เสภาเรื่à¸à¸‡à¸¨à¸£à¸µà¸˜à¸™à¸à¹„ชยเชียงเมี่ยง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→) |
(→) |
||
| แถว 747: | แถว 747: | ||
==== ==== | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
| + | ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นแดดอ่อนหย่อนแสง ก็ตกแต่งราชสมบัติหมายจะสู้ | ||
| + | ผูกเชือกเองคู่ชนคนนอกครู ทั้งสี่เส้นเกณฑ์หมู่คนมาชัก | ||
| + | จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อย ก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซงแซ่หนัก | ||
| + | ทั้งซ้ายขวาน่าหลังเชือกรั้งชัก แห่งมาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ | ||
| + | ราชสมบัติแขงขึงตึงเชือกไว้ คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ | ||
| + | เชือกยวนขาดเปนท่อนซ้อนคะมำ แล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย | ||
| + | ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติ ให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย | ||
| + | ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชาย มาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ | ||
| + | บ้างก็ขึ้นต้นไม่คอยมองดู บ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่ | ||
| + | ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแล เสียงเซงแซ่คนดูพรั่งพรูมา ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นราชทูตนายสำเภา โฉดเขลาเห็นว่าแรงมากนักหนา | ||
| + | แต่พวนหนังรั้งขาดประหลาดตา จึ่งปฤกษาคู่ชนคนสำคัญ | ||
| + | ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับ ยังจะรับเปนคู่พนันขัน | ||
| + | ฤาจะสู้เขาไม่ได้ ให้บอกกัน อย่าอึ้งอั้นแจ้งคามแต่ตามจริง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายว่าล้านธานีบุรีราช คิดขยาดกลัวใจให้เกรงกริ่ง | ||
| + | จึ่งบอกว่าสู้ไม่ได้ ให้ประวิง เขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน | ||
| + | สู้ไม่ได้เปนแน่ตามแต่จะคิด ไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น | ||
| + | ให้เกรงแต่จะแพ้แก้ไม่ทัน จะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายราชทูตกับชขายนายสำเภา เห็นเสียเค้าไม่ได้สมอารมณ์หมาย | ||
| + | จึ่งปฤกษาตามใจทั้งไพร่นาย ว่าจะถวายสินพนันกันนินทา | ||
| + | ทูลว่าล้านมาด้วยป่วยเปนไข้ ทูลลาไปไหนจะมีครหา | ||
| + | เห็นพร้อมกันพลยันนำเครื่องบรรณา เข้าเฝ้าถวายจอมนรานรินทร | ||
| + | กราบทูลว่าคู่พนันนั้นเปนไข้ ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน | ||
| + | ขอถวายสินพนันพระภูธร จะลากลับยังนครนามธานี ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ ทรงฟังทูลเห็นประหลาดชั้นเชิงหนี | ||
| + | ทรงปราไสตามได้มีไมตรี ทูตก็ลาพระจรลีลงนาวา | ||
| + | ให้ใช้ไปไปถึงพระบุรี กราบทูลแจ้งคดีจอมนาถา | ||
| + | ให้ทราบใต้ลอองบาทลาดหนีมา เหลือปัญญาที่จะชนพ้นกำลัง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองธานี ทรงฟังทูตทูลว่าหนีให้แค้นคั่ง | ||
| + | ปรารภจะสู้มิได้หลีอีกสักครั้ง พระไทยตั้งหมายมาดไม่ขาดวัน ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ จะกล่าวถึงเชียงญาณอยู่บ้านไร่ ข่าวฦาไปว่าเชียงเมี่ยงปัญญาขยัน | ||
| + | คิดหมายลองปรีชาจะสู้กัน ฤาว่ามันแหลมฉลาดจะลองดู | ||
| + | ตดใส่ปล้องไม้ไผ่แล้วอุดอัด ออกจากบ้านลอดลัดมาหมายสู้ | ||
| + | ได้แปดวันดั้นป่ามาสืบดู แต่ไม่รู้ว่าเชียงเมี่ยงนั้นคนใด | ||
| + | ครั้นเดินมาก็พบกับเชียงเมี่ยง ถามชื่อเสียงโดยตัวว่าอยู่ไหน | ||
| + | ฝ่ายเชียงเมี่ยงถามว่าจะทำไม มีธุระสิ่งใดถามหามัน | ||
| + | เชียงญาณพาซื่อไม่รู้จัก หมายว่าคนอื่นซักไม่บิดผัน | ||
| + | จึงบอกว่าจะทดลงของสำคัญ เชียงเมี่ยงจะรู้ทันฤางมงาย | ||
| + | ข้าตดใส่ปล้องไม้จะให้ดม ถ้าดีจะสมาคมเปนสหาย | ||
| + | เชียงเมี่ยงว่าเจ้าอัดลมระบาย มากี่วันกลิ่นจะคลายฤายังมี | ||
| + | จงเปิดดมดูก่อนถ้าหย่อนกลิ่น จวนจะสิ้นจะได้เติมให้เต็มที่ | ||
| + | เชียงญาณฟังเห็นชอบว่าพูดดี เปิดดมว่ายังมีกลิ่นมากนัก | ||
| + | ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นว่างมต้องดมตด ว่าเองชาวชขนบทไม่รู้จัก | ||
| + | กูและชื่อเชียงเมี่ยงซึ่งถามทัก เองประจักษ์แล้วฤาไม่ไอ้โง่เคอะ | ||
| + | มึงหมายมาว่าจะให้กูดมตด มึงดมเองให้หมดกลับไปเถอะ | ||
| + | กูชาวในลวงไม่ได้แล้วไอ้เซอะ อ้ายบ้านนอกโล่เบอะน่าถองซ้ำ | ||
| + | เชียงญาณครั้นรู้ว่าเชียงเมี่ยง ไม่โต้เถียงวาจาก้มหน้าคว่ำ | ||
| + | นึกน้อยใจเจ็บอกเหมือนฟกช้ำ กลับไปบ้านจิตรระกำคลุมหัวนอน | ||
| + | คิดคิดก็ยิ่งแค้นแสนอดสู มาเสียรู้เชียงเมี่ยงให้ถอดถอน | ||
| + | ถ้าแก้แค้นไม่ได้ ไม่อยู่นคร จะเที่ยวซุกซอนนิ่งนอนตาย ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ จะกล่าวถึงระผู้ผ่านทวาลี ประชวรโรคมากทวีมิใคร่หาย | ||
| + | พระอาการพานมากลำบากกาย แทบจะวายชีวาพิราไลย ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระอรรคเทพีศรีสมร เธออาวรณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
| + | สงสาองค์ภัศดาโศกาไลย จึ่งสั่งให้โหรดูชาตาดวง | ||
| + | โหรก็ลงเลขคำนวณทวนสอบไล่ แจ้งใจว่าพระเคราะห์นั้นใหญ่หลวง | ||
| + | พระชาตาก็ยังดีมีในดวง แต่เข้าห่วงรุมเห็นไม่เปนไร | ||
| + | จึ่งทูลสนองเสาวนีเทพีราช พระชัณษาไม่ถึงฆาฏแต่โรคใหญ่ | ||
| + | ด้วยราหูสู่ราษีจึ่งมีไภย เสวยอายุแต่ใกล้จะออกจร | ||
| + | ยังไม่ถึงอับจนพระชนมาน เกล้าหม่อมฉานสอบดูตามครูสอน | ||
| + | โหรสี่นายพร้อมถวายพยากรณ์ ให้บังอรปิ่นสุรางค์ส่างโศกา | ||
| + | ฝ่ายเชียงเมี่งหมอบอยู่กับโหรเฒ่า ว่าข้าพเจ้าจะสอบพระชัณษา | ||
| + | ทำลงเลขคุณหารตามตำรา ทูลแก่อรรคชายาจอมนารี | ||
| + | ว่าอันองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ค้นดูทั่วในตำราว่ายืนที่ | ||
| + | คงสู่สวรรค์ในเจ็ดวันเจ็ดราตรี พระภูมีไม่ตลอดเจ็ดวันไป ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ จอมอนงค์องค์มิ่งมเหษี ฟังวาทีเชียงเมี่ยงไม่สงไสย | ||
| + | สำคัญว่าพระองค์ผู้ทรงไชย จะสวรรคาไลยในเจ็ดวัน | ||
| + | ทรงกรรแสงคร่ำครวญรัญจวนจิตร ์ ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์เจ้าไอสวรรย | ||
| + | ดำรัสสั่งชาวคลังสิ้นทั้งนั้น จ่ายเงินทองแพรพรรณออกแจกทาน | ||
| + | แก่ยาจกวรรณิพกคนชรา จัดเอมโอชโภชนากระยาหาร | ||
| + | เลี้ยงพระสงฆ์ทรงศีลทุกวันวาร ประกอบการกุศลกิจเปนนิจรัน | ||
| + | เจ็ดทิวาล่วงไปไม่สวรรคต พระทรงยศคลายพระโรคเกษมสันต์ | ||
| + | หายประชวรออกขุนนางได้ทุกวัน พระทรงธรรม์ตรัสถามเชียงเมี่ยงดู | ||
| + | เองทายไว้ว่าจะตายในเจ็ดวัน ก็เกินแล้วไฉนนั่นกูยังอยู่ | ||
| + | ฤาเองชังแช่งเล่นเปนสัตรู ที่ไม่ดีเอามาดูจะให้ตาย | ||
| + | เชียงเมี่ยงได้ฟังพระโองการ บังคมทูลภูบาลขยับขยาย | ||
| + | ว่าสารพัดสัตว์สิงทั้งหญิงชาย ที่จะตายพ้นเจ็ดวันนั้นไม่มี | ||
| + | นับแต่อาทิตย์นั้นถึงวันเสาร์ แม้นพระเจ้าจอมมุนินทร์ชินศรี | ||
| + | ก็นิพานในเจ็ดวันเจ็ดราตรี ทั้งปัถพีไม่พ้นตายในเจ็ดวัน ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน ฟังเชียงเมี่ยงว่าขานเห็นคมสัน | ||
| + | คลายโกรธาด้วยว่าจริงอย่างนั้น ไม่แปรผันผิดคำเชียงเมี่ยงเลย | ||
| + | มันแก้ไขไวว่องไม่ข้องขัด ช่างสันทัดจัดเจนจริงเจียวเหวย | ||
| + | แต่มิได้ออกพระโอษฐโปรดภิเปรย ทรงชมเชยในพระไทยไม่ตรัสดัง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ จะกลับกล่าวกระษัตราเมืองธานี แต่เสียทีพนันคนให้แค้นคั่ง | ||
| + | ทรงดำริห์จะแก้ไขใหม่สักครั้ง ทั้งเดินนั่งไสยาศน์ไม่ขาดคิด | ||
| + | ดำริห์ว่าจะพนันสิ่งใดดี นำบุรีมาขึ้นได้สมใจจิตร | ||
| + | อย่าเลยนะจะนิมนต์บรรพชิต ซึ่งสถิตย์ในยศถาราชาคณะ | ||
| + | ที่รู้ธรรมคัมภีร์บาฬีอรรถ เจนจัดแจ้งประจักษ์ในอักขระ | ||
| + | ชำนาญไล่ถามช้ำข้อธัมมะ เอาชนะกันที่จนพ้นปัญญา | ||
| + | ทรงดำริห์แล้วมิทันนาน เสด็จออกมีโองการสั่งให้หา | ||
| + | สังฆ์การีธรรมการคลานเข้ามา จึ่งมีพระบัญชาให้เผดียง | ||
| + | พระราชาคณะผู้รอบรู้อรรถ ที่สันทัดเล่าฦามีชื่อเสียง | ||
| + | จะให้ไปถามปัณหาท่าไล่เลียง โต้เถียงกันกับปราชญทวาลี | ||
| + | พระผู้เปนเจ้าองค์ใดจะอาสา ให้เข้ามาจะได้บอกให้ถ้วนถี่ | ||
| + | อย่าให้แพ้แก้สู้กู้บุรี สังฆ์การีธรรมการก็รีบไป | ||
| + | เผดียงถามตามโองการบรรหารสั่ง ทั่วทั้งธานีบุรีใหญ่ | ||
| + | ในกรุงนั่นสังฆ์การีมีหมายไป นอกกรุงให้ธรรมการส่งสารตรา | ||
| + | เผดียงถามตามพระสงฆ์ดำรงยศ ทั่วทั้งหมดน้อยใหญ่ให้ปฤษา | ||
| + | ท่านผู้ทรงบันดาศักดิ์ทุกวัดวา พระราชาคณะมีสามองค์ | ||
| + | พระญาณกิจทั้งพระประสิทธิไตรย พระวิไนยนายกเปนจอมสงฆ์ | ||
| + | สังฆ์การีพามาเฝ้าทั้งสามองค์ ทูลให้ทรงทราบว่าอาสาไป ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ แสนประสาทดสมนัศตรัสปราไส | ||
| + | ว่าเจ้าคุณกู้บุรีให้มีไชย โยมจะได้เกียรติยศปรากฎมี | ||
| + | พระราชทานบาตรไตรบริขาร เครื่องสักการสารพัดจัดตามที่ | ||
| + | ให้อาลักษณ์แต่งสารเปนไมตรี บรรณาการของดีดีให้จัดไป | ||
| + | พระดำรัสให้ร่างราชสาร อาลักษณ์จานจารึกงามผ่องใส | ||
| + | ลงสุวรรณบัตรแผ่แผ่นอุไร มอบราชทูตไปลงนาวา | ||
| + | ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ผู้ทรงยศ ก็มาหมดลงสำเภาทอดที่ท่า | ||
| + | ได้ฤกษ์ให้ใช้ใบออกเภตรา แล่นมาในท้องสมุทจนสุดแดน | ||
| + | สำเภาทั้งห้าร้อยแล่นลอยล่อง ฝ่าฟองชาคลื่นกว่าหมื่นแสน | ||
| + | ได้ลมดีในนทีไม่ขาดแคลน มาตามแผนที่ต้นหนดลบุรี | ||
| + | ถึงด่านปากน้ำอ่าวบอกข่าวแจ้ง เหมือนคราวก่อนที่แถลงเมื่องครั้งหนึ่ง | ||
| + | ขุนนางในกรมท่าทราบคดี กราบทูลว่าทูตธานีกลับเข้ามา | ||
| + | ข่าวว่ามีราชสารการพนัน ขอพระองค์ทรงธรรม์จอมนาถา | ||
| + | จงทราบใต้ฝ่าธุลีในกิจจา ควรมิควรพระบาทาปกเกล้าบัง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร ทรงฟังทูลว่าทูตมาให้แค้นคั่ง | ||
| + | เจ้าเซ้าซี้ของพนันกันอีกครั้ง เนื้อความยังไม่รู้เรื่องเมืองธานี | ||
| + | จึ่งสั่งเจ้าพนักงานจัดการรับ ให้เสร็จสรรพเชิญราชสารศรี | ||
| + | ตามธรรมเนียมเตรียมรับทูตธานี เรือกระบี่เรือเห่แลหลามชล | ||
| + | ถึงท่าวังตั้งแห่งราชสาร ทูตเชิญพานทองพระราชอนุสนธิ์ | ||
| + | ถึงพระโรงเข้าเฝ้าเจ้าจุมพล ถวายบังคมสิ้นทุกคนฟังโองการ | ||
| + | กรมท่าทูลเบิกทูกทั้งหลาย พวกทูตก็ถวายราชสาร | ||
| + | ทรงรับมอบพระอาลักษณ์พนักงาน ให้คลี่อ่านสารศรีที่มีมา | ||
| + | ในลักษณพระราชสาร ของภูบาลธานีมียศถา | ||
| + | ขอเจริญไม่ตรีพระพี่ยา ยังภาราทวาลีบุรีรัตน์ | ||
| + | ด้วยได้ข่าวเาฦาระบือเลื่อง ว่าในเมืองมีปราชญ์รู้เจนจัด | ||
| + | จึ่งให้ราชาคณะทั้งสามวัด มาถามอรรถบาฬีคัมภีร์ธรรม | ||
| + | พระเชษฐาถ้าได้ไชยชำนะ ขอคารวะขึ้นบุรีอุปถัมภ์ | ||
| + | ถวายหิรัญมาลาบาบุบผาคำ ไม่เกินก้ำจะเปนข้ากว่าวายปราณ | ||
| + | ถ้าปราชญ์เมืองธานีนี้ชำนะ จงสละนิวาศราชฐาน | ||
| + | มาขึ้นเมืองธานีตามบุราณ มอบสักการรัชฎามาลาทอง | ||
| + | แผ่เขตขัณฑ์ธานีบุรีราช ให้อำนาจสิทธิการงานทั้งผอง | ||
| + | เปนพื้นเดียวเนื่องแดนดังแผ่นทอง จะได้ครองบุรีรัตน์กำจัดไภย ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงภพฟังจบสาร ปฏิสัณฐารสามนัดตรัสปราไส | ||
| + | ตามธรรมเนียมทูตาอันมาไกล ดำรัสให้รออยู่พักสักสามวัน | ||
| + | จะแต่งที่พระกระวี่ถามปัณหา ให้งามตาเปนเกียรติยศใหญ่มหันต์ | ||
| + | แต่นักปราชญ์ผู้ฉลาดรอบรู้ธรรม์ จะจัดสรรมาถามสู้ดุสักครั้ง | ||
| + | ราชทูตก็คำนับรับโองการ ถวายบังคมภูบาลคลานถอยหลัง | ||
| + | มาข้างนอกออกไปจากในวัง ก็มายังท่าจอดทอดนาวา ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร ให้อาดูรทรงโทมนัศา | ||
| + | ว่าเหลือปัญญาจะสู้กู้บูรี ไม่รู้ที่วิสัชนาปัญญาสูญ | ||
| + | ให้อ้นอั้นตันใจได้อนุกูล ช่วยกราบทูลแก้ไขอย่าให้เคือง | ||
| + | ว่ากระษัตริย์ธานีนี้พาลา รบพันนครานี้ร่ำไป | ||
| + | จึ่งดำรัสสั่งเจ้าพนักงาน สังฆ์การีธรรมการหมอบไสว | ||
| + | ให้ทำหมายรายแจกทุกวัดไป ราชาคณะองค์ใดจะรับพนัน | ||
| + | แปลอักขรกับพระเมืองธานี กู้บุรีคุ้มประเทศทั่วเขตรขัณฑ์ | ||
| + | ถามบรรดาที่ชำนาญการอรรถธรรม์ กูนัดไว้สามวันแก่ทูตมา | ||
| + | ในกรุงให้สังฆ์การีเผดียงถาม ทุกอารามพระสงฆ์ทรงยศถา | ||
| + | นอกกรุงให้ธรรมการแจ้งกิจจา เที่ยวปฤกษาเผดียงถามความพนัน | ||
| + | สังฆ์การีธรรมการคลานออกมา ถามพระราชาคณะขมีขมัน | ||
| + | แต่รู้บาฬีคัมภีร์ธรรม์ ในสามวันบอกเข้ามาอย่าช้าการ | ||
| + | ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาราชาคณะ แจ้งในพระประสงค์เจ้าจอมสถาน | ||
| + | ต่างก็กลัวปราไชยใจรำคาญ บอกสังฆ์การีธรรมการให้กราบทูล | ||
| + | สังฆ์การีธรรมการทราบสารเสร็จ ทูลว่าพระขามเข็ดแต่ทราบเรื่อง | ||
| + | ไม่มีใครเป็นคู่สู้แขกเมือง พูดปลดเปลื้องออกตัวกลัวเต็มที ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร ฟังทูลให้อาวรณ์เศร้าหมองศรี | ||
| + | เสียพระไทยเกรงจะแพ้ทูตธานี จะได้ใครกู้บุรีให้ชนะ | ||
| + | จึ่งดำรัสปฤกษากับเชียงเมี่ยง เองจะเถียงถามธรรมได้ไหมหวะ | ||
| + | เชียงเมี่ยงก้มเกษาคารวะ ทูลว่าเกล้ากระหม่อมจะอาสาไป | ||
| + | ถามปัญหาในคัมภีร์ยาฬีอรรถ สู้สักนัดมิได้หนีคัมภีร์ไหน | ||
| + | ลาบรรพชาจึ่งมีไชย แม้นโปรดให้บวชเปนสงฆ์คงได้การ ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
| + | |||
==== ==== | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
การปรับปรุง เมื่อ 16:03, 1 กันยายน 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ไม่ปรากฏ
บทประพันธ์
| ๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชย | บุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา | ||
| หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญา | กู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที | ||
| ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถาน | ป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี | ||
| บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดี | นามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร | ||
| ชนชาวภารากว่าห้าแสน | เนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน | ||
| ตั้งเคหารายรอบขอบนคร | ราษฎรแสนศุขสนุกสบาย | ||
| ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชา | สมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย | ||
| ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้าย | ไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท | ||
| พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้า | ดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่ | ||
| พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาใน | ม้ารถคชไกรทหารเดิน | ||
| สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์ | หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ | ||
| โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลิน | รุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา | ||
| ส่วนพระจอมเทพีศรีสมร | นามกรซื่อสุวรรณบุบผา | ||
| ทรงโฉมประโลมใจไนยนา | เปนใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน | ||
| ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า | โขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว | ||
| เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายใน | บำเรอไทธิบดินทร์นรินทร ฯ | ||
| ๏ ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราช | เปนครูฉลาดรอบรู้ธนูศร | ||
| ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจร | อิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี | ||
| เปนทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์ | เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ทั้งภรรยานงรามพราหมณี | รู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญ ฯ | ||
| ๏ ยังมีสองสามีภิริยา | ตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน | ||
| หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวน | เสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้ | ||
| ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์ | นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส | ||
| ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโต | ดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง | ||
| ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอ | จะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง | ||
| ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคือง | จึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์ | ||
| เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่ | จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร | ||
| เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์ | โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นท่านภรรยาพฤฒาเถ้า | ได้ฟังเล่าในฝันนั้นถ้วนถี่ | ||
| จึงทำนายทายฝันให้ยายปลี | ว่าจะมีบุตรชายปรีชาคำ | ||
| พูดจาแคล่วคล่องว่องไวนัก | รู้หลักลอดคนข้อคำขำ | ||
| เปนตลกหลวงดีมีคนยำ | ท่านจงจำไว้เถิดประเสริฐชาย | ||
| ส่วนยายปลีได้ฟังทำนายฝัน | ก็อภิวันท์ลามาด้วยสมหมาย | ||
| ประดับประคองท้องไว้ ไม่ระคาย | ค่อยสบายหายทุกข์เปนศุขใจ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นท่านพราหมณ์พฤฒาจารย์ | กลับมายังสถานที่อาไศรย | ||
| ฝ่ายภรรยาก็เล่าความตามทายไป | กลัวจะไม่ถูกตำราสามีตน | ||
| พฤฒาเถ้าฟังเล่าทำนายฝัน | หุนหันว่าเจ้าทายไม่เปนผล | ||
| บุตรเขาดีจะเปนที่เจ้านายคน | ทำนายผิดจะไม่พ้นอันตราย | ||
| อิกเจ็ดวันฟ้าจะผ่าศีศะเจ้า | นางฟังเล่าร้อนตัวกลัวใจหาย | ||
| ให้อัดอั้นสั่นระรัวทั่วทั้งกาย | ว่าท่านช่วยคิดอุบายให้พ้นไภย | ||
| ฝ่ายว่าทิศาปาโมกข์เถ้า | ช่วยแบ่งเบาทำตามคัมภีร์ไสย | ||
| ปั้นรูปพราหมณีใส่ชื่อใน | ไปตั้งไว้ห่างบ้านสถานตน | ||
| แล้วเอาขันครอบศีศะที่รูปปั้น | พอเจ็ดวันมืดกลุ้มคลุ้มเมฆฝน | ||
| ครั่นครื้นเสียงฟ้าคำรามรน | พอเม็ดฝนตกต้องลอองปราย | ||
| อสนีฟาดเปรี้ยงเสียงสท้าน | ผ่ากระบานรูปปั้นขนสลาย | ||
| พราหมณีก็รอดจากความตาย | ด้วยอุบายภัศดาพฤฒาจารย์ | ||
| จึงมิให้ใช้ขันรองน้ำฝน | ทุกตัวคนทั่วประเทศเขตรสถาน | ||
| กลัวฟ้าจะผ่าขันด้วยบันดาล | ตลอดกาลจนทุกวันท่านกล่าวมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | เลิศลบแดนไตรในใต้หล้า | ||
| ดำรงเมืองเรืองยศปรากฎมา | แสนสำราญโรคาไม่ยายี | ||
| ร่วมภิรมย์สมสวาดินาฎนาเรศ | ซึ่งเปนเกษกำนัลนารีศรี | ||
| นางทรงครรภ์สิบเดือนกำหนดมี | จวนจะคลอดเทพีรัญจวนใจ | ||
| ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าโทมนัศ | พร้อมแพทย์แออัดอยู่ไสว | ||
| หมอตำแยอยู่งานนางทรามไวย | เวลาได้ฤกษ์ประสูตรพระกุมาร ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมทวาลีบุรีราช | บรมนารถเห็นโอรสยอดสงสาร | ||
| จึงให้โหราพฤฒาจารย์ | ดูลักษณกุมารดวงชตา | ||
| คูณหารสอบสวนทบทวนไป | ก็แจ้งใจคืนวันพระชัณษา | ||
| จึงกราบทูลว่าองค์กุมารา | มีบุญญาธิการกล้าหาญครัน | ||
| มีเดชะอำนาจราชศักดิ | ปรปักษ์ทั่วทิศกลัวฤทธิพรั่น | ||
| แต่เลี้ยงเธอยากนักหนักอกครัน | ถ้าได้กุมารร่วมวันทันเวลา | ||
| เมื่อประสูตรโอรสยศไกร | หาให้ได้เหมือนกันกับชัณษา | ||
| มาเลี้ยงด้วยกันกับราชบุตรา | กุมาราจึงเจริญไม่มีไภย ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวัง | ได้ทรงฟังโหรแจ้งแถลงไข | ||
| จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาใน | เอาฆ้องไปตีประกาศราษฎร | ||
| ว่าผู้ใดคลอดบุตรเมื่อวันวาน | พระโองการต้องประสงค์อย่าเร้นซ่อน | ||
| จะทรงเลี้ยงเคียงดไนยไม่อาทร | ทั่วนครใครมีบุตรบุรุษชาย | ||
| จงบอกความตามจริงอย่านิ่งช้า | ข้าจะพาบุตรเจ้าเข้าถวาย | ||
| อำมาตย์ตีฆ้องพลางทางภิปราย | ถึงบ้านยายปลีที่ฝันขันพิกล | ||
| ความว่าเมื่อภรรยาพฤฒาเถ้า | ทำนายฝันตามเล่าซึ่งเหตุผล | ||
| ยายปลีมีครรภ์ได้สิบเดือนดล | คลอดบุตรตนเปนชายโฉมโสภา | ||
| ฤกษ์ยามเวลาก็พร้อมกัน | กับจอมขวัญประสูตรโอรสา | ||
| เมื่ออำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวมา | ตกประหม่าไม่มีขวัญตัวสั่นงก | ||
| ครั้นจะนิ่งปิดความว่าไม่มี | พระองค์ทราบคดีว่าโกหก | ||
| จะลงโทษกายระบมตรมอกฟก | นึกแล้วอุ้มทารกมาบอกความ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเสนาข้าราชการ | ฟังว่าขานสอบไล่ซักไซ้ถาม | ||
| รู้แน่ว่าเด็กนั้นพร้อมฤกษ์ยาม | กับโอรสจอมสยามทวาลี | ||
| จึงรับเอากุมารามาถวาย | ทูลดังยายมารดาว่าถ้วนถี่ | ||
| ฝ่ายพระจอมภาราทวาลี | ฟังวาทีเสวกาปรีดาครัน | ||
| โปรดให้หานางนมแลพี่เลี้ยง | ประคองเคียงรักษาทารกนั่น | ||
| ให้โอรสอย่างไรก็ให้ปัน | แก่กุมารคนนั้นเหมือนกันมา | ||
| จนสองกุมารชัณษาสิบห้าปี | โปรดให้เรียนตระบองกระปิติศึกษา | ||
| กระบวนรบครบอย่างขี่ช้างม้า | พุ่งสาตรายิงแทงแผลงธนู | ||
| อิกให้เรียนไตรเพทเวทมนต์ขลัง | คงจังงังทรหดอดทนสู | ||
| แคล้วคลาศสารพัดหัดให้รู้ | ทรงเอนดูสองราเมตตานัก | ||
| ครั้นอยู่มาจอมประชาชราร่าง | โรคหลายอย่างก่อกวนประชวรหนัก | ||
| ตรัสเรียกสองดไนยผู้ยอดรัก | มอบมไหไตรจักรใครอบครอง | ||
| ประทานราโชวาทประสาทให้ | รักใคร่อย่าเดียดฉันกันทั้งสอง | ||
| อย่าข่มเหงต่อยตีเหมือนพี่น้อง | เจ้าปรองดองสองรารักษาเมือง | ||
| แม้นว่าน้องพ้องผิดโทษถึงฆ่า | ได้เมตตาปัดเป่าให้เบาเปลื้อง | ||
| อย่าขุ่นแค้นฆ่าฟันเลยขวัญเมือง | ถ้าขัดเคืองอดออมถนอมกัน | ||
| หนึ่งขุนนางข้าเฝ้าเหล่าทั้งหลาย | จงแจกจ่ายเบี้ยหวัดดูจัดสรร | ||
| ผู้ใดมีความชอบตอบรางวัล | ให้แบ่งปันสนองคุณการุญรัก | ||
| เงินตราผ้าพานทองคำให้ | เครื่องกาไหล่เครื่องถมแลสมปัก | ||
| เสลี่ยงแคร่กระบี่สายสพายสพัก | สมยศศักดิความชอบจงตอบแทน | ||
| ราษฎรทั่วประเทศในเขตรขัณฑ์ | อย่าเบียนมันให้ทุกข์ร้อนค่อนแค่น | ||
| จงเมตตาคนจนขัดสนแกน | ทุกด้าวแดนให้เปนศุขสนุกใจ | ||
| สมณะชีพราหมณ์อย่าหยามหยาบ | เกรงกลัวบาปละปลดอดจิตรให้ | ||
| ควรบำรุงสงเคราะห์สักเพียงไร | ก็จงให้พองามตามศรัทธา | ||
| หนึ่งข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่ง | แม้นระแวงราชกิจผิดนักหนา | ||
| จะลงโทษก็ให้ต้องตามอาชญา | ฤาหนึ่งถ้าทัณฑกรรมทำพอควร | ||
| อย่ามากมูลโทษะมนะผิด | ควรคิดโดยระบอบสอบไต่สวน | ||
| ควรเฆี่ยนควรขังเชือกหนังทวน | จำโซ่ตรวนขื่อคาอย่าทำเกิน | ||
| พ่อจำคำบิดาสั่งตั้งความสัตย์ | แม้นปฏิบัติชื่อตรงคงสรรเสริญ | ||
| ราชการภาราพ่อพย่าเมิน | อย่าหลงเพลินนางในไม่ได้การ | ||
| พระโอรสฟังโองการประทานสอน | โอนอ่อนเศียรคำนับรับสั่งสาร | ||
| ทั้งราชบุตรบุญธรรมก้มกราบกราน | รับโอวาทซึ่งประทานด้วยเศียรตน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์จอมเจิมเฉลิมโลก | ประชวรโรคแรงกล้าดังห่าฝน | ||
| สิ้นกำลังลมปราณเหลือทานทน | สวรรคตอยู่บนพระแท่นทอง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเสวกามหามาตย์ | เกลื่อนกลาดแออัดจัดสิ่งของ | ||
| เครื่องสูงแตรสังข์พระโกษฐทอง | จ่าปี่จ่ากลองเรียกร้องมา | ||
| กลองชนะเบิงมางวางเตรียมไว้ | ชั้นแว่นฟ้ารีบไปยกคอยท่า | ||
| คู่เคียงพระสเลี่ยงเทวดา | โปรยมาลาเข้าตอกบอกมาคอย | ||
| พระสงฆ์นำน่าฉานอ่านหนังสือ | สังฆ์การีวิ่งปรื๋อไม่ล้าถอย | ||
| เผดียงราชาคณะวัดพระลอย | ไวไวหน่อยเถิดเจ้าคุณวุ่นเต็มที | ||
| ฝ่ายว่าราชาคณะพระญาณสิทธิ์ | ซึ่งสถิตย์วัดพระลอยก็เร็วรี่ | ||
| รีบครองผ้าเรียกศิษย์ได้ตามมี | สังฆ์การีพามาพักคอยชักนำ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจึงพระราชกุมาร | เชิญพระศพสรงสนานจนจวนค่ำ | ||
| มาลาภูษาถวายเครื่องทรงประจำ | เครื่องต้นล้วนทองคำลงยาดี | ||
| ทรงเครื่องต้นเสร็จสรรพสำหรับกระษัตริย์ | เชิญเข้าโกษฐเนาวรัตน์มณีศรี | ||
| ประโคมแตรสังข์สนั่นลั่นดนตรี | กลองชนะพร้อมตีเสียงมี่วัง | ||
| ฝ่ายพวกกระบวนแห่เสียงแซ่ซ้อง | ตั้งกระบวนเปนกองคอยรับสั่ง | ||
| ได้เวลาพระศพออกจากวัง | ดูสพรั่งกระบวนแห่แลหลามมา | ||
| พวกตั้งชั้นแว่นฟ้าเสนาภิมุข | ชาดสีสุกทาซ่อมที่คร่ำคร่า | ||
| ช่างรักปิดทองผ่องจับตา | ช่างกระจกประดับประดาที่ชำรุด | ||
| เครื่องแก้วตั้งคลังพิมานอากาศจัด | ศุภรัตขนผ้าไตรอุตลุด | ||
| รักษาองค์เติมน้ำมันฟันชุด | รายกันจุดอัจกลับสับสนครัน | ||
| แห่พระศพถึงที่นั่งมังคลา | เชิญตั้งแท่นแว่นฟ้างามเฉิดฉัน | ||
| เรียงรอบเครื่องสูงลายสุวรรณ | จามรทานตวันพัดโบกราย | ||
| กลิ้งกลดบดบังพระสุริยนต์ | หักทองขวางห้าชั้นอิกชุมสาย | ||
| แว่นทองปักกระเสตขันทองพราย | บุบผาพวงห้อยรายกลิ่นขจร | ||
| ข้าราชการกราบราบศิโรตม์ | ถวายบังคมบรมโกษฐสท้อนถอน | ||
| ฤไทยโทมนัศาให้อาวรณ์ | พิไรรักภูธรสิ้นทุกคน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระราชโอรสยศไกร | เสด็จมาโศกาไลยพิไรบ่น | ||
| พระราชบุตรบุญธรรมก็ทุกข์ทน | น้ำสุชนไหลหลั่งนั่งโศกา | ||
| ครั้นจัดแต่งตั้งพระศพครบครัน | สดัปกรณ์นับพันไตรสิบห้า | ||
| พระสงฆ์เนื่องแน่นหลามตามชลา | พระราชาคณะได้ไตรทุกองค์ | ||
| เสร็จทำกุศลกิจอุทิศไป | ถวายไทชนกนารถราชหงษ์ | ||
| จึงสมเด็จโอรสยิ่งยศยง | เสด็จลงจากปราสาทลีลาศมา | ||
| พวกร้องไห้นางในก็ส่งเสียง | เสนาะสำเนียงว่าพระพุทธเจ้าข้า | ||
| พระร่มโพธิทองล่องสู่ฟ้า | เสด็จไปชั้นใดข้าจะตามไป | ||
| โอ้พระร่มโพธิแก้วลับแล้วลิบ | เสวยทิพพิมานสถานไหน | ||
| ข้าน้อยพยายามจะตามไป | ไม่ทิ้งไทนฤเบศร์เกษประชา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์ข้าราชการ | กับพระราชกุมารโอรสา | ||
| พร้อมกันกะเกณฑ์การฌาปนา | ทำมหาเมรุปราค์ตามอย่างยศ | ||
| สูงเส้นห้าวาสง่านาม | เมรุทิศงามสามสร้างต้องอย่างหมด | ||
| เมรุทองในเครื่องชั้นเปนหลั่นลด | ต้องแบบตามบททุกสิ่งอัน | ||
| ราชวัตรฉัตรทองฉัตรเงินนาก | แลหลากตั้งสลับลำดับคั่น | ||
| ฉัตรเบญจรงค์รายออกนอกอิกชั้น | ตลอดกั้นราชวัตรขนัดแนว | ||
| ราชวัตรฉัตรรายทางข้างถนน | ทางสถลที่จะแห่แลเปนแถว | ||
| โรงการเล่นเต้นรำทำเสร็จแล้ว | ท้องสนามกวาดแผ้วสอาดเตียน | ||
| โรงรำช่องระทาระดาดาษ | เอาแผงลาดหลังคาทาเครื่องเขียน | ||
| กั้นฉากวาดดูงามเรื่องรามเกียรติ์ | ล้วนแนบเนียนนน่าสนุกทุกโรงงาน | ||
| หกคเมนลอดบ่วงห่วงน้อยเสา | ติดต่อเข้าสามต่อสูงตะหง่าน | ||
| รำแพนเสาไต่ลวดสูงลิ่วทยาน | ตามอย่างงานบรมศพมีครบครัน | ||
| เตรียมการเสร็จทุกด้านงานกำหนด | เชิญพระโกษฐขึ้นรถแห่สนั่น | ||
| เข้าพระเมรุสมโภชสิบห้าวัน | ถวายพระเพลิงทรงธรรม์กระษัตรา | ||
| สมโภชพระอัฐิลอยอังคาร | เสร็จการเชิญอัฐิขั้นรัถา | ||
| แห่เข้าสู่พระนครา | เหล่าเสวกาโศกเศร้าเฝ้าพิไร | ||
| จึงประชุมมาตยามหาอำมาตย์ | จะยกราชโอรสครองกรุงใหญ่ | ||
| เห็นพร้อมกันต่างอำนวยอวยไชย | จึงหมายให้จัดราชาภิเศกการ | ||
| เกณฑ์กันทำการทุกด้านทาง | ตามอย่างขัติยามหาศาล | ||
| อภิเศกพระราชกุมาร | ให้ขึ้นผานทวาลีบุรีรมย์ | ||
| ถวายพระนามเหมือนพระราชบิดา | ว่าทวาลีราชองอาจสม | ||
| พระเดชาปรากฎยศอุดม | ครองบรมธานีศรีโสภา | ||
| จึงให้กุมารบุญธรรม์นั้นไปบวช | เล่าเรียนสวนพระคัมภีร์มีสิกขา | ||
| เปนสามเฌรอู่กับพระครูบา | จันทสุบิงสมญาพระอาจารย์ ฯ | ||
| ๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวช | ท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน | ||
| ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทาน | สามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์ | ||
| ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อ | สามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน | ||
| ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้น | มีปัญญามากครันแปลกกว่าคน | ||
| จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์ | ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น | ||
| ลองความรู้พระครูอาจารย์ตน | มาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน | ||
| ในบทปถมังดังเวหา | ที่สองว่าชาโตเนข้อขัน | ||
| คูชลามิคาลำดับกัน | เปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร | ||
| จัตวาติตานี้ที่สี่แถลง | แปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร | ||
| ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจน | พระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน | ||
| ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็น | ก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น | ||
| นั่งคิดนอนคิดให้มิดตัน | ต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ | ||
| บอกแก่สามเณรว่าคิดได้ | ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม | ||
| ดังเวหาคืองาช้างงอนงาม | ชาโตตามบทมาว่าคางคก | ||
| คูชลามิคาคือครุเก่า | ชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก | ||
| รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยก | ถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ | ||
| จัตวาตีตาตีรั้วบ้าน | ทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ | ||
| แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะ | ควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป | ||
| แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนา | มิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้ | ||
| เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจ | ชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยง | มาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง | ||
| ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิง | ถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก | ||
| เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำ | เห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก | ||
| กระบอกผูกพวงวางพลางถามทัก | กระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา | ||
| ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวง | บอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า | ||
| เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมา | พักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที | ||
| อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมาก | ข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่ | ||
| จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธี | แจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง | ||
| ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถาม | จึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง | ||
| แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลัง | แกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด | ||
| ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไป | จะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร | ||
| ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิ | ฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน | ||
| เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้ | พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน | ||
| พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้น | แม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร | ||
| สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่ง | ข้าจะรังวัลสบงอังสะให้ | ||
| แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจ | จะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว | ||
| ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวง | มิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว | ||
| ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัว | ให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน | ||
| ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่น | ชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น | ||
| แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกน | ถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร | ||
| ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนัน | จะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร | ||
| อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์ | เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี | ||
| สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้ | เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี | ||
| ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารี | ที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา | ||
| แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่ง | ไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า | ||
| จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามา | ไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ | ||
| ๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมด | พวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี | ||
| จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดี | ให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดี | ฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน | ||
| แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนัน | เอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง | ||
| จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพ | ไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง | ||
| แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียง | หมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชา | ได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ | ||
| เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้าน | อยากฟังคำให้การจะอย่างไร | ||
| จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามา | ตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน | ||
| เณรถวายพรองค์พระทรงไชย | ทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย | ||
| ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตาม | ข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย | ||
| จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวาย | อย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร | ||
| ตามีสักสี่ซ้าห้าบาท | เจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร | ||
| ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวร | เงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด | ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม | ||
| ก็รีบมากุฎีที่อาราม | ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได | ||
| ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน | เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให | ||
| ว่ามีพระโองการมาอย่างไร | ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา | ||
| รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วย | จึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า | ||
| แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมา | ให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ | ||
| ๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่ | สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé | ||
| ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจ | เราจะได้เงินตราไหนมาพอ | ||
| แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อน | เหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ | ||
| สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอ | จึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง | ||
| จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลัง | ขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ | ||
| อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่ | ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ | ||
| พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะ | ขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ | ||
| แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตน | ฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด | ||
| เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลด | อิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย | ||
| จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามาก | คนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย | ||
| ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อย | จะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว | ||
| จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการ | เณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่ | ||
| รีบสึกออกมาข้าจะใช้ | เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ | ||
| ๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยง | ได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน | ||
| เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกัน | ได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้า | หมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย | ||
| ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอย | ให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน | ||
| ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉัน | แพรพรรณปูนบำนาญประทานให | ||
| ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้ | เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน | ||
| อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถาน | เสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น | ||
| มิใคร่ได้มาหลายทิวาวัน | พระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา | ||
| ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้ | ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา | ||
| เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียา | ให้เสวยโภชนามามีรศ | ||
| ดำรัสว่าเองเอายามาให้กู | จะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ | ||
| เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนต | พระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน | ||
| ทูลแล้วลีลามาสู่บ้าน | เที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน | ||
| ไม่หายาทูลลามาแชเชือน | นอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม | ||
| คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไป | แสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา | ||
| เสวยเวลานั้นมีรศมาก | เพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา | ||
| ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยา | เชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี | ||
| จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่ | อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่ | ||
| ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้ | ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ | ||
| แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้ว | ไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด | ||
| แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศ | อาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ | ||
| ๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวาย | เพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง | ||
| อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลัง | ไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ | ||
| ๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอก | พูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม | ||
| มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความ | ไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย | ||
| ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัส | พระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย | ||
| เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ย | ทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ | ||
| ๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดช | สั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี | ||
| อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดี | พ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์ | ||
| กรมช้างผูกช้างพระที่นั่ง | ขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์ | ||
| เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรง | มีพระองการถามเสนาใน | ||
| ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์ | ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้ | ||
| อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้ | ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน | ||
| เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วย | จึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน | ||
| ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกิน | สรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่า | เคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม | ||
| แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความ | มันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร | ||
| จึงดำรัสความอื่นกับเสวกา | ทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน | ||
| พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวน | ตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน | ||
| ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่น | ขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น | ||
| ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป | ||
| สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจ | ทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่ | ||
| ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้ | ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลง | ของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า | ||
| ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนา | ยิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด | ||
| เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคน | พระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด | ||
| ได้อับอายขายหน้าโทมนัศ | จอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง | ||
| ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้า | โรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง | ||
| จันทสุบิงสมญากาละกะตัง | ถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ | ||
| ๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษา | บุตรนัดดาจะมีก็หาไม่ | ||
| พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไป | เสนาในกราบทูลพระกรุณา | ||
| ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพ | อัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา | ||
| จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกา | ศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ | ||
| จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนา | ช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน | ||
| แล้วรับสั่งให้สนมบริพาร | ไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้ | พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง | ||
| ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้อง | เดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด | ||
| จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้น | เปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด | ||
| พานางสนมมาที่ศพสถิตย์ | นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง | ||
| แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้ | มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง | ||
| สนมตอบว่าพระครูผู้มรณัง | มิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง | ||
| จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามา | ตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง | ||
| เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วง | ข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ที | เข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า | ||
| เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกา | ชลนาไหลนองสองแก้มคาง | ||
| ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ย | สิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง | ||
| เก้าปีมิได้พบสีกานาง | มาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง | ||
| เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่า | ไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง | ||
| มานอนตายในกุฎีทีในโลง | พ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย | ||
| ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้ | กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย | ||
| ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวย | เชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา | ||
| ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมา | ให้โศการักศพพระครูเฒ่า | ||
| อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้า | ทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ | ||
| ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายใน | ตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ | ||
| สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะ | ที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง | ||
| เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถา | ต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง | ||
| ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลออง | ไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์ | ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย | ||
| ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบาย | สั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว | ||
| ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการ | ถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว | ||
| แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้ว | รับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้ฟังว่า | เห็นนายชาติวิ่งมาจนเหื่อไหล | |||
| แจ้งว่าเหตุเพราะตีสนมใน | พระทรงไชยขัดเคืองเบื้องบาทา | |||
| ก็รีบเร้ามาเฝ้านเรนทร์สูร | ทรงบัณฑูรตรัสถามถึงโทษา | |||
| ว่าอีกเหล่านี้มีผิดอย่างไรมา | จึงไล่ตีกายาเปนริ้วรอย ฯ | |||
| ๏ เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึ่งทูลตามเหตุไปไม่ท้อถอย | |||
| พระอาญาล้นเกษาแห่งข้าน้อย | นางในทำไม่ต้องรอยพระโองการ | |||
| มีรับสั่งให้ไปร้องไห้ร่ำ | นั่งหัวเราะแทบค่ำครั้นหม่อมฉาน | |||
| ร้องไห้รักพระครูผู้อาจารย์ | กลับชื่นานสรวลเสเสียงเฮฮา | |||
| อยู่ที่นั่นหนุ่มหนุ่ม็มีมาก | คะนองปากเปนสนมไม่สมหน้า | |||
| หม่อมแนเห็นไม่ดีตีไล่มา | ควรมิควรพระอาญาเปนล้นพ้น ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงภพฟังจบเรื่อง | ให้ขัดเคืองนางในได้เหตุผล | |||
| จึ่งดำรัสตรัสด่าสิ้นทุกคน | ว่าไปทำลุกลนให้ได้อาย | |||
| เชียงเมี่ยงตีแต่เพียงนี้ยังไม่สา | มันฆ่าเสียก็ต้องตามกฎหมาย | |||
| ไปหัวเราะเยาะเย้าเจ้าผู้ชาย | โทษมึงถึงตายตามไอยการ ฯ | |||
| ๏ นางสนมได้ฟังพระกริ้วกราด | ก็ไม่อาจเถียงท้าต่อว่าขาน | |||
| แค้นเชียงเมี่ยงมิได้เหือดคิดเดือดดาล | ก้มคลานบังคมลามาทุกคน ฯ | |||
| ๏ อยู่มาวันหนึ่งพระจอมเวียง | เสวยเมี่ยงองค์หนึ่งเปนคำต้น | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงอมเมี่ยงทำพิกล | สี่คำดูล้นแก้มตุ่ยพอง | |||
| แล้วเอาน้ำมันทาแก้มไว้ | เลื่อมใสดุขันเปนมันย่อง | |||
| พระทรงศักดิตรัสทักว่าแก้มพอง | เองอมเมี่ยงฤาดูป่องผิดในตา | |||
| เชี่ยงเมี่ยงทูลว่าแก้มเกล้าหม่อมฉัน | ทาน้ำมันเลื่อมอยู่เองเป่งนักหนา | |||
| กรุงกระษัตริย์เคองขัดหัทยา | แต่ไม่ว่านิ่งแค้นในพระไทย ฯ | |||
| ๏ ล่วงมานานชานพระที่นั่งซุด | พระประสงค์จะให้ขุดซ่อมแปลงใหมè | |||
| สั่งให้หาเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ | ถอยคลานออกจากวังแล้วเที่ยวหา | |||
| สืบทุกแห่งหาคนปากแหว่งมา | ว่ามีพระบัญชาจะต้องการ | |||
| คนทั้งหลายจึ่งว่าเห็นผิดไป | จะทำไมคนปากแหว่งบอกทุกบ้าน | |||
| เชียงเมี่ยงว่าเรารับพระโองการ | ต่อพระโอษฐบรรหารให้เลือกค้น | |||
| ว่าแล้วจึ่งเที่ยวหาคนปากแหว่ง | หลายแแห่งบอกมาทุกถนน | |||
| พอครบถ้วนจำนวนสิบแปดคน | พาเข้าเฝ้าจุมพลจอมประชา ฯ | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรคนปากแหว่งมานักหนา | |||
| ดำรัสถามเชียงเมี่ยงมิได้ช้า | คนปากแหว่งนี้พามาทำไม | |||
| เชียงเมี่ยงกราบทูลพระกรุณา | โปรดให้หาปากง่ามก็หาได | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ยินเชียงเมี่ยง | กราบทูลเถียบอ้างรับสั่งดูอาจหาญ | |||
| ทรงพระสรวลว่ากูจะต้องการ | คนปากไม้ทำชานที่ซุดพัง | |||
| คนปากแหว่งเช่นนี้ไม่ประสงค์ | มึงใหลหลงพามาเหมือนบ้าหลัง | |||
| แล้วทรงเล่าให้เสนาข้าเฝ้าฟัง | ขุนนางทั้งปวงก็พากันหัวเราะ | |||
| พระทรงภพปรารภว่าอ้ายคนนี้ | มันอวดดีว่าปัญญามากมั่นเหมาะ | |||
| อย่าเลยนะจะให้แกงแร้งจำเภาะ | ให้มันกินจะได้เย้าะเย้ยประจาน | |||
| เพราะแร้งนันมนกินสุนักข์เน่า | ซากศพเก่าศพใหม่เปนอาหาร | |||
| อ้ายเชียงเมี่ยงกินเนื้ออันสาธารณ์ | ความคิดอ่านปัญญาคงอับน้อย | |||
| ทรงดำริห์แล้วสั่งวิเศษใน | หาแร้งแกงให้ ได้ ให้อร่อย | |||
| ใส่พริกเกินตำราอย่าให้น้อย | ให้มันเผ็ดเหื่อย้อยถึงเครื่องร้อน | |||
| วิเศษรับพระราชโองการ | ทำตามบรรหารไม่ย่อหย่อน | |||
| เสร็จใส่สำรับถวายพระภูธร | เตรียมไว้ก่อนคอยเชียงเมี่ยงจะมา ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงครั้นถึงเวลาเฝ้า | ก็รีบเข้าบังคมบาทนารถนาถา | |||
| ครั้นพระองค์อิศเรศเกษประชา | เห็นเชียงเมี่ยงเข้ามาดีพระไทย | |||
| จึ่งรับสั่งให้ยกสำรับมา | รับสั่งว่าเองจงกินแกงไก่ใหญ | |||
| กินเถิดอย่ากระดากลำบากใจ | กูสั่งให้ทำเลี้ยงเชียงเมี่ยงกิน ฯ | |||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้รับสั่ง | ถวายบังคมแล้วไม่ผันผิน | |||
| บริโภคแกงเผ็ดให้เข็ดลิ้น | เหม็นกลิ่นคาวมากแทบรากท้น | |||
| เนื้อก็เหนียวเคี้ยวไปไม่ใครขาด | เกรงอาญาจอมราชจึ่งไม่บ่น | |||
| แขงใจกินได้สามคำกล้าเหลือทน | ก็อิ่มเข้าร้อนรนเผ็ดเต็มท | |||
| ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา | เห็นเชียงเมี่ยงดูระอาริบอิ่มหนี | |||
| จึ่งรับสั่งถามพลันในทันที | อย่างไรนี่จึ่งไม่กินให้สิ้นชาม | |||
| ทั้งเหม็นคาวเหม็นสาบหลาบครั่นคร้าม | ทนได้สามคำเท่านั้นให้ตันตอ | |||
| พระภูบาลทรงพระสรวลสำรวลร่า | ว่าไก่ชราตัวใหญ่เนื้อเหนียวหนอ | |||
| เพราะมันกินสุนักข์เน่าเข้าไว้พอ | เองจึ่งท้อเข็ดขยาดไม่อาจกิน | |||
| เชียงเมี่ยงฟังรับสั่งรู้ว่าแร้ง | เอามาแกงลวงเล่นเหม็นไม่สิ้น | |||
| แค้นใจโกรธในพระเจ้าแผ่นดิน | จะแก้เผ็ดนึกจินตนาปอง | |||
| แล้วถวายบังคมลามาสู่บ้าน | ให้คลื่นเหียนซาบซ่านขนสยอง | |||
| เอามาะกรูดส้มป่อยดินสอพอง | ชำระปากตอท้องสอิดสเอียน | |||
| ถึงสามวันสี่วันเหม็นไม่หาย | ทั้งกลิ่นอายคาวขื่นให้คลื่นเหียน | |||
| ท้องไส้ขย่อนเขย่าเฝ้าอาเจียน | สอิดสเอียนเปนไข้ไปหลายวัน | |||
| พอคลายไข้อุส่าห์หาคี่แร้ง | ได้มาผสมแป้งสู้เพียรปั้น | |||
| ทำดินสอแท่งงามงามได้สามอัน | เอาไปถวายทรงธรรม์มิได้แคลง ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน | เห็นเชียงเมี่ยงยกพานดินสอแท่ง | |||
| มาถวายทรงรับไม่ระแวง | ทรงเขียนลองแห้งแห้งเส้นไม่มี | |||
| แล้วทรงจิ้มลิ้มเขฬาเลขาใหม่ | ก็มิได้เห็นเส้นเหมือนเช่นกี้ | |||
| ประหลาดฤไทยแต่ไม่ทรงพาที | ชวนเชียงเมี่ยงมาที่ทรงหมากรุก | |||
| เล่นกับเชียงเมี่ยงเสียงโกกก้อง | เชียงเมี่ยงร้องพูดเล่นเปนสนุกนี้ | |||
| ได้ทีเดินโดดโลดเข้ารุก | บ่ารุกเรือเม็ดเล็ดลอดกิน | |||
| ร้องโปกฉาดข้าบาทได้กินตัว | พระอู่หัวเลิศลบภพทั้งสิ้น | |||
| เปนปีนแขวงแต่พระแกงคูธริ้น | พระภูมินทร์ทราบเรื่องเคืองพระไทย | |||
| ทรงดำริห์ว่าจะฆ่าผ่าอกแล่ | โทษมันแก้เผ็ดล้อเปนข้อใหญ่ | |||
| แล้วหวนคิดปิตุรงค์ทรงฝากไว้ | ภูวไนยตรัสว่าอย่าฆ่าฟัน | |||
| แต่เคืองขุ่นมุ่นฤไทยมิไใคร่หาย | เพราะพระองค์อับอายให้อัดอั้น | |||
| เสด็จเข้าสู่พระแท่นแผ่นสุวรรณ | พระทรงธรรม์จะพาลผิดนิจกาล ฯ | |||
| ๏ ครั้นล่วงมาวันหนึ่งจอมประชา | ทรงจินตนาขะเสด็จสรงสนาน | |||
| ที่หาดทรายชายท่าชลาธาร | ทรงคิดอ่านเห็นจะได้ความผิดมี | |||
| จึ่งดำรัสแก่หมู่เสวกา | จงหาฟองไก่ไวอย่าอึงมี่ | |||
| ปิดเชียงเมี่ยงอย่าให้รู้หมู่เสนี | ไปฝังไข่ไว้ที่ในหาดทราย | |||
| พรุ่งนี้ให้ได้ไปแต่ช้าว | ข่าวคราวซ่อนไว้อย่าได้ขยาย | |||
| ๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์มาตยา | รับพระราชบัญชาออกจากเฝ้า | |||
| ให้ค้นหาไข่ไก่ไว้แต่เช้า | สั่งเบ่าให้ไปยังฝั่งชลา | |||
| ได้เวลาจอมนรินทร์ปิ่นประเทศ | เสด็จจากพระนิเวศน์ด้วยยศถา | |||
| ทรงเรือที่นั่งพร้อมหมู่เสวกา | เชียงเมี่ยงตามเสด็จมาในนัที | |||
| ถึงที่เสด็จประทับบนพลับพลา | มีบัญชาให้เล่นน้ำสนั่นมี่ | |||
| ดำรัสว่าให้กระตากคนละที | ให้ได้ไข่ทุกเสนีบรรดามา | |||
| ถ้าไม่ได้ ไข่ชูให้กูเห็น | จะเอาเปนความผิดมีโทษา | |||
| ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชบัญชา | ลงสู่ท่าดำน้ำก็ทำตาม | |||
| ผุดขึ้นนว่ากระตากมือชูไข่ | ต่างต่างได้คนละฟองร้องอึงสนาม | |||
| เชียงเมี่ยงดำแล้วผุดขึ้นมาตาม | ร้องระตูแจ้งความว่าไม่มี | |||
| เพราะเปนไก่ผู้หาฟองไม่ | แล้วก็ไล่จับพวกขุนนางขี่ | |||
| เที่ยวไล่จับสัตว์ในนัที | หมู่เสนีสำลักน้ำดำหนีไป ฯ | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | หมายมาดจะเอาผิดก็ไม่ได้ | |||
| เชียงเมี่ยงแก้คล่องด้วยว่องไว | พระทรงไชยกลับหลังยังนคร | |||
| แล้วทรงคิดจะเอาผิดแก่เชียงเมี่ยง | อย่าให้เลี่ยงข้างข้างเหมือนอย่างก่อน | |||
| จะให้ไปซื้อผ้าท้าวนคร | ทรงอนุสรแล้วเสด็จออกขุนนาง | |||
| ดำรัสใช้ ให้เชียงเมี่ยงไปซื้อผ้า | ลายโสภาตีนแต้มให้ได้อย่าง | |||
| เชียงเมี่ยงรับเงินตราออกมาพลาง | ถึงบ้านนอนไขว่ห้างเล่นสบาย | |||
| ครบเจ็ดวันจึงเามาเผ้าพระบาท | บรมนารถทักว่าเองไปไหนหาย | |||
| มามือเปล่ากูไม่เห็นได้ผ้าลาย | เที่ยวสบายเสียไม่หาฤาว่าไร | |||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึ่งทูลความว่าหม่อมแนหาไม่ได้ | |||
| ผ้าตีนแต้มเช่นตรัสดำรัสใช้ | เกล้ากระหม่อมเที่ยวไปทั่วตำบล | |||
| ถามผู้ใดก็ว่าแต้มแต่ด้วยมือ | ไม่อาจซื้อมาถวายเพราะขัดสน | |||
| ไม่มีแต้มด้วยเท้าแต่สักคน | ก็เปนคนใจจะวงพระโองการ | |||
| ฝ่ายพระจอมนครินทร์บดินทร์สูร | ได้ฟังทูลเชียงเมี่ยงดูอาจหาญ | |||
| ทรงตรองไปก็เห็นจริงนิ่งรำคาญ | หมายจะพาลผิดก็ไม่ได้สักครา ฯ | |||
| ๏ ยังมีเจ้าอธิการสมภารใหญ่ | ปลูกต้นไม้มีผลมากนักหนา | |||
| มะม่วงมะปรางมะทรางและพุดทรา | น้อยหน่าลำไยมะไฟมะเฟือง | |||
| แต่ผู้ใดใครมาขอไม่อยากให้ | หวงไว้จนผลงอมหล่นเหลือง | |||
| ถึงตัวท่านก็ไฉันกลัวจะเปลือง | ชาวบ้านเคืองคิดชังไปทั้งคาม | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเดินมาเห็นมะม่วง | ดกเปนพวงสุกเหลืองเรืองอร่าม | |||
| อยากใคร่ได้ไปถือเล่นงามงาม | แต่ครั่นคร้ามไม่ได้ขอนิ่งรอพลาง | |||
| แล้วขึ้นไปบนกุฎีพระชีเฒ่า | คุกเข่าร้องขอส้มกินบ้าง | |||
| เจ้าอธิการรู้เรื่องเคืองระคาง | เดินเข้ากุฎีกลางปิดประตู | |||
| เชียงเมี่ยงเห็นอาการสมภารแก่ | วิ่งแร่หนีตัวซ่อนหัวหู | |||
| คิดโกรธว่าขรัวนี้ทำไม่น่าดู | ให้ไม่ให้ก็ไม่รู้ ไม่พูดจา | |||
| เปนไรมิดีแล้วได้เห็นกัน | คิดให้ขันถีบขว้ำคะมำหน้า | |||
| ให้ได้แผลแก้แค้นด้วยปัญญา | ทำที่หน้าผากให้แตกได้แลกลำ | |||
| คิดแล้วกลับไปบ้านสถานตน | หาหมากผลพลูซองลองขรัวคร่ำ | |||
| ให้เมียทำไก่พะแนงแกงต้มยำ | แล้วใส่สำรับมาให้พระสมภาร | |||
| ขึ้นกุฎีก้มกราบหมาอบราบพื้น | บอกว่าคืนนี้รับสั่งให้ดีฉาน | |||
| มาเผดียงเจ้าคุณพระอาจารย์ | นิมนต์ท่านไปตั้งราชาคณะ | |||
| ฝ่ายขรัวเฒ่าเขลาปัญญาว่าสาธุ | มาได้ที่เมื่ออายุมากนะจะ | |||
| เชียงเมี่ยงตอบว่าเจ้าคุณบุญถึงละ | ดีฉันจะขอดูรู้ลายมือ | |||
| ในตำราว่าไว้จะได้ที่ | ฤามั่งมียศศักดิ์คนนับถือ | |||
| เปนที่เกรงหมอบเทาชื่อเล่าฦา | มีแจ้งในลายมือแลลายท้าว | |||
| สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศ | เชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว | |||
| แบให้ดูลายมือพูดยืดยาว | ทั้งลายท้าวไม่ระแวงนึกแคลงใจ | |||
| เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่น | ทำพูดกันให้สิ้นความสงไสย | |||
| ว่าลายมือลายเท้าที่ทายไว้ | ไม่แน่ใจเหมือนลายก้นต้นตำรา | |||
| จะดีชั่วแจ้งชัดเปนสัจจัง | ไม่พลาดพลั้งที่นั่งทับตำหรับว่า | |||
| พระอธิการฟังสารเชียงเมี่ยงว่า | ไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย | |||
| ว่าจะดูก้นเห็นฦกข้านึกอาย | เชียงเมี่ยงว่าไม่แพร่งพรายจะอายใคร | |||
| ดูแต่สองคนเท่านี้นี่ | ไปในที่ลับลี้ก็จะได้ | |||
| พระสมภารไม่แหนงเคลือบแคลงใจ | ก็พาไปห้องน้ำตามคำชวน | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงสมจิตรที่คิดหมาย | จะทำให้ได้อายนึกยิ้มสรวล | |||
| พอขรัวเฒ่าเข้าห้องต้องกระบวน | ทำทีด่วนว่าจะดูตามตำรา | |||
| ให้ขรัวเฒ่าแก่โก้งโค้งจะดูก้น | ถีบตะโพกหัวชนเข้ากับฝา | |||
| สมภารหน้าผากแตกเวทนา | ร้องด่าอ้ายขี้ครอกบอกกล่าวพลาง | |||
| เชียงเมี่ยงก็ถีบซ้ำอีกสามที | แล้วจึงหนีลงบันไดไปข้างล่าง | |||
| ท่านสมภารล้มกลิ้งก็ยิ่งคราง | โลหิตไหลเปนทางนองกระดาน | |||
| กว่าจะนั่งขึ้นได้เปนนานช้า | เชียงเมี่ยงวิ่งหนีมาจนถึงบ้าน | |||
| คิดว่าโทษเรามีตีสมภาร | กินยารุให้พิการซูบผอมกาย ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายเจ้าอธิการเฒ่า | ปวดร้าวที่แผลหน้ามิใคร่หา | |||
| อุส่าห์ประคบทาไพลค่อยได้สบาย | ครบเจ็ดวันจึงคอยคลายเจ็บกายา | |||
| ครั้นความเจ็บบางเบาขรัวเฒ่าเถร | ฉันเพนแล้วห่มดองจึ่งครองผ้า | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรขรัวแก่ตรัสถามก่อน | |||
| ว่าคุณประสงค์บาตรเภสัชฤาจีวร | เครื่องนั่งนอนอย่างไรจงไขความ ฯ | |||
| พยุงเดินเข้าในวังเซซังมา | ถึงเข้าเฝ้าจอมนราประชากร ฯ | |||
| ๏ ครานั้นขรัวเฒ่าทูลเล่าเรื่อง | ที่ขัดเคืองมีผู้มาหยาบหยาม | |||
| อุบาสกคนหนึ่งพึ่งรุ่นงาม | มาแจ้งความว่าพระองค์ผู้ทรงไชย | |||
| ให้นิมนต์รูปมาตั้งราชาคณะ | แล้วทำรูปหน้าหวะโลหิตไหล | |||
| ได้ความร้อนรนเปนพ้นไป | เห็นเปนข้าจอมไทนราบาล ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนิเวศน์เกษประชา | ทรงฟังว่าข้าเฝ้าทำอาจหาญ | ||
| นึกฉงนจนพระไทยให้รำคาญ | พระโองการดำรัสว่าผู้ใดไป | ||
| ความที่ว่าฉันสั่งให้นิมนต์ | จะได้ใช้ใครสักคนก็หาไม่ | ||
| ผู้เปนเจ้าว่าข้าเฝ้าที่เคยใช้ | แม้นว่าจำหน้าได้จงชี้มา | ||
| เจ้าอธิการทูลว่าจำหน้าได้ | จึ่งโปรดให้ชี้ขุนนางอยู่พร้อมหน้า | ||
| พระเถรพิศดูหมู่เสนา | แต่บรรดาหมอบเฝ้าเจ้าจุมพล | ||
| จึ่งทูลว่าเสนาที่อยู่นี่ | มิใช่ที่คนทำรูปปี้ป่น | ||
| แต่คนทำนั้นก็ยังรู้จักตน | ได้สั่งสนทนาอยู่เปนครู่นาน | ||
| จึ่งดำรัสถามเหล่าเสนามาตย์ | ผู้ใดขาดไม่มาจงว่าขาน | ||
| ขุนนางทูลว่าเชียงเมี่ยงไม่พบพาน | ขาดเผ้าพระภูบาลมาหลายวัน | ||
| ได้ทรงฟังจึ่งรับสั่งให้หามา | เชียงเมี่ยงกินแต่ยาเพราะความพรั่น | ||
| ครั้นมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ผิวพรรณผิดหน้าตาโหลกลวง | ||
| ทั้งรูปกายผ่ายผอมดูพิกล | พระจุมพลจึ่งถามขรัวตาหลวง | ||
| ว่าคนนี้ฤาที่ไปฬ่อลวง | ขอมะม่วงแล้วข่มแหงเก่งกอแก | ||
| เจ้าอธิการทูลว่าคล้ายคนนี้ | แต่ท่วงทีผิดไปดูไม่แน่ | ||
| คนที่ไปลวงฬ่ทำตอแย | ล่ำกว่านี้คนนี้แก่กว่าคนนั้น | ||
| เชียงเมี่ยงจึงตอบว่าข้าพเจ้า | ขาดเฝ้าเพราะป่วยหลายวันคั่น | ||
| ไปไหนไม่ได้มาหลายวัน | พระทรงธรรม์ให้หามาในวัง | ||
| จึ่งค่อยแขงใจมาเฝ้าจอมราช | กลัวพระราชอาชญารักษาหลัง | ||
| จิตรใจยังโผเผเดินเซซัง | สมภารฟังเห็นไม่แน่ทูลลาไป ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงกระษัตราเมืองธานี | ครองบุรีนคเรศประเทศใหญ่ | ||
| พรั่งพร้อมรถอัศดรกุญชรไชย | ทหารเดินเนืองในพระภารา | ||
| มหไสูรย์มูลมั่งคั่งสมบัติ | แออัดฝูงชนล้นแน่นหนา | ||
| มีเรือเสาสำเภาเหล่านาวา | เรือลูกค้ามาจอดทอดเรียงราย | ||
| ราษฎรเปนศุขทุกตัวคน | ไม่ยากจนตั้งห้างวางของขาย | ||
| แสนสำราญมั่งคั่งทั้งหญิงชาย | ศุขสบายทั่วนครไม่ร้อนรน | ||
| ปรปักษ์ข้าศึกไม่นึกร้าย | ชนทั้งหบายเกรงพระเดชแสยงขน | ||
| ขอเปนข้าขอบขัณฑ์พรั่นทุกคน | บุบผาหิรญกาญจนามาคำนับ | ||
| พระเจ้ากรุงธานีบุรีราช | มีชายชาติหัวแขงแข่งคู่ปรับ | ||
| ศีศะล้านเลื่อมขันเปนมันรยับ | เที่ยวชนสู้มานับว่าหมื่นพัน | ||
| ท้าชนใครไม่มีผู้โต้ทาน | มะพร้าวตาลชนต้นก่นสบั้น | ||
| ศีศะแขงแรงคล้ายช้างน้ำมัน | เที่ยวพนันทุกเมืองเลื่องฦาชา | ||
| ชนมีไชยได้มาขิ้นบุรี | ยิ่งกว่าสี่สิบเมืองมากนักหนา | ||
| ทุกนครคลอนหัวกลัวระอา | ออกปากว่าหัวแขงเรี่ยวแรงครัน | ||
| วันหนึ่งจอมบุรีธานีราช | สถิตย์อาศน์แท่นทองตรองกระสัน | ||
| ว่าจะเอาศีศะล้านไปพนัน | ชนกันกับคนเมืองทวาลี | ||
| ด้วยข่าวเล่าฦาชาว่ามั่นคั่ง | เปนเอกราชทั่วทั้งบุรีศรี | ||
| มิได้ขึ้นเมืองใดในปัถพี | มั่งมีศฤงฆารโอฬารนัก | ||
| จำจะเอาหัวล้านไปพนัน | แข่งขันสู้เล่นให้เห็นประจักษ์ | ||
| ถ้าแพ้เราได้บุรีจะดีนัก | เปนศรีศักดิ์ฦาเลื่องกระเดื่องยศ | ||
| ดำริห์แล้วจึ่งเสด็จออกข้างน่า | สั่งเสนาให้หมายวันกำหนด | ||
| ที่จะไปพนันชนคนมีคต | ให้ปรากฎไว้ชื่อเลื่องฦาขจร | ||
| แต่งสำเภาเภตราสักห้าร้อย | เครื่องใช้สอยเงินตราและผ้าผ่อน | ||
| ของบรรณาการอย่างต่างนคร | บรรทุกตอนนาวาสารพัน | ||
| จงให้คนศีศะแขงตกแต่งกาย | ลงในท้ายบาหลีขมีขมัน | ||
| แต่งราชสารแจ้งการจะขอพนัน | ชนกันถ้าชนนะจะเอาเมือง | ||
| ถ้าศีศะล้นนบุรีธานีราช | พลั้งพลาดพ่ายแพ้ ในบาทเบื้อง | ||
| จะถวายสินพนันมิให้เคือง | อิกทั้งเมืองถวายขึ้นทวาลี | ||
| สั่งให้แต่งราชสารโองการเสร็จ | ก็เสด็จคืนเข้าปราสาทศรี | ||
| กรมวังหมายบอกสัสดี | จ่ายคนทุกน่าที่ลงสำเภา | ||
| กรมท่าจัดล้าต้าต้นหน | ลูกเรือขนเพลาไบมาใส่เสา | ||
| กว้านสมอช่อใช้ในสำเภา | เกลือเข้าของลำเลียงเสบียงทาง | ||
| พวกคลังขนบรรณาการส่าโหมดตาด | โตกถาดแพรผ้าหักทองขวาง | ||
| มอบให้นายใหญ่ใส่ระวาง | ฝ่ายขุนนางที่เปนทูตลงนาวา | ||
| ครั้นได้ฤกษ์ให้ออกสำเภาใหญ่ | ทั้งห้าร้อยแล่นไปออกจากท่า | ||
| มาในท้องทเลล้วนเภตรา | ตั้งหน้าต่อนครทวาลี | ||
| มาได้สองคืนโดยประมาณ | ก็ถึงด่านปกน้ำบุรีศรี | ||
| แจ้งความแก่นายด่านตามคดี | ว่าทูเมืองธานีมาคำนับ | ||
| ทำใบบอกมาในกรุงหวังต้อนรับ | เสมียนกับกรมการรีบเข้าไป | ||
| ถึงศาลาบอกนายเวรให้กราบเรียน | นำใบบอกที่เขียนมาส่งให้ | ||
| ว่านายช่วยกราบเรียนโดยเร็วไว | ให้เจ้าคุณผู้ใหญ่ทราบเหตุการ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นนายเวรในกรมท่า | ได้ฟังว่าเสร็จสิ้นในข่าวสาร | ||
| รับใบบอกรีบไปมิได้นาน | เรียนต่อท่านอธิบดีให้ทราบความ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าท่านเจ้าพระยาอธิบดี | ฟังวาทีนายเวรไม่เข็ดขาม | ||
| คลี่ใบบอกออกดูรู้ข้อความ | แล้วซักถามกรมการด่านปากน้ำ | ||
| ได้ความแน่ว่าทูตเมืองธานี | ถือพระราชสารศรีเปนข้อขำ | ||
| กับสำเภาใหญ่น้อยห้าร้อยลำ | แล้วจึ่งนำใบบอกขึ้นกราบทูล | ||
| ตามสำเนากรมการด่านเขื่อนขันธ์ | กราบทูลพระทรงธรรม์นเรนทร์สูร | ||
| ให้ทราบใต้บงกชบทมูล | จอมประยูรขัติยาเจ้าธานี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ | ทรงฟังจบข่าวทูตมากรุงศรี | ||
| ว่าจอมกระษัตริย์ครองสมบัติเมืองธานี | จะมาเจริญไมตรีใช้ทูตมา | ||
| ทรงดำริห์ในพระไทยสงไสย | ความ จะลวนลามฤาไฉนให้กังขา | ||
| ดีฤาร้ายเปนอย่างไรในสารา | ฤาจะท้ารบตีบุรีเรา | ||
| ทรงดำริห์แล้วดำรัสให้นัดวัน | ราชทูตตัวสำคัญให้เข้าเฝ้า | ||
| จงจัดการรับทูตนายสำเภา | อย่าให้เขาครหาด้วยมาไกล | ||
| ดำรัสสั่งแล้วเสด็จสู่ปรางค์มาศ | พระที่นั่งบัลลังก็อาศน์อันสุกใส | ||
| พระแท่นที่สุวรรณพรายข้างฝ่ายใน | สำราญฤไทยด้วยศฤงฆารผ่านบุรี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าท่านมหาเสนามาตย | รับพระราชโองการคลานจากที่ | ||
| สั่งให้หมายเกณฑ์คนสัสดี | เรือกระบี่วายุภักษ์ปักธงไชย | ||
| ทั้งเรือเชิญราชสารม่านทองปัก | ที่นั่งฉลักลายประกอบดูสุกใส | ||
| ดาดหลังคาลายแย่งแต่งลงไป | พิณพาทย์ให้ลงนาวานำน่ากระบวน | ||
| ถึงวันนัดจัดการพร้อมตามหมาย | เรียกฝีพายลงเรือครบเสร็จถ้วน | ||
| เรือแห่เตรียมเต็มตามจำนวน | เคลื่อนกระบวนลงไปรับทูตเข้ามา | ||
| ฝ่ายว่าทูตานุทูตนั้น | ก็พร้อมกันเข้าเฝ้าจอมนาถา | ||
| เชิญพานทองรองราชสารา | ถวายพระปิ่นขัติยาเจ้าธานี ฯ | ||
| ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรเห็นราชสารศรี | ||
| ทรงรับไว้มอบให้ศรีภูรี | ผู้ว่าที่พระอาลักษณ์มีศักดินา | ||
| ฝ่ายพระศรีภูรีศรีสาลักษณ์ | ถวายบังคมจุลจักรนารถนาถา | ||
| รับราชสารอ่านถวายตามสารา | ให้ทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ | ทรงจบในราชสารศรี | ||
| แล้วตรัสปฏิสันฐารทูตธานี | โดยคดีสามนัดแบบบุราณ | ||
| จึงดำรัสผัดว่าอีกเจ็ดวั | น จะเลือกสรรคนดูในราชฐาน | ||
| ที่จะพนันชนคนหัวล้าน | พอจัดการเตรียมพนันขันสู้ชน | ||
| ราชทูตก็ถวายบรรณาการ | แล้วทูลลาไปสถานให้ฝึกฝน | ||
| ศีศะล้านที่มาว่าจะชน | อย่าให้แพ้ล้านคนทวาลี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเจ้าเขตรขัณฑ์ | ทรงนัดวันแล้วเสด็จขึ้นเข้าที่ | ||
| ทรงวิตกการกู้พระบุรี | ในเมืองจะมีสู้เขาฤาเปล่าดาย | ||
| ทรงปรารมภ์พลางบรรธมบนแท่นรัตน์ | อัจกลับแสงจำรัสรุ่งเรืองฉาย | ||
| ระย้าแก้วแพรวพราวดังดาวพราย | พนักงานขับถวายมโหรี | ||
| แจ้วเจื้อยเฉื่อยฉ่ำยักลำส่ง | ฆ้องวงรนาดขลุ่ยตุ่ยต๋อยตี๋ | ||
| โทนน่าทับรับรำมนาตี | ซอจับปี่ซอยซ้ำเลียนงน้ำนวล | ||
| ลำพระทองร้องส่งประสานซอ | ขลุ่ยรับต่อกลมเกลี้ยงเสียงแหบหวน | ||
| จะเข้ดีดเตร๋งเตร่งเต๋งเต่งครวญ | กลับทบทวนไล่เดี่ยวเคี่ยวขับกัน | ||
| พระบรรธมบนพระแท่นแสนสบาย | น้ำค้างพรายจวนอุไทยเสียงไก่ขัน | ||
| นกดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยัน | แซ่สนั่นสกุณาทิชากร | ||
| หอมระรินกลิ่นผกาบุบผาเผย | แมลงภู่บินมาเชยวะหวี่ว่อน | ||
| แมลงผึ้งหึ่งหึ่งเปนหมู่จร | เคล้าเกสรเกลือกกลิ่นแล้วบินไป | ||
| พระองค์ฟื้นตื่นองค์สรงพระภักตร์ | ทรงเครื่องต้นสมศักดิ์ดูสุกใส | ||
| เสด็จออกที่นั่งโถงพระโรงไชย | เสนาในเฝ้าพระบาทดาษดา | ||
| จึ่งดำรัสว่ากษัตริย์เมืองธานี | ให้มีราชสารมานั้นขันนักหนา | ||
| จะขอพนันคนแลกภารา | ชนคนจนเกษาว่าชอบกล | ||
| แน่อำมาตย์ใหญ่น้อยจงเที่ยวหา | ศีศะล้านเอามาทุกถนน | ||
| มาประชุมน่าพระลานเลือกคู่ชน | เที่ยวหาค้นตีฆ้องป่าวร้องไป ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายอำมาตย์รับราชบรรหาร | ถวายบังคมก้มคลานหาช้าไม่ | ||
| ออกจากเฝ้ามาศาลามหาดไทย | แจกหมายให้หาตัวพวกหัวล้าน | ||
| ให้มาพร้อมที่ศาลามหาดไทย | จะถามดูผู้ใดจะอาจหาญ | ||
| ชนสู้แขกเมืองเลื่องฦาสท้าน | ตามที่มีราชสารมาท้าพนัน | ||
| ฝ่ายว่าพวกผมไร้ได้พึ่งหมาย | ต่างๆ มามากมายขมีขมัน | ||
| ประชุมพร้อมที่ศาลามากกว่าพัน | ต่างคนพรั่นหนีตัวกลัวระอา | ||
| ออกปากว่ากลัวนักพูดยักเยื้อง | แล้วเกรงเคืองเบื้องบาทนารถนาถา | ||
| จึ่งวิงวอนต่อท่านมหาเสนา | บ้างก็ให้เงินตราขอบนบาน ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจึ่งมหาเสนามาตย์ | เห็นเศียรล้านพานขลาดไม่อาจหาญ | ||
| สู้ไม่ได้ก็อย่าชนอย่าบนบาน | จะกราบทูลภูบาลผ่านธานี | ||
| ว่าหามาทั่วคนไม่ชนสู้ | แต่พอรู้ก็เกรงกลัวออกตัวหนี | ||
| ไม่เปนไรดอกกราบทูลแต่โดยดี | ด้วยไม่มีผู้อาสากล้าเข้าชน | ||
| ว่าแล้วก็เข้ากราบบังคมทูล | ตามมูลถามไถ่ได้เหตุผล | ||
| ว่าศีศะล้านกลัวระอาไม่กล้าชน | จอมจุมพลจงทราบพระบาทา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ฟังอำมาตย์ทูลโทมนัศา | ||
| ทรงดำริห์เกรงจะเสียพระภารา | จึ่งให้หาเชียงเมี่ยงมาเฝ้าพลัน | ||
| รับสั่งเล่าเรื่องจะชนคนผมน้อย | อมาตย์หากว่าร้อยแต่เลือกสรร | ||
| ไม่มีใครรับสู้คู่พนัน | มีแต่พรั่นออกตัวกลัวทุกคน | ||
| เองจะรับอาสาได้ฤาไม่ | กูร้อนใจเกรงจะอายขายหน้าป่น | ||
| แขกเมืองจะตรีชาว่าอับจน | เองเปนคนมีปัญญาปรีชาไวย | ||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึงทูลตามปัญญาอาสาได้ | ||
| แต่เพียงนี้ไม่สู้ยากลำบากใจ | หม่อมฉันนมิให้ขุ่นข้องลอองธุลี | ||
| แม้นแขกเมืองมีกำลังเจ็ดช้างสาร | จะหักหาญด้วยปัญญาไม่ล่าหนี | ||
| ฝ่ายพระจอมนคราทวาลี | ฟังวาทีเชียงเมี่ยงทรงโสมนัศ | ||
| จึ่งตรัสว่าต้องการสิ่งอันใด | ชาวคลังจงจ่ายให้อย่าได้ขัด | ||
| เลือกเอาตามใจให้ทันนัด | พระดำรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ | ถวายบังคมถอยคลานหาช้าไม่ | ||
| มาศาลาเวรหมายรายกันไป | ทุกนายไพร่ให้รู้พระโองการ | ||
| แด่บรรดาคนศีศะไร้เกษา | ให้เข้ามาพร้อมในพระราชฐาน | ||
| ราษฎรในนครที่หัวล้าน | รู้หมายรีบลนลานมาพร้อมกัน | ||
| ทั้งผู้คนชนบทหัวเมืองนอก | มีท้องตราแจ้งบอกทั่วเขตรขัณฑ์ | ||
| ทั้งนายไพร่เศียรโล่งโหม่งเปนมัน | ก็พากันมาหาเชียงเมี่ยงพร้อม | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นคนจนเกษา | ดูนานาหลากถ้วนทั้งอ้วนผอม | ||
| บ้างฉอกหลงดงช้งข้ามเปนเขาค้อม | สามหย่อมเปียแหยมแกมปนคละ | ||
| ผู้รับสั่งจึ่งประกาศตามโองการ | พระภูบาลให้เลือกคนชนศีศะ | ||
| ใครจะอาสาได้ให้ชนะ | พระองค์จะพระราชทานเงินทองยศ | ||
| ฝ่ายว่าพวกไร้เผ้าฟังเล่าหมาย | ทั้งไพร่นายอกตัวกลัวไปหมด | ||
| บ้างว่าแรงฉันน้อยถอยลด | บ้างว่างดฉันเสียเถิดแต่เกิดมา | ||
| ไม่เคยเห็นไม่เคยเล่นพนันชน | บ้างก็บนเงินทองสิ่งของผ้า | ||
| ลางคนบนคู่สนิทให้ธิดา | ว่าท่านได้กรุณาอย่าให้ขน | ||
| เชียงเมี่ยงพูดโลมเล้าเอาใจไว้ | จะเลือกแต่ได้ราชการอย่าพานบ่น | ||
| แล้วออกมาเลือกคนดูในหมู่คน | ดูพิกลต่างๆ หลายอย่างพรรณ | ||
| บ้างหัวล้านแต่รอบนอกมีผมกลาง | ตำราอ้างล้านน้ำเต้าเค้าดูขัน | ||
| ชนิดนี้แรงน้อยถอยทุกวัน | บ้างฉอกฉินเลี่ยมมันจับแก้วตา | ||
| เรียกว่าล้านเดือยไก่ใจคะนอง | พูดเล่นคล่องไม่ขัดจัดนักหนา | ||
| ถ้าอายุแก่เข้าเฒ่าชรา | มักเกิดโรคนานามายายี | ||
| บางคนล้านโขมนโกร๋นเกรียน | โล่งเลี่ยนแลเลื่อมเปนมันสี | ||
| มักใจน้อยเจ้าโทโสโอ่อวดดี | ถ้อยคำมีสำนวนชวนก่อความ | ||
| เชียงเมี่ยงเลือกคัดจัดคนใหม่ | อย่างที่ว่าใช้ไม่ได้สิ้นทั้งสาม | ||
| เลือกได้คนหนึ่งพีรูปดีงาม | ล่ำสันไม่เข็ดขามควรเปรียบชน | ||
| ศีศะพึ่งล้านใหม่ดูใสเศียร | ผมเกรียนเส้นเอียดพึ่งร่วงหล่น | ||
| หน้าดุร้ายกายดำขำกว่าคน | เห็นควรชนเชียงเมี่ยงว่าได้การ | ||
| จึ่งเบิกกระดาษมาฟันทำพวนหนัง | สำรับรั้งสี่เส้นทาหมึกประสาน | ||
| ติดขนควายรายทุกเส้นเห็นได้การ | แม้นใคร ดูก็ปานกับหนังพวน | ||
| แล้วจัดคนถือเชือกเส้นละร้อย | ล้วนแต่เกษาน้อยสี่ร้อยถ้วน | ||
| บอกกลอุบายให้รู้ขบวน | ครั้นวันจวนก็แต่งตัวพวกหัวล้าน | ||
| มีเรื่องแห่แตรสังข์พิณพาทย์ฆ้อง | ธงทองธงมังกรธงไชยฉาน | ||
| ให้เตรียมเสร็จคอยฤกษ์เวลากาล | น่าพระลานขบวนแห่แลแน่นยัด | ||
| แล้วให้เที่ยวตีฆ้องร้องประกาศ | จะอาบน้ำตัวราชสมบัติ | ||
| ใครกลัวไภยให้รักษาตัวระมัด | ระวังบ้านเรือนถ้าพลัดเข้าบ้านใด | ||
| เย่าเรือนจะทลายสลายหัก | จะฉุดชักไล่ห้ามปรามไม่ไหว | ||
| ด้วยมีแรงแขงกล้าเปนพ้นไป | เข้าบ้านใดยับย่อยไม่น้อยเลย | ||
| น่าต่างประตูดูปิดให้แน่นหนา | เมื่อเวลาลงน้ำอย่าเปิดเผย | ||
| รู้ทั่วกันอย่าเผลอเลินเล่อเลย | ใครไม่เคยเห็นรู้มาดูตัว | ||
| ราษฎรรู้ประกาศในมาดหมาย | ที่กลัวตายนอนซุ่มผ้าคลุมหัว | ||
| บ้างหลบลี้หนีนอนซุกซ่อนตัว | ที่เรือกรั้วไม่แน่นหนาผ่าไม้แซม | ||
| ชาวสำเภาโดยยินคำประกาศ | นึกขยาดคิดว่าจริงไม่รู้แต้ม | ||
| ก็เก็บงำสินค้าที่ราแรม | ขยายแย้มไว้แต่ช่องคอยมองดู ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นแดดอ่อนหย่อนแสง | ก็ตกแต่งราชสมบัติหมายจะสู้ | ||
| ผูกเชือกเองคู่ชนคนนอกครู | ทั้งสี่เส้นเกณฑ์หมู่คนมาชัก | ||
| จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อย | ก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซงแซ่หนัก | ||
| ทั้งซ้ายขวาน่าหลังเชือกรั้งชัก | แห่งมาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ | ||
| ราชสมบัติแขงขึงตึงเชือกไว้ | คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ | ||
| เชือกยวนขาดเปนท่อนซ้อนคะมำ | แล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย | ||
| ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติ | ให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย | ||
| ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชาย | มาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ | ||
| บ้างก็ขึ้นต้นไม่คอยมองดู | บ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่ | ||
| ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแล | เสียงเซงแซ่คนดูพรั่งพรูมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นราชทูตนายสำเภา | โฉดเขลาเห็นว่าแรงมากนักหนา | ||
| แต่พวนหนังรั้งขาดประหลาดตา | จึ่งปฤกษาคู่ชนคนสำคัญ | ||
| ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับ | ยังจะรับเปนคู่พนันขัน | ||
| ฤาจะสู้เขาไม่ได้ ให้บอกกัน | อย่าอึ้งอั้นแจ้งคามแต่ตามจริง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าล้านธานีบุรีราช | คิดขยาดกลัวใจให้เกรงกริ่ง | ||
| จึ่งบอกว่าสู้ไม่ได้ ให้ประวิง | เขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน | ||
| สู้ไม่ได้เปนแน่ตามแต่จะคิด | ไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น | ||
| ให้เกรงแต่จะแพ้แก้ไม่ทัน | จะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายราชทูตกับชขายนายสำเภา | เห็นเสียเค้าไม่ได้สมอารมณ์หมาย | ||
| จึ่งปฤกษาตามใจทั้งไพร่นาย | ว่าจะถวายสินพนันกันนินทา | ||
| ทูลว่าล้านมาด้วยป่วยเปนไข้ | ทูลลาไปไหนจะมีครหา | ||
| เห็นพร้อมกันพลยันนำเครื่องบรรณา | เข้าเฝ้าถวายจอมนรานรินทร | ||
| กราบทูลว่าคู่พนันนั้นเปนไข้ | ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน | ||
| ขอถวายสินพนันพระภูธร | จะลากลับยังนครนามธานี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ทรงฟังทูลเห็นประหลาดชั้นเชิงหนี | ||
| ทรงปราไสตามได้มีไมตรี | ทูตก็ลาพระจรลีลงนาวา | ||
| ให้ใช้ไปไปถึงพระบุรี | กราบทูลแจ้งคดีจอมนาถา | ||
| ให้ทราบใต้ลอองบาทลาดหนีมา | เหลือปัญญาที่จะชนพ้นกำลัง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองธานี | ทรงฟังทูตทูลว่าหนีให้แค้นคั่ง | ||
| ปรารภจะสู้มิได้หลีอีกสักครั้ง | พระไทยตั้งหมายมาดไม่ขาดวัน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเชียงญาณอยู่บ้านไร่ | ข่าวฦาไปว่าเชียงเมี่ยงปัญญาขยัน | ||
| คิดหมายลองปรีชาจะสู้กัน | ฤาว่ามันแหลมฉลาดจะลองดู | ||
| ตดใส่ปล้องไม้ไผ่แล้วอุดอัด | ออกจากบ้านลอดลัดมาหมายสู้ | ||
| ได้แปดวันดั้นป่ามาสืบดู | แต่ไม่รู้ว่าเชียงเมี่ยงนั้นคนใด | ||
| ครั้นเดินมาก็พบกับเชียงเมี่ยง | ถามชื่อเสียงโดยตัวว่าอยู่ไหน | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงถามว่าจะทำไม | มีธุระสิ่งใดถามหามัน | ||
| เชียงญาณพาซื่อไม่รู้จัก | หมายว่าคนอื่นซักไม่บิดผัน | ||
| จึงบอกว่าจะทดลงของสำคัญ | เชียงเมี่ยงจะรู้ทันฤางมงาย | ||
| ข้าตดใส่ปล้องไม้จะให้ดม | ถ้าดีจะสมาคมเปนสหาย | ||
| เชียงเมี่ยงว่าเจ้าอัดลมระบาย | มากี่วันกลิ่นจะคลายฤายังมี | ||
| จงเปิดดมดูก่อนถ้าหย่อนกลิ่น | จวนจะสิ้นจะได้เติมให้เต็มที่ | ||
| เชียงญาณฟังเห็นชอบว่าพูดดี | เปิดดมว่ายังมีกลิ่นมากนัก | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นว่างมต้องดมตด | ว่าเองชาวชขนบทไม่รู้จัก | ||
| กูและชื่อเชียงเมี่ยงซึ่งถามทัก | เองประจักษ์แล้วฤาไม่ไอ้โง่เคอะ | ||
| มึงหมายมาว่าจะให้กูดมตด | มึงดมเองให้หมดกลับไปเถอะ | ||
| กูชาวในลวงไม่ได้แล้วไอ้เซอะ | อ้ายบ้านนอกโล่เบอะน่าถองซ้ำ | ||
| เชียงญาณครั้นรู้ว่าเชียงเมี่ยง | ไม่โต้เถียงวาจาก้มหน้าคว่ำ | ||
| นึกน้อยใจเจ็บอกเหมือนฟกช้ำ | กลับไปบ้านจิตรระกำคลุมหัวนอน | ||
| คิดคิดก็ยิ่งแค้นแสนอดสู | มาเสียรู้เชียงเมี่ยงให้ถอดถอน | ||
| ถ้าแก้แค้นไม่ได้ ไม่อยู่นคร | จะเที่ยวซุกซอนนิ่งนอนตาย ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงระผู้ผ่านทวาลี | ประชวรโรคมากทวีมิใคร่หาย | ||
| พระอาการพานมากลำบากกาย | แทบจะวายชีวาพิราไลย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระอรรคเทพีศรีสมร | เธออาวรณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
| สงสาองค์ภัศดาโศกาไลย | จึ่งสั่งให้โหรดูชาตาดวง | ||
| โหรก็ลงเลขคำนวณทวนสอบไล่ | แจ้งใจว่าพระเคราะห์นั้นใหญ่หลวง | ||
| พระชาตาก็ยังดีมีในดวง | แต่เข้าห่วงรุมเห็นไม่เปนไร | ||
| จึ่งทูลสนองเสาวนีเทพีราช | พระชัณษาไม่ถึงฆาฏแต่โรคใหญ่ | ||
| ด้วยราหูสู่ราษีจึ่งมีไภย | เสวยอายุแต่ใกล้จะออกจร | ||
| ยังไม่ถึงอับจนพระชนมาน | เกล้าหม่อมฉานสอบดูตามครูสอน | ||
| โหรสี่นายพร้อมถวายพยากรณ์ | ให้บังอรปิ่นสุรางค์ส่างโศกา | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่งหมอบอยู่กับโหรเฒ่า | ว่าข้าพเจ้าจะสอบพระชัณษา | ||
| ทำลงเลขคุณหารตามตำรา | ทูลแก่อรรคชายาจอมนารี | ||
| ว่าอันองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว | ค้นดูทั่วในตำราว่ายืนที่ | ||
| คงสู่สวรรค์ในเจ็ดวันเจ็ดราตรี | พระภูมีไม่ตลอดเจ็ดวันไป ฯ | ||
| ๏ จอมอนงค์องค์มิ่งมเหษี | ฟังวาทีเชียงเมี่ยงไม่สงไสย | ||
| สำคัญว่าพระองค์ผู้ทรงไชย | จะสวรรคาไลยในเจ็ดวัน | ||
| ทรงกรรแสงคร่ำครวญรัญจวนจิตร ์ | ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์เจ้าไอสวรรย | ||
| ดำรัสสั่งชาวคลังสิ้นทั้งนั้น | จ่ายเงินทองแพรพรรณออกแจกทาน | ||
| แก่ยาจกวรรณิพกคนชรา | จัดเอมโอชโภชนากระยาหาร | ||
| เลี้ยงพระสงฆ์ทรงศีลทุกวันวาร | ประกอบการกุศลกิจเปนนิจรัน | ||
| เจ็ดทิวาล่วงไปไม่สวรรคต | พระทรงยศคลายพระโรคเกษมสันต์ | ||
| หายประชวรออกขุนนางได้ทุกวัน | พระทรงธรรม์ตรัสถามเชียงเมี่ยงดู | ||
| เองทายไว้ว่าจะตายในเจ็ดวัน | ก็เกินแล้วไฉนนั่นกูยังอยู่ | ||
| ฤาเองชังแช่งเล่นเปนสัตรู | ที่ไม่ดีเอามาดูจะให้ตาย | ||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังพระโองการ | บังคมทูลภูบาลขยับขยาย | ||
| ว่าสารพัดสัตว์สิงทั้งหญิงชาย | ที่จะตายพ้นเจ็ดวันนั้นไม่มี | ||
| นับแต่อาทิตย์นั้นถึงวันเสาร์ | แม้นพระเจ้าจอมมุนินทร์ชินศรี | ||
| ก็นิพานในเจ็ดวันเจ็ดราตรี | ทั้งปัถพีไม่พ้นตายในเจ็ดวัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน | ฟังเชียงเมี่ยงว่าขานเห็นคมสัน | ||
| คลายโกรธาด้วยว่าจริงอย่างนั้น | ไม่แปรผันผิดคำเชียงเมี่ยงเลย | ||
| มันแก้ไขไวว่องไม่ข้องขัด | ช่างสันทัดจัดเจนจริงเจียวเหวย | ||
| แต่มิได้ออกพระโอษฐโปรดภิเปรย | ทรงชมเชยในพระไทยไม่ตรัสดัง ฯ | ||
| ๏ จะกลับกล่าวกระษัตราเมืองธานี | แต่เสียทีพนันคนให้แค้นคั่ง | ||
| ทรงดำริห์จะแก้ไขใหม่สักครั้ง | ทั้งเดินนั่งไสยาศน์ไม่ขาดคิด | ||
| ดำริห์ว่าจะพนันสิ่งใดดี | นำบุรีมาขึ้นได้สมใจจิตร | ||
| อย่าเลยนะจะนิมนต์บรรพชิต | ซึ่งสถิตย์ในยศถาราชาคณะ | ||
| ที่รู้ธรรมคัมภีร์บาฬีอรรถ | เจนจัดแจ้งประจักษ์ในอักขระ | ||
| ชำนาญไล่ถามช้ำข้อธัมมะ | เอาชนะกันที่จนพ้นปัญญา | ||
| ทรงดำริห์แล้วมิทันนาน | เสด็จออกมีโองการสั่งให้หา | ||
| สังฆ์การีธรรมการคลานเข้ามา | จึ่งมีพระบัญชาให้เผดียง | ||
| พระราชาคณะผู้รอบรู้อรรถ | ที่สันทัดเล่าฦามีชื่อเสียง | ||
| จะให้ไปถามปัณหาท่าไล่เลียง | โต้เถียงกันกับปราชญทวาลี | ||
| พระผู้เปนเจ้าองค์ใดจะอาสา | ให้เข้ามาจะได้บอกให้ถ้วนถี่ | ||
| อย่าให้แพ้แก้สู้กู้บุรี | สังฆ์การีธรรมการก็รีบไป | ||
| เผดียงถามตามโองการบรรหารสั่ง | ทั่วทั้งธานีบุรีใหญ่ | ||
| ในกรุงนั่นสังฆ์การีมีหมายไป | นอกกรุงให้ธรรมการส่งสารตรา | ||
| เผดียงถามตามพระสงฆ์ดำรงยศ | ทั่วทั้งหมดน้อยใหญ่ให้ปฤษา | ||
| ท่านผู้ทรงบันดาศักดิ์ทุกวัดวา | พระราชาคณะมีสามองค์ | ||
| พระญาณกิจทั้งพระประสิทธิไตรย | พระวิไนยนายกเปนจอมสงฆ์ | ||
| สังฆ์การีพามาเฝ้าทั้งสามองค์ | ทูลให้ทรงทราบว่าอาสาไป ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | แสนประสาทดสมนัศตรัสปราไส | ||
| ว่าเจ้าคุณกู้บุรีให้มีไชย | โยมจะได้เกียรติยศปรากฎมี | ||
| พระราชทานบาตรไตรบริขาร | เครื่องสักการสารพัดจัดตามที่ | ||
| ให้อาลักษณ์แต่งสารเปนไมตรี | บรรณาการของดีดีให้จัดไป | ||
| พระดำรัสให้ร่างราชสาร | อาลักษณ์จานจารึกงามผ่องใส | ||
| ลงสุวรรณบัตรแผ่แผ่นอุไร | มอบราชทูตไปลงนาวา | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ผู้ทรงยศ | ก็มาหมดลงสำเภาทอดที่ท่า | ||
| ได้ฤกษ์ให้ใช้ใบออกเภตรา | แล่นมาในท้องสมุทจนสุดแดน | ||
| สำเภาทั้งห้าร้อยแล่นลอยล่อง | ฝ่าฟองชาคลื่นกว่าหมื่นแสน | ||
| ได้ลมดีในนทีไม่ขาดแคลน | มาตามแผนที่ต้นหนดลบุรี | ||
| ถึงด่านปากน้ำอ่าวบอกข่าวแจ้ง | เหมือนคราวก่อนที่แถลงเมื่องครั้งหนึ่ง | ||
| ขุนนางในกรมท่าทราบคดี | กราบทูลว่าทูตธานีกลับเข้ามา | ||
| ข่าวว่ามีราชสารการพนัน | ขอพระองค์ทรงธรรม์จอมนาถา | ||
| จงทราบใต้ฝ่าธุลีในกิจจา | ควรมิควรพระบาทาปกเกล้าบัง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ทรงฟังทูลว่าทูตมาให้แค้นคั่ง | ||
| เจ้าเซ้าซี้ของพนันกันอีกครั้ง | เนื้อความยังไม่รู้เรื่องเมืองธานี | ||
| จึ่งสั่งเจ้าพนักงานจัดการรับ | ให้เสร็จสรรพเชิญราชสารศรี | ||
| ตามธรรมเนียมเตรียมรับทูตธานี | เรือกระบี่เรือเห่แลหลามชล | ||
| ถึงท่าวังตั้งแห่งราชสาร | ทูตเชิญพานทองพระราชอนุสนธิ์ | ||
| ถึงพระโรงเข้าเฝ้าเจ้าจุมพล | ถวายบังคมสิ้นทุกคนฟังโองการ | ||
| กรมท่าทูลเบิกทูกทั้งหลาย | พวกทูตก็ถวายราชสาร | ||
| ทรงรับมอบพระอาลักษณ์พนักงาน | ให้คลี่อ่านสารศรีที่มีมา | ||
| ในลักษณพระราชสาร | ของภูบาลธานีมียศถา | ||
| ขอเจริญไม่ตรีพระพี่ยา | ยังภาราทวาลีบุรีรัตน์ | ||
| ด้วยได้ข่าวเาฦาระบือเลื่อง | ว่าในเมืองมีปราชญ์รู้เจนจัด | ||
| จึ่งให้ราชาคณะทั้งสามวัด | มาถามอรรถบาฬีคัมภีร์ธรรม | ||
| พระเชษฐาถ้าได้ไชยชำนะ | ขอคารวะขึ้นบุรีอุปถัมภ์ | ||
| ถวายหิรัญมาลาบาบุบผาคำ | ไม่เกินก้ำจะเปนข้ากว่าวายปราณ | ||
| ถ้าปราชญ์เมืองธานีนี้ชำนะ | จงสละนิวาศราชฐาน | ||
| มาขึ้นเมืองธานีตามบุราณ | มอบสักการรัชฎามาลาทอง | ||
| แผ่เขตขัณฑ์ธานีบุรีราช | ให้อำนาจสิทธิการงานทั้งผอง | ||
| เปนพื้นเดียวเนื่องแดนดังแผ่นทอง | จะได้ครองบุรีรัตน์กำจัดไภย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงภพฟังจบสาร | ปฏิสัณฐารสามนัดตรัสปราไส | ||
| ตามธรรมเนียมทูตาอันมาไกล | ดำรัสให้รออยู่พักสักสามวัน | ||
| จะแต่งที่พระกระวี่ถามปัณหา | ให้งามตาเปนเกียรติยศใหญ่มหันต์ | ||
| แต่นักปราชญ์ผู้ฉลาดรอบรู้ธรรม์ | จะจัดสรรมาถามสู้ดุสักครั้ง | ||
| ราชทูตก็คำนับรับโองการ | ถวายบังคมภูบาลคลานถอยหลัง | ||
| มาข้างนอกออกไปจากในวัง | ก็มายังท่าจอดทอดนาวา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ให้อาดูรทรงโทมนัศา | ||
| ว่าเหลือปัญญาจะสู้กู้บูรี | ไม่รู้ที่วิสัชนาปัญญาสูญ | ||
| ให้อ้นอั้นตันใจได้อนุกูล | ช่วยกราบทูลแก้ไขอย่าให้เคือง | ||
| ว่ากระษัตริย์ธานีนี้พาลา | รบพันนครานี้ร่ำไป | ||
| จึ่งดำรัสสั่งเจ้าพนักงาน | สังฆ์การีธรรมการหมอบไสว | ||
| ให้ทำหมายรายแจกทุกวัดไป | ราชาคณะองค์ใดจะรับพนัน | ||
| แปลอักขรกับพระเมืองธานี | กู้บุรีคุ้มประเทศทั่วเขตรขัณฑ์ | ||
| ถามบรรดาที่ชำนาญการอรรถธรรม์ | กูนัดไว้สามวันแก่ทูตมา | ||
| ในกรุงให้สังฆ์การีเผดียงถาม | ทุกอารามพระสงฆ์ทรงยศถา | ||
| นอกกรุงให้ธรรมการแจ้งกิจจา | เที่ยวปฤกษาเผดียงถามความพนัน | ||
| สังฆ์การีธรรมการคลานออกมา | ถามพระราชาคณะขมีขมัน | ||
| แต่รู้บาฬีคัมภีร์ธรรม์ | ในสามวันบอกเข้ามาอย่าช้าการ | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาราชาคณะ | แจ้งในพระประสงค์เจ้าจอมสถาน | ||
| ต่างก็กลัวปราไชยใจรำคาญ | บอกสังฆ์การีธรรมการให้กราบทูล | ||
| สังฆ์การีธรรมการทราบสารเสร็จ | ทูลว่าพระขามเข็ดแต่ทราบเรื่อง | ||
| ไม่มีใครเป็นคู่สู้แขกเมือง | พูดปลดเปลื้องออกตัวกลัวเต็มที ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร | ฟังทูลให้อาวรณ์เศร้าหมองศรี | ||
| เสียพระไทยเกรงจะแพ้ทูตธานี | จะได้ใครกู้บุรีให้ชนะ | ||
| จึ่งดำรัสปฤกษากับเชียงเมี่ยง | เองจะเถียงถามธรรมได้ไหมหวะ | ||
| เชียงเมี่ยงก้มเกษาคารวะ | ทูลว่าเกล้ากระหม่อมจะอาสาไป | ||
| ถามปัญหาในคัมภีร์ยาฬีอรรถ | สู้สักนัดมิได้หนีคัมภีร์ไหน | ||
| ลาบรรพชาจึ่งมีไชย | แม้นโปรดให้บวชเปนสงฆ์คงได้การ ฯ | ||
