บทละครนอกเรื่องสังข์ศิลป์ชัย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 389: แถว 389:
สองกรข้อนทรวงเข้าฮักฮัก  ซบพักตร์กันแสงโศกี
สองกรข้อนทรวงเข้าฮักฮัก  ซบพักตร์กันแสงโศกี
ฯ ๘ คำฯ โอด
ฯ ๘ คำฯ โอด
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
ร่าย
 +
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์  จึงปรึกษากันทั้งสองศรี
 +
อันปราสาทราชฐานของเรานี้  บังเกิดมีเพราะบุญพระโอรส
 +
แม้นว่าขวัญข้าวเจ้าม้วยมรณ์  เห็นบ้านเมืองสังข์ศรจะสูญหมด
 +
ต่อจะยังไม่ทิวงคต  ก็ค่อยคลายกำสรดโศกา
 +
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
ลำจีน
 +
๏ มาจะกล่าวบทไป  ถึงจีนนายสำเภาล้าต้า
 +
ใช้ใบจากกวางตุ้งมุ่งมา  จะเข้าเมืองปัญจาล์เวียงชัย
 +
ต้นหนวางเข็มไม่สันทัด  ตกคุ้งลมขัดไม่ออกได้
 +
น้ำท่ากินกินก็สิ้นไป  จึงให้ทอดสมอรอรั้ง
 +
ลูกเรือขันช่อสำปั้นลง  โล้ฝืนคลื่นตรงเข้าถึงฝั่ง
 +
ต่างขึ้นบกไปมิได้ยั้ง  เอาถึงตักน้ำแล้วแบกมา
 +
บ้างพากันเที่ยวไปในดง  เห็นธงปักอยู่บนภูผา
 +
ชะรอยว่าใครเสียนาวา  จึงขึ้นปลดเอาผ้ากับช้อง
 +
แล้วแยกย้ายรายค้นจนทั่ว  มิได้พบตัวคนเจ้าของ
 +
ต่างกลับลงมาสัดจอง  โล้ล่องออกไปเภตราพลัน
 +
ฯ ๑๐ คำฯ เชิด
 +
 +
 +
ร่าย
 +
๏ ครั้งถึงจึงขึ้นบนสำเภา  ตรงเข้าบาหลีขมีขมัน
 +
เอาผ้ากับช้องของสำคัญ  ส่งให้นายนั้นทันใด
 +
ต่างคนบนบานอยู่เซ็งแซ่  ที่ลมขัดพัดแปรมาให้
 +
คนงานกว้านสมอช่อใบ  แล่นไปในทะเลสะดวกดี
 +
ฯ ๔ คำฯ โล้
 +
 +
 +
ช้า
 +
๏ เมื่อนั้น  ฝ่ายท้าวเสนากุฎเรื่องศรี
 +
สถิตแท่นไสยาในราตรี  ภูมีเร่าร้อนอาวรณ์ใจ
 +
คิดถึงลูกรักทั้งหกองค์  จะเดินดงยากเย็นเป็นไฉน
 +
นับได้หลายเดือนแต่จากไป  หรือจะไม่พบอาจึงช้าวัน
 +
คิดคะนึงถึงลูกยิ่งละห้อย  เคลื้มม่อยหลับไปเมื่อไก่ขัน
 +
ทรงสุบินนิมิตอัศจรรย์  พอรุ่งสุริย์ฉันก็ฟื้นองค์
 +
ฯ ๖  คำฯ
 +
 +
 +
ร่าย
 +
๏ พระลุกจากแท่นที่ตะลีตะลาน  ภูบาลชำระสระสรง
 +
ทรงเครื่องกกุธภัณฑ์บรรจง  เสด็จตรงออกพระโรงรจนา
 +
ฯ ๒ คำฯ เสมอ
 +
 +
 +
สิงโต
 +
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจี  พรั่งพร้อมเสนีทั้งซ้ายขวา
 +
จึงตรัสเรียกโหรเฒ่าเข้ามา  แล้วบัญชาแจ้งความตามนิมิต
 +
คืนนี้เราฝันประหลาดนัก  ว่าแก้วของเรารักดังดวงจิต
 +
มีผู้เดชาศักดาฤทธิ์  มาปลดปลิดชิงเอาของเราไป
 +
นานมีชายหนึ่งแปลกหน้า  ไปนำดวงจินดามาคืนให้
 +
กลับได้หลายดวงล้วนชอบใจ  จงทายไปให้รู้ว่าร้ายดี
 +
ฯ ๖ คำฯ
 +
 +
 +
ร่าย
 +
๏ บัดนั้น  ขุนโหรรับสั่งใส่เกศี
 +
ดูตามตำราในคัมภีร์  เห็นว่าดีมั่นคงไม่สงกา
 +
จึงประณตบทมาลย์แล้วทูลพลัน  ซึ่งทรงสุบินนั้นดีหนักหนา
 +
ทั้งหกพระโอรสจะกลับมา  เห็นได้ดังจินดาอาสาไป
 +
แต่ฝันวันอังคารนี้พาลร้าย  ตำราทายว่ามักให้หม่นไหม้
 +
จะเกิดเหตุสักอย่างในกลางไพร  เพียงแต่ตกใจไม่อันตราย
 +
คงจะได้มาสองเสียหนึ่ง  อีกเจ็ดวันจะถึงพระฤาสาย
 +
แม้นผิดจากถ้อยคำที่ทำนาย  ขอถวายชีวิตแก่ภูมี
 +
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวเสนากุฏเกษมศรี
 +
จึงตรัสสั่งทั้งสองเสนี  จงจัดแจงแต่งที่ปราสาทชัย
 +
มโหรีปี่พาทย์ฆ้องกลอง  ทั้งบายศรีทองที่ทำใหม่
 +
งิ้วหุ่นโขนหนังจงสั่งไป  เตรียมไว้ให้เสร็จในเจ็ดวัน
 +
แม้ว่าพระน้องกับลูกยา  มาถึงพาราจะทำขวัญ
 +
ให้เล่นการมหรสพครบครัน  แต่ในวันนั้นเป็นฤกษ์ดี
 +
ฯ ๖ คำฯ
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ บัดนั้น  เสนาประณตบทศรี
 +
มาบัตรหมายบอกกันทันที  ตามมีพระราชบัญชา
 +
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ฝ่ายหกกุมารโอรสา
 +
พาอามาในอรัญวา  แรมค้างกลางป่าหลายราตรี
 +
ศรีสันท์นั้นเฝ้าแต่เลียมและ  เห็นอาเมินเดินแซะเสียดสี
 +
ทำเลียบเคียงพูดจาพาที  เสชมโน่นนี่มาตามทาง
 +
ฯ ๔ คำฯ เพลง
 +
 +
 +
๏ ครั้นสุริยาเย็นลงรอนรอน  ชวนกันหยุดนอนในป่ากว้าง
 +
สีไฟก่อนกองให้สองนาง  คอยระวังเสือสางที่กลางไพร
 +
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  นางเกสรสุมณฑาศรีใส
 +
ปัดกวาดผงไผ่ใต้ต้นไทร  แล้วหักใบไม้มารองนอน
 +
สองนางเอนองค์ลงนิทรา  กลัวภัยภาวนาไม่หยุดหย่อน
 +
คิดถึงนัดดายิ่งอาวรณ์  เจ้าเคยแผลงศรเป็นพลับพลา
 +
สิ้นบุญหลานน้อยกลอยใจ  ได้ลำบากอยากไร้หนักหนา
 +
คิดพลางนางทรงโศกา  จนนิทราเคลิ้มหลับกับสุพรรณ
 +
ฯ ๖ คำฯ ตระ
 +
 +
 +
ลีลากระทุ่ม
 +
๏ เมื่อนั้น  ศรีสันท์แสนกลคนขยัน
 +
นั่งคิดนอนคิดทุกคืนวัน  จะเข้าหาสุพรรณกัลยา
 +
ยังหวาดหวั่นพรั่นจิตอิดเอื้อน  ความรักตักเตือนให้ใจกล้า
 +
ชะเง้อดูสุพรรณกับพระอา  เห็นนิทราหลับไหลได้ท่วงที
 +
จึงกระซิบบอกใบ้ให้น้องรู้  จงหลับนอนนิ่งอยู่อย่าอึงมี่
 +
ว่าแล้วค่อยย่องมองหมาย  วันนี้คงสมคะเนนึก
 +
หยุดยืนแอบรกอกเต้นทึก  แล้วสะอึกแฝงเงาเข้าไป
 +
ฯ ๘ คำฯ เชิงฉิ่ง
 +
 +
 +
ร่าย
 +
๏ นั่งลงเคียงข้างนางสุพรรณ  จะถูกถือมือสั่นไม่ต้องได้
 +
ความรักกลัดกลุ้มคลุ้มใจ  ค่อยชักสายสไบเทวี
 +
ฯ ๒ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  นางสุพรรณรู้สึกนึกว่าผี
 +
ตกใจลืมเนตรขึ้นทันที  เห็นอ้ายอัปรีย์ศรีสันทา
 +
นางเคืองขัดวัดเหวี่ยงเอาล้มหงาย  ลุกขึ้นถ่มน้ำลายแล้วบ่นด่า
 +
อันคนสัญชาติมันชั่วช้า  สุดแต่ว่าเอาด้านเข้าเป็นพื้น
 +
เห็นเขาหลับไหลแล้วได้ที  กล้าดีมึงมาเมื่อตื่นตื่น
 +
จะทำให้สาใจที่ไม่ลื้น  อย่าพักหนีไปยืนแอบไม้
 +
ฯ ๖ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  นางเกสรสุมณฑาศรีใส
 +
ผวาตื่นตระหนกตกใจ  จึงถามไถ่สุพรรณทันที
 +
ครั้นรู้ว่าศรีสันท์มันลอบมา  นางโกรธาด่าทออึงมี่
 +
ทำลอบลักหักหาญถึงเพียงนี้  อ้ายโจรป่ากล้าดีแล้วหนีไย
 +
มึงช่างตั้งใจแต่ข่มเหง  จะคิดเกรงน้ำหน้าก็หาไม่
 +
เพี้ยงเอ๋ยผีสางที่กลางไพร  จะหักคอมันให้ขาดใจตาย
 +
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ศรีสันท์ถุ้งเถียงเบี่ยงบ่าย
 +
พระอาอย่างเคืองขุ่นวุ่นวาย  มาลงร้ายเอาข้าร่ำด่ายับ
 +
หลานนอนอยู่ถึงโน่นทั้งหกคน  ประมาทลืมสวดมนต์ม่อยหลับ
 +
ปีศาจมากวนปล้ำอำทับ  ให้ตะคล้ายตะคลับยังหลับดี
 +
พึ่งรู้สึกตื่นขึ้นประเดี๋ยวนี้  ไม่แกล้งว่าฟ้าผี่เถิดพระอา
 +
นางสุพรรณนั้นละเมอว่าคนหยอก  เนื้อแท้ผีมันหลอกเหมือนเช่นข้า
 +
จงนิ่งนอนสวดมนต์ภาวนา  อย่าโกรธาด่าทออื้ออึง
 +
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ เมื่อนั้น  นางเกสรสุมณฑาโกรธขึ้ง
 +
จึงว่าอย่างเสกสรรดันดึง  ไม่เชื่อน้ำหน้ามึงอ้ายสันทา
 +
ดีแต่แก้ตัวไปทุกอย่าง  ใส่โทษผีสางช่างมุสา
 +
เมื่อเขาเห็นมึงแน่อยู่แก่ตา  ยังด้านหน้าถุ้งเถียงขึ้นเสียงดัง
 +
จะสู้อดไปกว่าจะสิ้นเคราะห์  กูขี้คร้านทะเลาะกับบ้าหลัง
 +
แล้วนางตั้งใจระไวระวัง  ผลัดกันนอนกันนั่งกับธิดา
 +
ฯ ๖ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ศรีสันท์ไม่สมปรารถนา
 +
เดินยิ้มแก้เก้อเร่อมา  ปดน้องทั้งห้าเป็นคลอกไป
 +
เมื่อกี้พี่เข้าหานางสุพรรณ  ได้พูดจากันเป็นไหนไหน
 +
นางว่ารักพี่นี้สุดใจ  แต่ทรามวัยหากกลัวพระชนนี
 +
ยังกำลังชุลมุนมุ่นหมก  พออาตกใจตื่นขึ้นเห็นพี่
 +
ฉวยข้อมือได้หาไม้ตี  เราเป่ามนต์สองทีลงง่วงงุย
 +
แต่เงื้อเงื้อขยับแล้วกลับหยุด  พี่สะบัดมือหลุดออกวิ่งฉุย
 +
กลิ่นสุพรรณนั้นยังติดหอมกรุย  ฮุ่ยหุยเจียวเจ้าอย่าบอกใคร
 +
ฯ ๘ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ทั้งห้ากลั้นยิ้มมิใคร่ได้
 +
หัวเราะพลางทางว่าอย่าปดไป  ข้ายังไม่หลับม่อยนั่งคอยฟัง
 +
สารพัดได้ยินสิ้นสุด  จนนางด่าพึ่งหยุดเพราะมนต์ขลัง
 +
ที่ว่าได้แอบอิงนั้นจริงจัง  หรือปดดอกกระมังพี่สันทา
 +
ฯ ๔ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ศรีสันท์พูดแชแก้หน้า
 +
นางว่าให้มั่งชั่งเถิดหนา  ธรรมดาผู้หญิงกับผู้ชาย
 +
ชวนหัวเราะคิกคักชักพูดอื่น  ไม่หลับนอนตึกดื่นจะตื่นสาย
 +
ว่าพลางทางชวนกันเอนกาย  ศรีสันท์เล่านิยายจนหลับไป
 +
ฯ ๔ คำฯ เจรจา ตระ
 +
 +
 +
๏ เสียงดุเหว่าเร่าร้องก้องป่า  สุริยาเลี้ยวเยี่ยมเหลี่ยมไศล
 +
ต่างตื่นฟื้นกายสบายใจ  พาอาดั้นไพรไปธานี
 +
ฯ ๒ คำฯ เชิด
 +
 +
 +
๏ รอนแรมมาได้หลายทิวา  ก็ลุถึงปัญจาล์กรุงศรี
 +
พบพวกพหลมนตรี  ทั้งกำนัลขันทีมาคอยรับ
 +
แต่บรรดาข้าหลวงแลขอเฝ้า  ก้มเกล้าอภิวันท์เป็นอันดับ
 +
ชายหญิงแน่นนั่นคั่งคับ  เห็นเจ้ากลับมาได้ก็ยินดี
 +
แล้วทูลเชิญทั้งสองกัลยา  ขึ้นทรงวอช่อฟ้าหลังคาสี
 +
ทั้งหกองค์ทรงม้าพาชี  เสนีแห่แหนเข้าพารา
 +
ฯ ๖ คำฯ กลอนโยน
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  พนักงานการเล่นทุกภาษา
 +
ต่างโห่ฉาวกราวเชิดเป็นโกลา  ออกเต้นรำทำท่าทุกโรงงาน
 +
ประชาชนพารามาเกลื่อนกล่น  นั่งแน่นริมถนนอลหม่าน
 +
อวยชัยให้พรพระกุมาร  ชมบุญสมภาพออกแซ่ซ้อง
 +
บ้างชะแง้แลดูวอสุพรรณ  เห็นม่านกั้นกำบังมาทั้งสอง
 +
ต่างคิดสงสัยตั้งใจมอง  องค์หน้านั้นน้องเจ้าธานี
 +
อันองค์นี้ที่เราไม่รู้จัก  ผิวพักตร์นวลละอองผ่องศรี
 +
ต่อจะเป็นพระราชบุตรี  ชาวบุรีอวยพรกระฉ่อนไป
 +
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ทั้งหกโอรสาศรีใส
 +
แลดูเต้นรำสำราญใจ  ขับอาชาไนยไปตามทาง
 +
ถึงประตูหูช้างข้างหน้า  ลงจากอาชาแล้วเยื้องย่าง
 +
ชาวประโคมก็ประโคมดุริยางค์  ประทับวอสองนางกับเกยลา
 +
ฯ ๔ คำฯ เสมอ
 +
 +
 +
ช้า
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
 +
ลุกจากแท่นสุวรรณมิทันช้า  ไปรับองค์ขนิษฐายาใจ
 +
ฯ ๒ คำฯ
</tpoem>
</tpoem>
==== ====
==== ====

การปรับปรุง เมื่อ 09:24, 16 สิงหาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

บทประพันธ์

ตอนที่ ๑ สังข์ศิลป์ชัยตกเหว

ช้า
๏ เมื่อนั้นทั้งหกให้คิดริษยา
ต่างซุบซิบกันจำนรรจาใครมีปัญญาจงเร่งคิด
แม้นสังข์ศิลป์ชัยได้ไปเฝ้าเห็นเราหกคนไม่พ้นผิด
ขนมทำมาให้ใส่ยาพิษมันไม่กินเหมือนจิตที่คิดไว้
ฯ ๔ คำฯ
ร่าย
๏ ศรีสันท์จึงว่าไปทันทีวันนี้สิงหราหาอยู่ไม่
ไปเที่ยวหาอาหารที่ในไพรทิ้งสังข์ศิลป์ชัยไว้พลับพลา
เราจะยียวนชักชวนมันไปเก็บพรรณผลไม้บนภูผา
ผลักให้ตกเหวมรณาจึงกลับมาพาพระอาไป
อันนางสุพรรเทวีจะพันมือพี่ไปที่ไหน
ต่างเห็นชอบชวนกันดีใจมาหาสังข์ศิลป์ชัยฉับพลัน
ฯ ๖ คำฯ เพลง
๏ ลูบหลังลูบหน้าแล้วพาทีเรานี้จะพากันผายผัน
เก็บผลพฤกษาที่เขานั้นมาให้สุพรรณกับพระอา
ฯ ๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ได้ฟังไม่กังขา
รับคำทั้งหกพี่ยากราบบาทพระอาแล้วว่าไป
ตัวหลานทั้งเจ็ดจะจรดลไปเก็บผลพฤกษาที่ใกล้ใกล้
ทั้งสององค์จงอยู่พลับพลาชัยประเดี๋ยวใจจะมาให้พร้อมกัน
ว่าแล้วจัดแจงแต่งองค์พระหัตถ์ทรงสังข์ศรพระแสงขรรค์
ทั้งเจ็ดองค์ลงจากพลับพลาพลันเจ้าศรีสันท์นำหน้าคลาไคล
ฯ ๖ คำฯ เชิด
ชมดง
๏ ชี้ชมรุกขชาติดาษเดียรเต็งตะเคียนยางยูงสูงไสว
มูกม่วงพวงผลแกว่งไกวเฟื่องไฟไกรกร่างมะปรางปริง
พระสังข์ศิลป์ชัยหาไม้ง่ามสอยผลสุกห่ามทุกก้านกิ่ง
ศรีสันท์ก้มเก็บก้อนดินทิ้งหล่นร่วงช่วงชิงกันไปมา
บ้างชักเชือกเขาเถาวัลย์ขึ้นผูกพันกิ่งไทรสาขา
ผลัดกันไกวเล่นเป็นชิงช้าสรวลสันต์หรรษาสำราญใจ
พากันท่องเที่ยวเลี้ยวลอดเลียบขึ้นบนยอดเขาใหญ่
ต่างชวนพระสังข์ศิลป์ชัยเล่นไล่ปิดตาหากัน
ฯ ๘ คำฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์แสนกลคนขยัน
ทำมารยาว่าแก่พระสังข์พลันเจ้าถือศรพระขรรค์ไว้ทำไม
เราจะวิ่งเต้นเล่นสนุกฉวยล้มลุกพลาดพลั้งไม่ยั้งได้
จะถูกเนื้อถูกตัวพี่กลัวไปวางไว้เล่นแล้วจึงมาเอา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ศิลป์ชัยไม่รู้เท่า
วางพระขรรค์ศรไว้ด้วยใจเบาที่ริมเงื้อมเขาสำคัญตา
แล้วจึงตามพี่ศรีสันท์ลดเลี้ยวไล่กันบนภูผา
หยิกหยอกหลอกล้อกันไปมาเกษมสันต์หรรษาทั้งเจ็ดองค์
ฯ ๔ คำฯ เพลงฉิ่ง
๏ เมื่อนั้นพระศรีสันท์ครั้นเห็นพระสังข์หลง
พาเที่ยวเลี้ยวเลียบเวียนวงพบเหวดังประสงค์จำนงนึก
หยิบศิลามาทิ้งลงไปดูเอียงหูคอยฟังไม่ดังกึก
ชะโงกตามลงไปใจทึกทึกแลลึกเป็นหมอกมืดมัว
จึงร้องเรียกพระสังข์ศิลป์ชัยมาดูเหวใหญ่มิใช่ชั่ว
ว่าพลางพรั่งพร้อมเข้าล้อมตัวอย่ากลัวเลยพี่อยู่นี่แล้ว
ทำชี้โว้ชี้เว้ด้วยเล่ห์กลลางคนหลอกลวงว่าดวงแก้ว
ตรงมือนั่นแน่แลแววแววเห็นแล้วหรือยังถอยหลังไย
ต่างเข้ายืนเคียงเมียงเขม้นครั้งเห็นงวยงงหลงใหล
จึงผลักพระสังข์ศิลป์ชัยตกลอยลงไปในเหวนั้น
ฯ ๑๐ คำฯ เชิดฉิ่ง โอด
             

๏ ต่างคนชื่นชมสมคะเนหัวเราะร่าวฮาเฮเกษมสันต์
พากันวิ่งกลับมาฉับพลันหาศรพระขรรค์ที่วางไว้
ไม่พบเห็นเป็นอัศจรรย์จิตต่างคนต่างคิดสงสัย
เถียงกันอื้ออึงคะนึงไปเมื่อที่ทางจำได้แน่นอน
หาพลางต่างโมโหพาโลกันคนนี้ว่าคนนั้นลักซ่อน
ค้นทั้งสองข้างหนทางจรไม่ได้ศรพระขรรค์ก็เสียใจ
ศรีสันท์จึงว่าแก่น้องยาเรากลับไปพระอาจะถามไถ่
ใครอย่าบอกออกความทั้งนี้ไซร้ซักซ้อมพร้อมใจแล้วไคลคลา
ฯ ๘ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระอาทำหน้าเศร้าก้มเกล้ากราบลงตรงหน้า
มิได้แถลงแจ้งกิจจาทำก้มพักตร์โศกาสะอื้นไป
ฯ ๒ คำฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาศรีใส
เห็นหกนัดดาโศกาลัยหลากใจไต่ถามมิทันช้า
เหตุผลอย่างไรไม่บอกแจ้งมาโศกศัลย์กันแสงไยนักหนา
พระสังข์ไปไหนจึงไม่มาจงแจ้งกิจจาอย่าโศกี
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกพี่น้องทำหมองศรี
เช็ดน้ำตาพลางทางพาทีเมื่อตะกี้หลานพากันเที่ยวไป
พระสังข์น้องรักเฝ้าชักชวนรบกวนให้พาขึ้นเขาใหญ่
แล้ววิ่งเต้นเล่นแข็งสุดใจห้ามไม่ฟังเลยนะพระอา
ล้วนห้วยเหวเปลวปล่องทั้งสองข้างข้าเดินนำทางไปข้างหน้า
พระสังข์ตามหลังหลานมาประเดี๋ยวเหลียวหาก็หายไป
ข้าทั้งหกคนเที่ยวค้นทั่วจะพบตัวน้องยาก็หาไม่
แม้ตกเหวเหล่านั้นเห็นบรรลัยหรือจะเป็นกระไรไม่แจ้งการณ์
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาฟังว่าขาน
ทั้งนางสุพรรณนงคราญปิ้มปานชีวันจะบรรลัย
ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหายฟูมฟายชลเนตรหลั่งไหล
จึงว่าแก่นัดดายาใจไปเล่นถึงไหนอย่างอำพราง
จงพาอาไปเที่ยวค้นดูเกลือกจะหลงอยู่ในป่ากว้าง
แล้วลงจากพลับพลาทั้งสองนางศรีสันท์นำทางจรจรัส
ฯ ๖ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นทั้งหกแสนกลคนขยัน
ครั้นถึงคีรีที่สำคัญทำโศกศัลย์ทูลองค์พระเจ้าอา
พระสังข์ศิลป์ชัยมาสูญหายที่ทางแคบเหวรายทั้งซ้ายขวา
หลานทั้งหกทุกคนเที่ยวค้นหาที่เหล่านี้หนักหนาไม่พบพาน
ฯ ๔      คำฯ เจรจา
โอ้ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑายิ่งสงสาร
รุ่มร้อนหฤทัยดังไฟกาฬเยาวมาลย์ลดเลี้ยวเที่ยวมา
ค่อยย่องเหยียบเลียบลัดไปนอกทางสองนางเรียกร้องแล้วมองหา
ไม่ประสบพบองค์พระนัดดากัลยาครวญคร่ำร่ำไร
โอ้ว่าพระสังข์ศิลป์ชัยเอ๋ยไม่มาหาอาเลยไปอยู่ไหน
หรือว่าผีสางที่กลางไพรซ่อนพระสังข์ไว้กระมังนา
ขอให้พบพานพระหลานรักจะบวงสรวงเซ่นวักให้หนักหนา
ร่ำพลางนางทรงโศกาปิ้มว่าโฉมฉายจะวายปราณ
ฯ ๘ คำฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นเจ้าศรีสันทาจึงว่าขาน
จะโศกศัลย์อยู่เห็นไม่เป็นการเราคิดอ่านแยกย้ายรายกัน
เจ้าชาติจงไปด้วยพระอานางสุพรรณกับข้ามาผายผัน
เจ้าทั้งสี่นี้แยกไปทางนั้นช่วยกันดั้นด้นคว้า
และทำชะเง้อดูเงี่ยหูฟังเอ๊ะเสียงพระสังข์ร้องเรียกหา
ออกชื่อเจ้าสุพรรณกัลยาเร็วเถิดอย่าช้ามาจะไป
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณยินดีจะมีไหน
จะใคร่พบพระสังข์ศิลป์ชัยก็เดินตามไปไม่คิดแคลง
ฯ ๒ คำฯ เพลง
             

๏ เมื่อนั้นศรีสันท์ทำเที่ยวเสาะแสวง
นำนางดำเนินคว้างแคว้งพาลัดแลงไปให้ไกลอา
เห็นที่สุมทุมพุ่มไม้ก็เข้าไปนั่งลงแล้วร้องว่า
หยุดนั่งนี่ก่อนเถิดกัลยาจะได้ปรึกษาหารีอกัน
ฯ ๔      คำฯ
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณไม่รังเกียจเดียดฉันท์
คิดว่าเป็นวงศ์พงศ์พันธุ์ก็ไปนั่งลงพลันทันที
จึงว่าหยุดไยให้เนิ่นช้าเหน็ดเหนื่อยหนักหนาเจียวหรือพี่
รีบไปให้พบเสียเดี๋ยวนี้ช้านักชนนีจะคอยเรา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์แสนกลร่ายมนต์เป่า
ยิ้มแย้มพูดจาคิ้วตาเพรานี่แน่เจ้าจะว่าให้ดีเจียว
ฯ ๒ คำฯ
ชาตรี
๏ ปลื้มเอยปลื้มจิตแม่อย่าคิดเคืองขุ่นฉุนเฉียว
พี่ยังเกรงกริ่งอยู่สิ่งเดียวจะให้เที่ยวเหนื่อยเปล่าไม่เข้ายา
อันพระสังข์แม้นว่าข้าหาได้สินจ้างจะให้อะไรข้า
ถ้าพี่ได้สมจิตที่คิดมาจะอุตส่าห์เที่ยวค้นจนสิ้นแรง
อันความที่พี่รักเจ้าหนักหนาจริงจริงนะน้องอย่ากินแหนง
เรามานี่ที่ทางก็ลับแลงพอเป็นพักเป็นแรงจึงค่อยไป
พลางขยดเข้าชิดสะกิดหลังจะปรานีพี่มั่งหรือหาไม่
ทำและเลียมถูกต้องลองใจเจ้าถอยหนีพี่ใยกัลยา
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณเคืองแค้นเป็นหนักหนา
ลุกยืนขึ้นเสียงมิได้ช้าแล้วว่าดูดู๋พี่เช่นนี้เจียว
ว่าจะพาเที่ยวหาสังข์ศิลป์ชัยลวงให้ตามมาถึงป่าเปลี่ยว
ช่างสับปลับอย่างนี้ทีเดียวด้านหน้ามาเกี้ยวไม่อายใจ
พาซื่อลือจิตคิดว่าพี่ธรรมเนียมมันมีอยู่ที่ไหน
ได้เห็นกันสินะไม่ละใครกลับไปจะทูลพระมารดา
ฯ ๖ คำฯ
โอ้โลม
๏ น้องเอยน้องรักสุดที่พี่จะหักเสน่หา
เมื่อมาแต่หนุ่มสาวสองราในกลางป่าค่าไม้เช่นนี้
ถ้าเจ้ามิหย่อนผ่อนปรนใช่ว่านฤมลจะพ้นพี่
จงคิดชั่งใจดูให้ดีไม่พอที่จะโกรธขึ้งตึงตัง
ถึงเจ้าจะว่าให้อารู้จะโบยตีพี่สู้เสียหลัง
ตายไหนตายไปคงไม่ฟังเอ็นดูพี่มั่งเถิดแก้วตา
อันพี่น้องครองกันแลยั่งยืนไม่เสียเรือนผู้อื่นดีหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้ไขว่คว้าอุ่ยหน้าอย่าหยิกจะป่วยไป
ฯ ๘ คำฯ
โอ้โลม
๏ แสนเอยแสนแขนงอย่าพักก่นกรรแสงเสียงแจ้ว
อันเจ้าจะพ้นมือพี่ไม่มีแววเม้นคลาดแคล้วไปได้มิใช่มือ
พี่ง้องอนวอนว่าแต่โดยดีไม่พอที่โกรธขึ้งอึงอื้อ
เพราะรักเจ้าหนักหนาจึงคร่ายื้อควรหรือแก้วตาไม่ปรานี
จะมิให้ยืดไว้อย่างไรเล่าเมื่อเจ้าคอยแต่จะวิ่งหนี
น่าชังดูเอาเฝ้าหยิกตีจะถูกนิดก็มีแต่ฮึดฮัด
เป็นไรเป็นไปไม่ฟังกันจะประชันเรี่ยวแรงที่แข็งขัด
ว่าพลางสวมสอดกอดรัดนางสะบัดหนีได้ไล่ตามมา
ฯ ๘      คำฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาจึงร้องว่า
เป็นเจ้าสุพรรณกัลยาจึงร้องอึมาด้วยอันใด
ฯ ๒      คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณทูลแข้งแถลงไข
อ้ายศรีสันท์มันพาข้าไปถึงพุ่มไม้ที่เปลี่ยวก็เกี้ยวพาน
ลูกแค้นขัดใจจะกลับมามันกั้นหน้าคร่ายื้อหักหาญ
ข้าสะบัดวิ่งหนีตะลีตะลานอ้ายหน้าด้านจัญไรมันไล่มา
ฯ ๔ คำฯ
             

๏ เมื่อนั้นศรีสันท์ขึ้นเสียงเถียงต่อหน้า
ดูเถิดเจ้าสุพรรณช่างพูดจาแกล้งพาโลข้าว่าคร่ายื้อ
เมื่อไรข้าได้ทำเช่นนั้นมาล้วงตะกั่วกันเดี๋ยวนี้หรือ
เจ้าสิสันทัดได้หัดปรีอข้าคนซื่อเช่นนี้ยังมิเคย
ไม่ได้เกี้ยวสักคำทำสักนิดพาลผิดเปล่าเปล่าแม่เจ้าเอ๋ย
รู้กระนี้ไม่ไปด้วยใครเลยจะนั่งเฉยอยู่นี่มิดีเจียว
ว่าข้าไล่มาใครอย่าเชื่อเพราะเห็นเสือตกใจวิ่งไม่เหลียว
เอออะไรช่างปดลดเลี้ยวอย่าเชื่อนางข้างเดียววพระเจ้าอา
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณตอบพลางทางชี้หน้า
ชะเจ้าคนดีศรีสันทายังว่าไม่รับสับปลับจริง
พูดเลียบเปรียบเปรยถึงลูกผัวด้านหน้าแก้ตัวไปทุกสิ่ง
แต่แรกเจ้าง้องอนวอนวิงอ้อยอิ่งเซ้าซี้พิรี้พิไร
ไม่คิดอายผีสางที่กลางดงแทบจะก้มหัวลงกราบไหว้
ครั้นเขาไม่ลุ่มหลงปลงใจเข้าไล่ฉวยฉุดยุดยื้อ
จะหยิกข่วนเท่าไรก็ไม่เจ็บนั่นมิใช่รอยเล็บของกูหรือ
ดูเถิดที่ต้นคอกับข้อมือยังจะดื้อเถียงได้ไม่อายเลย
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าศรีสันทาทำหน้าเฉย
เมียงเมินหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าข้าเอ๋ยนางนี้ขี้พาโล
ค้าคารมลมเติบสุดใจเห็นเขาเกรงผู้ใหญ่ไม่ตอบโต้
ครั้นว่าบ้างขัดใจร้องไห้โฮมีแต่โมโหไปข้างเดียว
เมื่อข้าสาละวนจะด้นป่าค้นคว้าหาน้องท่องเที่ยว
อุตส่าห์บุกเข้าไปในรกเรี้ยวหนามเกี่ยวเป็นแผลไปทั้งตัว
ชะช่างว่าข่วนล้วนรอยเล็บเลือกเก็บเอามาว่าพอหน้าชั่ว
แต่เช่าเจ้ากระนี้มิอยากกลัวถ้าตัวต่อตัวมิพ้นไป
ยังกลับมาประกวดอวดแรงว่าข้าฉุดยุดแย่งเจ้าไม่ไหว
มาลองดูเดี๋ยวนี้ก็เป็นไรใครจะแรงกว่าใครให้เอาดู
จะถุ้งเถียงกันไปไม่ได้ข้อเขาจะหัวร่อน่าอดสู
คำบุรานท่านว่าไว้เป็นครูใครไขหูอดได้ก็ได้บุญ
ฯ ๑๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาก็เคืองขุ่น
จึงว่าไอ้เจ้าเล่ห์เนรคุณทุจริตคิดวุ่นไปโดยพาล
มิใช่ว่ากูไม่รู้เท่าพูดแก้เปล่าเปล่าอ้ายหน้าด้าน
มึงเถียงได้ด้วยไม่มีพยานทำหักหาญเห็นว่าข้ากลัวเกรง
เหตุเพราะนัดดากูสูญหายจึงจ้วงจาบหยาบคายข่มเหง
ชวนทะเลาะเกาะแกะครื้นเครงฝากไว้เถิดเอ็งเป็นไรมี
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์บ่นเถียงเสียงอู้อี้
ส่วนนางสุพรรณกระนั้นดีคนอื่นแล้วมีแต่ไม่จริง
เอออะไรนี่พอทีหรือเป็นเคราะห์เพราะซื่อต่อผู้หญิง
ท่านลงโทษโกรธขึ้งชังชิงถ้าเป็นจริงเหมือนว่าน่าเกิดความ
แม้นสังข์ศิลป์ชัยไม่สูญหายเห็นจะขายเราแน่ไม่พักถาม
แกล้งพูดเปรยเย้ยเยาะลวนลามบ่นบ้าไปตามอำเภอใจ
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าทั้งห้าคนคิดแก้ไข
กราบบาทพระอาแล้วว่าไปพี่ศรีสันท์นี้ใจมุทะลุ
เป็นคนมักได้ใคร่มีหนายช้าพาทีดึงดุ
เสียจริตกิริยาเป็นบ้ายุพูดกุกะไปไม่เกรงกลัว
อันใจข้าห้าคนนี้ซื่อแท้รักอาเหมือนแม่บังเกิดหัว
เจ้าสุพรรณนั้นนึกว่าน้องตัวศรีสันท์ทำชั่วไม่ชอบใจ
พระองค์จงอดโทษสักครั้งหนึ่งเรารีบไปให้ถึงกรุงใหญ่
จะรัญจวนครวญคร่ำอยู่ทำไมอันสังข์ศิลป์ชัยเห็นไม่มา
ฯ ๘ คำฯ
ธรณีร้องไห้
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาละห้อยหา
จึงปรึกษาสุพรรณกัลยาอยู่ช้าก็สำหรับจะอับอาย
สไบแม่กับช้องของโฉมยงจะทำธงสำคัญมั่นหมาย
แม้นสังข์ศิลป์ชัยยังไม่ตายกลับมาดีร้ายจะพบพาน
แล้วหยิบช้องกับผ้ามาทำธงปักลงตั้งจิตพิษฐาน
ขอเทวาอารักษ์ทั้งจักรวาลช่วยบันดาลให้แจ้งกิจจา
แม้นว่าพระสังข์ยังอยู่จงมีผู้เอาของไปให้ข้า
ถ้าเจ้ามอดม้วยมรณาช้องกับภูษาจงสูญไป
สิ้นคำที่ร่ำพิษฐานเยาวมาลย์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
คิดถึงนัดดายิ่งอาลัยครวญคร่ำร่ำไรโศกา
ฯ ๑๐ คำฯ โอด
             

ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์ก็ชวนกันลงจากภูผา
ศรีสันท์นั้นนำมรคาดั้นดัดลัดมาในดงดาน
ฯ ๑ คำฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นฝ่ายเจ้าสิงหรากล้าหาญ
เที่ยวไล่สัตว์สิงห์วิ่งทะยานเป็นลางบันดาลบอกเหตุภัย
ให้มึนตึงกายาตาเขม่นจิตใจเยือกเย็นดังเป็นไข้
คิดถึงพระสังข์ศิลป์ชัยก็แผลงฤทธิ์ฤทธิไกรกลับมา
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงเชิงเขาลำเนาเพลินจึงลงเดินลดเลี้ยวเที่ยวหา
ไม่เห็นที่ประทับพลับพลาทั้งพระอาน้องชายก็หายไป
นั่งนึกตรึกไตรให้รำคาญจะเกิดเหตุเภทพาลเป็นไฉน
หรือจะพากันรีบไปเวียงชัยที่จะหนีพี่ไปก็ใช่เชิง
คิดพลางทางเที่ยวสัญจรหาบุกป่ากู้ก้องร้องเปิ่ง
แล้วขึ้นเขาเข้าค้นในวุ้งเวิ้งทุกซุ้มเชิงรกเรี้ยวเที่ยวมองดู
เทวัญบันดาลให้ผายผันมาเห็นศรพระขรรค์ที่วางอยู่
เอ๊ะเกิดเหตุแท้แล้วอกกูจะมีผู้ทำร้ายแก่น้องยา
เป็นตายอย่างไรไม่แจ้งจิตสุดคิดที่จะเที่ยวแสวงหา
ยิ่งคิดสร้อยเศร้าเปล่าอุราก็โศกาครวญคร่ำร่ำไร
ฯ ๑๐ คำฯ โอด
๏ แล้วฝืนจิตดำริตริตรองดูจะนิ่งอยู่กระนี้ก็มิได้
เมื่อไม่พบน้องน้อยกลอยใจจำจะไปทูลสองพระมารดร
คิดพลางทางทำอานุภาพปากคาบพระขรรค์กับสังข์ศร
เผ่นโผนโจนเหาะขึ้นอัมพรตรงไปนครบรรพต
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากอากาศขึ้นปราสาทแก้วมรกต
กราบบาทสองนางพลางรันทดพิไรร่ำกำสรดโศกี
ฯ ๒ คำฯ โอด
๏ เมื่อนั้นองค์พระมารดาทั้งสองศรี
เห็นมาร้องไห้ไม่สมประดีเทวีคิดอัศจรรย์ใจ
ปลอบพลางทางถามมิทันช้าเป็นไรมาโศกศัลย์กันแสงไห้
มีเหตุเภทพาลประการใดน้องรักอยู่ไหนจึงไม่มา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้นสิงหราโศกศัลย์เป็นหนักหนา
จึงเล่าความตามเรื่องไปรับอาแต่ต้นมาจนถึงกลางไพร
ทั้งหกเชษฐากับน้องรักชวนกันหยุดพักในป่าใหญ่
ลูกนี้โฉดเขลาเบาใจลาสังข์ศิลป์ชัยไปหากิน
ครั้นกลับมาไม่เห็นพระน้องชายพากันสูญหายไปหมดสิ้น
ข้าค้นบนเขาเขินเดินดินพบแต่สังข์ศิลป์พระขรรค์ชัย
สุดที่จะคิดติดตามหาไม่รู้ว่าเกิดเข็ญเป็นไฉน
จึงรีบมาทูลแถลงให้แจ้งใจอันโทษตัวลูกไซร้ผิดนัก
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นสองนางพ่างเพียงอกหัก
ชลเนตรฟูมฟองนองพักตร์นงลักษณ์ครวญคร่ำร่ำไร
ฯ ๒ คำฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ยแม่เคยเชยชิดพิสมัย
หรือมาพลัดพรากจากไปเพราะเชื่อไอ้กระยาจกทั้งหกคน
อันความคิดของมันแม่รู้เท่าได้ห้ามปรามเจ้าเป็นหลายหน
ช่างไว้เนื้อเชื่อใจไอ้แสนกลมันคนริษยาอาธรรม์
เห็นว่ารับอามาได้แล้วจึงคิดฆ่าลูกแก้วให้อาสัญ
จะได้หน้าได้ตาแต่พวกมันควรหรือจอมขวัญไปหลงรัก
อนิจจาลูกน้อยมาสูญหายจะเป็นตายฉันใดไม่ประจักษ์
สองกรข้อนทรวงเข้าฮักฮักซบพักตร์กันแสงโศกี
ฯ ๘ คำฯ โอด
             

ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์จึงปรึกษากันทั้งสองศรี
อันปราสาทราชฐานของเรานี้บังเกิดมีเพราะบุญพระโอรส
แม้นว่าขวัญข้าวเจ้าม้วยมรณ์เห็นบ้านเมืองสังข์ศรจะสูญหมด
ต่อจะยังไม่ทิวงคตก็ค่อยคลายกำสรดโศกา
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
ลำจีน
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงจีนนายสำเภาล้าต้า
ใช้ใบจากกวางตุ้งมุ่งมาจะเข้าเมืองปัญจาล์เวียงชัย
ต้นหนวางเข็มไม่สันทัดตกคุ้งลมขัดไม่ออกได้
น้ำท่ากินกินก็สิ้นไปจึงให้ทอดสมอรอรั้ง
ลูกเรือขันช่อสำปั้นลงโล้ฝืนคลื่นตรงเข้าถึงฝั่ง
ต่างขึ้นบกไปมิได้ยั้งเอาถึงตักน้ำแล้วแบกมา
บ้างพากันเที่ยวไปในดงเห็นธงปักอยู่บนภูผา
ชะรอยว่าใครเสียนาวาจึงขึ้นปลดเอาผ้ากับช้อง
แล้วแยกย้ายรายค้นจนทั่วมิได้พบตัวคนเจ้าของ
ต่างกลับลงมาสัดจองโล้ล่องออกไปเภตราพลัน
ฯ ๑๐ คำฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้งถึงจึงขึ้นบนสำเภาตรงเข้าบาหลีขมีขมัน
เอาผ้ากับช้องของสำคัญส่งให้นายนั้นทันใด
ต่างคนบนบานอยู่เซ็งแซ่ที่ลมขัดพัดแปรมาให้
คนงานกว้านสมอช่อใบแล่นไปในทะเลสะดวกดี
ฯ ๔ คำฯ โล้
ช้า
๏ เมื่อนั้นฝ่ายท้าวเสนากุฎเรื่องศรี
สถิตแท่นไสยาในราตรีภูมีเร่าร้อนอาวรณ์ใจ
คิดถึงลูกรักทั้งหกองค์จะเดินดงยากเย็นเป็นไฉน
นับได้หลายเดือนแต่จากไปหรือจะไม่พบอาจึงช้าวัน
คิดคะนึงถึงลูกยิ่งละห้อยเคลื้มม่อยหลับไปเมื่อไก่ขัน
ทรงสุบินนิมิตอัศจรรย์พอรุ่งสุริย์ฉันก็ฟื้นองค์
ฯ ๖      คำฯ
ร่าย
๏ พระลุกจากแท่นที่ตะลีตะลานภูบาลชำระสระสรง
ทรงเครื่องกกุธภัณฑ์บรรจงเสด็จตรงออกพระโรงรจนา
ฯ ๒ คำฯ เสมอ
สิงโต
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจีพรั่งพร้อมเสนีทั้งซ้ายขวา
จึงตรัสเรียกโหรเฒ่าเข้ามาแล้วบัญชาแจ้งความตามนิมิต
คืนนี้เราฝันประหลาดนักว่าแก้วของเรารักดังดวงจิต
มีผู้เดชาศักดาฤทธิ์มาปลดปลิดชิงเอาของเราไป
นานมีชายหนึ่งแปลกหน้าไปนำดวงจินดามาคืนให้
กลับได้หลายดวงล้วนชอบใจจงทายไปให้รู้ว่าร้ายดี
ฯ ๖ คำฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นขุนโหรรับสั่งใส่เกศี
ดูตามตำราในคัมภีร์เห็นว่าดีมั่นคงไม่สงกา
จึงประณตบทมาลย์แล้วทูลพลันซึ่งทรงสุบินนั้นดีหนักหนา
ทั้งหกพระโอรสจะกลับมาเห็นได้ดังจินดาอาสาไป
แต่ฝันวันอังคารนี้พาลร้ายตำราทายว่ามักให้หม่นไหม้
จะเกิดเหตุสักอย่างในกลางไพรเพียงแต่ตกใจไม่อันตราย
คงจะได้มาสองเสียหนึ่งอีกเจ็ดวันจะถึงพระฤาสาย
แม้นผิดจากถ้อยคำที่ทำนายขอถวายชีวิตแก่ภูมี
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวเสนากุฏเกษมศรี
จึงตรัสสั่งทั้งสองเสนีจงจัดแจงแต่งที่ปราสาทชัย
มโหรีปี่พาทย์ฆ้องกลองทั้งบายศรีทองที่ทำใหม่
งิ้วหุ่นโขนหนังจงสั่งไปเตรียมไว้ให้เสร็จในเจ็ดวัน
แม้ว่าพระน้องกับลูกยามาถึงพาราจะทำขวัญ
ให้เล่นการมหรสพครบครันแต่ในวันนั้นเป็นฤกษ์ดี
ฯ ๖ คำฯ
             

๏ บัดนั้นเสนาประณตบทศรี
มาบัตรหมายบอกกันทันทีตามมีพระราชบัญชา
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ บัดนั้นฝ่ายหกกุมารโอรสา
พาอามาในอรัญวาแรมค้างกลางป่าหลายราตรี
ศรีสันท์นั้นเฝ้าแต่เลียมและเห็นอาเมินเดินแซะเสียดสี
ทำเลียบเคียงพูดจาพาทีเสชมโน่นนี่มาตามทาง
ฯ ๔ คำฯ เพลง
๏ ครั้นสุริยาเย็นลงรอนรอนชวนกันหยุดนอนในป่ากว้าง
สีไฟก่อนกองให้สองนางคอยระวังเสือสางที่กลางไพร
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาศรีใส
ปัดกวาดผงไผ่ใต้ต้นไทรแล้วหักใบไม้มารองนอน
สองนางเอนองค์ลงนิทรากลัวภัยภาวนาไม่หยุดหย่อน
คิดถึงนัดดายิ่งอาวรณ์เจ้าเคยแผลงศรเป็นพลับพลา
สิ้นบุญหลานน้อยกลอยใจได้ลำบากอยากไร้หนักหนา
คิดพลางนางทรงโศกาจนนิทราเคลิ้มหลับกับสุพรรณ
ฯ ๖ คำฯ ตระ
ลีลากระทุ่ม
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์แสนกลคนขยัน
นั่งคิดนอนคิดทุกคืนวันจะเข้าหาสุพรรณกัลยา
ยังหวาดหวั่นพรั่นจิตอิดเอื้อนความรักตักเตือนให้ใจกล้า
ชะเง้อดูสุพรรณกับพระอาเห็นนิทราหลับไหลได้ท่วงที
จึงกระซิบบอกใบ้ให้น้องรู้จงหลับนอนนิ่งอยู่อย่าอึงมี่
ว่าแล้วค่อยย่องมองหมายวันนี้คงสมคะเนนึก
หยุดยืนแอบรกอกเต้นทึกแล้วสะอึกแฝงเงาเข้าไป
ฯ ๘ คำฯ เชิงฉิ่ง
ร่าย
๏ นั่งลงเคียงข้างนางสุพรรณจะถูกถือมือสั่นไม่ต้องได้
ความรักกลัดกลุ้มคลุ้มใจค่อยชักสายสไบเทวี
ฯ ๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้นนางสุพรรณรู้สึกนึกว่าผี
ตกใจลืมเนตรขึ้นทันทีเห็นอ้ายอัปรีย์ศรีสันทา
นางเคืองขัดวัดเหวี่ยงเอาล้มหงายลุกขึ้นถ่มน้ำลายแล้วบ่นด่า
อันคนสัญชาติมันชั่วช้าสุดแต่ว่าเอาด้านเข้าเป็นพื้น
เห็นเขาหลับไหลแล้วได้ทีกล้าดีมึงมาเมื่อตื่นตื่น
จะทำให้สาใจที่ไม่ลื้นอย่าพักหนีไปยืนแอบไม้
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาศรีใส
ผวาตื่นตระหนกตกใจจึงถามไถ่สุพรรณทันที
ครั้นรู้ว่าศรีสันท์มันลอบมานางโกรธาด่าทออึงมี่
ทำลอบลักหักหาญถึงเพียงนี้อ้ายโจรป่ากล้าดีแล้วหนีไย
มึงช่างตั้งใจแต่ข่มเหงจะคิดเกรงน้ำหน้าก็หาไม่
เพี้ยงเอ๋ยผีสางที่กลางไพรจะหักคอมันให้ขาดใจตาย
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์ถุ้งเถียงเบี่ยงบ่าย
พระอาอย่างเคืองขุ่นวุ่นวายมาลงร้ายเอาข้าร่ำด่ายับ
หลานนอนอยู่ถึงโน่นทั้งหกคนประมาทลืมสวดมนต์ม่อยหลับ
ปีศาจมากวนปล้ำอำทับให้ตะคล้ายตะคลับยังหลับดี
พึ่งรู้สึกตื่นขึ้นประเดี๋ยวนี้ไม่แกล้งว่าฟ้าผี่เถิดพระอา
นางสุพรรณนั้นละเมอว่าคนหยอกเนื้อแท้ผีมันหลอกเหมือนเช่นข้า
จงนิ่งนอนสวดมนต์ภาวนาอย่าโกรธาด่าทออื้ออึง
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
             

๏ เมื่อนั้นนางเกสรสุมณฑาโกรธขึ้ง
จึงว่าอย่างเสกสรรดันดึงไม่เชื่อน้ำหน้ามึงอ้ายสันทา
ดีแต่แก้ตัวไปทุกอย่างใส่โทษผีสางช่างมุสา
เมื่อเขาเห็นมึงแน่อยู่แก่ตายังด้านหน้าถุ้งเถียงขึ้นเสียงดัง
จะสู้อดไปกว่าจะสิ้นเคราะห์กูขี้คร้านทะเลาะกับบ้าหลัง
แล้วนางตั้งใจระไวระวังผลัดกันนอนกันนั่งกับธิดา
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์ไม่สมปรารถนา
เดินยิ้มแก้เก้อเร่อมาปดน้องทั้งห้าเป็นคลอกไป
เมื่อกี้พี่เข้าหานางสุพรรณได้พูดจากันเป็นไหนไหน
นางว่ารักพี่นี้สุดใจแต่ทรามวัยหากกลัวพระชนนี
ยังกำลังชุลมุนมุ่นหมกพออาตกใจตื่นขึ้นเห็นพี่
ฉวยข้อมือได้หาไม้ตีเราเป่ามนต์สองทีลงง่วงงุย
แต่เงื้อเงื้อขยับแล้วกลับหยุดพี่สะบัดมือหลุดออกวิ่งฉุย
กลิ่นสุพรรณนั้นยังติดหอมกรุยฮุ่ยหุยเจียวเจ้าอย่าบอกใคร
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งห้ากลั้นยิ้มมิใคร่ได้
หัวเราะพลางทางว่าอย่าปดไปข้ายังไม่หลับม่อยนั่งคอยฟัง
สารพัดได้ยินสิ้นสุดจนนางด่าพึ่งหยุดเพราะมนต์ขลัง
ที่ว่าได้แอบอิงนั้นจริงจังหรือปดดอกกระมังพี่สันทา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้นศรีสันท์พูดแชแก้หน้า
นางว่าให้มั่งชั่งเถิดหนาธรรมดาผู้หญิงกับผู้ชาย
ชวนหัวเราะคิกคักชักพูดอื่นไม่หลับนอนตึกดื่นจะตื่นสาย
ว่าพลางทางชวนกันเอนกายศรีสันท์เล่านิยายจนหลับไป
ฯ ๔ คำฯ เจรจา ตระ
๏ เสียงดุเหว่าเร่าร้องก้องป่าสุริยาเลี้ยวเยี่ยมเหลี่ยมไศล
ต่างตื่นฟื้นกายสบายใจพาอาดั้นไพรไปธานี
ฯ ๒ คำฯ เชิด
๏ รอนแรมมาได้หลายทิวาก็ลุถึงปัญจาล์กรุงศรี
พบพวกพหลมนตรีทั้งกำนัลขันทีมาคอยรับ
แต่บรรดาข้าหลวงแลขอเฝ้าก้มเกล้าอภิวันท์เป็นอันดับ
ชายหญิงแน่นนั่นคั่งคับเห็นเจ้ากลับมาได้ก็ยินดี
แล้วทูลเชิญทั้งสองกัลยาขึ้นทรงวอช่อฟ้าหลังคาสี
ทั้งหกองค์ทรงม้าพาชีเสนีแห่แหนเข้าพารา
ฯ ๖ คำฯ กลอนโยน
๏ บัดนั้นพนักงานการเล่นทุกภาษา
ต่างโห่ฉาวกราวเชิดเป็นโกลาออกเต้นรำทำท่าทุกโรงงาน
ประชาชนพารามาเกลื่อนกล่นนั่งแน่นริมถนนอลหม่าน
อวยชัยให้พรพระกุมารชมบุญสมภาพออกแซ่ซ้อง
บ้างชะแง้แลดูวอสุพรรณเห็นม่านกั้นกำบังมาทั้งสอง
ต่างคิดสงสัยตั้งใจมององค์หน้านั้นน้องเจ้าธานี
อันองค์นี้ที่เราไม่รู้จักผิวพักตร์นวลละอองผ่องศรี
ต่อจะเป็นพระราชบุตรีชาวบุรีอวยพรกระฉ่อนไป
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นทั้งหกโอรสาศรีใส
แลดูเต้นรำสำราญใจขับอาชาไนยไปตามทาง
ถึงประตูหูช้างข้างหน้าลงจากอาชาแล้วเยื้องย่าง
ชาวประโคมก็ประโคมดุริยางค์ประทับวอสองนางกับเกยลา
ฯ ๔ คำฯ เสมอ
ช้า
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
ลุกจากแท่นสุวรรณมิทันช้าไปรับองค์ขนิษฐายาใจ
ฯ ๒ คำฯ
             

ตอนที่ ๒ ท้าวเสนากุฎเข้าเมือง

             

เชิงอรรถ

ที่มา

บทละครนอกเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ( ขอขอบคุณ คุณพิกุลแก้ว สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน )

เครื่องมือส่วนตัว