นิราศพระà¹à¸—่นดงรัง (เณรà¸à¸¥à¸±à¹ˆà¸™)
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศพระทแนดงรัง (ณ…')
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศพระทแนดงรัง (ณ…')
รุ่นปัจจุบันของ 14:39, 27 สิงหาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: เณรกลั่น
บทประพันธ์
| ๏ เณรหนูกลั่นวันทามหาเถร | |||
| ซึ่งอวยพรตทศธรรมเป็นสามเณร | พระคุณเท่าเขาพระเมรุไม่เอนเอียง | ||
| สอนให้ทราบบาปบุญที่คุณโทษ | ผลประโยชน์ยืดยาวไม่ก้าวเถียง | ||
| มาหมายมั่นพันผูกเป็นลูกเลี้ยง | ก็รักเพียงลูกยาให้ถาวร | ||
| เป็นสัจธรรม์กรรุณาสานุศิษย์ | สุจริตรักร่ำเฝ้าพร่ำสอน | ||
| ได้เรียนหนังสือถือศีลพระชินวร | ให้ถาพรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย | ||
| ขอพระคุณบุญญาปรีชาฉลาด | ที่เปรื่องปราชญ์เปรียบมหาชลาไหล | ||
| จะคิดกลอนผ่อนปรนช่วยดลใจ | ให้พริ้งไพรเราะรสพจมาน | ||
| จะกล่าวความตามที่ได้ไปพระแท่น | ถึงดงแดนด้วยศรัทธานั้นกล้าหาญ | ||
| ในเดือนสี่ปีมะเส็งเพ็งวันอังคาร | มัสการพุทธรัตน์พระปัฏิมา | ||
| ทั้งพรหมินทร์อินทร์จันทร์ทุกชั้นช่อง | ช่วยคุ้มครองป้องกันให้หรรษา | ||
| พอยามสองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา | ออกมหานาคสนานสำราญใจ | ||
| พระจันทร์ตรงทรงกลดขึ้นหมดเมฆ | ดูวิเวกเวหาพฤกษาไสว | ||
| สงัดเงียบเยียบเย็นไม่เห็นใคร | ล่องไปในแนวคลองเมื่อสองยาม | ||
| ๏ ถึงเชิงเลนเห็นแต่เรือเกลือสล้าง | เรือโอ่งอ่างแอบจอดตลอดหลาม | ||
| ทุกพ่วงแพแลไม่เห็นไฟตาม | ถึงอารามวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น | ||
| เห็นถิ่นฐานบ้านช่องของคุณปู่ | ที่เคยอยู่มาแต่หลังก็ยังเห็น | ||
| เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น | เมื่อปู่เป็นเจ้าคุณสุรเสนา | ||
| ไม่มีพ่อก็ได้บุญของคุณปู่ | ให้กินอยู่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา | ||
| ได้อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา | ทั้งคุณป้าคุ้มครองช่วยป้องกัน | ||
| ขอกุศลผลผลาให้ป้าปู่ | ได้ไปสู่ทิพสถานพิมานสวรรค์ | ||
| เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน | จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร | ||
| โอ้สิ้นบุญคุณปู่อยู่แต่ย่า | ได้พึ่งพาภิญโญสโมสร | ||
| มาปลดเปลื้องเคืองขัดถึงตัดรอน | ไอ้ชาติก่อนกรรมสร้างไว้อย่างไร | ||
| ทั้งพ่อแม่แลลับอัประภาค | คิดถึงยากอย่างจะพาเลือดตาไหล | ||
| เป็นกำพร้าว้าเหว่ร่อนเร่ไป | นี่หากได้พึ่งพระค่อยสบาย | ||
| ได้ถือธรรมสามเณรกินเพลเช้า | ศีลพระเจ้ามิได้ช้ำสล่ำสลาย | ||
| แบ่งกุศลผลบุญแทนคุณยาย | ได้ดื่มสายเลือดอกช่วยปกครอง | ||
| ยังยากจนทนทุเรศสังเวชจิต | เหลือจะคิดแทนคุณการุณสนอง | ||
| โอ้ชาตินี้วิบัติขัดเงินทอง | มีแต่ต้องย่อยยับอัประมาณ | ||
| ฝ่ายคุณย่าอาพี่ซึ่งมียศ | จงปรากฏตราบกระลาปาวสาน | ||
| ถึงตัดรอนค่อนว่าด่าประจาน | พระคุณท่านมากกว่าแผ่นฟ้าดิน | ||
| ไม่โกรธตอบขอบคุณส่วนบุญบวช | ได้ตรึกตรวจน้ำคิดเป็นนิจศิล | ||
| ให้เป็นสุขทุกทิวาอย่าราคิน | ฉันนี้สิ้นวาสนาขอลาไป | ||
| พอนาวามาถึงช่องคลองบางหลวง | ครรไลล่วงลอยลำตามน้ำไหล | ||
| ดูเหย้าเรือนเดือนหงายสบายใจ | ล้วนต้นไม้สวนสล้างสองข้างคลอง | ||
| ๏ ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงปัก | หงส์สลักก่อนเก่าดูเศร้าหมอง | ||
| เหมือนตัวเราเผ่าพงศ์เพียงหงส์ทอง | ตัวมาต้องเป็นการะอาอาย | ||
| ไอ้เสียชาติวาสนาเอ๋ยอาภัพ | สุดจะนับว่านเครือในเชื้อสาย | ||
| ข้างหน้าเห็นเป็นแมงกุฉลุลาย | ส่วนข้างท้ายสิเหมือนดังว่ามังกร | ||
| ๏ จนล่วงทางบางยี่เรือฝั่งเหนือใต้ | ล้วนไม้ไหล้ซ้อนซับสลับสลอน | ||
| เห็นคุ่มคุ่มคลุมเครือริมเรือจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรย | ||
| ประเดี๋ยวเดียวเลี้ยวล่องเข้าคลองด่าน | เห็นแต่บ้านเรือกสวนให้หวนโหย | ||
| ระรื่นรินกลิ่นโศกมาโบกโบย | บ้างร่วงโรยริมชลาที่อาราม | ||
| ๏ เห็นวัดหมูรู้ว่าคุณป้าสร้าง | ครั้นจะอ้างว่าเป็นเชื้อก็เหลือขาม | ||
| ขอภิญโญโมทนาสง่างาม | ให้อารามเรืองรื่นอยู่ยืนยาว | ||
| โอ้ไม่ถึงครั้งชาติสิ้นญาติ | อโหสิจะสู้บวชจนหนวดขาว | ||
| โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว | ดูดวงดาวเดือนคล้อยละห้อยใจ | ||
| ประมาณสามยามเงียบเซียบสงัด | มาถึงวัดจอมทองดูผ่องใส | ||
| มีเกาะขวางกลางชลาพฤกษาไทร | ยังจำได้พรั่งพร้อมวัดจอมทอง | ||
| คุณย่าพามาที่นี่ทั้งพี่สาว | เมื่อครั้งคราวมีงานการฉลอง | ||
| ทั้งคุณอามาดูงานในม่านทอง | ฉันพี่น้องได้ไปนั่งหลังคุณอา | ||
| ทั้งเจ้าครอกออกมาตามเสด็จด้วย | ได้พุ่งพวยผุดผาดพึ่งพาสนา | ||
| โอ้เคราะห์กรรมจำขาดญาติกา | เพราะศรัทธาถือศีลพระชินวร | ||
| ๏ ทุกวันนี้มีแต่ครูเอ็นดูเลี้ยง | ได้พึ่งเพียงพุ่มโพสโมสร | ||
| พระคุณใครไม่เท่าคุณพระสุนทร | เหมือนบิดรโดยจริงทุกสิ่งอัน | ||
| กับตาบน้องสองทั้งพี่เณรพัด | ได้ตั้งสัจสิ้นรังเกียจไม่เดียดฉันท์ | ||
| ทุกเช้าเย็นเป็นกำพร้าเห็นหน้ากัน | เหมือนร่วมครรภ์มารดาด้วยปราณี | ||
| ๏ ถึงวัดไทรในตำบลน้ำชลตื้น | ดูครึมครื้นมืดมัวน่ากลัวผี | ||
| ชื่อบางบอนก็เห็นบอนสลอนมี | เหมือนคนที่สำมกากมันปากบอน | ||
| ไปยุยงลงโทษให้โกรธครึ่ง | จนได้ถึงสุขุมเหมือนสุมขอน | ||
| ที่คนซื่อถือสัจต้องตัดรอน | เพราะอีบอนบวมฉุมันยุแยง | ||
| ๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน | บิดาท่านโปรดเกล้าเล่าแถลง | ||
| ว่าพญาพาลีซึ่งมีแรง | เข้ารบแผลงฤทธิ์ต่อด้วยทรพี | ||
| ตัดศีรษะกระบือแล้วถือคว่าง | ปลิวมากลางเวหาพนาศรี | ||
| มาตกลงตรงย่านที่บ้านนี้ | จึงเรียกศีรษะกระบือเป็นชื่อนาม | ||
| ๏ แสมดำตำบลที่คนอยู่ | สังเกตดูฟืนตองเขากองหลาม | ||
| ดูรุงรังฝั่งน้ำล้วนรำราม | ถึงโคกขามบ้านขอมล้วนลอมฟืน | ||
| พอฟ้าขาวดาวเดือนจะเลื่อนลับ | แสงทองจับแจ่มฟ้าค่อยฝ่าฝืน | ||
| เสียงลิงค่างวางเวกครึกเครงครื้น | ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกไพร | ||
| สุริยงทรงรถขึ้นหมดแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาไสว | ||
| ถึงชะวากปากชลามหาชัย | เห็นป้อมใหญ่อยู่ข้างขวาสง่างาม | ||
| มีปีกป้องช่องปืนที่ยืนรบ | ที่หลีกหลบแล่นลากลงขวากหนาม | ||
| ดูเผ่นผาดอาจองในสงคราม | ดูแล้วข้ามตรงมาในสาคร | ||
| ลำภูรายชายตลิ่งล้วนลิงค่าง | บ้างเกาคางขู่ตะคอกบ้างหลอกหลอน | ||
| บ้างโลดไล่ไขว่คว้าตามวานร | ที่ลูกอ่อนอุ้มแอบแนบอุรา | ||
| โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งลูก | ดูพันผูกความรักนั้นหนักหนา | ||
| เราเป็นคนผลกรรมได้ทำมา | ญาติกาก็มิได้อาลัยแล | ||
| ๏ ถึงท่าจีนถิ่นฐานโรงร้านมาก | ที่เขาตากไว้ล้วนแต่อวนแห | ||
| ไม่น่าดูสู้เบือนทำเชือนแช | ชมแสมไม้ปะโลงเหล้าโกงกาง | ||
| ตะบูนต้นผลลูกดังผูกห้อย | ระย้าย้อยหยิบสนัดไม่ขัดขวาง | ||
| หนูตาบน้อยคอยรับรำดับวาง | ไว้เล่นต่างตุ๊กกระตาประสาสบาย | ||
| เห็นตะบูนฉุนเศร้าให้เปล่าจิต | แม้นมีมิตรเหมือนดั่งท่านทั้งหลาย | ||
| จะเก็บไว้ไปฝากให้มากมาย | จะได้เล่นเช่นกระทายสบายใจ | ||
| นี่ไม่มีพี่น้องพวกพ้องหญิง | เล่นแล้วทิ้งเสียในลำแม่น้ำไหล | ||
| ลูกโกงกางข้างชลาระย้าไป | ทั้งปรงไข่ขึ้นสล้างริมทางจร | ||
| ๏ ถึงบ้านบ่อกอจากสองฟากฝั่ง | ยอดสะพรั่งเพรียวแซมแหลมแหลมสลอน | ||
| มีดอกงอกออกกับกออรชร | ทั้งลูกอ่อนแซกเคียงขึ้นเรียงราย | ||
| พอเห็นเขาเจ้าของร้องบิณฑ์บาต | เขาอนุญาตยกให้เหมือนใจหมาย | ||
| พี่เณรพัดตัดได้ลูกหลายทะลาย | ผ่าถวายพระนั้นเต็มขันโต | ||
| ท่านไม่ฉันครั้นเรากินชิ้นลูกจาก | อร่อยมากมีรสร่ำหมดโถ | ||
| ท่านบิดรนอนบ่นว่าคนโซ | สะอื้นโอ้อายใจกระไรเลย | ||
| เคยกล้ำกลืนชื่นจิตชิดแช่อิ่ม | มาเชยชิมลูกจากแล้วปากเอ๋ย | ||
| เพราะสิ้นสุดอุดหนุนที่คุ้นเคย | กระไรเลยแลเหลียวให้เปลี่ยวทรวง | ||
| ๏ ถึงนาขวางข้างซ้ายนายภาษี | ตั้งอยู่ที่ปากคลองเก็บของหลวง | ||
| เรียกภาษีที่เรือเกลือทั้งปวง | บ้างทักท้วงเถียงกันสนั่นดัง | ||
| แต่จีนเถ้าเจ้าภาษีมีเมียสาว | ไว้เล็บยาวเหมือนอย่างครุฑนั่งจุดหลัง | ||
| เหมือนจะรู้อยู่ว่าเขาเป็นชาววัง | รู้จักครั้งเข้าไปอยู่เมื่อปู่ตาย | ||
| แต่แกล้งเมินเพลินดูฝูงปูเปี่ยว | บ้างแดงเขียวขาวผาดประหลาดหลาย | ||
| บ้างเลื่อมเหลืองเรืองรองกระดองลาย | ก้ามตะกายกินเลนน่าเอ็นดู | ||
| แต่หากว่าน่ากลัวตัวหนิดหนีด | ก้ามมันดีดดังเปาะเสนาะหู | ||
| ล้านปรงปรกรกเรี้ยวรอยเปี่ยวปู | กับเหี้ยอยู่ที่โพรงรากโกงกาง | ||
| เห็นปลาตีนกินโคลนตาโปนโป่ง | ครีบกระโดงพลิ้วพลิกกระดิกหาง | ||
| บ้างกัดกันผันผยองทำพองคาง | ทั้งลิงค่างคอยเที่ยวล้วงเปี่ยวปู | ||
| ๏ ถึงย่านซื่อชื่อว่าย่านกาหลง | เห็นกาลงเลียบฝั่งอยู่ทั้งคู่ | ||
| แล้วบอกข่าวอ่าวอ้อแก้ก๋อกู | จะบอกผู้ใดเล่าไม่เข้าใจ | ||
| เราไม่มีพี่น้องพวกพ้องดอก | กาจะบอกข่าวดีฉันที่ไหน | ||
| โอ้เปลี่ยวกายอายกาก้มหน้าไป | จนเข้าในแนวคลองสามสิบสองคด | ||
| กับตาบน้อยคอยนับหนึ่งสองสาม | คุณพ่อถามกลับเลื่อนเปื้อนไปหมด | ||
| มันโอบอ้อมค้อมเคี้ยวดูเลี้ยวลด | เห็นคุ้งคดคิดไปเหมือนใจโกง | ||
| แต่ปากคำทำซื่อทำถือศิล | ใจมันกินเลือดเล่ห์ตะเข้ตะโขง | ||
| สองฟากฝ่ายซ้ายขวาป่าปะโลง | มีเรือนโรงรอนฟืนแต่พื้นมอญ | ||
| ลำภูรายซ้ายขวาระย้าย้อย | มีดอกห้อยบานแย้มแซมเกสร | ||
| บ้างออกลูกสุกงอมหอมขจร | เกสรร่อนร่วงลงตรงนาวา | ||
| มีนกบิยกินปูได้ดูเล่น | นกกระเต็นขวานแขวกเที่ยวแถกถา | ||
| นกกามกวมต๋วมลงในคงคา | คาบได้ปลาปรบปีกบินหลีกไป | ||
| ๏ ถึงเขตแขวงแหล่งหลักสุนัขหอน | เรือสลอนลอยรอถือถ่อไสว | ||
| ทั้งพ่วงแพแซ่ซ้อนเจ๊กมอญไทย | บ้างมาไปปะกันเสียงครั่นครื้น | ||
| บ้างโดนดุนรุนรับดูกลับกลอก | บ้างเข้าออกอึดอัดต่างขัดขืน | ||
| หลีกเรือฝางวางเรือเกลือติดเรือฟืน | โกรธคนอื่นอื้ออึงขึ้นมึงกู | ||
| เขมรด่าว่ามะจุยไอ้ตุยนา | ลาวว่าปาสิแม่บแพ่สู | ||
| พวกเจ๊กด่าว่าปิหนังติกังพู | เสียงมอญขู่ตะคอกตอกขะมิ | ||
| ด้วยมากมายหลายอย่างมาทางนั้น | เรือน้ำมันหมากพลูกุ้งปูกะปิ | ||
| บ้างยัดเยียดเสียดแซกบ้างแตกลิ | บ้างกราบปริประทุนปรุทะลุทะลาย | ||
| จนตกลึกนึกว่าชะคุณพระช่วย | ไม่เจ็บป่วยเปื้อนเหมือนเพื่อนทั้งหลาย | ||
| ถึงเขตสวนล้วนเหล่ามะพร้าวราย | บางแม่ยายพ่อตาตำรามี | ||
| ๏ แล้วถึงบางนางสะใภ้ผู้ใหญ่เล่า | เป็นบ้านเก่าที่สังเกตพวกเศรษฐี | ||
| แต่หญ้ากกรกเรี้ยวประเดี๋ยวนี้ | ยังเห็นมีแต่ทับทิมที่ริมคลอง | ||
| กับทั้งหัวถั่วพูมันหนูมันนก | เจ้าของยกตั้งรายเรียกขายของ | ||
| ได้ปราสัยไถ่ถามตามทำนอง | ถึงแม่กลองดูเกลื่อนบ้านเรือนโรง | ||
| ทำปลาทูปูเค็มไว้เต็มตุ่ม | ดูควันกลุ้มกลิ่นฟุ้งเหม็นคลุ้งโขลง | ||
| ที่เรือหาปลากุ้งกระบุงโพง | ใส่อ่างโอ่งอลหม่านทุกบ้านเรือน | ||
| จนเรือออกนอกลำแม่น้ำกว้าง | วิเวกวางเวงใจใครจะเหมือน | ||
| ทั้งสองฟากหมากมะพร้าวมีเหย้าเรือน | ค่อยลอยเลื่อนแลเพลินจำเริญใจ | ||
| พฤกษาสวนล้วนแต่ปลูกมีลูกดอก | มะม่วงออกช่อแฉล้มแซมไสว | ||
| ทั้งกล้วยอ้อยร้อยลิ้นลำไยมะไฟ | ล้วนต้นไม้ต่างต่างข้างคงคา | ||
| ๏ ถึงคลองบางนางลี่เห็นมีวัด | ชุลีหัตถ์อภิวาทพระศาสนา | ||
| เป็นที่สุดพุทธคุณกรุณา | ลูกกำพร้าอย่าให้มีราคีพาน | ||
| ๏ ถึงคลองน้ำอัมพวาที่ค้าขาย | เห็นเรือรายเรือนเรียงเคียงขนาน | ||
| มีศาลาท่าน้ำน่าสำราญ | พวกชาวบ้านซื้อขายคอนท้ายเรือ | ||
| ริมชายสวนล้วนมะพร้าวหมูสีปลูก | ทะลายลูกลากดินน่ากินเหลือ | ||
| กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ | พริกมะเขือหลายหลากหมากมะพร้าว | ||
| ริมวารีมีแพขายแพรผ้า | ทั้งขวานพร้าพร้อมเครื่องทองเหลืองทองขาว | ||
| เจ้าของแพแลดูหางหนูยาว | มีลูกสาวสิเป็นไทยถอนไรปลิว | ||
| ดูชาวสวนล้วนขี้ไคลทั้งใหญ่เด็ก | ส่วนเมียเจ๊กหวีผมระบมผิว | ||
| เห็นเรือเคียงเมียงชม้ายแต่ปลายคิ้ว | แกล้งกรีดนิ้วนั่งอวดทำทรวดทรง | ||
| ๏ ถึงคลองขวางบางกุ้งที่คุ้งน้ำ | พวกเจ๊กทำศาลเจ้าปุนเถ้าก๋ง | ||
| เป็นวันเล่นเห็นเขาเชิญเจ้าลง | เจ๊กคนทรงสับหัวของตัวเอง | ||
| เอาขวานผ่าหน้าผากแทงปากลิ้น | แล้วดื่มกินเหล้าโลดกระโดดเหยง | ||
| เลือกชะโลมโซมเนื้อเสื้อกังเกง | เดินโทงเทงถือง้าวเป็นจ้าวนาย | ||
| นึกก็เห็นเป็นกลคนสับปลับ | จะเอาทรัพย์สินบนคนทั้งหลาย | ||
| สู้เสียเลือดเชือดตัวไม่กลัวตาย | ใช้อุบายบอกคนด้วยกลโกง | ||
| ๏ ถึงบางป่ามาพ้นตำบลสวน | ตลอดล้วนแหลมคุ้งเป็นทุ่งโถง | ||
| พอโพล้เพล้เวลาล่วงห้าโมง | เห็นเมฆโพลงพลุ่งรอบเป็นขอบคัน | ||
| บ้างเขียวแดงแฝงฝากเหมือนฉากเขียน | ยิ่งพิศเพี้ยนรูปสัตว์ดูผัดผัน | ||
| เหมือนลิงค่างช้างม้าสารพัน | ดูดังมันจะมาทับวับวิญญาณ์ | ||
| ท่านบิดรสอนวาตำราห้าม | คือคนสามประเภทในเทศนา | ||
| คนเข็ญใจไร้ทรัพย์อัพลา | ลูกกำหร้าดูเมฆวิเวกใจ | ||
| จะสร้อยเศร้าเหงาง่วงในดวงจิต | เสียจริตงวยงงลุ่มหวงใหล | ||
| เห็นเที่ยงแท้แต่เราพิศพินิจไป | จนตกใจเจียนจะเห็นว่าเป็นตัว | ||
| พอสุริยงลงลับพะยับค่ำ | ท้องฟ้าคล้ำคลุ้มบลสลดสลัว | ||
| ดูอ้างว้างกลางชลาเป็นน่ากลัว | ถึงคอกงัวสี่หมื่นตื่นกันดู | ||
| ไม่เห็นตัวงัวควายเป็นชายทุ่ง | เสียงแต่ยุงริ้นร้องกึกก้องหู | ||
| ริมตลิ่งหิ่งห้อยย้อยลำภู | สังเกตดูดังหนึ่งเม็ดเพชรรัตน์ | ||
| อร่ามเรืองเหลืองงามแวววามวับ | กระจ่างจับพงแขมแจ่มจำรัส | ||
| น้ำค้างพรมลมเชยรำเพยพัด | ละลอกซัดส่งท้ายสบายดี | ||
| ๏ พอเดือนเด่นเห็นดวงขึ้นส่องแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าทุกราศี | ||
| สักยามหนึ่งถึงหาดเมืองราชพรี | กำแพงมีรอบล้อมทั้งป้อมปืน | ||
| ถามบิดาว่าพระองค์ดำรงภพ | สร้างไว้รบรับพท่าไม่ฝ่าฝืน | ||
| แต่เฟือนช่องร่องทางด้วยกลางคืน | เข้าจอดตื้นติดหาดเมืองราชพรี | ||
| สำนักนอกผ่อนสบายที่ท้ายวัด | น้อมนมัสการศีลพระชินสีห์ | ||
| ด้วยเดชะพระมหาบารมี | ในราตรีเภทภัยมิได้พาน | ||
| ครั้นรุ่งเช้าชาวเรือข้างเหนือใต้ | ต่างเลื่อมใสศรัทธาทำอาหาร | ||
| มาถวายหลายลำค่อยสำราญ | ทั้งอ้อยตาลต้มแกงกับแตงไทย | ||
| ครั้นเสร็จฉันกรรุณายถาสนอง | ให้เจ้าของซึ่งศรัทธาอัชฌาสัย | ||
| แล้วภิญโญโมทนาลาครรไล | สำราญใจจากหาดเมืองราชพรี | ||
| ๏ ถึงชะวากปากคลองบางสองร้อย | แต่น้ำน้อยทางเดินเนินวิถี | ||
| เห็นเขางูอยู่ข้างซ้ายหลายคีรี | พฤกษาศรีเขียวชอุ่มดูคลุมเครือ | ||
| ที่เงื้อมง้ำลำเนาชื่อเขาแร้ง | ศิลาแดงดังหนึ่งชาดประหลาดเหลือ | ||
| จะขึ้นบ้างทางบกก็รกเรื้อ | จนเลี้ยวเรือลับแหลมล้วนแขมคา | ||
| ๏ ถึงคุ้งย่านบ้านกล้วยสลวยสล้าง | เขาปลูกสร้างไร่รายทั้งซ้ายขวา | ||
| พริกมะเขือเหลืองามอร่ามตา | นกสาริกาแก้วกาลิงมาชิงกิน | ||
| บ้างกอดเกาะเจาะจิกเม็ดพริกคาบ | บ้างโฉบฉาบชิงกันดูผันผิน | ||
| โอ้น่ารักปักษาริมวาริน | บ้างโบยบินบ้างก็จับอยู่กับรัง | ||
| บ้างกู่ก้องร้องเรียกกันเพรียกเพราะ | ฟังเสนาะนึกในน้ำใจหวัง | ||
| คิดถึงพี่ที่เข้าไปอยู่กับวัง | เมื่อคราวครั้งคุณย่าไปค้าเรือ | ||
| เคยชมป่าพาทีกันพี่น้อง | เที่ยวเก็บของจุกจิกพริกมะเขือ | ||
| เดี๋ยวนี้พี่มียศท่านชดเจือ | น้องนี้เชื้อชาติต่ำจึงจำไกล | ||
| ๏ ถึงบางกระไท่เห็นกระปะแต่บ้าน | เป็นภูมิฐานทิวป่าพฤกษาไสว | ||
| โอ้ผันแปรแลเหลียวให้เปลี่ยวใจ | ถึงย่านใหญ่เจ็ดเสมียนเตียนสบาย | ||
| ว่าแรกเริ่มเดิมทีมีตะเข้ | ขึ้นผุดเร่เรียงกลาดไม่ขาดสาย | ||
| จอมกระษัตริย์จัดเสมียนเขียนเจ็ดนาย | มาจดหมายมิได้ถ้วนล้วนกุมภา | ||
| แต่เดี๋ยวนี้มิได้เห็นเหมือนเช่นเล่า | เห็นแต่เหล่ากริวกราวกับเต่าฝา | ||
| ถึงคลองขวางบางขามหวามวิญญา | ล้วนไผ่ป่าหนาหนามน่าขามใจ | ||
| ๏ ถึงอารามนามอ้างชื่อหางโตนด | มีทั้งโบสถ์วิหารต้นตาลไสว | ||
| ต่างวันทาคลาเคลื่อนเลื่อนครรไล | ถึงหาดใหญ่กว้างขวางชื่อบางแขยง | ||
| เป็นโขดเขินเนินทรายชายสมุทร | แลจนสุดสายเนตรที่เขตแขวง | ||
| เป็นคุ้งอ้อมค้อมเคียวน้ำเชี่ยวแรง | ทั้งร้อนแสงสุริยาลงวารี | ||
| กับหนูตาบอาบน้ำปล้ำกันเล่น | พี่เณรเห็นไล่โลดกระโดดหนี | ||
| ช่วยคุณพ่อก่อพระทรายคล้ายเจดีย์ | ไว้ตรงที่หน้าวัดได้มัสการ | ||
| แล้ววิ่งเต้นเล่นทรายที่ชายหาด | ทะทุดทะลาดล้มลุกสนุกสนาน | ||
| ลงนอนขวางกลางน้ำเล่นสำราญ | ว่ากุมารมัทรีไม่มีเครือ | ||
| ครั้นแดดร่มลมรื่นค่อยชื่นแช่ม | ออกจากแหลมบางแขยงขึ้นแขวงเหนือ | ||
| แม่น้ำตื้นพื้นสูงลงจูงเรือ | สนุกเหลือเล่นน้ำยังค่ำไป | ||
| ต่อบิดรนอนตื่นขืนให้ขึ้น | ยังวิ่งครื้นโครมครามห้ามไม่ไหว | ||
| ต่อสุดขัดผลัดผ้ายังอาลัย | ถึงบ้านใหญ่ชื่อว่าโพธาราม | ||
| ๏ ตลิ่งลาดหาดทรายที่ขายของ | เรือขึ้นล่องแวะจอดตลอดหลาม | ||
| พวกเจ๊กจีนสินค้าใบชาชาม | ส้มมะขามเปรี้ยวปั้นน้ำมันพร้าว | ||
| ที่ของเหล่าชาวป่าเอามาขาย | ทั้งนุ่นฝ้ายใส่กรุกระชุขาว | ||
| พวกประมงลงอวนไทยญวนลาว | ทำร้านยาวย่างปลาริมวารี | ||
| มีโรงทำน้ำตาลทรายที่ท้ายบ้าน | เป็นภูมิฐานรวมทางหว่างวิถี | ||
| พวกเกียนต่างกลางป่าพนาลี | มาลงที่หน้าท่าโพธาราม | ||
| ๏ จนล่วงทางบางเลาเห็นชาวบ้าน | ทำงานการเกี่ยวแฝกบ้างแบกหาม | ||
| ดูผิวดำคร่ำคร่าดังทาคราม | ไม่มีงามเหมือนหนึ่งเหล่านางชาววัง | ||
| ๏ ถึงครชุมภูมิฐานเป็นบ้านป่า | สายคงคาเชี่ยวเหลือเรือถอยหลัง | ||
| ต้องแข็งข้อถ่อค้ำด้วยกำลัง | จนกระทั่งงิ้วรายหาดทรายเตียน | ||
| ต้นงิ้วงามตามตลิ่งกิ่งแฉล้ม | ดูชื่นแช่มช้อยใบเหมือนไม้เขียน | ||
| บ้างผุะผากรากโคนดูโกร๋นเกียน | ยิ่งพิศเพี้ยนภาพฉากหลากหลากกัน | ||
| ๏ ถึงศาลเจ้าเบิกไพรมีไม้สูง | เห็นนกยูงเกลื่อนไก่เถื่อนขัน | ||
| มีศาลตั้งฝั่งน้ำเป็นสำคัญ | อยู่เคียงกันสามศาลตระหง่านงาม | ||
| พวกชาวเรือเหนือใต้ขึ้นไหว้จ้าว | หมากมะพร้าวด้วยกล้วยเข้าหลาม | ||
| ได้คุ้มภัยในชลาวันนาราม | จึงทรงนามเบิกไพรกันไพรี | ||
| ท่านบิดรสอนให้ว่าเทพารักษ์ | เจริญพักตร์พ้นทุกข์เป็นสุขี | ||
| เห็นไก่ขาวจ้าวเลี้ยงเพียงสำลี | กินอยู่ที่ชายป่าดูน่าชม | ||
| เป็นดงใหญ่ไม้สูงฝูงนกเขา | ขึ้นจับเคล้าคลอคู่คูขรม | ||
| บ้างปรบปีกจิกกันขันระงม | ชวนกันชมต่างต่างสองข้างเรือ | ||
| ๏ ถึงปากแรดแดดดับพะยับแสง | ท้องฟ้าแดงดูสลัวน่ากลัวเสือ | ||
| เป็นป่าไผ่ไม้พุ่มครึมคลุมเครือ | เสียงเสือเนื้อปีบคะนองสยองเย็น | ||
| เห็นนกยูงฝูงใหญ่ที่ชายหาด | รำแพนฟาดหางแผ่พอแลเห็น | ||
| ตัวเมียพร้อมล้อมตามกามกระเด็น | ได้กินเป็นฟองไข่ขึ้นในกาย | ||
| บิดาบอกดอกว่าฝูงนกยูงนั้น | ไม่สัดกันเหมือนดังนกทั้งหลาย | ||
| พึ่งเห็นแน่แก่ตาตำราทาย | ให้นึกอายใจไม่พอใจดู | ||
| ๏ ถึงบางพังวังวนสาชลเชี่ยว | เป็นเกลียวเกลียวกลิ้งคว้างเหมือนหางหนู | ||
| เห็นวัดร้างข้างซ้ายชายสินธู | เข้าหยุดอยู่นอนค้างที่บางพัง | ||
| พอพลบค่ำลำเดียวดูเปลี่ยวอก | เสียงแต่นกเซ็งแซ่ดังแตรสังข์ | ||
| ข้างซ้ายป่าชวาชลเป็นวลวัง | เสียงค่างดังอื้ออ้าบนค่าไม้ | ||
| ฝ่ายคุณพ่อบริกรรมแล้วจำวัด | พี่เณรพัดหนูตาบต่างหลับไหล | ||
| ยิ่งดึกดื่นครื้นเครงวางเวงใจ | เสียงเรไรหริ่งแหร่แซ่สำเนียง | ||
| จะเคลิ้มหลับวัวแว่วถึงแก้วหู | เหมือนคนกู่เกริ่นเรียกกันเพรียกเสียง | ||
| เสียงเผาะเผาะเหยาะย่องค่อยมองเมียง | เห็นเสือเลี่ยงหลีกอ้อมเที่ยวด้อมมอง | ||
| ดูน่ากลัวตัวขาวราวกับนุ่น | แบ่งสุ่วนบุญบ่นภาวนาสนอง | ||
| ทั้งในน้ำทำเลตะเข้คะนอง | ขึ้นคลานร้องฮูมฮูมน้ำฟูมฟาย | ||
| เดชะกิจบิตุรงค์ซึ่งทรงพรต | เห็นปรากฏกำจัดสัตว์ทั้งหลาย | ||
| มันหลีกเลยเฉยไปไม่ใกล้กราย | เหมือนมีค่ายเขื่อนรอบประกอบกัน | ||
| จนล่วงสามยามเวลาบิดาตื่น | ประเคนผืนกาสาน้ำชาฉัน | ||
| เงียบสงัดสัตว์ป่าพนาวัน | เสียงไก่ขันแจ้วแจ้วแว่ววิญญาณ์ | ||
| ท่านอวยพรสอนพระธรรมกรรมฐาน | ทางนิพานพ้นทุกข์เป็นสุขา | ||
| ได้เรียนธรรมบำเพ็งภาวนา | เมื่อนอนหน้าวัดร้างคุ้งบางพัง | ||
| แล้วบิดาพาเดินขึ้นเนินวัด | เงียบสงัดงึมป่าข้างหน้าหลัง | ||
| เข้านิโครธโบสถ์ใหญ่ร่มไม้รัง | สำรวมนั่งนึกภาวนาใน | ||
| ด้วยเดชะพระมหาสมาธิ | เป็นคติตามศรัทธาอัชฌาสัย | ||
| พอแสงทองส่องฟ้านภาลัย | ลาพระไทรสาขาลงมาเรือ | ||
| ๏ จากวัดร้างบางพังสองฝั่งน้ำ | แต่ล้วนร่ำรามเริงซุ้มเซิงเสือ | ||
| ถึงวังวานย่านบกก็รกเรื้อ | เสียงฟานเนื้อนกร้องก้องโกลา | ||
| ๏ ถึงลูแกแต่ล้วนไม้ไผ่สพรั่ง | เห็นมอญตั้งตัดไม้ทั้งซ้ายขวา | ||
| ที่บ้านร้างว่างคนตจ้นพุทรา | ดกระย้าสุกห่ามอร่ามเรือง | ||
| เห็นสมควรชวนกันขึ้นสั่นต้น | คอยเก็บหล่นลูกล้วนเป็นนวลเหลือง | ||
| เอาเกลือตำรำหัดเมื่อขัดเคือง | พอทรงเครื่องเจ้าพุทราสง่างาม | ||
| ๏ แล้วจากท่ามาถึงตรงคุ้งพงตึก | อนาถนึกสงสัยได้ไถ่ถาม | ||
| ท่านผู้เฒ่าเล่าต่อเป็นข้อความ | ว่าตึกพราหมณ์ครั้งแผ่นดินโกสินราย | ||
| แต่ตึกมีที่ริมน้ำเป็นสำเหนียก | คนจึงเรียกพงตึกเหมือนนึกหมาย | ||
| ถึงท่าหว้าป่ารังสองฝั่งราย | กับเซิงหวายโป่งกลุ้มดูคลุมเครือ | ||
| ๏ ถึงวังทองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | มีโรงร้านฟักแฟงแตงมะเขือ | ||
| ใส่กระทายขายเขาพวกชาวเรือ | ทั้งกล้วยเครือสุกห่ามอร่ามไป | ||
| ๏ ถึงละเมาะเกาะชื่อเกาะน้ำเชี่ยว | มีเกาะเดียวกลางมหาชลาไหล | ||
| เหมือนเราเดียวเปลี่ยวเปล่าให้เศร้าใจ | เห็นแต่ไพรพฤกษาพนาวัน | ||
| ๏ ถึงถิ่นฐานบ้านร่ายชื่อหวายเหนียว | เห็นแต่เรียวหวายไสวในไพรสัณฑ์ | ||
| ยิ่งน้ำตื้นขึ้นก็ยิ่งตลิ่งชัน | ถึงเขตขันคุ้งน้ำถ้ำมะกา | ||
| ดูแดนดินถิ่นที่เหมือนมีถ้ำ | พิลึกล้ำแลเวิ้งดังเพิงผา | ||
| เงื้อมชะง่อนก้อนดินเหมือนสินลา | สายคงคาเชี่ยวคว้างเป็นหว่างวน | ||
| วิเวกจิตพิศเพลินด้วยเนินหาด | ไม่คั่นขาดคุ้งแขวงทุกแห่งหน | ||
| เต่าขึ้นไข่ไว้ทุกหาดไม่ขาดคน | เที่ยวขุดค้นไข่ได้ด้วยง่ายดาย | ||
| สะธุสะพระบิดาเมตตาเต่า | บิณฑ์บาตเขาเขาเห็นพระก็ถวาย | ||
| เอาใส่ไว้ในหลุมทุกขุมทราย | แล้วเกลี่ยทรายสุมทับให้ลับตา | ||
| เป็นประโยชน์โปรดสัตว์ซึ่งปัฏิสนธิ์ | ให้รอดพ้นความตายได้นักหนา | ||
| ขอส่วนบุญคุณศีลพระชินกา | ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์กำจัดภัย | ||
| ๏ ถึงคุ้งน้ำตำบลบ้านกอจิก | เขาปลูกพริกฝ้ายออกดอกไสว | ||
| โอ้เห็นแท้แต่สำลียังมีใย | ควรฤๅใจคนจืดไม่ยืดยาว | ||
| พอเย็นย่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | เป็นฝอยฝอยฟุ้งสาดอนาถหนาว | ||
| ที่บนบกรกเรี้ยวเสียงเกรียวกราว | เห็นหาดขาวโขดตั้งอยู่ฝั่งซ้าย | ||
| ข้างฟากขวาท่าเรือขึ้นพระแท่น | ยิ่งสุดแสนชื่นชมด้วยสมหมาย | ||
| เขาพ่วงไม้ไผ่แลดูแพราย | เข้าจอดฝ่ายฝั่งขวาบ้านท่าเรือ | ||
| ๏ พอมืดค่ำคล้ำคลุ้มชะอุ่มฟ้า | เสียงสัตว์ป่าปีบสะท้านทั้งฟานเสือ | ||
| เป็นพงไผ่ไม้พุ่มดูคลุมเครือ | เสียงข้างเหนืออูมอูมล้วนกุมภา | ||
| ดังกอกกอกตรอกตรอที่กอไผ่ | ระวังไพรร้องเรียกเพรียกพฤกษา | ||
| ยิ่งดึกดื่นรื่นรินกลิ่นผกา | หอมบุปผาผลอยหลับระงับไป | ||
| โอ้ฝันเห็นเป็นว่าปู่มาอยู่ด้วย | ให้กินกล้วยอ้อยหวานน้ำตาลใส | ||
| พอฟื้นกายหายหน้ายิ่งอาลัย | พอเสียงไก่ขันขานหวานวิญญาณ์ | ||
| โอ้สิ้นบุญคุณปู่อยู่แต่ชื่อ | ยังนับถือกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา | ||
| ที่เป็นคนผลกรรมได้ทำมา | เหมือนต่างฟ้าดิแดนด้วยแสนไกล | ||
| จนแจ่มแจ้งแสงตะวันฉันอาหาร | โปรยให้ทานปลาคล่ำในน้ำไหล | ||
| ปลาแก้มช้ำน้ำเงินงามประไพ | มาใกล้ใกล้เกลื่อนกลาดดาษเดียร | ||
| ทั้้งซิวซ่าปลากระแหแลสลับ | ดูกลอกกลับกลุ้มกลัดฉวัดเฉวียน | ||
| โอ้น่ารักหนักหนาปลาตะเพียน | เกล็ดเหมือนเขียนครีบหางกระจ่างตา | ||
| ด้วยน้ำไหลใสสว่างอย่างกระจก | เที่ยวกันหกเห็นสนัดตัวมัจฉา | ||
| พอพวกพ้องของศิษย์พระบิดา | มาวันทาขอถวายเกียนควายมี | ||
| ๏ ชื่อนายช่องน้องนายแก้วกับเจ๊กกลิ่น | เขาเจนถิ่นทางป่าพนาศรี | ||
| เกียนมารับกับท่าริมวารี | พอราตรีพระบิดาครองผ้าไตร | ||
| ขนนั่งเกียนเทียนโคมแขวนข้างหน้า | มีฝาบังหลังคาพออาศัย | ||
| เรากับน้องสองนั่งอยู่ข้างใน | พี่เณรได้นั่งหน้าหลังคาบัง | ||
| อันนายช่องน้องนายแก้วนั้นแกล้วกล้า | ขับข้างหน้าเจ๊กกลิ่นปีนข้างหลัง | ||
| เข้าเดินดงกงเกียนวิ่งเวียนดัง | เหมือนเสียงสังข์แตรซ้องก้องกังวาน | ||
| ลางทีฟังดังแอ้อี๋แอ่ออด | เหมือนซอสอดเสียงเอกวิเวกหวาน | ||
| ตกที่ลุ่มดุมดังกังสะท้าน | กิ่งไม้กรานสวบสาบกรอบกราบโกรง | ||
| ทั้งตับไตไส้ขย้อนคลอนคลอกแคลก | กระทบกระแทกโคกโขดโขยดโขยง | ||
| สะดุดโดนโคนรังกึงกังโกง | จนตัวโงงโงกผงะศีร์ษะเวียน | ||
| พอโคมดับลับเงาเหมือนเข้าถ้ำ | พบหวยน้ำหลีกลัดฉวัดเฉวียน | ||
| แต่หนูตาบกับพี่เณรนั้นเจนเกียน | ไม่วิงเวียนนั่งหัวร่อร้องยอควาย | ||
| ท่านบิดรนอนนิ่งอิงพะนัก | สอนให้ยักโยกตัวเวียนหัวหาย | ||
| รู้จังหวะระวังนั่งสบาย | คอยยักย้ายเยื้องโยกชะโงกตาม | ||
| แต่ขับเกียนเวียนวนอยู่จนดึก | เสียงสัตว์ครึกครื้นเครงน่าเกรงขาม | ||
| ที่รกเรื้อเสือกระหึ่มครึมคำราม | เห็นแวววามวาวสว่างเหมือนอย่างไฟ | ||
| ถามบิดาว่าโขมดมันโชติช่วง | ทำล่อลวงเวียนวงให้หลงใหล | ||
| กำดัดดึกนึกภาวนาใน | เสียงนาไม้พูดพึมงึมงึมงำ | ||
| เที่ยวขับเกียนเวียนวนไม่พ้นหนอง | จนควายร้องฟูดฟาดพลาดถลำ | ||
| เดชะบุญคุณพ่อนั่งบริกรรม | เหมือนคนนำไปข้างหน้าสี่ห้าคน | ||
| พอเกียนโดนโคนไม้เหมือนไฟวุบ | กลิ้งตลุบไปตามทางที่กลางหน | ||
| พอนายช่องมองจำเห็นตำบล | ขึ้นถนนแนวทางไปกลางดง | ||
| เจ็กกลิ่นว่าอารักษ์มาชักช่วย | เดชะด้วยพระกุศลจึงพ้นหลง | ||
| ต่างกราบพระจะเป็นศิษย์บิตุรงค์ | พอเดือนส่งแสงสว่างตามทางไป | ||
| ๏ ปรามาณสามยามสัตว์สงัดเงียบ | ยังเย็นเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว | ||
| พนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร | หอมดอกไม้รื่นรื่นชื่นวิญญาณ์ | ||
| เอกอะไรไม่รู้ดูไม่เห็น | หอมเหมือนเช่นน้ำหอมของหม่อมป้า | ||
| โอ้เคราะห์กรรมจำขาดญาติกา | เมื่อยามเข็นเห็นหน้าแต่อาแป๊ะ | ||
| อยู่ท้ายเกียนเทียนธูปสิ่งใดตก | ช่วยหยิบยกให้คุณพ่อหัวร่อแหระ | ||
| ออกทุ่งกว้างทางเตียนขับเกียนแวะ | ให้ควายและเล็มหญ้ากินวารี | ||
| แล้วเดินทางกลางนาเวลาดึก | แลพิลึกกว้างขวางหว่างวิถี | ||
| หนทางเกียนเตียนตล่งเป็นผงคลี | ต้นไม้มีรายรายริมชายนา | ||
| ๏ ถึงรั้วล้อมหย่อมย่านบ้านตะเข้ | ดึกคะเนสิบทุ่มคลุ้มเวหา | ||
| เรือนนายช่องห้องใหญ่ให้ไสยา | พระบิดาสวดมนต์อยู่บนเกียน | ||
| จนรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฟ้า | เห็นไร่นาเย่าเรือนดูเหมือนเขียน | ||
| ข้างเบื้องซ้ายชายป่าสุธาเตียน | เต็งตะเคียนรังร่มพนมเนิน | ||
| ข้างแควขวานาไร่กอไผ่รก | ฝูงนกหกหากินเที่ยวบินเหิน | ||
| เขาปล่อยความชายทุ่งเป็นฝูงเดิน | ได้ดูเพลินพลอยให้ใจสบาย | ||
| ฝ่ายพวกเขาชาวป่าทำอาหาร | แกงผักหวานกับปลาร้ามาถวาย | ||
| ทั้งแย้บึ้งอึ่งย่างมาวางราย | ทั้งหญิงชายชาวป่าศรัทธาครัน | ||
| ทั้งปลาทูปูป่าประสายาก | ไม่มีหมากเปลือกไม้จีบใส่ขัน | ||
| ถวายพระพระประโยชน์โปรดพวกนั้น | อุตส่าห์ฉันของป่าไม่อาเจียน | ||
| แต่หนูตาบกับพี่เณรเราเห็นอึ่ง | กับแย้บึ้งเบือนอายไม่หายเหียน | ||
| พอเสร็จพระยถาลานายเกียน | ตามทางเตียนตัดตรงเข้าดงรัง | ||
| ๏ สำราญรมย์ลมรื่นชื่นชื่นเฉื่อย | เรไรเรื่อยร้องแซ่ดังแตรสังข์ | ||
| จักจั่นแจ่แม่หม้ายลองไนดัง | วิเวกวังเวงใจในไพรวัน | ||
| เป็นป่าสูงฝูงสาลิกาแก้ว | จับพลอดแจ้วจับใจเสียงไก่ขัน | ||
| ดอกเต็งรังดังดอกจอกแลดอกจันทน์ | เป็นสีสันสอดแซงเหลืองแดงดี | ||
| ต่างเก็บได้ใจหมายถวายพระ | ใส่ตะบะแบกเดินเนินวิถี | ||
| ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี | ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา | ||
| กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม | ดูยอดน้อมมาข้างแท่นที่แผ่นผา | ||
| ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา | ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี | ||
| เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นตั้ง | เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี | ||
| ก้อนโลหิตคิดเห็นเช่นบาลี | อยู่ข้างที่แท่นพระเจ้าเข้านิพพาน | ||
| ๏ จุดเทียนธูปบุปผาบูชาพระ | นึกมานะนิ่งคิดพิษฐาน | ||
| ขอเดชะพระมหาโลกาจารย์ | เป็นประธานทั้งพระแท่นแผ่นศิลา | ||
| อันชาตินี้มีกรรมมาจำเกิด | ต้องร้างเริดไร้ญาติน้อยวาสนา | ||
| สิ้นตระกูลสูญขาดญาติกา | จะก้มหน้าบวชเรียนไม่เวียนวน | ||
| ขอเดชะพระผลาอานิสงส์ | ซึ่งเราทรงศีลสร้างทางกุศล | ||
| อย่ามีโศกโรคภัยสิ่งไรระคน | ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา | ||
| แม้นมิถึงซึ่งนิพพานการประเสริฐ | จะกลับเกิดก็อย่าคลาดพระศาสนา | ||
| ให้เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์กรรุณา | อย่าทำหน้าเหมือนหนึ่งยักษ์ให้รักกัน | ||
| ให้รูปงามทรามประโลมโฉมฉอเลาะ | รู้ประเหลาะประโลมหญิงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| พอสพเนตรเจตนาอย่าช้าพลัน | ให้นุชนั้นน้อมจิตสนิทใน | ||
| ประการหนึ่งซึ่งที่นึกรำลึกถึง | ให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย | ||
| มิตรจิตขอให้มิตรใจไป | เหมือนมาลัยลอยฟ้าลงมามือ | ||
| จะออกปากฝากรักก็ศักดิ์ต่ำ | กลัวจะซ้ำถมทับไม่นับถือ | ||
| ถึงยามนอนร้อนฤทัยดังไฟฮือ | ชมแต่ชื่อก็ค่อยชื่นทุกคืนวัน | ||
| เวลาหลับคลับคล้ายไม่วายเว้น | ได้พบเห็นชื่นใจแต่ในฝัน | ||
| ขอฝากปากฝากคำที่รำพัน | ให้ทราบขวัญนัยนาด้วยอาวรณ์ | ||
| แม้นได้ชมสมหวังดังสวาท | ไม่คลาคลาดเคลื่อนคลายสายสมร | ||
| แม้นชาตินี้ชีวาตม์จะขาดรอน | ไม่อาวรณ์หวังให้ลือว่าชื่อชาย | ||
| ๏ พอบิดาลาออกมานอกโบสถ์ | ขึ้นเขาโขดเขตผาศิลาสลาย | ||
| เป็นภูมิพื้นรื่นร่มลั่นทมราย | ชื่อเขาถวายพระเพลิงพระเจ้าเขาเล่าความ | ||
| เป็นกรวดแก้วแวววาวพรอยพราวพร่าง | เพชรน้ำค้างอย่างมณีสีสยาม | ||
| แม้นกลางคืนพื้นผาริมอาราม | ดูแวววามวาบวับแจ่มจับตา | ||
| ครั้นกลางวันนั้นก็เป็นเป็นแต่กรวด | จะเก็บมาอวดกันก็ทราบบาปหนักหนา | ||
| เที่ยวชมรอบขอบอารามตามบิดา | แล้วเลยลาลัดทางมากลางดง | ||
| ๏ ถึงท่าเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ | ได้กรวดน้ำแผ่ผลาอานิสงส์ | ||
| ให้ดับโศกโลกธาตุญาติทั้งวงศ์ | แล้วล่องลงมาทางหาดเมืองราชพรี | ||
| เมื่อเดินทางกลางแดนนั้นแสนอด | เสบียงหมดหมายมุ่งมากรุงศรี | ||
| โอ้เศร้าสร้อยน้อยหน้าทั้งตาปี | ด้วยไม่มีญาติมิตรสนิทใน | ||
| ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว | สุดจะเหลียวแลหาที่อาศัย | ||
| คำบูราณท่านว่ามิตรจิตใจ | ก็เปล่าไปไม่เหมือนคำที่รำพัน | ||
| จำเดิมแต่แลพบประสบพักตร์ | เรานึกรักร่ำไปเฝ้าใฝ่ฝัน | ||
| คอยฟังฝ่ายสายสวาทไม่ขาดวัน | ไม่ผ่อนผันพจมานประการใด | ||
| จะเด็ดรักหักจิตไม่คิดรัก | ดังศรปักสักแสนศรถอนไม่ไหว | ||
| จะสู้บวชรวดเดียวไม่เกี้ยวใคร | ธุดงค์ไปโป่งป่าตามอาจารย์ | ||
| แม้นผู้ใดได้อ่านของฉานมั่ง | ทั้งผู้ฟังเรื่องไร้แรมไพรสาณฑ์ | ||
| แบ่งกุศลผลผลาสมาทาน | ให้กับท่านทุกทุกคนตามจนเอย ฯ | ||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศพระแท่นดงรัง ของ สามเณรกลั่น ฉบับชำระใหม่ กรมศิลปากร จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๔
