โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|คลโงนิราศปไมแนำนอ…')
(ข้อมูลเบื้องต้น)
 
แถว 6: แถว 6:
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
'''ผู้แต่ง:''' ศิษย์ศรีปราชญ์
'''ผู้แต่ง:''' ศิษย์ศรีปราชญ์
 +
 +
พ. ณ. ประมวลมารค รวบรวมโคลงนิราศไปแม่น้ำน้อยนี้ไว้ในหนังสือประชุมนิราศคำโคลง โดยระบุชื่อผู้แต่งว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์" และไม่ทราบว่าคือผู้ใด หากหนังสือโคลงนิราศพระพิพิธสาลีที่ตีพิมพ์โดยกรมศิลปากรในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ มีนิราศเรื่องนี้อยู่ด้วย เรียกชื่อว่า[[โคลงนิราศทวาย]] และระบุชื่อผู้แต่งเป็นพระพิพิธสาลี
 +
 +
โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย แต่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๓๔ มีร่ายนำ ตามด้วยโคลงสี่ดั้น ๖ บท และโคลงสี่สุภาพอีก ๑๙๔ บท
 +
 +
ในขณะที่ [[โคลงนิราศทวาย]] มีความส่วนมากตรงกันกับโคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย ส่วนที่เป็นร่ายและโคลงดั้นตรงกันทั้งหมด แต่มีโคลงสี่สุภาพบางบทเพิ่ม บางบทขาดไปจากโคลงนิราศแม่น้ำน้อย แต่โดยรวม มีโคลงสี่สุภาพทั้งหมด ๒๐๘ บท
 +
 +
เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างได้ ตู้หนังสือเรือนไทยจึงเก็บโคลงดังกล่าวไว้ให้อ่านได้ทั้งสองฉบับ
 +
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
==== ====
==== ====

รุ่นปัจจุบันของ 05:42, 9 ตุลาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ศิษย์ศรีปราชญ์

พ. ณ. ประมวลมารค รวบรวมโคลงนิราศไปแม่น้ำน้อยนี้ไว้ในหนังสือประชุมนิราศคำโคลง โดยระบุชื่อผู้แต่งว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์" และไม่ทราบว่าคือผู้ใด หากหนังสือโคลงนิราศพระพิพิธสาลีที่ตีพิมพ์โดยกรมศิลปากรในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ มีนิราศเรื่องนี้อยู่ด้วย เรียกชื่อว่าโคลงนิราศทวาย และระบุชื่อผู้แต่งเป็นพระพิพิธสาลี

โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย แต่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๓๔ มีร่ายนำ ตามด้วยโคลงสี่ดั้น ๖ บท และโคลงสี่สุภาพอีก ๑๙๔ บท

ในขณะที่ โคลงนิราศทวาย มีความส่วนมากตรงกันกับโคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย ส่วนที่เป็นร่ายและโคลงดั้นตรงกันทั้งหมด แต่มีโคลงสี่สุภาพบางบทเพิ่ม บางบทขาดไปจากโคลงนิราศแม่น้ำน้อย แต่โดยรวม มีโคลงสี่สุภาพทั้งหมด ๒๐๘ บท

เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างได้ ตู้หนังสือเรือนไทยจึงเก็บโคลงดังกล่าวไว้ให้อ่านได้ทั้งสองฉบับ

บทประพันธ์

ร่าย
๏ ศรีสิทธิวิวิธอดุงค์ นครกรุงไกรเกียรติ เบียดปรปักษพินาศ อริราชง้อมาเมือง เรืองพระยศทุกด้าน ท้าวทุกด่านรย่อ ยอพระนครขอออก กลอกเกล้ากลัวสยบ ซรบศิโรตมรรัว ง้อมหวัวไหว้ลลน เอาคนต่างเค้าข้า ผ่านแผ่นหล้าดิลก ตกในเงื้อมมืองอบ กรูเกรียวกอปเอางาน ลานพระเดชาเจ้า แก้วเก้าลาวมลาย หว้ายหวังพึ่งทุกทิศ อิศรภาพรพินทร์ หรินทรธิบัติ มหัตมเหาฬาร ภุดาธารผไท กไษยเศิกให้เกษตร เผดจภพกระลำภร ในอัดรยุคขุกเขญ เป็นกาลีกาลพิบัติ ดัดทุรคดให้ตรง ดำรงแผ่นบให้เอียง เพรุณเพรียงเมืองมารมณี นครสีมายศโยค เลี้ยงโลกทั่วถ่องธรรม์ กรรพระสาศน์บให้เศร้า เท่าถึงกัลปเสร็จสูญ หมูนแผ่นดินให้ราบ ปราบแผ่นฟ้าให้ฟื้น แผ้วพื้นภพให้ฝ้อง ป้องราษฎร์ให้กระสารติ์ พิศดารเดชเปรมปรีย์ ชื่อพระธรรมามิศร์ ชวลิตโมลี ตรีภูวไนยไพวนานัตย์ ศุขสวัสดิวสุนธรี ศรีอยุธยนิเวศ ปุเรศรัตนราชธานินทร์ อิทรเทพธานี บุรีรมยไท้ท้าว ช่องชุม ท่านแล ฯ
             

๏ บรมพรหมอิศรอื้ออมเรนทร์
ปาณีกรบงกชกุมเกลื่อนเกล้า
จันทราทิตย์สุริเยนทร์ยมเมศ
มารุตวรุณฤทธิเร้าเร่งเชอญ ฯ
๏ พระพิษณุเพศเพี้ยนภุชพงษ
จากกษิรหาวเหิรเห็จฟ้า
เสด็จเอาครุธยานยงยศยิ่ง
มาโปรดแปรทุกขหล้าล่งดิน ฯ
๏ เสด็จแสดงเมืองมิ่งแก้วกรุงอยุทธ์
ดายดัษกรภินท์เพิดแพ้
เอกาตามมิ่งมงกุฎตราโลกย
ใครขัดใครเขญแปล้เปล่าหวัว ฯ
๏ อาโภคเกรงกฤษฎิไท้ธรณิศ
ทท่าวอกร้อนรัวกว่ากว้า
มือมาลยมอบโมลิตเฉลิมบาท
พลันคอบตนขอข้ามอบเมือง ฯ
๏ พระลาญโลกธาตุตั้งกรงตรง
เนานิตยกรุณาเนืองนั่งเฝ้า
พระดับพิทธไถยปลงเปลืองโทษ
เย็นแผ่นภุดาธารเท้าเท่ากัลป์ ฯ
๏ พระเดชนฤโฆษเพี้ยงจัตุภุช
พลพ่างพลอินทร์อันอาจอ้าง
พิทธยายิ่งยุทธ์ยินย่าน
ปราบอรินทรมล้างเล่าฦๅ ฯ
๏ เทวาเทเวศไท้เทเวนทร์
องอิศรจอมเมืองเมรุสี่เกล้า
เชิญพระจากภุชเคนทร์อรอาศน์
มาผ่านจอมภพเผ้าแผ่นแผ้วพงษพาล ฯ
๏ เดโชชเยศเรื้องเดชา
เกรงเกียรติทุกพาราร่นร้อง
นครอยุทธยาทวาราราช
ทุกสิมามาน้อมนอบเกล้าถวายกร ฯ
๏ ทรงธรรมทรงทศแท้ธรรมา
ธรรมเมศมาทเมธาเรื่องรู้
ทรงศีลสัตยศรัทธาไททั่ว
ทรงพุทธการก็กู้ก่อไว้ฦๅวาย ฯ
๑๐
๏ วิริยาวิริเยศสร้างสมภาร
สมโพธิภิโยญาณอยู่เกล้า
หวังเด็ดดับกันดารเสร็จสี่ สูญแฮ
ขนต่ามเวไนยเข้าสู้ซร้องเสวยรมย์ ฯ
๑๑
๏ ขอแสดงแถลงลักษณอ้างอรอนงค์
โฉมพธูอนงค์ยงแม่ร้าง
ปางพระหริรักษมงกุฎโลกย
เสด็จยาตรพลไปล้างหมู่หม้าเวียงทวาย
๑๒
๏ มุสิกมฤคศิระได้ดฤษถี
แรมสี่สุกรวารมีฤกษ์เช้า
พันร้อยปัญาศตรีศักราช
องคอิศรภพเกล้าคลาศคล้อยเมืองหลวง ฯ
๑๓
๏ คลาสถานพิมานมาศแม้นวชรินทร์
เพียงภิภพองคอินทร์อาศน์ฟ้า
สีหาศน์ดุจหงษบินโพยมมาศ
แสงส่องจำรัสหล้าหล่อเหลื้อมแสงสูริย์ ฯ
๑๔
๏ โสภาเสาวภาคยชั้นฉามคลี
เนื่องชำนันนนทรีเทิ่งหน้า
ชำนิคชสิงห์สีห์โสภาคย์
ดูวิวิธไปว้าวากเว้นชนชม ฯ
๑๕
๏ พลานแลเลื่อนล้ำเภรินท์
เทียรทิพธรณินทร์แผ่แผ้ว
รายรูปกิเลนกินนรนาค
ดูระเบียบเรียบร้อยแล้วเลิศล้วนลานตา ฯ
๑๖
๏ พรายพรายจัตุรมุขรุ้งรูจี
บรรเขบ็จบราลีช่อฟ้า
กรงนาคมกรศรีรจเรข
ทวยทาบทาท่องหร้าเรียบริ้วรายงาม ฯ
๑๗
๏ กุฎาคเรศหว้ายหาวหน
พายยับพิถีบนบดฟ้า
หงษเหมดุจยนต์ยลโพยมย่าม
เพียงกระพือปีกถ้าโลกให้แลลาน ฯ
๑๘
๏ มณทิราทิตย์เทพไท้ธเรศตรี
เป็นปิ่นปักปัถพีแหล่งหล้า
เทียรเทพศุลีศรีสุรโลก
ดูดิเรกนวลหน้าแผ่นพื้นธรณินทร์ ฯ
๑๙
๏ งานกรุงเกียรติไท้ธานี
งามหมู่มุขมนตรีพรั่งพร้อม
โยธาทัดโยธีราเมศ ท่าแฮ
สามารถอาจออกล้อมล่าวล้างสงคราม ฯ
๒๐
๏ ไอยรารณราชร้าไพรี
คำคึกตรูมันมีกลั่นกล้า
คชสารเฉกคชสีห์สามารถ
ตัวละคนตัวตีฟ้าค่าด้วยดูเบา ฯ
๒๑
๏ ส่ำแสนสินธพเชื้อชาญยุทธ์
ชำนิรณรงคมหุติหาศห้าว
เสมอเทพยมิ่งมารุตเร็วรวด
เกิดเพื่อสมภารท้าวท่านไท้เทียรทรง ฯ
๒๒
๏ นาวาพิลาศล้ำลำทอง
วรรณวิจิตรไกรทรองกิ่งแก้ว
ไกรสรมุขมาศฉลองลำแข่ง
ครุฑพ่าหน์สินธุไชยแล้วแล่นห้างฤๅหิว ฯ
๒๓
๏ ศรีไชยาทิตยล้ำลำทรง
ทรงพิมานบรรยงยาตรฟ้า
วลิวิไลยอลงกฎมาศ
บันทับสนามสนวนถ้าพรั่งพร้อมโดยขบวร ฯ
๒๔
๏ คลายคลายสุริเยศได้นาที
ไชเยศยามไชยศรีฆาฎฆ้อง
สวนสังขตรวจแตรดีพิณพาทย์
เสียงลเวงวังก้องเพรียกพร้องดนตรี ฯ
๒๕
๏ เสด็จทรงพระธินั่งเพี้ยงหริหงษ์
เหมพิมานอลงกฎแก้ว
พระสนมอเนกองค์นวยนาฏ
ประนตบททเรศแล้วแซร่ซ้องถวายพร ฯ
๒๖
๏ พลพาญขานโร่เร้าเอาไชย
โบกธุชธงทองไสวเรียบร้อย
เรือคู่คู่ชักไคลคลาคลาส
คือพิมานมาศคล้อยตื้นเต้นตามชล ฯ
๒๗
๏ โจษจรรมหรรณพท้องชลธี
สนั่นเสนาะเภรีตีคู่ฆ้อง
เฉกองคจักกรีตรีดาพยู่ห์
เอกเกริกสาครฝ้องเฟื่องฟื้นฟูมฟอง ฯ
๒๘
๏ เรือตามลามเล่นล้อมเสด็จดล
คือคู่หงษเหิรชลแหวกหว้าย
โดยเสด็จพระราชภุชพลภูวนารถ
ขนานขนันอัดแอคล้ายแห่ห้อมไคลคลา ฯ
๒๙
๏ เรือมาถั่นถั่นคว้างควิวทรวง
ทรวงลลุงแลลวงลาศเต้า
รับขวันกอดกับดวงสวาดิอยู่ หลัดแม่
บัดบ่เห็นภักตรเจ้าพี่แล้ลาญสมร ฯ
๓๐
๏ จำไกลโฉมแม่บ้านแมนสวรรค์
ผายภักตรเพ็ญบูรณจันทร์แจ่มหน้า
จักไกลกลิ่นอรอันจรุงสวาดิ
ไกลรศเรณูฟ้าเฟื่องฟุ้งกำจร ฯ
๓๑
๏ ปรานีอนาถเนื้ออนงค์ยง พี่เอย
โฉมชื่นชกามกลงกล่อมฟ้า
โอ้ศรีสบูบงกชมาศ
จักประจงโฉมถ้าอยู่แล้ใครชม ฯ
๓๒
๏ รักษแรมอมฤตยร้ายรมยา
แรมภิรมย์คฤหาแห่งห้อง
แรมเกษมศุขไสยายังยั่ว ใจแม่
แรมถนอมนุชน้องแนบไว้แนมทรวง ฯ
๓๓
๏ จักเย็นสมรเหยียบเย้ายำยาม
ยามแม่นอนเดียวหวามหวั่นไส้
จักโศกซูบทรวงกามโรยร่าง แลแม่
จันทน์กระแจะรศไล้จักร้างแรมอนงค์ ฯ
๓๔
๏ เสนาะศรีสาโรชสร้อยศรีสมร
เยียอยู่ภายหลังนอนนั่งไห้
อ้าองค์ผลูลอรรวยรูป
โฉมแม่จักหนองไหม้หม่นเศร้าโรยรา ฯ
๓๕
๏ โฉมจันทน์ขจรโกฐแก้วฉวยฉม
ประทิ่นรวยตามลมกลิ่นใกล้
ฤๅวายรศเรียมรมย์รวยรื่น อรเอย
ศรีสุคนธ์แนมไหน้ซาบต้องติดทรวง ฯ
๓๖
๏ โอ้บัวบงบุษปแก้วโกมล กูเอย
คลายคลี่เสาวคนธ์ยลยั่วเย้า
จักทุกข์กระอุทนธารเทวศ
เฉกระพีพรรณเจ้าแจ่มเจ้าเรียมโรย ฯ
๓๗
๏ จักฝากโฉมแม่ไว้ธรณี
เกรงกริ่งกรุงภาลีลอบเล้า
จักฝากนทีศรีสาคเรศ ท่านนา
กลัวเกลือกพระสมุทเจ้าท่าเที้ยรทารุณ ฯ
๓๘
๏ จักวิงวอนว่าฟ้าฝากสงวน
เกรงพระพายชายชวนชอกเนื้อ
จักฝากวลาหกครวญครึมคร่ำ ราแม่
กลัวแต่โฉมกามเกื้อชุ่มชื้นเสียศรี ฯ
๓๙
๏ จักฝากยุพเรศร้อยเรียมคิด
ฤๅปล่องปลงใจมิดกิ่งเผ้า
ใดอาจปกป้องปิดยังยาก
โฉมแม่ฝากใจเจ้ายิ่งด้วยใครครอง ฯ
๔๐
๏ เรียมริฤๅลุด้วยใจเดา
หวังท่านท่านหวังเอารักษน้อง
เดชะสัตยสองเราเพรงพร่ำ ทำนา
ขอพิบากบุญป้องก่อเกื้อพยาบาล ฯ
๔๑
๏ มาพลางเรียมร่ำไห้หาพลาง
ชลเนตรนองนูนรางร่องน้ำ
เสียงสินธุ์ครั่นเครงครางครวญคลื่น
เรียมก็คลื่นใจช้ำฟัดฟื้นทรวงโทรม ฯ
๔๒
๏ ถึงปากคลองท่าข้ามของขาย
เรือล่องเรือนแพรายเครื่องค้า
นั่งแพแผ่โฉมถวายสวาดิว่าง ใจนา
ผัดผ่องภักตร์ผิวหน้าหนึ่งหน้านวลจันทร์ ฯ
๔๓
๏ เรียมพิศพิศวาดเพี้ยงพิศวง
หวังว่านุชใจจงวากว้ำ
จักปากทักเทียรองค์ฤๅอื่น อกเอย
เจ็บดั่งใครตีซ้ำพี่ช้ำใจถวิล ฯ
๔๔
๏ ลุคลองบางกอกแก้วฤๅเห็น
อกพี่ระกำเป็นเลือดคล้ำ
บางกอกกอกเอยเอนดูน่อย หนึ่งนา
วานช่วยกอกหนองช้ำเลือดเหน้าในทรวง ฯ
๔๕
๏ หลัดหลัดพลัดแน่งเนื้อมาจำ ไกลนา
เวรสิ่งใดเดิมทำโทษให้
เจ็บจิตรระกำกำม์ใจยาก
อกพี่คือเพลิงไหม้ผ่าวร้อนรุมรึง ฯ
๔๖
๏ ถึงอาวาศวัดเจ้าจอมหงษ์
เห็นพระชุมนุมสงฆ์สวดซ้อง
ยอกรประนตบงบัวบาท ท่านนา
ชอเดชพระไตรป้องช่วยให้พลันคืน ฯ
๔๗
๏ วัดหงษ์หงษ์เทพไท้ธาดา แลฤๅ
ไฉนบ่เห็นหงษมาหนึ่งน้อย
ฤๅทรงกมลาศน์พาผยองยาตร ฟ้านา
จักสั่งสารนุชคล้อยคลาดแล้วฤๅทัน ฯ
๔๘
๏ สังขจายกำจัดแก้วกามกู มาฤๅ
สังข์ใส่สฤทธิสินธูโศกสร้อย
อวยอาศิรวาทชูใจชื่น หนึ่งรา
สระสว่างสมรเรียมน้อยหนึ่งให้หายหมอง ฯ
๔๙
๏ มาถึงสระไก่โอ้อัศจรรย์
ไก่บ่ขันเคยขันคู่เคล้า
เซียบเสียงไก่กกกันกำศรด ไฉนนา
เสมอสมรเรียมเศร้าโศรกเศร้าใจคนึง ฯ
๕๐
๏ สระไก่กลกับแก้วกับตน กูเอย
บานปิยุตม์เสาวคนธ์ยั่วแย้ม
ภมรมัวรศโกมลกาเมศ
สรงสระการแกมแก้มเกษแก้วกำจร ฯ
๕๑
๏ จากบางพลางคลาดคล้อยคลาคลาย
ตามกระแสสินธุ์สายรีบร้อน
ชลเนตรน่านนองพรายพรูพราก
คิดคำนึงข่อนข้อนพี่ข้อนทรวงถึง ฯ
๕๒
๏ มาถึงอาวาศไหว้วันทา
บางญี่เรือเรือราอยู่ยั้ง
เรือรอหยุดคอยหาเห็นแม่ ราแม่
คอยจักขอเห็นครั้งหนึ่งให้คลายใจ ฯ
๕๓
๏ ลุตำบลด่านด้าวบางหลวง
เพลิงสุมดุจสุมทรวงพี่ร้อน
เจ็บจากสุดาดวงดาลเทวศ
ถนัดหนึ่งขอนทรวงข้อนอกร้อนฤๅปูน ฯ
๕๔
๏ ถึงบางหลวงล่วงเลี้ยวลำคลอง
คลองเนตรเรียมนูนนองร่ำไห้
ปากบางปากเบาปองบอกป่วย หนึ่งรา
บางบ่ปากพูดได้โศกด้วยฤๅเสบย ฯ
๕๕
๏ แลเห็นเพลิงด่านดุ้นเสาสุม
ชานเชื่อมชุกไฟชุมดับได้
ไฟรักพี่แรงรุมทรวงสวาดิ
ฤๅดับสมีเรียมไหม้เพื่อนน้องนางเดียว ฯ
๕๖
๏ มาพลางพลางนึกหน้านวลลออง
เรือรี่รีบตามคลองคล่าวน้ำ
ถับถึงวัดนางนองนามนาฏ
เรียมก็นองเนตรผร้ำพรากไห้หาสมร ฯ
๕๗
๏ นางนองนางนิ่มเนื้อเสมอสาย สวาดิเอย
สายเนตรเรียมฤๅวายเลือดย้อย
ใดนางบ่เห็นกรายมาเกริ่น ราแม่
นางใช่นางนุชน้อยพี่โอ้อาดูร ฯ
๕๘
๏ ถึงบางขันเทียนเทียบเข้าเรียมถาม
เทียนแม่พอกมืองามเล็บไล้
ขันเอยช่วยบอกความขวังสั่ง
ขอบดใบเทียนให้พอกช้ำทรวงเรียม ฯ
๕๙
๏ ดลปากบางชื่อบ้านบางบอน
กามระลุงทรวงฟอนฟ่ามแล้ว
เรียมแสนทุกขอาทรทนเทวศ
ถนัดหนึ่งกาบบอนแก้วแยบไส้เรียมคาย ฯ
๖๐
๏ คลายคลามาลุด้าวดำบล
เรียกชื่อบางกกกลกับน้อง
อกเรียมทุรารนแรงสวาดิ
เสียวสมรรากร้องเรียกเจ้าในใจ ฯ
๖๑
๏ บางกกเห็นกกแก้ว แกมปรื
กกปักอุณราชฤๅสาตรต้อง
เจ็บอกพี่ชำงือใครเท่า
ศรกกกาเมศน้องตระหน่ำแหน้นตรึงทรวง ฯ
๖๒
๏ จรดลหลแคบน้ำคลอคลอง
จุแต่พอลำลองพี่เต้า
ชลขอดขุ่นเป็นฟองฟูมฟาก
เสมอขุ่นใจเรียมเศร้าขอดแข้นอารมณ์ ฯ
๖๓
๏ พลันถึงทางท่าเข้าคลองนา
เรียกชื่อศรีทรพาอาจอ้าง
อกเรียมยิ่งเสน่งกาษรเสี่ยว ราแม่
เจ็บจากชำงายร้างแม่ไว้ฤๅวาย ฯ
๖๔
๏ หัวกบือกบิลราชเรื้องรณรงค์
ตัดกระบานโยนลงลากน้ำ
ศิรกาษกาษรยงยังอยู่ ราแม่
เสมอพี่ทนทุกข์ปล้ำปรดักด้วยอาดูร
๖๕
๏ เห็นปรงปรือปรกต้นแถวถกล
ริมฝั่งสองฟากชลชุ่มช้าม
ลมโลมลาดใบบลโอนอ่อน
เรียมก็อ่อนใจท้ามทาบด้วยเปรียบปรือ ฯ
๖๖
๏ แสมดำประดักน้ำนองกระแส
เห็นแต่ตอตายแลเปล่าเศร้า
อกเรียมทุราแรแรมสวาดิ
จากนุชจำเนียรเคล้าคู่ด้วยแสมหมอง ฯ
๖๗
๏ แสมตายตายตากแห้งหายศรี
ดูหม่นหมองวารีเรี่ยน้ำ
ทนเทวศอยู่นับปีจักเปื่อย ไปนา
ดุจพี่เจ็บอกช้ำอยู่ร้างแรมสมร ฯ
๖๘
๏ มลักเห็นกรกฏเปี้ยวบนปู
ปูแม่กระดองดูคลับคล้าย
ไหนตัวไต่ตามพรูใครแพร่
หยุบเหยื่อมารูหร้ายง่าก้ามกลกาม ฯ
๖๙
๏ ลุลำเนาบ่อนบ้านโคกขาม
เห็นโคกเขียวผักครามอ่อนอื้อ
คำนึงพงางามยุพโยค กูเอย
ใครชั่งพูนโคกเคื้อโคกแก้วกับตน ฯ
๗๐
๏ มาดลโคกเต่าตั้งปอมเปาะ
ดุจเต่าเขาจงเจาะไข่ร้าง
พิมภาพแต่จำเพาะตัวเต่า ทองแม่
รอยรูปจำมาหร้างรูปไว้เป็นแทน ฯ
๗๑
๏ โคกเต่ากลเต่าตั้งเปนตัว
ดุจเต่าสระศรีบัวบ่อแก้ว
พิศภาพพี่รนรัวเริมเริ่ม ใจแน่
หวังวาสจริงแขล้วแขล้วเล่ห์นั้นเรียมหลง ฯ
๗๒
๏ คลอนคลอนสุริเยศคล้อยสนทยา
ถึงมหาไชยคลาคลับแคล้ว
ลำแลสุดสายตาลิบลิ่ว
ดุพี่แลหาแก้วลิ่วล้ำลาญทรวง ฯ
๗๓
๏ มหาไชยไกลย่านท้องทางชลา
ชเลแม่แลสุดตาคว่างคว้าง
มหาไชยท่านสมญาสรวมโยค หนึ่งรา
จงช่วยอวยไชยร้างรักษให้พลันคืน ฯ
๗๔
๏ เรือทอดจอดรวดริ้วลำคลอง
ทุกหมู่หมวดตามกองแน่นน้ำ
ทั้งหลายชื่นสรวญคนองคนาเพื่อน
เรียมแต่นองเนตรช้ำอกไหม้ฤๅเสบย ฯ
๗๕
๏ ประทับยับพยุหแล้วคลายคลา
ออกพิไชยนาวาคลาศคล้อย
น้ำตาตกเต็มตาฟูมฝั่ง
ตาฝั่งเลือดตาย้อยพิโยคด้วยเรียมตรอม ฯ
๗๖
๏ คลายคลายถึงท่าบ้านจีนมี
นามสาครบุรีอยู่ยั้ง
สาวสมบ่ใสศรีสักหยาด
พีล่ำดำโตหมั้งมากเนื้อยุยยาย ฯ
๗๗
๏ ท่าจีนจีนจบเจ้าสังเวย
ล่ำเซ่นขอศุขเสบยอยู่เหย้า
ทิ้งทายทอดสลากเคยเอเสี่ยง
เรียมก็เสี่ยงใจเจ้าพี่ด้วยดวงใจ ฯ
๗๘
๏ เหนเขามักบาปบ้าเสียบุญ
ทำแต่โทษเป็นทุนเที่ยงแท้
บาปใดจะปานปุนปองเปรียบ
บุญสิ่งใดจักแก้โทษได้ฤๅมี ฯ
๗๙
๏ รอยเรียมปางก่อนสร้างสมกำม์
ดุจหนึ่งเขาเขาทำดั่งนี้
เวรหลังจึ่งตามจำนองโทษ
จำพี่ทนทุกข์กี้เมื่อแล้จักวาย ฯ
๘๐
๏ รอยเราพรากนกเนื้อเขาขัง
เขาพลัดรวงรังทังคู่เคล้า
ทนเทวศเพื่อบาปหลังหลายคาบ
มานิราศรักษเจ้าพี่ได้อาดูร ฯ
๘๑
๏ ราตรีลีลาศด้วยแสงจันทร์
จันทร์แจ่มพฤกษาพรรณช่อไม้
คนึงโฉมแห่งนวลวรรโณภาษ กูเอย
เดือนภักตรฤๅมาไล้เลื่อมฟ้าแลลาญ ฯ
๘๒
๏ แสงจันทร์จำรัสฟ้าเรียมครวญ
ไฉงว่านวลจันทร์นวลแจ่มหน้า
กำจรรสจันทน์อวลอบกลิ่น
กลิ่นกระแจะกลอยกล้ากล่อมเนื้อนวลจันทน์ ฯ
๘๓
๏ ลุดำบลบ่อบ้านนาเกลือ
เกลือบ่อเจือใจเจือจืดเจ้า
เรียมวอนว่าขอเกลือเกรมกราจ ท่านนา
วายช่วยสมานสมรเคล้าเสน่ห์น้องนานจาง ฯ
๘๔
๏ ส่ำสาวชาวบ่อล้วนมางษ์มูล
ตกแต่งผัดผิวหนูนช่วยเนื้อ
สุงศรีสบเพญบูรณ์บัวบ่ง
ดูบ่ยาใจเรื้อราคร้อนรุมทรวง ฯ
๘๕
๏ เรียมทุกข์ทุกท่าน้ำหลายทาง
ทางทุเรศมาพลางโศกสร้อย
เสมอศรเลียบแดกลางทรวงอยู่ ราแม่
เจบยิ่งเจบใจร้อยเท่าด้วยพันทวี ฯ
๘๖
๏ ฤๅเคยจากนุชร้างแรมวัน
เวรุใดทำทันเท่าสร้าง
บาปเพรงแต่ปางบรรพ์มาแบ่ง บุญฤๅ
จำพี่เจียรจากร้างนิ่มเนื้อเรียมสงวน ฯ
๘๗
๏ มาลุลำดับบ้านนาขวาง
เหนแต่รอยไถรางร่องไว้
ปนวลละอายพรางไปแพร่ง พร้องนา
เฉลยว่านาขวางไหร้ใช่น้องนารี ฯ
๘๘
๏ ดำบลชนบทบ้านนาขวาง
นาบ่มีลอมฟางฟ่อนเข้า
นาเอยจักรกรางอยู่เท่า ไฉนนา
กลพี่จากสมรเคล้าคู่ร้างนาแรม ฯ
๘๙
๏ ไกลศรีกุสุเมศเนื้อนงพาล พี่เอย
ไกลรศฤๅดีสมานแม่ร้าง
มาไกลกลิ่นนพมาลย์มาโนช กูเอย
ไกลกล่อมสมรมาอ้างว่างเว้นวันชม ฯ
๙๐
๏ สามสิบสองคดคู้เปนกง
เวียนวกนาวาวงลดเลี้ยว
ดุจคืนกลับหลังหลงมาลอบ โลมแม่
แลลับลำคลองเคี้ยวพี่ค้างตาคอย ฯ
๙๑
๏ เรือมาบันลุเลี้ยวลำคลอง
คลองชื่อสามสิบสองคดคู้
วักวนบ่อไปปองจักกลับ คืนนา
กลพี่คำนึงชู้วุ่น...วนเวียน ฯ
๙๒
๏ เดินดลชลมารคด้าวเดือนฉาย
แสงส่องสายสินธุ์พรายแพร่งพร้อย
ลำภูดอกดกรายโรยร่วง
แลเลื่อมหิ่งห้อยห้อยพริบแพร้วพรายงาม ฯ
๙๓
๏ ลำพูพิลาสเพี้ยงลำเพา
ใครเซี่ยมขวากแหลมเหลาปักล้อม
ขอฝากแม่โฉมเสาว์พางค์ภาคย์ กูเอย
จงช่วยปักขวากห้อมสวาดิไว้วานสงวน ฯ
๙๔
๏ มาดลหนย่านลิ้วคลองยาว
นอนนิ่งคำนึงหนาวสั่นไส้
เรียกบ่นบ่าวผีลาวขวันแม่
มาแนบแอบเรียมไว้อุ่นเนื้อเรียมนอน ฯ
๙๕
๏ บันลุยังย่านลิ้วสุดตา
ลิ่วแต่ปางเปนวาวัดไว้
คลองตรงอยู่เปนตราตรึงฝั่ง อยู่แม่
เสมอรักษเราสองได้ร่วมด้วยใจกัน ฯ
๙๖
๏ คลายคลายมาลุด้าวคลองบอน
เรียกชื่อสุนัขหอนแห่งแห้ง
เรือรอคั่งคอยจรเขนแคบ กันนา
เรียมก็เขญใจแล้วจากเจ้าจำไป ฯ
๙๗
๏ สนทยาคลาเคลื่อนเข้าลำคลอง
คลองสุนักข์มามองมุ่งเนื้อ
ยามดึกสัตว์เสียงคนองวังเวก ใจนา
เยนอุระเรียมเรื้อทุเรศน้องในดง ฯ
๙๘
๏ เสาประโคนปักปรคิ่นไว้กลางคัน
บอกแบ่งเขตแขวงปันแบ่งได้
ทุขทับอกเรียงรันทรวงสวาดิ
วานแบ่งบันเทาให้บกบ้างเบาหรวง ฯ
๙๙
๏ ยลสวานาเนกหร้ายริมทาง
กัดลูกลำภูพลางไพล่แก้ม
ลูกลิงลูกลมลางลิงโลด เล่นนา
ลางก็เด็ดยอดแย้มลอบล้าวลนลาญ ฯ
๑๐๐
๏ ตกฦกลุล่วงเข้าสองคลอง
คลองแยกเปนทางสองแห่งหั้น
ฉงนใจเร่อเมื่อมองเมิลเหม่อ อยู่นา
ทางรกหนเหนือนั้นยากพ้นจักไป ฯ
             

๑๐๑
๏ ถึงสองคลองคล่าวน้ำหลงไหล
หลงว่าคลองคลองไหนจักเต้า
ถามเขาเอียดอายใจฤๅบอก ราแม่
แลบ่เหนหนเข้าจอดรั้งเรือรอ ฯ
๑๐๒
๏ สายัณห์บันลุด้าวบูรี ท่านนา
เมืองแม่กลองกลองตีเร่งร้อง
อกกลองบ่เจบฝีมือค่อน ราแม่
เจบแต่อกจากน้องพี่ร่ำรันทรวง ฯ
๑๐๓
๏ แม่กลองรอยแม่แกล้งกระทำ
ฤๅหนึ่งดูเขาทำโทษได้
ปรานีลูกสักคำฤๅห่อน มีนา
อกพี่ปานกลองไม้แค่นแค้นตูมตี ฯ
๑๐๔
๏ ชมสาวชาวบ่อบ้านทำประมง
เกบกวจกันไรปรจงแจ่มจ้า
รอยรูปบ่อยวลยงใจชื่น
งามแต่ผิวผัดหน้านอกนั้นดูดี ฯ
๑๐๕
๏ ใจบาปหยาบมากม้วยทั้งมวล
ทำแต่แหตีอวนค่ำเช้า
เย็บถุงนุ่งปรวนรุยแร่ง
ติดตัวแต้มปลาเหน้าอาบน้ำนอนเกลือ ฯ
๑๐๖
๏ ประทับยับพยูหด้าวราตรี
แรมราชโยธากระวีทุกผู้
เสมออกพี่แรมศรีเสาวภาคย์ เรียมเอย
ทนวิบากกรรมสู้ร่านริ้นยุงพราย ฯ
๑๐๗
๏ ยามดึกสงัดศรับทพร้องเพรียกพล
นอนชรออบตากตนดาษด้าว
หลับไหลกรกรามกรนทุกหมู่
เรียมบ่หลับเลยล้าวลุ่มล้าวหัวใจ ฯ
๑๐๘
๏ ยาวหนาวกระชักชั้นสรรพางค์
เขาห่มนวมหนาพลางสอดเสื้อ
เรียมนอนเปล่าแดครางครวญสวาดิ
ดุจหนึ่งเพลิงสุมเนื้อรุ่มร้อนรุมรึง ฯ
๑๐๙
๏ คำนึงฤๅว่างเว้นนาที
เคยแม่แนบทรวงศรีกอดเกื้อ
วังเวงหว่าฤดีเดียวเปลี่ยว
นอนสรแออกเอื้ออยู่ร้างแรมสมร ฯ
๑๑๐
๏ อุไทใสส่องฟ้าเรืองราง
เสียงประโคมดุริยางย่ำฆ้อง
เสนาเสีงยสุโนคครางเกรียงเกริ่น
ดุจหนึ่งสำเนียงน้องปลุกให้เรียมชม ฯ
๑๑๑
๏ ส่องแสงสุริเยศได้เวลา
ออกพิไชยนาวาคลาศแคล้ว
ถับถึงท่าอันทวาเรียมหว่า ใจนา
เรือรี่ตามชลแพร้วพรากน้ำตานอง ฯ
๑๑๒
๏ อันทวาเทวศไห้หาศรี
กรกระทุ่มทรวงตีอกช้ำ
เจบจากแม่ปรานีฤๅอ่อน เหนนา
ชลเนตรกลายเปนน้ำเลือดย้อยโรยริน ฯ
๑๑๓
๏ อาสูรศรีสวัสดิร้อยสาวสวรรค์ กูเอย
เรียมใฝ่หาวันฝันคะค้อย
ปรานีอยู่หนหลังใครเพื่อน ราแม่
เคยแม่แนบอกด้อยแต่นี้จักไกล ฯ
๑๑๔
๏ ดลบางนางชื่อแก้วโกไลย
ชลหลั่งลงหลามไหลคว่างคว้าง
สายสินธุ์ดุจสายใจเรียมป่วย
ปักป่วยสมรราศร้างแม่ร้างแรมเรียม ฯ
๑๑๕
๏ บางกุ้งบางเกิดแก้วโกไลย
เดชะอารักษในที่ท้อง
ขอเกิดสิ่งสวัสดิไพบูลย์ภาพ
จงอย่ามีไภยต้องแม่น้อยวานระวัง ฯ
๑๑๖
๏ เหนหมากสล่างต้นโดดแด
ชุลายตกเตมลำแลสะแหล้ม
เหนพลูคลี่ใบแบแบะเปล่า
ถนัดหนึ่งพลูนางแย้มยอดให้เรียมชม ฯ
๑๑๗
๏ นาลิเกแกมหมู่ไม้นางราย
ตกจั่นหลากหลายชุลายถี่ถ้อง
มลักแลกัทลีปลายปลีเปล่ง
กลหนึ่งปลีแปลนปล้องเปลี่ยนให้ชมตาง ฯ
๑๑๘
๏ แลเหนสตอตาดแต้วตูมมี
เรียมก็ตีตูมตีอกช้ำ
คำนึงแม่มังษีรเสาวภาคย กูเอย
อกพี่คือขอนค้ำคู่ด้วยเขาหลวง ฯ
๑๑๙
๏ เหนจากเจบจากเจ้าจำไกล อกนา
จากอยู่จากฉันใดบ่เศร้า
เจบอกแต่เรียมใจจักขาด
ถามเพื่อนจากจากเจ้าเมื่อแล้จักคืน ฯ
๑๒๐
๏ เหนระกำรกำอกโอ้อัษจรรย์
รกำกะกอกันเนื่องน้ำ
แสนสวาดิเจบจาบัลยบวมบ่ง หนองนา
ดุจรกำหนามช้ำเสียบร้อยรุมทรวง ฯ
๑๒๑
๏ ถึงตำบลคอกตั้งโคขัง
เขาระไววัวรวังแวดล้อม
อกเรียมผวงทังวลสวาดิ ราแม่
เอาแต่ใจวงห้อมแม่ไว้ฤๅวาย ฯ
๑๒๒
๏ เหนเขมนเขม่าหมึกเนื้อหรามสาว
สาวยุพเยาวใยยาวยืดเนื้อ
กรุมกริมเมื่อยามหนาวนอนเปลี่ยว
สู้กอดมือต่างเสื้ออยู่หม้ายนอนเดียว ฯ
๑๒๓
๏ ดลบางบำหรุเศร้าใจตรอม
เหมือนพี่บำราษถนอมแม่เคล้า
คิดเคยเมื่อยามออมยังอุ่น ใจนา
บำหรุบำราษเจ้าราศร้างเรียมรมย์
๑๒๔
๏ มาถึงบำหรุร้างแรมสมร
บำราศนุชมานอนเปล่าข้าง
บำรุงรศเรียมวอนวายสวาดิ แล้วแม่
เจียรจากบำเรอร้างอยู่ร้างแรมใจ ฯ
๑๒๕
๏ มาลุถึงท่าหน้าเมืองมี
นามราชบุรีศรีหยุดยั้ง
ยอกรสดุดีติลกโลกย ท่านนา
ขอเดชพระจงกั้งเกษให้สถาวร ฯ
๑๒๖
๏ ราชบุรีบุเรศร้างศุขรมย์
ศุขราษฎรจมจ่อมเหย้า
พิโยคยุพเยาวชมใครชื่น
เมืองก็โศกเรียมเศร้าสวาดิร้างฤๅเสบย ฯ
๑๒๗
๏ จากนุชบุเรศแคล้วคลาดคลาย
ชลป่วนปึงสังสายสุดสู้
ไหลหลามสุดแรงพายเพียรภาค
เทียรจักลอยลำอู้อ่าวน้ำนูนนอง ฯ
๑๒๘
๏ คลายคลามาล่วงเลี้ยวลำทาง
ถึงท่าราบเรียมพลางหม่นไหม้
อกฟกระคุบางจักบ่ง หนองนา
ท่าราบวานคบให้ราบน้อยทรวงเรียม ฯ
๑๒๙
๏ ท่าราบราบรื่นแผ้วผงคลี
ผงบ่มีย่อมมีหย่อมหญ้า
เทียรทางท่าเคยมีลาเล่น ราแม่
เกษมสรนุกนิ์แนบหน้านิ่มเนื้อนวลผจง ฯ
๑๓๐
๏ มาถึงแถวท่าบ้านเจดเสมียน
แสนทุกข์ทับท่าเจียรจากน้อง
เสมียนเอยช่วยมาเขียนสารสั่ง หนึ่งรา
บอกแก่นุชนางต้องถี่ถ้วนทุกอน ฯ
๑๓๑
๏ ถึงเจดเสมียนเรียกให้เสมียนหมาย
รายทุกข์จากจำงายเรื่องร้อน
ชลเนตรวิงเวียนสายตาคว่าง
พลางฝากสาวนุชอ้อนสั่งไว้ฤๅวาย ฯ
๑๓๒
๏ ลุบางหางตระโหนดไห้หาศรี
ดุจตรโหนดตรหน่ำตีอกช้ำ
เรียมปวดตรดักดีดาลสยบ ราแม่
วานตรโหนดนวดน้ำหยอดให้เยนใจ ฯ
๑๓๓
๏ หางโตนดเหนโตนดเต้าตาลมี
ถนัดโตนดจาวจีจิ่มเจ้า
รฦกตาลแม่มังษีรเสาวภาคย เรียมฤๅ
อร่อยรังรศเต้าชุ่งช้อนฤๅลืม ฯ
๑๓๔
๏ ถึงบางแคยงย่านบ้านรายเรือน
เรือนบ่เหนนามเหมือนแม่เคล้า
รอยนุชสั่งบางเตือนเติมสวาดิ เรียมฤๅ
แคยงนึกแยงใจเจ้ายั่วให้แดโดย ฯ
๑๓๕
๏ บางแคยงยินชื่อเพี้ยงเรียมอาย
ดุจหนึ่งแยงใจคายแยบเยิ้ม
ความรักษแม่ฤๅหายจักห่าง หนึ่งรา
ยวลยั่วปฏิพัทธ์เผิ้มร่านเร้าเรงรัว ฯ
๑๓๖
๏ โพธารามราชแคล้วคลาถึง
เหนแต่พระรำพึงเปล่าว้าง
เรียมคิดข่อนคำนึงหาอ่อน แลแม่
ขอพระปรารพร้างช่วยให้คืนสม ฯ
๑๓๗
๏ โพธาราเมศเรื้องเรืองโรจน์
เหนแต่โพเดียวโดดอยู่อ้าง
พระพุทธพระพิมโพธิฤๅห่อน เหนนา
กลพี่จากสมรร้างคู่ด้วยโพเดียว ฯ
๑๓๘
๏ เยียมามาลุแล้วบางเลา
เหนแต่ลำเนาเขาอยู่เร้น
คำนึงแน่งนงค์เพาพิมภาคย์ พี่เอย
เลาแหล่งนุชเคยเหล้นลับแล้วลาญสมร ฯ
๑๓๙
๏ ลูกแกแกเรียกเร้ารศรัง
รศแม่เคยวอนหวังปากป้อน
เสมอเรียมทุเรศวังเวงสวาดิ
กามะเลงทรวงอ้อนรศเจ้าจำงาย ฯ
๑๔๐
๏ ลูกแกปางก่อนกี้ใครยล
แกจักแกมกากลดั่งนี้
อัศจรรย์พิบัติดลดูหลาก
รอยว่าใครลักชี้แม่โพ้นเรียมฉงน ฯ
๑๔๑
๏ เรือมาถึงท่าบ้านบางพัง
เหนแต่ปางบางยังอยู่ด้าว
บางเอยจักชื่อพังสักเท่า ใดนา
ดุจหนึ่งอกเรียมร้าวรักษร้าวราญทรวง ฯ
๑๔๒
๏ บางพังใครแสะพู้นเป็นเอง
ชลหลั่งไหลลงเครงหล่มหล้า
เหนบางกริ่งใจเกรงกรมสวาดิ
เกลือกแม่บากใจบ้าคู่น้ำบากบาง ฯ
๑๔๓
๏ ถึงหวายเนียวน่านน้ำนองสาย
คิดววากฤๅวายสวาดิน้อง
อาไลพี่ไปหายเป็นห่วง แหนนา
ถนัดหนึ่งหวายเหนียวคล้องเหนี่ยวท้ายเรือตาม ฯ
๑๔๔
๏ หวายเหนียวหวายหน่วงแหน้นฤๅคลาย
เทียรย่อมผูกทุกพายห่อนเว้น
วานหวายช่วยผูกสายสมรมิ่ง แม่นา
ตรหน่ำถนัดหวายเส้นสอดร้อยรึงเรียม ฯ
๑๔๕
๏ มาพลางทางทุเรศท้องชลธี
ลุย่านอำพลีมีซ่มเสี้ยว
ถนัดนึกซ่มสรุกศรีสายสวาดิ ราแม่
ซ่มบ่หวานแปรเปรี้ยวพี่เปรี้ยวแปรใจ ฯ
๑๔๖
๏ ถึงตำบลซ่มเสี้ยวสมญา
คิดซ่มสาวฝากมาเมื่อไร้
รับขวันแม่ใจอารีย์พี่ ราแม่
ฤๅซ่มซีกเดียวได้ซีกนั้นไป่มี ฯ
๑๔๗
๏ แสนตอตอเกลื่อนกลุ้มกลางชล
ตอจักยอกอกทนเทวศช้ำ
ฤๅเจบเท่าไกลกลกาเมศ
ปวดยิ่งดาบแสนด้ำหอกร้อยส่ำแทง ฯ
๑๔๘
๏ แสนตอตอรกะกั้นกลางทาง
ตอทอดตอตายขวางย่านน้ำ
เสมอสมรพี่ตกกลางวนสวาดิ
ทนนิราศรักษช้ำคู่ด้วยตอตาย ฯ
๑๔๙
๏ สำรองเรือนราษฎรร้างสำราญ
สำฤทธิศุขสาธารณ์ทั่วเหย้า
สำเริงสิ่งใดดาลดูเปล่า
สำหรับเวรุจากเจ้าพี่ได้อาดูร ฯ
๑๕๐
๏ สำรองสำฤทธิล้วนสำราญ
บำบัดทุกขบันดาลโศกศร้อย
อกเรียมระอุปานเพลิงพลุ่ง
สำรองสำรายหน้อยที่ร้อนรุมทรวง ฯ
๑๕๑
๏ ถึงคอกระออมพี่โอ้อาวรณ์
นึกเมื่อยามออมอรเทวศช้ำ
กัลออมกรออมสมรสายสวาดิ แม่ฤๅ
เตรียมสุธาธารถ้ำเล่นแล้วอาบองค์ ฯ
๑๕๒
๏ คอกรออมออมอาบอ้ามเปนนาม
ดุจหนึ่งกัลออมงามแม่แล้ว
รำฦกฟองไฟกามกาเมศ
เหนแต่กัลออมแก้วใส่น้ำนางสนาน ฯ
๑๕๓
๏ ฤๅยลระมลแม่แม้นสมรหมาย
เรือเร่งรีบเรวพายลิ่วล้ำ
อาไลยบ่ลืมสายสวาดิหวั่น ถึงนา
ใจจะขาดอกขว้ำหวาดเหว้าอาวรณ์ ฯ
๑๕๔
๏ ม่วงชุมชุมช่อไม้มีพรรณ์
เฉกพี่ชุมชนขวันอยู่เหย้า
นึกนวลวิไลวรรโณภาษ
เชยช่อสุมาลย์เจ้าจิ่มฟ้าเคยชม ฯ
๑๕๕
๏ ม่วงชุมเฉกม่วงชิ้นมือมาลย์
เจียรประจงจงจานสอดส้อม
รีรอยแม่มือฝานฝังฝาก มาฤๅ
อร่อยรศงอมง้อมทราบรู้รศใจ ฯ
๑๕๖
๏ เยียมาถึงถิ่นถ้าเทินผา
อาวาศปฏิมามาแกล่ใกล้
ยอกรกึ่งเกษาอาราธน์
ขอพระไตรรัตน์ให้ศึกท้าวพลันคืน ฯ
๑๕๗
๏ บ้านถ้ำประเทศท้ายชลที
ถ้าบอมีปัถวีอยู่ส้าง
อนาถแม่ปรานีอกอ่อน กูเอย
จากพี่จำเนียรร้างคู่ถ้ำดูดาย ฯ
๑๕๘
๏ ศรีขรินทร์ศีขเรศบ้านคูหา
หาบ่อเหนสมรมาแม่เต้า
อารักษท่านผยองพาโฉมขวัน เรียมฤๅ
จำพี่โหยหาเจ้าร่ำไห้หาศรี ฯ
๑๕๙
๏ ถึงปากแพรกแพร่งน้ำสองแคว
ตระขวิดตระเขวียนลาญแลละห้อย
อาดูรกำเดาแดดวงสวาดิ
ทางแยกกลเรียมคล้อยแยกน้องมาไกล ฯ
๑๖๐
๏ ปากแพรกสองแพร่งเลี้ยวหลายปาง
เรียมสั่งกำสรดพลางเคร่าน้อง
เกลือกมาแม่ฉงลทางเสทิญอยู่
ปากแพรกกวานปากพร้องอย่าได้อำพราง ฯ
๑๖๑
๏ ลุเขตเขาตกน้ำไพรพราย
เขาบจมจอมหายเลื่อนล้ม
อกเรียมจ่อมจมสายสินธุ์สวาดิ
ประดักกำเดาแดหล้มอยู่เพื้องพันปี ฯ
๑๖๒
๏ เหนโขดเขาตกตั้งชลที
จมกระแสวารีเรื่องร้อย
เขาเอยอยู่ทนทวีเทวศเท่า ใดนา
ปนเปรียบสมรเรียมสร้อยเศร้าช้ำใจตรอม ฯ
๑๖๓
๏ วังยางวังเวศด้าวแดนดง
วังใช่นิเวศวังวงเถื่อนท้อง
ยางสูงสุดสูงรหงเห็นหมอก
เสียงชนีนกร้องรี่เหรื้อยวังเวง ฯ
๑๖๔
๏ วังยางวิเวกด้วยเสียงนก
บินกระพือเกรียงกกกู่ก้อง
น้ำตาตกเต็มอกถึงอ่อน
ดุจหนึ่งสำเนียงน้องเรียกให้เรียมคืน ฯ
๑๖๕
๏ เรือเร็วมาลุแล้วบางลาน
แลลับดวงสวาดิดาลด่าวดิ้น
บางลานพี่แลลาญลิวโลด
ลาญสมรจักหวิ้นหว่าหวิ้นทรวงถึง ฯ
๑๖๖
๏ บางลานลาญสวาดิโอ้อัสดง
รีบรถสุริเยนทร์ลงย่ำคล้อย
ขอลานลักษณจำนงสนองสั่ง แม่นา
ลานพี่เขียนสารห้อยฝากไว้กลางทาง ฯ
๑๖๗
๏ มาดลหนแก่งกั้งกลางคัน
เรียกแก่งหลวงมากันกีดข้อง
ขอเดชพระทรงบรรพชิดเชด ท่านนา
จงช่วยกันไภยป้องอยู่โพ้นภายหลัง ฯ
๑๖๘
๏ แก่งหลวงเกาะลาดตื้นตาคลอง
ชลเฟื่องฟัดฟาดฟองยากเต้า
ทางธารชลาลองขันแคบ
เรียมก็แคบใจเศร้าโศรกสร้อยฤๅเสบย ฯ
๑๖๙
๏ ถึงผาคงคิดแค้นฤๅวาย
ไยจึ่งงอกสำงายซู่น้ำ
บังตาแลลับมลายโฉมสวาดิ กูเอย
ดุจแซ่งมาบังซ้ำช่วยด้วยบาปบัง ฯ
๑๗๐
๏ ผงคงคงท่วนเที้ยนกัลปา
คงอยู่ไปล่คลาศคลาเคลื่อนได้
อารักษรักษาผาโทนถงาด
ขอแม่คุงรักษไว้คู่ด้วยคำงาม ฯ
๑๗๑
๏ เรียมเหนฟากฝั่งน้้ำคลาคลาย
มีแต่แฝกคารายรุ่มเรื้อ
คำนึงแม่หนหายฤๅห่อน เหนเลย
ชมแต่ฝูงนกเนื้ออยู่โพ้นพายหลัง ฯ
๑๗๒
๏ มลักเห็นมยุเรศฟ้อนฟายหาง
มยุรคณานกนางลาศล้อม
ชนฝูงนิกรกางปีกปก กันนา
กลพี่ชมนุชน้อมเสน่ห์น้องยียวน ฯ
๑๗๓
๏ นกคลาคลอคู่เคล้าคลึงนาง
ปันรศภิรมย์พลางแมกไม้
กางปีกฉีกหางฉวางเฉวียงคู่
กลพี่ปันรศไล้คล่าขล้ำลงกิน ฯ
๑๗๔
๏ กุลาโห่โกกิเลศลุ้มพญาลอ
เขากระทาขันทอไก่ฟ้า
รังนานจับรับรอเรียงร่อ
เสมอพี่รอรศถ้าเรียกน้องนอนใจ ฯ
๑๗๕
๏ กสหลงไพรเถื่อนพื้นกาหลง
หวลรศกาหลงประจงแม่แม้
คิดหวังแม่หลงวงษเวียนแวด มานา
หลงพี่หมายสมรแหน้โอษฐเอื้อนรับขวัน ฯ
๑๗๖
๏ จากมาตกฦกแล้วลายฝัน
ฝันแม่กำจรจันทร์จิ่มฟ้า
มเมอรับขวันขวันจอมสวาดิ
ดาลดิเรกรศฟ้าเฟื่องฟุ้งเจอใจ ฯ
๑๗๗
๏ ตรมาตาตื่นเกี้ยวเกยหมอน
ตระเมอกระเมาวรนอนแนบเคล้า
ตรนักรศจันทรจรดกลิ่น หายแฮ
ตรหน่ำอกเรียมเศร้าอยู่ดิ้นแดโดย ฯ
๑๗๘
๏ เยียมาเรียมร่ำไห้ฤๅวาย
วายว่ายชลเนตรสายห่อนแล้ว
น้ำตาวิงตาพรายพรมย่าน
ดุจห่าฝนฝอยแก้วสั่งฟ้าโรยริน ฯ
๑๗๙
๏ จากมาอกสรแอ่โอ้อาทวา
ฦกรศรำจวญหาค่ำเช้า
ขันทองใส่ธาราสงโศรก ใจนา
ฤๅดับไฟรักษเร้ารุ่มร้อนรุมทรวง ฯ
๑๘๐
๏ คำนึงโฉมแม่แต้มติดตา
ตาพร้่งไฟกามผาผ่าวไส้
ลันลุงทุลายกามามิ่ง กูเอย
กามกระเวนทรวงไหม้เรียกฟ้าดินตรอม ฯ
๑๘๑
๏ กำสดสารสั่งให้ทุกพาย
ลาเลื่อนตามสินธุสายสุดเคี้ยว
เรือรายเรี่ยริมชายชลหาด
ลางก็เลยลำเลี้ยวล่วงโพ้นไปตาม ฯ
๑๘๒
๏ ถึงกัทลีเขตรบ้านรายทาง
เขาตัดเสาเผายางยากพ้น
หญิงชายอยู่เบาบางทุกท่า
มีแต่หนังปูต้นท่อนไม้หนุนนอน ฯ
๑๘๓
๏ ดลคามนามบ้านชื่อกัทลี
จอดประทับเรือรีหยุดร้อน
ถามหาว่ายังมีฤๅเปล่า
รำฦกรศกล้วยป้อนแม่แล้วฤๅลืม ฯ
๑๘๔
๏ จรจากที่นั่นแล้วมาไกล
เรียมเร่งรำจวญใจโศรกเศร้า
สุริยฉายบ่ายบทไถงลมเหนี่ยว
เย็นแต่นอกอกเร้าเร่งร้อนในทรวง ฯ
๑๘๕
๏ ถึงศาลอารักษ์ร้างริมชล
ตระเว็จตระเวนมัวมนท์หม่นเศร้า
อารักษราชฤๅทนเทวศดั่ง นี้นา
เที้ยรทุกขเรียมจากเจ้าหมึ่นไหม้หมองสมร ฯ
๑๘๖
๏ อาราธนเทเวศไหว้วอนวิง
อารักษศักสิทธิสิงที่นี้
ขอเชิญออกเอาชิงไชยช่วย พระนา
พลันเสร็จสงครามลี้ลาศเข้าเมืองหลวง ฯ
๑๘๗
๏ จะเฉลาเปลาปลูกสร้างศาลถวาย
ฝาผอวดลงลายเพริศแพร้ว
ราชวัติฉัตรธงชายชวยโชติ
ตระเหว็จราดลาศทองแผ้วประดิษด้วยใจงาม ฯ
๑๘๘
๏ บายศรีเงินนากแก้วทองพราย
อีกเครื่องสังเวยถวายปู่เจ้า
เป็ดปากปิดคำรายเทียรธูป ทองแฮ
หมูไก่กับแกล้มเหล้าเค่มข้าบูชา ฯ
๑๘๙
๏ ทังงานมหรรสพถ้วนทุกพรรณ์
โขนหุ่นลคอนพะชันเล่นล้ำ
รำมอญเทพทองขยันปรบไก่
วัววิ่งมวยผนันปล้ำถี่ถ้วนขอถวาย ฯ
๑๙๐
๏ เสร็จบำบวงเทพแล้วลีลา
จากสถานเทพาแห่งหั้น
ชลเนตรสระอกอาดูเทวศ
แสนเจบจรเทิญกลั้นกลัดกลั้นกลางใจ ฯ
๑๙๑
๏ ถึงปากคลองชื่อชี้พระชี
แลโล่งลำคลองรีสุดอ้าง
ไป่เหนพระชีศรีสมโพธิ มีนา
เปนป่ารกเรือนร้างร่มไม้มานาน ฯ
๑๙๒
๏ ขอพระชีช่วยข้าขอพร
ยออย่ามีมารรอญรักษร้าว
ขอศรีสถาวรทุกเมื่อ
ขอเดชบุญบวชน้าวแม่หมั้นใจปอง ฯ
๑๙๓
๏ เซงสารสุโนกร้องโจษจรร
ยามเมื่อสายัณห์ตะวันคลาศคล้อย
จอแจรับรังรันจวนคู่
เรียมก็รันจวนศร้อยโศกเศร้าอาวร ฯ
๑๙๔
๏ ราตรีเสียงสัตวซร้องทุกพาย
เสือปีบปนกวางทรายกาจก้อง
โดยเสด็จพระนารายน์จอมโลกย
วังเวงนาท้องเถื่อนถ้าทางเดิร ฯ
๑๙๕
๏ ถึงวัดตะเคียนคิดแท้เทียรวัง
พระบอห้วงมาหวังป่าไม้
นอนหนาวร่มรุกขรังเรียงรื่น
รักษก็โรยแรมไร้นิราศน้องมานอน ฯ
๑๙๖
๏ จากมาเปลื้องปลิดแก้วกับตน พี่เอย
ต่างก็ทนทุกขทนเทวศไห้
อกเรียมทนรนขวนขวายสวาดิ
รักษแม่โฉมมือไล้เล่หนั้นฤๅลืม ฯ
๑๙๗
๏ อาวรวะว่องหว้ายหาวหา
นอนอนาถคายตาแยบเนื้อ
คำนึงแก่นกามาทุกทุ่ม
คิดบ่อวายโฉมเชื้อชื่นเจ้าเคยชม ฯ
๑๙๘
๏ บทใดบถ่องแท้โดยอรรถ์
เชิญกระวีวานสรรเสกซร้อง
จงเปนมไหศววรย์อดิเรก
อักษรใดขัดข้องอ่านแล้วเชิญแปลง ฯ
๑๙๙
๏ ใดใดโอษฐโอ่อ้างตนดี
เอาปากเปนกระวีขล่อยขล้อย
หากหาญแต่วาทีเฉลยกล่าว ไฉนนา
ดุจหนึ่งแสงหิ่งห้อยส่องก้นตนเอง ฯ
๒๐๐
๏ นิราศ นางเรื่องนี้รงงนาน เนิ่นแฮ
แม่ อักษรเกษียนพานแผกพลั้ง
น้ำ ชุบหอรดาลวานกรวีวากย์ แปลงพ่อ
น้อย มากตกเดอมทั้งเอกท้งงโทตัว ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

ประชุมนิราศคำโคลง รวบรวมโดย พ. ณ. ประมวลมารค พิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๑๓ แพร่พิทยา

เครื่องมือส่วนตัว