กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(เห่เรื่องพระร่วง)
(เห่เรื่องซ้อมกระบวนเรือ)
แถว 471: แถว 471:
=== เห่เรื่องซ้อมกระบวนเรือ ===
=== เห่เรื่องซ้อมกระบวนเรือ ===
 +
<tpoem>
 +
<sup>โคลง</sup>
 +
๏ โครมโครมคะครึกครื้น  ครืนคราน
 +
ปืนใหญ่ยิงประหาร  ศึกซ้อม
 +
ซ้อมรบเพื่อชำนาญ  เชิงประชิด
 +
ยามอริมาห้อม  จักสู้เศิกขลัง ฯ
 +
</tpoem>
 +
<tpoem>
 +
<sup>กาพย์</sup>
 +
๏ โครมโครมเสียงครื้นครึก  เมื่อยากดึกครืนครานดัง
 +
ปืนตึงปึงโป้งปัง  ดังสนั่นลั่นสาคร
 +
๏ เรือตอร์ปิโดไว  เล็ดลอดไปไม่สยอน
 +
วิ่งจี๋รี่ไปรอน  ราญเรือปืนเสียงครืนคราน
 +
๏ เรือปืนต่างจอดซุ่ม  เห็นตะคุ่มในท้องธาร
 +
รอไว้พอได้การ  จึ่งต้านต่อตอร์ปิโด
 +
๏ เรือตอร์ปิโดวิ่ง  รวดเร็วจริงวิ่งอะโข
 +
เรือปืนปืนโตโต  ยิงปืนใหญ่มิใครทัน
 +
๏ อาศัยความมืดมน  จึ่งประจญได้แข็งขัน
 +
สว่างในกลางวัน  ฤๅจะกล้าเข้าราวี
 +
๏ เรือเล็กเหมือนเด็กน้อย  ได้แต่คอยดูท่วงที
 +
ต้องรอพอเหมาะดี  ผู้ใหญ่เผลอเหม่อจึงทำ
 +
๏ จะเข้าไปตรงตรง  คงต้องปืนครืนกระหน่ำ
 +
ให้ดีมีหลายลำ  จำต้องมีพี่เลี้ยงไป
 +
๏ นาวีฝีเท้ารวด  จึ่งจะกวดไปทันได้
 +
บัดนี้นาวีไทย  หาลำไหนไม่พอการ
 +
๏ แต่ดูการซ้อมศึก  ยังต้องนึกร้อนรำคาญ
 +
ชาวไทยถึงใจหาญ  ไม่มีเรือเหลือสู้เขา
 +
๏ คนไทยอย่างไรท่าน  ไม่รำคาญหรือไทยเรา
 +
ไฉนทำใจเบา  จะไม่ช่วยกันด้วยฤๅ ฯ
 +
</tpoem>
 +
=== เห่ชวนเข้าราชนาวีสมาคม ===
=== เห่ชวนเข้าราชนาวีสมาคม ===
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

การปรับปรุง เมื่อ 17:44, 22 สิงหาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

บทประพันธ์

เห่ชมกระบวนเรือ

โคลง
๏ ปางสมเด็จประเวศห้วงชลธี
ทรงมหาจักรีเกียรติก้อง
พรั่งพร้อมยุทธนาวีแหนแห่
เสียงอธึกทั่วก้องถิ่นด้าวอ่าวสยาม ฯ
             
กาพย์
๏ พระเสด็จโดยแดนชลทรงเรือต้นงามสดศรี
มหาจักรีมีเกียรติก้องท้องสาคร
๏ นาวาวรายุทธ์อุตลุดแลสลอน
แห่ห้อมจอมนครราวจะรอนริปูเปลือง
๏ ธงทิวปลิวระยับสีสลับขับแดงเหลือง
อันธงพระทรงเมืองเหลืองอร่ามดูงามตา
๏ ธงตรามหาราชผ่องผุดผาดในเวหา
รูปครุฑะราชาอ้าปีกกว้างท่าทางบิน
๏ ธงแดงดังแสงชาดลายช้างกาจก่องกายิน
บอกตรงธงแผ่นดินถิ่นสยามอันงามงอน
๏ จักรีนารีราชทิพอาสน์องค์ภูธร
สง่าราวอาภรณ์เพื่อประดับทัพเรือไทย
๏ ใหญ่กว่านาวาสรรพในกองทัพพหลไกร
บรรดานาวาไทยในบัดนี้ไม่มีทัน
๏ ปืนไฟใหญ่ประเภทสี่นิ้วเศษสุดแข็งขัน
สามารถอาจเหียนหันผันหน้าสู้ศัตรูแรง
๏ อีกศรหกปอนด์หนักก็พร้อมพรักศักดิ์กำแหง
เตรียมอยู่สู้ศึกแข็งแย้งยื้อยุทธ์สุดกำลัง
๏ พาลีรั้งทวีปรีบแล่นตามงามเงื่อนขลัง
เรือปืนยืนยุทธ์ยังดังกระบี่พาลีหาญ
๏ เรือแรงกำแหงยุทธมกุฏราชะกุมาร
คอยสู้ศัตรูพาลผู้ยื้อยุดมกุฏไทย
๏ สุครีพครองเมืองศรีสุรนาวีมุ่งชิงชัย
เรือปืนยืนยุทธไกรเหมือนพญาพานะเรนทร์
๏ สุริยมณฑลกล้านาวากลาดลาดตระเวน
หาญต่อบ่รอเกณฑ์สะอึกสู้ริปูรอน
๏ เรือเสือทยานชลพิฆาตพลริปูสยอน
กั่นกล้าในสาครบ่ย่อหย่อนยุทธนา
๏ เรือเสือคำรนสินธุ์พิฆาตภินอริผลา
จู่โจมและโถมถากล้าประยุทธ์จนสุดแรง
๏ อีกเรือตอร์ปิโดวิ่งโร่รี่ฝีเท้าแข็ง
ว่องไวไล่ย้อนแย้งยักย้ายลอดดอดเอาชัย
๏ กระบวนล้วนแล่นล่องไปแทบท้องชลาลัย
อธึกดูคึกใจจิตจักสู้ศัตรูพาล ฯ
             

เห่ชมพระนคร

โคลง
๏ ล่องลอยในน่านน้ำเจ้าพระยา
จากเทพนครคลาคลาดเต้า
ชมวังสะพรั่งปรา-สาทรัตน์
ชมนครเขตเค้าเงื่อนแม้นเมืองราม ฯ
             
กาพย์
๏ ล่องลอยในน่านน้ำวิเศษลำเจ้าพระยา
จากกรุงเทพมหานครราชะธานี
๏ ค่อยเลื่อนเคลื่อนนาวาจาหหน้าท่าวาสุกรี
ใช้จักรล่องนทีนาวีเรื่อยเฉื่อยตามลม
๏ เหลือบแลชะแง้พิศดูดุสิตวนารมย์
เคยเที่ยวลดเลี้ยวชมดมบุปผาสารพัน
๏ ชมวัดดังวิมานถิ่นสถานมัฆวัน
เพลินพิศไพจิตรสรรพะงามเนตรวิเศษชม
๏ สล้างปรางค์มหันต์อนันตสมาคม
อัมพรสถานสมเป็นสถานพิมานอินทร์
๏ สถานวิมานเมฆเอกอาสน์โอ่ท้าวโกสินทร์
อภิเษกดุสิตภิญ-โญยศยงองค์ภูบาล
๏ ตำหนักสำนักตาจิตรลดารโหฐาน
ที่พระอวตารสำราญรมย์ภิรมยา
๏ สะพรั่งวังอนุชผู้ทรงสุดเสน่หา
ปารุสก์สุดเพลินตาสวนกุหลาบปลาบปลื้มใจ
๏ ตำหนักพระชนนีมีนามว่าพญาไท
อยู่ทางบ่ห่างไกลใกล้ดุสิตวนาภา
๏ นาวาผ่านนิเวศน์พระทรงเดชจอมประชา
พินิจพิศเพลินตาตระการตรูดูเลิศดี
๏ สล้างปรางค์ปราสาทประกอบมาศมณีศรี
รยับจับรพีสีสว่างกลางอัมพร
๏ ปราสาทราชฐานอวตารสโมสร
ยงยอดสอดสลอนยอนยั่วฟ้าน่านิยม
๏ จักรีพระที่นั่งสามยอดตั้งตรูตาชม
สำราญสถานสมสถิตถิ่นปิ่นนรา
๏ ดุสิตปราสาทตั้งพระมนังคะศิลา
พิมานรัถยาอุดมอาสน์ราชฐาน
๏ มณเฑียรเสถียรศักดิ์จักรพรรดิ์พิมาน
เคียงใกล้คือไพศาลทักษิณที่สุขาลัย
๏ ฝ่ายหน้าสง่าสิ้นอมรินทร์วินิจฉัย
พระโรงภูวนัยธ ประศาสน์ราชการ
๏ อารามวัดพระศรีรัตนศาสดาคาร
มงคลมหาสถานปูชนีย์ที่นิยม
๏ อันกรุงรุ่งเรืองกิตติ์ที่สถิตพิโรดม
เลิศล้วนชวนจิตต์ชมสมเกียรติ์เลื่องเมืองสยาม
๏ ถนนสถลมารคอีกคลองหลากล้วนแลงาม
รุ่งเรืองดังเมืองรามจักรพรรดิฉัตรสากล ฯ
             

เห่ชมทางไปปากน้ำ

โคลง
๏ แล่นเรือมาแช่มช้าตามกระแส
แลเหลือบเหลียวหลังแลไฝ่บ้าน
ใจโยนประหนึ่งแพโดนคลื่น
ลมเฉื่อยระเรื่อยสร้านจิตเศร้าหาศรี ฯ
             
กาพย์
๏ เรื่อย ๆ เรือลอยลำตามสายน้ำถูกกระแส
แลเหลือบเหลียวหลังแลไฝ่ถึงบ้านสร้านโศกใจ
๏ เรือนแพแลสพรั่งคลื่นโดนฝั่งก็กวัดไกว
แพโยน ๆ เหมือนใจเรียมผู้ไฝ่ถึงเคหา
๏ ผ่านหน้าวัดอรุณเคยทำบุญญะบูชา
ขอบุญการุญพาให้ฃ้าสมอารมณ์หวัง
๏ ขออย่าให้ฃ้าศึกผู้พิลึกกาจกำลัง
สามารถอาจภินพังพระปรางค์ศรีธานีไทย
๏ ผ่านทางบางคอแหลมชื่อบางแนมเหน็บดวงใจ
แหลมหลักจักหาไหนเหมือนแหลมคำเจ้าร่ำวอน
๏ ปากลัดตัดวิถีทางนทีสู่สาคร
วานลัดตัดทางจรดลสู่เจ้าตัดเศร้าใจ
๏ ยามมองช่องนนทรีเห็นธานีอยู่ไกล ๆ
หลังคาเคหาในนครยวนชวนจิตผัน
๏ เห็นเสาวิทยุเด่นเปนของเลิศประเสริฐครัน
ถนัดอัศจรรย์พูดกันได้ไม่มีสาย
๏ ดูราวกับสองจิตมิตร์ต่อมิตร์คิดเหมือนหมาย
เหมือนตารักตาชายตาเห็นรักประจักษ์ใจ
๏ ผ่านป้อมเสือซ่อนเล็บนึกน่าเจ็บดวงหทัย
โบราณท่านตั้งไว้ให้เล็งเหมาะจำเภาะดี
๏ ยิงเป้งเผงกลางน้ำไม่ผิดลำถูกนาวี
อนิจจามาบัดนี้ป้อมปรักแลหักพัง
๏ ผีเสื้อสมุทป้อมหนึ่งนั้นย่อมดูแขงขลัง
ยิงปืนครั่นครืนดังคำนับองค์พระทรงศร
๏ สมุททะเจดีย์บูชะนีย์ประนมกร
เอี่ยมโอ่สโมสรกลางวิมลชลธาร
๏ นาวามายั้งหยุดยังสมุททะปราการ
ดูเมืองรุ่งเรืองร้านตลาดของที่ต้องใจ
๏ เรือรอพอเวลาน้ำขึ้นมามากพอไป
ก็เลื่อนเคลื่อนคลาไคลไปสู่ท้องทเลลม
๏ ลมเฉื่อยเรื่อย ๆ พากลิ่นบุบผามารวยรมย์
รื่นรวยราวมวยผมที่เคยดมชมชื่นใจ
๏ ลมพัดไม่จัดจ้านพอประมาณไม่แรงไป
เหมือนยามเจ้าทรามไวยพัดรำเพยเชยฤดี
๏ อากาศสอาดโปร่งสบายโล่งกลางวารี
แต่จิตคิดถึงศรีจิตจึ่งเหงาเศร้าอาดูร ฯ
             

เห่ชมปลา

โคลง
๏ ฝูงปลาดาดาษท้องทะเลหลวง
ดูชาติมัศยาปวงคู่เคล้า
ยิ่งดูยิ่งโทรมทรวงแสนโศก
โอ้คะนึงถึงเจ้าจิตว้าเหว่ถวิล ฯ
             
กาพย์
๏ ฝูงปลาดูดาดาษว่ายเกลื่อนกลาดทะเลหลวง
ดูชาติมัศยาปวงเคียงคู่เคล้าเย้ายวนเชย
๏ ยิ่งแลชะแง้พิศยิ่งเศร้าจิตนิจจาเอ๋ย
ราวปลามาแสร้งเย้ยให้เรียมเศร้าเหงาวิญญา
๏ ปลาทูชื่อดูชวนหวนคะนึงถึงเคหา
คำนึงถึงแก้วตาพธูน้อยผู้กลอยใจ
๏ กุเราเย้ายวนจิตคิดถึงมิตรชิดหทัย
เราอยู่คู่พิสมัยเราทั้งสองครองคู่กัน
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อฤๅเปรียบเนื้อนางสวรรค์
นวลจันทร์ชื่อนวลจันทร์ไม่นวลเท่าเจ้านวลแข
๏ กะพงเปรียบพงชัฏ อันแออัดในดวงแด
ห่างเจ้าเฝ้าท้อแท้เหมือนบุงพงดงหน่ายหนาม
๏ โลมามาว่ายล่อพอเห็นได้ใต้น้ำงาม
วานมาหานงรามทรามสงวนชวนนางมา
๏ ตาเดียวลดเลี้ยวลี้ก็ยังดีกว่าพี่ยา
เริศร้างห่างแก้วตาสองตาแลแพ้ตาเดียว
๏ ฉลาดตะกลามเหลือว่ายตามเรือรวดเร็วเจียว
ดูคล้ายชายช่างเกี้ยวเที่ยวคอยมองหาช่องเชย
๏ ฉลามอันหยามหยาบเสียทีราบละเจ้าเอ๋ย
น้องเราเจ้าคงเฉยมิให้ชู้ชิงคู่ครอง
๏ นางนวลนกทะเลบินร่อนเร่เหหันมอง
นางนวลเปรียบนวลน้องนกฤๅเท่าเจ้านวลใย
๏ ดูนกแสนฉลาดเหมือนอากาศยานไคล
ร่อนเร่เหหันไปเที่ยวตรวจดูหมู่อรี
๏ เปรียบปลาเหมือนเรือดำเดินใต้น้ำสาครศรี
แล่นลอดดอดมาตีเรือลำใหญ่ได้บางครา
๏ นางนวลบินลอยล่องมองถนัดมัศยา
ไวเจียวเฉี่ยวโฉบปลาไปกินเล่นเป็นอาหาร
๏ ดูนกฉกโฉบปลาก็เหมือนอากาศยาน
สามารถอาจสังหารเรือใต้น้ำระยำไป
๏ อ้านกวิหคหาญเราขอวานบ้างเป็นไร
ช่วยถือหนังสือไปถึงเรือนเจ้าเยาวพา
๏ พิราบเขาเลี้ยงไว้เขาก็ใช้ถือสารา
นางนวลชวนเชิญมาเป็นทูตาถึงนวลเชย
๏ กะไรช่างใจดำไม่ฟังคำเราบ้างเลย
แดดจ้านิจจาเอ๋ยเหมือนเพลิงรุมสุมอกกรม
๏ คำนึงถึงเจ้าพี่ราวไฟจี้จ่ออารมณ์
เริศร้างห่างเหินชมว้าเหว่จิตคิดถวิล ฯ
             

เห่ชมชายทะเล

โคลง
๏ สีชังชังชื่อแล้วอย่าชัง
อย่าโกรธพี่จริงจังจิตต์ข้อง
ตัวไกลจิตต์ก็ยังเนาแนบ
เสน่ห์สนิทน้องนิจโอ้อาดูร ฯ
             
กาพย์
๏ สีชังชังแต่ชื่อเกาะนั้นฤๅจะชังใคร
ขอแต่แม่ดวงใจอย่าชังชิงพี่จริงจัง
๏ ตัวไกลใจพี่อยู่เป็นคู่น้องครองยืนยัง
ห่างเจ้าเฝ้าแลหลังตั้งใจติดมิตร์สมาน
๏ บางพระนึกถึงพระบูชนีย์ที่สักการ
แต่งตั้งยังสถานแทบหัวนอนขอพรครอง
๏ ผ่านทางบางปลาสร้อยจิตต์ละห้อยละเหี่ยหมอง
นึกสร้อยสายเพ็ชรทองคล้องคอเจ้าเย้ากระมล
๏ บางนี้บุรีงามอันออกนามว่าเมืองชล
แลท้องทะเลวนชลนัยน์ไหลลงธาร
๏ อ่างหินนึกอ่างหินที่ยุพินเคยสนาน
โอ้ว่ายุพาพาลจะอ้างว้างริมอ่างหิน
๏ เรือผ่านเกาะกระดาษแม้สามารถจะพังภิน
จะเขียนสาราจิน-ตนาส่งถึงนงเยาว์
๏ ถึงอ่าวพุดซาวันริกริกสั่นสิอกเรา
คิดถึงพุดซาเจ้าเคยเก็บไว้ให้พี่ยา
๏ คลุกพริกกับเกลือดีไว้ให้พี่จิ้มพุดซา
เสร็จงานกลับบ้านมาพอได้ลิ้มชิมชอบใจ
๏ ครั้นถึงทุ่งไก่เตี้ยยิ่งละเหี่ยละห้อยใจ
นึกยามเจ้าทรายวัยปรุงแกงไก่ให้พี่กิน
๏ เดินผ่านร้านดอกไม้ก็ยิ่งใฝ่ใจถวิล
เคยชวนโฉมยุพินชมดอกไม้ที่ในสวน
๏ เกาะยอเหมือนยอเจ้ายุพเยาว์อนงค์นวล
แสร้งยอ บ่ มิควรเพราะนิ่มเนื้อเหลือเลิศชม
๏ เข้าถึงสัตหีบรีบหลบลี้หนีคลื่นลม
นึกยามเจ้าทรามชมจัดผ้าจีบลงหีบน้อย
๏ ขบวนเรือประพาสดูดาดาษกลาดเกลื่อนลอย
ชิงชังดังหนึ่งคอยจะต่อสู้ศัตรูผลา
๏ จอดห้อมล้อมเป็นวงรอบเรื่ององค์พระราชา
ดูเหมือนเดือนสง่าอยู่ท่ามกลางหว่างหมู่ดาว
๏ ดูพลางทางรำพึงนิ่งคำนึงถึงเนื้อขาว
นึกนึกรู้สึกราวไปงานศึกพิลึกใจ
๏ แม้มีศึกสงครามถึงสยามในวันใด
จำพรากจากทรามวัยไปต่อสู้ศัตรูพาล
๏ เกิดมาเป็นชาวไทยต้องทำใจเป็นทหาร
รักเจ้าเยาวมาลย์ก็จำหักรักรีบไป
๏ จะยอมให้ไพรีเหยียบย่ำยีแผ่นดินไทย
เช่นนั้นสิจัญไรไม่รักชาติศาสนา
๏ เพราะรักประจักษ์จริงจึงต้องทิ้งเจ้าแก้วตา
จงรักภักดีมาอาสาต้านราญริปู ฯ
             

เห่ครวญ

โคลง
๏ รอนรอนอ่อนอกโอ้อัสดง
สุริยพระมืดลงหมดแล้ว
ยามมืดชืดเย็นองค์วายุพัด
ยิ่งตรึกนึกน้องแก้วพี่เศร้าทรวงศัลย์ ฯ
             
กาพย์
๏ รอนรอนอ่อนอัสดงตะวันลงลับเหลี่ยมผา
มืดมนสนธยาพามืดมัวทั่วดวงใจ
๏ ชะแง้แลเทือกเขาเป็นเงาเงาอยู่รำไร
รำพึงคะนึงไปชวนให้นึกถึงตึกราม
๏ ตึกแถวเป็นแนวข้างถนนทางนครงาม
สว่างกระจ่างวามด้วยไฟฟ้าอ่าเอี่ยมแสง
๏ อีกตามถนนหลวงไฟฟ้าดวงรุ่งเรืองแรง
สว่างกระจ่างแจ้งแสงสว่างราวกลางวัน
๏ ยามเย็นเคยเห็นคนขึ้นรถยนต์ขับอวดกัน
นารีที่คมสันต่างขันแข่งแต่งยวนชาย
๏ ผ้าม่วงสีช่วงโชติเหลืองแดงโรจน์สีหลากหลาย
เสื้อแพรแลดอกลายผ้าแพรห่มล้วนสมสวย
๏ หน้านวลนวลแต่น้อยแช่มช้อยสมกับผมมวย
อาภรณ์ซ้อนแซมด้วยแวววับวับพอจับตา
๏ ดูใครไม่ชื่นจิตเท่ามิ่งมิตรวนิดา
ดูพลางทางจับตาชายตารักชักตาชม
๏ ตาดำขำแก้วพี่พอสมดีกับสีผม
ฟันขาวดูราวชมแก้วมุกดาน่ายินดี
๏ หนังสือฤๅเจ้ารู้พอควรอยู่แก่สตรี
ประเสริฐเลิศนารีเจ้าไม่ทิ้งสิ่งที่ควร
๏ กิจการในบ้านช่องเจ้าช่ำชองสิ้นทั้งมวล
ทุกสิ่งยอดหญิงล้วนจะขยันหมั่นการงาน
๏ ไม่เหมือนหญิงบางคนสาละวนไม่เข้าการ
มัวมุ่งยุ่งแต่งสารจนลืมงานการบ้านเรือน
๏ สำแดงแต่วิชาหนังสือบ้าจนแชเชือน
ยุ่งกันชักฟั่นเฟือนฟุ้งซ่านไปจนไร้ผัว
๏ น้องพี่สิฉลาดแสนสามารถในการครัว
ช่างชวนและยวนยั่วให้พี่ชิมลิ้มอาหาร ฯ
             

เห่ชมเครื่องว่าง

โคลง
๏ ข้าวต้มอมรสเปรี้ยวเค็มปน
เนื้อนกนุ่มระคนผักเคล้า
ร้อนร้อนตักหลายหนห่อนเบื่อ
รสหลากหลากรสเร้าเร่งให้ใฝ่กิน ฯ
             
กาพย์
๏ ข้าวต้มอมรสเปรี้ยวดีจริงเจียวเปรี้ยวเค็มปน
เนื้อนกนุ่มระคนปนผักเคล้ารสเข้าที
๏ ข้าวต้มเนื้อโคกลั้วปนถั่วเขียวกลมเกลียวดี
มันเทศวิเศษมีรสโอชาแสนน่ากิน
๏ สาคูเม็ดใหญ่กลมแทนข้าวต้มสมถวิล
รสยวนชวนให้กินสิ้นทั้งหมดรสเหลือแหลม
๏ ขนมจีบเจ้าช่างทำทั้งน้ำพริกมะมาดแกม
มะเฟืองเป็นเครื่องแกล้มรสเหน็บแนมแช่มชูกัน
๏ ขนมเบื้องญวนใหม่ประกอบไว้วิเศษสรร
ทอดกรอบชอบกินมันเคี้ยวกรอบกรอบชวนชอบใจ
๏ หมูแนมแกมเครื่องเรี่ยมหอมกระเทียมผักชีใหม่
พริกแดงแซงสอดไว้ใบทองหลางวางชิ้นหมู
๏ เมื่ยงคำน้ำลายสอเมี่ยงสมอเมี่ยงปลาทู
ข้าวคลุกคลุกไก่หมูน้ำพริกกลั้วทั่วโอชา
๏ ข้าวตังกรอบถนัดน้ำพริกผัดละเลงทา
ข้าวตังปิ้งใหม่มาจิ้มหน้าตั้งทั้งเค็มมัน
๏ อีกทั้งขนมเบื้องเครื่องช่างเคล้าเข้าเหมาะกัน
ละเลงเก่งเหลือสรรชูโอชาไม่ลาลด
๏ แกงไก่ใส่เครื่องถมคลุกขนมจีนแป้งสด
ข้าวมันมันแกมรสส้มตำเปรี้ยวชวนเคี้ยวกิน
๏ ลูกไม้ใส่โถแก้วล้วนเลิศแล้วสมใจจินต์
สารพัดจัดให้กินเสมอได้ไม่ขัดขวาง
๏ ทั้งหมดรสอาหารเปรี้ยวเค็มหวานไม่จืดจาง
รสเหมาะเพราะมือนางแก้วพี่เคล้าเย้ายวนใจ ฯ
             

เห่ครวญถึงหนังสือ

โคลง
๏ เงียบเหงาเปล่าอกโอ้อกครวญ
หยิบสมุดชุดชวนอ่านบ้าง
นอนอ่าน ๆ ยิ่งหวลใจโศก
น้องพี่เคยเคียงฃ้างช่วยชี้ชวนหัว ฯ
             
กาพย์
๏ เงียบเหงาเปล่าอกหมองคิดถึงน้องหมองวิญญา
จึ่งหยิบหนังสือมาแก้รำคาญอ่านเรื่อยไป
๏ อ่าน ๆ รำคาญฮือแบบหนังสือสมัยใหม่
อย่างเราไม่เฃ้าใจภาษาไทยเฃาไม่เขียน
๏ ภาษาสมัยใหม่ของถูกใจพวกนักเรียน
อ่านนักชักวิงเวียนเขาช่างพียรเสียจริงจัง
๏ แบบเก๋เขวภาษาสมมตว่าแบบฝรั่ง
อ่านเบื่อเหลือกำลังฟังไม่ได้คลื่นไส้เหลือ
๏ อ่านไปไม่ได้เรื่องชักชวนเคืองเครื่องให้เบื่อ
แต่งกันแสนฟั่นเฝืออย่างภาษาบ้าน้ำลาย
๏ โอ้ว่าภาษาไทยช่างกระไรจวนฉิบหาย
คนไทยไพล่กลับกลายเปนโซ็ดบ้าน่าบัดสี
๏ หนังสือฤาหวังอ่านแก้รำคาญได้สักที
ยิ่งอ่านดาลฤดีเลยต้องขว้างกลางสาคร
๏ ลองหามาอ่านใหม่พะเอินได้เปนบทกลอน
สมมตบทลครขึ้นชื่อเสียงเฉวียงไว
๏ พุทโธ่โอ้ใจหายเราเคราะห์ร้ายนี่กระไร
จบหมดบทกลอนไทยไม่เปนส่ำระยำมัง
๏ ทั้งมวลล้วนเหลวแหลกทุกแพนกอนิจจัง
เรื่องเปื่อยเลื้อยรุงรังทั้งถ้อยคำซ้ำหยาบคาย
๏ กลับหันหาเรื่องดีที่เอาไว้ใกล้ ๆ กาย
อ่านให้ใจสบายหายง่วงเหงาเศร้ากระมล ฯ
             

เห่เรื่องนางสีดา

โคลง
๏ แถลงปางนางแน่งน้อยสีดา
ถูกยักษ์อัปลักษณ์พาห่างห้อง
พระรามพระโกรธายักษ์โหด
พระจึ่งยกพลก้องกึกเข้าไปรอน ฯ
             
โคลง
๏ กล่าวปางนางสีดาถูกพญาทศศีรษ์
ลักพาไปธานีจึงเกิดศึกพิลึกหาญ
๏ เหตุสุรปนขาบ้ากามาแสนสามานย์
มุ่งพระอวตารให้เป็นผัวเพื่อตัวครอง
๏ เสแสร้งจำแลงกายให้เฉิดฉายนวลละออง
ไปเกี้ยวเลี้ยวลดลองพรากพธูผู้เคียงกัน
๏ พระองค์ผู้ทรงศักดิ์ไม่จงรักด้วยกับมัน
หญิงชั่วมั่วโมหันมันจะพาเสียราศี
๏ นางยักษ์เข้าหักหาญราญสีดายอดนารี
น้องรักพระจักรีจึ่งบำราบปราบนางมาร
๏ พระตัดจมูกมันอีกทั้งฟันหูแหลกลาญ
ทาสาแสนสามานย์ก็รีบรี่หลีกหนีไป
๏ ไปชวนทั้งทูษณ์ขรมาราญรอนภูวไนย
ยักษาปราชัยไม่ทนพระบารมี
๏ เดือดดาลนางมารบ้าวิ่งไปหาทศศีรษ์
กลอกกลับแสนอัปรีย์สาระแนยุแหย่ไป
๏ ท้าวยักษ์ได้ฟังความเหมือนไฟกามจ่อจี้ใจ
ให้คิดพิสมัยใฝ่อนงค์องค์สีดา
๏ ใช้มารีจจำแลงแปลงเป็นกวางร่างโสภา
พอพบประสบตาสีดาเจ้าเฝ้าถวิล
๏ ทูลวอนชะอ้อนง้อต่อสมเด็จพระจักริน
จนองค์พงศ์นรินทร์พระเกรงน้องจะหมองหมาง
๏ จับศรสุรพลเสด็จด้นไปตามกวาง
ให้ลักษมณ์พักอยู่พลางเป็นผู้เฝ้าเจ้าสีดา
๏ มารีจครั้นถูกศรทำเสียงอ่อนด้วยมารยา
เรียกลักษมณ์อนุชามาช่วยพี่ที่ในพง
๏ ยุพินยินเสียงมันให้สำคัญเคลือบแคลงหลง
ใช้ลักษมณ์รีบสู่ดงช่วงองค์พระอวตาร
๏ ครานั้นทศศีรษ์จึ่งได้ทีเหมือนใจพาล
เข้ามาหานงคราญจำแลงร่างอย่างโยคี
๏ กล่าวคำร่ำเกลี้ยกล่อมนางไม่ยอมฟังวาที
พูดไปไม่ไยดีพิษเพลงิงกามยิ่งลามลน
๏ ยิ่งขัดยิ่งกลัดกลุ้มเข้าโอบอุ้มนฤมล
พาล่องฟ่องเวหนสู่ลงกาธานีมาร
๏ พระรามกลับศาลาไม่เห็นหน้ายอดสงสาร
องค์พระอวตารก็แสนโศกวิโยคนาง
๏ ชวนพระอนุชารีบลีลาในเถื่อนทาง
เดินพลางแลครวญพลางจนประสบพบวานร
๏ ช่วยลูกพระอาทิตย์รณชิตชิงนคร
กำแหงพระแผลงศรต้องพาลีชีวีลาญ
๏ สุครีพจึ่งจัดพลพร้อมพหลพลทวยหาญ
เพื่อพระอวตารผลาญขุนราพณ์ปราบลงกา
๏ เกิดศึกพิลึกเดชก็เพราะเหตุด้วยสีดา
ชิงรักชักชวนพาให้พระยุทธ์สุดเริงรณ
๏ ยุทธ์แย้งแย่งสีดายังอุตส่าห์ยอมเสียชนม์
แย่งดินถิ่นถกลฤๅจะห่วงหวงชีวัน ฯ
             

เห่เรื่องพระร่วง

โคลง
๏ นึกถึงพระร่วงเจ้าจอมไทย
แค้นพวกจอมจังไรโหดห้าว
ทะนงคิดจงใจกู้ชาติ
กระเดื่องเดชะท้าวร่วงผู้ผดุงเสียม ฯ
             
กาพย์
๏ นึกถึงพระร่วงเจ้าผู้ผ่านเผ้าประชาไทย
ดำรงทรงราชัยในละโว้โอ่เอี่ยมงาม
๏ คั่งแค้นขอมอัปรีย์มันกดขี่ชาวสยาม
จะคิดทำสงครามฤๅก็อ่อนหย่อนแรงพล
๏ พระจึ่งคิดอุบายและยักย้ายด้วยเล่ห์กล
เอาเปรียบทุรชนด้วยว่องไวใช้ปรีชา
๏ จักไม้สานชะลอมรูปกลมกล่อมเอาชันยา
จึ่งตักเอาน้ำมาสำเร็จได้ดังใจจินต์
๏ ความรู้ถึงภูธรนครขอมจอมนรินทร์
จึ่งใช้ให้โยธินกรีธาทัพมาจับตัว
๏ พระร่วงแสร้งหลบไปเดโชไชยคิดว่ากลัว
โมหันธ์อันมืดมัวไม่เข้าใจในอุบาย
๏ เชื่อฤทธิ์อิทธิ์กำแหงจึ่งปลอมแปลงจำแลงกาย
จำนงจงใจหมายไปสังหารผลาญเจ้าไทย
๏ ด่วนไปให้ลี้ลับดูราวกับดำดินไป
ถึงกรุงสุโขทัยเข้าสถานลานอาราม
๏ พบพระรูปหนึ่งไซร้ขอมจัญไรไม่รู้ความ
จึ่งไหว้และไต่ถามถึงร่วงเจ้าเธออยู่ไหน
๏ พระร่วงภิกษุรู้ว่าศัตรูไม่รู้นัย
จึ่งตอบประวิงไปว่าจงรอพอเธอมา
๏ แล้วรีบเรียกโยมวัดมาจับมัดขอมพาลา
เดโชโง่หนักหนาก็แพ้พระบารมี
๏ ชาวเมืองก็เลื่องลือเสียงเฮฮือทั้งธานี
ไพร่ฟ้าประชาชีไปเผ้าองค์พระทรงธรรม์
๏ ชีบาเสนามาตย์อภิวาทน์บังคมคัล
เชิญทรงดำรงขัณฑ์สุโขทัยอันไพศาล
๏ พระร่วงรับคำเชิญดำเนินสู่ราชฐาน
จึ่งทำภิเษกการขึ้นผ่านเผ้าเป็นเจ้าไทย
๏ ต่อมาราชาคิดรณชิตขอมจัญไร
กู้แคว้นแดนกรุงไทยให้พ้นเอื้อมเงื้อมมือขอม
๏ ทุกแคว้นแดนนิคมก็นิยมระยอบยอม
ทั้งหมดประณตน้อมนอบพระร่วงปวงพำนัก
๏ นึกถึงพระร่วงฤท-ธิมหิทธิ์วิสิฐศักดิ์
นามเพราะดูเหมาะนักเป็นนามาแห่งนาวี
๏ พระร่วงเรือรบหมายไว้ภวายพระภูมี
ชื่อดีขอโชคดีจงประสบเรือรบไทย
๏ ยามใดใช้แย่งยุทธ์ฤทธิรุทรจงเกรียงไกร
เหมือนร่วงขุนหลวงไทยบำราบศึกพิลึกหาญ ฯ
             

เห่เรื่องซ้อมกระบวนเรือ

โคลง
๏ โครมโครมคะครึกครื้นครืนคราน
ปืนใหญ่ยิงประหารศึกซ้อม
ซ้อมรบเพื่อชำนาญเชิงประชิด
ยามอริมาห้อมจักสู้เศิกขลัง ฯ
             
กาพย์
๏ โครมโครมเสียงครื้นครึกเมื่อยากดึกครืนครานดัง
ปืนตึงปึงโป้งปังดังสนั่นลั่นสาคร
๏ เรือตอร์ปิโดไวเล็ดลอดไปไม่สยอน
วิ่งจี๋รี่ไปรอนราญเรือปืนเสียงครืนคราน
๏ เรือปืนต่างจอดซุ่มเห็นตะคุ่มในท้องธาร
รอไว้พอได้การจึ่งต้านต่อตอร์ปิโด
๏ เรือตอร์ปิโดวิ่งรวดเร็วจริงวิ่งอะโข
เรือปืนปืนโตโตยิงปืนใหญ่มิใครทัน
๏ อาศัยความมืดมนจึ่งประจญได้แข็งขัน
สว่างในกลางวันฤๅจะกล้าเข้าราวี
๏ เรือเล็กเหมือนเด็กน้อยได้แต่คอยดูท่วงที
ต้องรอพอเหมาะดีผู้ใหญ่เผลอเหม่อจึงทำ
๏ จะเข้าไปตรงตรงคงต้องปืนครืนกระหน่ำ
ให้ดีมีหลายลำจำต้องมีพี่เลี้ยงไป
๏ นาวีฝีเท้ารวดจึ่งจะกวดไปทันได้
บัดนี้นาวีไทยหาลำไหนไม่พอการ
๏ แต่ดูการซ้อมศึกยังต้องนึกร้อนรำคาญ
ชาวไทยถึงใจหาญไม่มีเรือเหลือสู้เขา
๏ คนไทยอย่างไรท่านไม่รำคาญหรือไทยเรา
ไฉนทำใจเบาจะไม่ช่วยกันด้วยฤๅ ฯ
             

เห่ชวนเข้าราชนาวีสมาคม

เชิงอรรถ

อ้างอิง

เครื่องมือส่วนตัว