นิราศพระแท่นดงรัง (นายมี)

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(บทประพันธ์)
(บทประพันธ์)
แถว 9: แถว 9:
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
-
<tpoem>
+
<tpoem>   ๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน
-
  ๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน
+
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ   มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
-
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ   มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
+
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะ   เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
-
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะ   เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
+
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวัน   จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
-
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวัน   จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
+
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก   ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
-
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก   ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
+
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน   พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
-
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน   พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
+
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง   เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
-
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง   เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
+
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร   สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
-
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร   สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
+
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง   ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
-
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง   ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
+
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน   สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
-
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน   สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
+
.
.
.
.
.
.
-
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ   ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
+
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ   ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
-
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิล   ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
+
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิล   ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
.
.
.
.
.
.
-
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย   ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
+
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย   ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
-
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง   จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
+
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง   จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
-
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย   บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
+
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย   บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
-
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคอง   พี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
+
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคอง   พี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
-
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด   ยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
+
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด   ยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
-
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู   ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
+
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู   ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
.
.
.
.
.
.
-
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ   เย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
+
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ   เย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
-
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย   พระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
+
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย   พระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
-
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก   ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
+
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก   ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
-
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวี   พระตอนตีแตกยับอัปรา
+
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวี   พระตอนตีแตกยับอัปรา
-
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า   พระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
+
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า   พระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
-
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา   ชลนานองเนตรสังเวชวัง
+
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา   ชลนานองเนตรสังเวชวัง
-
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง   เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
+
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง   เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
-
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ   ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
+
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ   ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
-
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง   พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
+
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง   พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
-
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง   เคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
+
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง   เคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
-
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้   มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
+
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้   มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
-
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน   คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
+
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน   คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
-
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย   นาวาลอยลับไปไกลสมร
+
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย   นาวาลอยลับไปไกลสมร
-
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร   สะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
+
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร   สะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
-
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์     เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
+
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์   เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
-
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย   แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
+
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย   แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
-
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์   พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
+
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์   พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
-
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง   ครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
+
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง   ครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
-
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น   หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
+
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น   หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
.
.
.
.
.
.
-
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะ   โศกปะทะสองช้ำทำไฉน
+
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะ   โศกปะทะสองช้ำทำไฉน
-
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ   ทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
+
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ   ทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
-
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟาก   ยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
+
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟาก   ยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
.
.
.
.
.
.
-
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด   แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
+
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด   แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
-
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ   ทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
+
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ   ทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
-
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง   ไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
+
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง   ไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
-
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพัน   แล้วผายผันรีบมาในวาริน
+
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพัน   แล้วผายผันรีบมาในวาริน
-
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์   นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
+
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์   นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
-
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน   แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
+
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน   แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
-
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย   ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
+
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย   ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
-
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน   ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
+
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน   ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
.
.
.
.
.
.
-
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง   ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
+
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง   ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
-
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ     ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
+
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ   ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
-
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ   จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
+
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ   จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
-
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน   โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
+
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน   โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
-
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง   คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
+
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง   คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
-
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน   แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
+
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน   แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
-
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อน   ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
+
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อน   ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
-
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา   อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
+
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา   อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
-
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์   ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
+
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์   ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
-
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย   หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
+
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย   หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
-
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก   ว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
+
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก   ว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
-
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย   เหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
+
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย   เหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
.
.
.
.
.
.
-
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่   เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
+
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่   เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
-
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน   อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
+
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน   อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
.
.
.
.
.
.
-
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย   ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
+
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย   ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
-
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตา   คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
+
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตา   คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
-
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ   เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
+
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ   เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
-
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัย   ในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
+
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัย   ในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
-
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย   คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
+
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย   คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
-
จะปีนต้นก็ยากลำบากกาย   พี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
+
จะปีนต้นก็ยากลำบากกาย   พี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
.
.
.
.
.
.
-
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า   ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
+
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า   ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
-
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร   ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
+
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร   ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
-
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา   ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
+
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา   ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
-
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ   แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
+
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ   แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
-
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย   สกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
+
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย   สกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
-
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน   เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
+
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน   เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
.
.
.
.
.
.
-
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์   นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
+
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์   นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
-
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน   เมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
+
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน   เมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
-
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ   จะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
+
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ   จะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
-
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา   กำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
+
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา   กำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
-
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน   เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
+
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน   เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
-
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย   มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
+
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย   มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
.
.
.
.
.
.
-
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก   เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
+
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก   เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
-
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดิน   ไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
+
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดิน   ไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
-
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบาก   ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
+
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบาก   ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
-
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไป   ทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
+
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไป   ทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
-
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้า   เป็นราคาประจำลำสลึง
+
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้า   เป็นราคาประจำลำสลึง
-
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึง   พอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
+
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึง   พอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
-
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย     พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
+
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย   พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
-
ดาวประดับวับวาวอร่ามตา   ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
+
ดาวประดับวับวาวอร่ามตา   ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
.
.
.
.
.
.
-
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว   ทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
+
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว   ทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
-
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งราง   มีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
+
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งราง   มีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
  .
  .
.
.
.
.
-
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย   ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
+
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย   ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
-
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควาย   มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
+
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควาย   มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
-
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ   ดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
+
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ   ดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
-
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลง   แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
+
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลง   แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
-
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า   ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
+
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า   ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
-
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว   กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
+
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว   กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
.
.
.
.
.
.
-
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึง     แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
+
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึง   แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
-
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา   ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
+
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา   ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
-
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น   พี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
+
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น   พี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
-
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว   เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
+
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว   เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
-
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย   น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
+
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย   น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
-
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ   พลางครรไลล่องลอยนาวามา
+
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ   พลางครรไลล่องลอยนาวามา
-
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า   เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
+
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า   เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
-
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา   เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
+
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา   เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
-
อันรักมักหลงพะวงรัก   ใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
+
อันรักมักหลงพะวงรัก   ใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
-
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร   คงจะไปหารักที่พักพิง
+
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร   คงจะไปหารักที่พักพิง
-
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ   เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
+
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ   เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
-
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง   อนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
+
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง   อนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว   เห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
+
  ๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว   เห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
-
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร   สง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
+
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร   สง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
-
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน   ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
+
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน   ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
-
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์   บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
+
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์   บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
-
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว   ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
+
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว   ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
.
.
.
.
.
.
-
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า   รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
+
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า   รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
-
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง   ไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
+
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง   ไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
.
.
.
.
.
.
-
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์   พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
+
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์   พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
-
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม   แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
+
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม   แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
   
   
-
  ๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด   ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
+
  ๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด   ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
-
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย   จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
+
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย   จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
-
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า   เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
+
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า   เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
-
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกัน   จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
+
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกัน   จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
-
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม   บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
+
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม   บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
-
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไป   จะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
+
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไป   จะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
-
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย   แลดูควายเดินระดับสลับสลอน
+
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย   แลดูควายเดินระดับสลับสลอน
-
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจร   เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
+
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจร   เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
-
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง   คนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
+
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง   คนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
-
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง   ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
+
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง   ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
-
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์   เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
+
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์   เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
-
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร     ตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
+
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร   ตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
-
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวช   เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
+
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวช   เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
-
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน   ไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
+
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน   ไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
-
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตร     แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
+
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตร   แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้าง     เป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
+
  ๏ ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้าง   เป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
-
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดา   พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
+
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดา   พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
-
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษ   พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
+
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษ   พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
-
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจง   ถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
+
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจง   ถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
-
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่   เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
+
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่   เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
-
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน   บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
+
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน   บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
-
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุก   บ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
+
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุก   บ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
-
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย   เห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
+
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย   เห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
-
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุด   สัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
+
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุด   สัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
-
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกร   สโมสรโสมนัสนมัสการ
+
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกร   สโมสรโสมนัสนมัสการ
-
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวง   เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
+
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวง   เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
-
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณ     สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
+
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณ   สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
-
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณ   แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
+
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณ   แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
-
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน   ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
+
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน   ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
-
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์   เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
+
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์   เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
-
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา   มีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
+
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา   มีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
-
พี่ชมพลางทางพบอภิวาท   สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
+
พี่ชมพลางทางพบอภิวาท   สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
-
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย   กราบถวายวันทาแล้วลาลง
+
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย   กราบถวายวันทาแล้วลาลง
-
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส   ดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
+
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส   ดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
-
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง   ดูงวยงงล่วงมาช้านาน
+
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง   ดูงวยงงล่วงมาช้านาน
-
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้าง   เป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
+
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้าง   เป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
-
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน   พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
+
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน   พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
-
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคต   เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
+
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคต   เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
-
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรม   จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
+
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรม   จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
-
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก   เมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
+
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก   เมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
-
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกอง   สกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
+
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกอง   สกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
-
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง   ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
+
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง   ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
-
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาด   หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
+
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาด   หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
-
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัย   วังเวงใจจะมาในราตรี
+
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัย   วังเวงใจจะมาในราตรี
-
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก   คะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
+
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก   คะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
-
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี   กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
+
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี   กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
-
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร   ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
+
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร   ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
-
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง   พอยับยั้งกายตามยามกันดาร
+
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง   พอยับยั้งกายตามยามกันดาร
-
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้   ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
+
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้   ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
-
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาล   นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
+
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาล   นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
-
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง   จรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
+
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง   จรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
-
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา   พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
+
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา   พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
-
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท   โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
+
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท   โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
-
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ   ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
+
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ   ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
-
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้อง   เย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
+
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้อง   เย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
-
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม   เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
+
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม   เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
-
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้า   แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
+
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้า   แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
-
ระยะทางกลางไพรยังไกลกัน   แทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา
+
ระยะทางกลางไพรยังไกลกัน   แทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา
-
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ง   สะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
+
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ง   สะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
-
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธา   ดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย
+
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธา   ดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย
-
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์     ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
+
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์   ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
-
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย   จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
+
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย   จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหาย   ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
+
  ๏ มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหาย   ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
-
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์   ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
+
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์   ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
-
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วน   เหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย
+
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วน   เหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย
-
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคล   เหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
+
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคล   เหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี   เสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน
+
  ๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี   เสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน
-
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ   ให้รัญจวนจรมาในอารัญ
+
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ   ให้รัญจวนจรมาในอารัญ
-
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถาน   สูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์
+
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถาน   สูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์
-
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์     พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
+
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์   พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
-
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา   พระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง
+
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา   พระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง
-
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง   พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
+
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง   พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนอง   ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
+
  ๏ ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนอง   ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
-
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ   ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
+
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ   ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
-
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผาย   ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
+
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผาย   ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
-
เห็นนกไม้ในดงพงพนา   ไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง
+
เห็นนกไม้ในดงพงพนา   ไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง
   
   
-
  ๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น   แลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
+
  ๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น   แลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
-
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง   ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
+
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง   ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
.
.
.
.
.
.
-
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์     นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
+
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์   นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
-
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน   มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
+
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน   มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
.
.
.
.
.
.
-
  ๏ ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่   หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
+
  ๏ ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่   หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
-
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล   มีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร
+
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล   มีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร
-
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่า   เคียนมะค่าคางแคแสมสาร
+
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่า   เคียนมะค่าคางแคแสมสาร
-
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาล   สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
+
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาล   สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
-
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง   รีบตะบึงมาในไพรระหงส์
+
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง   รีบตะบึงมาในไพรระหงส์
-
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยง   อุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร
+
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยง   อุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร
-
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียน   เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
+
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียน   เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
-
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อน   เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
+
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อน   เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
-
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษา   มีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข
+
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษา   มีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข
-
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ   ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
+
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ   ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
-
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำ   กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว
+
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำ   กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว
-
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไป   เข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย
+
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไป   เข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย
-
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์   นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
+
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์   นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
.
.
.
.
.
.
-
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อน   ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
+
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อน   ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
-
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจม   เอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป
+
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจม   เอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป
-
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง   ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
+
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง   ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
-
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ   ก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน
+
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ   ก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน
-
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสน   ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
+
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสน   ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
-
ขยุ้มคลำปะแล้วละกัน   เสียงสนั่นเฮฮาในวารี
+
ขยุ้มคลำปะแล้วละกัน   เสียงสนั่นเฮฮาในวารี
-
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย   ทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี
+
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย   ทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี
-
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันที   เกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร
+
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันที   เกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร
-
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสด   คันธรสโรยร่วงพวงเกสร
+
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสด   คันธรสโรยร่วงพวงเกสร
-
ต้องพระพายชายช่ออรชร   หมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม
+
ต้องพระพายชายช่ออรชร   หมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม
-
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา   โบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม
+
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา   โบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม
-
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์   ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร
+
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์   ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร
-
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุข   มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
+
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุข   มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
-
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์   ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
+
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์   ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
.
.
.
.
.
.
-
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้   พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
+
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้   พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
-
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว   บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
+
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว   บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
-
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน     ลางลิงโจนจับคว้าผลาผล
+
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน   ลางลิงโจนจับคว้าผลาผล
-
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน   ก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน
+
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน   ก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน
-
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ   ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
+
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ   ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
-
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอน   เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา
+
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอน   เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา
-
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง   ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
+
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง   ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
-
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา   เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
+
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา   เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
-
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย   ก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน
+
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย   ก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน
-
พระสุริยง ลงลับพะโยมมาน   ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง
+
พระสุริยง ลงลับพะโยมมาน   ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง
-
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย   เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
+
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย   เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
-
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยัง   เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
+
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยัง   เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
-
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย   บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
+
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย   บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
-
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตาม   ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
+
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตาม   ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
-
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ   จนแสงทองสองทวีปสว่างไสว
+
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ   จนแสงทองสองทวีปสว่างไสว
-
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย   ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
+
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย   ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
-
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อม   คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
+
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อม   คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
-
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา   อนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์
+
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา   อนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์
-
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎ   แสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง
+
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎ   แสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง
-
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง   คิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ
+
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง   คิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ
-
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์   ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร
+
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์   ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร
-
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน   โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
+
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน   โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
-
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุ   เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
+
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุ   เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
-
มานิพพานในป่าพนาวัน   ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
+
มานิพพานในป่าพนาวัน   ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
-
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน   ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
+
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน   ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
-
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา   แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
+
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา   แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
-
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐาน   ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
+
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐาน   ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
-
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร   แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
+
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร   แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
-
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช   ถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม
+
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช   ถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม
-
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติม   ไว้เฉลิมโสภาสถาพร
+
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติม   ไว้เฉลิมโสภาสถาพร
-
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่   ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน
+
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่   ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน
-
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอน   แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
+
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอน   แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
-
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนัก   เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง
+
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนัก   เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง
-
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง   ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
+
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง   ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
-
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น   ดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา
+
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น   ดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา
-
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา   คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
+
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา   คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
-
ของพระยามลราชประสาทไว้   ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน
+
ของพระยามลราชประสาทไว้   ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน
-
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ   สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
+
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ   สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
-
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่า   พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
+
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่า   พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
-
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง   อนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา
+
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง   อนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา
-
เดชะบุญได้นบอภิวาท   ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
+
เดชะบุญได้นบอภิวาท   ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
-
รำพันพลางทางก้มบังคมลา   ถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
+
รำพันพลางทางก้มบังคมลา   ถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
-
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผา   บันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
+
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผา   บันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
-
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน     เหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล
+
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน   เหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล
-
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวก   เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
+
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวก   เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
-
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมม   แลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา
+
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมม   แลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา
-
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียว   ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
+
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียว   ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
-
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า   ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
+
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า   ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
-
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา   เห็นศิลาแวววามงามไสว
+
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา   เห็นศิลาแวววามงามไสว
-
พรรณรายพรายแพรวดูแววไว   และวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา
+
พรรณรายพรายแพรวดูแววไว   และวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา
-
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม   เป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
+
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม   เป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
-
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา   พิจารณาสมความตามบาลี
+
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา   พิจารณาสมความตามบาลี
-
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง   คือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี
+
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง   คือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี
-
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี   ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
+
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี   ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
-
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก   อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
+
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก   อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
-
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร   ให้ถาวรวันทาบูชาชม
+
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร   ให้ถาวรวันทาบูชาชม
-
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์   สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม
+
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์   สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม
-
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม   เที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา
+
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม   เที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา
-
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วง   เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
+
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วง   เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
-
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา   ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
+
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา   ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
-
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิต   ที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย
+
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิต   ที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย
.
.
.
.
.
.
-
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้าง   ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
+
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้าง   ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
-
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบ   ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
+
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบ   ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
-
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้อง   สกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
+
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้อง   สกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
-
ประดุจเสียงขำบำเรอราย   ร้องถวายพระแท่นในแดนดง
+
ประดุจเสียงขำบำเรอราย   ร้องถวายพระแท่นในแดนดง
-
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์     อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง
+
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์   อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง
-
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง   จนเลยหลงลับทางมากลางไพร
+
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง   จนเลยหลงลับทางมากลางไพร
-
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอน   ดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว
+
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอน   ดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว
-
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทร   มะคำไก่กันเกาะสะเดาดง
+
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทร   มะคำไก่กันเกาะสะเดาดง
-
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัด   เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์
+
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัด   เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์
-
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดง   โลดทะอินทนินและอินจันทร์
+
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดง   โลดทะอินทนินและอินจันทร์
-
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่น   ระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์
+
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่น   ระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์
-
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกัน   เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
+
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกัน   เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
-
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค   บ้างโผนผกบินจับสลับสลอน
+
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค   บ้างโผนผกบินจับสลับสลอน
-
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอน   กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
+
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอน   กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
-
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขัน   เบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่
+
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขัน   เบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่
-
นกนางนวลโนรีสีชมพู   น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง
+
นกนางนวลโนรีสีชมพู   น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง
.
.
.
.
.
.
-
พระสุริยายอแสงแฝงคีรี   เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
+
พระสุริยายอแสงแฝงคีรี   เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
-
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัส   เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
+
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัส   เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
-
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจ   เห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น
+
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจ   เห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น
-
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝง     แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
+
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝง   แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
-
ชะมดสมันหันหาพากันเดิน   ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
+
ชะมดสมันหันหาพากันเดิน   ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
-
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด   บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
+
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด   บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
-
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล   ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
+
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล   ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
-
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัว   พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
+
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัว   พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
-
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัย   จุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง
+
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัย   จุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง
-
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวัง   จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
+
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวัง   จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
-
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง   ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
+
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง   ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
-
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด   กรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน
+
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด   กรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน
-
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ   ประกอบการบูชาประสาจน
+
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ   ประกอบการบูชาประสาจน
-
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภช   ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
+
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภช   ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
-
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์   บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป
+
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์   บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป
-
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น     คนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
+
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น   คนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
-
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย   เมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง
+
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย   เมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง
-
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ   ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
+
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ   ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
-
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง   แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
+
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง   แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
-
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียง   ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง
+
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียง   ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง
-
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวง   บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
+
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวง   บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
-
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี   ชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง
+
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี   ชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง
-
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญ   พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล
+
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญ   พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล
-
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อย     หวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล
+
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อย   หวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล
-
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน   เขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น
+
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน   เขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น
.
.
.
.
.
.
-
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า   สกุณาร่ำร้องก้องประสาน
+
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า   สกุณาร่ำร้องก้องประสาน
-
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนาน   ระวีวารส่องภพจบสากล
+
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนาน   ระวีวารส่องภพจบสากล
-
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น   พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
+
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น   พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
-
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล   ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
+
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล   ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
-
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวาย   แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
+
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวาย   แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
-
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา   แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
+
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา   แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
-
ขอเดชะภูษาอานิสงส์   เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
+
ขอเดชะภูษาอานิสงส์   เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
-
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจ   เทพไทจงเห็นเป็นพะยาน
+
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจ   เทพไทจงเห็นเป็นพะยาน
-
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส   จงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
+
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส   จงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
-
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณ   เข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย
+
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณ   เข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย
-
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก   สิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย
+
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก   สิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย
-
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย   อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
+
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย   อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
-
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส   อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์
+
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส   อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์
-
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวัน   การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย
+
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวัน   การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย
-
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ   พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
+
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ   พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
-
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย   ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
+
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย   ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
-
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา   ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
+
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา   ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
-
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิง   อนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป
+
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิง   อนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป
-
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด   ทำนิราศรักมิตรพิสมัย
+
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด   ทำนิราศรักมิตรพิสมัย
-
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทย   จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง
+
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทย   จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง
-
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง   คนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง
+
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง   คนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง
-
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง   ประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน
+
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง   ประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน
-
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง   ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
+
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง   ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
-
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร   ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
+
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร   ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
</tpoem>
</tpoem>
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

การปรับปรุง เมื่อ 09:17, 10 กรกฎาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: เณรกลั่น ( สุนทรภู่ ? )

ความยังไม่ครบถ้วน

บทประพันธ์

๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญมิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะเหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวันจะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
ในปีวอกนักษัตร์อัฐศกชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพนพี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้องเฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพรสง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้างไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพันสักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
.
.
.
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
เห็นนางในใสสดหมดมณฑิลทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
.
.
.
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อยยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวงจนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขายบ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคองพี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอดยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
น่าสงสารคอนพายมาขายพลูถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
.
.
.
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบเย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงยพระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึกออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวีพระตอนตีแตกยับอัปรา
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่าพระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยาชลนานองเนตรสังเวชวัง
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้องเขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่งพี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนางเคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวันคิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อยนาวาลอยลับไปไกลสมร
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทรสะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
ก็ได้สมชมน้องประคองกายแล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวงครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่นหอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
.
.
.
เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะโศกปะทะสองช้ำทำไฉน
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟากยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
.
.
.
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอดแทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้างไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพันแล้วผายผันรีบมาในวาริน
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากินแต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ยไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซนไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
.
.
.
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมางระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือจึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปนโอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมองคิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวันแล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อนไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตาอุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัยหอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอกว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชยเหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
.
.
.
ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกันอัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
.
.
.
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อยดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตาคงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติเป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัยในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อยคิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
จะปีนต้นก็ยากลำบากกายพี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
.
.
.
ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่าไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทรไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนาไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอแล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสายสกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบานเปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
.
.
.
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยนเมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับจะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรากำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อนเพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตายมีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
.
.
.
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือกเป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดินไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบากให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไปทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้าเป็นราคาประจำลำสลึง
ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึงพอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อยพระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
ดาวประดับวับวาวอร่ามตาดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
.
.
.
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาวทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งรางมีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
.
.
.
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ยไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควายมาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลงแจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้ายิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียวกะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
.
.
.
ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึงแทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมาไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้นพี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้วเห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อยน้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจพลางครรไลล่องลอยนาวามา
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้าเป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุราเมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
อันรักมักหลงพะวงรักใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใครคงจะไปหารักที่พักพิง
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับเกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิงอนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
.
.
.
๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้วเห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาครสง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยนต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้วยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
.
.
.
พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้ารีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละอองไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
.
.
.
รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอารามแล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอดไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
สิ้นหนทางคงคาชลาลัยจะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้าเสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกันจะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่มบรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไปจะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่ายแลดูควายเดินระดับสลับสลอน
เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจรเกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้งคนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
ถืออาวุธกันภัยระไวระวังไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดารตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวชเต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชินไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตรแสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
.
.
.
๏ ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้างเป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดาพราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษพี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจงถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอนบ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุกบ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุยเห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุดสัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกรสโมสรโสมนัสนมัสการ
ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวงเที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณสูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
มีบันไดขึ้นไปประทักษิณแลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอนระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลามีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
พี่ชมพลางทางพบอภิวาทสุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชายกราบถวายวันทาแล้วลาลง
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาสดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
บริเวณวัดวาเป็นป่าดงดูงวยงงล่วงมาช้านาน
พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้างเป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยานพระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคตเขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรมจึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามากเมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกองสกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลงให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาดหนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัยวังเวงใจจะมาในราตรี
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึกคะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลีกองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
บ้างก็กินโภชนากระยาหารต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบังพอยับยั้งกายตามยามกันดาร
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาลนมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้งจรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุราพี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาทโศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้องเย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างามเรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
ต่างคนต่างตื่นขึ้นพร้อมหน้าแล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
ระยะทางกลางไพรยังไกลกันแทบอาสัญทางทุเรศสังเกตมา
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่งสะพร่างทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
ระบัดลมร่มรื่นพื้นสุธาดาษดาดอกก็ดวงร่วงราย
บ้างทรงผมหล่นหนักเป็นอัคนิษฐ์ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบายจะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
.
.
.
๏ มาถึงลาดหญ้าไทรให้ใจหายตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วนเหมือนลมหวนป่วนจิตต์พิสมัย
เห็นหนองน้ำขุ่น ๆ สนุ่นไคลเหมือนดวงใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
.
.
.
๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผีเสียงชะนีโหยไห้พิไลหวน
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญให้รัญจวนจรมาในอารัญ
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหถานสูงตระหง่านเงื้อมป่าอนาสัณฑ์
พี่หยุดยั้งนั่งนบอพภิวันท์พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษาพระเทพาอุ้มสมภิรมย์สอง
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้องพระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
.
.
.
๏ ถึงหนองโพธิ์ ๆ มีที่ริมหนองต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
พี่นั่งนบอภิวันทแล้วผันผายไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
เห็นนกไม้ในดงพงพนาไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง
๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้นแลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนางทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
.
.
.
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษณ์นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นานมาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
.
.
.
๏ ถึงหนองกระบอกซอกธารสถานที่หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชลมีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร
ต้นซีกซากโศกไทรมะไฟป่าเคียนมะค่าคางแคแสมสาร
กะเบียนกะบากหมากลิงมะพร้าวตาลสุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึงรีบตะบึงมาในไพรระหงส์
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยงอุตส่าห์ทรงการเดิมดำเนินจร
มาถึงห้วยปรากตเขาปลดเกวียนเป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อนเห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
ทั้งสองฟากครื้นครึกล้วนพฤกษามีเต่าปลาพรั่งพรูอยู่อักโข
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำกระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไสว
ตะโกกาปลาสร้อยก็ลอยไปเข้าแฝงใบจอกกะจับให้ลับกาย
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตต์นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
.
.
.
รำพันพรางทางแลดูพวกเพื่อนออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจมเอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้องขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
ที่ลางคนกล้าแข็งแรงสุดใจก็เล่นไล่เอาเถิดเกิดพะนัน
พวกผู้ชายว่ายจับกันสับสนได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
ขยุ้มคลำปะแล้วละกันเสียงสนั่นเฮฮาในวารี
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่ายทั้งหญิงชายปรีด์เปรมเกษมศรี
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันทีเกวียนของพี่ออกหน้าน้องพาจร
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสดคันธรสโรยร่วงพวงเกสร
ต้องพระพายชายช่ออรชรหมู่ภมรคลึงเคล้าเฝ้าเชยชม
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผาโบราณว่ามีจริงทุกสิ่งสม
หญิงกับชายเป็นคู่ดูอารมณ์ทั่วปฐมกัปปกัลปพุทธันดร
ใครมีคู่พลัดคู่อยู่ไม่สุขมักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอาวรณ์ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
.
.
.
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียวบ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหนลางลิงโจนจับคว้าผลาผล
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซนก็รีบล้นเร็วมาในป่าดอน
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
ที่ย่านนั้นดูสนุกที่ฝั่งนอนเป็นทรายอ่อนขาวสะอาดไม่บาดตา
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้างดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลาเป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหายก็ผันผายล่วงลัดพนัสสถาน
พระสุริยง ลงลับพะโยมมานก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหายเห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
พวกชายหญิงสัปรุษก็หยุดยังเข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัยบ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
บ้างก่อไฟจุดใต้ตะเกียงตามดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบจนแสงทองสองทวีปสว่างไสว
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัยชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
ในระวางนางรักทั้งคู่ค้อมคำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดาอนิจจาเกิดมาไม่ทันองค์
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎแสนกำสรดเศร้าจิตต์พิศวง
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลงคิดถึงองค์สัพพัญญูตัญญาณ
พระองค์โปรดเทวาแลมนุษย์ให้สูงสุดสิ้นโอฆโลกสงสาร
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพานโปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
พระองค์เกิดในบุรินทร์กบิลพัสดุเป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
มานิพพานในป่าพนาวันถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อนให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตาแทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
แลเห็นก้อนโลหิตประดิษฐานยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไรแล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวชถ้าเรืองเดชนิมิตมณฑปเสริม
จะสร้างวัดจัดแจงตบแต่งเติมไว้เฉลิมโสภาสถาพร
นี่จนจิตต์ฤทธีหามีไม่ยิ่งคิดไปยิ่งทอดฤทัยถอน
โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอนแต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
ชื่อกรุงโกสินารายณ์สบายนักเป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลื่อเลื่อง
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนืองไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่นดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุปผา
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลาคือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
ของพระยามลราชประสาทไว้ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตต์สถาน
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการสมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
แต่บ้านเรือนศูนย์หายกลายเป็นป่าพยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารังอนิจจังอนาถจิตต์อนิจจา
เดชะบุญได้นบอภิวาทไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
รำพันพลางทางก้มบังคมลาถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผาบันไดเหล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลินเหมือนเหาะเหิรเห็นรอบขอบมณฑล
ดูทิศทางบูรพาน่าวิเวกเห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมมแลดูคนตัวนิด ๆ ติดสุธา
เห็นเขาใหญ่ตะคุ่มชะอุ่มเขียวดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้าทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
พินิจพลางทางเดินบนเนินผาเห็นศิลาแวววามงามไสว
พรรณรายพรายแพรวดูแววไวและวิไลเลื่อม ๆ ละลานตา
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลมเป็นแถวแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธาพิจารณาสมความตามบาลี
เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสงคือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมีด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตกอยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนครให้ถาวรวันทาบูชาชม
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์สุดจะคิดขนเหินแผ่นดินถม
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนมเที่ยวเชยชมบุปผาชาติดาษดา
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดล่วงเป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธาดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
เห็นสายหยุด ๆ ยืนให้ชื่นจิตที่ยิ่งคิดถึงนุชยิ่งสุดหมาย
.
.
.
ไม่มีไม้อื่นปนต่อสล้างดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นก้องสกุณีร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
ประดุจเสียงขำบำเรอรายร้องถวายพระแท่นในแดนดง
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์อัศจรรย์จับจิตต์พิศวง
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวงจนเลยหลงลับทางมากลางไพร
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอนดูซับซ้อนโสกสนต้นไสว
ตะลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทรมะคำไก่กันเกาะสะเดาดง
กะถินทุ่มชุมแสงดังแกล้งตัดเป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหงส์
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเสียงดงโลดทะอินทนินและอินจันทร์
เป็นพวงผลหล่นกลาดดูดาษดื่นระดะพื้นพสุธาพนาสัณฑ์
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชนกันเสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหคบ้างโผนผกบินจับสลับสลอน
นกกาลิงจับกิ่งกาหลงนอนกระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
อีลุ้มเหล่าเขาชะวากะทาขันเบ็ญจวรรณบินถลาเที่ยวหาคู่
นกนางนวลโนรีสีชมพูน่าเอ็นดูแต่เจ้าสาริกาทอง
.
.
.
พระสุริยายอแสงแฝงคีรีเสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
เห็นเสือด้อมกวางเดินเนินพนัสเล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
วิ่งคะนองลองเชิงระเริงใจเห็นคนไปวิ่งซอกตามตรอกเตริ่น
หมีกระโดดหมูคุดเที่ยวมุดแฝงแรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
ชะมดสมันหันหาพากันเดินละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุดบ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบลก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
ครั้นเย็นค่ำย่ำมืดขมุกขมัวพี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
พระจันทร์ส่องท้องป่าพนาลัยจุดดอกไม้เพลิงวางตามตะเกียง
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตต์หวังจุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียงขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูดกรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญประกอบการบูชาประสาจน
บ้างก็เต้นเล่นรำทำสมโภชด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์บ้างก็บ่นภาวนาหลับตาไป
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้นคนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัยเมื่อจรไปจับน้องวันทองนาง
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
ข้างเสภากุมกรับขยับพลางแล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
ปี่พาทย์รับขับขานประสานเสียงก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตต์พิศวง
คนมานั่งฟังพร้อมล้อมเป็นวงบ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมีชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ญพระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิล
ดารารายพรายพรั่งน้ำค้างย้อยหวนละห้อยโหยจิตต์คิดถวิล
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดินเขาหลับสิ้นเสียงเงียบระเยียบเย็น
.
.
.
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้าสกุณาร่ำร้องก้องประสาน
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพระโยมนานระวีวารส่องภพจบสากล
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่นพี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพลก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
พี่ปลดเปลื้องเครื่องประดิษฐอุทิศถวายแล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธาแล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
ขอเดชะภูษาอานิสงส์เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจเทพไทจงเห็นเป็นพะยาน
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลสจงข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
ให้สำเร็จประโยชน์ในโพธิญาณเข้านิพพานพ้นทุกข์สนุกสบาย
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านักสิ่งไรรักขอให้สมอารมณ์หมาย
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลายอย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัสอย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกวันการสิ่งนั้นอย่าได้พบประสพเลย
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระพี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชยไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขาไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตต์ประวิงอนาถนิ่งนึงถึงตะบึงไป
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาดทำนิราศรักมิตรพิสมัย
ด้วยจิตต์รักกาพย์กลอนอักษรไทยจึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวงคนทั้งปวงอย่าว่าฉันบ้าหลัง
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจังประดุจดังน้ำจิตต์ฉันคิดกลอน
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่องให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพรให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

อ้างอิง

เครื่องมือส่วนตัว