นิราศพระแท่นดงรัง (นายมี)

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(บทประพันธ์)
(ข้อมูลเบื้องต้น)
แถว 4: แถว 4:
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
-
'''ผู้แต่ง:''' [[เณรกลั่น]] ( [[สุนทรภู่]] ? )
+
'''ผู้แต่ง:''' [[นายมี]]
ความยังไม่ครบถ้วน
ความยังไม่ครบถ้วน

การปรับปรุง เมื่อ 09:20, 10 กรกฎาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: นายมี

ความยังไม่ครบถ้วน

บทประพันธ์

๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญมิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะเหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวันจะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศกชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพนพี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้องเฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพรสง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้างไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพันสักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
.
.
.
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิลทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
.
.
.
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อยยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวงจนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขายบ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคองพี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอดยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
น่าสงสารคอนพายมาขายพลูถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
.
.
.
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบเย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงยพระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึกออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวีพระตอนตีแตกยับอัปรา
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่าพระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยาชลนานองเนตรสังเวชวัง
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้องเขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่งพี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนางเคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวันคิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อยนาวาลอยลับไปไกลสมร
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทรสะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
ก็ได้สมชมน้องประคองกายแล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวงครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่นหอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
.
.
.
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะโศกปะทะสองช้ำทำไฉน
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟากยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
.
.
.
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอดแทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้างไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพันแล้วผายผันรีบมาในวาริน
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากินแต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ยไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซนไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
.
.
.
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมางระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือจึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปนโอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมองคิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวันแล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อนไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตาอุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัยหอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอกว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชยเหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
.
.
.
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกันอัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
.
.
.
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อยดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตาคงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติเป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัยในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อยคิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
จะปีนต้นก็ยากลำบากกายพี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
.
.
.
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่าไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทรไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนาไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอแล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสายสกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบานเปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
.
.
.
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยนเมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับจะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรากำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อนเพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตายมีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
.
.
.
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือกเป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดินไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบากให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไปทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้าเป็นราคาประจำลำสลึง
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึงพอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อยพระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
ดาวประดับวับวาวอร่ามตาดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
.
.
.
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาวทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งรางมีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
.
.
.
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ยไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควายมาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลงแจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้ายิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียวกะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
.
.
.
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึงแทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมาไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้นพี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้วเห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อยน้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจพลางครรไลล่องลอยนาวามา
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้าเป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุราเมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
อันรักมักหลงพะวงรักใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใครคงจะไปหารักที่พักพิง
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับเกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิงอนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
.
.
.
๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้วเห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาครสง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยนต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้วยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
.
.
.
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้ารีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละอองไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
.
.
.
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอารามแล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอดไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
สิ้นหนทางคงคาชลาลัยจะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้าเสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกันจะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่มบรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไปจะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่ายแลดูควายเดินระดับสลับสลอน
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจรเกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้งคนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
ถืออาวุธกันภัยระไวระวังไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดารตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวชเต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชินไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตรแสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
.
.
.
๏ ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้างเป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดาพราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษพี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจงถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอนบ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุกบ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุยเห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุดสัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกรสโมสรโสมนัสนมัสการ
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวงเที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณสูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณแลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอนระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลามีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
พี่ชมพลางทางพบอภิวาทสุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชายกราบถวายวันทาแล้วลาลง
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาสดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
บริเวณวัดวาเป็นป่าดงดูงวยงงล่วงมาช้านาน
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้างเป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยานพระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคตเขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรมจึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามากเมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกองสกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลงให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาดหนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัยวังเวงใจจะมาในราตรี
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึกคะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลีกองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
บ้างก็กินโภชนากระยาหารต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบังพอยับยั้งกายตามยามกันดาร
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาลนมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้งจรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุราพี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาทโศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้องเย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างามเรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้าแล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
ระยะทางกลางไพรยังไกลกันแทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่งสะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธาดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบายจะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
.
.
.
๏ มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหายตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วนเหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคลเหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
.
.
.
๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผีเสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญให้รัญจวนจรมาในอารัญ
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถานสูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษาพระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้องพระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
.
.
.
๏ ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนองต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผายไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
เห็นนกไม้ในดงพงพนาไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง
๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้นแลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนางทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
.
.
.
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นานมาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
.
.
.
๏ ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชลมีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่าเคียนมะค่าคางแคแสมสาร
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาลสุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึงรีบตะบึงมาในไพรระหงส์
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยงอุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียนเป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อนเห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษามีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำกระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไปเข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
.
.
.
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อนออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจมเอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้องขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสนได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
ขยุ้มคลำปะแล้วละกันเสียงสนั่นเฮฮาในวารี
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่ายทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันทีเกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสดคันธรสโรยร่วงพวงเกสร
ต้องพระพายชายช่ออรชรหมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผาโบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุขมักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
.
.
.
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียวบ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหนลางลิงโจนจับคว้าผลาผล
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซนก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอนเป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้างดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลาเป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหายก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน
พระสุริยง ลงลับพะโยมมานก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหายเห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยังเข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัยบ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตามดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบจนแสงทองสองทวีปสว่างไสว
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัยชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อมคำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดาอนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎแสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลงคิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพานโปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุเป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
มานิพพานในป่าพนาวันถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อนให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตาแทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐานยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไรแล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวชถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติมไว้เฉลิมโสภาสถาพร
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอนแต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนักเป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนืองไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่นดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลาคือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
ของพระยามลราชประสาทไว้ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการสมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่าพยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารังอนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา
เดชะบุญได้นบอภิวาทไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
รำพันพลางทางก้มบังคมลาถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผาบันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลินเหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวกเห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมมแลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียวดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้าทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
พินิจพลางทางเดินบนเนินผาเห็นศิลาแวววามงามไสว
พรรณรายพรายแพรวดูแววไวและวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลมเป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธาพิจารณาสมความตามบาลี
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสงคือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมีด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตกอยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนครให้ถาวรวันทาบูชาชม
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนมเที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วงเป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธาดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิตที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย
.
.
.
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้างดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้องสกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
ประดุจเสียงขำบำเรอรายร้องถวายพระแท่นในแดนดง
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวงจนเลยหลงลับทางมากลางไพร
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอนดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทรมะคำไก่กันเกาะสะเดาดง
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัดเป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดงโลดทะอินทนินและอินจันทร์
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่นระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกันเสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหคบ้างโผนผกบินจับสลับสลอน
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอนกระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขันเบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่
นกนางนวลโนรีสีชมพูน่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง
.
.
.
พระสุริยายอแสงแฝงคีรีเสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัสเล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจเห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝงแรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
ชะมดสมันหันหาพากันเดินละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุดบ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบลก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัวพี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัยจุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวังจุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียงขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูดกรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญประกอบการบูชาประสาจน
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภชด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้นคนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัยเมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
ข้างเสภากุมกรับขยับพลางแล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียงก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวงบ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมีชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญพระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อยหวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดินเขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น
.
.
.
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้าสกุณาร่ำร้องก้องประสาน
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนานระวีวารส่องภพจบสากล
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่นพี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพลก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวายแล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธาแล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
ขอเดชะภูษาอานิสงส์เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจเทพไทจงเห็นเป็นพะยาน
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลสจงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณเข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านักสิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลายอย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัสอย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวันการสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระพี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชยไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขาไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิงอนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาดทำนิราศรักมิตรพิสมัย
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทยจึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวงคนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจังประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่องให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพรให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

อ้างอิง

เครื่องมือส่วนตัว