พระà¸à¸ ัยมณี
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→) |
(→) |
||
แถว 348: | แถว 348: | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
- | === === | + | ===ศรีสุวรรณพบนางเกษรา=== |
<tpoem> | <tpoem> | ||
+ | สงสารแก้วเกษราธิดาท้าว เมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน | ||
+ | สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวน แต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา | ||
+ | พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิต ประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา | ||
+ | ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา พระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย | ||
+ | จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้าง นุชนางเล่าแจ้งแถลงไข | ||
+ | ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง | ||
+ | เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง | ||
+ | ให้ร้อนรุ่มกลุ่มจิตพิษภุชงค์ หมายว่าปลงชีวานิคาลัย | ||
+ | จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่น อันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ยุพยงทรงอ่านอักษรพลัน มีสำคัญว่างูหมู่กุมภา | ||
+ | แม้นขบกัดรัดใครในนิมิต จะได้ชมสมสนิทเสน่หา | ||
+ | แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยา วาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา | ||
+ | บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง | ||
+ | ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง | ||
+ | สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม | ||
+ | ชำเลืองเห็นพระธิดาพงางาม ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ | ||
+ | ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย | ||
+ | จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป เหมือนนางในดุสิตลงมาดิน | ||
+ | ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์ | ||
+ | นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน ช่างงามสิ้นสรรพางค์สำอางองค์ | ||
+ | ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง | ||
+ | กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย | ||
+ | องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์ มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา | ||
+ | เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดในตามา เข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน | ||
+ | คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อย จะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน | ||
+ | เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวน ทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา | ||
+ | เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้อง จะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา | ||
+ | เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมา หรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล | ||
+ | ทำปลอมแปลงแกล้งจู่มาดูน้อง หรือจะต้องประสงค์ที่ตรงไหน | ||
+ | จะมาเดียวหรือจะมาด้วยข้าไท จะกลับไปหรือจะอยู่ไม่รู้เลย | ||
+ | เสียดายนักหนักทรวงดวงสมร สะอื้นอ้อนอิงแอบแนบเขนย | ||
+ | ไม่แต่งองค์ทรงเล่นเหมือนเช่นเคย ลืมเสวยลืมสรงหลงรำพึง | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา | ||
+ | พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ | ||
+ | พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย | ||
+ | ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน | ||
+ | โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร | ||
+ | เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน | ||
+ | บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | |||
=== === | === === | ||
<tpoem> | <tpoem> |
การปรับปรุง เมื่อ 15:54, 26 มิถุนายน 2553
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์ | |||
สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ | ผ่านสมบัติรัตนานามธานี | ||
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์ | ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี | ||
สพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบูรีหรรษาสถาวร | ||
มีเอกองค์นงลักษณ์อรรคราช | พระนางนาฎนามประทุมเกศร | ||
สนมนางแสนสุรางคนิกร | ดังกินนรน่ารักลักขณา | ||
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ | ประไพพักตรเพียงเทพเลขา | ||
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา | พึ่งแรกรุ่นชัณษาสิบห้าปี | ||
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องๆ | เนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี | ||
พึ่งโสกันต์ชัณษาสิบสามปี | พระชนนีรักใคร่ดังไนยยา | ||
สมเด็จท้าวปิตุรงค์ดำรงราชย์ | แสนสวาทลูกน้อยเสนหา | ||
จะเษกสองครองสมบัติขัตติยา | แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ | ||
จึงดำรัสเรียกพระโอรสราช | มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร | ||
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ | อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา | ||
ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท | สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา | ||
ได้ป้องกันอันตรายนัครา | ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ | ||
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ | จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน | ||
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ | เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ | ||
๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์ | ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
จึงทูลความตามจิตต์เจตนา | ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน | ||
หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์ | ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน | ||
ก็สมจิตต์เหมือนลูกคิดทุกคืนวัน | พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร | ||
แล้วก้มกราบปิตุราชมาตุรงค์ | ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน | ||
จะเดินทางไกลในป่าพนาดอน | จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ | ||
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง | จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร | ||
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล | อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย | ||
พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ | เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย | ||
พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย | มาทรงสานสาคเรศบนเตียงรอง | ||
แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์ | เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง | ||
แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง | จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา | ||
จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน | ออกทวารเบื้องบูรพาทิศา | ||
ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา | ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ | ||
๏ ล่วงตำบลชนบาทไปหลายบ้าน | เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน | ||
เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน | ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย | ||
จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
คณนกเริงร้องคนองไพร | เสียงเรไรจักระจั่นสนั่นเนิน | ||
ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก | หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน | ||
ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุสาห์เดิน | พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน | ||
บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า | ปีบจำปาสุกรมสวรรค์ | ||
พระอภัยมีศรีสุวรรณ | ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา | ||
พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้องๆ | เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา | ||
พระน้องเก็บมุลลีให้พี่ยา | ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย | ||
เห็นมะม่วงผลพึ่งสุกห่าม | ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย | ||
อร่อยหวานปานเปรียบสรนมเนย | อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง | ||
ครั้งสิ้นแสงสุริยทิพากร | สำนักนอนเนินผาป่าระหง | ||
ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์ | บาทบงส์บวมบอบระบมตรม | ||
พระเชษฐาอาไลยถึงไอศวรรย์ | กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม | ||
น้องคนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม | กับบรมปิตุเรศพระมารดา ฯ | ||
๏ สิบห้าวันเดินในไพรสณฑ์ | ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่นักหนา | ||
เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา | มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน | ||
อาจารย์หนึ่งขำนาญในการปี่ | ทั้งดีดสีแสนเสานะเราะหนักหนา | ||
ผู้ใดได้ฟังวังเวงในวิญญา | เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ | ||
อันสองท่านราชครุนั้นอยู่ตึก | จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน | ||
เป็นข้อความตามมีวิชาการ | แสนชำนาญเลิศลบภพไตร | ||
แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง | จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข | ||
ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ | จึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ | ||
๏ วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน | ||
เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร | พระทรงอ่านแจ้งจิตต์ในกิจจา | ||
อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้ | ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา | ||
จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา | อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ | ||
แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน | ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน | ||
ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป | ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก | ||
เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต | เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์ | ||
ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก | ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน | ||
จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว | พ่อเห็นแล้วเหนือที่ลายลิขิตเขียน | ||
สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร | เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด | ||
อนุชาว่าการกลศึก | น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน | ||
ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว | จะชิงไชยข้าศึกไม่นึกเกรง | ||
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่ | วิชามีแล้วใครไม่ข่มแหง | ||
แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง | หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง | ||
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก | ได้ดับโศกศูนย์หายทั้งชายหญิง | ||
แต่ขัดสนจนจิตต์คิดประวิง | ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ | ||
๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม | จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา | ||
ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา | จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง | ||
พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์ | เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง | ||
อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง | หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี | ||
ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน | อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี | ||
ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที | จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์ | ||
พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ | กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก | ||
ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด | ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก | ||
เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก | ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี | ||
มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า | กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้ | ||
ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี | กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย | ||
ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก | เห็นสมนึกเหมือนจิตต์ที่คิดหมาย | ||
กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย | แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ | ||
๏ ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า | เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล | ||
ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร | ศรีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา | ||
ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น | พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา | ||
อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา | ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติยวงศ์ | ||
จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้ | แล้วถามไต่ข้อความตามประสงค์ | ||
มีธุระอะไรในใจจง | เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ | ||
๏ หน่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข | ||
พระบิดาห้าบำรุงซึ่งกรุงไกร | บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ | ||
จึงดั้นด้นเดินเนินป่ามาถึงนี่ | พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน | ||
รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์ | ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา | ||
แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น | อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา | ||
ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา | ตีราคาควรแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา | ||
แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา | ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง | ||
ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง | ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร | ||
แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา | สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล | ||
อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน | ครั้งค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา | ||
ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ | เพลงอาวุธอาบดั้งให้ตั้งท่า | ||
กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา | ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ | ||
๏ ฝ่ายเชษฐามาที่ท้ายบ้าน | ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี | ||
เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี | ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ | ||
๏ ฝ่านครูเฒ่าพินทรพราหมณ์รามราช | แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง | ||
ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง | เข้าในห้องหัดเพลงบันเลงพิณ | ||
แล้วพาไยอดเขาให้เป่าปี่ | ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น | ||
แต่เสือช้างกล่างไพรถ้าได้ยิน | ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง | ||
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร | พระกุมารได้สมอามรณ์หวัง | ||
สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบัง | จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล | ||
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ | จะรบรับสารพัดให้ขัดสน | ||
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน | ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ||
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส | เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร | ||
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ | จึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง | ||
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง | ยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง | ||
อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์ | คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน | ||
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน | เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน | ||
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ | จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา | ||
ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์ | มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา | ||
จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัครา | ให้ชื่นจิตต์พระบิดาและมารดร ฯ | ||
๏ หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก | จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน | ||
พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์ | แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ | ||
๏ ฝ่ายนฤบดีศรีสุวรรณ | ก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน | ||
ทั้งโล่ห์เขนเจนจัดหัดประจญ | ในการกลอาวุธสุดทำนอง | ||
จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า | จึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง | ||
เลือกล้วนเหล็กมุลลีตีกระบอง | ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา | ||
ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนได้ | แถลงไขข้อความตามปฤศนา | ||
เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณรา | แล้วพฤฒาอวยไชยไปจงดี | ||
หน่อกษัตริย์สุริวงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ครรไลลาอาจารย์จรลี | ตามวิถีแถวทางถนนมา | ||
พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน | สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา | ||
ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา | แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป | ||
ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง | หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่ | ||
สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงไชย | พอท้าวไทยสุทัศน์กษัตรา | ||
ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี | แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา | ||
พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา | เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงไชย ฯ | ||
๏ กรุงกษัตริย์สุริยวงศ์พระทรงยศ | เห็นโอรสยินดีจะมีไหน | ||
เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ | แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง | ||
หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา | ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
หรือปลดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง | พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ | ||
๏ พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์ | ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี | ||
พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี | ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ | ||
ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ | เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ | ||
ทั้งสองสิ่งยิ่งยอดวิชาการ | ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ | ||
๏ ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช | บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี | ||
โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที | อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจ | ||
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง | เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง | ||
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง | มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ | ||
อันวิชาอาวุธแลโลห์เขน | ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร | ||
เป็นกษัตริย์จักพรรดิ์พิสดาร | มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด | ||
ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า | ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย | ||
จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร | ชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง | ||
ไปเที่ยวเล่นเป็นปี่แล้วมิสา | มาพูดจาให้กูคันหูเหือง | ||
พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง | แล้วย่างเยื้องจากบัลลังค์เข้าวังใน ฯ | ||
๏ แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์ | บิดาตรัสโกรธาไม่ปราไสย | ||
อัปยศอดสูเสนาใน | ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน | ||
พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก | สู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์ | ||
มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน | ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน | ||
พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา | พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล | ||
อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน | ผิดก็ดันดั้นไปในไพรวัน | ||
แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์ | สองกษัตริย์โศกทรงกรรแสงศัลย์ | ||
พระอภัยมณีศรีสุวรรณ | ก็พากันซวนซบสลบไป | ||
ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์ | เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข | ||
ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจ | ชลไนย์แนวนองทั้งสององค์ ฯ | ||
๏ พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย | อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง | ||
มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์ | ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง | ||
พระพี่ชายชวนเกินดำเนินหน้า | อนุชาโฉมงามมาตามหลัง | ||
พระออกนอกนัคราเข้าป่ารัง | ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน | ||
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้ | ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์ | ||
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน | ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ | ||
๏ พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด | เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ | ||
แม้นชีวันยังไม่บรรไลยลาญ | ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป | ||
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง | พอประทังกายาอยู่อาไสรย | ||
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร | ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ | ||
๏ พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก | เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่ | ||
กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี | ให้เป็นที่กังขาประชาชน | ||
เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่ | เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน | ||
สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล | จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย | ||
เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด | แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย | ||
ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย | พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา | ||
ค่อนด้นดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ | สีขเรศถ้วยธารละหานผา | ||
ครั้นค่ำค้างกลางเถื่อนได้เดือนเศษ | ออกพ้นเขตต์เข้าไม้ไพรสิงขร | ||
ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธร | ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง | ||
ทั้งสองราล้าเหนื่อยกำลัง | ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ | ||
๏ จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ | ได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย | ||
คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย | มีแยบคายชำนาญในการกล | ||
เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้ | แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน | ||
คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน | ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง | ||
คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร | เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์ | ||
ถือธนูสู้ศึกนึกทนง | หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร | ||
ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก | หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด | ||
ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต | เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย | ||
พอแดดร่มลมตกลงชายเขา | ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย | ||
ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย | แสนสบายบุกป่ามาบนดิน | ||
ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำ | เที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์ | ||
มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน | ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน | ||
เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉม | งามประโลมหลากจิตต์คิดฉงน | ||
ทอดสมอรอราเภตรายนต์ | ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย | ||
เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์ | โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย | ||
ว่าดูรามาณพทั้งสองนาย | เจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา | ||
ฤาเดินดงกลางทางมาต่างบ้าน | จงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังกา | ||
แม้นไม่มี่พี่น้องญาติกา | เราจะพาไว้เรือนเป็นเพื่อนกัน ฯ | ||
๏ พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่ | จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ | เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิ์สวัสดี | ||
ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์ | ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี | ||
อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรี | น้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา | ||
พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่ | ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา | ||
เราพี่น้องสองคนจึงซนมา | หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ | ||
ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงไสย | วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร | ||
ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร | จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา | ||
อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ | ได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา | ||
ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา | จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ | ||
๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ | ว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงไสย | ||
ประณตนั่งบังคมขออไภย | พระอย่าได้ถือความข้าสามคน | ||
ซึ่งพระองค์ทรงไต่ถาม | จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
ข้างชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานน | ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน | ||
แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้ | ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน | ||
ได้เรียนรู้เรียกลมฝนคือคนนั้น | ข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน | ||
ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูก | จะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น | ||
คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน | อยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน | ||
ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ | เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล | ||
แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล | ข้าสนเท่ห์ในน้ำใจจริง | ||
ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน | ฤาใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ||
ยังสงไสยในจิตต์คิดประวิง | จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ ฯ | ||
๏ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม | จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข | ||
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป | ย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์ | ||
ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราช | จัตุบาทกลางป่าพนาสิน | ||
แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยิน | ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา | ||
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ | อันลัทธิดนตรีดีนักหนา | ||
ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญา | จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง | ||
แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้ | เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง | ||
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง | สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ | ||
๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย | ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย | ||
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาไลย | จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย | ||
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม | ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย | ||
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย | ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน | ||
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง | สำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน | ||
หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาล | ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป | ||
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ | ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล | ||
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ | เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ฯ | ||
นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ | อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย | ||
ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย | สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา | ||
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง | เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา | ||
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา | เป็นภักษานางมารสำราญใจ | ||
แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง | เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล | ||
เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทร | พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง | ||
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่ | ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง | ||
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง | เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต | มิได้คิดอีนังชังน้ำหน้า | ||
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา | แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม | ||
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ | ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม | ||
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ | แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์ | ||
ถึงมาดแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์ | อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม | ||
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม | แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต | เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย | ||
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย | มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร | ||
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท | ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย | ||
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย | ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระฟังคำจำจิตพิศวาส | ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า | ||
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา | เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง | ||
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด | กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง | ||
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง | ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด | ||
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง | ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด | ||
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด | ประกบติดตกผางลงกลางดิน | ||
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม | เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น | ||
เป็นวิสัยในภพธรนินทร์ | ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์
เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม | ||
สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม | ลุอุดมรมจักรนัครา | ||
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ | เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา | ||
เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา | ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ | ||
พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่ | นครนี้น้องเห็นจะคับขัน | ||
จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกัน | จะเป็นจันตะประเทศหรือท้าวไท | ||
. | |||
. | |||
. | |||
อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ | นามพระบาทท้าวทศวงศา | ||
มีโฉมยงองค์ราชธิดา | ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี | มาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร | ||
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช | เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย | ||
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร | เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์ | ||
ให้ทูตามาสนองละอองบาท | จะขอราชธิดาโดยประสงค์ | ||
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ | กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา | ||
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ | ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ | พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน | ||
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน | แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
สงสารแก้วเกษราธิดาท้าว | เมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน | ||
สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวน | แต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา | ||
พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิต | ประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา | ||
ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา | พระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย | ||
จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้าง | นุชนางเล่าแจ้งแถลงไข | ||
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร | เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง | ||
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง | ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง | ||
ให้ร้อนรุ่มกลุ่มจิตพิษภุชงค์ | หมายว่าปลงชีวานิคาลัย | ||
จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่น | อันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ยุพยงทรงอ่านอักษรพลัน | มีสำคัญว่างูหมู่กุมภา | ||
แม้นขบกัดรัดใครในนิมิต | จะได้ชมสมสนิทเสน่หา | ||
แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยา | วาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา | ||
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ | ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง | ||
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว | สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง | ||
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ | ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง | เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม | ||
ชำเลืองเห็นพระธิดาพงางาม | ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ | ||
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น | พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย | ||
จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป | เหมือนนางในดุสิตลงมาดิน | ||
ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ | พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์ | ||
นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน | ช่างงามสิ้นสรรพางค์สำอางองค์ | ||
ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง | ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง | ||
กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ | ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ | หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย | ||
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ | แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์ | มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา | ||
เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดในตามา | เข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน | ||
คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อย | จะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน | ||
เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวน | ทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา | ||
เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้อง | จะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา | ||
เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมา | หรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล | ||
ทำปลอมแปลงแกล้งจู่มาดูน้อง | หรือจะต้องประสงค์ที่ตรงไหน | ||
จะมาเดียวหรือจะมาด้วยข้าไท | จะกลับไปหรือจะอยู่ไม่รู้เลย | ||
เสียดายนักหนักทรวงดวงสมร | สะอื้นอ้อนอิงแอบแนบเขนย | ||
ไม่แต่งองค์ทรงเล่นเหมือนเช่นเคย | ลืมเสวยลืมสรงหลงรำพึง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม | ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา | ||
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา | ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ | ||
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ | ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย | ||
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ | ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน | จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน | ||
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล | ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร | ||
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ | จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน | ||
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ | จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย | ||
. | |||
. | |||
. | |||