พระอภัยมณี

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 420: แถว 420:
</tpoem>
</tpoem>
-
=== ===
+
===ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา===
<tpoem>
<tpoem>
 +
จะสอนสั่งสิ่งเดียวเกี้ยวผู้หญิง  ถ้าถึงจริงก็มักช้าประดาหาย
 +
ให้หวานหวานไว้สักหน่อยค่อยสบาย  นี่แยบคายเจ้าชู้แต่บูราณ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจ  หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา
 +
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์  ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา
 +
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา  ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ
 +
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลาก  ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม
 +
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความ  จะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม  ทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย
 +
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล  อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน
 +
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่ง  คิดรำพึงสารพัดจะขัดสน
 +
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกล  นฤมลมองหาสุมาลี
 +
.
 +
.
 +
.
 +
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน  มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย
 +
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลาย  ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง
 +
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม  เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง
 +
.
 +
.
 +
.
 +
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา  ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน  เห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม
 +
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์  แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน
 +
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์  บุรีรัตนามหาศวรรย์
 +
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์  สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร
 +
พยายามข้ามมหามหรรณพ  หวังประสบวรนุชสุดสงสาร
 +
มาอาศัยในสวนอุทยาน  บุญบันดาลดลจิตพระธิดา
 +
เผอิญให้โฉมงามทรามสวาท  มาประพาสชมพรรณบุปผา
 +
พี่ยลยอดเยาวเรศเกษรา  ช่างโสภานิ่มน้องละอองนวล
 +
ประไพพริ้มนิ่มน้อยกลอยสวาท  ดังนางในไกรลาสมาเล่นสวน
 +
เสด็จกลับลับไปให้รัญจวน  เฝ้าอักอ่วนอาวรณ์ร้อนฤทัย
 +
ด้วยยามยากจากเมืองมามุ่งหมาย  ดังกระต่ายเต้นแลดูแขไข
 +
ครั้นเดือนดับลับเหลี่ยมเมรุไกร  โอ้อาลัยเหลือแลชะแง้คอย
 +
เหมือนอกพี่ที่แสนเสน่ห์นุช  เห็นสูงสุดที่จะได้สิ่งใดสอย
 +
ถ้าได้ดวงดอกฟ้าลีลาลอย  ก็จะค่อยประคองนวลสงวนเชย
 +
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวน  ใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย
 +
ถ้าแม้นมาดชาติก่อนเป็นคู่เคย  ขอให้เผยพจนารถประภาษมา
 +
แม้นแม่ไม่อนุกูลสูญสวาท  เห็นสิ้นชาติชีวังจะสังขาร์
 +
จะเอากรุงรมจักรนัครา  เป็นป่าช้าสุมเพลิงเชิงตะกอน
 +
ขอเชิญนุชบุตรีปรานีสนอง  อย่าหม่นหมองหมางรักในอักษร
 +
ช่วยชี้ชอบตอบถ้อยสุนทรวอน  ให้วายร้อนที่วิตกในอกเอย
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง  เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง
 +
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน  มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อน  ซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง
 +
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง    ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร
 +
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์  สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมา  มิเมตตาชีวันจะบรรลัย
 +
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนัก  ถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย
 +
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจ  เขาว่าไว้หวานนักก็มักรา
 +
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนา  ต้องจากเยาวยุพินจินตรา
 +
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนา  จงตรึกตราตรองความตามบุราณ
 +
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์  จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร
 +
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาล  โปรดประทานก็จะได้ดังใจจง
 +
.
 +
.
 +
.
 +
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่  เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน
 +
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวน  มาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน
 +
.
 +
.
 +
.
 +
พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่า  นี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว
 +
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัว  ไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน
 +
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาว  ไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน
 +
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กล  มาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
=== ===
=== ===
<tpoem>
<tpoem>

การปรับปรุง เมื่อ 16:02, 26 มิถุนายน 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: สุนทรภู่

บทประพันธ์

พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
สพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชีชาวบูรีหรรษาสถาวร
มีเอกองค์นงลักษณ์อรรคราชพระนางนาฎนามประทุมเกศร
สนมนางแสนสุรางคนิกรดังกินนรน่ารักลักขณา
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ประไพพักตรเพียงเทพเลขา
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยาพึ่งแรกรุ่นชัณษาสิบห้าปี
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องๆเนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี
พึ่งโสกันต์ชัณษาสิบสามปีพระชนนีรักใคร่ดังไนยยา
สมเด็จท้าวปิตุรงค์ดำรงราชย์แสนสวาทลูกน้อยเสนหา
จะเษกสองครองสมบัติขัตติยาแต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
จึงดำรัสเรียกพระโอรสราชมาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณอันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา
ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวทสิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
ได้ป้องกันอันตรายนัคราตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญเป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา
จึงทูลความตามจิตต์เจตนาลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน
หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน
ก็สมจิตต์เหมือนลูกคิดทุกคืนวันพอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร
แล้วก้มกราบปิตุราชมาตุรงค์ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน
จะเดินทางไกลในป่าพนาดอนจงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้งจนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาลอดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
พระพี่น้องสององค์ทรงสดับเคารพรับบังคมด้วยสมหมาย
พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชายมาทรงสานสาคเรศบนเตียงรอง
แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง
แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทองจนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา
จึงชวนกันจรจรัลจากสถานออกทวารเบื้องบูรพาทิศา
ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตาทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ
๏ ล่วงตำบลชนบาทไปหลายบ้านเข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน
เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวันให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย
จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้าพระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
คณนกเริงร้องคนองไพรเสียงเรไรจักระจั่นสนั่นเนิน
ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพักหยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน
ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุสาห์เดินพิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน
บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้าปีบจำปาสุกรมสวรรค์
พระอภัยมีศรีสุวรรณต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา
พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้องๆเดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา
พระน้องเก็บมุลลีให้พี่ยาทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย
เห็นมะม่วงผลพึ่งสุกห่ามทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย
อร่อยหวานปานเปรียบสรนมเนยอิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง
ครั้งสิ้นแสงสุริยทิพากรสำนักนอนเนินผาป่าระหง
ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์บาทบงส์บวมบอบระบมตรม
พระเชษฐาอาไลยถึงไอศวรรย์กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม
น้องคนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนมกับบรมปิตุเรศพระมารดา ฯ
๏ สิบห้าวันเดินในไพรสณฑ์ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่นักหนา
เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒามีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน
อาจารย์หนึ่งขำนาญในการปี่ทั้งดีดสีแสนเสานะเราะหนักหนา
ผู้ใดได้ฟังวังเวงในวิญญาเคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ
อันสองท่านราชครุนั้นอยู่ตึกจดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน
เป็นข้อความตามมีวิชาการแสนชำนาญเลิศลบภพไตร
แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่งจงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข
ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจจึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ
๏ วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณจรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน
เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวารพระทรงอ่านแจ้งจิตต์ในกิจจา
อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา
จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยาอันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ
แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้านท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน
ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไปถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก
เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิตเข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์
ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนักได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน
จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้วพ่อเห็นแล้วเหนือที่ลายลิขิตเขียน
สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียรเจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด
อนุชาว่าการกลศึกน้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน
ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไวจะชิงไชยข้าศึกไม่นึกเกรง
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่วิชามีแล้วใครไม่ข่มแหง
แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลงหมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลกได้ดับโศกศูนย์หายทั้งชายหญิง
แต่ขัดสนจนจิตต์คิดประวิงด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ
๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลมจึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา
ธำมรงค์เรือนมณีมีราคาจะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง
พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง
อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบองหัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี
ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้านอยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี
ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าทีจะตามพี่ไปหาที่อาจารย์
พระอภัยได้คิดถึงคำน้องต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการกลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก
ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาดยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก
เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึกทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี
มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่ากระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้
ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคีกระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย
ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึกเห็นสมนึกเหมือนจิตต์ที่คิดหมาย
กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคายแล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ
๏ ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่าเป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล
ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมารศรีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา
ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่นพึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา
อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตาก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติยวงศ์
จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้แล้วถามไต่ข้อความตามประสงค์
มีธุระอะไรในใจจงเจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ
๏ หน่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงสดับน้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข
พระบิดาห้าบำรุงซึ่งกรุงไกรบัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ
จึงดั้นด้นเดินเนินป่ามาถึงนี่พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน
รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา
แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้นอันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมาตีราคาควรแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวาให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง
ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรองขอดประคองไว้ในผมให้สมควร
แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศาสนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล
อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวนครั้งค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา
ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธเพลงอาวุธอาบดั้งให้ตั้งท่า
กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชาค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ
๏ ฝ่ายเชษฐามาที่ท้ายบ้านก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี
เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนีให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ
๏ ฝ่านครูเฒ่าพินทรพราหมณ์รามราชแสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง
ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคองเข้าในห้องหัดเพลงบันเลงพิณ
แล้วพาไยอดเขาให้เป่าปี่ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
แต่เสือช้างกล่างไพรถ้าได้ยินก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถารพระกุมารได้สมอามรณ์หวัง
สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบังจึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับจะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคนด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัสเกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณจึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียงยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง
อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสนเพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณจะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา
จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัคราให้ชื่นจิตต์พระบิดาและมารดร ฯ
๏ หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึกจดจารึกคำท่านอาจารย์สอน
พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ
๏ ฝ่ายนฤบดีศรีสุวรรณก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน
ทั้งโล่ห์เขนเจนจัดหัดประจญในการกลอาวุธสุดทำนอง
จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่าจึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง
เลือกล้วนเหล็กมุลลีตีกระบองให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา
ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนได้แถลงไขข้อความตามปฤศนา
เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณราแล้วพฤฒาอวยไชยไปจงดี
หน่อกษัตริย์สุริวงศ์ทรงสดับน้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครรไลลาอาจารย์จรลีตามวิถีแถวทางถนนมา
พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้านสองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา
ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชาแล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป
ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่งหมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่
สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงไชยพอท้าวไทยสุทัศน์กษัตรา
ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรีแสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมาเฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงไชย ฯ
๏ กรุงกษัตริย์สุริยวงศ์พระทรงยศเห็นโอรสยินดีจะมีไหน
เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพแล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง
หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหาได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง
หรือปลดเปล่าเล่าให้บิดาฟังพ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ
๏ พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี
พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดีลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ
ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธเพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ
ทั้งสองสิ่งยิ่งยอดวิชาการใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ
๏ ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราชบรมนาถขัดข้องให้หมองศรี
โกรธกระทืบบาทาแล้วพาทีอย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจ
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลงเป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวังมันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ
อันวิชาอาวุธแลโลห์เขนชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร
เป็นกษัตริย์จักพรรดิ์พิสดารมาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด
ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้าช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย
จะให้อยู่เวียงวังก็จังไรชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง
ไปเที่ยวเล่นเป็นปี่แล้วมิสามาพูดจาให้กูคันหูเหือง
พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคืองแล้วย่างเยื้องจากบัลลังค์เข้าวังใน ฯ
๏ แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์บิดาตรัสโกรธาไม่ปราไสย
อัปยศอดสูเสนาในทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน
พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยากสู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์
มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวันยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน
พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลาพี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล
อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชนผิดก็ดันดั้นไปในไพรวัน
แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์สองกษัตริย์โศกทรงกรรแสงศัลย์
พระอภัยมณีศรีสุวรรณก็พากันซวนซบสลบไป
ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข
ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจชลไนย์แนวนองทั้งสององค์ ฯ
๏ พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ยอย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง
มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง
พระพี่ชายชวนเกินดำเนินหน้าอนุชาโฉมงามมาตามหลัง
พระออกนอกนัคราเข้าป่ารังครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครันยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ
๏ พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาดเป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรไลยลาญก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่งพอประทังกายาอยู่อาไสรย
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไรชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ
๏ พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรักเจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่
กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมีให้เป็นที่กังขาประชาชน
เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน
สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกลจึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย
เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัดแล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย
ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกรายพระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา
ค่อนด้นดั้นเดินเนินพนมพนาเวศสีขเรศถ้วยธารละหานผา
ครั้นค่ำค้างกลางเถื่อนได้เดือนเศษออกพ้นเขตต์เข้าไม้ไพรสิงขร
ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธรในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง
ทั้งสองราล้าเหนื่อยกำลังลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ
๏ จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย
คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชายมีแยบคายชำนาญในการกล
เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน
คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานนร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง
คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียรเที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์
ถือธนูสู้ศึกนึกทนงหมายจะปลงชีวาปัจจามิตร
ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูกหมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด
ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิตเคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย
พอแดดร่มลมตกลงชายเขาขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย
ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพายแสนสบายบุกป่ามาบนดิน
ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำเที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์
มาใกล้ไทรสาขาริมวารินก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน
เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉมงามประโลมหลากจิตต์คิดฉงน
ทอดสมอรอราเภตรายนต์ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย
เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย
ว่าดูรามาณพทั้งสองนายเจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา
ฤาเดินดงกลางทางมาต่างบ้านจงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังกา
แม้นไม่มี่พี่น้องญาติกาเราจะพาไว้เรือนเป็นเพื่อนกัน ฯ
๏ พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณเป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิ์สวัสดี
ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี
อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรีน้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา
พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา
เราพี่น้องสองคนจึงซนมาหวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ
ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงไสยวิชาใดจึงจะดีให้วิถาร
ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดารจะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา
อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา
ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมาจงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ
๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงไสย
ประณตนั่งบังคมขออไภยพระอย่าได้ถือความข้าสามคน
ซึ่งพระองค์ทรงไต่ถามจะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
ข้างชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานนทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน
แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน
ได้เรียนรู้เรียกลมฝนคือคนนั้นข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน
ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูกจะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น
คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดินอยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน
ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธเข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล
แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกลข้าสนเท่ห์ในน้ำใจจริง
ดนตรีมีคุณที่ข้อไหนฤาใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
ยังสงไสยในจิตต์คิดประวิงจงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ ฯ
๏ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถามจึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไปย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราชจัตุบาทกลางป่าพนาสิน
แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยินก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติอันลัทธิดนตรีดีนักหนา
ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญาจงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดังสำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ
๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ยยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาไลยจะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
พระจันทรจรสว่างกลางโพยมไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคยถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียงสำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน
หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาลให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจเป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ฯ
             

นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี

จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำอยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพรายสกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้างเที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภาเป็นภักษานางมารสำราญใจ
แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่งเสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล
เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทรพอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลังเข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ ฯ
.
.
.
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิตมิได้คิดอีนังชังน้ำหน้า
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลาแล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความแพศยาบ้ากามกวนอารมณ์
ถึงมาดแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคมแล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ
.
.
.
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิตเป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบายมันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาทไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัยต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
.
.
.
พระฟังคำจำจิตพิศวาสฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมาเหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติดกระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียงปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่งปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิดประกบติดตกผางลงกลางดิน
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สมเหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
เป็นวิสัยในภพธรนินทร์ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ
.
.
.
             

ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์

เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนากษัตราจะได้คู่ที่สู่สม
สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลมลุอุดมรมจักรนัครา
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะเรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา
เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตาก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ
พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่นครนี้น้องเห็นจะคับขัน
จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกันจะเป็นจันตะประเทศหรือท้าวไท
.
.
.
อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์นามพระบาทท้าวทศวงศา
มีโฉมยงองค์ราชธิดาชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์
.
.
.
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานีมาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราชเป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกรเป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์
ให้ทูตามาสนองละอองบาทจะขอราชธิดาโดยประสงค์
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา
.
.
.
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติพี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทันแต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
.
.
.
             

ศรีสุวรรณพบนางเกษรา

สงสารแก้วเกษราธิดาท้าวเมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน
สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวนแต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา
พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิตประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา
ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยาพระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย
จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้างนุชนางเล่าแจ้งแถลงไข
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกรเข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้องฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง
ให้ร้อนรุ่มกลุ่มจิตพิษภุชงค์หมายว่าปลงชีวานิคาลัย
จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่นอันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน
.
.
.
ยุพยงทรงอ่านอักษรพลันมีสำคัญว่างูหมู่กุมภา
แม้นขบกัดรัดใครในนิมิตจะได้ชมสมสนิทเสน่หา
แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยาวาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ
.
.
.
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้วสัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส
.
.
.
ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่งเสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม
ชำเลืองเห็นพระธิดาพงางามให้มีความพิศวาสจะขาดใจ
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้นพอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย
จนลืมองค์หลงแลตะลึงไปเหมือนนางในดุสิตลงมาดิน
ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อพระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์
นวลละอองสองปรางอย่างลูกอินช่างงามสิ้นสรรพางค์สำอางองค์
ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่งใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง
กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง
.
.
.
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจแฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา
.
.
.
ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา
เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดในตามาเข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน
คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อยจะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน
เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวนทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา
เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้องจะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา
เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมาหรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล
ทำปลอมแปลงแกล้งจู่มาดูน้องหรือจะต้องประสงค์ที่ตรงไหน
จะมาเดียวหรือจะมาด้วยข้าไทจะกลับไปหรือจะอยู่ไม่รู้เลย
เสียดายนักหนักทรวงดวงสมรสะอื้นอ้อนอิงแอบแนบเขนย
ไม่แต่งองค์ทรงเล่นเหมือนเช่นเคยลืมเสวยลืมสรงหลงรำพึง
.
.
.
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้มตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมาไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ
.
.
.
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวนจนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาลไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจจะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย
.
.
.
             

ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา

จะสอนสั่งสิ่งเดียวเกี้ยวผู้หญิงถ้าถึงจริงก็มักช้าประดาหาย
ให้หวานหวานไว้สักหน่อยค่อยสบายนี่แยบคายเจ้าชู้แต่บูราณ
.
.
.
พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจหนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตาต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลากให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความจะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ
.
.
.
ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลมทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกลอันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่งคิดรำพึงสารพัดจะขัดสน
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกลนฤมลมองหาสุมาลี
.
.
.
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อนมาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลายไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนามเหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง
.
.
.
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษราฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ
.
.
.
นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อนเห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์บุรีรัตนามหาศวรรย์
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร
พยายามข้ามมหามหรรณพหวังประสบวรนุชสุดสงสาร
มาอาศัยในสวนอุทยานบุญบันดาลดลจิตพระธิดา
เผอิญให้โฉมงามทรามสวาทมาประพาสชมพรรณบุปผา
พี่ยลยอดเยาวเรศเกษราช่างโสภานิ่มน้องละอองนวล
ประไพพริ้มนิ่มน้อยกลอยสวาทดังนางในไกรลาสมาเล่นสวน
เสด็จกลับลับไปให้รัญจวนเฝ้าอักอ่วนอาวรณ์ร้อนฤทัย
ด้วยยามยากจากเมืองมามุ่งหมายดังกระต่ายเต้นแลดูแขไข
ครั้นเดือนดับลับเหลี่ยมเมรุไกรโอ้อาลัยเหลือแลชะแง้คอย
เหมือนอกพี่ที่แสนเสน่ห์นุชเห็นสูงสุดที่จะได้สิ่งใดสอย
ถ้าได้ดวงดอกฟ้าลีลาลอยก็จะค่อยประคองนวลสงวนเชย
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวนใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย
ถ้าแม้นมาดชาติก่อนเป็นคู่เคยขอให้เผยพจนารถประภาษมา
แม้นแม่ไม่อนุกูลสูญสวาทเห็นสิ้นชาติชีวังจะสังขาร์
จะเอากรุงรมจักรนัคราเป็นป่าช้าสุมเพลิงเชิงตะกอน
ขอเชิญนุชบุตรีปรานีสนองอย่าหม่นหมองหมางรักในอักษร
ช่วยชี้ชอบตอบถ้อยสุนทรวอนให้วายร้อนที่วิตกในอกเอย
.
.
.
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนองเขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวันมาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ
.
.
.
ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อนซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์
.
.
.
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมามิเมตตาชีวันจะบรรลัย
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนักถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจเขาว่าไว้หวานนักก็มักรา
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนาต้องจากเยาวยุพินจินตรา
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนาจงตรึกตราตรองความตามบุราณ
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาลโปรดประทานก็จะได้ดังใจจง
.
.
.
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวนมาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน
.
.
.
พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่านี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัวไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาวไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กลมาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ
             

             

             

             

             

             

             

             

             

เชิงอรรถ

ที่มา

เครื่องมือส่วนตัว