นิราศลà¸à¸™à¸”à¸à¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(→อธิบายตำนานนิราศลอนดอน) |
(→นิราศลอนดอน) |
||
แถว 37: | แถว 37: | ||
=== นิราศลอนดอน === | === นิราศลอนดอน === | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | ๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล | ||
+ | จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย | ||
+ | ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย | ||
+ | โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน อาสาไทจอมจักรหลักนคร | ||
+ | มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร | ||
+ | เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล | ||
+ | ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์ จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน | ||
+ | ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวน อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย | ||
+ | ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | ||
+ | ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง | ||
+ | เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง | ||
+ | เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล | ||
+ | ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด เดียรดาษธงทิวปลิวไสว | ||
+ | พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์ เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน | ||
+ | อุปทูตที่สองรองถัดนั้น เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา | ||
+ | อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า | ||
+ | แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง | ||
+ | จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์ บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง | ||
+ | ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน | ||
+ | คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน | ||
+ | ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ | ||
+ | พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย | ||
+ | หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร | ||
+ | พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน | ||
+ | เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน | ||
+ | ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล | ||
+ | แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา | ||
+ | สมถวิลภิญโญสโมสร รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา | ||
+ | ศิโรราบกราบก้มบังคมลา แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย | ||
+ | จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์ เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย | ||
+ | ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา | ||
+ | แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา | ||
+ | เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม | ||
+ | เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม | ||
+ | บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี | ||
+ | เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี | ||
+ | นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน | ||
+ | ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น | ||
+ | อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ ทานตวันพัดโบกระบายลม | ||
+ | ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม | ||
+ | เปนสง่างามกระบวนควรจะชม ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา | ||
+ | ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา | ||
+ | ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร | ||
+ | พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน | ||
+ | ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี | ||
+ | จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี | ||
+ | ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ | ||
+ | แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก คิดชนกชนนีมิรู้หาย | ||
+ | ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร | ||
+ | นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น แรกรักรื่นจำไปไกลสมร | ||
+ | จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา | ||
+ | แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา | ||
+ | ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา | ||
+ | ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา | ||
+ | อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร | ||
+ | ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร | ||
+ | สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล | ||
+ | ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้า ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน | ||
+ | แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ | ||
+ | ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้ | ||
+ | ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน | ||
+ | ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ | ||
+ | บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว | ||
+ | ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง | ||
+ | ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง | ||
+ | ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย | ||
+ | ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย | ||
+ | หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน | ||
+ | เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น | ||
+ | เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ | ||
+ | อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ | ||
+ | คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี | ||
+ | ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี | ||
+ | จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง | ||
+ | แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ | ||
+ | สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ | ||
+ | โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย | ||
+ | ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย | ||
+ | สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง | ||
+ | ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ | ||
+ | บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง | ||
+ | พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง | ||
+ | พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม | ||
+ | ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม | ||
+ | แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์ | ||
+ | ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี | ||
+ | เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่ | ||
+ | สะกรูหันผันพัดในนัที เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล | ||
+ | ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน | ||
+ | เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง | ||
+ | พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง | ||
+ | คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง | ||
+ | ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง | ||
+ | เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม | ||
+ | กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม | ||
+ | คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล | ||
+ | อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส | ||
+ | ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน | ||
+ | จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน | ||
+ | เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน เรือก็เดินล่วงมาในสาคร | ||
+ | แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน | ||
+ | พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน | ||
+ | ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน | ||
+ | หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ | ||
+ | สุริยงลงลับคิรีศรี ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ | ||
+ | จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง | ||
+ | ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง | ||
+ | โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล | ||
+ | นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉม ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล | ||
+ | คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ | ||
+ | ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์ | ||
+ | ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ | ||
+ | ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ | ||
+ | เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี | ||
+ | ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี | ||
+ | พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก | ||
+ | เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข | ||
+ | ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม | ||
+ | ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม | ||
+ | สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ | ||
+ | ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ | ||
+ | ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา | ||
+ | ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา | ||
+ | ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง | ||
+ | แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง | ||
+ | ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์ | ||
+ | ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร | ||
+ | มาอ้างว้างอาทวาในสาคร จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง | ||
+ | อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง สุดประทังสุดทนกระมลหมาง | ||
+ | สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา | ||
+ | ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา | ||
+ | คิดก็แค้นแสนเวทนาตา ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ | ||
+ | ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร | ||
+ | โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน | ||
+ | นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน | ||
+ | ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์ อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย | ||
+ | ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย | ||
+ | อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง | ||
+ | ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง | ||
+ | ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา | ||
+ | ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน | ||
+ | กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน | ||
+ | จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี | ||
+ | ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี | ||
+ | ถืออาวุธทำท่าจะราวี กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ | ||
+ | ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร | ||
+ | ขนกระสุนดินดำทำอาการ จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว | ||
+ | บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว | ||
+ | แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี | ||
+ | แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่ | ||
+ | ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที ดูราวีอย่างทหารชาญทเล | ||
+ | ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์ แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส | ||
+ | ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา | ||
+ | สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา | ||
+ | ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน | ||
+ | พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น | ||
+ | คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน | ||
+ | ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน | ||
+ | จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว ระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน | ||
+ | บ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนิน กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ | ||
+ | ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น | ||
+ | ล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ | ||
+ | มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ | ||
+ | มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา | ||
+ | ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์ จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา | ||
+ | สักสี่โมงเศษสายได้เวลา ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์ | ||
+ | ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่ | ||
+ | ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง | ||
+ | ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง | ||
+ | แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี | ||
+ | ให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่ | ||
+ | ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย | ||
+ | จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี | ||
+ | ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี | ||
+ | แขกชวามลายูชาวบุรี เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป | ||
+ | เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย | ||
+ | ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ | ||
+ | เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป | ||
+ | สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ ควันตลบมืดมนท์อนธการ | ||
+ | พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร | ||
+ | เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน กลองประสานรัวเร่งตะรังตัง | ||
+ | พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง | ||
+ | สารถีตีขวับขับประดัง ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล | ||
+ | ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น | ||
+ | ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ | ||
+ | แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
+ | อันตรายราคีไม่มีพาน พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย | ||
+ | อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย | ||
+ | บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ | ||
+ | พระพิเทศพานิชสนิทนัก สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม | ||
+ | ภูวนาถโปรดปรานประทานนาม ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย | ||
+ | มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย | ||
+ | แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน | ||
+ | ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน | ||
+ | วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ | ||
+ | ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน | ||
+ | ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร | ||
+ | ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน | ||
+ | แถวถนนคนกวาดสอาดเตียน ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป | ||
+ | ครั้นถึงเขตรเคหาสารถี หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว | ||
+ | ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย ริมบันไดสองข้างที่ทางจร | ||
+ | คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน | ||
+ | อิกเภตราในมหาชโลทร ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ | ||
+ | ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด แลประหลาดตึกรามงามขยัน | ||
+ | แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ | ||
+ | ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ | ||
+ | ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร | ||
+ | ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น ค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร | ||
+ | แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา | ||
+ | ก็ชวนกันผันผายออกจากที่ จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา | ||
+ | จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา อนิจจาจำใจต้องไกลเมือง | ||
+ | แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง | ||
+ | พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง ไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวี | ||
+ | โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี | ||
+ | ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า | ||
+ | จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป | ||
+ | เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา มีเกาะแก่งในมหาชลาไหล | ||
+ | แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา | ||
+ | มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา | ||
+ | ชื่อบุรียะกะตราชวาเนา แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา | ||
+ | กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า | ||
+ | จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ | ||
+ | ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว | ||
+ | แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี | ||
+ | ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี | ||
+ | มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น | ||
+ | แวะสนานธารสบายให้หายร้อน ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ | ||
+ | ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน | ||
+ | ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์ | ||
+ | เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย | ||
+ | เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย | ||
+ | ผลาผลต่างต่างเอาวางราย ดูหลากหลายผักปลาสารพัด | ||
+ | กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด | ||
+ | บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล | ||
+ | แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่ | ||
+ | นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน | ||
+ | บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน | ||
+ | อิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ | ||
+ | แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย | ||
+ | ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม | ||
+ | นี่จนจิตต์กิจราชการหลวง จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม | ||
+ | ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร | ||
+ | แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร | ||
+ | จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน | ||
+ | กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน | ||
+ | ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ | ||
+ | อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ | ||
+ | ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย | ||
+ | พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น แสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย | ||
+ | มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร | ||
+ | นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน | ||
+ | ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล | ||
+ | ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห | ||
+ | ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
+ | ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ | ||
+ | แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่ | ||
+ | แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง | ||
+ | ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง | ||
+ | ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง แทบวายวางชีวันอันตราย | ||
+ | ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย | ||
+ | ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป | ||
+ | ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล | ||
+ | ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย มิใคร่ได้นิทราอุรารึง | ||
+ | หลายทิวามากลางทางทุเรศ จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง | ||
+ | ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี | ||
+ | ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้ สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่ | ||
+ | ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี เกิดกุลีลมกล้าสลาตัน | ||
+ | เสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวน กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน | ||
+ | ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา | ||
+ | ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า | ||
+ | คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์ | ||
+ | คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน | ||
+ | จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร ทินกรผุดพ้นชลธี | ||
+ | ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
+ | ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร | ||
+ | แต่พายุยังจัดพัดกระโชก เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว | ||
+ | เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย | ||
+ | ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย | ||
+ | ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง | ||
+ | ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง | ||
+ | โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร | ||
+ | เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร | ||
+ | ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน | ||
+ | มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ | ||
+ | พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส | ||
+ | ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสว คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที | ||
+ | เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี | ||
+ | ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ | ||
+ | ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร | ||
+ | พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน | ||
+ | เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์ | ||
+ | ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง | ||
+ | ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง | ||
+ | ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน | ||
+ | มันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน | ||
+ | ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา | ||
+ | เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า | ||
+ | พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง | ||
+ | เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง | ||
+ | ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี | ||
+ | ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี | ||
+ | หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ | ||
+ | กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน | ||
+ | แล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ | ||
+ | เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา | ||
+ | ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา จะวอนว่าไต่ถามนามกร | ||
+ | ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน | ||
+ | พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย | ||
+ | เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย | ||
+ | มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง | ||
+ | ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่ เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง | ||
+ | โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย | ||
+ | เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย | ||
+ | ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง | ||
+ | ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง | ||
+ | ในกระแสแลหลามตามหนทาง ลอยสล้างเหลือล้นคณนา | ||
+ | นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา | ||
+ | นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา อังกฤษว่าบูบีปีกษีบอ | ||
+ | บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ | ||
+ | ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล | ||
+ | ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน | ||
+ | แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน | ||
+ | พายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้า กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น | ||
+ | เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน | ||
+ | ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ | ||
+ | ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี | ||
+ | ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี | ||
+ | ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ | ||
+ | เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้ มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข | ||
+ | ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง | ||
+ | มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง | ||
+ | แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน | ||
+ | พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน | ||
+ | กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน | ||
+ | ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร | ||
+ | ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน | ||
+ | เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน รับประมาญเปนธุระทุกประการ | ||
+ | ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด ประสามิตรผูกรักสมัคสมาน | ||
+ | ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง | ||
+ | ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ ชมตลาดตึกรามตามประสงค์ | ||
+ | ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน | ||
+ | พอบังลมร่มแดดที่แผดเผา ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน | ||
+ | เขาคิดทำไร่นาประสาจน อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี | ||
+ | เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี | ||
+ | แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว | ||
+ | จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว | ||
+ | สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร | ||
+ | เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่ | ||
+ | บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก | ||
+ | ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา | ||
+ | สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า | ||
+ | ให้ชักธงจอมจักรนัครา ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ | ||
+ | เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน | ||
+ | มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง | ||
+ | ทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่น บันฦๅลั่นในชลาป่ารหง | ||
+ | ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี | ||
+ | แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี | ||
+ | ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย | ||
+ | นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด เดียรดาษแลดูล้วนปูหอย | ||
+ | นกยางย่องจ้องจับขยับคอย ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน | ||
+ | นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์ | ||
+ | เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี | ||
+ | ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี | ||
+ | กระทุงทองล่องลัดในนัที ฉลาดดีเอาปากลงลากอวน | ||
+ | ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน | ||
+ | ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ | ||
+ | เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ ก็ตกใจบินบากจากกระแส | ||
+ | ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด | ||
+ | นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา ไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิท | ||
+ | แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า | ||
+ | ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล | ||
+ | พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น | ||
+ | บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน | ||
+ | ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์ | ||
+ | ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้น ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน | ||
+ | มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล | ||
+ | หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ อันราคินข้อไรมิให้มี | ||
+ | แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้ | ||
+ | พอทูตถึงที่พลันในทันที ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน | ||
+ | สำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน | ||
+ | มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ ขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง | ||
+ | แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง | ||
+ | เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้ | ||
+ | ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข | ||
+ | เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี | ||
+ | พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่ | ||
+ | กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน | ||
+ | จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์ | ||
+ | ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย | ||
+ | แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย | ||
+ | พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร | ||
+ | เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม ให้มาชมตามทางต่างสมร | ||
+ | เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์ นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน | ||
+ | ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น ไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน | ||
+ | เมื่อพ้นจากวังวนชลธาร ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย | ||
+ | หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์ เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย | ||
+ | มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว | ||
+ | ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว | ||
+ | กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน | ||
+ | ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์ | ||
+ | มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร | ||
+ | ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน | ||
+ | เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ | ||
+ | เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้ | ||
+ | ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจ เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน | ||
+ | ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์ | ||
+ | ที่ดำรงองค์มหาอุปราช ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์ | ||
+ | ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล ดูมากมูลพลไพร่ในบุรี | ||
+ | พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่ | ||
+ | เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี ให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง | ||
+ | ทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับ โคมสำหรับนำหน้าพาผยอง | ||
+ | ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง เคียงประคองข้างรถบทจร | ||
+ | บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี จนถึงที่ตึกโตสโมสร | ||
+ | กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย | ||
+ | ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย | ||
+ | เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ | ||
+ | ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ ให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน | ||
+ | ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง | ||
+ | ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง | ||
+ | มาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป | ||
+ | ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย | ||
+ | ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา | ||
+ | แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา | ||
+ | พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร | ||
+ | ในทวารมีทหารถือกระบี่ ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส | ||
+ | ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช ประตูโทถัดนั้นทหารปืน | ||
+ | ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น | ||
+ | ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ | ||
+ | ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ | ||
+ | หกกระบอกม้าลากก็มากพอ ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว | ||
+ | ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว | ||
+ | ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี | ||
+ | รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่ | ||
+ | เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี เธอพาทีจับมือไม่ถือยศ | ||
+ | ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ | ||
+ | แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล | ||
+ | เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว | ||
+ | แดดก็ร่มลมชายสบายใจ มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ | ||
+ | กรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์ | ||
+ | พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง | ||
+ | มลุลีมลิลากับกาหลง รำดวนดงดกดอกออกสล้าง | ||
+ | สละเสลาลางลิงมะปริงปราง ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ | ||
+ | คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ | ||
+ | ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง | ||
+ | ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์ | ||
+ | กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม | ||
+ | หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม | ||
+ | มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร | ||
+ | เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว | ||
+ | ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง | ||
+ | บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง | ||
+ | เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา | ||
+ | แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า | ||
+ | ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ | ||
+ | แล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส | ||
+ | ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ | ||
+ | มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด | ||
+ | ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร | ||
+ | ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร | ||
+ | ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย | ||
+ | ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย | ||
+ | ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง | ||
+ | ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้ กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง | ||
+ | ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม | ||
+ | เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม | ||
+ | บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา | ||
+ | เขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา | ||
+ | สลักรูปหอยปูเงือกงูปลา ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย | ||
+ | มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย | ||
+ | จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย ทำลวดลายเลขาก็น่าชม | ||
+ | สำหรับเจ้านัครามาประพาส สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม | ||
+ | พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์ | ||
+ | แล้วพากันกลับหลังมายังตึก อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร | ||
+ | โอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น | ||
+ | แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ | ||
+ | ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน | ||
+ | ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ | ||
+ | เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี ก็ลุที่ริมแควกระแสไหล | ||
+ | เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์ เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพาน | ||
+ | แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน | ||
+ | ไว้สำหรับจรดลในชลธาร เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ | ||
+ | แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้ | ||
+ | ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไป รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน | ||
+ | ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์ | ||
+ | ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์ เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร | ||
+ | อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
+ | ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว | ||
+ | เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว | ||
+ | แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน | ||
+ | ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์ | ||
+ | สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม | ||
+ | ตื่นผวาหานางเห็นสางแสง กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม | ||
+ | ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง | ||
+ | ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง | ||
+ | สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล | ||
+ | เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล | ||
+ | ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร | ||
+ | ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ | ||
+ | เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์ | ||
+ | เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน | ||
+ | ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี | ||
+ | ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่ | ||
+ | พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน ถึงกำปั่นแสนโสมนัสา | ||
+ | ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี | ||
+ | เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี | ||
+ | ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย | ||
+ | แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย | ||
+ | นั่งพูดจาเล่นตามความสบาย แล้วหกนายต่างพากันลาจร | ||
+ | ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร | ||
+ | อยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร ไปในท้องชโลทรทางกันดาร | ||
+ | ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่ อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร | ||
+ | รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง | ||
+ | แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง | ||
+ | ถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา | ||
+ | กัปตันให้เรือรอสมอทอด ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา | ||
+ | แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ | ||
+ | ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร | ||
+ | ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย | ||
+ | ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ ควันตระหลบดินดาลสท้านไหว | ||
+ | แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา | ||
+ | เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา | ||
+ | ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน | ||
+ | พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์ | ||
+ | ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง | ||
+ | นึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง | ||
+ | ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย | ||
+ | ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | ||
+ | กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห | ||
+ | ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก | ||
+ | คลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก | ||
+ | กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก จนยามดึกลมจัดพัดกระพือ | ||
+ | กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ | ||
+ | คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ | ||
+ | แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ | ||
+ | ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ จนข้อเสือก้านจักรหักออกไป | ||
+ | ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์ แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่ | ||
+ | เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ อยู่ริมเขตรวังวนชลสาย | ||
+ | คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี | ||
+ | ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
+ | มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี ต่างยินดีปราไสกันไปมา | ||
+ | บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา | ||
+ | บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย | ||
+ | เขาผูกรักชักชิดสนิทสนม ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย | ||
+ | อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์ | ||
+ | ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน พายุนั้นสามารถทายาดพอ | ||
+ | แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ | ||
+ | เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม | ||
+ | พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม | ||
+ | เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย | ||
+ | เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ ปรกติไปโดยสดวกได้ | ||
+ | ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ | ||
+ | คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน | ||
+ | เปนเวลาสุริยนอนธการ ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
+ | ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น | ||
+ | ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์ โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป | ||
+ | ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์ เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย | ||
+ | ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้ รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา | ||
+ | ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | ||
+ | ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง | ||
+ | ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง | ||
+ | ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง แลสล้างทั้งสามงามวิไล | ||
+ | ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย | ||
+ | ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ มาถามไถ่ทักทายเราะรายดี | ||
+ | แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี | ||
+ | มีประสาสน์พระราชเสาวนี ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา | ||
+ | เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา | ||
+ | ไว้สำหรับรับราชสารา กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง | ||
+ | จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไป ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง | ||
+ | เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา | ||
+ | แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา | ||
+ | จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง | ||
+ | แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง | ||
+ | สิ่งใดใดมีในบุรีเรือง แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล | ||
+ | อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน | ||
+ | ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง | ||
+ | แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง | ||
+ | กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน | ||
+ | ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ แลสลับน่าดูหมู่ทหาร | ||
+ | ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง | ||
+ | ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด ก็แออัดสับสนคนสพรั่ง | ||
+ | มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย | ||
+ | เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว | ||
+ | แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล ตลอดไปจนรถช่างงดงาม | ||
+ | สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม | ||
+ | พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล | ||
+ | แอดมิรัลนายทหารชาญสมุท ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว | ||
+ | สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์ | ||
+ | ทหารรับจับเชือกกระชากปราด พอนกฉาดปืนลั่นควันขมง | ||
+ | ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง คำนับธงแทนนาถบาทยุคล | ||
+ | แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ ม้าพยศวิ่งวางกลางถนน | ||
+ | ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ | ||
+ | สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ | ||
+ | แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน | ||
+ | ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล | ||
+ | แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
+ | จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ สายตวันเวลาสักห้าโมง | ||
+ | เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง | ||
+ | บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง | ||
+ | สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง | ||
+ | ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน | ||
+ | พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน | ||
+ | จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง | ||
+ | มีทหารถือกระบี่เปนทีท่า ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง | ||
+ | งามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป | ||
+ | อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน | ||
+ | เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน | ||
+ | พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่ เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน | ||
+ | ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ | ||
+ | ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน | ||
+ | ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร โอฬาลานทีท่าน่าสบาย | ||
+ | ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ รถประทับนายทวารเปิดบานผาย | ||
+ | ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร | ||
+ | แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์ | ||
+ | เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน | ||
+ | จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่ คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน | ||
+ | เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน ไม่เกียจกลการงานขยันจริง | ||
+ | เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง | ||
+ | ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน | ||
+ | แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน | ||
+ | เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี | ||
+ | ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี | ||
+ | ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง | ||
+ | เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง | ||
+ | นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง จนระฆังขานก้องถึงสองยาม | ||
+ | ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม | ||
+ | ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง | ||
+ | ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง | ||
+ | เอาพระเดชจอมจักรหักระคาง ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม | ||
+ | เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม | ||
+ | พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน | ||
+ | แต่วิสัยใจบุถุชนนี้ ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน | ||
+ | หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน | ||
+ | อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน | ||
+ | วายถวิลเพียงเวลาทิพากร คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี | ||
+ | แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
+ | ก็พูดจาปราไสใจยินดี บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน | ||
+ | ไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์ ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง | ||
+ | ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง | ||
+ | อาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
+ | เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์ | ||
+ | แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู | ||
+ | แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้ | ||
+ | ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย | ||
+ | ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย | ||
+ | จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง | ||
+ | ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร บังคับการข่มขี่ทีข่มเหง | ||
+ | ข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรง คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย | ||
+ | ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย | ||
+ | ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ | ||
+ | ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ | ||
+ | ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา | ||
+ | พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา | ||
+ | ยิงระดมล้มระดะดาษดา คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ | ||
+ | เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว | ||
+ | เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ | ||
+ | แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ | ||
+ | ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง | ||
+ | บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง | ||
+ | แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ | ||
+ | แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ | ||
+ | สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป | ||
+ | ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย | ||
+ | ส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ | ||
+ | ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ | ||
+ | ถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอ คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม | ||
+ | ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม | ||
+ | ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น | ||
+ | จึงคืนคงลงจากพาชีชาติ ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน | ||
+ | มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน หวังจะกันกีดไว้มิให้จร | ||
+ | ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน | ||
+ | แล้วนารีขี่ควบอัศดร ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน | ||
+ | แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน | ||
+ | ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง | ||
+ | ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง | ||
+ | บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า ยืนแยกขาทำตามความประสงค์ | ||
+ | คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน | ||
+ | สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน | ||
+ | บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน | ||
+ | บางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือก กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน | ||
+ | กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน พัลวันไวว่องทั้งสองนาย | ||
+ | ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย | ||
+ | ขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน | ||
+ | เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น | ||
+ | แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา | ||
+ | อีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วง กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า | ||
+ | ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม | ||
+ | แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม ก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม | ||
+ | แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ | ||
+ | ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้ | ||
+ | ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา | ||
+ | ชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชา มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม | ||
+ | แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม | ||
+ | สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน | ||
+ | พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน | ||
+ | ชายตลกยกเท้าอัศดร ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา | ||
+ | ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา | ||
+ | บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย | ||
+ | มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย | ||
+ | ตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร | ||
+ | ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน | ||
+ | เราจะห้ามปรามไว้มิให้จร อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี | ||
+ | มิศกุกรับคำทำเปนว่า มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่ | ||
+ | แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน | ||
+ | สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน | ||
+ | ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน แล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไป | ||
+ | ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้ | ||
+ | มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที | ||
+ | จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋ | ||
+ | คนตลกจึงว่าแก่พาชี หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร | ||
+ | ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน | ||
+ | ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย | ||
+ | ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์ โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย | ||
+ | มิศกุกนายม้าปรีชาชาย ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว | ||
+ | แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว | ||
+ | ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน | ||
+ | คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
+ | คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ | ||
+ | เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์ | ||
+ | เอานารีรูปร่างสำอางครัน เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล | ||
+ | แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย | ||
+ | ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก ดังเหาะได้จริงจังลำพังตน | ||
+ | บางทีผุดผายผันจากบรรพต เห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน | ||
+ | บางทีขึ้นจากพื้นภูวดล แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร | ||
+ | คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้ รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร | ||
+ | ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร ดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม | ||
+ | เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม | ||
+ | คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว | ||
+ | มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย จัดรถให้ห้ารถบทจร | ||
+ | ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน | ||
+ | เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ ราษฎรเสียให้จึงได้ดู | ||
+ | มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท สิงหราชกรินีทั้งหมีหมู | ||
+ | อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน | ||
+ | แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน | ||
+ | ฟานกระจงเลียงผาสารพัน จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน | ||
+ | กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย | ||
+ | อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว | ||
+ | เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว | ||
+ | ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย | ||
+ | มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย | ||
+ | เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา | ||
+ | ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า | ||
+ | จรเข้หอยปูงูเต่าปลา สกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน | ||
+ | ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่ เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน | ||
+ | แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย | ||
+ | ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก ซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหว | ||
+ | แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ | ||
+ | จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ | ||
+ | ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต | ||
+ | ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้ | ||
+ | สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ กินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน | ||
+ | เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
+ | แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา | ||
+ | ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา เปนมหานาเวศวิเศษนัก | ||
+ | ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก | ||
+ | ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี | ||
+ | ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น เขียนสุวรรณลวดลายระบายสี | ||
+ | มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ | ||
+ | ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ | ||
+ | ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ เขาหาทำของเข้าเอามาไว้ | ||
+ | ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว | ||
+ | เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ | ||
+ | บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน | ||
+ | เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย | ||
+ | ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา | ||
+ | ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา | ||
+ | ใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคา ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน | ||
+ | ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน | ||
+ | เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด | ||
+ | อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง ตามแถวท้องวารินยินถนัด | ||
+ | เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี | ||
+ | อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่ | ||
+ | สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย | ||
+ | เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล | ||
+ | พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ | ||
+ | ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน | ||
+ | ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล | ||
+ | ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล | ||
+ | กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย | ||
+ | มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน | ||
+ | อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม มาควบคุมของขนไปจนสิ้น | ||
+ | บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา | ||
+ | แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา | ||
+ | |||
+ | ๏ อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง | ||
+ | ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง | ||
+ | อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ | ||
+ | ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
+ | ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน มีพระบัญชาตรัสดำรัสการ | ||
+ | ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น | ||
+ | ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา | ||
+ | ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า | ||
+ | จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี | ||
+ | เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี | ||
+ | หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด | ||
+ | ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้ | ||
+ | เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง | ||
+ | ราชทูตรับว่าอย่าปรารภ จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง | ||
+ | แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง | ||
+ | เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์ | ||
+ | ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี | ||
+ | แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี ในการที่รับทูตขอหยุดไว้ | ||
+ | อีกสักแปดราตรีพอมีสุข ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย | ||
+ | ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ ต้องรอไปป่วยการนานเวลา | ||
+ | ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา | ||
+ | เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี | ||
+ | แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี | ||
+ | คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน | ||
+ | ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
+ | ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ||
+ | สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร | ||
+ | ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ มารับรองพูดจาอัชฌาสัย | ||
+ | แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล | ||
+ | ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน | ||
+ | สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน แล้วต่างคนจากที่เดินลีลา | ||
+ | เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอย เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา | ||
+ | มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา ลำคงคาเรือแพออกแจจรร | ||
+ | ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น | ||
+ | ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์ อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย | ||
+ | รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง พื้นนภางค์โอภาษประลาดหลาย | ||
+ | แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง | ||
+ | ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง | ||
+ | ไม่มีข้อสงสัยใจประวิง ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ | ||
+ | ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่ จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ | ||
+ | ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ ไปดูหนังฟังคำบทเจรจา | ||
+ | อันรูปหนังดูงามตามวิสัย เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา | ||
+ | มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน | ||
+ | ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน | ||
+ | ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด | ||
+ | ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์ | ||
+ | อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน | ||
+ | ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน จรจัลกลับหลังยังสถาน | ||
+ | ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง | ||
+ | ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น | ||
+ | เขามาชวนไปยังที่วังแก้ว ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น | ||
+ | ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์ | ||
+ | มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน | ||
+ | ครั้นถึงวังรัตนาพากันจร เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล | ||
+ | ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส | ||
+ | ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา | ||
+ | สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา | ||
+ | ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย | ||
+ | มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย | ||
+ | แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชาย ประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ | ||
+ | แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน | ||
+ | รูปคนป่าราษีไม่มีนวล ทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง | ||
+ | แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง | ||
+ | แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย | ||
+ | มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย | ||
+ | ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน | ||
+ | ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น | ||
+ | ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน แต่พิรุณจวนรินโรยลออง | ||
+ | ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง | ||
+ | เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง พอพวกพ้องที่รักมาชักชวน | ||
+ | ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ | ||
+ | จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา | ||
+ | แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา | ||
+ | ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย | ||
+ | จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย | ||
+ | ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ | ||
+ | พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน | ||
+ | ดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง | ||
+ | ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า ดูพักตราราษีไม่มีหมอง | ||
+ | ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ | ||
+ | ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์ | ||
+ | เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง มายับยั้งไสยาที่อาศรัย | ||
+ | จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน | ||
+ | ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน | ||
+ | รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง | ||
+ | ทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง | ||
+ | กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง แลสล้างล้อมขนานพระมารดร | ||
+ | รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน | ||
+ | มีคนดำน้ำอดบทจร ในสาครทนจมอยู่นมนาน | ||
+ | แสนสบายหายใจก็ได้คล่อง ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน | ||
+ | ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา | ||
+ | อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา | ||
+ | แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง | ||
+ | ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง | ||
+ | ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์ | ||
+ | สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก มาชวนชักให้สนานสำราญกาย | ||
+ | ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย | ||
+ | เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย | ||
+ | นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว | ||
+ | บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด | ||
+ | ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด | ||
+ | ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด มรกดไพฑูรย์จำรูญราย | ||
+ | เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย | ||
+ | สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน | ||
+ | ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก ถึงสำนักรถไฟจะผายผัน | ||
+ | พอประสพพบเห็นเยนเนอรัล ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร | ||
+ | หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร | ||
+ | ถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวร ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง | ||
+ | อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง | ||
+ | ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง ทูตประคองเคียงตั้งระวังดู | ||
+ | อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้ | ||
+ | ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน | ||
+ | กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร | ||
+ | กระหนกนอกดอกช่ออรชร ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย | ||
+ | เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยาย | ||
+ | ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง | ||
+ | ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง | ||
+ | ริมถนนคนผู้ดูประดัง ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร | ||
+ | ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข | ||
+ | น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน | ||
+ | บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์ | ||
+ | ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี | ||
+ | แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี | ||
+ | จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง | ||
+ | ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ | ||
+ | ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ | ||
+ | เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ กลองขยับมือถี่ตีออกรัว | ||
+ | เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว | ||
+ | ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน | ||
+ | เชิญพวกทูตจากรถบทบาท ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน | ||
+ | ให้พักพาอาศรัยในตำบล เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย | ||
+ | ชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาว ถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัย | ||
+ | จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน กระจกใส่ช่องชิดสนิทดี | ||
+ | เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี | ||
+ | ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์ | ||
+ | บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร | ||
+ | แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง | ||
+ | เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง | ||
+ | ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน | ||
+ | ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน | ||
+ | ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ พานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย | ||
+ | ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย | ||
+ | เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย แต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกร | ||
+ | ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน | ||
+ | คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป | ||
+ | แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส | ||
+ | แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย ขุนปรีชาล่ามในบวรวัง | ||
+ | ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง | ||
+ | ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา | ||
+ | ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา | ||
+ | ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน | ||
+ | แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว | ||
+ | ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม | ||
+ | ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม | ||
+ | รับพระราชโองการบรรหารความ จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี | ||
+ | ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี | ||
+ | โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน | ||
+ | จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน | ||
+ | สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล ข้างพวกทูตอภิวันทนาการ | ||
+ | อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น | ||
+ | แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย | ||
+ | ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย | ||
+ | พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ | ||
+ | ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน | ||
+ | ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์ จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย | ||
+ | ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย | ||
+ | ได้รับทูตสององค์พระทรงชัย ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน | ||
+ | ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น | ||
+ | เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม | ||
+ | จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่ เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม | ||
+ | ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี | ||
+ | ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อน สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
+ | พวกพานิชลูกค้าประชาชี ได้ไปที่ค้าขายสบายบาน | ||
+ | อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร | ||
+ | ไปรับทูตข้ามวนชลธาร ทางกันดารตั้งใจระไวระวัง | ||
+ | ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง | ||
+ | โดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้ | ||
+ | ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า กลับออกมาชี้แจงแถลงไข | ||
+ | ว่าพระนางยินดีมีพระทัย ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ | ||
+ | สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน | ||
+ | ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย | ||
+ | ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้ พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่ | ||
+ | ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไป ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ | ||
+ | ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม | ||
+ | จะคายคมสมควรไม่ลวนลาม เวลานี้จงประณามประนมลา | ||
+ | ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา | ||
+ | คลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง | ||
+ | อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา | ||
+ | ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า | ||
+ | ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา | ||
+ | ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา | ||
+ | ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ | ||
+ | ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ | ||
+ | ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด | ||
+ | เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส | ||
+ | มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน ประมาณได้สามสิบพอดิบดี | ||
+ | อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี | ||
+ | สวยสอาดเปนพระราชสามี แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ | ||
+ | ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ | ||
+ | อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน | ||
+ | ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร | ||
+ | สารพัดเครื่องราชบรรณาการ พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง | ||
+ | เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา | ||
+ | อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา | ||
+ | ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม | ||
+ | บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม | ||
+ | ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน | ||
+ | ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน ชมศัสตราดาเดียรดาษดู | ||
+ | อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ รายประจำตามผนังวางเปนคู่ | ||
+ | มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง | ||
+ | เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง | ||
+ | เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง เสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน | ||
+ | สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ ยุรยาตรคืนหลังยังสถาน | ||
+ | ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ | ||
+ | จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา | ||
+ | เสียงม้ารถอึงอัดรัถยา พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย | ||
+ | ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย | ||
+ | เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย | ||
+ | แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวย | ||
+ | สารพัดจัดบรรจงน่างงงวย อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่ บัญชาให้คนขำนำอักษร | ||
+ | มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์ | ||
+ | จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์ พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี | ||
+ | ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน | ||
+ | จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน | ||
+ | ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร | ||
+ | ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน สุริฉานลับเงาเขาศิงขร | ||
+ | เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย | ||
+ | จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย | ||
+ | มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา | ||
+ | คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา | ||
+ | ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง | ||
+ | พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง | ||
+ | พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง แลสล้างดังคณาดาราราย | ||
+ | เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์ เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย | ||
+ | จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง | ||
+ | ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง | ||
+ | เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง ให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย | ||
+ | ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่ | ||
+ | อุปทูตที่สองรองลงไป เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี | ||
+ | แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่ | ||
+ | ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา | ||
+ | อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา | ||
+ | เมื่อขณะเสพย์รสโภชนา นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย | ||
+ | จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎ ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย | ||
+ | ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย | ||
+ | ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน | ||
+ | ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร | ||
+ | ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร | ||
+ | เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน | ||
+ | พระสามีที่สนิทพิศวาท งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ | ||
+ | จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย | ||
+ | เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย | ||
+ | ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย มาทักทายพูดจาแล้วลาไป | ||
+ | เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย | ||
+ | เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา | ||
+ | ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา | ||
+ | โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง | ||
+ | กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง | ||
+ | ได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง | ||
+ | พระบุตราบุตรีสามีราช มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง | ||
+ | บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี | ||
+ | นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่ | ||
+ | ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน | ||
+ | ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน | ||
+ | คนละห้องไสยาสถาวร จนทินกรแจ่มจบภพไตร | ||
+ | ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ เปนพระราชสามิศพิสมัย | ||
+ | ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์ | ||
+ | มารับของภูบาลผ่านพิภพ ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์ | ||
+ | ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา | ||
+ | ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา | ||
+ | ทั้งสองข้างต่างคนสนทนา แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป | ||
+ | พนักงานจัดแจงแต่งอาหาร ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว | ||
+ | ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ จนสี่โมงเศษได้เวลาจร | ||
+ | ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน | ||
+ | พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด | ||
+ | นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์ | ||
+ | เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา | ||
+ | กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา | ||
+ | แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา ไปชมโรงแพทยารักษาคน | ||
+ | ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์ แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน | ||
+ | ทำเริงรื่นขืนมานะจรดล ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว | ||
+ | ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น | ||
+ | มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน | ||
+ | อิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ | ||
+ | ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห | ||
+ | ในตากลมกลวงโหวโตกะไร ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง | ||
+ | กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้ น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง | ||
+ | ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน | ||
+ | บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ | ||
+ | หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน | ||
+ | จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว พี่เห็นแล้วผมพองสยองขน | ||
+ | อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป | ||
+ | บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย | ||
+ | ตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไร ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย | ||
+ | บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย | ||
+ | ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย ให้หญิงชายทัศนาบรรดามี | ||
+ | ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี | ||
+ | ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล | ||
+ | แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน | ||
+ | ก็ออกจากโรงหมอจรดล ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน | ||
+ | วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที | ||
+ | ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่ | ||
+ | ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร | ||
+ | ในนั้นมีตึกโตมโหฬาร สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ | ||
+ | รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ | ||
+ | ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย | ||
+ | มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต คนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย | ||
+ | เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์ | ||
+ | แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์ | ||
+ | มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ สารพันอาภรณ์บวรรัตน์ | ||
+ | มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ วับวาววาบแววแวมแจ่มจรส | ||
+ | รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง คืนมายังที่สำนักพักอาศรัย | ||
+ | ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร | ||
+ | ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร | ||
+ | หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง | ||
+ | ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง | ||
+ | เห็นทวารบานปิดมิดกำบัง ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | ||
+ | ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร | ||
+ | เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร | ||
+ | เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้ จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | ||
+ | ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม | ||
+ | มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม | ||
+ | บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป | ||
+ | ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน | ||
+ | เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย | ||
+ | ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย | ||
+ | มีชื่อตามสีสันดังบรรยาย ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน | ||
+ | งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น | ||
+ | ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง | ||
+ | บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง | ||
+ | ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง ที่บางห้องปูพรมอุดมดี | ||
+ | บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี | ||
+ | อันของใช้หลากหลากก็มากมี ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน | ||
+ | เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน | ||
+ | ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน | ||
+ | เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์ วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน | ||
+ | บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป | ||
+ | สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว | ||
+ | ที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน | ||
+ | ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง | ||
+ | เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง | ||
+ | พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง เสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดร | ||
+ | ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท วรราชนารีศรีสมร | ||
+ | ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร พากันจรขึ้นนั่งที่บังควร | ||
+ | บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน | ||
+ | จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา | ||
+ | เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา | ||
+ | เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา มีรถหน้าขึงขำนำครรไล | ||
+ | คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว | ||
+ | แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ | ||
+ | สพายปืนขับขี่พาชีชาติ ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์ | ||
+ | ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย | ||
+ | ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย | ||
+ | ถือกระบี่ทีจับขยับราย ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา | ||
+ | ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา | ||
+ | ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา อีกขนัดถัดมาหกสิบคน | ||
+ | ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร มาโดยเขตรสองข้างทางถนน | ||
+ | มารยาตรอาจหาญชาญผจญ ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ | ||
+ | อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช | ||
+ | ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น | ||
+ | แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์ พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน | ||
+ | จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ กระจกกันกั้นหวังให้บังลม | ||
+ | บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม | ||
+ | สารถีขี่ประจำล้วนขำคม น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว | ||
+ | ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว | ||
+ | เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน | ||
+ | ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช ผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร | ||
+ | แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง | ||
+ | ครั้นทีหลังพาชีมีทหาร แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง | ||
+ | สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา | ||
+ | ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา | ||
+ | ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์ | ||
+ | มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น | ||
+ | ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที | ||
+ | ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่ | ||
+ | คนเดินนำสามสิบพอดิบดี พระมาลากำมะหยี่สีบวร | ||
+ | ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน | ||
+ | เมื่อเสด็จจากรถบทจร พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง | ||
+ | ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง | ||
+ | ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง กว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย | ||
+ | สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย | ||
+ | ถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา | ||
+ | ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา | ||
+ | เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย | ||
+ | ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย | ||
+ | แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง | ||
+ | ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง | ||
+ | อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม | ||
+ | สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม | ||
+ | โดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนาม แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา | ||
+ | อันพระจอมสากลวิมลสมร ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา | ||
+ | ฉลององค์ทรงโขมพัตรา อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร | ||
+ | เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ | ||
+ | เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ | ||
+ | เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน | ||
+ | ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ | ||
+ | แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น | ||
+ | ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น จะได้เห็นไกกลที่คนทำ | ||
+ | เขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ | ||
+ | ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ | ||
+ | ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร | ||
+ | ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย | ||
+ | แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว | ||
+ | ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ พอเที่ยงได้เวลาพากันจร | ||
+ | แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน | ||
+ | เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน | ||
+ | เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์ | ||
+ | จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัล ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี มีไร่นาสาลีแลไสว | ||
+ | นาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง | ||
+ | เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง | ||
+ | ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม | ||
+ | บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม | ||
+ | มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม ในที่ตามทางรถบทจร | ||
+ | แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร | ||
+ | เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย | ||
+ | ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย | ||
+ | บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา | ||
+ | บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา | ||
+ | แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ | ||
+ | บางทีทำลำคลองเปนสองชั้น ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน | ||
+ | ข้างล่างชลลันไหลใต้สพาน เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง | ||
+ | เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย | ||
+ | เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย | ||
+ | ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ | ||
+ | ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ มารับทูตไทยหมดให้ผายผัน | ||
+ | ไปดูที่นานาสารพัน แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน | ||
+ | กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน | ||
+ | ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง | ||
+ | ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง เจียระไนใสสว่างเปนสีแสง | ||
+ | ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง | ||
+ | อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์ | ||
+ | ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง | ||
+ | จากบุรีรีบไปดังใจปอง จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน | ||
+ | ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์ | ||
+ | เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน สารพันพิศเพลินเจริญตา | ||
+ | พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ ผู้รักษาธานีก็มาหา | ||
+ | แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก | ||
+ | ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์ เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก | ||
+ | คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก มาชวนชักพูดจาแล้วลาไป | ||
+ | ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์ จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
+ | ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี | ||
+ | อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี | ||
+ | ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์ เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน | ||
+ | กำปั่นพวกลูกค้าในสาคร ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ | ||
+ | บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่ หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ | ||
+ | เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง | ||
+ | ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง | ||
+ | สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง | ||
+ | คนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง | ||
+ | ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย | ||
+ | ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย | ||
+ | สุดจะนับคณนาจนตาลาย ดูมากมายสับสนพ้นประมาณ | ||
+ | ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง หยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร | ||
+ | จนสิ้นแสงสุริยนอนธการ พนักงานจัดแจงตกแต่งรถ | ||
+ | แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด | ||
+ | ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด อันปรากฎมีอยู่ในบูรี | ||
+ | ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส ก็คลาไคลตามแนวแถววิถี | ||
+ | ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี จึงจรลีเข้าไปดังใจปอง | ||
+ | เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ | ||
+ | กวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู | ||
+ | อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู | ||
+ | ขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้ ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ | ||
+ | ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร | ||
+ | ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด | ||
+ | แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด | ||
+ | ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย | ||
+ | เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย | ||
+ | แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน | ||
+ | จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน | ||
+ | แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน | ||
+ | ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น | ||
+ | เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว | ||
+ | จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว | ||
+ | ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา | ||
+ | เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่ง เราจะทิ้งผ้าไปในเวหา | ||
+ | จงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน | ||
+ | แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ พาชีชาติรับได้ดังใจถวิล | ||
+ | ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์ เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ | ||
+ | แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ | ||
+ | ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ ยังวิตถารมากมายหลายทำนอง | ||
+ | ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง | ||
+ | ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา | ||
+ | เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา | ||
+ | พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา เหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน | ||
+ | ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ | ||
+ | ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย | ||
+ | จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย | ||
+ | อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์ นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน | ||
+ | แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร | ||
+ | ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย | ||
+ | เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน | ||
+ | เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน | ||
+ | ต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ | ||
+ | นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ | ||
+ | ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง | ||
+ | ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง | ||
+ | อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย | ||
+ | แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย | ||
+ | เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา | ||
+ | เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า | ||
+ | อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา | ||
+ | ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์ น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา | ||
+ | ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน | ||
+ | ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์ | ||
+ | เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่ บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น | ||
+ | คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม | ||
+ | อยู่สองวันซื้อหาสารพัด ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม | ||
+ | ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป | ||
+ | แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน ตวันจวนเจียนดับลับไศล | ||
+ | จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน | ||
+ | เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน | ||
+ | เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน | ||
+ | ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ | ||
+ | ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน | ||
+ | แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ บอกอาการป่วยไปมิได้จร | ||
+ | ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน | ||
+ | ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์ | ||
+ | ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย | ||
+ | กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย | ||
+ | พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์ | ||
+ | ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน เปนจนใจไข้จับยังทับถม | ||
+ | สุดดำรงทรงกายหมายนิยม แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา | ||
+ | ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า | ||
+ | ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่ รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา | ||
+ | ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา ทัศนารำเท้าเปนคราวดี | ||
+ | ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี | ||
+ | จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ | ||
+ | สารถีขับม้าพาลีลาศ ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด | ||
+ | เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง | ||
+ | รำกับน้องของเจ้าอาลเบิต งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
+ | ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา | ||
+ | นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่ พินิจดูงดงามตามภาษา | ||
+ | เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน | ||
+ | กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน | ||
+ | อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน | ||
+ | ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร | ||
+ | พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง | ||
+ | โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง | ||
+ | อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง ขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน | ||
+ | ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น | ||
+ | ต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม | ||
+ | ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม | ||
+ | เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา | ||
+ | มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร | ||
+ | ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร | ||
+ | เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร ดูสลอนแลหลามเปนสามกอง | ||
+ | พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่ พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง | ||
+ | พวกม้าดำดำดีทีลำพอง คำรนร้องเริงร่านหาญประจญ | ||
+ | พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน | ||
+ | ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง | ||
+ | ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่ แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง | ||
+ | ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน | ||
+ | ทหารม้าจรลีทีละตับ ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร | ||
+ | ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง | ||
+ | เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง | ||
+ | พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน | ||
+ | ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ แต่สินธพอาชายังกล้าหาญ | ||
+ | เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ จึงแจ้งการในกลรณรงค์ | ||
+ | ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์ | ||
+ | ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต | ||
+ | เชิงฉลาดอาจหาญในการรบ รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส | ||
+ | จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม | ||
+ | พระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชม ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม | ||
+ | เธอเปนราชกุมารชาญสมร อยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยม | ||
+ | แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน | ||
+ | ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์ | ||
+ | ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ กับตัวฉันจรลีเปนสี่คน | ||
+ | ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง ในตำแหน่งอาวาหสถาผล | ||
+ | ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์ แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย | ||
+ | มาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่าง ริมหนทางคนผู้ดูไสว | ||
+ | ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย | ||
+ | สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย | ||
+ | อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย ก็นำสายสุดสวาทราชธิดา | ||
+ | เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา | ||
+ | อันโฉมยงบุตรีศรีโสภา แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว | ||
+ | ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว | ||
+ | ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง | ||
+ | ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์ | ||
+ | มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์ สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล | ||
+ | ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง เปนยศหวังว่างามตามวิสัย | ||
+ | แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ | ||
+ | กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด | ||
+ | คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ ดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม | ||
+ | ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม | ||
+ | ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม จึงคุกเข่าลงประณามประนมกร | ||
+ | แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์ เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
+ | พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น | ||
+ | ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ | ||
+ | จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ ขณะวันอาวาห์สถาวร | ||
+ | แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร | ||
+ | ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที | ||
+ | ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์ จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี | ||
+ | ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา | ||
+ | แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้ คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา | ||
+ | ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป | ||
+ | แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม โดยคดีมีความข้อสงสัย | ||
+ | ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก | ||
+ | จะรับราชธิดามาเปนคู่ แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์ | ||
+ | ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน | ||
+ | ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ | ||
+ | มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์ แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง | ||
+ | เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง | ||
+ | แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย | ||
+ | ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย | ||
+ | พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง | ||
+ | ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง | ||
+ | ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา | ||
+ | มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา | ||
+ | พระครูรับจับกรสมรมา เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง | ||
+ | แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์ | ||
+ | เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์ จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน | ||
+ | ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า จะรับเอานวลอนงค์คงสมาน | ||
+ | ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร | ||
+ | ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน | ||
+ | สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์ | ||
+ | พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่ | ||
+ | แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที ให้เทวีว่าตามทุกคำไป | ||
+ | ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข | ||
+ | แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา | ||
+ | ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา | ||
+ | จะตั้งใจปรนิบัติภัศดา เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน | ||
+ | เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์ | ||
+ | แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู | ||
+ | ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์ แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่ | ||
+ | แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู ส่งให้กูมารรับคำนับลา | ||
+ | มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
+ | แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี | ||
+ | พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี | ||
+ | โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ | ||
+ | จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ||
+ | เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์ | ||
+ | ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์ สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์ | ||
+ | ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ | ||
+ | เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร | ||
+ | ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง | ||
+ | แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง | ||
+ | จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง จนตราบสองชันษาชีวาวาย | ||
+ | แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย | ||
+ | พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง | ||
+ | บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง | ||
+ | ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง | ||
+ | ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง | ||
+ | พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง คืนเข้าวังสุขสมภิรมยา | ||
+ | แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา | ||
+ | อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน | ||
+ | ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน | ||
+ | พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป | ||
+ | ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้ | ||
+ | ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้ | ||
+ | เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช พวกพระญาติแลเสนาบดีศรี | ||
+ | ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน | ||
+ | หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร | ||
+ | ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ | ||
+ | พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร | ||
+ | เดียรดาษด้วยคณาดารากร พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน | ||
+ | ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์ | ||
+ | ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ | ||
+ | จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ | ||
+ | ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ พูดหัวร่อเฮฮาพากันไป | ||
+ | มาถึงวังขึ้นยังตำหนักติก เห็นคักคึกคนผู้ดูไสว | ||
+ | พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน | ||
+ | พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ | ||
+ | อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน | ||
+ | ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย | ||
+ | มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน | ||
+ | ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง ให้แต่งตั้งภักษาผลาผล | ||
+ | แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน | ||
+ | กินน้ำชากาแฟแลขนม มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์ | ||
+ | ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย | ||
+ | อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย | ||
+ | สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย เสด็จผายผันกลับลับพระองค์ | ||
+ | ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์ | ||
+ | ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ | ||
+ | เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน | ||
+ | เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง | ||
+ | เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์ แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง | ||
+ | ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง | ||
+ | ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง | ||
+ | พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง ครรไลล่วงเลยออกนอกประตู | ||
+ | เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม แล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู | ||
+ | เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย | ||
+ | แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี ซื้อของดีตามห้างที่วางขาย | ||
+ | จนเวลาสายัณห์ตวันชาย ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง | ||
+ | ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา | ||
+ | คือนครทรงยศโอรสเขย ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา | ||
+ | ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา เปนยอดยิ่งกัลยาในธานี | ||
+ | ได้เวลาทูตานุทูตหมด ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี | ||
+ | ถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา | ||
+ | พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา | ||
+ | ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ | ||
+ | เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย | ||
+ | แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน | ||
+ | แลดูเขาเขาดูอดสูแสน ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน | ||
+ | ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู | ||
+ | จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่ | ||
+ | เสด็จออกคนเคยเผยประตู เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ | ||
+ | บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้อง เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน | ||
+ | มาออกทางทวาราข้างขวาพลัน พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป | ||
+ | เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ กับทรงเดชสามิศพิสมัย | ||
+ | พระบุตรีนงรามงามประไพ ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา | ||
+ | ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด แถวหลังหมดพระญาติวงศา | ||
+ | แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร | ||
+ | ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ นั่นแลคือบอกนามตามอักษร | ||
+ | เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี | ||
+ | ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี | ||
+ | น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย | ||
+ | ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย | ||
+ | แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน | ||
+ | จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย | ||
+ | อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา | ||
+ | เอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกา ปักรายริมรัถยาตลอดแล | ||
+ | บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน ลงไปจนนาเวศเขตรกระแส | ||
+ | คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย | ||
+ | วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข | ||
+ | มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ | ||
+ | บนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน | ||
+ | ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ สนุกสนานตามประสาพวกทารก | ||
+ | คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก | ||
+ | แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง | ||
+ | จะพาชมคลังในที่ใส่ทอง ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง | ||
+ | ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | ||
+ | ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร | ||
+ | ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร | ||
+ | ทั้งราตรีแลเวลาทิวากร ทหารนอนเดินนั่งระวังระไว | ||
+ | อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย | ||
+ | แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก | ||
+ | เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์ | ||
+ | ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล | ||
+ | แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน | ||
+ | ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
+ | จะไปหาลอร์ดปามิศตอน กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน | ||
+ | ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว | ||
+ | ดูก็น่าผาสุกสนุกใจ จึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วาง | ||
+ | ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง | ||
+ | แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง ธุระอย่างไรนั่นพากันมา | ||
+ | ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา | ||
+ | ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา คืนกรุงเทพมหานครคง | ||
+ | ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์ | ||
+ | ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน | ||
+ | แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน | ||
+ | เขารับความตามอารมณ์โดยสมควร ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา | ||
+ | ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา | ||
+ | รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่ | ||
+ | พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์ | ||
+ | ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม | ||
+ | ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน | ||
+ | แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน | ||
+ | หวนรำลึกนึกบ้านสถานตน คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา | ||
+ | มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา | ||
+ | บางสพานการถ้วนล้วนศิลา ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา | ||
+ | ในระยะเขตรสพานธารติดตื้น กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา | ||
+ | ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน | ||
+ | แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง แลสล้างเรือแพแซ่ประสาน | ||
+ | บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย | ||
+ | ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล | ||
+ | ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้ หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ | ||
+ | มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ | ||
+ | ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี | ||
+ | ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | ||
+ | จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที ประทับที่หน้าท่าพากันจร | ||
+ | ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน | ||
+ | จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล | ||
+ | รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
+ | เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน จรดลสู่เขตรนิวเศน์วัง | ||
+ | ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง | ||
+ | มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี | ||
+ | จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น จรจรัลตามทางหว่างวิถี | ||
+ | ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง | ||
+ | เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | ||
+ | เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน | ||
+ | ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์ มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์ | ||
+ | ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง | ||
+ | แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์ | ||
+ | เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์ แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน | ||
+ | ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน | ||
+ | แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์ | ||
+ | แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์ | ||
+ | ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง ดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร | ||
+ | พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ | ||
+ | ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย | ||
+ | ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์ คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย | ||
+ | อัคเรศรับสาราเสนานาย แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล | ||
+ | เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์ | ||
+ | จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน สุริยนเย็นพลับอับอัมพร | ||
+ | เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์ สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร | ||
+ | ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา | ||
+ | ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ เสาวนิศจอมวังสั่งให้หา | ||
+ | พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้ | ||
+ | พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์ คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี | ||
+ | ก็รับคำอำลาไม่ช้าที มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย | ||
+ | พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล | ||
+ | มาชำระสระสนานสำราญรื่น ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย | ||
+ | ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง | ||
+ | ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์ | ||
+ | จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี | ||
+ | ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่ | ||
+ | ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ | ||
+ | กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ | ||
+ | วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู | ||
+ | เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่ | ||
+ | ข้างพวกเราเข้าไปในประตู แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน | ||
+ | เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้ โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
+ | จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา | ||
+ | ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า | ||
+ | แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู | ||
+ | ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู | ||
+ | ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป | ||
+ | อันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้ | ||
+ | พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์ | ||
+ | จงไปดีอย่ามีระคายข้อง ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม | ||
+ | ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม ให้เสร็จสมปราถนาสถาวร | ||
+ | ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร | ||
+ | ว่าเราขอน้อมกายถวายพร ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา | ||
+ | ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน จงถาวรยืนวันชันษา | ||
+ | เสวยราชสมบัติวัฒนา ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์ | ||
+ | อนึ่งการอันใดท่านได้รู้ แลได้ดูเห็นตามความประสงค์ | ||
+ | จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง | ||
+ | พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง | ||
+ | แล้วทูลตอบพจมานสารแสดง มิให้แหนงเคืองขัดหัทยา | ||
+ | ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา | ||
+ | ได้รับรองมีสุขทุกทิวา พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด | ||
+ | การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด | ||
+ | ให้ทรงทราบบาทาสารพัด โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย | ||
+ | พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย | ||
+ | จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี | ||
+ | ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่ | ||
+ | สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา | ||
+ | พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด คอยกำหนดวันวานนานหนักหนา | ||
+ | ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา เร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญ | ||
+ | แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์ จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน | ||
+ | ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง | ||
+ | มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง | ||
+ | ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ ตาครูแก่รู้รสบทสนอง | ||
+ | วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย | ||
+ | ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย | ||
+ | ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา | ||
+ | ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา | ||
+ | บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน | ||
+ | เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน | ||
+ | นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย | ||
+ | มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ สารพัดดูแลไม่แชเฉย | ||
+ | ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน | ||
+ | บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น | ||
+ | คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ | ||
+ | เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย | ||
+ | แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์ | ||
+ | ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม | ||
+ | แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์ | ||
+ | กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง | ||
+ | แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง | ||
+ | ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา | ||
+ | ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา | ||
+ | แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน | ||
+ | ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน | ||
+ | ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์ สารพันนกปลาคณาเนือง | ||
+ | ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง | ||
+ | เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน | ||
+ | ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน | ||
+ | จะไปชมของดีที่สำคัญ ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย | ||
+ | เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย | ||
+ | อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน | ||
+ | เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน | ||
+ | มีรูปองค์อัคเรศเกศสกล กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน | ||
+ | ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น | ||
+ | พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน | ||
+ | รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย | ||
+ | รูปขุนนางท่าทางแลวิไล รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา | ||
+ | บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา | ||
+ | บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร | ||
+ | รูปนารีไสยาช่างน่ารัก ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน | ||
+ | เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ | ||
+ | บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม | ||
+ | ให้ปรากฎตามยศทุกคนไป ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน | ||
+ | ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น | ||
+ | ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้ง กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์ | ||
+ | อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน | ||
+ | พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน | ||
+ | ดังยาจกจนยากที่กากแกน ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง | ||
+ | ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง | ||
+ | จะกลับหลังยังที่บุรีเรือง ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | ||
+ | จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร | ||
+ | เขาต้อนรับนับถือจับมือหมด ให้เปนยศภิญโญสโมสร | ||
+ | แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน | ||
+ | แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข บันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
+ | บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย | ||
+ | ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล ดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน | ||
+ | ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์ | ||
+ | ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ | ||
+ | บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล | ||
+ | บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง | ||
+ | สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง | ||
+ | ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์ | ||
+ | เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่ บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก | ||
+ | ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย | ||
+ | นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย | ||
+ | เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย จำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร | ||
+ | สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน | ||
+ | พี่สุดแสนปรีดาสถาวร ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ | ||
+ | ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล | ||
+ | มาถึงเมืองโดเวอเออกะไร ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ | ||
+ | แสนสนุกทุกตำบลถนนตึก เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ | ||
+ | มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ | ||
+ | มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น แล้วให้กินนานาภักษาหาร | ||
+ | ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ สบายบานหยุดพักสำนักเนา | ||
+ | จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา | ||
+ | พายุจัดพัดผันไม่บันเทา เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง | ||
+ | ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน ข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง | ||
+ | พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี | ||
+ | เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า แถวชลาแขวงแควกระแสศรี | ||
+ | เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น | ||
+ | คือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์ | ||
+ | ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ | ||
+ | ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร | ||
+ | เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา | ||
+ | กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา | ||
+ | แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี | ||
+ | อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี | ||
+ | ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย | ||
+ | มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย | ||
+ | ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา | ||
+ | เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา | ||
+ | ไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน | ||
+ | มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน | ||
+ | วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน | ||
+ | ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง | ||
+ | ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้ เขาทำที่ตึกรามงามระหง | ||
+ | มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน | ||
+ | ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน | ||
+ | กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี | ||
+ | ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่ | ||
+ | ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล | ||
+ | ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน | ||
+ | ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน | ||
+ | ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน | ||
+ | แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้ กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา | ||
+ | ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล | ||
+ | ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน | ||
+ | แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้ | ||
+ | ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย เปนแต่อายอัประมาณการอดสู | ||
+ | ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอา | ||
+ | ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ | ||
+ | มีสักสองพันแห่งแต่งลออ พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา | ||
+ | คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา | ||
+ | คนข้างในเขามิได้พันธนา เครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง | ||
+ | เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ | ||
+ | ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป | ||
+ | พวกทหารคอยระวังตั้งรักษา พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว | ||
+ | ลุกกระสุนดินดำประจำไว้ สำหรับได้รบรันประจัญบาน | ||
+ | ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน | ||
+ | ทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์ รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง | ||
+ | ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้ เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง | ||
+ | ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน | ||
+ | ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน | ||
+ | อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน | ||
+ | แต่ของกินสารพัดจะขัดสน ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ | ||
+ | ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว | ||
+ | ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว | ||
+ | แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา | ||
+ | ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง | ||
+ | เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง | ||
+ | สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว | ||
+ | ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว | ||
+ | กว้างประมาณห้าศอกออกตลิว แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา | ||
+ | ถนนรายมีนายอำเภออยู่ ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา | ||
+ | ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์ | ||
+ | ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ | ||
+ | บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา | ||
+ | มิได้ปักปนคู่ดูจังหวะ ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา | ||
+ | ในระหว่างห่างราวสักสิบวา ให้แสงมาส่องต่อกันพอดี | ||
+ | ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี | ||
+ | ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน | ||
+ | เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน | ||
+ | เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ ที่ควงขันบิดขวับพออับลม | ||
+ | เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม | ||
+ | อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน | ||
+ | แต่บรรดาตึกรามดูงามงด ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน | ||
+ | หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี | ||
+ | บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี | ||
+ | บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป | ||
+ | บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล | ||
+ | บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู | ||
+ | มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า ให้บังตาข้อรำคาญการอดสู | ||
+ | กระดาษลายปิดฝาก็น่าดู พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี | ||
+ | จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี | ||
+ | ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย | ||
+ | แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย | ||
+ | คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา | ||
+ | จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา | ||
+ | ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ | ||
+ | ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ | ||
+ | ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม | ||
+ | ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม | ||
+ | บางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป | ||
+ | อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย | ||
+ | จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต | ||
+ | จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์ | ||
+ | ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ | ||
+ | ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน | ||
+ | เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย | ||
+ | มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย | ||
+ | เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม | ||
+ | อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม | ||
+ | ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง | ||
+ | แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์ | ||
+ | แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น | ||
+ | แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์ | ||
+ | มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม | ||
+ | ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง | ||
+ | คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง | ||
+ | อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม | ||
+ | ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า บางรัถาสองคู่ดูพอสม | ||
+ | บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน | ||
+ | คอยรับจ้างตามทางแถวถนน ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน | ||
+ | เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี | ||
+ | บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่ | ||
+ | ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว | ||
+ | แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ ออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | ||
+ | บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก | ||
+ | รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก | ||
+ | เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด | ||
+ | คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล | ||
+ | หนทางที่รถเดินดำเนินนั้น ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว | ||
+ | ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง | ||
+ | ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง | ||
+ | ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง จะข้ามห้วงนทีมีสพาน | ||
+ | ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน | ||
+ | ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร | ||
+ | แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน | ||
+ | ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน ทางที่มามาล้วนไม่มีไป | ||
+ | ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย | ||
+ | ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟ ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน | ||
+ | อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน | ||
+ | ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง | ||
+ | จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง | ||
+ | เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยัง กำหนดตั้งตำราว่าไว้มี | ||
+ | ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | ||
+ | รถที่ไปใส่ขอต่อกันดี จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน | ||
+ | รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน | ||
+ | ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร หมดประมวญสามห้องสิบสองคน | ||
+ | มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน | ||
+ | แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี | ||
+ | ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่ | ||
+ | สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา | ||
+ | รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา | ||
+ | นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง | ||
+ | ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์ | ||
+ | คนยากจนหยากไปใจจำนง ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา | ||
+ | แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง จำจะต้องปนปะคละกันเข้า | ||
+ | เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี | ||
+ | รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่ | ||
+ | บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร | ||
+ | คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง | ||
+ | ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง | ||
+ | ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร | ||
+ | ริมวิถีมีเสายาวหกศอก ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน | ||
+ | แต่ประมาณการแลไม่แน่นอน ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา | ||
+ | บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา | ||
+ | สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม | ||
+ | ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่ เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม | ||
+ | อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป | ||
+ | จนนครราชสิมาหรือกว่านั้น จะบอกกันไปมาหาช้าไม่ | ||
+ | เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ | ||
+ | เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม | ||
+ | คนต้นลวดที่รักษาพยายาม ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง | ||
+ | คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ | ||
+ | เขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน | ||
+ | จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ การตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน | ||
+ | ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร | ||
+ | สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม | ||
+ | พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม | ||
+ | เขียวสดสีหรดานประสานคราม ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก | ||
+ | บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก | ||
+ | ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก มีทางบกทางเรือเหลือสบาย | ||
+ | แม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่า ชายชลาริมแควกระแสสาย | ||
+ | แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ | ||
+ | น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน | ||
+ | ที่แถวท่าวารีนทีธาร ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง | ||
+ | มีนาวาหลายลำประจำไว้ ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์ | ||
+ | จะไปชมลำน้ำตามจำนง เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ | ||
+ | หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ | ||
+ | ขายสุราอาหารคอยจานเจือ สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน | ||
+ | อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง แลสล้างคนผู้ดูสลอน | ||
+ | เวลาเย็นสุริยาทิพากร ราษฎรคลาไคลไปประชุม | ||
+ | ทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่า ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม | ||
+ | บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม ที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบาย | ||
+ | บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย | ||
+ | บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล | ||
+ | หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน | ||
+ | ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป | ||
+ | เขาแต่งตนงามงามตามภาษา ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม | ||
+ | แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย | ||
+ | เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย | ||
+ | คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง | ||
+ | ถึงพาชีมีพยศจะห้อหก ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง | ||
+ | ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ | ||
+ | เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา | ||
+ | ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง | ||
+ | แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์ | ||
+ | กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง มฤคยงย่องหยัดระบัดกิน | ||
+ | แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล | ||
+ | บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก | ||
+ | พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ ครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอก | ||
+ | แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน | ||
+ | ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน | ||
+ | ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน สารพันหลายหลากดูมากมี | ||
+ | ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่ | ||
+ | เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา | ||
+ | เต่าตนุม่านลายเขาขายมาก ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา | ||
+ | ในตลาดมิได้ขาดสักเวลา ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม | ||
+ | เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม | ||
+ | ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา | ||
+ | คนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง โดยลำพังจัดแจงแสวงหา | ||
+ | เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา นางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก | ||
+ | ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์ | ||
+ | ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง | ||
+ | เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง | ||
+ | จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้ | ||
+ | นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย | ||
+ | เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง | ||
+ | ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง | ||
+ | น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน | ||
+ | ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน | ||
+ | เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน พอจุดไฟในนั้นตลอดคืน | ||
+ | ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่ เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน | ||
+ | มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย | ||
+ | แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย | ||
+ | มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา | ||
+ | เวลาก่อนเสพย์รสโภชนา คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ | ||
+ | ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน | ||
+ | กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป | ||
+ | ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว | ||
+ | ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน | ||
+ | เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน | ||
+ | ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน | ||
+ | พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ | ||
+ | ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน | ||
+ | ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือม | ||
+ | เวลากินมิให้พักต้องตักเตือน ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา | ||
+ | ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
+ | จะกินของดีดีมีราคา สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ | ||
+ | คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้ แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน | ||
+ | แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล | ||
+ | คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้ | ||
+ | เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ | ||
+ | เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น จะผายผันคลาไคลใจถวิล | ||
+ | ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์ คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา | ||
+ | จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
+ | หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม | ||
+ | จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม | ||
+ | ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง | ||
+ | ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง | ||
+ | ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ | ||
+ | แต่วันทูตถึงพักนัคเรศ ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล | ||
+ | สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย | ||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน | ||
+ | จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน | ||
+ | ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์ | ||
+ | มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร | ||
+ | ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน | ||
+ | ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน | ||
+ | แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน | ||
+ | สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน | ||
+ | พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน | ||
+ | ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ | ||
+ | บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล | ||
+ | แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น | ||
+ | ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น | ||
+ | มิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ล สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา | ||
+ | เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา | ||
+ | คนที่ในธานีย่อมปรีชา เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ | ||
+ | ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย | ||
+ | แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์ | ||
+ | มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน | ||
+ | รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย | ||
+ | บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย | ||
+ | ของพม่ามอญลาวชาวทวาย ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู | ||
+ | ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู | ||
+ | โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา | ||
+ | รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา | ||
+ | พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา จนเวลาผ่องพื้นโพยมบน | ||
+ | ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน | ||
+ | จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้ เสนาในเชิงชาญการขยัน | ||
+ | ให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน มาเรียงรันรอประทับกับทวาร | ||
+ | คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร | ||
+ | ยืนประจำทำสง่าท่าทยาน สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ | ||
+ | มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์ | ||
+ | ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ | ||
+ | ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์ โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด | ||
+ | จนสองโมงสุริยงเธอลงลด พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา | ||
+ | กับเอกองค์มเหษีนารีราช ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา | ||
+ | เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ | ||
+ | เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร | ||
+ | อันเอกองค์กัลยายุพาพาน แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม | ||
+ | พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม | ||
+ | อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี | ||
+ | สนทนาทูตานุทูตถ้วน ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี | ||
+ | พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์ | ||
+ | ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน | ||
+ | แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง | ||
+ | นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์ สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี | ||
+ | แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี | ||
+ | เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี พระองค์นี้คือหลานผ่านนคร | ||
+ | จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ ด้วยเคารพทรงพระอนุสร | ||
+ | กตัญญูรู้คุณอันสุนทร ให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป | ||
+ | อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้ | ||
+ | คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น | ||
+ | แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์ | ||
+ | ที่สำหรับรับศพมีครบครัน อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย | ||
+ | โมราดีสีดำทำประดับ แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย | ||
+ | คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ | ||
+ | ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร | ||
+ | ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย | ||
+ | จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร ดารากรลับฟ้าเวหาหาย | ||
+ | กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร | ||
+ | พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์ จึงชวนชักกันออกนอกสถาน | ||
+ | เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา | ||
+ | เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง อีกตำแหน่งมนตรีมียศถา | ||
+ | ครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมา กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ | ||
+ | แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน | ||
+ | เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
+ | ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน | ||
+ | จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน | ||
+ | พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน | ||
+ | ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน | ||
+ | อันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ | ||
+ | ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ | ||
+ | เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ | ||
+ | ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร | ||
+ | ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน | ||
+ | น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน | ||
+ | เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ | ||
+ | ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส | ||
+ | มีบุรีริมที่ชลาลัย ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน | ||
+ | นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน | ||
+ | มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล | ||
+ | แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น | ||
+ | ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น ก็จำเปนขึ้นรถบทจร | ||
+ | พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน | ||
+ | อยู่บนบกวกลงมาในสาคร จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน | ||
+ | แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ สุริเยศลับหล้าเวหาหน | ||
+ | ยังไม่จรถอนสมอจรดล ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน | ||
+ | คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน | ||
+ | แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน จำจากกันอนิจจานึกอาลัย | ||
+ | เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล | ||
+ | เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ มิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญา | ||
+ | จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา | ||
+ | อุส่าห์สู้พยายามติดตามมา จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน | ||
+ | เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน | ||
+ | ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา | ||
+ | นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์ เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า | ||
+ | ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ | ||
+ | เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ | ||
+ | น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง | ||
+ | มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์ | ||
+ | พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา | ||
+ | แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า | ||
+ | ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง | ||
+ | พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง | ||
+ | ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย | ||
+ | แล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้า อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย | ||
+ | มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย | ||
+ | ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์ มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย | ||
+ | ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ | ||
+ | มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล | ||
+ | ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | ||
+ | ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง ถึงตำแหน่งธานีที่สถาน | ||
+ | แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล | ||
+ | แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง จนสุเอศเขตรลงชลาไหล | ||
+ | อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ | ||
+ | ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ | ||
+ | ให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี | ||
+ | ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
+ | ยังจำได้สารพัดถนัดดี ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล | ||
+ | เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน | ||
+ | บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง | ||
+ | ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง | ||
+ | แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา | ||
+ | มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า | ||
+ | ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา | ||
+ | จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา | ||
+ | จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้ | ||
+ | สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์ โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย | ||
+ | อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ กว่าจะได้จรดลพ้นนคร | ||
+ | ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน | ||
+ | ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน | ||
+ | เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้ | ||
+ | ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ | ||
+ | ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น จะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน | ||
+ | เจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล | ||
+ | ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส | ||
+ | ราชทูตตอบความให้ล่ามแปล อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ | ||
+ | เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย | ||
+ | กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ คนสำหรับนำหน้าม้าทหาร | ||
+ | เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล ในสถานโฮเต็ลเปนสบาย | ||
+ | อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย | ||
+ | ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ | ||
+ | ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ ให้มารับทูตไทยดังบรรหาร | ||
+ | บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน สุดแท้จะโปรดปรานประการใด | ||
+ | ได้ฟังสารปานอำมฤตรส ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส | ||
+ | ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ | ||
+ | จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม | ||
+ | จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร | ||
+ | ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร | ||
+ | เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล | ||
+ | ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่ มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห | ||
+ | แสนวิตกอกโอ้มาโรเร นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง | ||
+ | เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่ เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง | ||
+ | จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง | ||
+ | คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น พอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง | ||
+ | สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย | ||
+ | ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข | ||
+ | หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย | ||
+ | ทั้งอาหารการกินก็ขัดสน ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย | ||
+ | เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี | ||
+ | ท่านจะไปไกโรหรือไฉน ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่ | ||
+ | ราชทูตตอบต่อข้อคดี มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร | ||
+ | อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้ มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ | ||
+ | อั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ หมดประมวญจะขออยู่ในบูรี | ||
+ | จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี | ||
+ | ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง | ||
+ | ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์ | ||
+ | คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร | ||
+ | ว่าเรือรบที่มากลางสาคร จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน | ||
+ | แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน | ||
+ | เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง | ||
+ | ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง | ||
+ | จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ | ||
+ | สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ | ||
+ | กับสะเบียงอาหารจะจานเจือ ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม | ||
+ | ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม | ||
+ | โอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิม จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย แสนสบายเบาใจดังได้เหาะ | ||
+ | ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล | ||
+ | ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น ก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเส | ||
+ | แสนสุขาอารมณ์สมคเน บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา | ||
+ | กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา | ||
+ | สิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา ธรรมดารับทูตสลูตปืน | ||
+ | ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์ | ||
+ | จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ นึกอนาถน่าคิดพิศวง | ||
+ | เปนไฉนไยหนอพระสุริยง จึงตกลงในที่นทีธาร | ||
+ | เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง ขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน | ||
+ | หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ | ||
+ | พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข | ||
+ | อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร | ||
+ | พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง เสียงจักรดังดูธารสท้านไหว | ||
+ | ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ ริมระยะแขวงแควกระแสศรี | ||
+ | เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี ดูบุรีโซเซเกเรเกนัง | ||
+ | ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอ จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง | ||
+ | ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี | ||
+ | ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ พอประจำใช้พลางกลางวิถี | ||
+ | ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร | ||
+ | ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ | ||
+ | ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน | ||
+ | บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ | ||
+ | ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร | ||
+ | ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน อภิบาลเภทภัยระไวระวัง | ||
+ | แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
+ | ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล | ||
+ | ลงกำปั่นผันผายออกจากที่ แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว | ||
+ | มาหลายวันสลาตันค่อยซาไป กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย | ||
+ | ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย | ||
+ | มากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย จนเจียนตายตกน้ำระยำยับ | ||
+ | เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ | ||
+ | เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที | ||
+ | หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่ | ||
+ | จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี ให้นอนที่เปลไปหลายเวลา | ||
+ | แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา | ||
+ | ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี | ||
+ | สลาตันพัดกล้าจนนาวี เกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน | ||
+ | ลูกเรือทำการงานพานจะขัด ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน | ||
+ | แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน เสาสะบั้นหักยับทับลงมา | ||
+ | ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา | ||
+ | ละลอกจัดพัดเข้าในนาวา บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ | ||
+ | ทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน | ||
+ | บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย | ||
+ | บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย | ||
+ | บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน | ||
+ | บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน | ||
+ | บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์ จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว | ||
+ | บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว | ||
+ | อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน | ||
+ | ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน | ||
+ | เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย | ||
+ | ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย | ||
+ | สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา | ||
+ | กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา | ||
+ | แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน | ||
+ | มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี | ||
+ | สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า เรือไฟมาในระหว่างทางวิถี | ||
+ | ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี เข้าจอดที่รับขนมาจนพอ | ||
+ | ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ | ||
+ | เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร | ||
+ | ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ เปนขอบเขตรตึกโตสโมสร | ||
+ | ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม | ||
+ | ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม | ||
+ | เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง | ||
+ | พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง | ||
+ | แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง | ||
+ | หนทางทูตจรลีมีทหาร เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง | ||
+ | เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ | ||
+ | สิริรวมพลปืนยืนคำนับ เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน | ||
+ | ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี | ||
+ | มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่ | ||
+ | ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม | ||
+ | ให้สองชายนายถนนคนฉลาด ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม | ||
+ | มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน | ||
+ | ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน | ||
+ | ราชทูตพูดจาประสามิตร ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน | ||
+ | เขามานั่งสนทนาเวลาควร ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน | ||
+ | จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต จึงให้รถมารับสลับสลอน | ||
+ | ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน | ||
+ | กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน | ||
+ | แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง | ||
+ | เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง | ||
+ | ดังหนึ่งเทพดามาสำแดง ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ | ||
+ | ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ สาธุสะใครหนอก่อวิหาร | ||
+ | ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน | ||
+ | มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง ทำที่ทางควรจะสรรเสริญ | ||
+ | แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร | ||
+ | แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้ | ||
+ | ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา | ||
+ | ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา ถึงลังกาธานีก็ดีครัน | ||
+ | จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์ | ||
+ | ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน | ||
+ | บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย | ||
+ | เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง | ||
+ | แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง | ||
+ | สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น | ||
+ | แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน | ||
+ | หนทางไกลไปลำลองสักสองวัน แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา | ||
+ | จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
+ | คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง | ||
+ | ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง | ||
+ | เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง แต่คนตายวายชีวงก็มากมาย | ||
+ | อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย | ||
+ | ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา | ||
+ | ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา | ||
+ | ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย | ||
+ | ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข | ||
+ | ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง | ||
+ | ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า จึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง | ||
+ | ราชทูตคิดสงสัยใจระคาง ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย | ||
+ | ไม่นับถือพุทธบาทสาสนา จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข | ||
+ | เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์ | ||
+ | ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ | ||
+ | อยู่วัดในคาลีที่สมภาร อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา | ||
+ | เยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมาย คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา | ||
+ | เปนข้อไขในมคธพจนา ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน | ||
+ | ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์ อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน | ||
+ | ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน ก็เปนอันจนในมิได้จร | ||
+ | จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์ | ||
+ | เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ | ||
+ | ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน | ||
+ | จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร | ||
+ | ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน | ||
+ | ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ เห็นแต่ล้วนการยากลำบากที | ||
+ | ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่ | ||
+ | อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา | ||
+ | กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น เกษมสันต์แสนโสมนัศา | ||
+ | แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล | ||
+ | ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง โดยจำนงจงจิตต์พิสมัย | ||
+ | แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน | ||
+ | สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | ตามหนทางจรจรัลทหารปืน ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา | ||
+ | เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า | ||
+ | กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ | ||
+ | ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน | ||
+ | กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง | ||
+ | จวบประสบพบมิตรขนิษฐา มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง | ||
+ | เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง ลงมานั่งไต่ถามความปฐม | ||
+ | ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย | ||
+ | พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย | ||
+ | ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน | ||
+ | มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน | ||
+ | มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์ | ||
+ | เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน | ||
+ | มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง | ||
+ | ยิงสลูตทูตตามความคำนับ หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง | ||
+ | รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได | ||
+ | ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย | ||
+ | เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที | ||
+ | ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี | ||
+ | รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง | ||
+ | จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์ คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง | ||
+ | ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี | ||
+ | พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี | ||
+ | เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน | ||
+ | ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส | ||
+ | จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา | ||
+ | ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ | ||
+ | พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ | ||
+ | ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์ | ||
+ | ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์ | ||
+ | พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์ จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง | ||
+ | แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง | ||
+ | ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ | ||
+ | เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ แรมทุเรศมาในแควกระแสใส | ||
+ | ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี | ||
+ | ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน | ||
+ | ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน | ||
+ | เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา | ||
+ | เห็นเรือโบตสามลำประจำที่ กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า | ||
+ | พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา นายรักษาอยู่ประจำลำละคน | ||
+ | บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน | ||
+ | ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน | ||
+ | ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | ได้สมหวังกลับยังนครคืน ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | |||
== เชิงอรรถ == | == เชิงอรรถ == | ||
== อ้างอิง == | == อ้างอิง == |
การปรับปรุง เมื่อ 08:31, 17 กรกฎาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หม่อมราโชทัย
เป็นส่วนหนึ่งใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕
บทประพันธ์
อธิบายตำนานนิราศลอนดอน
เมื่อพิมพ์สมุดเล่มนี้ แต่เรกคิดว่าจะพิมพ์แต่จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย ครั้นพิมพ์แล้วส่งสมุดตัวอย่างไปถวายพระเจ้านาง ฯ (๑) ทอดพระเนตร มีรับสั่งมาว่าหม่อมราโชทัยได้แต่งเรื่องนิราศลอนดอนเนื่องจากจดหมายเหตุนี้มีอยู่อีกเรื่อง ๑ เหมือนเปนหนังสือชุดเดียวกันทรงพระราชดำริห์เห็นว่าควรจะพิมพ์หนังสือนิราศลอนดอนในสมุดเล่มนี้ด้วยผู้อ่านจะได้อ่านหนังสือซึ่งหม่อมราโชทัยแต่งในครั้งนั้นให้บริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงได้พิมพ์นิราศลอนดอนเพิ่มเข้าในสมุดเล่มนี้อีกเรื่อง ๑
หนังสือนิราศลอนดอนนี้ ปรากฎในจดหมายเหตุของหมอบรัดเลว่า หม่อมราโชทัยแต่งภายหลังจดหมายเหตุระยะทางราชทูตไทยไปลอนดอน ๒ ปี แต่งแล้วขายกรรมสิทธิ์การพิมพ์ครั้งแรกให้หมอบรัดเลเมื่อปีระกา พ.ศ.๒๔๐๔ หมอบรัดเลลงบันทึกว่าเปนครั้งแรกที่ได้ซื้อขายกรรมสิทธิ์หนังสือกันในเมืองไทย.เรื่องนิราศลอนดอน ตั้งแต่พิมพ์ให้ปรากฎก็ยกย่องกันมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ว่าแต่งดีถึงชั้นเอกในหนังสือกลอนไทย ถึงนิราศของสุนทรภู่ เรื่องที่นับว่าเปนอย่างดีก็ไม่ดีกว่านิราศลอนดอน เห็นจะเปนด้วยประหลาดใจกันว่า หม่อมราโชทัยสิเปนนักเรียนภาษาฝรั่งทำไม จึงแต่งกลอนไทยได้ดีถึงเพียงนั้น จึงมีผู้สงสัยว่านิราศลอนดอนนี้หม่อมราโชทัยมิได้แต่งเอง พระสารสาสน์พลขันธ์ สมบุญ ได้เปนที่ขุนมหาสิทธิโวหาร อาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ บอกแก่ข้าพเจ้าว่า หม่อมราโชทัยได้วานขุนสารประเสริฐ นุช แต่ง แลยังมีผู้พูดกันอีกอย่าง ๑ ว่าหม่อมราโชทัยวานให้สุนทรภู่แต่ง อ้างว่าเมื่อสุนทรภู่ตาย เขาพบกากร่างนิราศลอนดอนที่บ้านสุนทรภู่ เสียงโจทสอดแคล้วเรื่องนิราศลอนดอนนี้เคยได้ยินมาแต่ก่อนเนือง ๆ จนเมื่อก่อนจะพิมพ์สมุดเล่มนี้ยังมีผู้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เคยได้ยินเขาพูดกันว่า นิราศลอนดอนนั้นหม่อมราโชทัยหาได้แต่งเองไม่ ข้าพเจ้าจึงเอาหนังสือนิราศลอนดอนมาอ่านพิจารณาดูอิกครั้ง ๑ อ่านไปไม่เท่าใดก็เชื่อแน่แก่ใจว่า หนังสือเรื่องนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง หาได้วานผู้ใดแต่งไม่ ถ้าจะได้อาศรัยขุนสารประเสริฐ นุช บ้าง ก็เห็นจะเพียงวานให้ช่วยอ่านตรวจแก้ถ้อยคำบ้างเล็กน้อย ข้อที่ว่าวานสุนทรภู่แต่ง น่าจะเปนด้วยสังเกตเห็นกลอนในนิราศลอนดอนคล้ายสำนวนกลอนสุนทรภู่มีอยู่หลายแห่ง เช่นเมื่อราชทูตทูลลากลอนตรงนั้นว่า.
“พระทรงจิ้มจันทน์เจิมเฉลิมวิลาศ แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน”
กลอนเช่นนี้เปนกลอนสุนทรภู่แท้ แต่ถ้าสังเกตต่อไปในที่อื่นจะเห็นได้ว่า ที่จริงนั้นหม่อมราโชทัยเอากลอนสุนทรภู่เปนแบบอย่างแต่งตามด้วยความนับถือ แม้คำสำผัสก็พยายามรับแต่ตรงคำที่ ๓ ตามอย่างกลอนสุนทรภู่ แต่ความจริงสุนทรภู่อยู่มาในรัชกาลที่ ๔ ไม่กี่ปีเห็นจะตายเสียก่อนแต่งนิราศลอนดอนหลายปีแล้ว.
หลักฐานที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหม่อมราโชทัยแต่งเองนั้น เพราะถ้าผู้อื่นแต่ง จะเปนสุนทรภู่ก็ตาม หรือขุนสารประเสริฐ นุช ก็ตาม คงจะต้องเอาจดหมายเหตุของหม่อมราโชทัยที่พิมพ์ข้างต้นสมุดเล่มนี้เปนหลัก แต่งกลอนตามความที่ปรากฎในจดหมายเหตุนั้นไม่นอกออกไปได้ แต่ในนิราศลอนดอน ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่ามีความแปลกออกไปจากจดหมายเหตุหลายแห่ง มิใช่แต่ที่ชมนกชมปลา ซึ่งปล่อยให้กลอนพาไปเท่านั้น ยังมีความจริงซึ่งแต่งได้แต่ด้วยรู้เอง เห็นเองอยู่ในนิราศลอนดอน อันมิได้ปรากฎในตัวจดหมายเหตุอีกมากมายหลายแห่ง ใช่วิสัยที่ผู้แต่งตามหนังสือจดหมายเหตุจะว่าได้อย่างนั้นข้อนี้เปนหลักฐานมั่นคงว่านิราศลอนดลอนนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง สมดังที่บอกไว้ในโคลงบานแพนกว่า
“ตัวเราเกลากล่าวเกลี้ยง | กลอนไข | ||
คือหม่อมราโชทัย | ที่ตั้ง | ||
แสดงโดยแต่จริงใจ | จำจด มานา | ||
ห่อนจักพลิกแพลงพลั้ง | พลาดถ้อยความแถลง” | ||
เพราะฉนั้น หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณอยุธยา) ไม่ใช่เปนแต่ผู้แต่งหนังสือดีในทางความเรียง ซึ่งจะเห็นได้ในจดหมายเหตุที่พิมพ์ตอนต้นสมุดเล่มนี้อย่างเดียว ยังเปนกวีที่สมควรจะยกย่องว่าเปนชั้นสูงด้วยอิกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายได้อ่านหนังสือนิราศลอนดอนตอนต่อไปในสมุดเล่มนี้แล้ว จะเห็นเปนอย่างเดียวกันทุกคน.
แท้จริง ถึงมีผู้สอดแคล้วความสามารถของหม่อมราชโชทัยอยู่บ้างดังกล่าวมา แต่ผู้ที่ยกย่องนับถือความสามารถของหม่อมราโชทัยนั้นมากกว่ามาก มีผู้ที่ทราบว่าจะพิมพ์สมุดเล่มนี้แนะนำแก่ข้าพเจ้าหลายคนทั้งเปนผู้คนที่ได้เคยรู้จักตัวหม่อมราโชทัยแลผู้ที่ได้เคยเห็นแต่โวหารต่างตัวหม่อมราโชทัย ว่าควรพิมพ์รูปของหม่อมราโชทัยให้ปรากฎในสมุดเล่มนี้ด้วย รูปของหม่อมราโชทัยมีอยู่ในหอพระสมุด จึงได้ให้จำลองพิมพ์ไว้ในตอนนี้ ด้วยเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะพอใจได้เห็นหม่อมราโชทัยด้วยกันมาก รูปนี้หม่อมราโชทัยถ่ายเมื่อกลับมาจากยุโรปแล้วหลายปี จึงกลับไว้ผมมหาดไทยตามประเพณีในสมัยนั้น.
( ๑ ) คือสมเด็จพระปิตุฉาเจ้า สุขุมาลย์มารศรี พระอัครราชเทวี
นิราศลอนดอน
๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล | ||||
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน | เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย | |||
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช | ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย | |||
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน | อาสาไทจอมจักรหลักนคร | |||
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ | แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร | |||
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน | กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล | |||
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์ | จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน | |||
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวน | อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย | |||
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | |||
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล | ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง | |||
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ | ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง | |||
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง | ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล | |||
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด | เดียรดาษธงทิวปลิวไสว | |||
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย | จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ | |||
๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์ | เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน | |||
อุปทูตที่สองรองถัดนั้น | เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา | |||
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ | ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า | |||
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา | ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง | |||
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์ | บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง | |||
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง | ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน | |||
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ | ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน | |||
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ | |||
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก | พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย | |||
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน | บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร | |||
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ | แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน | |||
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร | จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน | |||
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ | ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล | |||
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล | พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา | |||
สมถวิลภิญโญสโมสร | รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา | |||
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา | แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย | |||
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์ | เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย | |||
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย | แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา | |||
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา | ||||
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา | คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม | |||
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย | เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม | |||
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม | ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี | |||
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ | ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี | |||
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี | ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน | |||
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น | ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น | |||
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ | ทานตวันพัดโบกระบายลม | |||
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ | ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม | |||
เปนสง่างามกระบวนควรจะชม | ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา | |||
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ | ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา | |||
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา | พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร | |||
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง | ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน | |||
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล | สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี | |||
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น | ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี | |||
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี | ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ | |||
| แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก | คิดชนกชนนีมิรู้หาย | ||
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร | ||||
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น | แรกรักรื่นจำไปไกลสมร | |||
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร | ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา | |||
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท | ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา | |||
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา | มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา | |||
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท | จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา | |||
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา | ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร | |||
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม | ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร | |||
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร | ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล | |||
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้า | ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน | |||
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล | จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ | |||
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร | สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้ | |||
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป | พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ | |||
๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก | จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน | |||
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน | จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ | |||
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร | เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว | |||
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ | ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง | |||
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี | สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง | |||
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง | จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย | |||
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย | ||||
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย | ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน | |||
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง | ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น | |||
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน | นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ | |||
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ | บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ | |||
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ | สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี | |||
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ | ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี | |||
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี | ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ | |||
๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร | ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง | |||
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง | สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ | |||
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ | ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ | |||
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ | เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย | |||
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ | กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย | |||
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย | เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง | |||
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก | ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ | |||
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง | ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง | |||
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง | สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง | |||
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง | เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม | |||
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร | แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม | |||
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม | จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ | |||
๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์ | ||||
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน | ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี | |||
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ | ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่ | |||
สะกรูหันผันพัดในนัที | เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล | |||
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ | ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน | |||
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน | ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง | |||
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย | เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง | |||
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง | ||||
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ | จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง | |||
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม | ||||
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา | สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม | |||
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ | ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล | |||
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ | ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส | |||
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ | แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน | |||
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร | สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน | |||
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน | เรือก็เดินล่วงมาในสาคร | |||
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ | เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน | |||
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน | เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน | |||
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก | ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน | |||
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน | สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ | |||
สุริยงลงลับคิรีศรี | ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ | |||
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ | แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง | |||
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน | ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง | |||
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง | ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล | |||
นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉม | ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล | |||
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ | จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ | |||
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย | ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์ | |||
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน | เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ | |||
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด | ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ | |||
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ | แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี | |||
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น | มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี | |||
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี | ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก | |||
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย | เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข | |||
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก | เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม | |||
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก | ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม | |||
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม | เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ | |||
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก | เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ | |||
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน | เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา | |||
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร | ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา | |||
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา | พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง | |||
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด | จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง | |||
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง | นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์ | |||
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ | แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร | |||
มาอ้างว้างอาทวาในสาคร | จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง | |||
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง | สุดประทังสุดทนกระมลหมาง | |||
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง | สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา | |||
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว | เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา | |||
คิดก็แค้นแสนเวทนาตา | ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ | |||
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ | ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร | |||
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ | มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน | |||
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย | ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน | |||
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์ | อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย | |||
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ | ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย | |||
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย | เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง | |||
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า | โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง | |||
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง | อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ | |||
๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง | ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา | |||
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา | เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน | |||
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด | เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน | |||
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน | ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี | |||
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี | ||||
ถืออาวุธทำท่าจะราวี | กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ | |||
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง | ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร | |||
ขนกระสุนดินดำทำอาการ | จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว | |||
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง | ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว | |||
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว | ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี | |||
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น | เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่ | |||
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที | ดูราวีอย่างทหารชาญทเล | |||
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์ | แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส | |||
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ | จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา | |||
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล | ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา | |||
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา | รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน | |||
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ | ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น | |||
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน | กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน | |||
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย | นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน | |||
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน | เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ | |||
๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว | ระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน | |||
บ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนิน | กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ | |||
ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด | กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น | |||
ล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน | เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ | |||
มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน | ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ | |||
มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ | เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา | |||
ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์ จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา | ||||
สักสี่โมงเศษสายได้เวลา | ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์ | |||
ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง | เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่ | |||
ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร | ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง | |||
ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ | ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง | |||
แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง | โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี | |||
ให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม | ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่ | |||
ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี | จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ | |||
๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง | ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย | |||
จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย | แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี | |||
ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง | ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี | |||
แขกชวามลายูชาวบุรี | เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป | |||
เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ | ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย | |||
ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ | ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ | |||
เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม | เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป | |||
สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ | ควันตลบมืดมนท์อนธการ | |||
พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก | มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร | |||
เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน | กลองประสานรัวเร่งตะรังตัง | |||
พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ | ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง | |||
สารถีตีขวับขับประดัง | ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล | |||
ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก | ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น | |||
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น | ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ | |||
แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน | ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | |||
อันตรายราคีไม่มีพาน | พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย | |||
อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย | ||||
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ | บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ | |||
พระพิเทศพานิชสนิทนัก | สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม | |||
ภูวนาถโปรดปรานประทานนาม | ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย | |||
มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น | ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย | |||
แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ | หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน | |||
ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน | ||||
วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ | แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ | |||
ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ | บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน | |||
ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน | พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร | |||
ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ | เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน | |||
แถวถนนคนกวาดสอาดเตียน | ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป | |||
ครั้นถึงเขตรเคหาสารถี | หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว | |||
ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย | ริมบันไดสองข้างที่ทางจร | |||
คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน | ||||
อิกเภตราในมหาชโลทร | ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ | |||
ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด | แลประหลาดตึกรามงามขยัน | |||
แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน | เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ | |||
ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ | แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ | |||
ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร | ||||
ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น | ค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร | |||
แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร | รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา | |||
ก็ชวนกันผันผายออกจากที่ | จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา | |||
จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา | อนิจจาจำใจต้องไกลเมือง | |||
แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก | ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง | |||
พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง | ไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวี | |||
โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย | สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี | |||
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี | กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ | |||
๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ | เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า | |||
จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา | กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป | |||
เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา | มีเกาะแก่งในมหาชลาไหล | |||
แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ | ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา | |||
มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน | เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา | |||
ชื่อบุรียะกะตราชวาเนา | แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา | |||
กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร | เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า | |||
จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา | ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ | |||
ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ | ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว | |||
แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย | ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี | |||
ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ | เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี | |||
มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที | น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น | |||
แวะสนานธารสบายให้หายร้อน | ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ | |||
ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน | เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน | |||
ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ | ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์ | |||
เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน | จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย | |||
เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง | ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย | |||
ผลาผลต่างต่างเอาวางราย | ดูหลากหลายผักปลาสารพัด | |||
กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น | ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด | |||
บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด | เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล | |||
แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา | ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่ | |||
นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร | ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน | |||
บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม | ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน | |||
อิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน | อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ | |||
แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน | พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย | |||
ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย | ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม | |||
นี่จนจิตต์กิจราชการหลวง | จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม | |||
ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม | ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร | |||
แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า | ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร | |||
จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร | เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน | |||
กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน | ||||
ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน | เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ | |||
อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น | ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ | |||
ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย | ||||
พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น | แสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย | |||
มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย | เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร | |||
นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ | ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน | |||
ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน | ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล | |||
ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด | ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห | |||
ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท | คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ | |||
๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด | เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน | |||
ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ | เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ | |||
แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ | ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่ | |||
แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล | ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง | |||
ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ | กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง | |||
ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง | แทบวายวางชีวันอันตราย | |||
ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ | คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย | |||
ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป | ||||
ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน | เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล | |||
ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย | มิใคร่ได้นิทราอุรารึง | |||
หลายทิวามากลางทางทุเรศ | จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง | |||
ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง | จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี | |||
ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้ สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่ | ||||
ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี | เกิดกุลีลมกล้าสลาตัน | |||
เสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวน | กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน | |||
ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน | ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา | |||
ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข | เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า | |||
คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา | แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์ | |||
คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ | เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน | |||
จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร | ทินกรผุดพ้นชลธี | |||
ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า | อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี | มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร | |||
แต่พายุยังจัดพัดกระโชก | เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว | |||
เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ | แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย | |||
ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย | ||||
ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย | ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง | |||
ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน | ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง | |||
โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง | คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ | |||
๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม | กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร | |||
เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ | เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร | |||
ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน | ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน | |||
มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร | ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ | |||
พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส | ||||
ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสว | คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที | |||
เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ | สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี | |||
ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี | เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ | |||
ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี | ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร | |||
พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน | ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน | |||
เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ | เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์ | |||
ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน | เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง | |||
ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น | อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง | |||
ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง | ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน | |||
มันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน | ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน | |||
ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน | พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา | |||
เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย | เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า | |||
พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา | ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง | |||
เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น | ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง | |||
ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง | ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี | |||
ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี | ||||
หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี | ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ | |||
กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น | ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน | |||
แล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร | ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ | |||
เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา | ||||
ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา | จะวอนว่าไต่ถามนามกร | |||
ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน | บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน | |||
พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร | เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย | |||
เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก | หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย | |||
มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย | ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง | |||
ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่ | เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง | |||
โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง | นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย | |||
เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย | ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย | |||
ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล | กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง | |||
ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง | งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง | |||
ในกระแสแลหลามตามหนทาง | ลอยสล้างเหลือล้นคณนา | |||
นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา | ||||
นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา | อังกฤษว่าบูบีปีกษีบอ | |||
บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม | จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ | |||
ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ | เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล | |||
ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด | ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน | |||
แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน | ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน | |||
พายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้า | กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น | |||
เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน | เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน | |||
ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ | ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ | |||
ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ | ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี | |||
ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง | เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี | |||
ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี | ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ | |||
เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้ | มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข | |||
ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต | แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง | |||
มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ | ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง | |||
แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง | ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ | |||
๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด | พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน | |||
พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ | กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน | |||
กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา | ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน | |||
ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน | จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร | |||
ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน | เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน | |||
เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน | รับประมาญเปนธุระทุกประการ | |||
ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด | ประสามิตรผูกรักสมัคสมาน | |||
ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ | ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง | |||
ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ ชมตลาดตึกรามตามประสงค์ | ||||
ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง | เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน | |||
พอบังลมร่มแดดที่แผดเผา | ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน | |||
เขาคิดทำไร่นาประสาจน | อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี | |||
เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย | มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี | |||
แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี | ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว | |||
จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม | ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว | |||
สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว | แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร | |||
เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย | แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่ | |||
บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล | จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ | |||
๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด | ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก | |||
ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก | ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา | |||
สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ | อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า | |||
ให้ชักธงจอมจักรนัครา | ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ | |||
เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง | สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน | |||
มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน | อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง | |||
ทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่น | บันฦๅลั่นในชลาป่ารหง | |||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง | ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี | |||
แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร | เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี | |||
ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที | ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย | |||
นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด | เดียรดาษแลดูล้วนปูหอย | |||
นกยางย่องจ้องจับขยับคอย | ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน | |||
นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด | เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์ | |||
เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน | รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี | |||
ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส | นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี | |||
กระทุงทองล่องลัดในนัที | ฉลาดดีเอาปากลงลากอวน | |||
ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง | ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน | |||
ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล | นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ | |||
เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ | ก็ตกใจบินบากจากกระแส | |||
ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ | ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด | |||
นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา | ไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิท | |||
แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร | โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ | |||
๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว | มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า | |||
ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา | เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล | |||
พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น | ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น | |||
บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น | บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน | |||
ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก | เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์ | |||
ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้น | ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน | |||
มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง | จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล | |||
หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ | อันราคินข้อไรมิให้มี | |||
แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง | ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้ | |||
พอทูตถึงที่พลันในทันที | ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน | |||
สำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย | พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน | |||
มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ | ขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง | |||
แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ | แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง | |||
เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง | คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้ | |||
ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี | แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข | |||
เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต | กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี | |||
พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น | ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่ | |||
กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี | ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน | |||
จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ | ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์ | |||
ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน | เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย | |||
แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย | ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย | |||
พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย | ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร | |||
เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม | ให้มาชมตามทางต่างสมร | |||
เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์ นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน | ||||
ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น | ไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน | |||
เมื่อพ้นจากวังวนชลธาร | ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย | |||
หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์ | เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย | |||
มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย | ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว | |||
ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ | ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว | |||
กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว | โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน | |||
ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น | ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์ | |||
มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ | ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร | |||
ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย | นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน | |||
เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน | สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ | |||
เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน | เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้ | |||
ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจ | เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ | |||
๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ | ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน | |||
ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน | ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์ | |||
ที่ดำรงองค์มหาอุปราช | ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์ | |||
ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล | ดูมากมูลพลไพร่ในบุรี | |||
พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด | อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่ | |||
เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี | ให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง | |||
ทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับ | โคมสำหรับนำหน้าพาผยอง | |||
ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง | เคียงประคองข้างรถบทจร | |||
บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี | จนถึงที่ตึกโตสโมสร | |||
กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย | ||||
ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง | ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย | |||
เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย | ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ | |||
ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ | ให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน | |||
ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ | ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง | |||
ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง | ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง | |||
มาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง | ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป | |||
ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน | ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย | |||
ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน | เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา | |||
แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก | ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา | |||
พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา | ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร | |||
ในทวารมีทหารถือกระบี่ | ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส | |||
ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช | ประตูโทถัดนั้นทหารปืน | |||
ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ | พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น | |||
ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน | ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ | |||
ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก | ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ | |||
หกกระบอกม้าลากก็มากพอ | ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว | |||
ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา | ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว | |||
ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว | ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี | |||
รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง | ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่ | |||
เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี | เธอพาทีจับมือไม่ถือยศ | |||
ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร | โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ | |||
แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต | ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล | |||
เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน | แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว | |||
แดดก็ร่มลมชายสบายใจ | มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ | |||
กรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว | โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์ | |||
พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น | ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง | |||
มลุลีมลิลากับกาหลง | รำดวนดงดกดอกออกสล้าง | |||
สละเสลาลางลิงมะปริงปราง | ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ | |||
คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม | ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ | |||
ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ | มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง | |||
ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย | ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์ | |||
กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง | โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม | |||
หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น | แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม | |||
มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม | ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร | |||
เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว | ||||
ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ | เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง | |||
บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย | เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง | |||
เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง | กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา | |||
แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี | เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า | |||
ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา | เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ | |||
แล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน | ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส | |||
ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร | ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ | |||
มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง | กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด | |||
ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด | เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร | |||
ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง | แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร | |||
ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย | ||||
ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก | สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย | |||
ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย | ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง | |||
ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้ | กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง | |||
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม | ||||
เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน | บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม | |||
บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม | บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา | |||
เขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง | มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา | |||
สลักรูปหอยปูเงือกงูปลา | ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย | |||
มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ | ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย | |||
จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย | ทำลวดลายเลขาก็น่าชม | |||
สำหรับเจ้านัครามาประพาส | สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม | |||
พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ | ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์ | |||
แล้วพากันกลับหลังมายังตึก | อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร | |||
โอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร | ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น | |||
แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ | อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ | |||
ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น | ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย | เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน | |||
ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน | แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ | |||
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี | ก็ลุที่ริมแควกระแสไหล | |||
เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์ | เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพาน | |||
แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ | ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน | |||
ไว้สำหรับจรดลในชลธาร | เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ | |||
แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง | พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้ | |||
ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไป | รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน | |||
ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า | มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์ | |||
ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์ | เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร | |||
อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก | ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | |||
ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ | เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว | |||
เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก | เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว | |||
แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว | คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน | |||
ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า | ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์ | |||
สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม | ||||
ตื่นผวาหานางเห็นสางแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม | |||
ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม | เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง | |||
ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท | มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง | |||
สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง | ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล | |||
เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด | แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล | |||
ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท | เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร | |||
ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า | ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ | |||
เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน | จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์ | |||
เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง | บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน | |||
ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน | แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี | |||
ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว | จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่ | |||
พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที | เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ | |||
๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน | ถึงกำปั่นแสนโสมนัสา | |||
ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา | ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี | |||
เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก | ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี | |||
ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี | เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย | |||
แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน | แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย | |||
นั่งพูดจาเล่นตามความสบาย | แล้วหกนายต่างพากันลาจร | |||
ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ | ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร | |||
อยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร | ไปในท้องชโลทรทางกันดาร | |||
ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่ | อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร | |||
รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ | สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง | |||
แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ | ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง | |||
ถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง | ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา | |||
กัปตันให้เรือรอสมอทอด | ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา | |||
แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา | บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ | |||
ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ | ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร | |||
ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน | คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย | |||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ | ควันตระหลบดินดาลสท้านไหว | |||
แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป | อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา | |||
เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง | ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา | |||
ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา | ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน | |||
พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข | แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์ | |||
ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน | ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง | |||
นึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง | จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง | |||
ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง | บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย | |||
ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น | ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | |||
กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ | แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ | |||
๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด | ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห | |||
ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน | ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก | |||
คลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย | นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก | |||
กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก | จนยามดึกลมจัดพัดกระพือ | |||
กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ | ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ | |||
คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ | เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ | |||
แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น | ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ | |||
ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ | จนข้อเสือก้านจักรหักออกไป | |||
ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์ | แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่ | |||
เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ | ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ | |||
๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ | อยู่ริมเขตรวังวนชลสาย | |||
คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย | จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี | |||
ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง | ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี | ต่างยินดีปราไสกันไปมา | |||
บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม | ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา | |||
บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา | บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย | |||
เขาผูกรักชักชิดสนิทสนม | ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย | |||
อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย | ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ | |||
๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย | ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์ | |||
ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน | พายุนั้นสามารถทายาดพอ | |||
แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ | ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ | |||
เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ | คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม | |||
พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช | จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม | |||
เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย | ||||
เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ | ปรกติไปโดยสดวกได้ | |||
ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย | เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ | |||
คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ | ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน | |||
เปนเวลาสุริยนอนธการ | ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน | |||
ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง | แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น | |||
ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์ | โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป | |||
ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์ | เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย | |||
ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้ | รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา | |||
ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง | พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | |||
ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา | โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง | |||
ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า | ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง | |||
ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง | แลสล้างทั้งสามงามวิไล | |||
ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ | ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย | |||
ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ | มาถามไถ่ทักทายเราะรายดี | |||
แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง | พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี | |||
มีประสาสน์พระราชเสาวนี | ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา | |||
เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง | พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา | |||
ไว้สำหรับรับราชสารา | กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง | |||
จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไป | ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง | |||
เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง | ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา | |||
แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ | ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา | |||
จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา | มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง | |||
แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง | ||||
สิ่งใดใดมีในบุรีเรือง | แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล | |||
อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด | อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน | |||
ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน | เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง | |||
แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น | แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง | |||
กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง | เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน | |||
ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ | แลสลับน่าดูหมู่ทหาร | |||
ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร | แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง | |||
ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด | ก็แออัดสับสนคนสพรั่ง | |||
มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง | บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย | |||
เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว | ||||
แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล | ตลอดไปจนรถช่างงดงาม | |||
สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น | พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม | |||
พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม | ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล | |||
แอดมิรัลนายทหารชาญสมุท | ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว | |||
สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย | ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์ | |||
ทหารรับจับเชือกกระชากปราด | พอนกฉาดปืนลั่นควันขมง | |||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง | คำนับธงแทนนาถบาทยุคล | |||
แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ | ม้าพยศวิ่งวางกลางถนน | |||
ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล | ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ | |||
สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก | ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ | |||
แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ | ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน | |||
ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย | ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล | |||
แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร | ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ | |||
๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก | เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | |||
จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ สายตวันเวลาสักห้าโมง | ||||
เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก | ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง | |||
บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง | ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง | |||
สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน | กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง | |||
ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง | ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน | |||
พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน | ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน | |||
จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน | เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง | |||
มีทหารถือกระบี่เปนทีท่า | ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง | |||
งามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง | สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป | |||
อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ | เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน | |||
เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย | ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน | |||
พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่ | เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน | |||
ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล | ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ | |||
ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก | ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน | |||
ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร | โอฬาลานทีท่าน่าสบาย | |||
ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ | รถประทับนายทวารเปิดบานผาย | |||
ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย | มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร | |||
แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ | ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์ | |||
เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน | มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน | |||
จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่ | คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน | |||
เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน | ไม่เกียจกลการงานขยันจริง | |||
เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว | รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง | |||
ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง | เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน | |||
แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด | ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน | |||
เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน | เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี | |||
ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย | สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี | |||
ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที | นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง | |||
เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร | เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง | |||
นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง | จนระฆังขานก้องถึงสองยาม | |||
ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ | ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม | |||
ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม | ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง | |||
ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ | สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง | |||
เอาพระเดชจอมจักรหักระคาง | ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม | |||
เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า | ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม | |||
พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม | ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน | |||
แต่วิสัยใจบุถุชนนี้ | ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน | |||
หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน | ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน | |||
อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น | ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน | |||
วายถวิลเพียงเวลาทิพากร | คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี | |||
แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง | เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
ก็พูดจาปราไสใจยินดี | บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ | |||
๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน | มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน | |||
ไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์ | ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง | |||
ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า | ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง | |||
อาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง | ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน | |||
เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก | ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์ | |||
แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน | มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู | |||
แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง | ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้ | |||
ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู | ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย | |||
ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ | แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย | |||
จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย | เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง | |||
ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร | บังคับการข่มขี่ทีข่มเหง | |||
ข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรง | คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย | |||
ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ | ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย | |||
ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย | ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ | |||
ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ | เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ | |||
ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ | ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา | |||
พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ | ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา | |||
ยิงระดมล้มระดะดาษดา | คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ | |||
เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ | ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว | |||
เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ | ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ | |||
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ | ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ | |||
ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ | แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง | |||
บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง | ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง | |||
แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง | ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ | |||
แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ | ||||
สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ | ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป | |||
ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น | ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย | |||
ส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล | ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ | |||
ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม | รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ | |||
ถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอ | คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม | |||
ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง | ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม | |||
ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม | สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น | |||
จึงคืนคงลงจากพาชีชาติ | ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน | |||
มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน | หวังจะกันกีดไว้มิให้จร | |||
ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ | ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน | |||
แล้วนารีขี่ควบอัศดร | ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน | |||
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด | เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน | |||
ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ | ||||
๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ | ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง | |||
ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง | ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง | |||
บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า | ยืนแยกขาทำตามความประสงค์ | |||
คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง | เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน | |||
สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว | เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน | |||
บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน | ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน | |||
บางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือก | กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน | |||
กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน | พัลวันไวว่องทั้งสองนาย | |||
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง | คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย | |||
ขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย | ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน | |||
เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า | ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น | |||
แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน | ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา | |||
อีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วง | กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า | |||
ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า | โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม | |||
แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม | ก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม | |||
แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม | ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ | |||
ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม | กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้ | |||
ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป | แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ | |||
๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด | ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา | |||
ชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชา | มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม | |||
แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ | ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม | |||
สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ | คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน | |||
พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง | ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน | |||
ชายตลกยกเท้าอัศดร | ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา | |||
ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด | สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา | |||
บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา | แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย | |||
มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา | ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย | |||
ตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย | นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร | |||
ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า | ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน | |||
เราจะห้ามปรามไว้มิให้จร | อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี | |||
มิศกุกรับคำทำเปนว่า | มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่ | |||
แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี | จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน | |||
สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง | ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน | |||
ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน | แล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไป | |||
ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน | ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้ | |||
มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว | ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที | |||
จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา | ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋ | |||
คนตลกจึงว่าแก่พาชี | หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร | |||
ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก | สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน | |||
ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร | จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย | |||
ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์ | โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย | |||
มิศกุกนายม้าปรีชาชาย | ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว | |||
แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง | ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว | |||
ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว | สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน | |||
คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ | ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | |||
คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ | ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ | |||
เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์ | ||||
เอานารีรูปร่างสำอางครัน | เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล | |||
แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น | ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย | |||
ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก | ดังเหาะได้จริงจังลำพังตน | |||
บางทีผุดผายผันจากบรรพต | เห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน | |||
บางทีขึ้นจากพื้นภูวดล | แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร | |||
คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้ | รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร | |||
ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร | ดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม | |||
เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ | คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม | |||
คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม | ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ | |||
๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ | ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว | |||
มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย | จัดรถให้ห้ารถบทจร | |||
ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน | ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน | |||
เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ | ราษฎรเสียให้จึงได้ดู | |||
มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท | สิงหราชกรินีทั้งหมีหมู | |||
อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู | ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน | |||
แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา | พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน | |||
ฟานกระจงเลียงผาสารพัน | จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน | |||
กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก | ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย | |||
อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ | ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว | |||
เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง | ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว | |||
ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว | ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย | |||
มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง | เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย | |||
เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา | ||||
ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ | คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า | |||
จรเข้หอยปูงูเต่าปลา | สกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน | |||
ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่ | เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน | |||
แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย | ||||
ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก | ซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหว | |||
แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร | ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ | |||
จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง | แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ | |||
ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ | ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต | |||
ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง | อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้ | |||
สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ | กินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน | |||
เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร | ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์ | |||
แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน | จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน | ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา | |||
ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา | เปนมหานาเวศวิเศษนัก | |||
ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก | ||||
ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก | คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี | |||
ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น | เขียนสุวรรณลวดลายระบายสี | |||
มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที | ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ | |||
ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด | ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ | |||
ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ | เขาหาทำของเข้าเอามาไว้ | |||
ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง | แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว | |||
เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ | ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ | |||
บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น | แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน | |||
เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร | ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ | |||
๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด | ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย | |||
ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย | ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา | |||
ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น | ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา | |||
ใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคา | ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน | |||
ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง | พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน | |||
เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด | ||||
อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง | ตามแถวท้องวารินยินถนัด | |||
เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด | ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี | |||
อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น | โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่ | |||
สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี | เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย | |||
เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด | ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล | |||
พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร | ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ | |||
๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย | ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ | |||
ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ | เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน | |||
ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ | ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล | |||
ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ | ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล | |||
กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง | คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย | |||
มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ | กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน | |||
อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม | มาควบคุมของขนไปจนสิ้น | |||
บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ | ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา | |||
แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน | กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา | |||
๏ อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา | ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง | |||
ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า | พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง | |||
อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง | ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ | |||
ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ | ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ | |||
ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน | มีพระบัญชาตรัสดำรัสการ | |||
ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ | ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น | |||
ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร | ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา | |||
ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ | ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า | |||
จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา | มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี | |||
เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท | ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี | |||
หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี | อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด | |||
ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า | จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้ | |||
เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย | ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง | |||
ราชทูตรับว่าอย่าปรารภ | จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง | |||
แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง | ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ | |||
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ | ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง | |||
เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง | ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์ | |||
ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต | พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี | |||
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี | ในการที่รับทูตขอหยุดไว้ | |||
อีกสักแปดราตรีพอมีสุข | ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย | |||
ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ | ต้องรอไปป่วยการนานเวลา | |||
ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ | ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา | |||
เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา | กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี | |||
แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น | ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี | |||
คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี | แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ | |||
๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน | ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน | |||
ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ | ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน | |||
ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก | แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | |||
สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ | ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร | |||
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ | มารับรองพูดจาอัชฌาสัย | |||
แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป | ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล | |||
ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน | ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน | |||
สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน | แล้วต่างคนจากที่เดินลีลา | |||
เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอย | เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา | |||
มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา | ลำคงคาเรือแพออกแจจรร | |||
ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง | ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น | |||
ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์ | อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย | |||
รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง | พื้นนภางค์โอภาษประลาดหลาย | |||
แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย | คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง | |||
ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล | ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง | |||
ไม่มีข้อสงสัยใจประวิง | ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ | |||
ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่ | จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ | |||
ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ | ไปดูหนังฟังคำบทเจรจา | |||
อันรูปหนังดูงามตามวิสัย | เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา | |||
มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา | บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน | |||
ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ | ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน | |||
ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น | ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด | |||
ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง | ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์ | |||
อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน | ||||
ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน | จรจัลกลับหลังยังสถาน | |||
ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน | เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ | |||
๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน | สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง | |||
ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง | ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น | |||
เขามาชวนไปยังที่วังแก้ว | ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น | |||
ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน | ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์ | |||
มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน | ||||
ครั้นถึงวังรัตนาพากันจร | เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล | |||
ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว | วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส | |||
ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร | ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา | |||
สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น | เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา | |||
ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา | ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย | |||
มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น | ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย | |||
แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชาย | ประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ | |||
แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ | ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน | |||
รูปคนป่าราษีไม่มีนวล | ทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง | |||
แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย | ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง | |||
แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง | จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย | |||
มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด | ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย | |||
ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย | แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน | |||
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ | หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น | |||
ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน | แต่พิรุณจวนรินโรยลออง | |||
ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด | คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง | |||
เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง | พอพวกพ้องที่รักมาชักชวน | |||
ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ | ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ | |||
จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน | แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา | |||
แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง | เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา | |||
ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา | ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย | |||
จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย | ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย | |||
ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย | เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ | |||
พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง | เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน | |||
ดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน | ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง | |||
ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า | ดูพักตราราษีไม่มีหมอง | |||
ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง | ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ | |||
ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ | ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์ | |||
เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน | เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ | |||
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง มายับยั้งไสยาที่อาศรัย | ||||
จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย | พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน | |||
ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น | สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน | |||
รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล | ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง | |||
ทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก | วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง | |||
กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง | แลสล้างล้อมขนานพระมารดร | |||
รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย | ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน | |||
มีคนดำน้ำอดบทจร | ในสาครทนจมอยู่นมนาน | |||
แสนสบายหายใจก็ได้คล่อง | ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน | |||
ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร | วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา | |||
อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ | ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา | |||
แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา | เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง | |||
ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย | ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง | |||
ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ | ||||
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์ | ||||
สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก | มาชวนชักให้สนานสำราญกาย | |||
ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย | ||||
เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย | ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย | |||
นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน | โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว | |||
บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน | ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด | |||
ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร | แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด | |||
ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด | มรกดไพฑูรย์จำรูญราย | |||
เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร | หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย | |||
สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย | ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน | |||
ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก | ถึงสำนักรถไฟจะผายผัน | |||
พอประสพพบเห็นเยนเนอรัล | ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร | |||
หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น | ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร | |||
ถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวร | ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง | |||
อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ | เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง | |||
ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง | ทูตประคองเคียงตั้งระวังดู | |||
อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น | ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้ | |||
ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู | แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน | |||
กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร | ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร | |||
กระหนกนอกดอกช่ออรชร | ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย | |||
เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ | ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยาย | |||
ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย | พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง | |||
ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ | ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง | |||
ริมถนนคนผู้ดูประดัง | ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร | |||
ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ | ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข | |||
น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต | ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน | |||
บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต | บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์ | |||
ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน | ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี | |||
แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก | ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี | |||
จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี | ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ | |||
๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง | ||||
ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง | ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ | |||
ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย | ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ | |||
เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ | กลองขยับมือถี่ตีออกรัว | |||
เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร | เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว | |||
ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว | ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน | |||
เชิญพวกทูตจากรถบทบาท | ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน | |||
ให้พักพาอาศรัยในตำบล | เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย | |||
ชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาว | ถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัย | |||
จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน | กระจกใส่ช่องชิดสนิทดี | |||
เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น | ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี | |||
ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี | ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์ | |||
บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร | ||||
แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร | เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง | |||
เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง | ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง | |||
ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง | เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน | |||
ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน | ||||
ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ พานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย | ||||
ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม | ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย | |||
เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย | แต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกร | |||
ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน | ||||
คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร | พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป | |||
แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร | คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส | |||
แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย | ขุนปรีชาล่ามในบวรวัง | |||
ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด | เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง | |||
ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง | จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา | |||
ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ | ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา | |||
ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา | อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน | |||
แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว | ||||
ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย | เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม | |||
ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง | ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม | |||
รับพระราชโองการบรรหารความ | จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี | |||
ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง | มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี | |||
โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี | ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน | |||
จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข | ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน | |||
สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล | ข้างพวกทูตอภิวันทนาการ | |||
อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง | คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น | |||
แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน | ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย | |||
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง | จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย | |||
พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย | วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ | |||
ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน | ||||
ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์ | จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย | |||
ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า | เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย | |||
ได้รับทูตสององค์พระทรงชัย | ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน | |||
ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น | เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น | |||
เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน | จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม | |||
จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่ | เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม | |||
ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม | จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี | |||
ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อน | สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
พวกพานิชลูกค้าประชาชี | ได้ไปที่ค้าขายสบายบาน | |||
อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง | ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร | |||
ไปรับทูตข้ามวนชลธาร | ทางกันดารตั้งใจระไวระวัง | |||
ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล | ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง | |||
โดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง | เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้ | |||
ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า | กลับออกมาชี้แจงแถลงไข | |||
ว่าพระนางยินดีมีพระทัย | ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ | |||
สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ | กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน | |||
ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ | แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย | |||
ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้ | พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่ | |||
ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไป | ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ | |||
ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า | จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม | |||
จะคายคมสมควรไม่ลวนลาม | เวลานี้จงประณามประนมลา | |||
ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง | ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา | |||
คลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา | เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ | |||
๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช | เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง | |||
อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง | ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา | |||
ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง | แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า | |||
ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา | ||||
ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร | ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา | |||
ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา | ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ | |||
ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ | เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ | |||
ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ | จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด | |||
เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช | หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส | |||
มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน | ประมาณได้สามสิบพอดิบดี | |||
อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ | ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี | |||
สวยสอาดเปนพระราชสามี | แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ | |||
ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด | เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ | |||
อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ | ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน | |||
ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย | โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร | |||
สารพัดเครื่องราชบรรณาการ | พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ | |||
๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า | สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง | |||
เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง | ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา | |||
อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น | กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา | |||
ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา | ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม | |||
บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด | บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม | |||
ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม | ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ | |||
๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน | เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน | |||
ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน | ชมศัสตราดาเดียรดาษดู | |||
อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ | รายประจำตามผนังวางเปนคู่ | |||
มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู | ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง | |||
เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก | หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง | |||
เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง | เสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน | |||
สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ | ยุรยาตรคืนหลังยังสถาน | |||
ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน | แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ | |||
จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา | ||||
เสียงม้ารถอึงอัดรัถยา | พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย | |||
ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง | เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย | |||
เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย | เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย | |||
แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง | ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวย | |||
สารพัดจัดบรรจงน่างงงวย | อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ | |||
๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่ | บัญชาให้คนขำนำอักษร | |||
มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร | ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์ | |||
จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์ | พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี | |||
ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี | กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน | |||
จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย | เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน | |||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน | จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร | |||
ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน | สุริฉานลับเงาเขาศิงขร | |||
เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร | ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย | |||
จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร | เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย | |||
มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย | เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา | |||
คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ | ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา | |||
ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา | หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง | |||
พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร | เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง | |||
พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง | แลสล้างดังคณาดาราราย | |||
เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์ | เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย | |||
จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย | บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง | |||
ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท | แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง | |||
เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง | ให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย | |||
ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า | นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่ | |||
อุปทูตที่สองรองลงไป | เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี | |||
แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่ | ||||
ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี | แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา | |||
อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ | ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา | |||
เมื่อขณะเสพย์รสโภชนา | นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย | |||
จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎ | ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย | |||
ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย | โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย | |||
ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ | ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน | |||
ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร | มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร | |||
ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ | ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร | |||
เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร | ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน | |||
พระสามีที่สนิทพิศวาท | งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ | |||
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน | แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย | |||
เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ | ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย | |||
ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย | มาทักทายพูดจาแล้วลาไป | |||
เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย | จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย | |||
เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล | ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา | |||
ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า | ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา | |||
โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา | อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง | |||
กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด | เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง | |||
ได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง | แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง | |||
พระบุตราบุตรีสามีราช | มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง | |||
บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง | จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี | |||
นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น | เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่ | |||
ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี | ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน | |||
ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน | โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน | |||
คนละห้องไสยาสถาวร | จนทินกรแจ่มจบภพไตร | |||
ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ | เปนพระราชสามิศพิสมัย | |||
ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ | พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์ | |||
มารับของภูบาลผ่านพิภพ | ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์ | |||
ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ | ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา | |||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก | เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา | |||
ทั้งสองข้างต่างคนสนทนา | แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป | |||
พนักงานจัดแจงแต่งอาหาร | ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว | |||
ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ | จนสี่โมงเศษได้เวลาจร | |||
ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ | ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน | |||
พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน | นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด | |||
นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม | มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์ | |||
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด | แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา | |||
กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น | พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา | |||
แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา | ไปชมโรงแพทยารักษาคน | |||
ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์ | แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน | |||
ทำเริงรื่นขืนมานะจรดล | ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ | |||
๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ | พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว | |||
ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน | ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น | |||
มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง | ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน | |||
อิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน | ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ | |||
ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก | ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห | |||
ในตากลมกลวงโหวโตกะไร | ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง | |||
กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้ | น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง | |||
ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน | ||||
บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด | แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ | |||
หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ | ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน | |||
จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว | พี่เห็นแล้วผมพองสยองขน | |||
อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน | ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป | |||
บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด | แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย | |||
ตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไร | ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย | |||
บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง | แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย | |||
ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย | ให้หญิงชายทัศนาบรรดามี | |||
ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น | ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี | |||
ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี | ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล | |||
แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด | ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน | |||
ก็ออกจากโรงหมอจรดล | ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ | |||
๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น | ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน | |||
วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ | ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที | |||
ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง | ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่ | |||
ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี | เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ | |||
๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม | ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร | |||
ในนั้นมีตึกโตมโหฬาร | สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ | |||
รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก | ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ | |||
ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ | ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย | |||
มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต | คนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย | |||
เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์ | ||||
แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง | ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์ | |||
มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ | สารพันอาภรณ์บวรรัตน์ | |||
มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ | วับวาววาบแววแวมแจ่มจรส | |||
รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด | ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ | |||
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง คืนมายังที่สำนักพักอาศรัย | ||||
ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล | ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร | |||
ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน | สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร | |||
หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน | ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง | |||
ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น | เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง | |||
เห็นทวารบานปิดมิดกำบัง | ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | |||
ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง | ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร | |||
เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน | ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร | |||
เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้ | จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | |||
ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน | ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม | |||
มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า | แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม | |||
บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม | ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป | |||
ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด | ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน | |||
เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล | แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย | |||
ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด | เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย | |||
มีชื่อตามสีสันดังบรรยาย | ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน | |||
งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น | ||||
ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน | บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง | |||
บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน | ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง | |||
ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง | ที่บางห้องปูพรมอุดมดี | |||
บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ | เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี | |||
อันของใช้หลากหลากก็มากมี | ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน | |||
เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น | เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน | |||
ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน | ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน | |||
เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์ | วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน | |||
บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน | สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป | |||
สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ | ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว | |||
ที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ | แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ | |||
๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ | เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน | |||
ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ | ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง | |||
เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก | ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง | |||
พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง | เสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดร | |||
ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท | วรราชนารีศรีสมร | |||
ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร | พากันจรขึ้นนั่งที่บังควร | |||
บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก | บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน | |||
จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน | มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา | |||
เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา | ||||
เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา | มีรถหน้าขึงขำนำครรไล | |||
คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา | ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว | |||
แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป | ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ | |||
สพายปืนขับขี่พาชีชาติ | ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์ | |||
ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด | เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย | |||
ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก | รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย | |||
ถือกระบี่ทีจับขยับราย | ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา | |||
ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง | แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา | |||
ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา | อีกขนัดถัดมาหกสิบคน | |||
ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร | มาโดยเขตรสองข้างทางถนน | |||
มารยาตรอาจหาญชาญผจญ | ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ | |||
อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ | ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช | |||
ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ | ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น | |||
แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์ | พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน | |||
จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ | กระจกกันกั้นหวังให้บังลม | |||
บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ | เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม | |||
สารถีขี่ประจำล้วนขำคม | น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว | |||
ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ | ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว | |||
เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว | เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน | |||
ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช | ผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร | |||
แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ | พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง | |||
ครั้นทีหลังพาชีมีทหาร | แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง | |||
สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง | เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา | |||
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย | งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา | |||
ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา | เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์ | |||
มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช | อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น | |||
ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น | ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที | |||
ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก | หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่ | |||
คนเดินนำสามสิบพอดิบดี | พระมาลากำมะหยี่สีบวร | |||
ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง | มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน | |||
เมื่อเสด็จจากรถบทจร | พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง | |||
ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด | ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง | |||
ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง | กว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย | |||
สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ | ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย | |||
ถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย | คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา | |||
ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย | สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา | |||
เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ | ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย | |||
ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา | เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย | |||
แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย | ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง | |||
ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ | ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง | |||
อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง | สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม | |||
สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย | ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม | |||
โดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนาม | แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา | |||
อันพระจอมสากลวิมลสมร | ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา | |||
ฉลององค์ทรงโขมพัตรา | อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร | |||
เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ | ||||
เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด | ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ | |||
เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ | จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน | |||
ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ | ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ | |||
แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น | ||||
ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น | จะได้เห็นไกกลที่คนทำ | |||
เขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง | ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ | |||
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ | โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ | |||
ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ | ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร | |||
ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน | จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย | |||
แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง | น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว | |||
ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ | พอเที่ยงได้เวลาพากันจร | |||
แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน | ||||
เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร | คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน | |||
เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์ | ||||
จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัล | ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ | |||
๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี | มีไร่นาสาลีแลไสว | |||
นาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร | เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง | |||
เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด | ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง | |||
ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง | ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม | |||
บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก | เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม | |||
มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม | ในที่ตามทางรถบทจร | |||
แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง | ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร | |||
เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย | ||||
ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น | มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย | |||
บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย | ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา | |||
บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล | เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา | |||
แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา | ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ | |||
บางทีทำลำคลองเปนสองชั้น | ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน | |||
ข้างล่างชลลันไหลใต้สพาน | เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ | |||
๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก | เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง | |||
เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง | ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย | |||
เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก | อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย | |||
ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย | จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ | |||
ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ | มารับทูตไทยหมดให้ผายผัน | |||
ไปดูที่นานาสารพัน | แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน | |||
กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร | วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน | |||
ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ | โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง | |||
ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง | เจียระไนใสสว่างเปนสีแสง | |||
ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง | ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง | |||
อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์ | ||||
ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง | เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ | |||
๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน | แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง | |||
จากบุรีรีบไปดังใจปอง | จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน | |||
ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน | ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์ | |||
เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน | สารพันพิศเพลินเจริญตา | |||
พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ | ผู้รักษาธานีก็มาหา | |||
แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา | ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก | |||
ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์ | เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก | |||
คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก | มาชวนชักพูดจาแล้วลาไป | |||
ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์ | จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | |||
ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล | ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี | |||
อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด | ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี | |||
ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที | เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ | |||
๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์ | เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน | |||
กำปั่นพวกลูกค้าในสาคร | ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ | |||
บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่ | หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ | |||
เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ | ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง | |||
ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด | ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง | |||
สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง | เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง | |||
คนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน | ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง | |||
ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง | ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย | |||
ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา | ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย | |||
สุดจะนับคณนาจนตาลาย | ดูมากมายสับสนพ้นประมาณ | |||
ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง | หยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร | |||
จนสิ้นแสงสุริยนอนธการ | พนักงานจัดแจงตกแต่งรถ | |||
แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย | ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด | |||
ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด | อันปรากฎมีอยู่ในบูรี | |||
ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส | ก็คลาไคลตามแนวแถววิถี | |||
ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี | จึงจรลีเข้าไปดังใจปอง | |||
เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ | ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ | |||
กวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง | ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู | |||
อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา | จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู | |||
ขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้ | ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ | |||
ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร | ||||
ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน | พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด | |||
แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า | ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด | |||
ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ | ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย | |||
เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ | แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย | |||
แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย | ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน | |||
จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม | แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน | |||
แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน | เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน | |||
ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า | คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น | |||
เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน | สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว | |||
จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด | วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว | |||
ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว | ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา | |||
เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่ง | เราจะทิ้งผ้าไปในเวหา | |||
จงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา | อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน | |||
แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ | พาชีชาติรับได้ดังใจถวิล | |||
ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์ | เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ | |||
แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด | ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ | |||
ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ | ยังวิตถารมากมายหลายทำนอง | |||
ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก | อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง | |||
ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง | คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา | |||
เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก | ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา | |||
พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา | เหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน | |||
ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ | นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ | |||
ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน | ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย | |||
จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง | ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย | |||
อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล | ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ | |||
๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์ นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน | ||||
แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ | คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร | |||
ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน | ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย | |||
เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป | เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน | |||
เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง | ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน | |||
ต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ | ||||
นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น | ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ | |||
ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ | พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง | |||
ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ | ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง | |||
อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง | เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย | |||
แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น | ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย | |||
เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย | เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา | |||
เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ | ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า | |||
อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา | พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา | |||
ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์ | น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา | |||
ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา | จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ | |||
๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ | พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน | |||
ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน | ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์ | |||
เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่ | บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น | |||
คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน | เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม | |||
อยู่สองวันซื้อหาสารพัด | ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม | |||
ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม | ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป | |||
แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน | ตวันจวนเจียนดับลับไศล | |||
จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ | สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน | |||
เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ | ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน | |||
เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ | ||||
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ | มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน | |||
ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน | คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ | |||
ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก | ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน | |||
แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ | บอกอาการป่วยไปมิได้จร | |||
ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา | ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน | |||
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ | ||||
๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร | ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์ | |||
ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย | ||||
กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า | ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย | |||
พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย | มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์ | |||
ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน | เปนจนใจไข้จับยังทับถม | |||
สุดดำรงทรงกายหมายนิยม | แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา | |||
ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ | แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า | |||
ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา | อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ | |||
๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่ รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา | ||||
ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา | ทัศนารำเท้าเปนคราวดี | |||
ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ | ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี | |||
จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที | ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ | |||
สารถีขับม้าพาลีลาศ | ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด | |||
เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด | ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง | |||
รำกับน้องของเจ้าอาลเบิต | งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง | |||
ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง | โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา | |||
นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่ | พินิจดูงดงามตามภาษา | |||
เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา | ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน | |||
กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ | ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน | |||
อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน | ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน | |||
ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย | เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร | |||
พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง | ||||
โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง | มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง | |||
อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง | ขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน | |||
ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย | มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น | |||
ต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน | ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม | |||
ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก | บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม | |||
เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม | จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ | |||
๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร | แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา | |||
มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา | เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร | |||
ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย | ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร | |||
เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร | ดูสลอนแลหลามเปนสามกอง | |||
พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่ | พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง | |||
พวกม้าดำดำดีทีลำพอง | คำรนร้องเริงร่านหาญประจญ | |||
พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย | ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน | |||
ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล | เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง | |||
ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่ | แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง | |||
ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง | เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน | |||
ทหารม้าจรลีทีละตับ | ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร | |||
ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน | เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง | |||
เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง | ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง | |||
พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง | เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน | |||
ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ | แต่สินธพอาชายังกล้าหาญ | |||
เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ | จึงแจ้งการในกลรณรงค์ | |||
ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว | แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์ | |||
ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง | ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต | |||
เชิงฉลาดอาจหาญในการรบ | รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส | |||
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย | ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ | |||
๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม | ||||
พระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชม | ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม | |||
เธอเปนราชกุมารชาญสมร | อยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยม | |||
แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม | ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน | |||
ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย | พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์ | |||
ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ | กับตัวฉันจรลีเปนสี่คน | |||
ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง | ในตำแหน่งอาวาหสถาผล | |||
ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์ | แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย | |||
มาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่าง | ริมหนทางคนผู้ดูไสว | |||
ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได | ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย | |||
สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช | พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย | |||
อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย | ก็นำสายสุดสวาทราชธิดา | |||
เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด | องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา | |||
อันโฉมยงบุตรีศรีโสภา | แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว | |||
ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ | ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว | |||
ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว | สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง | |||
ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก | เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์ | |||
มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์ | สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล | |||
ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง | เปนยศหวังว่างามตามวิสัย | |||
แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม | เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ | |||
กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า | มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด | |||
คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ | ดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม | |||
ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม | ||||
ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม | จึงคุกเข่าลงประณามประนมกร | |||
แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์ | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | |||
พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร | ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น | |||
ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง | ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ | |||
จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ | ขณะวันอาวาห์สถาวร | |||
แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว | ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร | |||
ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที | ||||
ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์ | จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี | |||
ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี | ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา | |||
แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้ | คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา | |||
ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา | ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป | |||
แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม | โดยคดีมีความข้อสงสัย | |||
ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย | ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก | |||
จะรับราชธิดามาเปนคู่ | แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์ | |||
ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก | จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน | |||
ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น | คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ | |||
มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์ | แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง | |||
เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า | แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง | |||
แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง | เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย | |||
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร | รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย | |||
พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย | กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง | |||
ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง | ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง | |||
ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง | จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา | |||
มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ | ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา | |||
พระครูรับจับกรสมรมา | เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง | |||
แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย | ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์ | |||
เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์ จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน | ||||
ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า | จะรับเอานวลอนงค์คงสมาน | |||
ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน | ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร | |||
ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ | ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน | |||
สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร | เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์ | |||
พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช | มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่ | |||
แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที | ให้เทวีว่าตามทุกคำไป | |||
ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง | ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข | |||
แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล | โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา | |||
ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว | รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา | |||
จะตั้งใจปรนิบัติภัศดา | เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน | |||
เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา | จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์ | |||
แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน | ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู | |||
ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์ | แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่ | |||
แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู ส่งให้กูมารรับคำนับลา | ||||
มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย | ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา | |||
แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา | ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี | |||
พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ | ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี | |||
โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี | ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ | |||
จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ | สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | |||
เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน | แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์ | |||
ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์ | สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์ | |||
ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง | แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ | |||
เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ | แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร | |||
ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน | ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง | |||
แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น | อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง | |||
จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง | จนตราบสองชันษาชีวาวาย | |||
แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ | ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย | |||
พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย | ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง | |||
บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท | ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง | |||
ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง | ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง | |||
ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี | กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง | |||
พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง | คืนเข้าวังสุขสมภิรมยา | |||
แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง | บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา | |||
อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา | ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน | |||
ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น | เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน | |||
พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร | ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป | |||
ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง | อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้ | |||
ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ | จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้ | |||
เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช | พวกพระญาติแลเสนาบดีศรี | |||
ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี | เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน | |||
หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร | ||||
ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ | ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ | |||
พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ | จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร | |||
เดียรดาษด้วยคณาดารากร | พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน | |||
ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช | ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์ | |||
ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน | จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ | |||
จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ | ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ | |||
ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ | พูดหัวร่อเฮฮาพากันไป | |||
มาถึงวังขึ้นยังตำหนักติก | เห็นคักคึกคนผู้ดูไสว | |||
พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน | แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน | |||
พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา | กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ | |||
อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ | ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน | |||
ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง | เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย | |||
มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ | กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน | |||
ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง | ให้แต่งตั้งภักษาผลาผล | |||
แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน | ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน | |||
กินน้ำชากาแฟแลขนม | มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์ | |||
ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ | อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย | |||
อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง | อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย | |||
สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย | เสด็จผายผันกลับลับพระองค์ | |||
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด | ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์ | |||
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง | นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ | |||
เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย | ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน | |||
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล | ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง | |||
เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์ | แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง | |||
ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง | ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง | |||
ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง | ||||
พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง | ครรไลล่วงเลยออกนอกประตู | |||
เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม | แล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู | |||
เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู | ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย | |||
แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี | ซื้อของดีตามห้างที่วางขาย | |||
จนเวลาสายัณห์ตวันชาย | ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ | |||
๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ | ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง | |||
ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง | จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา | |||
คือนครทรงยศโอรสเขย | ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา | |||
ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา | เปนยอดยิ่งกัลยาในธานี | |||
ได้เวลาทูตานุทูตหมด | ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี | |||
ถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ | ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา | |||
พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท | เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา | |||
ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา | พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ | |||
เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น | ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย | |||
แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร | จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน | |||
แลดูเขาเขาดูอดสูแสน | ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน | |||
ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน | ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู | |||
จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ | กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่ | |||
เสด็จออกคนเคยเผยประตู | เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ | |||
บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้อง เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน | ||||
มาออกทางทวาราข้างขวาพลัน | พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป | |||
เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ | กับทรงเดชสามิศพิสมัย | |||
พระบุตรีนงรามงามประไพ | ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา | |||
ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด | แถวหลังหมดพระญาติวงศา | |||
แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา | เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร | |||
ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ | นั่นแลคือบอกนามตามอักษร | |||
เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร | ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี | |||
ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น | จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี | |||
น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที | พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย | |||
ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ | ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย | |||
แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย | ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน | |||
จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า | ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย | |||
อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย | พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ | |||
๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น | ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา | |||
เอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกา | ปักรายริมรัถยาตลอดแล | |||
บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน | ลงไปจนนาเวศเขตรกระแส | |||
คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช | ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย | |||
วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ | ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข | |||
มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ | เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ | |||
บนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง | ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน | |||
ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ | สนุกสนานตามประสาพวกทารก | |||
คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น | ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก | |||
แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก | ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ | |||
๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง | ||||
จะพาชมคลังในที่ใส่ทอง | ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง | |||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด | มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | |||
ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง | ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร | |||
ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน | เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร | |||
ทั้งราตรีแลเวลาทิวากร | ทหารนอนเดินนั่งระวังระไว | |||
อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ | น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย | |||
แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย | ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก | |||
เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช | คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์ | |||
ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก | ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล | |||
แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย | ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน | |||
ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ | จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ | |||
๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | |||
จะไปหาลอร์ดปามิศตอน | กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน | |||
ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก | แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว | |||
ดูก็น่าผาสุกสนุกใจ | จึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วาง | |||
ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ | ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง | |||
แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง | ธุระอย่างไรนั่นพากันมา | |||
ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า | ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา | |||
ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา | คืนกรุงเทพมหานครคง | |||
ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร | ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์ | |||
ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง | ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน | |||
แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า | แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน | |||
เขารับความตามอารมณ์โดยสมควร ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา | ||||
ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก | คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา | |||
รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา | จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ | |||
๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ | พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่ | |||
พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู | ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์ | |||
ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก | บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม | |||
ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม | หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน | |||
แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง | เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน | |||
หวนรำลึกนึกบ้านสถานตน | คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา | |||
มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง | ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา | |||
บางสพานการถ้วนล้วนศิลา | ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา | |||
ในระยะเขตรสพานธารติดตื้น | กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา | |||
ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา | ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน | |||
แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง | แลสล้างเรือแพแซ่ประสาน | |||
บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ | บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย | |||
ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน | เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล | |||
ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้ | หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ | |||
มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง | ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ | |||
ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ | บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี | |||
ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก | ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | |||
จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที | ประทับที่หน้าท่าพากันจร | |||
ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ | อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน | |||
จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร | ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล | |||
รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ | นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ | |||
เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน | จรดลสู่เขตรนิวเศน์วัง | |||
ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย | ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง | |||
มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี | ||||
จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น | จรจรัลตามทางหว่างวิถี | |||
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี | ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง | |||
เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย | เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | |||
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง | ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน | |||
ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์ | มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์ | |||
ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล | พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง | |||
แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย | ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์ | |||
เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์ แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน | ||||
ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง | เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน | |||
แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น | คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์ | |||
แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์ | ||||
ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง | ดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร | |||
พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ | ||||
ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ | สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย | |||
ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์ | คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย | |||
อัคเรศรับสาราเสนานาย | แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล | |||
เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน | ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์ | |||
จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน | สุริยนเย็นพลับอับอัมพร | |||
เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์ | สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร | |||
ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน | เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา | |||
ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ | เสาวนิศจอมวังสั่งให้หา | |||
พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา | เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้ | |||
พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์ | คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี | |||
ก็รับคำอำลาไม่ช้าที | มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ | ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย | |||
พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย | จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล | |||
มาชำระสระสนานสำราญรื่น | ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย | |||
ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง | ||||
ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน | ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์ | |||
จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง | เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี | |||
ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ | เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่ | |||
ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี | เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ | |||
กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง | ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ | |||
วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ | ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู | |||
เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี | กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่ | |||
ข้างพวกเราเข้าไปในประตู | แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน | |||
เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้ | โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | |||
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน | ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา | |||
ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน | สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า | |||
แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา | ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู | |||
ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย | ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู | |||
ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู | ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป | |||
อันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก | ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้ | |||
พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย | ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์ | |||
จงไปดีอย่ามีระคายข้อง | ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม | |||
ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม | ให้เสร็จสมปราถนาสถาวร | |||
ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต | กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร | |||
ว่าเราขอน้อมกายถวายพร | ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา | |||
ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน | จงถาวรยืนวันชันษา | |||
เสวยราชสมบัติวัฒนา | ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์ | |||
อนึ่งการอันใดท่านได้รู้ | แลได้ดูเห็นตามความประสงค์ | |||
จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ | ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง | |||
พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง | ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง | |||
แล้วทูลตอบพจมานสารแสดง | มิให้แหนงเคืองขัดหัทยา | |||
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง | สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา | |||
ได้รับรองมีสุขทุกทิวา | พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด | |||
การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น | ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด | |||
ให้ทรงทราบบาทาสารพัด | โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย | |||
พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก | แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย | |||
จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย | ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี | |||
ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ | ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่ | |||
สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี | ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา | |||
พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด | คอยกำหนดวันวานนานหนักหนา | |||
ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา | เร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญ | |||
แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์ | จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน | |||
ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ | ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ | |||
๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า | ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง | |||
มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง | อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง | |||
ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ | ตาครูแก่รู้รสบทสนอง | |||
วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง | ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย | |||
ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น | บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย | |||
ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร | แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา | |||
ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย | มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา | |||
บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา | แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน | |||
เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง | มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน | |||
นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน | ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย | |||
มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ | สารพัดดูแลไม่แชเฉย | |||
ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย | ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน | |||
บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน | บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น | |||
คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ | ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ | |||
เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย | ||||
แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์ | ||||
ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ | คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม | |||
แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม | แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ | |||
๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น | ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์ | |||
กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน | ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง | |||
แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด | ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง | |||
ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง | ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา | |||
ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง | ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา | |||
แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา | เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน | |||
ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต | ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน | |||
ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์ | สารพันนกปลาคณาเนือง | |||
ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ | ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง | |||
เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง | แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน | |||
ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด | ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน | |||
จะไปชมของดีที่สำคัญ | ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย | |||
เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง | ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย | |||
อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย | มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน | |||
เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี | ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน | |||
มีรูปองค์อัคเรศเกศสกล | กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน | |||
ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ | ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น | |||
พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน | ||||
รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย | ||||
รูปขุนนางท่าทางแลวิไล | รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา | |||
บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน | แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา | |||
บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา | บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร | |||
รูปนารีไสยาช่างน่ารัก | ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน | |||
เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน | น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ | |||
บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ | กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม | |||
ให้ปรากฎตามยศทุกคนไป | ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน | |||
ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร | โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น | |||
ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น | ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ | |||
๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้ง กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์ | ||||
อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ | ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน | |||
พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น | ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน | |||
ดังยาจกจนยากที่กากแกน | ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง | |||
ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก | วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง | |||
จะกลับหลังยังที่บุรีเรือง | ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ | |||
๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง | พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | |||
จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา | กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร | |||
เขาต้อนรับนับถือจับมือหมด | ให้เปนยศภิญโญสโมสร | |||
แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร | ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน | |||
แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข | บันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | |||
บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน | แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ | |||
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ | เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย | |||
ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล | ดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน | |||
ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม | ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์ | |||
ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน | บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ | |||
บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก | บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล | |||
บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย | โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง | |||
สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า | ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง | |||
ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง | จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์ | |||
เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่ | บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก | |||
ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก | ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย | |||
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น | ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย | |||
เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย จำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร | ||||
สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก | ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน | |||
พี่สุดแสนปรีดาสถาวร | ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ | |||
ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง | ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล | |||
มาถึงเมืองโดเวอเออกะไร | ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ | |||
แสนสนุกทุกตำบลถนนตึก | เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ | |||
มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ | ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ | |||
มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น | แล้วให้กินนานาภักษาหาร | |||
ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ สบายบานหยุดพักสำนักเนา | ||||
จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น | ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา | |||
พายุจัดพัดผันไม่บันเทา | เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง | |||
ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน | ข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง | |||
พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง | จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี | |||
เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า | แถวชลาแขวงแควกระแสศรี | |||
เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที | แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น | |||
คือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์ | ||||
ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน | เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ | |||
ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร | ||||
เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร | สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา | |||
กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ | ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา | |||
แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา | เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี | |||
อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ | แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี | |||
ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี | พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย | |||
มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย | กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย | |||
ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย | ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา | |||
เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา | ||||
ไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา | ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน | |||
มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย | เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน | |||
วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน | ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ | |||
๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย | ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน | |||
ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน | ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง | |||
ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้ | เขาทำที่ตึกรามงามระหง | |||
มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง | เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน | |||
ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ | ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน | |||
กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน | บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี | |||
ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด | จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่ | |||
ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี | สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล | |||
ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า | แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน | |||
ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน | อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน | |||
ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย | ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน | |||
แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ | ||||
๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้ | กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา | |||
ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา | อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล | |||
ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง | ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน | |||
แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน | ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้ | |||
ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย | เปนแต่อายอัประมาณการอดสู | |||
ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู | อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอา | |||
ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ | ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ | |||
มีสักสองพันแห่งแต่งลออ | พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา | |||
คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน | ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา | |||
คนข้างในเขามิได้พันธนา | เครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง | |||
เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ | ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ | |||
ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง | ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป | |||
พวกทหารคอยระวังตั้งรักษา | พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว | |||
ลุกกระสุนดินดำประจำไว้ | สำหรับได้รบรันประจัญบาน | |||
ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด | ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน | |||
ทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์ | รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง | |||
ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้ | เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง | |||
ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง | ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน | |||
ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า | ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน | |||
อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน | พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน | |||
แต่ของกินสารพัดจะขัดสน | ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ | |||
ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ | จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว | |||
ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย | ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว | |||
แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว | กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ | |||
๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง | คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา | |||
ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา | บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง | |||
เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ | แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง | |||
สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง | ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว | |||
ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ | ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว | |||
กว้างประมาณห้าศอกออกตลิว | แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา | |||
ถนนรายมีนายอำเภออยู่ | ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา | |||
ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา | ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์ | |||
ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน | งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ | |||
บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ | แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา | |||
มิได้ปักปนคู่ดูจังหวะ | ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา | |||
ในระหว่างห่างราวสักสิบวา | ให้แสงมาส่องต่อกันพอดี | |||
ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ | ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี | |||
ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี | ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน | |||
เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด | แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน | |||
เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ | ที่ควงขันบิดขวับพออับลม | |||
เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง | ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม | |||
อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม | ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน | |||
แต่บรรดาตึกรามดูงามงด | ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน | |||
หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน | ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี | |||
บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น | ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี | |||
บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี | ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป | |||
บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก | หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล | |||
บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว | บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู | |||
มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า | ให้บังตาข้อรำคาญการอดสู | |||
กระดาษลายปิดฝาก็น่าดู | พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี | |||
จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ | ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี | |||
ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี | พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย | |||
แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด | ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย | |||
คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย | ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา | |||
จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น | ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา | |||
ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา | มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ | |||
ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง | อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ | |||
ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ | ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม | |||
ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง | เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม | |||
บางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม | ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป | |||
อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง | อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย | |||
จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ | นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต | |||
จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก | ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์ | |||
ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด | ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ | |||
ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน | ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน | |||
เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน | ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย | |||
มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง | เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย | |||
เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม | ||||
อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง | อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม | |||
ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม | สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง | |||
แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา | เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์ | |||
แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง | ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ | |||
๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล | เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น | |||
แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น | นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์ | |||
มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย | เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม | |||
ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม | น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง | |||
คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง | ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง | |||
อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง | ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม | |||
ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า | บางรัถาสองคู่ดูพอสม | |||
บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม | บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน | |||
คอยรับจ้างตามทางแถวถนน | ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน | |||
เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน | บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี | |||
บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง | บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่ | |||
ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี | อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว | |||
แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ | ออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | |||
บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว | เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก | |||
รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก | ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก | |||
เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก | ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ | |||
๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด | ||||
คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ | ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล | |||
หนทางที่รถเดินดำเนินนั้น | ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว | |||
ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป | ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง | |||
ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น | เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง | |||
ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง | จะข้ามห้วงนทีมีสพาน | |||
ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น | ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน | |||
ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ | ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร | |||
แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง | บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน | |||
ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน | ทางที่มามาล้วนไม่มีไป | |||
ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย | ||||
ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟ | ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน | |||
อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า | ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน | |||
ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน | แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง | |||
จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก | ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง | |||
เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยัง | กำหนดตั้งตำราว่าไว้มี | |||
ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน | ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | |||
รถที่ไปใส่ขอต่อกันดี | จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน | |||
รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง | เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน | |||
ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร | หมดประมวญสามห้องสิบสองคน | |||
มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น | ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน | |||
แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน | จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี | |||
ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด | ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่ | |||
สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี | ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา | |||
รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง | ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา | |||
นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา | แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง | |||
ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ | แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์ | |||
คนยากจนหยากไปใจจำนง | ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา | |||
แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง | จำจะต้องปนปะคละกันเข้า | |||
เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา | อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี | |||
รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ | ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่ | |||
บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี | ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ | |||
๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง | ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร | |||
คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน | หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง | |||
ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย | ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง | |||
ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ | ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร | |||
ริมวิถีมีเสายาวหกศอก | ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน | |||
แต่ประมาณการแลไม่แน่นอน | ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา | |||
บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว | ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา | |||
สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา | ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม | |||
ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่ | เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม | |||
อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม | แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป | |||
จนนครราชสิมาหรือกว่านั้น | จะบอกกันไปมาหาช้าไม่ | |||
เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด | ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ | |||
เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ | ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม | |||
คนต้นลวดที่รักษาพยายาม | ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง | |||
คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง | ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ | |||
เขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง | คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน | |||
จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ | การตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน | |||
ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ | ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ | |||
๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง | คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร | |||
สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม | ||||
พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ | ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม | |||
เขียวสดสีหรดานประสานคราม | ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก | |||
บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ | เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก | |||
ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก | มีทางบกทางเรือเหลือสบาย | |||
แม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่า | ชายชลาริมแควกระแสสาย | |||
แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ | ||||
น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ | ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน | |||
ที่แถวท่าวารีนทีธาร | ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง | |||
มีนาวาหลายลำประจำไว้ | ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์ | |||
จะไปชมลำน้ำตามจำนง | เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ | |||
หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ | ||||
ขายสุราอาหารคอยจานเจือ | สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน | |||
อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง | แลสล้างคนผู้ดูสลอน | |||
เวลาเย็นสุริยาทิพากร | ราษฎรคลาไคลไปประชุม | |||
ทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่า | ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม | |||
บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม | ที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบาย | |||
บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ | บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย | |||
บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล | ||||
หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ | ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน | |||
ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน | เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป | |||
เขาแต่งตนงามงามตามภาษา | ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม | |||
แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย | ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย | |||
เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา | ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย | |||
คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย | แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง | |||
ถึงพาชีมีพยศจะห้อหก | ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง | |||
ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง | เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ | |||
เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา | ||||
ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา | ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง | |||
แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด | เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์ | |||
กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง | มฤคยงย่องหยัดระบัดกิน | |||
แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข | แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล | |||
บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน | ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก | |||
พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ | ครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอก | |||
แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก | ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน | |||
ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ | ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน | |||
ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน | สารพันหลายหลากดูมากมี | |||
ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ | อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่ | |||
เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี | เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา | |||
เต่าตนุม่านลายเขาขายมาก | ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา | |||
ในตลาดมิได้ขาดสักเวลา | ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม | |||
เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด | สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม | |||
ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ | ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา | |||
คนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง | โดยลำพังจัดแจงแสวงหา | |||
เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา | นางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก | |||
ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข | ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์ | |||
ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก | ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง | |||
เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง | ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง | |||
จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง | ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้ | |||
นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี | ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย | |||
เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ | เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง | |||
ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด | ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง | |||
น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง | แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน | |||
ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า | อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน | |||
เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน | พอจุดไฟในนั้นตลอดคืน | |||
ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่ | เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน | |||
มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน | เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย | |||
แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา | ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย | |||
มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย | บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ | |||
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ | จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา | |||
เวลาก่อนเสพย์รสโภชนา | คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ | |||
ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง | ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน | |||
กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล | ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป | |||
ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย | เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว | |||
ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ | ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน | |||
เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล | กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน | |||
ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน | อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน | |||
พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า | มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ | |||
ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น | ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน | |||
ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ | โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือม | |||
เวลากินมิให้พักต้องตักเตือน | ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา | |||
ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน | ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา | |||
จะกินของดีดีมีราคา | สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ | |||
คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้ | แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน | |||
แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน | มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล | |||
คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ | ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้ | |||
เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย | มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ | |||
เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น จะผายผันคลาไคลใจถวิล | ||||
ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์ | คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา | |||
จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ | ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา | |||
หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา | ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม | |||
จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น | ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม | |||
ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม | อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง | |||
ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร | มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง | |||
ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง | จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ | |||
แต่วันทูตถึงพักนัคเรศ | ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล | |||
สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร | จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย | |||
๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ | ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน | |||
จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย | ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน | |||
ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ | ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์ | |||
มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ | จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร | |||
ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก | จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน | |||
ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร | ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน | |||
แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว | ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน | |||
สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ | ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน | |||
พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ | รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน | |||
ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร | ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ | |||
บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก | แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล | |||
แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล | สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น | |||
ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น | ||||
มิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ล | สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา | |||
เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ | ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา | |||
คนที่ในธานีย่อมปรีชา | เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ | |||
ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย | ||||
แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย | ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์ | |||
มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก | ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน | |||
รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน | สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย | |||
บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย | ||||
ของพม่ามอญลาวชาวทวาย | ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู | |||
ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง | เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู | |||
โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู | เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา | |||
รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ | แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา | |||
พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา | จนเวลาผ่องพื้นโพยมบน | |||
ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ | เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน | |||
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน | ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ | |||
๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้ | เสนาในเชิงชาญการขยัน | |||
ให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน | มาเรียงรันรอประทับกับทวาร | |||
คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า | ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร | |||
ยืนประจำทำสง่าท่าทยาน | สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ | |||
มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า | พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์ | |||
ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ | ||||
ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์ | โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด | |||
จนสองโมงสุริยงเธอลงลด | พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา | |||
กับเอกองค์มเหษีนารีราช | ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา | |||
เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา | ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ | |||
เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ | พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร | |||
อันเอกองค์กัลยายุพาพาน | แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม | |||
พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ | พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม | |||
อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม | ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี | |||
สนทนาทูตานุทูตถ้วน | ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี | |||
พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี | เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์ | |||
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด | ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน | |||
แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน | น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ | |||
๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ | พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง | |||
นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์ | สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี | |||
แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง | ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี | |||
เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี | พระองค์นี้คือหลานผ่านนคร | |||
จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ | ด้วยเคารพทรงพระอนุสร | |||
กตัญญูรู้คุณอันสุนทร | ให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป | |||
อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ | ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้ | |||
คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ | เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น | |||
แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว | ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์ | |||
ที่สำหรับรับศพมีครบครัน | อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย | |||
โมราดีสีดำทำประดับ | แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย | |||
คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย | ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ | |||
ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก | อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร | |||
ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน | เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย | |||
จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร ดารากรลับฟ้าเวหาหาย | ||||
กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย | ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร | |||
พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์ | จึงชวนชักกันออกนอกสถาน | |||
เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ | ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา | |||
เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง อีกตำแหน่งมนตรีมียศถา | ||||
ครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมา | กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ | |||
แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ | ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน | |||
เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน | ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ | |||
๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | |||
ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร | เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน | |||
จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว | ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน | |||
พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน | รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน | |||
ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ | ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน | |||
อันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน | อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ | |||
ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง | ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ | |||
เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ | สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ | |||
ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก | ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร | |||
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน | ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน | |||
น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ | ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน | |||
เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน | สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ | |||
ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส | ||||
มีบุรีริมที่ชลาลัย | ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน | |||
นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ | อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน | |||
มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล | ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล | |||
แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล | จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น | |||
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น | ก็จำเปนขึ้นรถบทจร | |||
พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก | ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน | |||
อยู่บนบกวกลงมาในสาคร | จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน | |||
แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ | สุริเยศลับหล้าเวหาหน | |||
ยังไม่จรถอนสมอจรดล | ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน | |||
คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า | ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน | |||
แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน | จำจากกันอนิจจานึกอาลัย | |||
เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง | มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล | |||
เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ | มิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญา | |||
จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา | ||||
อุส่าห์สู้พยายามติดตามมา | จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน | |||
เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ | ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน | |||
ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา | ||||
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์ | เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า | |||
ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา | ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ | |||
เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ | ||||
น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ | เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง | |||
มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย | ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์ | |||
พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง | หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา | |||
แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก | กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า | |||
ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา | ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง | |||
พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ | หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง | |||
ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ | ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย | |||
แล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้า | อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย | |||
มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย | ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย | |||
ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์ | มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย | |||
ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย | ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ | |||
มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ | เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล | |||
ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป | ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | |||
ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง ถึงตำแหน่งธานีที่สถาน | ||||
แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล | พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล | |||
แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง | จนสุเอศเขตรลงชลาไหล | |||
อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ | เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ | |||
ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน | ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ | |||
ให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร | สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี | |||
ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง | เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
ยังจำได้สารพัดถนัดดี | ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล | |||
เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ | ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน | |||
บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน | จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง | |||
ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ | ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง | |||
แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง | เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา | |||
มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ | ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า | |||
ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา | แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา | |||
จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา | ||||
จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา | ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้ | |||
สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์ | โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย | |||
อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ | กว่าจะได้จรดลพ้นนคร | |||
ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ | ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน | |||
ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร | จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน | |||
เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ | แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้ | |||
ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย | ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ | |||
ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น | จะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน | |||
เจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน | ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล | |||
ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น | ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส | |||
ราชทูตตอบความให้ล่ามแปล | อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ | |||
เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ | ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย | |||
กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล | ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ | |||
๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ | คนสำหรับนำหน้าม้าทหาร | |||
เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล | ในสถานโฮเต็ลเปนสบาย | |||
อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม | มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย | |||
ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย | เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ | |||
ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ | ให้มารับทูตไทยดังบรรหาร | |||
บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน | สุดแท้จะโปรดปรานประการใด | |||
ได้ฟังสารปานอำมฤตรส | ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส | |||
ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร | สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ | |||
จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม | ||||
จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม | หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร | |||
ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด | ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร | |||
เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร | ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล | |||
ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่ | มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห | |||
แสนวิตกอกโอ้มาโรเร | นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง | |||
เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่ | เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง | |||
จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง | ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง | |||
คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น | พอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง | |||
สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง | ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย | |||
ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ | ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข | |||
หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ | ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย | |||
ทั้งอาหารการกินก็ขัดสน | ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย | |||
เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย | ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี | |||
ท่านจะไปไกโรหรือไฉน | ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่ | |||
ราชทูตตอบต่อข้อคดี | มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร | |||
อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้ | มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ | |||
อั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ | หมดประมวญจะขออยู่ในบูรี | |||
จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ | จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี | |||
ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี | จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง | |||
ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน | ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์ | |||
คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง | แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ | |||
๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น | ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร | |||
ว่าเรือรบที่มากลางสาคร | จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน | |||
แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก | ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน | |||
เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน | เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง | |||
ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า | กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง | |||
จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง | แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ | |||
สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี | ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ | |||
กับสะเบียงอาหารจะจานเจือ | ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม | |||
ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน | เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม | |||
โอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิม | จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ | |||
๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย | แสนสบายเบาใจดังได้เหาะ | |||
ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ | ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล | |||
ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น | ก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเส | |||
แสนสุขาอารมณ์สมคเน | บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา | |||
กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม | คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา | |||
สิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา | ธรรมดารับทูตสลูตปืน | |||
ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน | ||||
มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์ | ||||
จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ | นึกอนาถน่าคิดพิศวง | |||
เปนไฉนไยหนอพระสุริยง | จึงตกลงในที่นทีธาร | |||
เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง | ขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน | |||
หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ | ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ | |||
พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน | แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข | |||
อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต | เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร | |||
พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง | เสียงจักรดังดูธารสท้านไหว | |||
ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย | เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ | |||
๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ | ริมระยะแขวงแควกระแสศรี | |||
เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี | ดูบุรีโซเซเกเรเกนัง | |||
ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอ | จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง | |||
ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง | เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี | |||
ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ | พอประจำใช้พลางกลางวิถี | |||
ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี | แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ | |||
๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน | ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร | |||
ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร | ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ | |||
ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ | ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน | |||
บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน | ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ | |||
ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น | เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร | |||
ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน | อภิบาลเภทภัยระไวระวัง | |||
แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง | โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง | |||
ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง | ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล | |||
ลงกำปั่นผันผายออกจากที่ | แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว | |||
มาหลายวันสลาตันค่อยซาไป | กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย | |||
ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา | เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย | |||
มากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย | จนเจียนตายตกน้ำระยำยับ | |||
เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง | ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ | |||
เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ | แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที | |||
หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก | ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่ | |||
จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี | ให้นอนที่เปลไปหลายเวลา | |||
แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง | อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา | |||
ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา | สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ | |||
๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย | เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี | |||
สลาตันพัดกล้าจนนาวี | เกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน | |||
ลูกเรือทำการงานพานจะขัด | ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน | |||
แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน | เสาสะบั้นหักยับทับลงมา | |||
ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน | พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา | |||
ละลอกจัดพัดเข้าในนาวา | บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ | |||
ทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า | ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน | |||
บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย | เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย | |||
บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด | แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย | |||
บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย | ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน | |||
บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย | อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน | |||
บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์ | จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว | |||
บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง | บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว | |||
อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว | ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน | |||
ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย | ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน | |||
เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน | สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย | |||
ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น | นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย | |||
สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย | พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา | |||
กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา | อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา | |||
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา | ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ | |||
๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ | ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน | |||
มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร | แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี | |||
สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า | เรือไฟมาในระหว่างทางวิถี | |||
ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี | เข้าจอดที่รับขนมาจนพอ | |||
ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว | เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ | |||
เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ | ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร | |||
ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ | เปนขอบเขตรตึกโตสโมสร | |||
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร | ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม | |||
ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร | เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม | |||
เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม | ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง | |||
พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ | ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง | |||
แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง | ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง | |||
หนทางทูตจรลีมีทหาร | เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง | |||
เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง | พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ | |||
สิริรวมพลปืนยืนคำนับ | เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน | |||
ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน | นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี | |||
มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ | รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่ | |||
ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี | ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม | |||
ให้สองชายนายถนนคนฉลาด | ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม | |||
มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม | ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ | |||
๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา | เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน | |||
ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ | ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน | |||
ราชทูตพูดจาประสามิตร | ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน | |||
เขามานั่งสนทนาเวลาควร | ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน | |||
จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต | จึงให้รถมารับสลับสลอน | |||
ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร | ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน | |||
กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ | สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน | |||
แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน | ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง | |||
เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า | ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง | |||
ดังหนึ่งเทพดามาสำแดง | ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ | |||
ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ | สาธุสะใครหนอก่อวิหาร | |||
ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ | อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน | |||
มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง | ทำที่ทางควรจะสรรเสริญ | |||
แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ | ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร | |||
แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า | อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้ | |||
ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย | เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ | |||
๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก | ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา | |||
ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา | ถึงลังกาธานีก็ดีครัน | |||
จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว | เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์ | |||
ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน | เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน | |||
บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย | แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย | |||
เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป | ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง | |||
แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ | ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง | |||
สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง | อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น | |||
แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ | อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน | |||
หนทางไกลไปลำลองสักสองวัน | แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา | |||
จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม | โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา | |||
คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา | ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง | |||
ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย | มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง | |||
เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง | แต่คนตายวายชีวงก็มากมาย | |||
อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน | พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย | |||
ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย | คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา | |||
ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ | โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา | |||
ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา | ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย | |||
ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน | พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข | |||
ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ | เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง | |||
ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า จึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง | ||||
ราชทูตคิดสงสัยใจระคาง | ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย | |||
ไม่นับถือพุทธบาทสาสนา | จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข | |||
เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป | หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์ | |||
ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น | มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ | |||
อยู่วัดในคาลีที่สมภาร | อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา | |||
เยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมาย คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา | ||||
เปนข้อไขในมคธพจนา | ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน | |||
ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์ | อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน | |||
ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน ก็เปนอันจนในมิได้จร | ||||
จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ | ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์ | |||
เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร | ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ | |||
ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย | ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน | |||
จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน | ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร | |||
ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ | ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน | |||
ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ | เห็นแต่ล้วนการยากลำบากที | |||
ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน | แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่ | |||
อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี | จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา | |||
กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น | เกษมสันต์แสนโสมนัศา | |||
แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา | ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล | |||
ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง | โดยจำนงจงจิตต์พิสมัย | |||
แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล | คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน | |||
สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น | ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน | |||
ตามหนทางจรจรัลทหารปืน | ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา | |||
เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด | แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า | |||
กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา | พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ | |||
ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง | เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน | |||
กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร | ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง | |||
จวบประสบพบมิตรขนิษฐา | มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง | |||
เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง | คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ | |||
๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง | ลงมานั่งไต่ถามความปฐม | |||
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม | ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย | |||
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก | ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย | |||
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย | ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน | |||
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง | เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน | |||
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ | พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์ | |||
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน | ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน | |||
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร | ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง | |||
ยิงสลูตทูตตามความคำนับ | หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง | |||
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง | ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได | |||
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน | ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย | |||
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย | ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที | |||
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว | มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี | |||
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี | เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง | |||
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์ | คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง | |||
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง | หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี | |||
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น | ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี | |||
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี | โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน | |||
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น | ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส | |||
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร | ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ | |||
๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา | ||||
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา | สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ | |||
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต | ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ | |||
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ | บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์ | |||
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา | ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์ | |||
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์ | จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง | |||
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น | หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง | |||
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง | หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ | |||
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ | แรมทุเรศมาในแควกระแสใส | |||
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย | คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ | |||
๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ | เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี | |||
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี | ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน | |||
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ | เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน | |||
เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร | ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา | |||
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่ | กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า | |||
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา | นายรักษาอยู่ประจำลำละคน | |||
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด | ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน | |||
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล | ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน | |||
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน | พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน | |||
ได้สมหวังกลับยังนครคืน | ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ | |||