่ยนให้ร้องก้องดงรัง | เอาแต่เขากับหนังไปให้นาย | |||
ถึงเวลาอัสดงก็ปลงทัพ | ดูสะพรั่งคั่งคับคนทั้งหลาย | |||
ประทับทอดม้าช้างต่างวัวควาย | ออกเรียงรายแน่นไปในไพรวัน | |||
ที่ประทับสร้อยทองกับสร้อยฟ้า | ทำพลับพลาฝารอบเป็นขอบกั้น | |||
มีเพดานม่านทองไว้ป้องกัน | ที่ชั้นนอกคนนั่งระวังยาม | |||
เหล่าพวกครัวหน้านิ่วทั้งหิวอ่อน | บ้างปลดหาบปลงคอนลงนอนหลาม | |||
ธรรมเถียรนายกองร้องสั่งความ | ให้ชักหนามวงป้องกองไฟแดง | |||
อ้ายพวกไทยทรหดอดมานาน | พอพลบค่ำก็เที่ยวควานไปทุกแห่ง | |||
เห็นสาวนอนเข้าเสียดเบียดตะแคง | บ้างเข้าแฝงกูบอานคลานเข้าไป | |||
คลำถูกเหี่ยวที่อกก็ยกมือ | ปะที่ตึงดึงดื้อเข้าคว้าใส่ | |||
อีลาวตื่นคลำดูรู้ว่าไทย | ทำหลับเฉยเลยไปเสียก็มี | |||
ปะลางทีที่มันไม่เล่นก้วย | พอเข้าฉวยมันก็ร้องออกก้องมี่ | |||
ที่นอนใกล้ตกใจไม่สมประดี | สำคัญว่าเสือหมีเข้ากัดลาว | |||
ธรรมเถียรนายกองร้องห้ามไป | อึงอะไรนั่นหวาออกฉ่าฉาว | |||
อย่าตกใจมิใช่เสือหางยาว | มันเป็นเสือสองเท้าหางนิดเดียว | |||
อ้ายเสือเลยกระดากมาจากที่ | พอกองนี้เงียบไปได้ประเดี๋ยว | |||
ยังไม่ทันหลับตากองหน้าเกรียว | อ้ายตัวอื่นไปเกี้ยวเที่ยวรางควาน | |||
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า | หุงข้าวเผาปลากินอลหม่าน | |||
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จการ | ยกเอาคานใส่บ่าพากันไป | |||
ทั้งพวกวัวควายต่างแลช้างม้า | เดินตามกันมาออกไสว | |||
พวกรั้งทัพขับต้อนค่อนเคี่ยวไป | เสียงแต่ลาวร้องไห้ในดงดอน ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิ์ราวราชไกรสร | |||
ขี่คชเดชานำหน้าจร | รีบร้อนเร่งไปไม่รั้งรา | |||
ค่ำนอนรุ่งเดินดำเนินพล | ผู้คนติดตามมาหลามป่า | |||
สิบสี่วันครึ่งตะบึงมา | กระทั่งถึงพาราพิจิตรพลัน | |||
ก็หยุดหย่อนผ่อนพักพลโยธา | ทอดช้างวางม้าเป็นจ้าละหวั่น | |||
พวกครัวคั่งคับนับร้อยพัน | อยู่ที่หลังวัดจันทน์ออกแน่นไป | |||
สั่งให้ทำที่ประทับพลับพลา | ให้สร้อยทองสร้อยฟ้าอยู่อาศัย | |||
ทั้งที่อยู่พระยาลาวเจ้าเวียงชัย | ส่วนพ่อลูกอาศัยศาลารี ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระพิจิตรบุษบา | แต่ทราบความตามตราพระราชสีห์ | |||
ว่าขุนแผนมีชัยได้ธานี | ก็ยินดีคอยรับจะกลับมา | |||
เรือประเทียบขึ้นไปได้หลายวัน | ให้จอดเคียงเรียงกันไว้หน้าท่า | |||
พวกฝีพายจ่ายเสบียงเลี้ยงข้าวปลา | ให้พักอยู่ศาลาข้างหน้าววัด | |||
ที่วัดจันทน์นั้นก็ให้ไปแผ้วทาง | ปราบที่ทางกว้างใหญ่ไว้ถนัด | |||
แฝกไม้ข้าวปลาสารพัด | เตรียมจัดไว้วางทุกอย่างมี | |||
วันนั้นพวกทนายไปสืบถาม | ทราบความแล้วรีบมาเร็วรี่ | |||
ว่ากองทัพกลับมาถึงธานี | ก็ยินดีชวนกันจะครรไล | |||
ทั้งผัวเมียรีบรัดผลัดผ้า | แล้วสั่งเหล่าบ่าวข้าหาช้าไม่ | |||
ไปบอกขานกรรมการมาไวไว | จะออกไปต้อนรับกองทัพมา | |||
ครั้นปลัดยกกระบัตรมหาดไทย | กรรมการผู้ใหญ่มาพร้อมหน้า | |||
พระพิจิตรกับนางบุษบา | ก็ลงจากเคหาพากันไป ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม | กับพลายงามอยู่หน้าศาลาใหญ่ | |||
เห็นพระพิจิตรบุษบามาแต่ไกล | ต่างดีใจไปรับด้วยฉับพลัน | |||
เชื้อเชิญขึ้นนั่งยังศาลา | พ่อลูกวันทาทั้งสองทั่น | |||
ว่าแรกถึงชุลมุนยังวุ่นครัน | หมายมั่นว่าจะเข้าไปกราบเท้า | |||
แต่ครอบครัวผู้คนนั้นล้นหลาย | ทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ไพร่เจ้า | |||
แต่พอเผลอสักหน่อยคอยเกรียวกราว | ด้วยเป็นลาวระบาตรต้องกวาดมา | |||
ยังสร้อยฟ้าสร้อยทองสองนงเยาว์ | ข้าพเจ้าต้องพิทักษ์รักษา | |||
ไม่มีใครไว้วางต่างหูตา | จึงคิดว่าจะเข้าไปในพรุ่งนี้ | |||
คุณพ่อแม่เมตตาการุญ | เจ้าประคุณอุตส่าห์มาถึงนี่ | |||
ยังเป็นสุขทุกทิวาราตรี | ทั้งศรีมาลาอยู่ดีหรือฉันใด ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | ยิ้มแย้มตอบมาหาช้าไม่ | |||
อันพ่อแม่แลธิดายาใจ | ไม่เจ็บไข้เป็นสุขทุกเวลา | |||
นึกเป็นห่วงบ่วงใยอยู่เย็นเช้า | คอยเอาใจช่วยเจ้าอยู่หนักหนา | |||
พอรู้ว่าทีชัยได้พารา | ก็ตั้งใจคอยท่าทุกคืนวัน | |||
ครอบครัวมากมายเป็นก่ายกอง | แต่สองคนดูไหวที่ไหนนั่น | |||
กรรมการเมืองนี้มีครบครัน | จะให้มาช่วยกันมิเป็นไร | |||
ว่าพลางทางเรียกหลวงปลัด | ยกกระบัตรกรมการผู้น้อยใหญ่ | |||
เข้ามาพร้อมกันในทันใด | แล้วออกไปแถลงแจ้งกิจจา | |||
ท่านเอ๋ยราชการพานหนักแน่น | ขุนแผนคุมลาวมาหนักหนา | |||
ถ้าเกิดเหตุอย่างไรในพารา | เราจะพากันผิดคิดให้ดี | |||
ท่านปลัดจัดแจงแบ่งพวกเรา | ให้ช่วยเขารักษาทุกหน้าที่ | |||
ด้วยว่าเป็นราชการงานธานี | อย่าให้มีเหตุการณ์รำคาญใจ ฯ | |||
๏ ขุนแผนพระพิจิตรกรมการ | ปรึกษากันปันด้านหาช้าไม่ | |||
ขุนพลนั้นรับรองกองทัพไทย | ทั้งให้ดูลาวชาวล้านช้าง | |||
มหาดไทยให้รับเลี้ยงช้างม้า | โคกระทิงมหิงสาสัตว์ต่างต่าง | |||
ขุนเมืองคุมครัวดูรั้วทาง | ให้จัดวางจุกช่องแลกองไฟ | |||
ขุนวางตั้งประจำที่พลับพลา | ทั้งที่บุตรภรรยาเจ้าเชียงใหม่ | |||
ขุนคลังนั้นให้นั่งระวังระไว | สิ่งของน้อยใหญ่แลเงินทอง | |||
ขุนนาหน้าที่เป็นกองกลาง | ประจำฉางจ่ายข้าวแลสิ่งของ | |||
การต้างต่างวางคนไว้สำรอง | ทุกหมวดกองสรรพเสร็จสำเร็จพลัน | |||
หลวงปลัดยกกระบัตรออกตรวจตรา | และกะเกณฑ์นานามาเลือกสรร | |||
จะส่งทัพกับครัวไปพร้อมกัน | อีกสามวันจะล่องลงกรุงไกร | |||
ครั้นวางการเป็นระเบียบเรียบร้อย | ตะวันชายบ่ายคล้อยพระสุริย์ใส | |||
พระพินิจบุษบาก็คลาไคล | กลับไปเคหาไม่ช้าที ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงศรีมาลายาใจ | แต่เจ้าพลายจากไปให้หมองศรี | |||
ค่ำเช้าเฝ้าคะนึงถึงสามี | อยู่แต่ที่ในห้องนองน้ำตา | |||
ถึงยามกินอาลัยฤทัยถอน | ถึงยามนอนใฝ่ฝันประหวั่นหา | |||
ไม่แย้มสรวลพูดเล่นเจรจา | เวียนแต่นอนซ่อนหน้ามาเกือบเดือน | |||
พ่อแม่แลเห็นผิดสังเกต | ไม่แจ้งเหตุถามลูกก็เลื่อนเปื้อน | |||
อีเม้ยรับร้อนใจเข้าในเรือน | กระซิบเตือนนายว่าอย่าโศกนัก | |||
เจ้าคุณคุณหญิงจะกริ่งใจ | มิใช่นายเจ็บไข้อะไรหนัก | |||
ต้องแต่งตัวให้ผ่องละอองพักตร์ | ทายทักพูดเล่นเจรจา | |||
ให้เขาเห็นเหมือนแต่ก่อนร่อนชะไร | ระงับโศกซ่อนไว้แต่ในหน้า | |||
ถึงจะต้องทนไปก็ไม่ช้า | หม่อมคงมาสมถวิลสิ้นทุกข์ร้อน | |||
ศรีมาลาฟังว่าก็เห็นด้วย | สู้ทำฝืนชื่นชวนยเหมือนแต่ก่อน | |||
พอกลับเข้าห้องในให้อาวรณ์ | ถึงยามนอนถอนสะอื้นทุกคืนวัน | |||
คิดถึงผัวให้วิตกอกสะทึก | ไปสู้ศึกจะอย่างไรไฉนนั่น | |||
เฝ้าบนบวงเทพไทให้ป้องกัน | นับวันคอยเจ้าพลายมาหลายเดือน | |||
พอได้ข่าวกองทัพกลับมาถึง | ประหนึ่งได้ดวงมณีไม่มีเหมือน | |||
เรียกอีเม้ยเข้าไปที่ในเรือน | เอ็งอย่าเชือนหาช่องย่องออกไป | |||
ถ้าหม่อมพลายถามไถ่จะใคร่รู้ | จงบอกว่าตัวกูนี้เป็นไข้ | |||
และฟังดูจะพูดจาว่ากระไร | เอ็งอย่าให้ใครพะวงสงกา | |||
อีเม้ยยิ้มแต้แม่อย่ากลัว | ไม่ได้ตัวหม่อมพลายละนายด่า | |||
ขอผลัดพรุ่งนี้มิให้ช้า | แล้วพูดกันไปมาจนสายัณห์ ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งแจ้งสุริยาภานุมาศ | ผุดผาดแผ้วกระจ่างสว่างสวรรค์ | |||
ขุนแผนกับลูกยาปรึกษากัน | ให้จัดสรรสิ่งของที่ต้องการ | |||
จะไปให้พระพิจิตรบุษบา | ทั้งนวลนางศรีมาลายอดสงสาร | |||
แล้วเรียกเหล่าบ่าวพวกบริวาร | ให้ขนพานมาบ้านท่านผู้รั้ง | |||
ครั้นถึงจึงขึ้นบนเคหา | เห็นพระพิจิตรบุษบาอยู่หอนั่ง | |||
เจ้าพลายแลหาละล้าละลัง | ใจหวังอยู่แต่ที่ศรีมาลา | |||
พวกบ่าวขนของมากองเรียง | เต็มระเบียงหอขวางที่ข้างหน้า | |||
พ่อลูกนั่งพลันแล้ววันทา | บอกว่าได้ของมามั่งเล็กน้อย | |||
โอลาวเสื่ออ่อนแลหมอนขวาน | โตกพานเช่นเชียงใหม่เขาใช้สอย | |||
กระบุงหมากขันน้ำมีจอกลอย | ทั้งใบเมี่ยงน้ำอ้อยจัดเอามา | |||
กราบเท้าเจ้าประคุณคุณพ่อแม่ | พอเป็นแต่ของฝากมาจากป่า | |||
แหวนทับทิมวงนี้มีราคา | มาให้เจ้าศรีมาลายาใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | ว่าพ่อเอ๋ยอุตส่าห์เอามาให้ | |||
มิเสียแรงรักชอบน่าขอบใจ | ช่างกระไรแผ่เผื่อเหลือจะดี | |||
แล้วร้องเรียกเฮ้ยอีเม้ยหวา | ไปบอกเจ้าศรีมาลาออกมานี่ | |||
ว่าขุนแผนกลับมาถึงธานี | ทั้งหม่อมพี่พลายงามก็ตามมา | |||
เขามีใจได้ของเอามาฝาก | อย่ากระดากให้อ่อนออกมาหา | |||
อีเม้ยยิ้มละไมแล้วไคลคลา | ไปบอกนางศรีมาลาที่ห้องใน ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา | ได้ยินเสียงพูดจาก็จำได้ | |||
หม่อมามแล้วซิมิใช่ใคร | แทบจะวิ่งออกไปด้วยความรัก | |||
แต่คิดคิดก็วิตกอกผู้หญิง | ด้วยเรื่องจริงนั้นผู้ใหญ่ไม่ประจักษ์ | |||
ฉวยหม่อมพลายเผลอพล้ำระล่ำระลัก | ทำบุ้ยใบ้ทายทักจะเสียการ | |||
ต้องอดใจไว้พบเพลาอื่น | กลางคืนเห็นจะมาหาถึงบ้าน | |||
บอกอีเม้ยไปพลันมิทันนาน | เอ็งคิดอ่านบอกป่วยช่วยกูที | |||
แล้วลุกมาแอบมองที่ช่องฝา | และมาก็เห็นหม่อมพลายพี่ | |||
ดูอ้วนท้วนผึ่งผายสบายดี | แต่ราศีถูกแดดแผดดจนคล้าม | |||
ช่างนั่งบังหลังบิดานัยน์ตาจ้อง | เฝ้าแต่มองฝาเรือนเหมือนจะถาม | |||
นางเปรมปริ่มยิ้มมองเจ้าพลายงาม | เฝ้าชะแง้แลตามไม่วางตา ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าตัวดีอีสาวเม้ย | ทำหน้าเฉยเดินออกนอกเคหา | |||
มาบอกความพระพิจิตรบิดา | วันนี้นายศรีมาลาเธอตัวร้อน | |||
ปวดศีรษะตุบตุบแต่กลางคืน | พอนอนตื่นก็ละเหี่ยให้เพลียอ่อน | |||
มึนเมื่อยเป็นกำลังเห็นยังนอน | วอนสั่งให้กราบเท้าทั้งสองรา ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร | สำคัญคิดเข้าใจไม่กังขา | |||
ว่าลูกสาวอายใจไม่ออกมา | เพราะได้หมั้นการวิวาห์กับพลายงาม | |||
จึงผินหน้ามายิ้มกับขุนแผน | มันเหลือแสนไข้พิรุธสุดจะห้าม | |||
พ่อก็อยากพูดจาปรึกษาความ | ศึกสงครามก็สำเร็จเสร็จกันแล้ว | |||
เราควรจะคิดอ่านการวิวาห์ | เป็นฝั่งฝาฝังปลูกให้ลูกแก้ว | |||
มีเฟื้องจะได้ให้เสียยังแล้ว | ให้ผ่องแผ้วพ้นบ่วงที่ห่วงใย | |||
พ่อแม่คร่ำคร่าเป็นตายาย | จะล้มตายวันพรุ่งหารู้ไม่ | |||
เจ้าคิดหาฤกษ์พาดูเป็นไร | จะได้หาไม้ไหล้ปลูกเรือนชาน ฯ | |||
๏ ขุนแผนนบนอบตอบพระพิจิตร | ลูกมานี่ก็คิดจะว่าขาน | |||
พอคุมทัพกลับไปมิได้นาน | จะขึ้นมาคิดอ่านงานทางนี้ | |||
ได้คำนวณฤกษ์พามาแต่วาน | วันอังคารแรมค่ำในเดือนสี่ | |||
ถูกชะตาร่วมกันขยันดี | แล้วแต่บารมีจะโปรดปราน ฯ | |||
๏ พระพิจิตรฟังคำขุนแผนว่า | ปรึกษากับบุษบาแล้วว่าขาน | |||
เดือนสี่ดีแล้วกำหนดงาน | เรือนชานก็คงเสร็จสำเร็จทัน | |||
แล้วว่ากับขุนแผนแสนสงคราม | จะพักอยู่อารมทำไมนนั่น | |||
กว่าจะล่องลงไปยังหลายวัน | มาอยู่นี่ด้วยกันก็เป็นไร ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | นิ่งคิดนึกพรั่นให้หวั่นไหว | |||
ออพลายสิพรากจากเมียไป | ถ้ากลับมาอยู่ใหม่ไหนจะยั้ง | |||
พอมืดค่ำก็จะคลำเข้าไปหา | ถ้าหากไม่มิดมาเหมือนหนหลัง | |||
เกิดเซ็งแซ่แพร่หลายกระจายดัง | จะเสียทั้งสองฝ่ายขายหน้าตา | |||
นึกพลางตอบความตามทำนอง | ลูกนี้ขัดข้องอยู่หนักหนา | |||
ด้วยว่ากองทัพที่กลับมา | ทั้งนายไพร่มากกว่าเมื่อขาไป | |||
ไหนนางสร้อยทองและสร้อยฟ้า | ทั้งพวกบุตรภรรยาเจ้าเชียงใหม่ | |||
ทั้งต้องคุมครัวลาวชาวพงไพร | มาอยู่ไกลกลัวจะทำให้รำคาญ | |||
พระท้ายน้ำกับพวกที่อยู่นั่น | จะพากันบอกกล่าวเป็นข่าวขาน | |||
ว่าพ่อลูกบ่ายเบี่ยงเลี่ยงราชการ | มาอยู่บ้านเป็นสุขสนุกสบาย | |||
ไหนไหนก็ลำบากมามากแล้ว | อย่าให้มีวี่แววความเสียหาย | |||
จำต้องทนถ่อร่างค้างกาย | ไปจนเสร็จสมหมายที่รับมา | |||
ว่าแล้วอำลาท่านทั้งสอง | เยื้องย่องกลับลงจากเคหา | |||
เจ้าพลายตามไปไม่พูดจา | ให้แค้นขัดอัธยาบิดาตัว | |||
อนิจจาพ่อก็รู้อยู่แก่ใจ | ว่ารักใคร่ได้เสียเป็นเมียผัว | |||
จะสะกดเข้าไปไม่ต้องกลัว | ยังมามัวกีดกันขันจริงจริง | |||
ดีแล้วเป็นไรได้เห็นกัน | อย่าสำคัญว่าแคล้วแล้วจะนิ่ง | |||
ต่อให้ทำกรงใส่ไว้เป็นลิง | พอค่ำลงคงจะวิ่งมาหานาง | |||
คิดพลางทางเดินทำเมินเฉย | เลยออกนอกจวนมาจนห่าง | |||
เห็นอีเม้ยนั่งยิ้มอยู่ริมทาง | แกล้งอำพรางใช้ใบ้ให้ตามมา ฯ | |||
๏ ครั้นถึงวัดจันทน์ตะวันสาย | กรมการมากมายมาคอยหา | |||
ขุนแผนเป็นกังวลสนทนา | เจ้าพลายหลบหน้ามาข้างวัด | |||
ไปถึงที่ลี้ลับไม่มีคน | เห็นต้นพิกุลใหญ่ได้ถนัด | |||
ที่ใต้ต้นเตียนรื่นพื้นทรายซัด | ก็หลีกลัดเข้านั่งบังต้นไม้ | |||
อีเม้ยเลยเดินมาข้างหลัง | ครั้นถึงจึงนั่งยกมือไหว้ | |||
เจ้าพลายยิ้มพลางทางว่าไป | ข้านี้หวังตั้งใจจะพบพาน | |||
ธุระร้อนของเราเจ้าก็รู้ | ถึงตัวไปใจอยู่แต่ที่บ้าน | |||
ค่ำเช้าเฝ้าคะนึงถึงนงคราญ | นางสำราญอยู่หรือประการใด | |||
เมื่อเช้าเข้าไปนั่งตั้งตาคอย | จะพบพักตร์สักหน่อยก็หาไม่ | |||
หรือว่านางขุ่นเคืองด้วยเรื่องไร | จึงแกล้งว่าเจ็บไข้ไม่ออกมา | |||
เมื่อจะไปได้กำชับกับตัวเจ้า | ให้โลมเล้าเอาใจไว้คอยท่า | |||
เจ้าทอดทิ้งคำมั่นที่สัญญา | หรือว่าคงวาจาก็ว่าไป ฯ | |||
๏ อีเม้ยสะบัดหน้าว่าพุทโธ่ | มาพาลโกรธาก็เป็นได้ | |||
ไม่เห็นอกนายมั่งช่างกระไร | ต่อหน้าคนหรือจะให้ออกไปรับ | |||
ซึ่งบอกว่าเจ็บไข้ไม่ออกมา | ไม่มุสาหลอนหลอกแกล้งกลอกกลับ | |||
ตั้งแต่วันหม่อมพลายยกกองทัพ | เธอก็จับไม่สบายหลายเดือนมา | |||
ไม่เป็นอันกินนอนจนอ่อนเปลี้ย | น้ำตาเรี่ยไม่แห้งไม่แกล้งว่า | |||
ฉันต้องอยู่ดูแลทุกเวลา | เฝ้าพูดจาเอาใจให้ประทัง | |||
หม่อมกลับมาถึงนี่ฉันดีใจ | เผื่อจะได้หยูกยามาลงมั่ง | |||
ฉันจึงรีบตั้งหน้าออกมาฟัง | จะสั่งให้พยาบาลสถานใด | |||
อันถ้อยยำคำมั่นที่สัญญา | กลัวแต่ว่าหม่อมดอกจำไม่ได้ | |||
ของกำนัลมุลนายออกก่ายไป | ส่วนอีไพร่อดแห้งแกล้งเฉยเมย ฯ | |||
๏ ชิชะปากคอช่างพอตัว | อย่ามามัวพ้อเราเลยเจ้าเอ๋ย | |||
แล้วหยิบเงินยื่นให้ไม่ละเลย | นี่แลของนางเม้ยเป็นรางวัล | |||
อันซึ่งนายเจ็บไข้ไม่สบาย | เรามียาสมุนพรายดีขยัน | |||
แต่เป็นยาปลุกเสกลงเลขยันต์ | กินกลางวันไม่ได้คนไข้ตาย | |||
พอดึกหน่อยจะไปให้ถึงบ้าน | เจ้าคิดอ่านเปิดรับขยับขยาย | |||
เราจะไปให้ยารักษานาย | คงจะหายเจ็บไข้ในพรุ่งนี้ | |||
ครั้นสัญญาอาณัติเสร็จสรรพ | อีเม้ยรับลาลุกไปจากที่ | |||
เจ้าพลายกลับมาศาลารี | มิได้มีใครพะวงสงกา ฯ | |||
๏ ครั้นค่ำพลบลบแสงสุริย์ฉาย | ไพร่นายพร้อมพรั่งประดังหน้า | |||
พวกนายกองนายหมวดออกตรวจตรา | ต่างพิทักษ์รักษารอบวัดจันทน์ | |||
ฝ่ายเจ้าพลายงามทรามสวาท | ชาญฉลาดเล่ห์กลมนตร์ขยัน | |||
ทำเป็นเที่ยวตักเตือนเหมือนทุกวัน | ตรวจกองนี้กองนั้นทุกชั้นไป | |||
แต่พอร่วมเวลาสักยามปลาย | เจ้าพลายลดเลี้ยวเที่ยวไถล | |||
ไปถึงตรงกุฎีชีต้นไทย | เห็นจุดไฟตั้งวงเล่นหมากรุก | |||
พวกอาสามาเล่นอยู่เป็นหมู่ | ทั้งพระเถรเณรดูกันสนุก | |||
บ้างนั่งมองบ้างเบียดเข้าเสียดซุก | ฉุกละหุกเสียงสนั่นลั่นกุฎี | |||
เจ้าพลายนิ่งนึกตรึกตรา | จำจะลวงบิดาว่าอยู่นี่ | |||
จะทำเป็นเล่นหมากรุกให้คลุกคลี | จนพ่อหลับจึงจะหนีไปหานาง | |||
คิดพลางทางขึ้นบนกุฎี | เฮ้ยขอกูเดินทีแล้วลุกผาง | |||
อ้ายพวกไพร่ให้นายเข้านั่งกลาง | ทั้งสองข้างอื้ออึงคะนึงไป | |||
ฝ่ายว่าขุนแผนพ่อรอเจ้าพลาย | เห็นไปหายนึกพะวงให้สงสัย | |||
ย่องลงจากศาลาแล้วคลาไคล | เห็นแสงไฟที่กุฎีรี่ไปพลัน | |||
แต่พอใกล้ได้ยินเสียงเฮฮา | ก็รู้ว่าลูกยาอยู่ที่นั่น | |||
เห็นกำลังเล่นหมากรุกสนุกครัน | ก็หันกลับคืนมาศาลาลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | สักสองยามเห็นพอพ่อหลับใหล | |||
จึงลุกออกจากวงลงบันได | ลอบไปจัดแจงแต่งกายา | |||
ลูบตัวทาน้ำอบตลบฟุ้ง | แป้งปรุงประเจิมเฉลิมหน้า | |||
สีขี้ผึ้งเสกละลวยด้วยวิชา | แล้วนุ่งผ้ายกไหมไปล่ปลิว | |||
ห่มผ้าของประทานส่านสี | มือขวาคว้าคลี่พัดด้ามจิ้ว | |||
แหวนทับทิมวงใหม่เอาใส่นิ้ว | ถือเช็ดหน้าผ้าริ้วแล้วคลาไคล | |||
มาถึงกลางวัดสงัดคน | เจ้าพรายร่ายบมนตร์ขึ้นมุขใหม่ | |||
โหงพรายมาพร้อมห้อมล้อมไป | เข้าในเมืองพิจิตรบุรี | |||
มินานผ่านมาถึงหน้าจวน | หน้าหลังทั้งกระบวนล้วนแต่ผี | |||
เห็นรั้วรอบขอบชิดสนิทดี | ประตูมีกลอนลั่นไว้ชั้นใน | |||
เจ้าพลายร่ายมนตร์มหาสะเดาะ | กลอนหลุดผลุดเผลาะอยู่หวั่นไหว | |||
ประตูบ้านบานระเบิดเปิดออกไป | เจ้าพลายเข้าได้ในประตู ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าทาสีอีเม้ยมอญ | อยู่บนเรือนถอดกลอนนอนคอยอยู่ | |||
ประตูบ้านลั่นกรุกกลุกขึ้นดู | พอแลเห็นก็รู้ว่าเจ้าพลาย | |||
เปิดประตูลงมาพาขึ้นเรือน | คนนอนเกลื่อนหลีกลอดคอยสอดส่าย | |||
นำหน้ามาถึงเรือนนาย | แล้วอุบายบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบไป ฯ | |||
๏ ครานั้นพลายงามทรามคะนอง | ครั้นถึงห้องยินดีจะมีไหน | |||
ค่อยย่องเหยียบเบาเบาเข้าข้างใน | แสงไฟส่องงามอร่ามเรือน | |||
แลเห็นศรีมาลาดวงสมร | เจ้านิ่งนอนท่วงทีไม่มีเหมือน | |||
นี่แก้วพี่หลับสนิทหรือบิดเบือน | อารมณ์เตือนนั่งเคียงบนเตียงทอง | |||
ประจงจูบลูบประคองน้องแก้ว | พี่มาแล้วจงคลายหายหม่นหมอง | |||
แต่พี่เฝ้าคิดถึงคะนึงน้อง | ใจปองมิได้คลาดขาดสักวัน | |||
ถึงยามกินสิ้นรสหมดโอชา | ครั้นเวลาหลับไปก็ใฝ่ฝัน | |||
ถ้าไม่เกรงพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | จะผลุนผลันกลับมาเสียช้านาน | |||
เดชะบุญของเรานะเจ้าพี่ | มีชัยได้กลับมาถึงบ้าน | |||
มารู้ข่าวว่าเจ้าไม่เบิกบาน | พี่รำคาญกลุ้มอุรามาแต่เช้า | |||
เมื่อนั่งอยู่หน้าเรือนเหมือนกับบ้า | เฝ้าแลมาแลไปไม่เห็นเจ้า | |||
พี่มาดหมายตายเป็นก็ทำเนา | คงจะเข้ามาหาในราตรี | |||
ต้องรั้งรอจนพ่อนั้นหลับใหล | จึงดึกไปพี่พึ่งมาถึงนี่ | |||
ขอเชิญพุ่มพวงดวงชีวี | ผินหน้ามาทางนี้ให้พี่ชม ฯ | |||
๏ ครานั้นนวลนางศรีมาลา | ทำนิ่งนอนหลับตาเอาผ้าห่ม | |||
ฟังผัวพูดปลอบชอบอารมณ์ | สมคิดจิตหวามด้วยความรัก | |||
ลุกขึ้นนั่งเรียงเคียงหน้า | หันมากราบลงที่ตรงตัก | |||
นึกว่าหม่อมล้าเรื่อยยังเหนื่อยนัก | เห็นจะพักเสียก่อนไม่ย้อนมา | |||
ไปทัพมีชัยได้เมืองลาว | สาวสาวเหล่าเชลยก็หนักหนา | |||
ได้ยินเลอเลิศลอยชื่อสร้อยฟ้า | มิไขว่คว้าเข้าบ้างหรืออย่างไร | |||
ทำไมกับลูกสาวชาวพิจิตร | มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย | |||
เหมือนดอกหญ้าเห็นงามเมื่อยามไร้ | แต่พอมีดอกไม้ไม่ต้องการ | |||
นี่คงนึกสมเพชเวทนา | จึงอุตส่าห์บุกมาจนถึงบ้าน | |||
พอเห็นหน้าก็จะเบื่อเหลือรำคาญ | ไม่อยู่นานห่วงทัพคงกลับไป ฯ | |||
๏ ดูซิค่อนว่านิจจาเจ้า | มาใส่ความเปล่าเปล่าก็เป็นได้ | |||
เป็นสัตย์จริงหญิงอื่นในแดนไตร | ทั้งลาวไทยไม่เคยไปคบค้า | |||
แต่จากไปใจพี่อยู่ที่น้อง | หม่นหมองเศร้าสร้อยละห้อยหา | |||
ถึงเห็นลาวก็ไม่รู้ดูหน้าตา | เห็นแต่รูปศรีมาลาประจำใจ | |||
อันนางสร้อยฟ้านารี | เป็นราชบุตรีเจ้าเชียงใหม่ | |||
เขาถวายพระองค์ผู้ทรงชัย | กับทรามวัยสร้องทองเป็นสองคน | |||
ตัวพี่นี้อุตส่าห์รักษาตัว | ถ้าครองไตรโกนหัวก็ชีต้น | |||
เคร่งครัดค่ำเช้าเฝ้าสวดมนตร์ | แผ่กุศลให้โยมศรีมาลา | |||
ได้แหวนแทนส่วนบุญลงมาให้ | บัดนี้ไซร้ก็ออกพระวษา | |||
โยมจงปลงใจได้เมตตา | พี่จะลาสิกขาค่ำวันนี้ | |||
ศรีมาลาสรวลสันต์ไม่กลั้นได้ | เจ้าพลายคว้าไขว่ขมันขมี | |||
ภิรมย์รักสุขเกษมเปรมปรีดิ์ | อยู่ยังที่เตียงทองทั้งสองรา ฯ | |||
๏ ฝ่ายนางศรีมาลายาใจ | เตรียมสำรับตั้งไว้ที่ข้างขวา | |||
จึงชวนสามีให้ลีลา | มาเลี้ยงดูโภชนาสำราญใจ | |||
กินพลางต่างคนสนทนา | ศรีมาลายิ้มย่องผ่องใส | |||
เจ้าพลายยั่วยวนกวนร่ำไป | ไม่หลับใหลผัวเมียเฝ้าเคลียเคล้า | |||
จนดาวเดือนเลื่อนลับเวหาสห้อง | แซ่ซ้องจำเรียงเสียงดุเหว่า | |||
จำจากทรามสงวนด้วยจวนเช้า | จะเวียนมาหาเจ้าทุกคืนไป | |||
พอคุมทัพกลับถึงอยุธยา | พี่จะรีบกลับมาหาเจ้าใหม่ | |||
พอเสร็จงานการวิวาห์ดังว่าไว้ | เป็นมิให้ห่างหน้าสักราตรี | |||
ว่าพลางโลมลูบจูบน้อง | แล้วออกมาจากห้องของโฉมศรี | |||
อีเม้ยนำหน้าพาจรลี | เร็วรี่เดินออกมานอกรั้ว | |||
รับรัดลัดมาหน้าวัดจันทน์ | พอถึงนั่นเช้ามืดขมุกขมัว | |||
หลีกเลี่ยงหลบหน้าบิดาตัว | ชักผ้าคลุมหัวแล้วหลับไป | |||
ขุนแผนตื่นนอนขึ้นตอนเช้า | เห็นเจ้าพลายงามยังหลับใหล | |||
นึกว่าเล่นหมากรุกสนุกใจ | ไม่พะวงสงสัยในลูกยา | |||
ครั้นค่ำลงเจ้าพลายก็หายอีก | หลบหลีกไปเล่นพอเห็นหน้า | |||
พอดึกดึกไปที่ศรีมาลา | ขึ้นหาสมสวาทไม่ขาดคืน | |||
ถึงคืนหลังสั่งเสียกันเมียผัว | เผลอตัวหลับไปไม่ทันตื่น | |||
จนสางสางเจ้าพลายจึงได้ฟื้น | ลุกขึ้นล้างหน้าแล้วคลาไคล ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงบุษบาผู้มารดร | คืนนั้นตื่นนอนแต่ก่อนไก่ | |||
ห่วงสำรับคับค้อนให้ร้อนใจ | ด้วยขุนแผนจะไปแต่รุ่งเช้า | |||
ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างจะล้างหน้า | เจ้าพลายงามเดินมาก็เห็นเข้า | |||
เอ๊ะเกิดวิปริตผิดแล้วเรา | ลูกเต้าเห็นจะทำให้รำคาญ | |||
มาปลุกผัวตัวสั่นท่านเจ้าขา | เจ้าพลายงามเข้ามาจนในบ้าน | |||
พึ่งลงจากเรือนไปไม่ทันนาน | จะเกิดการข้างในอย่างไรแล้ว | |||
โบราณว่าหมาขี้ที่มูลฝอย | ดูร่องรอยมันจะถึงซึ่งลูกแก้ว | |||
เราผัวเมียเสียทีไม่มีแวว | อย่าสอดแคล้วเลยจะคิดประการใด ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบิดา | ได้ฟังภรรยาก็นึกได้ | |||
ตอบว่าข้าก็คิดเห็นผิดใจ | ดูอย่างไรอยู่ที่ศรีมาลา | |||
แต่ครั้งกองทัพบกยกขึ้นไป | เหมือนเจ็บไข้เคืองขุ่นวุ่นหนักหนา | |||
จะไต่ถามว่ากระไรไม่เข้ายา | มิรู้ว่าลอบลักไปรักกัน | |||
วันเมื่อกองทัพกลับมาถึง | ก็อ้ำอึ้งหลบเชือนเหมือนหวาดหวั่น | |||
นี่คงถึงเนื้อตัวเสียพัวพัน | หาไม่ไหนมันจะขึ้นมา | |||
จะไปโกรธโทษลูกก็ใช่ที่ | อ้ายคนนี้สำคัญมันหนักหนา | |||
รู้ล่องหนจังงังบังกายา | สารพัดทั้งเสน่ห์เล่ห์กล | |||
ถึงมีกำแพงเพชรสักเจ็ดชั้น | มันเสกเป่าเท่านั้นก็เปิดป่น | |||
รักใครก็เป่าเอาด้วยมนตร์ | ต้องหลงมันทุกคนไม่เว้นตัว | |||
แต่ได้สู่ขอเป็นหอห้อง | ถึงอย่างไรก็คงต้องมาเป็นผัว | |||
เพียงแต่มันด่วนได้ไม่เกรงกลัว | จะมามัวโกรธไปทำไมมี | |||
ถ้าต่อว่าต่อขานพานอื้อฉาว | จะรานร้าวถึงขุนแผนไม่พอที่ | |||
เขาก็ยังซื่อตรงคงภักดี | เรานี้เป็นผู้ใหญ่อย่าใจเบา | |||
จะขึ้นชื่อลือเสียงศรีมาลา | ว่าคบชู้สู่หาขายหน้าเขา | |||
เป็นนมยานกลิ้งชกอกของเรา | ทำเฉยเลยเถิดเจ้าอย่าแพร่งพราย | |||
เสร็จปรึกษาหารือกันเมียผัว | ก็แต่งตัวจะไปมิให้สาย | |||
ออกมาหาเรียกบ่าวเหล่าทนาย | แล้วเยื้องกรายตรงมาหน้าวัดจันทน์ ฯ | |||
๏ นาวามาทอดจอดคับคั่ง | กรมการพร้อมพรั่งอยู่ที่นั่น | |||
กำลังลงเรือแพกันแจจัน | จ้าละหวั่นวุ่นไปในลานวัด | |||
ส่วนเรือประเทียบทองทั้งสองลำ | พระท้ายน้ำกำกงลงไปจัด | |||
ขาดเหลือเรียกกระเบ็งเร่งรัด | เป็นขนัดในส่วนกระบวนนาง | |||
เรียกพระท้ายน้ำให้นำหน้า | เรือทหารอาสามาสองข้าง | |||
เรือประเทียบให้พายในสายกลาง | ส่วนเรือนางสาวใช้ไปข้างท้าย | |||
ต่อมาถึงกระบวนส่วนแม่ทัพ | เรือกัญญามารับก็เฉิดฉาย | |||
พ่อลูกลงประจำลำละนาย | พลพายล้วนทหารชำนาญยุทธ์ | |||
แล้วถึงเรือสิ่งของต้องพัทยา | ถัดมาเรือลาวเป็นที่สุด | |||
พวกอาสาคุมาเป็นชุดชุด | อุตลุดขับต้อนไม่ผ่อนปรน | |||
เรือเจ้าเชียงใหม่นั้นไปหน้า | เรือบุตรภรรยามาตามก้น | |||
แล้วถึงเรือท้าวพระยาข้าคน | เรือพลอาสามาข้างท้าย | |||
ครอบครัวยังเหลือเรือไม่พอ | ทั้งช้างม้าวัวมอสิ้นทั้งหลาย | |||
เครื่องสาตราอาวุธก็มากมาย | หมายฝากให้หัวเมืองรักษาไว้ ฯ | |||
๏ ครั้นบรรทุกสำเร็จเสร็จสรรพ | จะให้ล่องกองทัพกลับกรุงใต้ | |||
ขุนแผนลูกยาพากันไป | กราบไหว้พระพิจิตรบุษบา | |||
ลูกจะขอกราบลาฝ่าเท้า | ลงไปเฝ้าสมเด็จพระพันวษา | |||
พอเฝ้าแหนเสร็จสรรพจะกลับมา | ตามสัญญาว่าไว้ให้ทันการ | |||
พระพิจิตรบุษบานารี | ใจดีอวยพรสุนทรสาร | |||
ลงไปให้พระองค์ทรงโปรดปราน | พระราชทานยศอย่างทั้งรางวัล | |||
จำเริญจำเริญสุขีศรีสวัสดิ์ | สมบูรณ์พูนสมบัติทุกสิ่งสรรพ์ | |||
ทั้งพ่อลูกอยู่เย็นเป็นนิรันดร์ | อันตรายขุ่นข้องอย่าพ้องพาน | |||
เมื่อไปทำราชการงานแผ่นดิน | เสร็จสิ้นแล้วจึงกลับขึ้นมาบ้าน | |||
มาปรึกษาหารือเรื่องการงาน | คิดอ่านให้สำเร็จเสร็จไป ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแแสนสุภาพ | กับพลายงามก้มกราบท่านผู้ใหญ่ | |||
พ่อลูกอำลาแล้วคลาไคล | ลงในเรือกัญญาที่หน้าวัด | |||
นายไพร่พร้อมพรั่งทั้งเรือแพ | ผู้คนเซ็งแซ่อยู่แออัด | |||
ให้สัญญายิงปืนขึ้นสามนัด | ออกเรือเป็นขนัดไปทันใด | |||
เรือกระบวนหน้าหลังคั่งคับ | เป็นลำดับล่องตามแม่น้ำไหล | |||
ข้ามบ้านผ่านเมืองเนืองเนืองไป | จนเข้าเขตกรุงไกรใกล้พารา ฯ | |||
๏ พวกหญิงชายวิ่งพรูดูกองทัพ | ทั้งสองฝั่งคั่งคับกันหนักหนา | |||
อึงอื้อยกมือขึ้นวันทา | ชมบุญญาบารมีพระทรงชัย | |||
ว่าทรงพระเดชาอานุภาพ | ปราบได้เมืองลาวเจ้าเชียงใหม่ | |||
ได้เชลยมาตามออกหลามไป | เมืองไหนหรือจะรอต่อบุญฤทธิ์ | |||
เห็นเรือแม่ทัพมาพากันชี้ | พ่อลูกคู่นี้ช่างศักดิ์สิทธิ์ | |||
ขุนแผนเขาเคยดีมีความคิด | เจ้าชีวิตท่านโปรดยกโทษไป | |||
บางคนไม่รู้จักก็ซักถาม | เรือเจ้าพลายงามนั้นลำไหน | |||
ที่รู้จักบอกกันนั่นเป็นไร | เรือกัญญาลำใหญ่พนักทอง | |||
ลำหน้าท่านตาขุนแผนพ่อ | ลำเจ้าพลายพายต่อมาที่สอง | |||
ดูแบบางร่างน้อยนวลละออง | พวกคนดูต่างมองจ้องดูมา | |||
ครั้นเรือคล้อยลอยหน้ามาฉนวน | พวกผู้หญิงปั่นป่วนกันหนักหนา | |||
เห็นรูปร่างพลายงามอร่ามตา | บ้างชมว่าเท่านี้ช่างมีฤทธิ์ | |||
บ้างแลเล็งเพ่งพิศให้ติดใจ | ถ้าแม้นได้แล้วจะกอดไว้ให้ติด | |||
ที่บางคนเล่นเพื่อนเคยเชือนชิด | มากลับใจได้คิดว่าผิดไป | |||
นางคนหนึ่งใส่ไคล้ใครเห็นบ้าง | เจ้าพลายช่างเล่นตาเอาจนได้ | |||
นี่แกล้งทำให้ประวิงหรือจริงใจ | ไม่ทันไรกลับมาจะหาเมีย | |||
บ้างว่าเช่นเราเขาไม่ขอ | มีแต่กรอกินเปล่าให้เราเสีย | |||
อย่าใจเติบเกินตัวไปปัวเปีย | ละห้อยละเหี่ยถึงเขาก็เปล่าตาย | |||
ที่ตรงลำเรือกัญญาตาขุนแผน | ชะแง้แหงนดูแต่พวกแม่ม่าย | |||
ที่เป็นสาวทึกทึกนึกละอาย | ได้เจ้าพลายหรือพ่อก็พอใจ | |||
คนผู้ดูหลามตามตลิ่ง | ทั้งชายหญิงไทยเจ๊กเด็กผู้ใหญ่ | |||
พวกไปทัพกลับมาเฮฮาไป | ถึงกรุงไทยพ้นทุกข์สนุกสบาย ฯ | |||
ตอนที่ ๓๒ ถวายนางสร้อยทองสร้อยฟ้า
๏ ครานั้นขุนแผนแสนเสนี | ถึงกรุงศรีชื่นชมสมหมาย | |||
จึงปรึกษาหารือกับลูกชาย | ให้ผู้คนทั้งหลายทั้งไทยลาว | |||
ไปจอดนาวาที่หน้าคั่น | อยู่ด้วยกันกับเรือเจ้าเชียงใหม่ | |||
ส่วนเรือประเทียบทองทั้งสองไซร้ | ให้เข้าไปจอดท่าวาสุกรี | |||
แล้วสั่งขุนหมื่นพนักงาน | ประจำขานพระแนวเป็นถ้วนถี่ | |||
เสร็จพลันชวนกันจรลี | เข้าไปที่ศาลาลูกขุนใน | |||
กราบเรียนเจ้าพระยาจักรี | ว่าบัดนี้กระบวนเรือทั้งน้อยใหญ่ | |||
รับนางมาถึงซึ่งกรุงไกร | ทั้งตัวเจ้าเชียงใหม่ก็เอามา | |||
แต่พวกครัวลาวเป็นชาวไพร | มอบไว้เมืองพิจิตรนั้นหนักหนา | |||
ทั้งวัวควายเกวียนต่างแลช้างม้า | เครื่องสาตราอาวุธสารพัน | |||
ครั้นจะให้รวบรวมเอาลงมา | ก็เกรงจะชักช้าจึงผ่อนผัน | |||
ให้ยับยั้งคอยฟังตราสำคัญ | พณหัวทั่นจะบัญชา | |||
อนึ่งพวกลาวชาวเวียงจันทน์ | ที่มาส่งนางนั้นสามร้อยกว่า | |||
รับแต่กึงกำกงนั้นลงมา | แล้วแต่พระกรุณาจะโปรดปราน ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี | ฟังคดีปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | |||
ให้จดความตามบอกมิทันนาน | จะได้อ่านกราบทูลพระกรุณา | |||
แล้วยิ้มย่องหันหน้ามาเชมเชย | เจ้าเอ๋ยไม่เสียทีที่อาสา | |||
เจ้าพ่อลูกสองคนพ้นปัญญา | ช่างแกล้วกล้าศึกเสือเหลือประมาณ | |||
สักอึดใจได้เมืองเชียงใหม่สิ้น | ทั้งแผ่นดินเราเห็นเป็นยอดทหาร | |||
ได้ดังพระประสงค์คงโปรดปราน | บำเหน็จบำนาญจะรวยด้วยความดี | |||
แล้วเรียกนครบาลมาบอกกล่าว | ท่านจงจำเจ้าลาวไว้ตามที่ | |||
ด้วยเป็นโทษยังไม่โปรดในคดี | กว่าจะมีรับสั่งพระทรงธรรม์ ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านเจ้ากรมยมราช | ก็จัดแจงเพชฌฆาตที่เข้มขัน | |||
โจมใจอาจฟาดใจกล้าทะลวงฟัน | ราชมัลยิ่งยวดตำรวจใน | |||
เอาโซ่ตรวนขื่อคามาทันใด | ตำแหน่งใครใครก็ไปไม่รอรั้ง | |||
เอาเครื่องจำจำจองเจ้าเชียงใหม่ | นายไพร่นั่งห้อมล้อมหน้าหลัง | |||
งำเมืองเพชรปาณีเสียงมี่ดัง | ราชศักดิ์ปลัดวังเกณฑ์กันมา ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงอินทร์สิ้นความคิด | ดังชีวิตจะม้วยดับสังขาร์ | |||
หวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวอาญา | ตกประหม่าหน้าซีดสลดใจ | |||
แลเห็นเพชฌฆาตราชมัล | สำคัญว่าชีวิตหารอดไม่ | |||
เหงื่อกาฬซ่านทั่วทั้งตัวไป | ทอดอาลัยก้มหน้าไม่พาที ฯ | |||
๏ ครั้นสายแสงอโณทัยได้เวลา | ฝ่ายท่านเจ้าพระยาราชสีห์ | |||
ทั้งเจ้าพระยามหาเสนาบดี | จตุดามภ์กรมทั้งสี่ก็เข้าวัง | |||
ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน | กล่นเกลื่อนซ้ายขวามาพร้อมพรั่ง | |||
ท่านจักรีเข้าไปถึงในวัง | จึงสั่งขุนแผนกับลูกชาย | |||
เจ้าคอยท่าอยู่หน้าพระดรงทอง | เราจะกราบทูลฉลองเรื่องถวาย | |||
ให้ทรงทราบอนุสนธิ์ต้นปลาย | แล้วจะเบิกสองนายเฝ้าบาทบงสุ์ | |||
พระองค์คงจะรับสั่งถาม | ถึงการณงค์สงครามตามประสงค์ | |||
จะตรองตรึกนึกไว้ให้ทุกกระทง | อย่าลืมหลงเค้ามูลทูลความจริง | |||
เรารำคาญแต่ฝ่ายพระท้ายน้ำ | ด้วยว่าทำต้องตำหนิตริกริ่ง | |||
หากแต่ได้ชัยชนะพอพะพิง | จงรอนิ่งอยู่ที่ทิมริมประตู | |||
ครั้นว่าจวนเวลาพวกข้าเฝ้า | ต่างก็เข้าไปคอยทุกหมวดหมู่ | |||
มหาดเล็กกรมวังพรั่งพรู | เข้าสู่พระโรงชัยอันไพบูลย์ ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ดำรงโลก | ระงับโศกราษฎรให้ร้อนสูญ | |||
เนาในปรางค์รัตน์จำรัสจรูญ | เพิ่มพูนสุขาสถาพร | |||
ล้วนเหล่าสาวสนมกำนัลนาง | เคียงข้างพระแท่านบรรจถรณ์ | |||
พอสุริย์ฉายสายส่องช่องบัญชร | บทจรจากห้องบรรทมพลัน | |||
เสด็จสู่ที่สรงทรงสนาน | สุคนธ์ธารหอมฟุ้งทั้งปรุงกลั่น | |||
ทรงภูษาแดงแย่งสุบรรณ | รัดพระองค์ดวงกุดั่นเด่นมณี | |||
พระหัตถ์ซ้ายทรงพระขรรค์อันบวร | บทจรออกจากข้างในที่ | |||
นางเชิญเครื่องเนื่องตามจรลี | พระภูมีออกพระโรงรัตนา | |||
ประทับพระที่นั่งบัลลังก์อาสน์ | งามดังเทวราชไตรตรึงศา | |||
ให้เบิกหมู่ข้าเฝ้าท้าวพระยา | เข้ามาในท้องพระโรงชัย | |||
เจ้าพระยาพระหลวงกระทรวงการ | คลุกคลานพรั่งพรูดูไสว | |||
เข้าเฝ้าพระองค์ทรงภพไตร | บังคมไหว้แล้วก็หมอบอยู่พร้อมกัน ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าพระยาจักรี | อัญชลีทูลไปทันใดนั่น | |||
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ชีวันอยู่ใต้พระบาทา | |||
ขุนแผนพลายงามที่ไปทัพ | ยกกลับจตุรงค์มาถึงท่า | |||
คุมเรือประเทียบทั้งสองมา | ทั้งพระยาเชียงใหม่ใจฉกรรจ์ | |||
ได้เงินทองของส่วนพัทยา | เงินตราเบ็ดเสร็จเจ็ดสิบกำปั่น | |||
ครัวลาวได้มารวมห้าพัน | แต่สกรรจ์พันร้อยห้าสิบคน | |||
ปืนใหญ่สองร้อยน้อยสามพัน | ทวนนั้นพันถ้วนล้วนพู่ขน | |||
ดาบเชลยพันสองเป็นของพล | ดาบดรงแสงต้นห้าร้อยปลาย | |||
ช้างสามร้อยห้าม้าแปดร้อย | โคกระบือใหญ่น้อยนั้นมากหลาย | |||
ทั้งนายไพร่ไม่เป็นอันตราย | สบายด้วยเดชะพระบารมี | |||
อันตัวเจ้าเชียงใหม่ใจพาล | ให้จำไว้ห้าประการตามที่ | |||
ควรมิควรฉันใดในคดี | แล้วแต่พระภูมีจะโปรดปราน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ | ปิ่นปักอยุธยามหาสถาน | |||
ฟังทูลเรื่องขุนแผนแสนสำราญ | ดังได้ผ่านเมืองสวรรค์ชั้นโสฬส | |||
อ้ายเชียงอินทร์ดูหมิ่นกูหนักหนา | วันนี้จะดูหน้าให้ปรากฏ | |||
มันอวดดีเป็นไรไม่ไว้ยศ | พอได้ตัวหัวหดไปทันใด | |||
การสงครามครั้งนี้มิใช่เล่น | พิเคราะห์ไปก็เห็นเป็นศึกใหญ่ | |||
เพราะเรื่องมันยุ่งยากลำบากใจ | มิใช่ไปรบราอย่างสามัญ | |||
ด้วยมันจับพวกเราเอาไปไว้ | รู้ว่าไปก็คงฆ่าเสียอาสัญ | |||
อ้ายพ่อลูกเล็ดลอดดอดไปทัน | แก้กันว่องไวได้คนเรา | |||
กับอนึ่งถึงกระบวนที่รบพุ่ง | ถ้ามัวมุ่งล้อมเมืองก็เปลืองเปล่า | |||
จะฆ่าฟันกันอย่างไรให้บางเบา | มันมากมายหลายเท่าเราที่ไป | |||
อ้ายพ่อลูกมันดีที่กลศึก | ลอบสะอึกเข้าไปจับเจ้าเชียงใหม่ | |||
เหมือนตัดต้นสาเหตุเภทภัย | พอจับได้ก็เสร็จสำเร็จการ | |||
ต้องยกย่องว่าดีมีความชอบ | ควรประกอบยศศักดิ์อัครฐาน | |||
จงเรียกตัวมันมาอย่าได้นาน | อ้ายหน้าด้านท้ายน้ำก็เอามา ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านเจ้าคุณได้รับสั่ง | เหลียวบอกตำรวจวังที่อยู่หน้า | |||
เรียกท้ายน้ำขุนแผนแสนศักดา | กับลูกยาพลายงามทั้งสามคน | |||
ตำรวจวังคลานคล้อยถอยออกมา | แจ้งกิจจาขุนแผนนั้นเป็นต้น | |||
ว่าพระจทอนรินทร์ปิ่นภูวดล | ให้หาท่านสามคนในบัดนี้ ฯ | |||
ขุนแผนกับลูกชายพลายงาม | ได้ฟังความปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
นุ่งสมปักเข้าพลันในทันที | รีบรี่มายังท้องพระโรงชัย | |||
น่าสงสารแต่ฝ่ายพระท้ายน้ำ | ได้ยินคำกรมวังดังจับไข้ | |||
ผลัดสมปักตัวสั่นพรั่นฤทัย | เผลอไผลตามาละล้าละลัง | |||
ขุนแผนพลายงามเข้ามาก่อน | พระท้ายน้ำค่อยผ่อนมาทีหลัง | |||
กราบกรานคลานตามตำรวจวัง | ต่างหมอบชม้อยคอยฟังพระบัญชา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรพ่อลูกก็หรรษา | |||
จึงมีสีหนาทประภาษมา | ดูราขุนแผนกับพลายงาม | |||
มิเสียแรงเป็นชายชาติทหาร | ชำนิชำนาญชาญชัยในสนาม | |||
ครั้งนี้กูใช้ไปสงคราม | มีไพร่ไปแต่สามสิบห้าคน | |||
เมืองเชียงใหม่ไพร่ฟ้าก็กว่าแสน | ไปไล่แล่นลุยลาวออกแหลกป่น | |||
ข้าศึกฮึกหาญไม่ทานทน | ได้คนคืนเมืองเพราะมือมึง | |||
ดีหนักหนากล้าจับเจ้าเชียงใหม่ | มึงคิดอ่านอย่างไรเมื่อไปถึง | |||
ไหนว่ารบมากมายที่ปลายบึง | อย่าอ้ำอึ้งจงเล่าให้เข้าใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสามารถ | อภิวาททูลแจ้งแถลงไข | |||
ด้วยเดชะพระองค์ทรงภพไตร | จึงมีชัยได้สิ้นทั้งพารา | |||
เกล้ากระหม่อมอาสาไปครานี้ | กับทหารตัวดีสามสิบห้า | |||
ได้อาศัยในคุณวิทยา | กับบารมีพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | |||
ขึ้นไปถึงบึงใหญ่ให้หยุดพัก | ซุ่มสำนักคนผู้อยู่ที่นั่น | |||
แล้วปรึกษายินยอมพร้อมใจกัน | กระหม่อมฉันสองคนกับพลายงาม | |||
ปลอมลาวเข้าไปสะกดคน | ขึ้นบนคุกใหญ่ในยามสาม | |||
พบพระท้ายน้ำนั้นไม่ครั่นคร้าม | ทั้งนายไพร่ต่างตามกันออกมา | |||
พวกเวียงจันทน์นั้นก็พาออกมาด้วย | ช่วยกันฟันผู้คุมเสียหนักหนา | |||
แล้วเข้าไปโรงแสงแย่งสาตรา | ทั้งลักม้าโรงในได้ครบคน | |||
แล้วไปชิงช้างงาเอามาค่าย | เวลาบ่ายลาวยกมาสับสน | |||
เกล้ากระหม่อมพร้อมกันออกประจญ | ลาวป่นแตกทัพยับระยำ | |||
ในวันนั้นกระหม่อมฉันกับพลายงาม | สะกดตามเข้าวังเวลาค่ำ | |||
จับได้เจ้าเชียงใหม่ในหอคำ | ก็ยอมทำสัตย์ให้ด้วยใจจง | |||
ขอเป็นข้าทูลละอองรองพระบาท | มอบกายถวายราชย์ตามประสงค์ | |||
แต่นั้นมากิริยาก็คงตรง | จงทราบเบื้องบาทบงสุ์พระทรงชัย ฯ | |||
๏ ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร | ฟังทูลยินดีจะมีไหน | |||
มิเสียทีอ้ายนี่เหล่าขุนไกร | ทั้งลูกหลานชาญชัยไวปัญญา | |||
อันตัวอ้ายเฒ่าเจ้าเชียงใหม่ | จะปล่อยไปดอกกูไม่เข่นฆ่า | |||
ถึงมันองอาจอหังการ์ | จะว่ามันเป็นขบถก็เป็นพาล | |||
ด้วยเมืองมันนั้นเอกเทศ | อยู่นอกเขตอยุธยามหาสถาน | |||
เมื่ออ่อนน้อมยอมถวายบรรณาการ | ก็ไม่ควรล้างผลาญให้บรรลัย | |||
ถ้าอาหากเอามันไปฟันฆ่า | ใครจะเชื่ออยุธยาต่อไปได้ | |||
ไว้มันกลับทุจริตผิดต่อไป | จึงควรให้ลงโทษถึงชีวี | |||
อ้ายขุนแผนพลายงามมีความชอบ | กูจะตอบแทนมึงให้ถึงที่ | |||
ขุนแผนให้ไปรั้งกาญจน์บุรี | มีเจียดกระบี่เครื่องยศให้งดงาม | |||
สัปทนคนโทถาดหมากทอง | ช้างจำลองของประทานทั้งคานหาม | |||
สำหรับใช้ไปณรงค์สงคราม | ให้สมตามความชอบที่มีมา | |||
ให้เป็นที่พระสุรินทฦาชัย | มไหสูรย์ภักดีมีสง่า | |||
แล้วตรัสสั่งพระคลังในมิได้ช้า | เติมเงินตราสิบห้าชั่งเป็นรางวัล | |||
ทั้งเสื้อผ้าสมปักปูมส่าน | พระราชทานมากมายหลายหลั่น | |||
ส่วนอ้ายลูกชายพลายงามนั้น | จะให้มันมียศปรากฏไป | |||
ยังหนุ่มแน่นว่องไวมิใช่น้อย | ควรเอาไว้ใช้สอยให้ใกล้ใกล้ | |||
จะตั้งแต่งให้มึงให้ถึงใจ | ให้สมที่มีชัยได้เมืองมา | |||
ให้เป็นจมื่นไวยวรนาถ | หัวหมื่นมหาดเล็กเวรข้างฝ่ายขวา | |||
พระราชทานเครื่องยศแลเงินตรา | ปูมส่านเสื้อผ้าสารพัน | |||
แล้วตรัสว่าอ้ายไวยพึ่งได้ดี | บ้านช่องมันจะมีที่ไหนนั่น | |||
หัวหมื่นมีแต่ตัวก็ชั่วครัน | ต้องทำบ้านให้มันเสียครั้งนี้ | |||
ดูก่อนเจ้ากรมยมราช | จงบาตรหมายนายอำเภอไปเหยียบที่ | |||
หาบ้านให้ไอ้ไวยในบุรี | ดูท่วงทีพอให้ใกล้ใกล้วัง | |||
แล้วตรัสสั่งเจ้ากรมทหารใน | ไปปลูกเหย้าเรือนให้สักห้าหลัง | |||
ทั้งเรือนครัวรั้วรอบขอบกำบัง | ให้สมกับกูตั้งเป็นหมื่นไวย ฯ | |||
เบือนพระพักตร์มาพบพระท้ายน้ำ | กริ้วซ้ำดังจะฆ่าให้ตักษัย | |||
มีพระสีหนาทประภาษไป | เหม่อ้ายท้ายน้ำมึงทำงาม | |||
เสียแรงกูรักใคร่ให้เป็นพระ | มิรู้จะขี้ขลาดชาติส่ำสาม | |||
ให้กูหลงไว้ใจในสงคราม | จนอ้ายลาวเอาไปล่ามดังผูกลิง | |||
ช่างไม่คิดสู้มันให้พรั่นท้อ | ทุดกระไรใจคอเป็นผู้หญิง | |||
ช่างชาติชั่วสิ้นทีอัปรีย์จริง | ไปนั่งนิ่งให้มันจับได้อับอาย | |||
ถ้ามิได้ช่วยอ้ายขุนแผนรบ | จะจำครบผูกเฆี่ยนเสียสองหวาย | |||
อ้ายคนชั่วชาติข้าขายหน้านาย | จงหมายถอดเป็นไพร่ใช้เฝ้าประตู ฯ | |||
๏ แล้วตรัสสั่งเจ้ากรมตำรวจหน้า | ไปเอาพระยาเชียงใหม่มานี่หรู | |||
ส่วนพระยาธรมาก็ไปดู | ให้รับสองนางสู่ที่ในวัง | |||
ตำรวจรับมาบอกผู้รักษา | พระโองการให้หาเจ้าเชียงใหม่ | |||
เข้าหิ้วปีกซ้ายขวาพาเข้าไป | บังคมไหว้หมอบพรั่นสั่นสะท้าน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระปิ่นนรินทร์ราช | มีพระสีหนาทอยู่ฉาดฉาน | |||
เหวยพระยาเชียงใหม่น้ำใจพาล | ตัวทำการไม่สมอารมณ์นึก | |||
เข้าชิงนางจับไทยแล้วไม่หนำ | ยังซ้ำมีสารมาท้าทำศึก | |||
โทษทัณฑ์นั้นอย่างไรที่ใจฮึก | อย่านิ่งนึกเร่งว่ามาบัดดล ฯ | |||
เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังพระโองการ | หนาวสะท้านซ่านเสียวทุกขุมขน | |||
เหงื่อตกอกร้อนดังเพลิงลน | เหมือนจะด้นดำไปใต้พสุธา | |||
สารภาพกราบทูลสนองไป | พระทรงชัยได้โปรดเหนือเกศา | |||
อันความผิดพลั้งแต่หลังมา | ข้าพระบาทโทษถึงซึ่งชีวิต | |||
ถ้าทรงพระกรุณาไม่ฆ่าฟัน | พระราชทานโทษทัณฑ์ที่ทำผิด | |||
ขอเป็นข้าบาทบงสุ์พระทรงฤ?ธิ์ | รักษาสัตย์สุจริตจนวายปราณ | |||
ขอถวายสมบัติกษัตรา | อีกทั้งลานนามหาสถาน | |||
ไว้ในใต้เบื้องบทมาลย์ | พึ่งพระโพธิสมภารสืบไป ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบตรัสตอบเจ้าเชียงใหม่ | |||
เมื่อรู้ตัวกลัวภัย | เราจะยกโทษให้ในครั้งนี้ | |||
จะให้กลับไปครองเมืองเชียงใหม่ | จงตั้งใจสัตย์ซื่อต่อกรุงศรี | |||
ตามเยี่ยงอย่างเจ้าประเทศเขตธานี | รักษาให้ไมตรีจีรังกาล | |||
ตรัสพลางทางสั่งท่านผู้ใหญ่ | ทั้งฝ่ายมหาดไทยแลทหาร | |||
จงพาเจ้าเชียงใหม่ไปสาบาน | อธิษฐานถือน้ำทำสัจจา | |||
แล้วจัดแจงแต่งบ้านรับแขกเมือง | กั้นฝาเฝืองเป็นข้างในแลข้างหน้า | |||
ให้เป็นที่อาศัยในพารา | ทั้งเจ้าข้าอย่าให้ได้เดือดร้อน | |||
จ่ายเสบียงอาหารการกินอยู่ | เครื่องเสื่อสาดลาดปูแลผ้าผ่อน | |||
พวกบ่าวไพร่ให้มีที่หลับนอน | นครบาลดูอย่าให้ใครบีฑา ฯ | |||
๏ แล้วตรัสสั่งพลันในทันใด | ยังพวกบ่าวไพร่ทัพสามสิบห้า | |||
ทั้งอ้ายพวกหาบหามตามโยธา | เอาเงินตราผ้าให้เป็รางวัล | |||
แล้วให้ยกราชการงานเมือง | ปลดเปลื้องหน้าที่ทุกสิ่งสรรพ์ | |||
สังกัดไว้ในอาทมาตนั้น | ต่อมีทัพขับขันจึงเรียกใช้ | |||
ให้มันมีตราภูมิคุ้มห้ามขาด | ทั้งอากรขนอนตลาดอย่าเก็บได้ | |||
ทำบาญชีมีนายหมวดกองไว้ | ให้ขึ้นแก่จมื่นไวยสิ้นทั้งนั้น | |||
ส่วนนายไพร่พวกลาวชาวล้านช้าง | ที่ตามมาส่งนางสร้อยทองนั้น | |||
จงเบิกเงินเสื้อผ้ามาให้มัน | แล้วส่งไปเวียงจันทน์ทั้งไพร่นาย | |||
ครั้นสิ้นข้อดำรัสตรัสเสร็จ | พระเสด็จจรจรัลผันผาย | |||
ขึ้นจากพระโรงคุลพรรณราย | เยื้องกรายคืนเข้าปราสาทชัย ฯ | |||
๏ ฝ่ายพระยาธรมาธิบดี | มาถึงที่ประตูวังหาช้าไม่ | |||
บอกแก่ท้าวนางที่ข้างใน | ให้เกณฑ์กันลงไปรับสองนาง | |||
แล้วสั่งให้จัดสีวิกากาญจน์ | ผูกม่านลายปักหักทองขวาง | |||
พร้อมพรั่งทั้งคู่ดูสำอาง | ท้าวนางเถ้าแก่แซ่กันมา | |||
จึงเชิญนางสร้อยทองผ่องศรี | ขึ้นทรงวอจรลีไปข้างหน้า | |||
วอหลังนารีศรีสร้อยฟ้า | ท้าวนางนำมายังวังใน | |||
แล้วเร่งรัดจัดตำหนักรักษา | ให้สร้อยทองสร้อยฟ้าอยู่อาศัย | |||
มิให้อนาทรร้อนฤทัย | ตั้งใจคอยรับสั่งพระทรงธรรม์ ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ทรงศักดา | มิ่งมงกุฎอยุธยามหาสวรรค์ | |||
สถิตที่แท่นแก้วแกมสุวรรณ | เหล่ากำนัลพระสนมประนมกร | |||
ครั้นสิ้นแสงสุริยาภาณุมาศ | พระจันทร์เคลื่อนเลื่อนราชรถร่อน | |||
ดาราพรายพร่างกลางอัมพร | ประภัสสรแสงรื่นพื้นแผ่นดิน | |||
สว่างไสวในวังดังเมืองสวรรค์ | ด้วยแสงจันทร์นั้นสอ่งกระจ่างสิ้น | |||
พระพายเฉื่อยเรื่อยพัดมารินริน | พระองค์ทรงถวิลถึงสองนาง | |||
สร้อยทองลูกของเจ้าเวียงจันทน์ | เชิดชื่อลือลั่นมากรุงล่าง | |||
ว่างามขำล้ำเลิศในล้านช้าง | ดูหมายมาดสวาทนางทุกแดนไตร | |||
กับอนึ่งนารีศรีสร้อยฟ้า | ก็เป็นยอดธิดาเจ้าเชียงใหม่ | |||
รูปร่างจะตระการสักปานใด | พระตริพลางตรัสใช้เจ้าขรัวนาย ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านท้าววรจันทร์ | รับสั่งทรงธรรม์แล้วผันผาย | |||
ไปบอกสองอรไทให้แต่งกาย | ผัดพักตร์พรรณรายดังดวงจันทร์ | |||
กระหมวดมุ่นมวยผมดูสมพักตร์ | ปิ่นปักวาวแววแก้วกุดั่น | |||
แซมมวยด้วยบุปผาลาวัณย์ | สองกรรณใส่ตุ้มหูพู่ระย้า | |||
สวมใส่กำไลทองทั้งสองกร | ธำมรงค์เรียงสลอนทั้งซ้ายขวา | |||
นุ่งยกทองทอลออตา | ห่มผ้าพื้นไหมอุไรกรอง | |||
วิไลเลิศเฉิดฉินดังกินรี | จรลีตามกันมาทั้งสอง | |||
ขรัวนายนำนางขึ้นปรางค์ทอง | เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทา | |||
เจ้าจรัวนายบังคมประนมสนอง | นางสร้อยทองหมอบเฝ้าอยู่ฝ่ายขวา | |||
ที่น้อมกายเบื้องซ้ายข้างนี้มา | คือนางสร้อยฟ้านารี ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรรูปทรงทั้งสองศรี | |||
น่าชมสมเป็นราชบุตรี | ท่วงทีคนละอย่างดูต่างกัน | |||
พินิจทรงสร้อยทองละอองพักตร์ | นรลักษณ์งามเลิศเฉิดฉัน | |||
ละมุนละม่อมพร้อมพริ้งทุกสิ่งอัน | สมเป็นขวัญของประเทศเขตลาวกาว | |||
ดูสงบเสงี่ยมงามทรามสวาท | มารยาทสนิทสนมสมเป็นสาว | |||
กระนี้หรือจะมิลือในแดนลาว | จนเชียงใหม่ได้ข้าวเข้าช่วงชิง | |||
แล้วผินพักตร์มาพิศเจ้าสร้อยฟ้า | ดูจริตกิริยากระตุ้งกระติ้ง | |||
ท่าทางท่วงทีก็ดีจริง | จะเสียอยู่สักสิ่งด้วยรายงอน | |||
หูตากลอกกลมคมคายเหลือ | พิศแล้วเบื่อดูได้แต่ร่อนร่อน | |||
จะเปรียบก็เหมือนอย่างนางละคร | งามงอนอ้อนแอ้นบั้นเอวกลม | |||
เพราพริ้งเพรียวเหลือดังเรือแข่ง | กล้องแกล้งพายจิบก็เจียนล่ม | |||
ดูริมฝีปากบางลูกคางกลม | เห็นลาดเลาเจ้าคารมเป็นมั่นคง | |||
ถ้าเป็นม้าก็ม้าขึ้นระวาง | ถ้าเป็นช้างก็ช้างอย่างต้องประสงค์ | |||
ถึงจะผูกเครื่องทองเป็นรองทรง | ถ้าคนขี่ไม่ประจงคงเจ็บตัว | |||
สร้อยทองลูกของเจ้าล้านช้าง | ยศอย่างมารยาทจะยังชั่ว | |||
แต่ข้างนางสร้อยฟ้าดูน่ากลัว | กระซิบตรัสกับเจ้าขรัววรจันทน์ | |||
แน่ะขรัวนายท่าทีอีสองคน | ดูชอบมาพากลหรือไม่นั่น | |||
สร้อยทองดูทำนองจะดีครัน | สร้อยฟ้านั้นท่าทางเหมือนนางละคร | |||
จะเอาไว้เป็นข้างระวางใน | ลองใจขับขี่ดูทีก่อน | |||
ก็นึกกลัวตัวแก่ไม่แน่นอน | หรือจะควรผันผ่อนประการใด ฯ | |||
๏ เจ้าขรัวนายได้ฟังรับสั่งถาม | ก็ทราบความตามพระอัชฌาสัย | |||
จึงกราบทูลพระองค์ทรงภพไตร | เห็นถูกต้องตามพระทัยที่ใคร่ครวญ | |||
นางสร้อยทองต้องลักษณะนัก | นรลักษณ์งามดีถี่ถ้วน | |||
แต่สร้อยฟ้าดูจริตกระบิดกระบวน | เห็นไม่ควรที่จะเคียงพระบาทา | |||
ดูท่าทางอย่างเรือต้องระลอก | กลับกลอกกลิ้งกลมคมหนักหนา | |||
กระหม่อมฉันเกรงจะขัดพระอัธยา | เหมือนทรงม้าที่พยศต้องกดไว้ | |||
ถึงแม้ว่ารูปทรงส่งสัณฐาน | จะโปรดปรานก็ไม่หย่อนผ่อนลงได้ | |||
จะเป็นเครื่องอักอ่วนกวนพระทัย | มิให้เบิกบานสำราญองค์ | |||
ไม่เหมือนนางสร้อยทองผ่องศรี | นั่นควรที่ยกย่องต้องประสงค์ | |||
ดูท่วงทีกิริยานั้นสมทรง | ควรรองบาทบงสุ์พระทรงชัย | |||
นางสร้อยฟ้าถ้าจะรับราชการ | เพียงชั้นนางพนักงานเห็นพอได้ | |||
ขอพระองค์ผู้ทรงภพไตร | จะทรงวินิจฉัยให้สมควร ฯ | |||
๏ ครานั้นภูมินทร์บดิทร์สูร | ฟังเจ้าขรัวนายทูลทรงพระสรวล | |||
ข้าก็เบื่อคนจริตกระบิดกระบวน | จึงอักอ่วนคิดไปให้ระอา | |||
แต่จะเลี้ยงเพียงเป็นนางพนักงาน | ดูก็พานต่ำต้อยจะน้อยหน้า | |||
ด้วยมันเป็นลูกสาวท้าวพระยา | ให้มีคู่สู่หาเสียเป็นไร | |||
อย่าเลยอ้ายพลายงามมีความชอบ | ได้ประกอบยศศักดิ์เป็นไหนไหน | |||
พร้อมสรรพเคหาทั้งข้าไท | ยังแต่ไม่มีเมียจะถือน้ำ | |||
ได้นึกอยู่ว่าจะดูหาเมียให้ | เราจะได้เลี้ยงชุบอุปถัมภ์ | |||
ปล่อยไว้ฉวยได้คนระยำ | มันจะทำเสื่อมเสียวิชาดี | |||
มันก็เป็นจมื่นไวยวรนาถ | หัวหมื่นมหาดเล็กใช้อยู่ใกล้ที่ | |||
ถึงตัวเจ้าเชียงใหม่ในครั้งนี้ | มันก็มีคุณรักบำรุงมา | |||
เห็นจะไม่ขัดใจเจ้าเชียงใหม่ | เราขอเขาคงให้ดังเราว่า | |||
ให้สำเร็จเสร็จเรื่องอีสร้อยฟ้า | ทั้งมีหน้ามีตาอ้ายหมื่นไวย | |||
ดูเหมาะพอสมอารมณ์หมาย | เจ้าขรัวนายจะเห็นเป็นไฉน | |||
อ้ายหมื่นไวยได้อีสร้อยฟ้าไป | ก็จะได้เป็นกำลังราชการ ฯ | |||
๏ เจ้าขรัวนายกราบก้มบังคมบาท | เคารพรับพระราชบรรหาร | |||
จึงทูลความตามกระแสพระโองการ | ซึ่งประทานจมื่นไวยนั้นควรนัก | |||
ครั้งนี้มีชัยได้เมืองลาว | ลือข่าวทั่วหล้าอาณาจักร | |||
ถ้าประทานสร้อยฟ้าให้สมรัก | ก็จะยิ่งสามิภักดิ์พระทรงชัย ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ปิ่นปักนคเรศเป็นใหญ่ | |||
ฟังขรัวนายทูลสนองต้องพระทัย | เอออ้ายไวยมันสมกับสร้อยฟ้า | |||
แล้วหันมาปราศรัยนางสร้อยทอง | อย่าหม่นหมองจะเลี้ยงให้งามหน้า | |||
สมเป็นราชบุตรีศรีสัตนา | ซึ่งบิดายกให้ด้วยไมตรี | |||
จึงตรัสสั่งคลังในพนักงาน | ให้จัดของพระราชทานตามที่ | |||
หีบหมากทองลงยาราชาวดี | เงินยี่สิบชั่งทั้งขันทอง | |||
แหวนเรือนรังแตนทั้งแหวนงู | ตุ้มหูระย้าเพชรเก็จก่อง | |||
ผ้ายกทองยกไหมสไบกรอง | ทั้งสิ่งของส่วนพี่เลี้ยงกัลยา | |||
จัดตำหนักให้อยู่ตึกหมู่ใหญ่ | ข้าไทให้เป็นสุขทุกถ้วนหน้า | |||
แล้วตรัสปราศรัยนางสร้อยฟ้า | เอ็งก็อย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย | |||
ถึงพ่อเอ็งจู่ลู่ให้กูโกรธ | กูก็ได้ยกโทษโปรดให้ | |||
เมื่อราชการเสร็จสรรพเขากลับไป | กูไซร้จะเป็นพ่อออสร้อยฟ้า | |||
จะเลี้ยงดูมิให้ได้อายเพื่อน | ถึงจะมีเหย้าเรือนไปวันหน้า | |||
จะตกแต่งให้ดีมีหน้าตา | มิให้ใครครหานินทากู | |||
เอ็งจงยับยั้งอยู่วังใน | ขรัวนายไปจัดเรือนให้มันอยู่ | |||
ฝากเจ้าขรัวนายด้วยจงช่วยดู | ทั้งคนผู้บ่าวไพร่ให้สบาย | |||
ถ้าหากมันคิดถึงพ่อแม่ | ให้เถ้าแก่พาไปดังใจหมาย | |||
รับสั่งแล้วจึงท้าวเจ้าขรัวนาย | พาสร้อยฟ้าผันผายลงมาพลัน ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาภาณุมาศ | โอภาสพรรณรายฉายฉัน | |||
ฝ่ายว่าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | จรจรัลออกพระโรงรัตนา | |||
พรั่งพร้อมเสนาข้าเฝ้า | ทุกหมู่เหล่าแวดล้อมอยู่พร้อมหน้า | |||
เจ้าเชียงใหม่พ้นพระราชอาญา | ก็เข้ามาเฝ้าเบื้องบาทบงสุ์ | |||
พระองค์ทรงดำริตริตรา | ถึงขอบขัณฑสีมาโดยประสงค์ | |||
เห็นว่าเจ้าเชียงใหม่นั้นใจจง | ควรให้คงยศได้ไม่เสียการ | |||
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยเจ้าเชียงใหม่ | เราจะให้กลับหลังยังสถาน | |||
ทั้งบ่าวไพร่ชายหญิงแลศฤงคาร | ตัวท่านจงคืนเอาขึ้นไป | |||
ไปรักษาพระนิเวศน์เขตขัณฑ์ | ป้องกันศึกเสือเหนือใต้ | |||
ถ้าแม้นมีปัจจามิตรมาทิศใด | เหลือกำลังก็ให้บอกลงมา ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังรับสั่งโปรด | ปราโมทย์ดังจะเหาะขึ้นเวหา | |||
ก้มกราบทูลพระองค์ทรงศักดา | ขอรองพระบาทากว่าจะตาย | |||
ไปเบื้องหน้าถ้าทำให้เคืองขัด | แม้นเป็นสัตย์จงประหารให้ฉิบหาย | |||
ตัวจำนำรับคำไม่กลับกลาย | ขอถวายบุตรไว้ใต้บาทา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบทรงพระสรวลสำรวลร่า | |||
เออเจ้าเชียงใหม่ไปพารา | แล้วไปมาหากันก็เป็นไร | |||
ซึ่งลูกสาวในอกยกให้ข้า | ก็ขอบใจหนักหนาเจ้าเชียงใหม่ | |||
แต่เห็นหน้าข้าก็นึกตั้งใจไว้ | จะขอสร้อยฟ้าให้กับอ้ายพลาย | |||
มันน่าชมสมกันนี่กระไร | ลูกสาวเจ้าเชียงใหม่ก็เฉิดฉาย | |||
อ้ายพลายงามความรู้ก็เลิศชาย | จะได้เป็นสุขสบายทั้งสองรา | |||
อย่าเสียใจว่าได้กับต่ำศักดิ์ | อ้ายพลายงามก็รักเหมือนลูกข้า | |||
เป็นหัวมหื่นมหาดเล็กเด็กชา | จงนึกว่าเราทั้งสองเกี่ยวดองกัน ฯ | |||
๏ เจ้าเชียงใหม่ได้ฟังรับสั่งขอ | รันทดท้อฤทัยให้ไหวหวั่น | |||
เสียดายศักดิ์สุริยวงศ์พงศ์พันธุ์ | อัดอั้นมิใคร่ออกซึ่งวาจา | |||
นึกถึงสร้อยฟ้านิจจาเอ๋ย | ไม่ควรเลยจะระคนลงปนข้า | |||
ครั้นขัดก็จะเคืองเบื้องบาทา | จึงกราบทูลพระกรุณาด้วยจำใจ | |||
อันลูกสาวเกล้ากระหม่อมถวายขาด | ไว้เป็นข้าฝ่าพระบาทจนตักษัย | |||
ซึ่งจะพระราชทานจมื่นไวย | ก็สุดแท้แต่พระทัยจะโปรดปราน | |||
อันพระไวยคนนี้ก็มีศักดิ์ | แหลมหลักเปรื่องปราดชาติทหาร | |||
ต่อไปคงจะได้ราชการ | กระหม่อมฉานจะได้พึ่งเพื่อนสืบไป ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบตรัสว่าเออเจ้าเชียงใหม่ | |||
แม้นมีเหตุเภทพาลประการใด | จะได้ใช้ให้ออไวยไปช่วยกัน | |||
ท่านจงคืนหลังยังพารา | ญาติงวศ์คอยท่าจะโศกศัลย์ | |||
ทั้งเจ้าไพร่จงเป็นสุขทุกคืนวัน | พระสั่งเสร็จจรจรัลเข้าวังใน ฯ | |||
ฝ่ายว่าเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นประชา | เสด็จขึ้นกลับมาที่อาศัย | |||
มีรับสั่งโปรดปรานประการใด | ก็เล่าให้เมียแจ้งแห่งกิจจา ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรมเหสี | ได้ฟังคดีที่ผัวว่า | |||
ยินดีที่จะได้ไปพารา | แต่ทุกข์ถึงธิดาดวงชีวัน | |||
ให้อีไหมไปบอกเจ้าสร้อยฟ้า | ให้ออกมาทันทีขมีขมัน | |||
สร้อยฟ้าจึงลาขรัวนายพลัน | เถ้าแก่โขลนนั้นกำกับมา ฯ | |||
๏ คราถึงที่สถิตของบิดา | นางยอกรกราบบาทาทั้งซ้ายขวา | |||
เจ้าเชียงใหม่กอดลูกแล้วโศกา | ว่าพ่อแม่นี้จะลาเจ้ากลับไป | |||
เพราะมีตัวเจ้าถวายจึงคลายเคือง | ได้เมื้อเมืองเจ้าจะตกอยู่กรุงใต้ | |||
จะโปรดปรานประทานให้หมื่นไวย | เหลืออาลัยอยู่แล้วแก้วพ่ออา ฯ | |||
๏ ครานั้นสร้อยฟ้านารี | ฟังคดีเพียงจะดิ้นสิ้นสังขาร์ | |||
สองกรกอดบาทพระบิดา | ก้มหน้าซบลงแล้วโศกี | |||
โอ้ว่าเจ้าประคุณของลูกแก้ว | จะละลูกเสียแล้วเอาตัวหนี | |||
ซึ่งยกลูกถวายถ่ายชีวิต | ลูกไม่คิดบิดเบือนหรอกเจ้าพ่อ | |||
ท่านจะใช้ตักน้ำหรือหามวอ | ไม่ย่อท้อจะแทนพระคุณไป | |||
แสนทุกข์อยู่แต่ที่จะมีผัว | พระทูนหัวอกเอ๋ยหาเคยไม่ | |||
จะดูการเรือนเหย้าเขาข้างไทย | จะอย่างไรก็ไม่รู้ประเพณี | |||
ก็จะถูกติฉินยินร้าย | อัปยศอดอายชาวกรุงศรี | |||
สำหหรับเขาค่อนว่าทั้งตาปี | มีแต่จะอับอายขายบาทา | |||
ประการหนึ่งผู้ซึ่งจะเป็นผัว | มิใช่ตัวเขาสมัครรักใคร่ข้า | |||
ประทานไปถ้าเขาไม่มีเมตตา | ก็จะพาลด่าว่าเอาตามใจ | |||
แม้นจะทำย่ำยีถึงตีตบ | จะสู้รบหลบหนีไปไหนได้ | |||
ตัวคนเดียวตกอยู่ในหมู่ไทย | จะพึ่งใครยามยากลำบากกาย | |||
จะได้แต่ร้องไห้ไปจนม้วย | แม่พ่อพอจะช่วยก็ห่างหาย | |||
ไหนจะอยู่ไปตลอดคงวอดวาย | นางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ | |||
๏ ครานั้นเจ้าเชียงใหม่อาลัยลูก | พันผูกนั่งสะท้อนถอนใจใหญ่ | |||
แข็งขืนกลืนกลั้นน้ำตาไว้ | โลมเล้าเอาใจของลูกรัก | |||
เป็นกรรมของเรานะเจ้าเอ๋ย | แต่เกิดมาพ่อไม่เคยจะหาญหัก | |||
ครั้งนี้ขัดสนจนใจนัก | เจ้าเหมือนที่พึ่งพักของบิดา | |||
ตลอดถึงวงศาคณาญาติ | ประชาราษฎร์เพื่อนยามมากนักหนา | |||
เป็นเชลยกองทัพเขาจับมา | เหมือนลูกช่วยให้รอดตลอดไป | |||
ถ้าไม่มีตัวเจ้าเข้าถวาย | ก็คงพากันตายอยู่เมืองใต้ | |||
นี่พอให้ไว้เนื้อเชื่อพระทัย | จึงโปรดให้กลับคืนไปเเมืองเรา | |||
ซึ่งพระองค์ทรงขอให้พระไวย | มิใช่พ่อพอใจจะให้เจ้า | |||
แต่จะขัดพระดำรัสเหมือนดูเบา | จึงจำยกให้เขาตามบัญชา | |||
ข้อนี้ก็ได้มีรับสั่งแล้ว | ว่าจะเลี้ยงลูกแก้วให้สมหน้า | |||
ด้วยพระองค?์ทรงพระกรุณา | จงพึ่งฝ่าบาทบงสุ์พระทรงชัย | |||
ไปวันหน้าถึงว่าจะอาดูร | จะเฝ้าแหนเพ็ดทูลก็พอได้ | |||
อนึ่งที่ตัวพระจมื่นไวย | เมื่อขึ้นไปย่ำยีบุรีเรา | |||
ถึงเมื่อไปเป็นปรปักษ์จะหักหาญ | ด้วยทำการถวายเจ้านายเขา | |||
เมื่อเราอ่อนเขาก็หย่อนผ่อนให้เบา | จนเลยเข้ากันเป็นมิตรสนิทมา | |||
คงเห็นกับไมตรีมีแต่หลัง | ทั้งเป็นเมียประทานพระผ่านหล้า | |||
ถึงเกิดข้องเคืองขัดอัธยา | เห็นจะไม่ตีด่าให้อับอาย | |||
พ่อจะให้เถถรขวาดฉลาดเวท | เธอวิเศษฤทธีดีใจหาย | |||
อยู่เป็นเพื่อนป้องกันอันตราย | กับเพี้ยกวานขนานอ้ายด้วยอีกคน | |||
แม่เจ้าเขาคงเลือกเหล่าผู้หญิง | ที่เชื่อใจได้จริงมาแต่ต้น | |||
มอบไว้ให้ชิดติดกับตน | ถึงพ่อไปเมืองบนไม่ละเลย | |||
อันจะเป็นแม่เหย้าเจ้าเรือน | ดูให้เหมือนแม่เจ้าเถิดลูกเอ๋ย | |||
เขาดีจริงสิ่งไรเจ้าไม่เคย | ทรามเชยถามแม่ให้แน่ใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นนางอัปสรชนนี | เรียกสร้อยฟ้านารีเข้าเรือนใหญ่ | |||
สงสารลูกโลมเล้าเอาใจ | อย่าร้องไห้ไปนักนะลูกอา | |||
เกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชน | ความทุกข์มิพ้นจนสักหน้า | |||
สุดแท้แต่กรรมที่ทำมา | ถึงเวลาสิ้นสุขก็ทุกข์ไป | |||
ถ้าถึงคราวพ้นเข็ญที่เป็นทุกข์ | ก็กลับมีความสุขสืบไปใหม่ | |||
เป็นธรรมดามาฉะนี้แต่ไรไร | จะหวาดหวั่นพรั่นใจไม่ต้องการ | |||
พระพ่อได้ถวายเจ้าถ่ายโทษ | เหมือนเจ้าโปรดพ่อให้ได้คืนสถาน | |||
ดังกัญหาชาลีสองกุมาร | เพิ่มประโยชน์โพธิญาณพระบิดา | |||
เป็นกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ | จะค้ำชูตัวไปในภายหน้า | |||
ไม่ควรย่อท้อคิดระอิดระอา | จงก้มหน้าสนองพระคุณไป | |||
ซึ่งภูบาลจะประทานให้มีผัว | เจ้าอย่ากลัวชั่วร้ายหามีไม่ | |||
เป็นสตรีมีผัวกันทั่วไป | เพราะว่าเป็นวิสัยแห่งโลกีย์ | |||
ถึงเนื้อคู่อยู่ห่างต่างภาษา | จนหน้าตาไม่รู้จักมักจี่ | |||
สำคัญแต่ที่ให้ได้คนดี | ก็จะมีความสุขไม่ทุกข์ใจ | |||
เหมือนเช่นพระอุณรุทนางอุษา | ก็อยู่ห่างต่างพาราเป็นไหนไหน | |||
หลับอยู่เทวดาพาอุ้มไป | ยังรักใคร่ปรองดองทั้งสองรา | |||
ถึงตัวแม่เมื่อสาวคราวพวยพุ่ง | ก็อยู่เวียงเชียงตุงไกลหนักหนา | |||
พระปู่เฒ่าเจ้าเชียงใหม่ไปขอมา | เพิ่งเห็นหน้าพ่อเจ้าต่อวันงาน | |||
ถึงพ่อเจ้าเล่าก็ไม่ได้เห็นแม่ | ได้ยินแต่ว่ารูปทรงส่งสัณฐาน | |||
ยังอยู่ด้วยกันมาเป็นช้านาน | มิได้มีร้าวรานประการใด | |||
ด้วยวิสัยในการประเวณี | ย่อมอยู่ที่ดวงจิตพิสมัย | |||
พอถึงกันก็ประหวัดกำหนัดใน | แต่พอได้รู้รสก็หมดกลัว | |||
ยิ่งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก | พอประจักษ์ได้เสียเป็นเมียผัว | |||
มักหลงใหลคลึงเคล้าเฝ้าพันพัว | ราวกับตัวขึ้นสวรรค์ชั้นไตรตรึงส์ | |||
เมื่อแรกแรกร่วมเรียงเคียงเขนย | อย่ากลัวเลยจะพิโรธโกรธขึ้ง | |||
ต่อนานวันว่างวายคลายเคล้าคลึง | นั่นแลจึงจะได้รู้ดูใจกัน | |||
วิสัยชายคล้ายกับคชสาร | ถ้าหมอควาญรู้ทีดีขยัน | |||
แต่ทว่าบางยกตกน้ำมัน | ต้องรู้จักผ่อนผันจึงเป็นเพลง | |||
ธรรมดาสตรีที่มีผัว | ต้องเกรงยำจำกลัวผัวข่มเหง | |||
เพราะถ้าผัวตัวนั้นยังคุ้มเกรง | ถึงคนอื่นครื้นเครงมิเป็นไร | |||
ถ้าผัวทิ้งคนเดียวเปลี่ยวอนาถ | เหมืนอสิ้นชาติสิ้นเชื้อที่เนื้อไข | |||
หญิงที่ผัวทิ้งขว้างห่างเหไป | จะเข้าไหนเขากระหยิ่มมักยิ้มเยาะ | |||
ถึงจะหาลูกผัวแก้ตัวใหม่ | ก็ยากนักจักได้ที่มั่นเหมาะ | |||
ด้วยสิ้นพรหมจารีที่จำเพาะ | เหมือนไส้กลวงด้วงเจาะรังเกียจกัน | |||
ด้วยเหตุนี้มีผัวอย่ามัวประมาท | ถ้าพลั้งพลาดเพียงชีวาจะอาสัญ | |||
ต้องเอาใจสามีทุกวี่วัน | ให้ผัวนั้นเมตตาอย่าจืดจาง | |||
จงเคารพนบนอบต่อสามี | กิริยาพาทีอย่าอางขนาง | |||
จะยั่วยวนหรือว่ามีที่ระคาง | ไว้ให้ว่างผู้คนอยู่ที่ลับ | |||
สังเกตดูอย่างไรชอบใจผัว | ทั้งอยู่กินสิ้นทั่วทุกสิ่งสรรพ | |||
ทำให้ได้อย่าให้ต้องบังคับ | เป็นแม่เรือนเขาจึงนับว่าดีจริง | |||
อันเป็นเมียจะให้ชอบใจผัว | สิ่งสำคัญนั้นก็ตัวของผู้หญิง | |||
ทำให้ผัวถูกใจไม่มีทิ้ง | ยังมีอีกสิ่งก็อาหารตระการใจ | |||
ถ้ารู้จักประกอบให้ชอบลิ้น | ถึงแก่สิ้นเพราพริ้งไม่ทิ้งได้ | |||
คงต้องง้อขอกินทุกวันไป | จงใส่ใจจัดหาสารพัน | |||
เป็นต้นต้มตีนหมูให้ชูรส | ไข่ไก่สดต้มยำทำขยัน | |||
ตับเหล็กกสันในแลไข่ดัน | หั่นให้ชิ้นเล็กเล็กเหมือนเจ๊กทำ | |||
พยายามเลี้ยงดูให้ชูใจ | ถึงจะมีเมียใหม่ให้คมขำ | |||
เสน่ห์ปลายจวักไม่รู้จักทำ | หลงใหลไม่กี่น้ำก็จำคลาย | |||
พ่อเจ้ามีห้ามสักสามร้อย | เป็นไรไม่หลุดลอยไปง่ายง่าย | |||
ปะสาวสาวเจ้าก็ชมหลงงมงาย | แต่พอหน่ายก็แพ้แม่ทุกที | |||
ทำไมกับสาวสาวอีลาวเคอะ | ถึงจะสวยมันก็เซอะดังซากผี | |||
ยังชมว่าท่านยายแยบคายดี | มิได้มีเหมือนแม่จนแก่ชรา | |||
อันเป็นหญิงสุดแต่สิ่งปรนนิบัติ | ใครสันทัดผัวก็รักเป็นหนักหนา | |||
แม้นเจ้าทำเหมือนคำของมารดา | ดีกว่ายาแฝดฝังทั้งตาปี ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า | รับคำมารดาใส่เกศี | ||
เจ้าแม่ไปขอให้สวัสดี | ถึงปีแล้วจงใช้ให้คนมา | ||
ให้แจ้งข่าวเจ้าประคุณว่าเป็นสุข | ก็จะสบายคลายทุกข์ของตัวข้า | ||
สั่งพลางต่างองค์ทรงโศกา | เพียงว่าจะสิ้นสมประดี ฯ | ||
๏ ครั้นสุริย์ฉายบ่ายคล้อยลงรำไร | เจ้าเชียงใหม่กับองค์มเหสี | ||
แสนสงสารลูกยายิ่งปรานี | เวลานี้จวนเจ้าจะเข้าวัง | ||
เอาธำมรงค์เก้ายอดถอดให้ลูก | ถ้าจะขายถูกถูกก็สิบชั่ง | ||
ไว้ต่อมเมื่อยากจนพ้นกำลัง | จำนำไว้ในวังพอแก้จน | ||
แล้วเลือกสรรนางลาวพวกสาวใช้ | นางสาวไหมพี่เลี้ยงนั้นเป็นต้น | ||
กับรุ่นรุ่นรูปดีอีกสี่คน | เอาไว้เป็นเพื่อนตนเถิดลูกอา | ||
แล้วสั่งซ้ำกำชับกับสาวไหม | เอ็งเอ๋ยอย่าถือใจว่าเป็นข้า | ||
นึกว่านางเป็นน้องร่วมท้องมา | จงอุตส่าห์หมั่นระวังสั่งสอนกัน | ||
จวนประตูปิดแล้วแก้วแม่เอ๋ย | อย่าช้าเลยกลับไปเข้าไปไอศวรรย์ | ||
แม่จงอยู่เป็นสุขทุกนิรันดร์ | อันตรายราคีอย่ามีพาน ฯ | ||
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าสร้อยฟ้า | ฟังว่าดังอุระจะแตกฉาน | ||
กราบตีนพ่อแม่ให้แดดาล | ชลนัยน์ไหลซ่านลงโซมทรวง | ||
เย็นนักจักช้าก็มิได้ | เป็นทุกข์ใจจะรีบเข้าวังหลวง | ||
พระสุริยาจวนพลบจะลบดวง | ให้เป็นห่วงบ่วงใยมิใคร่จร | ||
พวกเถ้าแก่เตือนตักว่าจักค่ำ | นางยิ่งซ้ำแสนทุกข์สะท้อนถอน | ||
จึงจำจากบิดาแลมารดร | เฝ้าอาวรณ์โศกเศร้าจนเข้าวัง ฯ | ||
๏ ครานั้นพระเจ้าเชียงใหม่ | อาลัยลูกยาน้ำตาหลั่ง | ||
แลตามสร้อยฟ้าจนฝาบัง | แล้วนิ่งนั่งสะอื้นไห้อยู่ไปมา | ||
ทั้งนางอัปสรมเหสี | ก็โศกีร่ำรักเป็นหนักหนา | ||
กระทั่งพวกสาวสรรค์กัลยา | ต่างก็พลอยโศกาด้วยอาลัย | ||
ครั้นว่าค่อยคลายวายโศกา | จึงเรียกเหล่าเสนาเข้ามาใกล้ | ||
บอกว่าพระองค์ผู้ทรงชัย | ยกโทษโปรดให้ไปธานี | ||
จงไปสั่งพวกลาวบ่าวไพร่ | ให้เตรียมตัวกลับไปบุรีศรี | ||
พร้อมพรั่งตั้งแต่ในพรุ่งนี้ | ฤกษ์ดีวันมะรืนจะคืนเมือง ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่าเสนาพระยาลาว | ทราบข่าวว่าจะได้กลับไปเหนือ | ||
ต่างดีใจรีบลัดไปจัดเรือ | หาพริกเกลือเตรียมเสบียงไปเลี้ยงกัน | ||
ส่วนพวกพลลาวบ่าวข้า | ก็ติดตามกันมาจ้าละหวั่น | ||
ช่วยกันยาเรือแพอยู่แจจัน | บางคนนั้นเก็บของมากองไว้ | ||
บ้างไปซื้อเสื้อผ้าหาของกิน | ที่ใครมีหนี้สินรีบใช้ให้ | ||
ขะมักเขม้นอารามยามจะไป | ถึงเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไม่ขุ่นเคือง | ||
พวกพ่อค้ารู้ข่าวลาวจะกลับ | เอาของหาบหยับหยับมาแน่นเนื่อง | ||
ชวนให้ซื้อของข้าวเอาไปเมือง | ราคาเฟื้องขายสลึงให้พึงใจ | ||
ฝ่ายพวกนางลาวเหล่าข้าหลวง | ห่วงสมบัติต่างรีบหาหีบใส่ | ||
เก็บพับผ้าผ่อนท่อนสไบ | แป้งน้ำมันเอาไปให้พอแรง | ||
บรรดาพวกที่จะได้กลับบ้าน | ต่างเบิกบานยิ้มหัวทั่วทุกแห่ง | ||
ที่ต้องอยู่อยุธยาทำตาแดง | หัวอกแห้งใครทักไม่พูดจา | ||
เจ้าเชียงใหม่ครั้นเห็นก็สงสาร | แจกบำเหน็จบำนาญให้หนักหนา | ||
สูแอ๋ยอยู่หน่อยกับสร้อยฟ้า | พอปีหน้าข้าจะให้ได้ไปเมือง ฯ | ||
๏ พอรุ่งเช้ากลาโหมมหาดไทย | ทั้งกรมแสงคลังในมาแน่นเนื่อง | ||
ผู้คนขนของมานองเนือง | แต่ล้วนเครื่องอุปโภคที่ริบไว้ | ||
บอกว่ามีพระราชโองการ | พระราชทานคืนสิ่งศฤงคารให้ | ||
ของเหล่านี้ที่ส่งมากรุงไกร | กลับขึ้นไปถึงพิจิตรจงแวะรับ | ||
ช้างม้าพาหนะบ่าวไพร่ | คืนไปตามรับสั่งให้เสร็จสรรพ | ||
เอาบาญชีคลี่สำรวจตรวจนับ | มอบแล้วต่างกลับไปฉับพลัน | ||
พวกเสนาพระยาลาวชาวเชียงใหม่ | ก็รับของขนไปเป็นหลั่นหลั่น | ||
เรียกเรือมาเรียงไว้เคียงกัน | เอาของบรรทุกเรียบเพียบทุกลำ | ||
ทั้งของหลวงของเหล่าท้าวพระยา | ผู้คนขนมาอยู่คลาคล่ำ | ||
บรรทุกแล้วถอยมาทอดจอดประจำ | ในท้องน้ำเสียงลาวออกฉาวไป | ||
ที่ตรงท่าหน้าบ้านตะพานลง | ให้จอดเรือลำทรงเจ้าเชียงใหม่ | ||
ต่อมาข้างท้ายเรือฝ่ายใน | ให้จอดเรือพวกไพร่ข้างใต้น้ำ | ||
ครั้นพร้อมเสร็จเจ้าเชียงใหม่มเหสี | จรลีลงเรือเมื่อใกล้ค่ำ | ||
เรือพวกท้าวพระยามาประจำ | เรียงลำคอยท่าจะคลาไคล ฯ | ||
๏ พอดาวประกายพฤกษ์ขึ้นพวยพุ่ง | ใกล้รุ่งแสงทองจะส่องไข | ||
พระจันทร์เคลื่อนเลื่อนบ่ายลงปลายไม้ | สกุณาไก่ก้องขันสนั่นเมือง | ||
พวกลาวต่างฟื้นตื่นนิทรา | หุงข้าวเผาปลากันตามเรื่อง | ||
พออุทัยไขแสงขึ้นแรงเรือง | แลประเทืองทั่วฟ้าสุธาธาร | ||
ลงเรือพร้อมพรั่งทั้งนายไพร่ | เจ้าเชียงใหม่ลุกออกมานอกม่าน | ||
พอได้ฤกษ์รังสีรวีวาร | ให้ออกเรือจากตะพานไปทันใด | ||
น้ำขึ้นตีกรรเชียงเสียงครั่นครึก | ตกลึกผ่านมาหน้าวังใหญ่ | ||
ท้าวคิดถึงลูกยายิ่งอาลัย | น้ำตาไหลนั่งนิ่งอยู่ข้างท้าย | ||
เรือตามน้ำขึ้นมาคว้างคว้าง | ถึงเพนียดคล้องช้างก็ใจหาย | ||
เห็นช้างผูกเสาเคียงอยู่เรียงราย | โอ้ช้างพลายตามโขลงมาหลงซอง | ||
งวงพาดงาเหงากับเสาตะลุง | ตาจะมุ่งดูอะไรเมื่อใจหมอง | ||
น้ำตาซาบอาบหน้าอยู่เนืองนอง | ทั้งสองข้างมีงาไม่กล้าแทง | ||
ช้างเอ๋ยเคยกล้าอยู่กลางเถื่อน | ไม่กลัวเพื่อนแล่นไล่ด้วยใจแข็ง | ||
ความทะนงหลงตัวว่าเรี่ยวแรง | ถูกเขาแกล้งปกพาเอามาคล้อง | ||
ด้วยความรักนางพังกำบังตา | ติดโขลงตามมาได้คล่องคล่อง | ||
เพราะตัณหาพาหลงตรงเข้าซอง | จึงมาต้องผูกมัดอยู่อัตรา | ||
คิดถึงเพื่อนก็เหมือนกับตัวเรา | แต่ก่อนเก่าสารพันจะหรรษา | ||
สมบัติพัสถานก็ลานตา | เมืองไหนไม่มาประมาทแคลน | ||
เพราะหลงรักสร้อยทองปองสวาท | พลั้งพลาดจึงทุกข์เสียเหลือแสน | ||
เสียบ้านเสียเมืองได้เคืองแค้น | แม้นแต่ลูกสายใจมิได้คืน | ||
ยิ่งคิดยิ่งเหงาเศร้าวิญญาณ์ | น้ำตาไหลหลั่งนั่งสะอื้น | ||
ถึงบ้านมอญเห็นขอนมอญลงยืน | น้ำตื้นให้ถ่อต่อไปพลัน | ||
ผ่านโพธิ์สามต้นเห็นต้นโพธิ์ | กิ่งไสวใหญ่โตสูงถงั่น | ||
สามต้นปลูกเรียงไว้เคียงกัน | ต้นหนึ่งนั้นอยู่กลางดูบางใบ | ||
เหี่ยวแห้งรันทดสลดหมอง | สองต้นสดชื่นรื่นไสว | ||
เหมือนเราสองจะไปครองซึ่งเวียงชัย | ลูกน้อยละห้อยไห้เป็นโพธิ์กลาง | ||
โอ้วิบากปากน้ำพระประสบ | สักเมื่อไรจะได้พบกับลูกบ้าง | ||
ครวญคร่ำร่ำหามาตามทาง | ถึงบ้านขวางท่าคอให้ท้อใจ | ||
เหลียวหน้ามาทางมเหสี | ก็เห็นนางโศกีสะอื้นไห้ | ||
ยิ่งเบื่อบ้านย่านทางหมางฤทัย | นกไม้มีดื่นไม่ชื่นชม | ||
ครั้นจวนเย็นจอดหาที่อาศัย | เช้าไปแดดร้อนผ่อนพักร่ม | ||
ข้ามบ้านผ่านแขวงเมืองอินทร์พรหม | ชัยนาทมโนรมย์ลำดับมา | ||
พ้นนครสวรรค์แปรไปแควใหญ่ | เข้าปากน้ำเกยชัยในสาขา | ||
ถึงบางคลานไม่รอถ่อนาวา | จนหน้าเมืองพิจิตรบุรีฯ | ||
๏ ฝ่ายผู้รั้งกรมการทราบสารตรา | ต่างก็มารับรองต้องตามที่ | ||
มอบของบรรดานานามี | ตามบาญชีสั่งไปให้คืนนั้น | ||
ที่ครอบครัวสิ่งของต้องประสงค์ | ก็จัดส่งกรุงศรีขมีขมัน | ||
สำเร็จเสร็จในไม่กี่วัน | แล้วบอกบั่นตามคดีที่มีมา ฯ | ||
๏ ฝ่ายข้างเจ้าเชียงใหม่ให้จัดกัน | พวกหนึ่งนั้นเดินบกยกล่วงหน้า | ||
ให้คุมครัววัวต่างแลช้างม้า | ไปคอยท่าหน้าเมืองสัชนาลัย | ||
กระบวนเรือน้อยใหญ่ก็ไคลคลา | เข้าคลองพิงค์มาหาช้าไม่ | ||
ตกท่ากงลงทางน้ำยมไป | พ้นบ้านใหม่ไม่ช้าถึงท่าเรือ ฯ | ||
๏ ฝ่ายผู้รั้งสังคโลกกรมการ | รักษาด่านพระนครข้างตอนเหนือ | ||
ทราบว่าปล่อยเจ้าเชียงใหม่ให้คืนเมือ | จัดข้าวเกลือพริกปลาหาเตรียมไว้ | ||
ครั้นพวกลาวบ่าวนายถึงพร้อมเพรียง | เอาเสบียงอาหารมาจ่ายให้ | ||
แล้วตรวจสอบตามบาญชีที่จะไป | ทั้งนายไพร่ช้างม้าเครื่องอาวุธ | ||
ให้หลวงพลสงครามตามไปส่ง | ถึงปากดงพงแดนเป็นที่สุด | ||
แล้วให้แต่งม้าใช้ไปเร็วรุด | บอกเมืองเถินทราบดุจเดียวกัน ฯ | ||
๏ ครั้นกระบวนพร้อมพรั่งทั้งนายไพร่ | เจ้าเชียงใหม่ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ขึ้นบกยกออกจากเมืองพลัน | เจ็ดวันถึงแคว้นแดนนคร | ||
ท้าวพระยาผู้รักษาเมืองลำปาง | ต่างก็มาพร้อมพรั่งดั่งแต่ก่อน | ||
เจ้าเชียงใหม่ค่อยสบายคลายอาวรณ์ | ให้พักผ่อนเหน็ดเหนื่อยที่เลื่อยล้า | ||
ส่วนพระยาข้าเฝ้าเจ้าเชียงใหม่ | ก็จัดแจงนายไพร่ให้ล่วงหน้า | ||
รีบไปบอกข่าวชาวพารา | ว่าพระเจ้าเชียงใหม่ได้คืนเมือง ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่าพวกลาวชาวเชียงใหม่ | ต่างดีใจพร้อมหน้ามาแน่นเนื่อง | ||
จัดกระบวนแหนแห่แลประเทือง | ธงเทียวเขียวเหลืองบรรดามี | ||
ทั้งราชยานคานหามแลวอทอง | ฆ้องกลองเครื่องสักคีตดีดสี | ||
แล้วป่าวร้องบอกลาวชาวบุรี | มาคอยรับอยู่ที่เมืองลำพูน | ||
ครั้นพระเจ้าเชียงใหม่ไปถึงนั่น | ก็พากันมาเฝ้าเจ้าไอศูรย์ | ||
ทั้งเสนาอำมาตย์ราชประยูร | เพ็ดทูลต้อนรับด้วยยินดี ฯ | ||
๏ พอได้ฤกษ์วันดีมีมงคล | ต่างคนประณตบทศรี | ||
เชิญเจ้าสวรรยาเข้าธานี | ครองบุรีเนาวรัตน์เป็นฉัตรชัย | ||
เชิญพระองค์ขึ้นทรงยานมาศ | ทั้งนางราชเทวีศรีใส | ||
แห่ออกนอกเมืองลำพูนชัย | ไปยังเวียงเชียงใหม่ในวันนั้น | ||
ทั้งสองข้างทางแห่ให้ปักฉัตร | ผูกแผงราชวัติขึ้นกางกั้น | ||
เจ้าของบ้านนั่งเรียงอยู่เคียงกัน | พอเจ้านายถึงนั่นก็อวยพร | ||
พลางโปรยบุบผามาลัย | ยกมือกราบไหว้อยู่สลอน | ||
องค์พระเจ้าเข้าคืนพระนคร | เหมือนพระเวสสันดรแต่ก่อนมา | ||
สาธุชัยตุภวังค์ | ชัยมังคลังพระเจ้าข้า | ||
ให้พ่อเจ้าเป็นสุขทุกเวลา | ชาวพาราต่างอำนวยอวยพร ฯ | ||
๏ ครั้นว่ามาถึงนิเวศน์วัง | พระครูบามานั่งอยู่สลอน | ||
แต่งบัตรพลีตั้งสลับซับซ้อน | ตามแบบอย่างปางก่อนเคยฟาดเคราะห์ | ||
พระสังฆราชอัญเชิญเจ้าเชียงใหม่ | เข้านั่งในซุ้มกล้วยเป็นกรวยเกราะ | ||
มเหสีก็มีซุ้มจำเพาะ | แล้วพระสงฆ์สวดสะเดาะขึ้นพร้อมกัน | ||
สวดเสร็จสังฆราชเอาบาตรน้ำ | เสกซ้ำด้วยพระมนตร์ดลขยัน | ||
รดสะเดาะเคราะห์ร้ายให้หายพลัน | เสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นดัง | ||
ครั้นตกบ่ายชายแสงพระสุริยา | พระญาติวงศ์พงศามาพร้อมพรั่ง | ||
ทั้งเสนาข้าเฝ้าเหล่าชาววัง | ประชุมนั่งในท้องพระโรงรัตน์ | ||
เชิญองค์เจ้าเชียงใหม่มเหสี | สถิตที่แท่นประทับสำหรับกษัตริย์ | ||
ตั้งบายศรีเครื่องกระยาสารพัด | ประจงจัดหลายอย่างต่างต่างกัน | ||
ให้พระยาจ่าบ้านเป็นผู้ใหญ่ | อวยชัยจำเริญเชิญพระขวัญ | ||
แล้วผู้หัตถ์รัดด้ายถวายพลัน | ตามเยี่ยงอย่างปางบรรพ์ประเพณี | ||
สมโภชเสร็จเสด็จออกพลับพลา | ราษฎรเข้ามาอยู่อึงมี่ | ||
เตรียมลูกกุยมาทั่วที่ตัวดี | ปล้ำประจัญกันที่สนามใน | ||
เกเกริกอยู่จนสนธยา | จึงเลิกงานต่างมาที่อาศัย | ||
เจ้าเชียงอินทร์สำราญบานฤทัย | ครองเชียงใหม่เป็นสุขทุกวันวาร ฯ | ||
ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช | มงกุฎเกศอยุธยามหาสถาน | |||
สถิตแท่นแว่นฟ้าโอฬาฬาร | พร้อมขนานพระสนมประนมกร | |||
ครั้นสุริยงลงลับเมรุมาศ | พระจันทร์ผาดเผ่นจำรัสประภัสสร | |||
ทรงพระแสงเพชรประดับสำหรับกร | บทจรออกท้องพระดรงคัล | |||
แสงประทีปโคมแก้วแววสว่าง | พวกขุนนางหมอบเฝ้าเป็นเหล่าหลั่น | |||
พระตรัสความตามอย่างเป็นทางธรรม์ | แม่นมั่นตามระเบียบโบราณมา | |||
เบือนพระพักตร์มาพบพระกาญจน์บุรี | ก็ยิ่งมีพระทัยให้หรรษา | |||
ด้วยต้องการประทานนางสร้อยฟ้า | จึงตรัสว่าฮาเฮ้ยอ้ายกาจน์บุรี | |||
อ้ายหมื่นไวยกูก็ให้มียศสักดิ์ | พร้อมพรักข้าไทเป็นถ้วนถี่ | |||
ยังเสียอยู่แต่เมียมันไม่มี | จะยกอีสร้อยฟ้าให้แก่มัน | |||
จะให้สมกับที่มีความชอบ | ให้ประกอบยศยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | |||
เป็นขุนนางไม่มีเมียก็เสียครัน | จะให้มันมีเมียเสียสักคน ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงพระกาญจน์บุรี | อัญชลีกราบงามสามหน | |||
จึงกราบทูลภูวไนยไปบัดดล | พระคุณเป็นพ้นคณนา | |||
แต่ซึ่งจมื่นไวยใช่ตัวเปล่า | ข้าพระพุทะเจ้าไม่มุสา | |||
เมื่อไปทัพได้กับศรีมาลา | ลูกยาพระพิจิตรบุรี | |||
แต่รักใคร่ยังมิได้ทำงานการ | เขาผ่อนผัดนัดงานมาเดือนสี่ | |||
ได้หมั้นกันไว้ตามประเพณี | ขอจงทราบธุลีพระบาทา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ได้ฟังขุนแผนนั้นทูลว่า | |||
เมียจมื่นไวยมีชื่อศรีมาลา | เป็นลูกยาพระพิจตรบุรี | |||
จึงตรัสว่าอ้ายพลายงามเป็นหมื่นไวย | มีเมียมากสักเท่าไรไม่ควรที่ | |||
ได้สักสิบคนนั้นมันยิ่งดี | จึงสั่งพระยาราชสีห์ด้วยทันใด | |||
จงมีตราหาตัวพระพิจิตรนั้น | ทั้งลูกสาวมันมาให้จงได้ | |||
จะให้แต่งงานกับอ้ายไวย | ให้รีบรัดเร่งไปในวันนี้ | |||
สั่งเสร็จพระเสด็จขึ้นข้างใน | ขุนนางน้อยใหญ่ลุกจากที่ | |||
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจักรี | ออกมานั่งสั่งคดีที่ศาลา | |||
แต่งตราส่งให้นายสวัสดิ์ | เอ็งรีบรัดขึ้นไปพิจิตรหวา | |||
นายสวัสดิ์กราบกรานรับสารตรา | ลงเรือกัญญาโยนยาวไป | |||
ครั้นว่ามาถึงเมืองพิจิตร | สมคิดวางตราหาช้าไม่ | |||
พระพิจิตรต้อนรับฉับไว | กรมการน้อยใหญ่มาฟังตรา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุรี | ฟังตราราชสีห์ว่าให้หา | |||
รู้แจ้งว่าจะแต่งศรีมาลา | จึงบอกบุตรภรรยาให้เตรียมการ | |||
พร้อมพรักผู้คนบ่าวข้า | ลงนาวาถอยออกมาจากบ้าน | |||
ล่องตรงลงทางบางคลาน | พ้นผ่านบ้านเมืองเนื่องเนื่องมา | |||
ถึงกรุงจอดบ้านท่านผู้ใหญ่ | พระพิจิตรคลาไคลขึ้นไปหา | |||
เจ้าพระยาราชสีห์ผู้ปรีชา | บอกกิจจาพระพิจิตรให้แจ้งใจ | |||
บัดนี้มีรับสั่งให้หามา | เพราะว่าจะจัดแจงแต่งงานให้ | |||
ศรีมาลาทูลท่านกับจมื่นไวย | จงรีบไปพบปะพระกาญจน์บุรี ฯ | |||
๏ พระพิจิตรรับคำแล้วอำลา | ตรงมาหาขุนแผนขมันขมี | |||
ขุนแผนกราบไหว้ด้วยยินดี | เชิญนั่งที่หอนั่งสั่งสนทนา | |||
เล่าความตามกระแสแก่พระพิจิตร | ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์นั้นตรัสว่า | |||
จมื่นไวยไม่มีภรรยา | จะประทานสร้อยฟ้าแก่หมื่นไวย | |||
ลูกทูลว่าเมียมีชื่อศรีมาลา | รับสั่งว่ามีอีกก็มีได้ | |||
ให้มีตราหาเจ้าคุณมากรุงไกร | จะโปรดให้แต่งงานศรีมาลา | |||
มาเกิดเป็นเมียสองไม่ต้องใจ | จะทานทัดขัดพระทัยก็ไม่กล้า | |||
คุณพ่อขอจงได้เมตตา | อย่าว่าลูกกลับกลอกทำนอกใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร | ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์นั้นเป็นใหญ่ | |||
เราเป็นข้าโปรดมาประการใด | ก็ต้องแล้วแต่พระทัยพระทรงธรรม์ | |||
ว่าแล้วสองข้างต่างปรึกษา | ไปบอกพระไวยมาขมีขมัน | |||
ลงไปเรือเชื้อเชิญแม่ยายนั้น | พากันไปยังบ้านจมื่นไวย | |||
พระพิจิตรบุษบากับลูกรัก | ก็ขึ้นพักอยู่ที่บ้านประทานใหม่ | |||
จัดครัวชุลมุนกันวุ่นไป | ข้าไทอึกทึกทำการงาน ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฟ้า | พระหมื่นศรีลีลามาถึงบ้าน | |||
ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้นาน | ก็คิดอ่านจัดแจงแต่งเรือนพลัน | |||
เอาพรมเจียมเสื่อสาดมาลาดปู | หมอนอิงพิงอยู่ดูเป็นหลั่น | |||
ทั้งเครื่องแก้วแถวถั่งตั้งอัฒจันทร์ | ม่านกั้นแกพับประกับกลาง | |||
อัจกลับใส่ตะเกียงแขวนเรียงไว้ | ค่ำจะได้จุดไฟให้สว่าง | |||
ทั้งกระโถนขันน้ำประจำวาง | พอกลางวันพร้อมเสร็จในทันใด | |||
พระพิจิตรว่าแก่พระหมื่นศรี | ท่านปรานีฉันด้วยช่วยแก้ไข | |||
จะซัดน้ำวันนี้ไม่มีใคร | วานโปรดให้สาวสาวสักสิบคน | |||
หล่อนแต่ล้วนขาวในได้เคยเห็น | แต่พอเป็นเพื่อนสาวกันสักหน | |||
ได้หุ้มห่อออกไปนั่งฟังสวดมนต์ | ให้มากมายหลายคนค่อยอุ่นใจ | |||
พระหมื่นศรีว่าได้เป็นไรมี | บ่ายวันนี้ดีฉันจะจัดให้ | |||
สาวสาวบ้านฉันนั้นถมไป | คุณตาอย่าได้เป็นกังวล ฯ | |||
๏ ฝ่ายพระไวยอยู่บ้านพระนายศรี | เลือกกมหาดเล็กรูปดีอยู่สับสน | |||
เอามาเป็นเพื่อนบ่าวได้เก้าคน | แล้วจัดแจงแต่งตนให้แยบคาย | |||
จึงอาบน้ำชำระแล้วประแป้ง | นุ่งยกก้านแย่งดูเฉิดฉาย | |||
ห่มกรองทองเรืองประเทืองพราย | ให้พระนายเสมอใจเป็นบ่าวนำ | |||
เสร็จแล้วออกจากบ้านพระนาย | ผันผายตามถนนคนดูคล่ำ | |||
ครั้นถึงก็ขึ้นนั่งฟังธรรม | พระสงฆ์สวดมนตร์ร่ำขึ้นพร้อมกัน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา | แต่อยู่กับขุนช้างมาไม่เดียดฉันท์ | |||
เป็นใหญ่ในบุรีศรีสุพรรณ | วันนั้นได้ยินข่าวเขากล่าวมา | |||
ว่าลูกชายพลายงามมีความชอบ | ได้ประกอบยศศักดิ์ขึ้นหนักหนา | |||
โปรดปรานประทานนางสร้อยฟ้า | แล้วจะแต่งศรีมาลาด้วยคราวนี้ | |||
เป็นผู้ใหญ่จำจะไปช่วยเขาบ้าง | ให้ขุนนางรู้จักเป็นศักดิ์ศรี | |||
คิดแล้วก็มาลาสามี | พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในเมือง | |||
พระนายพลายงามเขาแต่งงาน | ลือสะท้านทั่วกรุงฟุ้งเฟื่อง | |||
จะไม่ไปมิดีเป็นที่เคือง | ไพร่บ้านพลเมืองจะนินทา ฯ | |||
๏ ขุนช้างได้ฟังนั่งยิ้มแต้ | เออแม่จะไปผัวไม่ว่า | |||
เขาเป็นนายมหาดเล็กเด็กชา | เบื้องหน้าจะได้พึ่งเขาขุนนาง | |||
แม่อย่าไปมือเปล่าเอาเงินทอง | ข้าวของไปด้วยช่วยเขาบ้าง | |||
ผัวไม่นิ่งได้เจ้าไปพลาง | ตัวพี่จะขี่ช้างเข้าไปตาม | |||
ร้อยชั่งผัวจะสั่งไปหน่อยนะ | ถ้าพบปะอ้ายขุนแผนมันไต่ถาม | |||
อย่าพูดจาปราศรัยอ้ายบ้ากาม | ถ้าลวนลามแล้วจงด่าให้สาใจ ฯ | |||
๏ วันทองบอกว่าอย่าพักสั่ง | ฉันหานั่งพูดจากับเขาไม่ | |||
แล้วสั่งข้าหาของเข้าไวไว | นางเข้าห้องจ้องไขกำปั่นพลัน | |||
หยิบผ้ายกอย่างดีสีชมพู | แหวนงูแหวนประดับจับจัดสรร | |||
เลือกทองลิ่มเอามาสี่ห้าอัน | ทองนั้นจะได้ให้พระหมื่นไวย | |||
ผ้ายกอย่างดีสีชมพู | แหวนงูแหวนประดับไปรับไหว้ | |||
ตามมีตามจนคนละใบ | อย่าให้ลูกสะใภ้เขาเย้ยเยาะ | |||
แล้วให้ขนฟักแฟงแตงร้าน | ข้าวเม่าข้าวสารลูกตาลเฉาะ | |||
ทั้งฟักทองเนื้อดีที่กูเพาะ | อีเจาะไปจัดตัดเอามา | |||
ให้ข้าคนขนของลงเรือใหญ่ | บ่าวหลามตามไปอยู่พร้อมหน้า | |||
วันทองลงเรือได้ไพร่จ้ำมา | โยนยาวฉาวฉ่าสนั่นไป | |||
เข้าลัดตัดทางบางยี่หน | ประเดี๋ยวด้นออกบ้านเจ้าเจ็ดได้ | |||
ถึงกรุงจอดตะพานบ้านวัดตะไกร | ให้บ่าวไพร่ขนของขึ้นฉับพลัน | |||
วันทองเดินหน้ามาตามถนน | ขึ้นบนเรือนใหญ่พระไวยนั่น | |||
พระนายน้อมคำนับต้อนรับพลัน | แล้วเชิญทั่นมารดาเข้าเรือนใน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา | ตะวันบ่ายได้เวลาหาช้าไม่ | |||
บอกเพื่อนสาวที่หาเอามาไว้ | ได้สิบคนถ้วนล้วนสำอาง | |||
ให้อาบน้ำทาแป้งแต่งกาย | นุ่งลายห่มแพรสีต่างต่าง | |||
ศรีมาลาผัดหน้าเป็นนวลปราง | นุ่งลายนอกอย่างห่มสีจันทน์ | |||
จัดแจงผู้ใหญ่ให้เดินหน้า | พวกเพื่อนสาวตามาเป็นหลั่นหลั่น | |||
เอาหนามส้มเสียดผ้ามาคนละอัน | สำหรับได้ป้องกันเจ้าหนุ่มกวน | |||
หุ้มห่อกันออกนอกเคหา | หอมผ้ากลิ่นตลบอบหวน | |||
ศรีมาลาเดินกลางอย่างกระบวน | แต่ละหน้าหน้านวลดังนางใน | |||
ครั้นถึงน้อมนั่งฟังพระธรรม | พระสดำจับมงคลคู่ใส่ | |||
สายสิญจน์โยงศรีมาลาพระไวย | พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต | |||
หนุ่มสาวเคียงคั่งเข้านั่งอัด | พระสงฆ์เปิดตาลปัตรซัดน้ำโร่ | |||
ปรำลงข้างสีกาห้าหกโอ | ท่านยายโพสาวนำน้ำเข้าตา | |||
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม | เอาหนาส้มแทงท้องร้องอุ๊ยหน่า | |||
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา | ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้ | |||
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก | โอยพ่อขี้จะแตกทนไม่ได้ | |||
ท่านยายสาเต็มทีลูกหนีไป | จนพระไวยศรีมาลามาชิดกัน | |||
ท่านขรัวหัวร่อซัดต่อไป | พวกผู้ใหญ่หนาวครางจนคางสั่น | |||
อย่าเติมน้ำอีกเลยเฮ้ยตาจัน | เต็มทีเท่านั้นเถิดเจ้าคุณ ฯ | |||
๏ ท่านขรัวหยุดยั้งนั่งนิ่ง | พวกผู้หญิงต่างลุกเข้าเรือนวุ่น | |||
แม่ยายจัดผ้าถักตาขุน | ปักทองสละปะตุ่นกับผ้ายก | |||
ใส่พานวางไว้ไปจัดแจง | เครื่องแป้งอย่างดีหวีกระจก | |||
พัดจันทน์ตลับทองของแถมพก | ให้คนยกมาให้พระหมื่นไวย | |||
พวกเจ้าบ่างผลัดผ้ามาแต่งตัว | ท่านขรัวยถาสัพพีให้ | |||
ครั้นเห็นได้เวลาก็คลาไคล | ต่างองค์ต่างไปยังกุฎี | |||
พวกเจ้าบ่าวเข้าไปในหอนั่ง | ผู้คนยกโต๊ะตั้งไว้ตามที่ | |||
ทั้งของเคียงเรียบเรียบเทียบไว้ได้ | มีกระโถนขันน้ำประจำพาน | |||
ล้วนแต่พานเงินงามรองชามข้าว | แล้วเชิญท่านเพื่อนบ่าวกินอาหาร | |||
ครั้นบริโภคอิ่มหนำสำราญ | แล้วยกโต๊ะของหวานส่งเข้าไป | |||
ล้วนแต่ของดีดีเทียบสี่ชั้น | แกล้งประจงจัดสรรขึ้นซ้อนใส่ | |||
อิ่มสำเร็จยกสำรับกลับเข้าไป | ข้างในตั้งพานหมากล้วนนากทอง | |||
สั่งให้ยกสำรับเลวไปลี้ยงไพร่ | อิ่มสำราญบานใจสิ้นทั้งผอง | |||
จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง | มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ | |||
ขับกล่อมซ้อมเสียงสำเนียงนวล | โหยหวนโอดพันสนั่นหอ | |||
ฆ้องวงหน่งหนอดสอดสีซอ | ระนาดตอดลอดล้อบรรเลงลอย | |||
แสนเสนาะเสียงสนั่นสนุกสนาน | วิเวกหวานคร่ำครวญหวนละห้อย | |||
พระไวยฟังวังเวงเพลงทยอย | ละเลิงลืมตัวม่อยผ็อยหลับพลัน ฯ | |||
๏ ครั้นอุทัยไขประเทืองเรืองจำรัส | ส่องสว่างกระจ่างจัดแจ่มสวรรค์ | |||
พวกคนงานต่างลุกขึ้นปลุกกัน | บ้างจัดสรรเทียบเคียงของเลี้ยงพระ | |||
บ้างผ่าฟืนตักน้ำตำพริกขิง | ชุลมุนวุ่นวิ่งออกเออะอะ | |||
บ้างซาวหม้อก่อไฟใส่ก้นกระ | บ้างยกกระบะหยิบกระบวยล้างถ้วยชามฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ | ดิลกลบล้ำเลิศโลกทั้งสาม | |||
สถิตแท่นสุรกานต์ตระหง่านงาม | หมื่นหม่อมหมอบตามลำดับไป | |||
ทรงคะนึงถึงพระไวยจะแต่งงาน | พร้อมข้าราชการทั้งน้อยใหญ่ | |||
อีสร้อยฟ้านั้นจะช้าไว้ทำไม | เอาส่งไปให้มันเสียวันนี้ | |||
ให้พร้อมหน้าขุนนางกลางสนาม | จะได้งามเป็นสง่าราศี | |||
ดำรัสสั่งคลังไปในทันที | ให้เบิกผ้ามายี่สิบสำรับ | |||
หวีกระจกเครื่องแป้งแต่งให้ครบ | แหวนมณฑปนพเก้างูประดับ | |||
พานหมากนากทองสองสำรับ | กับเงินห้าชั่งทั้งโต๊ะพาน | |||
มันจะไปให้ขี่วอม่านลาย | เจ้าขรัวนายช่วยไปส่งให้ถึงบ้าน | |||
เร่งรีบไปพลันให้ทันการ | ของประทานให้คนขนตามไป | |||
แล้วตรัสว่าสร้อยฟ้าอย่าเป็นทุกข์ | ถ้าเฉินฉุกเบื้องหน้าหาทิ้งไม่ | |||
ไปเลี้ยงกันให้ดีอย่ามีภัย | เมื่อทุกข์ยากอย่างไรมาบอกกู ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า | รับพระราชบัญชาก้มหน้าอยู่ | |||
น้ำตาไหลหลั่งลงพรั่งพรู | แข็งใจจำสู้บังคมลา | |||
เจ้าขรัวศรีสัจจาพาครรไล | จึงสั่งให้จัดวอมารอท่า | |||
นางสร้อยฟ้าขึ้นวอลออตา | เจ้าขรัวนายนำหน้ามาจากวัง | |||
พวกนางสาวสาวเหล่าโขลนจ่า | ก็แบกของตามมาข้างภายหลัง | |||
นางไหมเดินเมียงเคียงระวัง | เจ้าสร้อยฟ้านั้นนั่งมาในวอ ฯ | |||
๏ บ้านพระไวยคนผู้อยู่คับคั่ง | พระสงฆ์นั่งสวดมนตร์อยู่บนหอ | |||
พวกขุนนางน้อยใหญ่ไปช่วยปรอ | เจ้าเณรตั้งบาตรรออยู่เรียงรัน | |||
ท่านผู้หญิงวันทองร้องเรียกบ่าว | ให้คดข้าวขาวขาวสักค่อนขัน | |||
เอาทารพีทองมาสองคัน | ช่วยกันยกไปวางกลางนอกชาน | |||
พระหมื่นศรีเข้าเรือนเตือนศรีมาลา | ออกมาธารณะเสียหน่อยหลาน | |||
ศรีมาลาอายคนพ้นประมาณ | แฝงม่านหน้าม่อยไม่ออกมา | |||
นางวันทองร้องเรียกลูกสะใภ้ | แม่เข็งใจไปหน่อยนะแม่หนา | |||
ทำบุญอย่าให้สูญเสียศรัทธา | แม่จะเป็นเพื่อนพาเจ้าออกไป ฯ | |||
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา | ได้ยินแม่ผัวว่าไม่ขัดได้ | |||
สำลีพันไม่สอยเข็ดรอยไร | สอดใส่สร้อยทรงกะทัดรัด | |||
รู้จัดแจงแป้งผัดพอเรื่อเรื่อ | ดังนวลเนื้อในผิวใช่นวลผัด | |||
ใส่แหวนมลฑปนพรัตน์ | ห่มผ้าอัตลัดนุ่งริ้วทอง | |||
งามทรงสมหน้าสง่างาม | เดินตามแม่ผัวออกนอกห้อง | |||
นางเม้ยรับเคียงข้างคอยประคอง | นางเยื้องย่องประจงทรงกายา | |||
เดินออกนอกชานสะท้านใจ | พระหมื่นไวยตักข้าวไว้คอยท่า | |||
แล้วส่งคันทารพีให้ศรีมาลา | พอสบตาเจ้าก็ม่อยละมุนลง | |||
ศรีมาลาอายใจมิใคร่รับ | วันทองจับข้อศอกคอยเสือกส่ง | |||
แต่พอกุมเข้าด้วยกันให้มั่นคง | ประคองค่อยเทลงในบาตรพลัน ฯ | |||
๏ ศรีมาลากับพระไวยยังใส่ค้าง | พอวอวางเข้ามาขมีขมัน | |||
พระหมื่นไวยเรียกหาบิดาพลัน | ให้เชิญทั่นท้าวนางไปข้างใน | |||
เจ้าสร้อยฟ้าถึงบ้านแหวกม่านมอง | เห็นผัวเมียเขาประคองขันข้าวใส่ | |||
ให้เคืองขุ่นงุ่นง่านทะยานใจ | แล้วกัดฟันมั่นไว้ไม่วุ่นวาย ฯ | |||
๏ พระกาญจน์บุรีมารับเจ้าสร้อยฟ้า | กับเถ้าแก่โขลนจ่าสิ้นทั้งหลาย | |||
นำหน้าพานางย่างเยื้องกราย | เชิญขรัวนายไปนั่งข้างหลังโน้น | |||
ใส่บาตรแล้วศรีมาลาเข้ามาเรือน | พระไวยเตือนสำรับเลี้ยงจ่าโขลน | |||
ชุลมุนแม่ครัววิ่งหัวโดน | จัดสำรับจับกระโถนขันน้ำวาง | |||
ข้างฝ่ายในไว้ธุระพระกาญจน์บุรี | จัดแจงมิให้มีที่ขัดขวาง | |||
พระหมื่นศรีคอยระวังข้างขุนนาง | พระพิจิตรจัดข้างเลี้ยงพระเณร | |||
ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วลูกศิษย์ถ่าย | ถวายจีวรเนื้อดีย้อมสีเสน | |||
พระพิจิตรจัดกระจาดอังคาสประเคน | พอจวนเพลพระก็ลาไปอารามฯ | |||
๏ จะกลับกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง | พอเรื่อรางแสงทองส่องอร่าม | |||
สั่งให้ผูกช้างงาสง่างาม | เชือกพวนล้วนดามผ้าแดงดี | |||
สั่งแล้วอาบน้ำชำระกาย | เยื้องกรายเข้าไปจับกระจกหวี | |||
ให้คิดแค้นใจด้วยหัวตัวอัปรีย์ | วิ่งไปสีเอามินหม้อมาพอแรง | |||
ปนเข้ากับน้ำมันแล้วปั้นปีก | ยังไม่ดำซ้ำอีกออกเป็นแสง | |||
แต่สิ้นมินหม้อกว่าฝาหอยแครง | แล้วลุกมาทาแป้งเข้าเป็นฟาย | |||
นุ่งยกอย่างโบราณก้านแย่ง | ห่มส่านสีแดงดูเฉิดฉาย | |||
ดูตะวันพอสว่างขึ้นช้างพลาย | บ่าวไพร่มากมายตามพรูมา ฯ | |||
๏ ขุนช้างไสช้างมาเงิ่นเงิ่น | โด่งเดินชิดเฉียดเข้าชายป่า | |||
อ้ายเฒ่าบัวหัวล้านเป็นควาญมา | บ่าวข้าตามแน่นแล่นปะเลง | |||
ข้ามหนองขึ้นเนินดุ่มเดินหรับ | เหงื่อซับโซมตัวหัวใสเหน่ง | |||
อ้ายเฒ่าล้านควาญท้ายย้ายตามเพลง | คร่อมท้ายตะโพ้งเก้งตีตะโพง | |||
ขุนช้างขี่คอกรายขอเกราะ | ไสช้างเหยาะเหยาะยักเอวโหยง | |||
ตัดลงตรงกรุงออกทุ่งโทง | หัวเป็นเงาโง้งโงกเงกมา | |||
ตัดลงกบเจาเอาช้างข้าม | เข้าบ้านมหาพราหมณ์เลี้ยวข้างขวา | |||
ตรงเข้าภูเขาทองเดินท้องนา | ถึงกรุงศรีอยุธยาพอกลางวันฯ | |||
๏ ขุนช้างวางขึ้นบนหอกลาง | พร้อมหน้าขุนนางอยู่ที่นั่น | |||
ขุนนางที่รู้จักทักทายกัน | พระไวยผันหน้าค้อนด้วยคิดอาย | |||
ตั้งสำรับเรียงรอบนหอกลาง | เลี้ยงขุนนางมหาดเล็กสิ้นทั้งหลาย | |||
ทั้งของเคียงเรียงรินสุราราย | ขุนช้างซัดส่านกรายนั่งสุดคน | |||
วางใหญ่ส่ซ้ำทั้งสามทับ | จับตาซ่าซ่านทุกเส้นขน | |||
ปะหมูไก่ใส่สิ้นกินออกซน | กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นเป็นแป้งไป | |||
พวกขุนนางเขายุว่าจุ้นจ้าน | ยิ่งทะยานยงโย่ยกโถใส่ | |||
ฉวยกระโถนปากแตรแร่ออกไป | ครอบหัวเข้าไว้เดินเก้กัง | |||
มือปิดก้นป้องหน้าทำตาปรือ | เฮ้ยใครดูกูคือท้าวกุฎฐัง | |||
พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง | ลุกขึ้นซัดเซซังสิ้นสมประดี ฯ | |||
๏ วันทองได้ยินฮาออกมาดู | แสนอดสูดังจะแทรกแผ่นดินหนี | |||
ออกจากห้องร้องตวาดชาติอัปรีย์ | ช่างทำได้ไม่มีละอายใจ ฯ | |||
๏ ขุนช้างฟังเมียว่าทำตาปรือ | อออือเออข้าหาอายไม่ | |||
ลุกขึ้นเต้นตึกตักทำหนักไป | แม่เจ้าไวยมาช่วยเป็นวานรินทร์ | |||
พี่จะเป็นเจ้าขรัวหัวละมาน | หางพานตีนหดไปหมดสิ้น | |||
พี่เคยเป็นตัวนายหลายแผ่นดิน | แล้วแลบลิ้นเกาขาคว้าวันทอง ฯ | |||
๏ วันทองผลักไสพระไวยด่า | มาเรียกข้าว่าเจ้าไวยให้จองหอง | |||
นี่คิดอยู่ข้างหนึ่งจึงลำพอง | หาไม่กูกดคอถองให้แทบตาย ฯ | |||
๏ ขุนช้างกำลังเมายืนเกาก้น | ทุดอ้ายหมาด่าคนเล่นง่ายง่าย | |||
จองหองจะถองกูหรืออ้ายพลาย | หรือเชื่อเช่นว่าเป็นนายหมาดเล็ก | |||
อ้ายชาติอกตัญญูไม่รู้คุณ | คือใครแคะค่อนขุนมาแต่เด็ก | |||
ด่าทอพ่อได้ไอ้ใจเจ๊ก | เมื่อเล็กเล็กใครเลี้ยงมึงเป็นตัว ฯ | |||
๏ พระไวยได้ฟังขุนช้างด่า | โกรธาตัวสั่นให้คันหัว | |||
อ้ายล้านจะประจานให้เจ็บตัว | วาจาชั่วถอดชื่อกูขุนนาง | |||
เอาละเป็นไรก็เป็นไป | ขัดใจกำหมัดซัดปากผาง | |||
วันทองร้องหวีดวิ่งเข้ากลาง | ขุนช้างล้มคว่ำคะมำไป ฯ | |||
๏ พวกขุนนางเข้ายึดอยู่อึดอัด | พระไวยขัดใจด่าไม่ปราศรัย | |||
วันทองร้องไห้งอว่าพ่อไวย | อย่าถือใจคนเมาเลยเจ้าคุณ | |||
ประทานโทษโปรดเถิดพ่อทูนหัว | ไม่รู้ตัวเต็มประดาจึงว้าวุ่น | |||
พ่อเงือดงดอดใจจะได้บุญ | จงอย่าหุนหันเห็นแก่มารดา ฯ | |||
๏ พระไวยขัดใจว่าเพราะแม่ | ทำอย่างนี้มีแต่จะขายหน้า | |||
นี่หากจิตคิดถึงซึ่งมารดา | หาไม่ไม่คาระนากับฝีมือ ฯ | |||
๏ พระกาญจน์บุรีชี้หน้าว่าวันทอง | อ่อน้องเจ้าเป็นวานรินทร์หรือ | |||
ช่างไม่อายไม่เจ็บเท่าเล็บมือ | แค่นมาโลมให้เขาลือเล่นกลางคน | |||
ผัวเจ้าดูถูกด่าลูกข้า | ช่างไม่ว่าห้ามปรามกันสักหน | |||
เขาทำผัวตัวเต้นเป็นชักยนต์ | แต่ลูกชายอายคนนั้นทำเนา ฯ | |||
๏ วันทองแค้นขัดสะบัดหน้า | เอาจะฆ่าก็ฆ่าเสียเถิดเจ้า | |||
หลับหูหลับตามาว่าเดา | คือใครเล่าเขาโลมให้คนลือ | |||
คะข้าแลอีวานรินทร์โขน | เป็นคนโลนเคยเล่นไม่เห็นหรือ | |||
พูดเหมือนลูกเล็กเล็กเด็กอมมือ | นี่คนดีเจียวยังดื้อเป็นคนเมา | |||
ซึ่งว่าชังลูกนักรักสามี | ข้าเห็นดีด้วยเจ้าช้างเมื่อไรเล่า | |||
มิควรหมิ่นเขาก็หมิ่นเพราะกินเมา | เขาต่อยเอาก็พอสมกับหน้าคน ฯ | |||
๏ ฝ่ายนายขุนช้างค่อยสร่างมึน | ลุกขึ้นถกเขมรเพียงง่ามก้น | |||
ชี้หน้าว่าเฮ้ยอ้ายทรชน | ต่อยกูปากป่นเพราะตึงตัว | |||
มึงเหมือนทรพีอ้ายขี้ข้า | มาไล่ขวิดบิดาบังเกิดหัว | |||
เมื่อน้อยน้อยยังจะนึกรู้สึกตัว | กูจิกหัวมึงไปควั่นเอาขอนทับ | |||
มิเชื่อพ่อก็อ้ายพลายคลำท้ายทอย | ที่ริมไรนั้นเป็นรอยไม้ซีกสับ | |||
กูคิดว่าจะฉิบหายตายลี้ลับ | มิรู้กลับมาได้ทำดุดัน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยครั้นได้ฟัง | ลำเลิกถึงความหลังแค้นตัวสั่น | |||
สมาแม่แร่ขึ้นบนหอพลัน | ดิฉันบอกกล่าวท่านทั้งปวงไว้ | |||
อ้ายใจยักษ์หักคอคนทั้งเป็น | เพราะบุญมีหนีเร้นจึงรอดได้ | |||
เหน็บรั้งจังก้าเรียกข้าไท | เอาหวาอย่าไว้ชีวิตมัน | |||
พวกทนายหนุ่มหนุ่มเข้ารุมถอง | เอาจนร้องไม่ออกศอกกลุ้มสัน | |||
ถีบตกลงดินดิ้นยันยัน | พวกขุนนางกางกั้นเกะกะไป ฯ | |||
๏ วันทองโผนโจนจากหอนั่งมา | วิ่งผวากอดผัวทอดตัวไห้ | |||
นิ่งแน่แลเห็นไม่หายใจ | นางร้องไห้โฮโฮโอ้พ่อคุณ | |||
ทั้งนี้รักเมียจึงมาช่วย | จนมาม้วยบรรลัยอยู่ใต้ถุน | |||
เขาทุบดังทุบปลาไม่การุญ | พ่อสิ้นบุญเสียแล้วกระมังนา | |||
ให้คนหามไปวางไว้กลางบ้าน | บ้างทะยานขึ้นเหยียบสองต้นขา | |||
จะนวดฟั้นเท่าไรไม่ลืมตา | วันทองทอดกายากับสามี | |||
โอ้พ่อร่มโพธิ์เตี้ยของเมียแก้ว | พ่อตายแล้วเมียเห็นจะเป็นผี | |||
อันจะหาน้ำใจในบุรี | เห็นสิ้นดีอยู่เพียงพ่อโพธิ์ทอง | |||
แต่อยู่มาเป็นสิบห้าสิบหกปี | คำน้อยหนึ่งไม่มีให้เมียหมอง | |||
เมื่อคลอดลูกหนุนหลังนั่งประคอง | เห็นเมียร้องพ่อก็ร่ำพิไรวอน | |||
เมื่อคราวเมียจับไข้ไม่กินข้าว | พ่อนั่งเฝ้าเคียงคอยตะบอยป้อน | |||
เห็นเมียไม่หลับใหลก็ไม่นอน | ครั้นหน้าร้อนพ่อก็พัดกระพือลม | |||
หน้าหนาวหนาวแล่นตลอดอก | พ่อกอดกกให้นอนซ้อนผ้าห่ม | |||
ครั้นหน้าฝนฝนฝอยลงพรอยพรม | ให้อยู่ร่มปิดรอบหน้าต่างเรือน | |||
อันชายใดในพื้นปัถพี | การรักเมียแล้วไม่มีเสมอเหมือน | |||
ถึงรูปชั่วใจช่วงดังดวงเดือน | นี่กรรมเตือนให้ตามเมียมาตาย | |||
อนิจจาเมื่อมาผัวเป็นเพื่อน | กลับไปเรือนแต่ตัวดูผัวหาย | |||
ร่ำพลางกลิ้งเกลือกลงเสือกกาย | ดังจะวายชีวังไปทั้งเป็น | |||
ครั้นโศกคลายคลำผัวตัวยังอ่อน | เทพจรเบื้องหลังยังริกเต้น | |||
ทรวงอกอุ่นคลายค่อยหายเย็น | เอ๊ะเห็นฤทธิ์เมาค่อยเบาบาง | |||
สั่งบ่าวให้เอาน้ำร้อนรด | ลูบหมดไปทั้งกายหายสร่าง | |||
จะกรอกปากไม่ถนัดคัดลูกคาง | ประเดี๋ยวครางออกมาได้หายใจแรง ฯ | |||
๏ ขุนช้างฟื้นพลันกัดฟันเกรี้ยว | โกรธาตาเขียวร้องเสียงแข็ง | |||
เฮ้ยที่กูจะไม่ว่ามึงอย่าแคลง | จะสู้ซนชนกำแพงกว่าจะตาย | |||
ถึงตัวกูบรรลัยกระดูกร้อง | อันจะถองเล่นเปล่าเปล่าเจ้าอย่าหมาย | |||
มึงพวกมากฝากไว้เถิดอ้ายพลาย | ถ้าเจ้านายไม่เลี้ยงก็แล้วไป | |||
ตัวสั่นเทาเทาเรียกบ่าวข้า | จูงมือเมียมาจากบ้านใหญ่ | |||
แม่กลับบ้านก่อนอย่าร้อนใจ | ผัวจะไปคอยเฝ้าเจ้าชีวิต | |||
วันทองร้องไห้พิไรห้าม | จะเกิดความเพ็ดทูลไม่กลัวผิด | |||
คราวนี้เขาโปรดปรานเชียวชาญชิด | จงหยุดยั้งชั่งจิตให้จงดี | |||
ขุนช้างว่าถ้าพี่ไม่เมาแล้ว | น้องแก้วอย่าปรารมภ์ที่ตรงพี่ | |||
ให้เมียมาสุพรรณในทันที | ฝ่ายขุนช้างวางรี่เข้าวังใน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ | ครั้นเสื่อมคลายวายวิวาทค่อยผ่องใส | |||
พวกขุนนางต่างคนต่างลาไป | พระไวยมานั่งที่ท้าวศรีสัจจา | |||
เจ้าขรัวนายว่าองค์พระทรงเดช | โปรดเกศตรัสใช้ให้พวกข้า | |||
พานางนารีศรีสร้อยฟ้า | ออกมาส่งให้พระนายไวย ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยเจ้าพลายงาม | ฟังความยินดีจะมีไหน | |||
น้อมกายกราบถวายบังคมไป | แล้วสั่งให้ตอบแทนพวกท้าวนาง | |||
คุณท้าวเจ้าขรัวศรีสัจจา | ให้ผ้าส่านขาวดอกกับนอกอย่าง | |||
ให้พวกจ่าตานกแก้วกับขาวบาง | พวกโขลนเลวลายฉลางกับริ้วญวณ | |||
นางสาวสาวที่ตามมาสามสิบห้า | แพรผ้าให้จบจนครบถ้วน | |||
ผู้น้อยผู้ใหญ่ให้งามตามสมควร | แล้วก็ชวนกันลาเข้ามาวัง ฯ | |||
๏ พระนายจัดแจงแต่งเคหา | ให้สร้อยฟ้าอยู่ครองนั้นสองหลัง | |||
มีม่านฉากชั้นกั้นกำบัง | เตียงนอนเตียงนั่งห้องอาบน้ำ | |||
แบ่งปันกันกึ่งครึ่งเคหา | มิให้พวกศรีมาลามากรายกล้ำ | |||
ทำฝารอบขอบชิดปิดงำ | ให้อยู่จำเพาะพวกเจ้าสร้อยฟ้า | |||
ครั้นงานเสร็จแล้วก็แจกพวกวิเสท | ทั้งเงินตราผ้าขาวเทศทั่วหน้า | |||
มิให้เขาติฉินนินทา | จนชั้นข้าในเรือนก็ให้ทาน ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าพระพิจิตรบุษบา | ครั้นงานแล้วจะลาขึ้นไปบ้าน | |||
เข้ามาหาพระไวยไชยชาญ | ว่าราชการบ้านเมืองนั้นมากมาย | |||
จะไว้ใจหลวงปลัดกรมการ | ครั้นนานก็พากันฉิบหาย | |||
พ่อแม่ขึ้นมาลาพระนาย | แต่ไม่วายทำวลด้วยศรีมาลา | |||
แต่เกิดมาไม่เคยพรากจากอก | มาตกอยู่เมืองใต้ไกลหนักหนา | |||
ถ้าพลาดพลั้งยั้งคิดถึงบิดา | อนาถาไร้ญาติขาดพงศ์พันธุ์ | |||
อนึ่งพระไวยเดี๋ยวนี้มีเมียสอง | เห็นจะต้องหวงหึงเป็นแม่นมั่น | |||
กลัวจะตั้งหัวคณะระรานกัน | พ่อจงหมั่นตรองดูอย่าวู่วาม | |||
อันจตุรเคหาภริยาสอง | ดูเห็นต้องสุภาษิตประดิษฐ์ห้าม | |||
ไหนจะมีความสบายพ่อพลายงาม | ต้องว่าความเมียรักนั้นร่ำไป | |||
ลูกข้าพร้าคัดปากพูดไม่ออก | อยู่บ้านนอกไม่ทะเลาะกับใครได้ | |||
เพื่อนฝูงเขาด่าว่ากระไร | ก็เอาแต่ร้องไห้ไม่เถียงเป็น | |||
เหมือนช้างกล้าป่าเดียวมีสองตัว | สองเมียร่วมผัวคงเกิดเข็ญ | |||
ใครเงอะงั่งก็จะนั่งน้ำตากระเด็น | พ่อจงเป็นตราชูดูให้ดี ฯ | |||
๏ ครานั้นโฉมพระนายพลายงาม | ฟังความประนมก้มเกศี | |||
เจ้าคุณจงไปให้สวัสดี | อันตรงที่ศรีมาลาอย่าพรั่นท้อ | |||
ถึงลูกอ่อนไม่ฉลาดจะพลาดผิด | ฉันคงคิดถึงคุณแม่แลคุณพ่อ | |||
ฉันรักคนที่ไม่มากปากสอพลอ | อันคนฉอดพลอดผลอไม่พอใจ | |||
เจ้าประคุณการุญเป็นหนักหนา | ฉันหาลืมวาจาที่ว่าไม่ | |||
ทั้งอุปถัมภ์พ่อแม่มาแต่ไร | จะสนองคุณไปดังสัญญา ฯ | |||
๏ เออพ่อกตัญญูรู้จักคุณ | โมทนาบุญแล้วนะพ่อหนา | |||
ค่อยอยู่เถิดแม่พ่อจะขอลา | แล้วลุกมาหาลูกด้วยทันที | |||
ครั้นถึงสวมกอดลูกแก้ว | พ่อจะลาเจ้าแล้วอย่าหมองศรี | |||
จงตั้งใจจงรักภักดี | ฝากตัวสามีเจ้าสืบไป ฯ | |||
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา | กอดตีนบิดาเข้าร้องไห้ | |||
ฉวยลำบากยากเย็นจะเห็นใคร | พ่อแม่อยู่ใกล้ได้ดูแล | |||
ถึงผัวจะรักสักเท่าไร | ก็ยังไม่เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ | |||
ถ้าเธอไม่เป็นธรรม์จะผันแปร | ตั้งแต่จะระกำทุกค่ำคืน ฯ | |||
๏ ครานั้นท่านยายบุษบา | ปลอบลูกสาวว่าอย่าสะอื้น | |||
พ่อแม่ได้สั่งไว้ยั่งยืน | หม่อมหมื่นเธอก็รับปฏิญาณ | |||
แต่ใจแม่นี้ยังกริ่งอยู่สิ่งหนึ่ง | กลัวจะหึงกันวุ่นวายอายชาวบ้าน | |||
อันเมียสองต้องห้ามตามโบราณ | เป็นกับใครก็รำคาญไม่เว้นคน | |||
แม่สอนเจ้ามาแต่น้อยกว่าร้อยพัน | สุดสำคัญแต่ต้องอดนั้นเป็นต้น | |||
อย่าทำชั่วเพราะว่าตัวของตัวจน | เขาเปรียบเทียบจงสู้ทนต้องเกรงกลัว | |||
ใครจะด่าเจาะจังก็ช่างเขา | จงอดเอาอย่าสำออยคอยฟ้องผัว | |||
อันคนดีนานดอกจึงออกตัว | ถ้าคนชั่วเขาคงเห็นเป็นไปเอง | |||
จงอุตส่าห์เสงี่ยมคอยเจียมตน | อย่าให้คนทั้งปวงล่วงข่มเหง | |||
จงซื่อตรงต่อผัวรู้กลัวกรง | อย่าครื้นเครงด่าว่ากับข้าไท | |||
ปรนนิบัติอย่าให้ขัดน้ำใจเขา | การเรือนการเหย้าเอาใจใส่ | |||
ข้าวของสารพันหมั่นเก็บไว้ | ระวังระไวดูแลอย่าแชเชือน | |||
สอนลูกแล้วบอกอีเม้ยรับ | สั่งกำชับอีจูจงอยู่เพื่อน | |||
ทั้งอีมีอีรักช่วยตักเตือน | เอ็งเป็นคนต้นเรือนแต่ไร | |||
แล้วเรียกข้าผู้ชายที่ใช้ชิด | ชื่ออ้ายทิดกับอ้ายเต่าเอาไว้ให้ | |||
เฮ้ยพลัดบ้านเมืองมาอย่าไว้ใจ | ฉวยเกิดเหตุเภทภัยอย่าทิ้งนาย | |||
ว่าพลางสวมสอดกอดลูกแก้ว | แม่จะลาเจ้าแล้วตะวันสาย | |||
แล้วลุกลงเรือนมาทั้งตายาย | พระนายก็ตามส่งลงนาวา | |||
พระกาญจน์บุรีศรีมาลามาส่งพ่อ | น้ำตาคลอไหลซาบลงอาบหน้า | |||
นั่งชะแง้แลตามจนสุดตา | ลับแหลมแล้วก็มายังห้องนอน ฯ | |||
๏ ครานั้นจึงโฉมจมื่นไวย | จำเดิมได้อยู่ครองสองสมร | |||
น้ำใจช่วงตะละดวงศศิธร | สถาพรพูนสวัสดิ์ทุกเวลา | |||
ครั้นสิ้นแสงสุริยงอัสดงดับ | ลดลับเหลี่ยมพระเมรุภูผา | |||
พระจันทรจรแจ้งกระจ่างตา | ดวงดาราไพโรจน์จำรัสแพรว | |||
เสียงเรไรหริ่งหริ่งนิ่งนอนวัน | เสนาะนักจักจั่นสนั่นแจ้ว | |||
หิ่งห้อยพรอยพราวดูวาวแวว | อยู่ที่แถวไม้กระถางวางเป็นทิว | |||
แมลงผึ้งคลึงเคล้าเอาเกสร | ภุมรินบินร่อนมาลิ่วลิ่ว | |||
เรณุฟูฟ่องละอองปลิว | พระไวยฉิวฉุนคิดถึงสองนาง | |||
โอ้ว่าป่านฉะนี้ศรีมาลา | จะนิทรานิ่งนึกคะนึงหมาง | |||
ว่าพี่นี้คลายรักหักใจจาง | จะระคางขุ่นแค้นไม่ขาดคิด | |||
นึกหรือหนึ่งเล่าเจ้าสร้อยฟ้า | นิทราอยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าจิต | |||
อนึ่งนางยังไม่เคยชายเชยชิด | จะไปก่อนเล่าก็คิดถึงศรีมาลา | |||
วันเมื่อจะพรากจากพิจิตร | เจ้าก็คิดขอสัตย์ไว้หนักหนา | |||
แต่อักอ่วนป่วนใจอยู่ไปมา | จนเวลาเยื้อเยี่ยมสองยามปลาย | |||
พระจันทร์ตรงทรงกลดอยู่หมดเมฆ | อดิเรกแพร้วพร่างกระจ่างฉาย | |||
พระหมื่นไวยอาบน้ำชำระกาย | แล้วผันผายเข้าห้องศรีมาลา | |||
เห็นขวัญอ่อนนอนนิ่งสนิทหลับ | อัจกลับแสงส่องต้องนวลหน้า | |||
งามทรงสมศรีกิริยา | เป็นนวลปลั่งดังทาน้ำยาทอง | |||
พระไวยคิดพิศวาสเพียงขาดจิต | เข้าแนบชิดทรุดลงประจงต้อง | |||
ลูบไล้ทั้งหลับประคับประคอง | ไฉนน้องเจ้าจึงนิ่งสนิทนอน ฯ | |||
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา | ลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากหมอน | |||
เห็นพระนายนึกแค้นด้วยแสนงอน | คมค้อนเบือนหน้ามาพาที | |||
หม่อมขามาไยจนค่อนคืน | หลับได้ตื่นแล้วหรือจึงมานี่ | |||
เมื่อจะมาลาหล่อนแต่โดยดี | หรือหล่อนหลับลอบหนีมากระมัง ฯ | |||
๏ อนิจจาแก้วตาของพี่เอ๋ย | อย่างอนว่าไปเลยเจ้าร้อยชั่ง | |||
จริงจริงนะจะเล่าให้เจ้าฟัง | เมื่อกี้นั่งเล่นอยู่ที่หอกลาง | |||
พระพายพัดหอมหวนรัญจวนใจ | ก็เพลินชมมิ่งไม้ในกระถาง | |||
ครั้นหาวนอนแล้วจึงจรมาหานาง | ไม่ควรคลางแคลงคำระกำใจ | |||
เมื่อจากมาวันนั้นได้สัญญา | หาทำหยามข้ามหน้าของน้องไม่ | |||
นี่เปล่าเปล่าเดาว่าน่าน้อยใจ | มาปรับไหมจูบนางข้างละที ฯ | |||
๏ ไฮ้หม่อมอย่ามาเล่นฉันเช่นนั้น | ไม่น่าขันมาปล้ำทำจู้จี้ | |||
นี่แลโจรจับได้ไม่เฆี่ยนตี | ถ้าเบาไม้แล้วไม่มีที่จะรับ | |||
กระนั้นสิหม่อมหมื่นจึงขึ้นหน้า | เหตุว่าเขาขี้คร้านจะไปจับ | |||
เชื่อว่าใครไม่เห็นเป็นที่ลับ | จึงแกล้งกลับมาพาโลทำโพคลุม | |||
หม่อมขาอย่าทำจำใจอยู่ | ด้วยรูปฉันมันไม่สู้จะชวยชุ่ม | |||
ที่น่าพูดจงไปพรอดนั่งกอดกุม | ที่น่าจูบจงไปจุ้มอยู่จนจาง ฯ | |||
๏ ชะคารมคารี้เจ้าศรีมาลา | ช่างเจรจาตัดพ้อเล่นทุกอย่าง | |||
พี่ยอมแพ้แล้วไม่แก้สำนวนนาง | พลางก็กางมือกอดไว้กับกาย | |||
เกิดโกลาฟ้าลั่นสนั่นเสียง | เปรียงเปรี้ยงอสนีคะนองสาย | |||
พิรุณโรยโปรยสาดกระเซ็นปราย | พระพายพัดพ่างเพียงพิภพพัง | |||
ลั่นพิลึกครึกครื้นคลื่นระลอก | แฉะกระฉอกฟองเฟอะขึ้นฟูมฝั่ง | |||
ตลิ่งกระทบกลบกระแทกกระเทือนดัง | พอฝนถั่งลมก็ถอยผ็อยนิทรา ฯ | |||
ตอนที่ ๓๔ ขุนช้างเป็นโทษ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ | ปิ่นปักหลักโลกนาถา | |||
สถิตเหนือพระแท่นแว่นฟ้า | พอสุริยาเร่งรถขึ้นเรืองรอง | |||
ถึงเวลาพระก็ฟื้นตื่นไสยาสน์ | ลงจากอาสน์เสด็จออกนอกห้อง | |||
นางในถ้วนหน้าข้าทูลละออง | หมอบชม้อยคอยจ้องประจำงาน | |||
พระชำระสระสรงทรงสุคนธ์ | ปรุงปนประทิ่นกลิ่นหอมหวาน | |||
ทรงพระแสงเนาวรัตน์ชัชวาล | พระภูบาลออกท้องพระโรงเรือง | |||
ประทับพระที่นั่งบัลลังอาสน์ | อำมาตย์หมอบนอบน้อมประนมเนื่อง | |||
ตรัสประภาษราชการบ้านเมือง | แล้วชำเลืองมาข้างเหล่ามหาดชา ฯ | |||
๏ ครานั้นขุนช้างเห็นว่างจังหวะ | ขอเดชะฝ่าพระบาทปกเกศา | |||
ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา | แต่เกล้ากระหม่อมเป็นข้าฝ่าละออง | |||
อยู่ในมหาดชากว่าแปดปี | แต่หวายเปรียะยังไม่มีได้ถูกต้อง | |||
บัดนี้จมื่นไวยใจคะนอง | ทุบถองกระหม่อมฉันแทบบรรลัย | |||
แต่ต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย | ถึงเจ้านายของมึงหากกลัวไม่ | |||
บ่าวไพร่กว่าร้อยต่อยร่ำไป | พวกขุนนางขวางไว้จึงไม่ตาย | |||
เมื่อขณะทุบถองร้องด่าว่า | ก็ต่อหน้าขุนนางสิ้นทั้งหลาย | |||
ได้ห้ามปรามรู้เห็นเป็นมากมาย | แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวี ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม | ได้ทรงฟังถ้อยคำขุนช้างว่า | |||
พระนิ่งนึกตรึกความตามกิจจา | ข้อที่ว่าทุบตีทีจะจริง | |||
อันจะร้องท้าทายถึงนายเจ้า | มันจะเสกใส่เอาให้ใหญ่ยิ่ง | |||
เหตุที่เกิดความยุ่งขึ้นนุงนิง | เพราะอ้ายนี่ถือหยิ่งว่าพ่อเลี้ยง | |||
ครั้นเต็มเมาเข้าจะว่ามันหยาบคาย | อ้ายไวยอายจึงทะเลาะเบาะถียง | |||
เกินกันแต่ละน้อยค่อยเลียบเคียง | ครั้นด่ามันมันก็เหวี่ยงเอาสาใจ | |||
แม้นจะนิ่งความไว้ไม่ไต่ถาม | อ้ายหมื่นไวยก็จะหยามขึ้นหยาบใหญ่ | |||
จะถือว่าเจ้ารักแล้วหนักไป | โกรธใครก็จะพาลพาโล | |||
พระตริเสร็จตรัสสั่งตำรวจใน | ไปหาตัวจมื่นไวยเข้ามานี่ | |||
ตำรวจรับสั่งวิ่งเป็นสิงคลี | ครั้นถึงที่บ้านนอกบอกพระไวย | |||
รับสั่งให้หาไปในบัดนี้ | ขุนช้างทูลคดีเป็นความใหญ่ | |||
พระไวยแจ้งกิจจาเรียกข้าไท | ลงบันไดเดินเหย่าเข้าวังพลัน | |||
นุ่งสมปักลนลานเป็นการเร็ว | เอาผ้ากราบคาดเอวขมีขมัน | |||
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | บังคมคัลคอยฟังพระโองการ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระปิ่นนรินทร์ราช | มีพระสิงหนาทอยู่ฉาดฉาน | |||
เหวยอ้ายไวยอย่างไรเมื่อทำงาน | จึงฮึกหาญข่มเหงอ้ายขุนช้าง | |||
เตะต่อยแล้วมิหนำซ้ำท้าทาย | จ้วงจาบเจ้านายได้ทุกอย่าง | |||
ใครเล่าเป็นเจ้านายของอ้ายช้าง | เอ็งอ้างว่าไม่กลัวคือตัวใคร | |||
พวกขุนน้ำขุนนางเข้ากางกั้น | แต่กระนั้นมึงยังหาฟังไม่ | |||
ถีบถองต่อยชกตกบันได | จริงเท็จเป็นกระไรให้ว่ามา ฯ | |||
๏ พระไวยทูลตามข้อขอเดชะ | ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา | |||
ซึ่งขุนช้างกราบทูลพระกรุณา | เสกแสร้งแกล้งว่าเอาแต่ดี | |||
ที่ข้อว่าหยาบช้าเป็นสาหัส | แม้นเป็นสัตย์จงประหารให้เป็นผี | |||
ขุนช้างไปช่วยงานเมื่อวานนี้ | รับประทานอาหนีเข้าตึงตน | |||
กล่าวคำหยาบช้าสารพัน | กระหม่อมฉันห้ามปรามเป็นหลายหน | |||
เข้ายุดหยอกมารดาต่อหน้าคน | เหลือทนแล้วจึงได้วิวาทกัน | |||
โป้งโหยงหยาบคายเป็นหลายข้อ | ด่าทอถอดชื่อกระหม่อมฉัน | |||
เต็มอายต่อหน้าธารกำนัล | แล้วเสกสรรลำเลิกโพนทะนา | |||
เมื่อครั้งนั้นกระหม่อมฉันได้เจ็ดปี | ขุนช้างพาไปฆ่าตีที่ในป่า | |||
จนสลบซบอยู่กับพสุธา | กลัวมิตายหมายว่าจะไม่ลับ | |||
ทั้งสลบตบต่อยปะเตะปะตะ | แสบศีรษะซ้ำเอาไม้ซีกสับ | |||
ลากตัวไปในรกยกขอนทับ | แล้วขุนช้างวางกลับไปบ้านตน | |||
เดชะบุญกระหม่อมฉันไม่บรรลัย | ฟื้นได้ซานมาหาชีต้น | |||
ซ่อนตัวอยู่กับท่านอาจารย์นน | มิให้คนเห็นตัวด้วยกลัวตาย | |||
เมื่อวานนี้อ้ายขุนช้างอ้างความหลัง | พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย | |||
กระหม่อมฉันบอกกล่าวทั้งไพร่นาย | แม้นมิสัตย์ขอถวายซึ่งชีวา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ | ฟังจบที่พระไวยให้การว่า | |||
ข้างต้นความดูเห็นเป็นอาญา | แต่ข้างปลายกลายมานครบาล | |||
จำเลยแก้เป็นฉกรรจ์มหันตโทษ | จำจะซักข้างโจทย์ให้แตกฉาน | |||
เฮ้ยขุนช้างหมื่นไวยมันให้การ | ว่าประมาณอายุสักเจ็ดปี | |||
มึงแกล้งชวนเอาไปในป่าใหญ่ | เอาขอนทับไว้แล้วแล่นหนี | |||
มันสู้นิ่งความมากว่าแปดปี | จนวานนี้เอ็งว่าต่อหน้าคน | |||
ข้อหยาบช้าสาหัสเขาปฏิเสธ | เกิดวิวาทขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นต้น | |||
มันบอกกล่าวเล่าทุกตัวตน | นี่แน่ะเฮ้ยเหตุผลเป็นอย่างไร ฯ | |||
๏ ขุนช้างได้ฟังรับสั่งถาม | เห็นว่าความเก่าเกิดก็หวั่นไหว | |||
ด้วยจริงใจในอกก็ตกใจ | เหงื่อไหลโซมตัวกลัวอาญา | |||
แข็งใจกราบทูลไปทันที | พระบารมีปกเกล้าเหนือเกศา | |||
ซึ่งพระไวยกราบทูลพระกรุณา | ล้วนเสกแสร้งแกล้งว่าใช่ความจริง | |||
ซึ่งจะได้ตีฆ่าหามิได้ | แกล้งกล่าวเสกใส่ให้ใหญ่ยิ่ง | |||
ถ้าฆ่าตีก็จะมีที่อ้างอิง | ไยจึงนิ่งความไว้ไม่กราบทูล | |||
ครั้นเกล้ากระหม่อมฟ้องหาว่าต่อยตบ | แกล้งจะกลบความร้ายให้หายสูญ | |||
จึงเสกแสร้งใส่เอาเป็นเค้ามูล | เอาความเท็จเพ็ดทูลแต่โดยเดา | |||
กระหม่อมฉันจะได้ว่าหามิได้ | พระหมื่นไวยยุแยงแกล้งมอมเหล้า | |||
ล่อให้พูดจาประสาเมา | แล้วเอาความร้ายมาป้ายทา | |||
อันที่ท้าถึงเจ้ากล่าวสาหัส | แม้นมิสัตย์ขอพระองค์ลงโทษา | |||
ถ้าแม้นไม่จริงจังดังเจรจา | รับพระราชอาญาจนบรรลัย ฯ | |||
๏ พระองค์ทรงภพตบพระเพลา | กูจะเอาความจริงให้จงได้ | |||
เฮ้ยขุนนางข้าเฝ้าอย่าเข้าใคร | บรรดาไปช่วยงานเมื่อวานนี้ | |||
ใครรู้เห็นเป็นอย่างไรให้เร่งว่า | อย่าเห็นแก่หน้าขุนนางแลเศรษฐี | |||
ขุนช้างว่าหมื่นไวยไล่ทุบตี | พาทีถึงเจ้ากล่าวหยาบคาย | |||
ข้างหมื่นไวยว่าขุนช้างอ้างความหลัง | พูดดังดังได้ยินสิ้นทั้งหลาย | |||
เมื่อเล็กเล็กเอาไปล้างให้วางวาย | บุญตัวไม่ตายจึงรอดมา | |||
เมื่อขุนช้างอ้างว่าฆ่าหมื่นไวย | เต็มเมาหรือไม่สู้หนักหนา | |||
อย่าได้เข้าข้างใครให้เจรจา | จงเร่งว่าอย่าได้เห็นกับบุคคล ฯ | |||
๏ บรรดาข้าเฝ้าเหล่าไปงาน | จึงกราบทูลพระโองการตามเหตุผล | |||
กระหม่อมฉันจำไว้ได้ทุกคน | เป็นต้นด้วยขุนช้างไปช่วยงาน | |||
รับพระราชทานเหล้าจนเมามาย | แล้ววุ่นวายว่ากล่าวห้าวหาญ | |||
ขึ้นตั้งท่าอวดตนว่าหนุมาน | แล้วพูดจาเกี้ยวพานถึงวันทอง | |||
พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง | จึงตึงตังต่อยตีกันมี่ก้อง | |||
ขุนช้างโป้งปากหากคะนอง | ร้องลำเลิกความหลังออกคลั่งไป | |||
ว่าเมื่อพระไวยอยู่กับมารดา | ขุนช้างเอาไปฆ่าในป่าใหญ่ | |||
เอาไม้ซีกสับลงที่ตรงไร | เอาขอนทุ่มทับไว้จะให้ตาย | |||
พระไวยขัดใจก็เรียกบ่าว | มี่ฉาวชกซ้ำล้มคว่ำหงาย | |||
ซึ่งจะท้าว่ากล่าวถึงเจ้านาย | กระหม่อมฉันทั้งหลายไม่ได้ยิน | |||
แต่ขุนช้างกินเหล้าเมาเต็มประดา | จนเปลื้องผ้าจากกายความอายสิ้น | |||
ไม่เข้าใครใส่กลเป็นมลทิน | พระภูมินทร์จงทราบพระบาทา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม | พิเคราะห์คำให้การพยานว่า | |||
วินิจฉัยไปด้วยพระปรีชา | ซึ่งข้อที่หยาบช้านั้นสำคัญ | |||
ความโจทย์กล่าวหาเป็นสาหัส | แม้นเป็นสัตย์ก็โทษถึงอาสัญ | |||
ถ้าไม่เป็นสัตย์โทษโจทย์เหมือนกัน | อีกข้อนั้นซึ่งหาว่าฆ่าตี | |||
ถ้าแพ้กับทัณฑ์บนจนกับพยาน | ผู้ทำผิดต้องประหารให้เป็นผี | |||
แต่หากเบาด้วยเมาอยู่เต็มที | ไม่รู้สึกสมประดีก็ว่าไป | |||
จำจะซักหมื่นไวยให้กระจ่าง | จะเอาโทษขุนช้างยังไม่ได้ | |||
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย | เมื่อแรกไอ้ขุนช้างมันฆ่าตี | |||
ไยจึงนิ่งความไม่กล่าวหา | พึ่งมาว่าเมื่อเขาฟ้องไม่ต้องที่ | |||
ที่ป่าไหนมันฆ่าว่าให้ดี | มีผู้รู้เห็นบ้างหรืออย่างไร ฯ | |||
๏ ขอเดชะปกเกล้าปกกระหม่อม | ด้วยยังย่อมเมื่อเขาทำจำไม่ได้ | |||
รู้แต่ว่าป่าหลังสุพรรณไป | ครั้นจะอ้างก็ไม่มีใครมา | |||
จะร้องก็ไม่ได้ไกลบ้านคน | ครั้นจะหนีก็ไม่พ้นเป็นกลางป่า | |||
เดชะบุญปลดปลอดรอดชีวา | จะไปร้องฟ้องหาก็เด็กนัก | |||
ไม่รู้ว่ารั้วแขวงกรมการ | โรงศาลอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก | |||
จึงมิได้ว่าขานมานานนัก | จนอารักษ์ดลใจให้พาที | |||
จะอ้างอิงนั้นไม่ได้เป็นในป่า | เหลือปัญญาขอพิสูจน์ไปตามที่ | |||
ถ้าแม้นแพ้แก่สัตย์ดำนัทที | ขอถวายชีวีพระทรงธรรม์ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณิน | ได้ฟังสิ้นถ้อยคำหมื่นไวยนั่น | |||
จึงมีสีหนาทประภาษพลัน | อ้ายไวยนั้นมันว่าก็ชอบกล | |||
แล้วตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง | มึงอย่าพลางเล่าไขไปแต่ต้น | |||
ถ้าแม้นว่าทำผิดคิดผ่อนปรน | อย่าอั้นอ้นบอกให้หมดอย่าปดกู ฯ | |||
๏ ขุนช้างฟังพระองค์ทรงถามซัก | เป็นทุกข์หนักมือประนมก้มหน้าอยู่ | |||
เหงื่อไหลหน้าหลังลงพรั่งพรู | เป็นครู่จึงทูลพระกรุณา | |||
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท | องค์พระหริราชนาถา | |||
ซึ่งถ้อยคำจมื่นไวยใช่สัจจา | เสกแสร้งใส่ว่าสารพัน | |||
ที่จะได้ตีรันนั้นหามิได้ | กล่าวพอให้กลบความกระหม่อมฉัน | |||
ขุนนางเข้ากับพระไวยไปทั้งนั้น | เพราะเป็นพวกเดียวกันกับพระนาย | |||
กระหม่อมฉันจนใจไร้พวกพ้อง | ได้อยู่ก็แต่ต้องพิสูจน์ถวาย | |||
ถ้าแม้นแพ้จงล้างให้วางวาย | กระหม่อมฉันขอถวายซึ่งชีวี ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงชัย | วินิจฉัยในสำนวนถ้วนถี่ | |||
อ้ายขุนช้างเอามุสามาพาที | ในคดีพิรุธทุกประการ | |||
แต่พยานร่วมกันยังติดใจ | ผิดวิสัยความหลวงกระทรวงศาล | |||
เดี๋ยวนี้แพ้ทัณฑ์บนจนพยาน | อ้างเองยังกลับค้านทุกคนไป | |||
ถึงจะพูดจาประสาเมา | ก็จัดเอาเป็นข้อพิรุธได้ | |||
ถ้าสั่งกรมเมืองให้ติดไม้ | ครู่เดียวก็จะได้เท็จจริงกัน | |||
แต่ครั้งนี้อ้ายไวยสิโปรดปราน | ไพร่บ้านพลเมืองก็ลือลั่น | |||
จะเป็นเข้ากับอ้ายไวยใส่ความมัน | จริงเท็จทั้งนั้นใครจะรู้ | |||
จำจะต้องพิสูจน์ตามกระบวน | ให้มันสิ้นสำนวนที่ต่อสู้ | |||
เท็จจริงข้างใครให้คนดู | ตัวกูจึงจะพ้นคนนินทา | |||
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายขุนช้าง | มึงอ้างข้าราชการก็พร้อมหน้า | |||
กูได้ถามความข้อว่าหยาบช้า | พวกขุนนางต่างว่าไม่ได้ยิน | |||
อันความฉกรรจ์มหันตโทษ | พยานโจทย์กลับเจือจำเลยสิ้น | |||
ครั้นอ้างเขาไม่รับก็กลับลิ้น | ปลิ้นไปติดใจค้านพยานตัว | |||
กูเห็นแน่แท้เท็จสิ้นทั้งหมด | ถ้าใส่บทแล้วก็โทษถึงตัดหัว | |||
ข้อหยาบช้ามึงมุสาไม่เกรงกลัว | แล้วทำชั่วถอดชื่ออ้ายหมื่นไวย | |||
ข้อหาว่าทุบตีข้อนี้รับ | ที่ถอดชื่อพอจะปรับกันลงได้ | |||
ข้อหยาบช้าโทษมึงถึงบรรลัย | จะยกโทษให้ไอ้ขุนช้าง | |||
แต่ข้อหาฆ่าฟันนั้นลับนาน | ไม่มีพยานขอพิสูจน์ทั้งสองข้าง | |||
ยังไม่แน่ข้างหมื่นไวยหรืออ้ายช้าง | มิพิสูจน์ไม่กระจ่างซึ่งกิจจา | |||
ปรึกษาเสร็จตรัสสั่งสี่พระครู | ไปดูให้โจทย์จำเลยมันจัดหา | |||
เครื่องสำหรับดำน้ำให้ทำมา | ไปปักหลักลงที่หน้าตำหนักแพ | |||
เข้ามณฑลกันวันพรุ่งนี้ | จนถึงที่วันดำน้ำเจ็ดค่ำแน่ | |||
ให้กำกับกันอยู่คอยดูแล | ให้พร้อมแต่เวลาบ่ายโมงปลาย | |||
พนักงานกรมไหนให้ไปดู | พระครูจัดแจงแต่งบัตรหมาย | |||
คุมตัวไว้ในวังทั้งสองนาย | พระสั่งเสร็จผันผายเข้าข้างใน ฯ | |||
๏ ครานั้นพระครูผู้รับสั่ง | ออกมานั่งยังที่ทิมดาบใหญ่ | |||
จัดแจงแต่งหมายแยกย้ายไป | สั่งให้เรียกหลักนครบาล | |||
ให้ทำมะรงสำรองไว้สองหลัก | แล้วปักมณฑลและทำศาล | |||
เสมียนเขียนฟ้องคำให้การ | สุภาการให้อยู่ดูเป็นกลาง | |||
มิให้ส่งข้าวปลามาแต่บ้าน | ขุนศาลหาให้กินทั้งสองข้าง | |||
ให้โจทก์จำเลยหาผ้าขาวบาง | มาปูกลางศาลทั้งสองรองบัตรพลี | |||
หมากพลูใส่กระทงประจงเจียน | ทั้งธูปเทียนดอกไม้บายศรี | |||
เครื่องตั้งสังเวยกรุงพาลี | มีมะกรูดส้มป่อยกระแจะจันทน์ | |||
ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มพรมลาด | เสื่อสาดสายสิญจน์ให้จัดสรร | |||
หม้อข้าวหม้อแกงใหม่และหม้อกรัณฑ์ | กระโถนขันน้ำตั้งทั้งกระแซง | |||
กระติกเหล้าข้าวสารเชิงกรานใหม่ | ข่าตระไคร้หอมกระเทียมพริกแห้ง | |||
ครกสากคนใช้ไก่พะแนง | ทั้งสองแห่งจัดหาให้เหมือนกัน | |||
ขุนช้างกับพระไวยได้บัญชา | ก็รีบสั่งบ่าวข้าขมีขมัน | |||
บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน | ถ้วนจบครบครันดังบัญชา | |||
เข้ามณฑลเสร็จถึงเจ็ดค่ำ | นักการทำไม้หลักไปปักท่า | |||
ที่ตำหนักแพโถงโรงนาวา | ทำมะรงหาฆ้องไว้คอยตี | |||
คำสาบานแช่งชักอาลักษณ์อ่าน | ตระลาการอ่านสำนวนถ้วนถี่ | |||
เอาเชือกผูกเอวไว้ให้ดิบดี | ประจำที่คอยท่าเสด็จมา ฯ | |||
๏ พวกชายหญิงวิ่งพรูดูดำน้ำ | ทั้งสาวหนุ่มกลุ้มกล้ำมาหนักหนา | |||
ผู้ใหญ่เด็กเจ๊กฝรั่งทั้งละว้า | แขกข่ามอญลาวมี่ฉาวไป | |||
นางสาวสาวอยู่ในเรือนเห็นเพื่อนอึง | ลุกทะลึ่งออกมาไม่ช้าได้ | |||
ชวนเพื่อนเตือนกันให้รีบไป | ดูพระไวยกับขุนช้างดำน้ำกัน | |||
ที่เฒ่าแก่อยากดูไม่อยู่บ้าน | อุ้มลูกจูงหลานเป็นจ้าละหวั่น | |||
ที่โรงเรือเหลือหลามคนครามครัน | ยัดเยียดเบียดกันอยู่วุ่นวาย | |||
พวกท้าวนาวในวังทั้งปวง | โขลนจ่าข้าหลวงสิ้นทั้งหลาย | |||
รู้ว่าขุนช้างกับพระนาย | เวลาบ่ายวันนี้จะดำน้ำ | |||
ต่างอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว | หวีหัวนุ่งห่มให้คมขำ | |||
บ้างหาหมากใส่ซองสองสามคำ | บ้างชักนำเพื่อนฝูงจูงมือมา | |||
ถึงที่ตำหนักแพแออัด | เบียดเสียดเยียดยัดกันหนักหนา | |||
ออกเพียบแพแซ่ซ้องท้องคงคา | คอยท่าว่าเมื่อไหร่จะได้ดำ | |||
ข้างพวกคนเหล่าเป็นชาวเรือ | ทั้งใต้เหนือตลอดจอดออกส่ำ | |||
เรือเล็กเล็กน้อยน้อยออกลอยลำ | แน่นแม่น้ำเซ็งแซ่อยู่แจจัน ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงสมเด็จพระพันวษา | ปิ่นปักอยุธยามหาสวรรค์ | |||
เนาในปราสาทแก้วอันแพรวพรรณ | ฝูงกำนัลนบนอบหมอบแน่นไป | |||
ทรงพระราชดำริตริตรึก | ระลึกถึงพลายงามเป็นความใหญ่ | |||
ดำน้ำกับขุนช้างจะอย่างงไร | จนบ่ายได้เวลาสามโมงปลาย | |||
จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองเนาวรัตน์จำรัสฉาย | |||
ทรงพระแสงกุดั่นพรรณราย | ผันผายจากที่มนเทียรทอง | |||
ขึ้นเกยลาทรงมหายานุมาศ | พร้อมอำมาตย์ราชกระวีมี่ก้อง | |||
ประโคมแตรสังข์ประดังกลอง | มาตามท้องฉนวนลงซึ่งคงคา ฯ | |||
๏ ครั้นถึงจึงเสด็จขึ้นบนอาสน์ | หมู่อำมาตย์บังคมก้มหน้า | |||
ตำรวจใหญ่ลงในเรือกัญญา | ทอดทุ่นกระสุนง่าว่าห้ามคน | |||
ทำมะรงลงเรือขึ้นเหนือน้ำ | หลายลำขึ้นล่องออกสับสน | |||
สิ่งอันใดลอยตายในชายชล | ก็เสือกไสให้พ้นใส่แผ้วพาน | |||
พระผู้จอมนรินทร์ปิ่นธรณี | พระจึงมีพระราชบรรหาร | |||
ไปบอกพระครูหวาอย่าช้านาน | เวลากาลจะอัสดงให้ลงดำ ฯ | |||
๏ พระครูผู้รับสั่งก็บังคับ | ตามตำรับอัยการโบราณร่ำ | |||
พระหมื่นไวยให้ขึ้นข้างเหนือน้ำ | ขุนช้างดำฝ่ายใต้ให้สมควร | |||
เดิมขุนช้างเป็นโจทย์ก็จริงแล | แต่ไต่ถามคดีกันถี่ถ้วน | |||
เป็นสัตย์รับรองท้องสำนวน | ข้อพิสูจน์นี้เป็นส่วนของพระไวย | |||
กับอนึ่งซึ่งเขาเป็นขุนนาง | ขุนช้างต้องดำข้างฝ่ายใต้ | |||
ปรึกษาเห็นพร้อมกันในทันใด | แล้วจึงคุมออกไปนอกมณฑล | |||
พาดำเนินย่างย่องทั้งสองนาย | ผู้คุมรายกำกับอยู่สับสน | |||
ชำระตัวสระหัวทั้งสองคน | ชนไก่แล้วก็ลงในคงคา | |||
ผู้คุมกุมยึดหางเชือกไว้ | จับลำไม้ไผ่คอยพาดบ่า | |||
ทั่ริมฝั่งตั้งขันนาฬิกา | ทำมะรงตั้งท่าเข้าข่มคอ | |||
ตีฆ้องโหม่งดำลงทั้งสองข้าง | พอขุนช้างดำมุดก็ผุดฝอ | |||
ผู้คุมเอาโซ่ใหญ่เข้าใส่คอ | พวกคนดูด่าทอออกเพรียกมา | |||
พวกผู้คุมกลุ้มฉุดไม่ละวาง | ขุนช้างร้องโปรดก่อนพุทธเจ้าข้า | |||
พระไวยคนนี้มีวิชา | เป่าซ้ำทำมาให้ต้องตน | |||
ฤทธิเดชพระเวทเข้าจับใจ | ทนไม่ไหวหัวพองสยองขน | |||
เอาจำเลยขึ้นเหนือน้ำดำข้างบน | เป่ามนตร์ลงมาข้าติดใจ ฯ | |||
๏ พระองค์ทรงฟังขุนช้างว่า | ชะต้าอ้ายเจ้าสำนวนใหญ่ | |||
แพ้เขาเฝ้าว่าโว้เว้ไป | กลับพาโลว่าอ้ายไวยใช้เวทมนตร์ | |||
อ้ายสิ้นคิดมันก็บิดเอาซึ่งหน้า | มันแกล้งว่าจะให้ซ้ำดำอีกหน | |||
อ้ายโกหกแผ่นดินลิ้นกะลาวน | ชอบแต่เฆี่ยนเสียให้ป่นคนเช่นนี้ | |||
แต่ซึ่งว่าให้จำเลยขึ้นเหนือน้ำ | ถ้อยคำมันร้องนั้นต้องที่ | |||
จะตัดสินก็ไม่สิ้นซึ่งราคี | ด้วยคดีเกิดขึ้นเพราะตัวมัน | |||
ให้มันขึ้นเหนือน้ำดำอีกที | จงจัดแจงเดี๋ยวนี้ขมีขมัน | |||
ถ้าแพ้เขาอีกครั้งอย่าฟังกัน | เอาไปฟันเสียบเสียให้สาใจ ฯ | |||
๏ พระครูรับพระโองการลนลานมา | อย่าช้านายช้างมาดำใหม่ | |||
เอาชือกผูกบั้นเอวเร็วพระไวย | คุมออกไปยุดหลักทั้งสองนาย | |||
เอาไม่พาดบ่าพลันแล้วลั่นฆ้อง | ข่มคอลงทั้งสองแล้วหย่อนสาย | |||
พวกคนดูชุลมุนอยู่วุ่นวาย | ทั้งเรือพายแทรกเสียดเข้าเบียดกัน | |||
ด้วยขุนช้างนั้นพิรุธทุจริต | พอดำมิดไม่ถึงสักกึ่งกั้น | |||
บันดาลเห็นเป็นงูเข้ารัดพัน | ตัวสั่นกลัวสุดผุดลนลาน | |||
พระกาญจน์บุรีโดดน้ำตามลงไป | อุ้มพระไวยขึ้นมาต่อหน้าฉาน | |||
เหล่าพวกผู้คุมนครบาล | เอาคลังใส่ไอ้หัวล้านลากขึ้นมา ฯ | |||
๏ พระองค์ทรงกริ้วกระทืบบาท | ยมราชเอาไปจำให้แน่นหนา | |||
อ้ายเสี้ยนหนามแผ่นดินลิ้นลังการ | น้อยหรือฆ่าคนได้ช่างไม่คิด | |||
แต่กูมันยังคดปดเล่นได้ | มันถือใจว่าไม่มีอาชญาสิทธิ์ | |||
ลอยหน้าท้าทายถวายชีวิต | เดี๋ยวนี้ผิดแพ้เขาเข้าสองยก | |||
บังอาจฆ่าคนได้แล้วไม่สา | แต่กูมันยังกล้ามาโกหก | |||
อย่าเอาไว้ให้พื้นแผ่นดินรก | ไปผ่าอกเสียอย่าให้ดูเยี่ยงกัน | |||
มันเอาอ้ายไวยไปฆ่าที่ป่าไหน | เอามันไปเสียบเสียที่ป่านั่น | |||
สั่งเสร็จเสด็จจากที่นั่งพลัน | ขึ้นยานุมาศผาดผันเข้าวังใน ฯ | |||
๏ ฝ่ายท่านจตุสดมภ์ยมราช | ประกาศสั่งขุนหมื่นน้อยใหญ่ | |||
คนโทษถึงมรณาอย่าไว้ใจ | ไปส่งให้เจ้ากระทรวงหลวงพัศดี | |||
ทำมะรงลงเหล็กตะลีตะลาน | ประทุกประทาห้าประการไม่พ้นหนี | |||
โซ่ตรวนขื่อคาไม่ปรานี | สี่ทำมะรงจูงมาพาไปคุก | |||
ขุนช้างถูกจำตรวนถ้วนสามชั้น | เคยย่างยาวก้าวสั้นก็ล้มปุก | |||
ผู้คุมรุมไล่ก็ไม่ลุก | ทำเป็นจุกเจ็บท้องร้องอื้ออึง | |||
ทำมะรงโกรธาคว้ามัดหวาย | ป่ายลงทั้งกำดังต้ำผึง | |||
ตีซ้ำคว่ำหงายตายช่าง*** | ผิดก็เสียเฟื้องหนึ่งบอกศาลา | |||
ขุนช้างเข้าใจเขาไม่ฟัง | ลุกขึ้นตึงตังทำเป็นบ้า | |||
อ้าปากแลบลิ้นทำปลิ้นตา | แก้ผ้านุ่งทิ้งวิ่งโทงโทง | |||
หยิบเอาก้อนขี้หมาไล่ปาคน | เอาหัวชนเสาเล่นเต้นเหยงเหยง | |||
ลากตรวนโกรกกรากปากร้องเพลง | คนดูอัดวัดเป้งเข้าด้วยคา | |||
ทำมะรงร้องขู่ว่าอุแหม่ | กูจะแก้มึงด้วยหวายให้หายบ้า | |||
อ้ายอัปรีย์เอาขี้เที่ยวไล่ปา | แก้ผ้าวิ่งโขนออกโพนเพน | |||
พวกผู้หญิงแลมาหันหน้าหนี | สิ้นที่ร้องเบื่อมันเหลือเถน | |||
อ้ายพวกหนุ่มคะนองมันร้องเกน | ไม่โจงกระเบนเสียบ้างนี่อย่างไร | |||
พวกบ่าวมากับนายพลอยขายหน้า | วิ่งพวยฉวยผ้ามานุ่งให้ | |||
ทำมะรงฉุดคร่าพาตัวไป | เอาเข้าในคุกขึงจำตรึงตรา | |||
คาไม้จริงยิงประตูดูให้มั่น | โซ่ร้อยแหล่งแกล้งสรรให้แน่นหนา | |||
เอาอิฐหนุนก้นโงโยงหัวคา | ใส่ขื่อมือยื้อคร่าให้ตึงตัว ฯ | |||
๏ ขุนช้างต้องพันธนาถึงสาหัส | มือรัดเอวโยงเอาโคลงหัว | |||
จะไหวติงก็ไม่ได้ใจสั่นรัว | โอ้ตัวกูถึงวันจะบรรลัย | |||
ผุดปากภาวนาหน้าเป็นหลัง | ปิติสังขาเยเผลไพล่ | |||
การะมังยังมุระกุสะไล | มอลอกอขอไขคัจไฉมิ | |||
หิรูปักขาหิราปักเข | สัมตันสันเตเยตะสิ | |||
มุดทะกังทั้งกระทะคั้นกะทิ | ต่อยปะเตะตกกะติปากแตกตาย | |||
ทำมะรงโกรธด่าอึงมี่ | สวดอะไรอย่างนี้อ้ายฉิบหาย | |||
เขาจะได้ตรวจคนบ่นวุ่นวาย | มึงไม่รู้ฤทธิ์หวายหรืออึงไป | |||
ขุนช้างร้องขอโทษอย่าโกรธขึ้ง | เจ็ดตำลึงสิบสลึงลูกจะให้ | |||
จงลดก่อนผ่อนคลายให้หายใจ | แล้วจะให้ค่าลดสิบตำลึง | |||
เออกระนั้นสิอย่าโกรธโทษถึงตาย | ครั้นมิทำนายเขาโกรธขึ้ง | |||
พอให้เขาตรวจตราอย่าอื้อึง | ลั่นกุญแจแล้วจึงจะเคลื่อนคลาย ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา | อยู่เคหานอนไม่หลับกระสับกระส่าย | |||
ด้วยผัวไปเป็นความกับลูกชาย | จะดีร้ายเป็นอย่างไรจึงไม่มา | |||
พออ้ายพลับกลับไปร้องไห้งอ | คุณพ่อเป็นความแพ้คุณแม่ขา | |||
ส่งเข้าคุกประทุกทั้งขื่อคา | พระพันวษากริ้วกราดคาดโทษตาย | |||
เขาเอาไว้สุดคนก้นกระชุง | จำต้องนั่งยังรุ่งจนเช้าสาย | |||
แขวนจนก้นพ้นกระดานสงสารนาย | เมื่อฉันมายังไม่คลายอีกขอรับ ฯ | |||
๏ วันทองฟังเล่าบอกข่าวผัว | ทอดตัวร้องไห้จนลมจับ | |||
กลิ้งเกลือกเสือกนอนอ่อนพับ | ดังจะดับชีวันไปทันใด | |||
พวกบ่าวข้อนอกตกตะลึง | อื้ออึงอัดแอเข้าแก้ไข | |||
นวดเหยียบนัดยาทาน้ำดอกไม้ | พอลมถอยค่อยได้สติพลัน | |||
ลุกขึ้นลนลานคลานเข้าห้อง | ประจงจ้องจับกุญแจไขกำปั่น | |||
เปิดฝาคว้าทองสองสามอัน | แล้วหยิบขันปากสลักตักเงินตรา | |||
ใส่ลงในกระทายเป็นหลายขัน | ปากนั้นกอบเบี้ยเกลี่ยปิดหน้า | |||
แล้วส่งให้อีเขียดกระเดียดมา | ทั้งข้าวปลาหาไปใส่ขันโต | |||
แล้วจัดแจงสำรองของกำนัล | เนื้อฉมันน้ำผึ้งเป็นครึ่งโถ | |||
ให้บ่าวเที่ยวหาซื้อปลาเทโพ | บรรทุกเรือแตงโมแล้วรีบมา ฯ | |||
๏ ครั้นถึงจอดเรือแล้วรีบไป | ข้าไทตามหลังมาหนักหนา | |||
บ้างแบกโต๊ะของกำนัลขันข้าวปลา | ถึงริมคุกขึ้นหาพัศดีกลาง | |||
ของกำนัลให้ท่านพัศดี | คุณพ่อได้ปรานีดีฉันบ้าง | |||
จะขอไปส่งข้าวเจ้าขุนช้าง | คุกตะรางอย่างไรฉันไม่เคย | |||
พัศดีเรียกทำมะรงเนียม | ช่วยพาพี่แกไปเยี่ยมผัวหน่อยเหวย | |||
ทำมะรงรับคำนำลุกเลย | เข้าประตูหับเผยถึงคุกใน | |||
วันทองร้องง้อพ่อทำมะรง | ช่วยถอดลงมากินข้าได้หรือไม่ | |||
ทำมะรงว่าไปเยี่ยมกันก็ไป | ถอดไม่ได้โทษอย่างนี้พี่วันทอง ฯ | |||
๏ วันทองแข็งใจเข้าในคุก | แลเห็นคนทนทุกข์สยดสยอง | |||
น่าเกลียดน่ากลัวหนังหัวพอง | ผอมกร่องร่างกายคล้ายสัตว์นรก | |||
เขาใส่คาอาหารไม่พานไส้ | เห็นวันทองขึ้นไปไหว้ประหลก | |||
เอากล้วยทิ้งชิงกันตัวสั่นงก | ใครมีแรงแย่งฉกเอาไปกิน | |||
สุดแต่มีของให้แล้วไม่เลือก | จนชั้นเปลือกก็ไม่ปอกขยอกสิ้น | |||
เป็นหิดฝีพุพองหนองไหลริน | เหม็นกลิ่นราวกับศพตลบไป | |||
ตัวเล็นเป็นขนไต่บนกบาล | นางก้าวหลีกลนลานไม่ดูได้ | |||
อุตส่าห์ทนจนถึงก้นคุกใน | ขุนช้างเห็นเมียไปร้องไห้แง | |||
วันทองเห็นผัวทอดตัวไห้ | ขุนช้างใส่งองอกระป้อกระแป้ | |||
น้ำตาน้ำมูกตะละลูกกะแอ | แม่เอ๋ยแม่ทิ้งเสียได้ไม่พุทโธ | |||
จะเดินเหินเข้าที่ไหนไปอย่าช้า | แม่เมตตาอย่าให้ตายในตรวนโซ่ | |||
เอาเงินใส่ในถุงให้โตโต | แล้วไปหาเจ๊กโล้ซื้อเหล้ามา | |||
โอ๊ยลืมไปแล้วแม่ช่วยแก้ไข | แม่จะเดินข้างในหรือข้างหน้า | |||
ของกำนัลเลือกสรรจัดเอามา | ทั้งข้าวปลาเหล้าแกล้มหมูแนมญวน ฯ | |||
๏ วันทองขัดใจอ้ายคนเคอะ | ยังซมเซอะไปจนคอจะเด็ดด้วน | |||
เพราะกินเหล้าจึงต้องเข้าถึงโซ่ตรวน | ยังหลงเล่อลามลวนข้างเหล้ายา | |||
ขุนช้างเห็นเมียโกรธขอโทษตัว | แม่ต่อยหัวพี่สักโขกก็ไม่ว่า | |||
ใจคอท้อแท้แล้วแม่อา | ได้หน้าลืมหลังพลั้งพลาดไป | |||
จะด่าทออย่างไรก็ไม่ว่า | เอาเงินตราค่าคุกนั้นมาให้ | |||
กับค่าลดสิบตำลึงให้ถึงใจ | เสียไหนเสียไปเถิดแม่คุณ | |||
วันทองตอบว่าอย่าปรารมภ์ | เงินทองมีถมอย่าว้าวุ่น | |||
ข้าจะเอาออกไปให้นายมุล | ถึงเจ้าคุณบ้านนอกก็ปรานี ฯ | |||
๏ ทำมะรงให้อ้ายรอดถอดขื่อคา | กินข้าวปลาเถิดพี่ช้างอย่างครางอี๋ | |||
เป็นตายอยู่กับตัวกลัวไยมี | จะด้นดำดินหนีได้เมื่อไร ฯ | |||
ขุนช้างฟังว่าคว้าขามข้าว | เปิบใส่ปากเปล่าไม่กลืนได้ | |||
เคี้ยวข้าวเป็นแป้งคอแห้งไป | เอาน้ำใส่กลั้วคอให้พอกลืน | |||
จะกินได้แต่ละคำเอาน้ำกลั้ว | คิดถึงตัววางชามข้าวเฝ้าสะอื้น | |||
วันทองปลอบว่าอุตส่าห์กลืน | ขืนใจกินเถิดพ่อพอมีแรง | |||
เห็นผัวยังนั่งครางนางช่วยป้อน | เอาช้อนตักแกงแย้แก้คอแห้ง | |||
ทั้งเนื้อพล่าปลาไหลไก่พะแนง | ขุนช้างแข็งใจกินสิ้นชามโคม | |||
แล้วสั่นหัวบอกพลันเท่านั้นเถิด | ประดักประเดิดพี่นักอย่าหักโหม | |||
คิดถึงตัวขึ้นมาน้ำตาโซม | โถมกอดคอภรรยาแล้วว่าวาน | |||
แม่คุณทูนหัวจงรีบไป | เอาเงินติดท่านข้างในให้ว่าขาน | |||
เพ็ดทูลผ่อนปรนช่วยบนบาน | ขอประทานโทษตนให้พ้นภัย | |||
วันทองว่าหาใครไม่ได้ดอก | หนามยอกเอาหนามบ่งคงจะได้ | |||
วิ่งนักมักล้มก้มซวนไป | จะอ้อนวอนพ่อไวยดูสักที | |||
ขุนช้างว่าจริงแท้แม่ทูนหัว | จะรอดตัวก็เพราะแม่ช่วยแก้พี่ | |||
ถ้าพ้นโทษโปรดถอดรอดชีวี | แม่ไปไหนจะให้ขี่ไปต่างวัว ฯ | |||
๏ วันทองว่าอย่าสำออยไปหน่อยเลย | พวกข้าไม่เคยขี่คอผัว | |||
สิ้นชีวิตไม่คิดเสียดายตัว | อย่ากลัวเลยอย่างไรไม่ทิ้งกัน | |||
ว่าพลางหยิบเงินในกระทาย | ให้กับนายทำมะรงขมีขมัน | |||
ทั้งนายร้อยนายใหญ่ให้ทั่วกัน | คนโทษทัณฑ์ให้ทานทุกคนไป | |||
ฝากฝังสามีแล้วมิช้า | ก็ลุกลาออกจากในคุกใหญ่ | |||
ให้เงินพัศดีกลางนางรีบไป | ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้ช้า | |||
โถมเข้าสวมสอดกอดพระไวย | ร้องไห้แทบสลบซบหน้า | |||
พระหมื่นไวยสงสารกับมารดา | วันทาทำเป็นถามไปฉับพลัน | |||
หม่อมแม่ทุกข์เข็ญเป็นอย่างไร | อย่าร้องไห้จงบอกออกกับฉัน | |||
หรือปู่ย่าตายายวายชีวัน | ไม่ทันบอกออกก็ร่ำแต่โศกี | |||
วันทองจึงว่าพ่อทูนเกล้า | ทุกข์แม่เทียมเท่าจะเป็นผี | |||
เหลียวไม่เห็นใครในครั้งนี้ | ซึ่งจะช่วยชีวีให้รอดตาย | |||
เห็นแต่ดวงใจพระไวยแม่ | ที่จะแก้ทุกข์ร้อนให้ผ่อนหาย | |||
เจ้าขุนช้างคนคดประทษร้าย | เพราะเช่นนั้นอันตรายจึงถึงตัว | |||
เหมือนนมยานกลิ้งอกแม่หมกไหม้ | ถึงชั่วดีเขาก็ได้มาเป็นผัว | |||
ครั้นจะนิ่งให้ตายอายติดตัว | จะเชิดชื่อลือชั่วทั่วกัลป์ปา | |||
เหตุเท่านี้จึงนิ่งทิ้งไม่ได้ | แม่จนใจจึงซานด้านมาหา | |||
พ่อคุณจงการุญกับมารดา | ช่วยทูลขอชีวาขุนช้างไว้ | |||
พระองค์ทรงพระกรุณา | คงหาขัดอัธยาพ่อพลายไม่ | |||
ขุนช้างสั่งถึงพ่อขออภัย | อย่ามีบาปกราบไหว้พ่อหมื่นมา | |||
นอกกว่าพ่อใครจะขอเห็นไม่ได้ | พ่อจงช่วยชีวิตไว้ใช้ต่างข้า | |||
อันที่ได้ผิดพลั้งแต่หลังมา | พ่ออย่าผูกเวรานั้นสืบไป ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยพลายงาม | จึงตอบความมารดาหาช้าไม่ | |||
แม่มาอ้อนวอนว่าข้าทำไม | ข้ามิได้ฟ้องหานายขุนช้าง | |||
ข้างเขาอีกจะเอาชีวิตข้า | ไปกราบทูลพระพันวษาเอาทุกอย่าง | |||
แกล้งใส่ความจะให้ตายวายวาง | นี่หากมีที่อ้างจึงพ้นภัย | |||
เมื่อขุนช้างเขาพาไปฆ่าตี | ความนี้แม่ก็ทราบอยู่เต็มไส้ | |||
จะสงสารฉันบ้างก็เป็นไร | นี่หากฟื้นขึ้นได้จึงรอดตัว | |||
เมื่อลูกชายจะตายแม่ไม่คิด | แม่รักแต่ชีวิตข้างท่านผัว | |||
จึงเที่ยวท่องร้องไห้ไม่คิดตัว | เพราะว่ากลัวขุนช้างจะบรรลัย | |||
พระองค์กำลังทรงพิโรธ | จะให้ทูลขอโทษอย่างไรได้ | |||
เหมือนโถมถาผ่าขวางเข้ากลางไฟ | เป็นจนใจลูกแล้วนะมารดา ฯ | |||
๏ วันทองกอดพระไวยร้องไห้กลิ้ง | ความทั้งนี้ก็จริงเหมือนเจ้าว่า | |||
เมื่อขุนช้างฆ่าพ่อแทบมรณา | มารดาก็แจ้งอยู่เต็มใจ | |||
อุตส่าห์พาพ่อไปฝากวัด | เอาผ้าตัดทำธงแก้สงสัย | |||
แม่ไม่เห็นเจ้าสักวันปิ้มบรรลัย | นอนร้องไห้รักร่ำทุกค่ำคืน | |||
อันผัวรักก็หาหนักกว่าลูกไม่ | ลงบันไดสามขั้นเป็นคนอื่น | |||
ถึงว่ารักจริงจังดังจะกลืน | ก็ไม่เหมือนพ่อหมื่นของแม่เลย | |||
ซึ่งเคืองขุ่นขุนช้างที่ล้างผลาญ | ก็นมนานมาแล้วนะลูกเอ๋ย | |||
เอาบุญอย่าอาฆาตจองเวรเลย | ถ้าพ่อเฉยแล้วไม่ช้าท่านฆ่าแท้ | |||
เหมือนปล่อยปลาปล่อยเต่าเอากุศล | ให้พ้นจากความเข็ญเห็นกับแม่ | |||
สู้อุตส่าห์เลี้ยงเจ้าเฝ้าดูแล | ตั้งแต่พ่อยังอยู่ในอุทร | |||
เจ้าเกิดมามารดาถนอมเจ้า | บดข้าวสามเวลาอุตส่าห์ป้อน | |||
อาบน้ำใส่เปลเห่ให้นอน | แต่อ่อนอ่อนจนได้วัฒนามา | |||
ขุนช้างอุตส่าห์หาข้าน้อยน้อย | ให้พ่อไวยใช้สอยเป็นหนักหนา | |||
เอาทองคำทำกำไลสร้อยเสมา | ตะกรุดโทนถายาล้วนอย่างดี | |||
ยามตรุษสงกรานต์ไปลานวัด | สารพัดใส่กายให้ถ้วนถี่ | |||
บ่าวเล็กเล็กเหลือหลามตามมากมี | ให้นางศรีแม่นมนั้นอุ้มไป | |||
ยามขุนช้างรักใคร่ใครจะเหมือน | ชั่วแต่ดาวกับเดือนไม่ให้ได้ | |||
แต่ของมีในสุพรรณสิ่งอันใด | ถ้าชอบใจแล้วไม่ขัดให้ขุ่นมัว | |||
ที่ร้ายนั้นก็มีดีก็มาก | พ่อหากเป็นทารกไม่รู้ทั่ว | |||
อย่าคุมโทษโปรดเถิดให้เป็นตัว | เหมือนทูนหัวแทนคุณของมารดา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยก็ใจอ่อน | ได้ฟังมารดาอ้อนวอนว่า | |||
ครั้นจะนิ่งให้ขุนช้างวางชีวา | ก็สงสารมารดานั้นสุดใจ | |||
ถ้าบรรลัยไหนจะมีซึ่งความสุข | จะทุกข์ทุกข์เข็ญเข็ญจนเป็นไข้ | |||
ผูกคอล้มก้มคอตายวุ่นวายไป | บาปกรรมก็จะได้กับเราแท้ | |||
ถึงขุนช้างชั่วช้าเหมือนหมาหมู | เขาก็รู้อยู่ทั่วว่าผัวแม่ | |||
จะนิ่งเสียทีเดียวไม่เหลียวแล | ก็ตั้งแต่คนเขาจะนินทา | |||
คิดแล้วจึงว่าแก่แม่ไป | เป็นจนใจด้วยพระเกิดเกศา | |||
ครั้นจะขัดเหมือนไม่คิดถึงมารดา | จะแกล้งให้เวทนากับลูกชาย | |||
แม่จงกลั้นน้ำตาอย่าร้องไห้ | ลูกจะไปเพ็ดทูลขยับขยาย | |||
ถ้าท่านโปรดก็จะปลอดไม่วอดวาย | ถึงเวรตายแล้วก็จนพ้นกำลัง ฯ | |||
๏ เออพ่อคุณการุญให้จงได้ | แม่จะให้ค่าทูลสักสองชั่ง | |||
แม้นพ่อช่วยเห็นไม่ม้วยไปจริงจัง | คงประทังคลายโทษเพราะโปรดปราน ฯ | |||
๏ ชะน้อยหรือมารดาช่างว่าได้ | นึกว่าไก่แล้วจะล่อด้วยข้าวสาร | |||
เห็นว่าลูกนี้จนอ้างบนบาน | เหตุว่าท่านเศรษฐีมีเงินทอง | |||
เพราะได้เงินสองชั่งจึงตั้งบ้าน | ปลูกเรือนฝากระดานขึ้นห้าห้อง | |||
เลี้ยงเมียเลี้ยงข้ามาเป็นกอง | เพราะเงินทองสินบนของมารดา ฯ | |||
๏ เจ้าประคุณทูนหัวของแม่เอ๋ย | อย่าถือเลยแม่นี้เหมือนคนบ้า | |||
ใจไม่อยู่กับตัวชั่วช้า | พูดออกมาไม่ทันคิดแม่ผิดครัน | |||
อย่าช้าเชิญพ่อไปขอโทษ | เหมือนหนึ่งโปรดแม่ให้ไปสวรรค์ | |||
จะได้บุญนั้นนับตั้งกัปกัลป์ | พ่อจอมขวัญรีบจรอย่านอนใจ ฯ | |||
๏ ครานั้นพระไวยชัยชาญ | ความสงสารมารดาน้ำตาไหล | |||
จึงปลอบแม่อย่าละเหี่ยเสียน้ำใจ | ลูกจะไปทูลขอดูตามบุญ | |||
ร้องสั่งศรีมาลาหาล่วมหมาก | ทั้งห่อผ้ากานากร่มญี่ปุ่น | |||
กล้องยาแดงหุ้มปลายนพคุณ | บ่าวใส่ยาฉุนทั้งอุดเตา | |||
แล้วพระไวยอาบน้ำชำระกาย | กรายเข้าเคหาผลัดผ้าเก่า | |||
นุ่งม่วงสีไพลไหมตะเภา | ห่มหนังไก่เปล่าปักเถาแท้ | |||
พลางยิ้มหยอกหยิกแก้มศรีมาลา | แล้วรีบมาหอนั่งสั่งท่านแม่ | |||
ก็รีบออกจากเรือนไม่เชือนแช | ข้าไทอัดแอตามติดมา | |||
ประเดี๋ยวหนึ่งถึงในพระราชฐาน | ทั้งข้าราชการก็พร้อมหน้า | |||
ครั้นแสงสุริโยทัยได้เวลา | ก็เข้ามาคอยเฝ้าพระทรงธรรม์ฯ | |||
๏ จะกล่าวถึงพระจอมจักรพรรดิ | ผ่านสมบัติอยุธยามหาสวรรค์ | |||
สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ | สะพรั่งพร้อมพระกำนัลนารี | |||
ล้วนแรกรุ่นรูปร่างเหมือนอย่างวาด | เอี่ยมสะอาดนวลละอองผ่องศรี | |||
บำเรอบาทมุลิกาเจ้าธานี | บรรทมอยู่ในที่แท่นทองทรง | |||
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างฟ้า | พระตื่นจากนิทรามาที่สรง | |||
เย็นฉ่ำน้ำกุหลาบอาบพระองค์ | เสด็จทรงภูษาอันอำไพ | |||
พระหัตถ์ซ้ายกรายจับพระแสงเพชร | จึงเสด็จออกท้องพระโรงใหญ่ | |||
ประทับเหนือแท่นแก้วอันแววไว | พร้อมไปด้วยอำมาตย์ราชกระวี | |||
เจ้าพระยาแลพระยาพระหลวง | ทุกกระทรวงเฝ้าประณตบทศรี | |||
คอยฟังรับสั่งพระพันปี | เงียบสงัดอยู่ในที่พระโรงชัย | |||
พระองค์มีสีหนาทประภาษถาม | ความฎีการาษฎรเรื่องน้อยใหญ่ | |||
ต้องตำแหน่งขุนนางข้างกรมใด | ก็ทูลความตามในตำแหน่งตน ฯ | |||
๏ ครานั้นจมื่นไวยวรนาถ | เห็นว่างราชการกราบลงสามหน | |||
ขอเดชะฝ่าละอองบาทยุคล | พระเดชพระคุณเป็นพ้นคณนา | |||
ควรมิควรกระหม่อมฉานประทานโทษ | ขอพระองค์จงโปรดซึ่งเกศา | |||
ด้วยขุนช้างโทษถึงมรณา | ต้องพระราชอาญาอยู่คุกใน | |||
บัดนี้มารดาข้าพระพุทธเจ้า | โศกเศร้าแทบชีวิตจะตักษัย | |||
เฝ้าวิงวอนเช้าค่ำร่ำไรไป | มิได้รับประทานซึ่งข้าวปลา | |||
ถ้าไม่รับกราบทูลฝ่าธุลี | เห็นท่วงทีมิตายก็เป็นบ้า | |||
ก็สุดแสนสงสารด้วยมารดา | กระหม่อมฉันเกิดมาจนบัดนี้ | |||
แต่เจ็ดขวบก็พรากจากกันไป | ยังมิได้แทนคุณเท่าเกศี | |||
ขอประทานโทษขุนช้างไว้สักที | เหมือนหนึ่งช่วยชีวีของมารดา ฯ | |||
๏ ครานั้นพระองค์พงศ์กษัตริย์ | ทราบรหัสแห่งคำหมื่นไวยว่า | |||
พระนิ่งนึกตรึกไตรอยู่ไปมา | ครั้นมิไว้ชีวาอ้ายขุนช้าง | |||
อีวันทองผ่ายผอมตรอมใจตาย | อ้ายลูกชายก็จะต้องหมองหมาง | |||
ครั้นระคายอายหน้าเพื่อนขุนนาง | จะสะเทิ้นเหินห่างไปทุกวัน | |||
นึกว่าเอาใจไว้ใช้สอย | แต่น้อยน้อยมือศึกมันแข็งขัน | |||
เป็นหน่อเนื้อเชื้อทหารชาญฉกรรจ์ | อย่าให้มันละห้อยน้อยวิญญาณ์ | |||
จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายหมื่นไวย | อีแม่มึงนั้นกูให้ชังน้ำหน้า | |||
เอาอ้ายช้างเป็นผัวแสนชั่วช้า | ช่างไม่คิดถึงหน้าอ้ายหมื่นไวย | |||
โดยอ้ายช้างล้มตายไปเป็นผี | จะไปดีเสียกับพ่อมึงก็ได้ | |||
มาเฝ้าซ้าซี้พิรี้พิไร | ให้โปรดไอ้ใจบาปคนหยาบช้า | |||
แต่ลูกเลี้ยงมันยังพาไปฆ่าตี | มึงไม่มีใจโกรธดอกหรือหวา | |||
มาขอไว้ให้หนักพสุธา | ชอบแต่ฆ่าอย่าให้ดูเยี่ยงกัน ฯ | |||
๏ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท | องค์อิศราธิราชรังสรรค์ | |||
ซึ่งข้อนายขุนช้างล้างชีวัน | กระหม่อมฉันก็แสนจะแค้นใจ | |||
ก็มั่นหมายแก้แค้นแทนขุนช้าง | แต่มารดามาขวางเป็นข้อใหญ่ | |||
จะทิ้งให้โศกศัลย์บรรลัย | ก็เหมือนไม่คิดถึงคุณของมารดา | |||
จึงกลั้นโกรธกราบทูลบทมาลย์ | ขอรับพระราชทานซึ่งโทษา | |||
ขอพระองค์ทรงพระกรุณา | แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ภักดี ฯ | |||
๏ จึงตรัสว่าดูราอ้ายหมื่นไวย | โทษอ้ายช้างนั้นไซร้ถึงเป็นผี | |||
จะยกให้ไม่ประหารผลาญชีวี | ทั้งนี้เพราะกูเอ็นดูมึง | |||
อีแม่จะได้หายคลายโศกเศร้า | เพราะลูกเต้าได้ดีเป็นที่พึ่ง | |||
อันคนโทษทุจริตผิดลึกซึ้ง | โทษถึงชีวันจะบรรลัย | |||
กูนี้ไม่พอใจให้ใครแก้ | มึงจะแทนคุณแม่จึงยกให้ | |||
ตรัสแล้วสั่งราชรองเมืองไป | เร่งถอดอ้ายขุนช้างในฉับพลัน | |||
แล้วจงส่งตัวให้จมื่นไวย | อย่าให้ใครคิดเอาค่าลดหลั่น | |||
พระสั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงคัล | กรายพระกรจรจรัลเข้าวังใน ฯ | |||
๏ พระรองเมืองรับพระราชโองการ | ลนลานออกมาหาช้าไม่ | |||
บ่าวตามเป็นพรวนชวนพระไวย | ตรงไปประทับหับเผยพลัน | |||
ใช้ทนายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | รีบไปเรียกพัศดีขมีขมัน | |||
ให้ทำมะรงไปถอดขุนช้างนั้น | เข้าช่วยกันอึดอัดตัดตรวนพลาง | |||
บ้างถอดคาหาไม้มาต่อยขื่อ | อึงอื้อโปกโป้งเสียงโกร่งกร่าง | |||
ประเดี๋ยวหลุดล่อนกายนายขุนช้าง | พยุงย่างย่องแย่งแข้งขาพัน | |||
ทำมะรงนำมาหน้าหับเผย | เงยหน้าเห็นพระรองเมืองนั่น | |||
กับพระหมื่นไวยนั่งใกล้กัน | งกงันหมอบกรานคลานเข้าไป | |||
ทั้งรักทั้งกลัวหมอบตัวราบ | กราบจนหัวคะมำตำต้นขา | |||
พระนายอายใจไม่เจรจา | ก็อำลาท่าราชรองเมืองพลัน | |||
ขุนช้างงกเงินเดินไม่ได้ | พระไวยให้ทำเปลขมีขมัน | |||
ให้พวกบ่าวเข้าหามมาตามกัน | ขุนช้างนั่งมาในนั้นหนวดพรุมพราม | |||
เหมือนตุ๊กตากวางตุ้งดูพุงพลุ้ย | หัวทุยผมเถิกเป็นถ่อง่าม | |||
แดดส่องต้องแสงดูแดงวาม | ผู้คนดูหลามตลอดมา ฯ | |||
๏ ครู่หนึ่งถึงจวนพระหมื่นไวย | วันทองเห็นดีใจเป็นหนักหนา | |||
เข้าพยุงจูงผัวให้ไคลคลา | ขุนช้างกอดภรรยาเข้าร่ำไร | |||
วันทองเจรจาว่ากับผัว | เจ้ารอดตัวเพราะพ่อหรือมิใช่ | |||
เออแม่ชีวันไม่บรรลัย | เพราะพ่อคุณโปรดให้รอดชีวิต | |||
ตั้งแต่วันนี้ไปในเบื้องหน้า | จะมอบตัวเป็นข้าจนดับจิต | |||
ไปศึกเสือเหนือใต้ลูกไม่คิด | จะตามติดไปทุกอย่างไม่ห่างกัน | |||
พระไวยสั่งสร้อยฟ้าศรีมาลา | จัดสำรับข้าวปลาประจงสรร | |||
บัดเดี๋ยวใจได้มาสารพัน | แล้วเชิญวันทองรับประทาน | |||
สำรับคาวของเคียงเรียงวาง | ก็เชื้อเชิญขุนช้างกินอาหาร | |||
บริโภคอิ่มหนำสำราญ | ยกสำรับของหวานมาวางพลัน | |||
ทั้งผัวเมียอิ่มหนำสำราญใจ | เข้าไปหาพระไวยในเรือนนั่น | |||
ว่าพ่อจงเป็นสุขทุกนิรันดร์ | นับวันคงจะได้เป็นใหญ่โต | |||
จงผ่องแผ้วแคล้วคลาดราชภัย | ขอให้เป็นบรมสุโข | |||
ลือเลื่องกระเดื่องดินภิญโญ | จะได้พึ่งร่มโพธิ์พ่อสืบไป ฯ | |||
๏ พระไวยน้อมคำนับรับพรพลาง | ขุนช้างเอาเงินทองออกกองให้ | |||
ยี่สิบชั่งหวังจะแทนคุณพระไวย | พ่อเอาซื้อข้าวใหม่ไว้เลี้ยงกัน | |||
พระไวยสั่งว่าอย่าเอาไว้ | เดี๋ยวนี้มีใช้อยู่ดอกทั่น | |||
เอาเงินให้อย่างนี้ไม่ดีครัน | เหมือนหนึ่งฉันเอาสินบนกับมารดา ฯ | |||
๏ วันทองรู้กิริยาอัชฌาสัย | กอบเงินใส่กระทายส่งให้ข้า | |||
ครั้นตะวันจวนค่ำก็อำลา | ลงนั่งในนาวาข้าเต็มลำ | |||
ทั้งหญิงชายพายตะเบ็งเร่งตะบึง | กระทั่งถึงสุพรรณไม่ทันค่ำ | |||
ยายเทพทองมองเห็นแกเต้นรำ | ลูกรอดจำมาได้ดีใจแท้ | |||
รีบร้อนต้อนรับขึ้นบนเรือน | บรรดาเพื่อนเคหามาเยี่ยมแซ่ | |||
บนหอนั่งเยียดยัดออกอัดแอ | พูดกันแต่เย็นเยี่ยมเข้ายามปลาย | |||
ขุนช้างสั่งศรพระยาหาน้ำมนตร์ | มารดตนเสียให้จัญไรหาย | |||
นิมนต์สงฆ์สวดสะเดาะที่เคราะห์ร้าย | ซัดน้ำชำระกายถ้วนสามวัน ฯ | |||
ตอนที่ ๓๕
๏ | |||
ตอนที่ ๓๖
๏ | |||
ตอนที่ ๓๗
๏ | |||
ตอนที่ ๓๘
๏ | |||
ตอนที่ ๓๙
๏ | |||
ตอนที่ ๔๐
๏ | |||
ตอนที่ ๔๑
๏ | |||
ตอนที่ ๔๒
๏ | |||
ตอนที่ ๔๓
๏ | |||