นิราศหนองคาย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 547: แถว 547:
เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์  ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน
เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์  ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน
เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎร  ก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง
เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎร  ก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง
 +
พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษ  ของพระยาราชเสนาลงมาถึง
 +
ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึง  เจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ
 +
ใบบอกว่าพระยามหาอำมาตย์  กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม
 +
เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงาม  พอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย
 +
กองทัพไทยได้ทีตีกระทบ  พวกฮ่อรบแหกหันหนีผันผาย
 +
พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นาย  ที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา
 +
ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์  ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า
 +
พวกอ้ายฮ่อดีนักแผลงศักดา  บนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน
 +
พระสุริยนสนธยาวลาหก  เพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน
 +
พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลัน  เข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล
 +
แต่พระยามหาอำมาตย์นั้น  ได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน
 +
สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวน  หลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว
 +
เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบ  เจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว
 +
พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัว  ด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป
 +
คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิด  อ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้
 +
พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไป  ด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ
 +
ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้ม  ใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
 +
นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการ  ได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ
 +
คอยฟังกล่าวซึ่งท้องตราให้หากลับ  ก็ลึกลับเหลือล้นพ้นวิสัย
 +
ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไป  ประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง
 +
อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืน  เมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง
 +
คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึง  คนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา
 +
ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้  ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา  เสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ
 +
จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การ  ดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ
 +
เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำ  มิได้จำจดไว้ไม่เป็นการ
 +
ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับ  เจ้าคุณแม่ทัพเกษมศานต์
 +
แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านาน  ทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา
 +
ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหาร  ทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา
 +
เอาเงินแจกคนชแรแก่ชรา  ทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร
 +
พอโคต่างช้างมาลงมาถึง  เจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน
 +
ให้ได้เห็นจึงรู้ดูจำนวน  จงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย
 +
ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่า  โคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย
 +
ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบาย  พร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน
 +
กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดิน  บอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์
 +
เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญ  จะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย
 +
พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่า  บ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย
 +
ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอย  ไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย
 +
พวกลาวชาวบ้านพระยาทศ  รู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย
 +
ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดาย  กองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล
 +
ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้  ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกสนาน
 +
ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญ  พวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา
 +
กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง  ดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา
 +
ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชา  บ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง ฯ
 +
 +
 +
๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาด  เจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง
 +
ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึง  แล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ  มาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน
 +
มายังที่ชุมนุมประชุมพลัน  พร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับรอง
 +
แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับ  ให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง
 +
จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนอง  จงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป
 +
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามบังคับ  จึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว
 +
โคต่างช้างมีมาจะว่าไร  อยากจะใคร่กรีพลพหลจร
 +
บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมด  ได้กำหนดไว้แล้วแต่ก่อน
 +
จะยกซึ่งพหลพลนิกร  ใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี
 +
แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าว  เป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี
 +
ขอถวายบังคมลาฝ่าชุลี  สิ้นวาทีห่อพับประทับตรา
 +
แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์  ตามเหตุผลข้อศึกที่ปรึกษา
 +
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยา  เห็นกำปั่นไปมาถึงท่าพลัน
 +
เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือ  ประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน
 +
พอเห็นหมวกกะระเซ็นเป็นสำคัญ  ชาวอเมริกันเขาขึ้นมา
 +
ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม  กับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา
 +
เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจา  ตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน
 +
ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไร  ทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน
 +
ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุล  เขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร
 +
ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปัง  กับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้
 +
ยาโกรกกรากใบตองสำรองไป  ทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา
 +
จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอ  มอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา
 +
คนกองทัพจับไข้ได้พยา-  บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน
 +
พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับ  ของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร
 +
ช่วยกันขนล้นหลามถ้วยชามจาน  ทั้งนำตาลทรายกระสอบรับมอบมา
 +
ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาด  ไปจากหาดพระยาทศกำสรดหา
 +
ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตา  จะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ
 +
ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ด  คนพร้อมเสร็จเตรียมกายจะผายผัน
 +
ขนของลงนาวาไม่ช้าพลัน  บ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป
 +
เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนือง  ล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส
 +
ดูงดงามตามตำแหน่งแกร่งเกรียงไกร  ต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ
 +
ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อน  อุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน
 +
พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณ  ได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน
 +
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง  งามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร
 +
เสร็จลงนาวาเวลาควร  เรือก็หวนเหห่างออกกลางชล
 +
ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสาน  ฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน
 +
พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์  แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา
 +
เหล่าพวกสาวชาวบ้านละลานจิต  บ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา
 +
เดินตามส่งกองทัพจนลับตา  บ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล
 +
ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบ  เรือยวบยวบมาในวนชลกระแส
 +
ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแด  ทรวงตั้งแต่โศกข้อนอาวรณ์มา
 +
เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุย  ฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้างถลา
 +
ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมา  ดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชาญชล
 +
น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยว  ฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน
 +
ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบล  ประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง
 +
น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอย  ไพร่พลคอยถ่อค้ำหักต้ำโผง
 +
ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยง  ค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง
 +
ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุด  พอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง
 +
ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง  เขาตกแต่งคอยรับกองทัพชัย
 +
เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพาน  พอทหารยืนเรียงเคียงไสว
 +
พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไป  กัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ
 +
ทหารแถวยึกปืนขึ้นคำนับ  ไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ
 +
แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำ  เขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ
 +
ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั่น  ครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล
 +
บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธาร  ให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง
 +
แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่ง  จัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง
 +
ตามกระบวนทัพชัยในทำนอง  ปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน
 +
พระอภัยสงครามใจห่ามฮึก  เคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน
 +
ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดิน  คงไม่เยินย่อยยับอัปรา
 +
ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลาย  เป็นปักซ้ายสำหรับกองทัพหน้า
 +
พระอภัยพลรบจบศักดา  เป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป
 +
พระมนตรีบวรซ้อนประดัง  เป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย
 +
รวมจำนวนบาญชีที่มีไป  ล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร
 +
พระยาชิตณรงค์เคยสงคราม  ไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร
 +
เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกร  ไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา
 +
พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่น  เป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา
 +
พลรบถือครบเครื่องศัสตรา  ประจำหน้าที่ไม่ถอยคอยต่อกร
 +
เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวง  เป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน
 +
ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอน  แม้นราญรอนท่วงทีจะมีชัย
 +
ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัด  กับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนใหญ่
 +
คุมทหารสำหรับแม่ทัพไป  ระวังภัยมิได้หมิ่นอรินพาล
 +
พระพิบูลไอศวรรย์ตัวกลั่นกล้า  เป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร
 +
ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญ  ย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย
 +
ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพ  การรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย
 +
คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนาย  เป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน
 +
ซึ่งพระยามหานุภาพนั้น  ก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน
 +
ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพล  เพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน
 +
หลวงภักดีจุมพลรณดิลก  เป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน
 +
ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครัน  รู้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน
 +
ซึ่งขุนสกลสารบาลใจหาญฮึก  ในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน
 +
เป็นที่จเรทัพจับกระบวน  เจ้าจำนวนริ้วทัพกำกับการ
 +
ซึ่งท่านขุนอินทร์วิเชียรชาติ  ขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ
 +
ขุนนราชุมพลคนชำนาญ  ขันสัจวาทิการทั้งสี่นาย
 +
เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจ  ด้วยองอาจมิได้พรั่นจิตมั่นหมาย
 +
อยากรบศึกฝึกตัวไม่กลัวตาย  คุมนิกายพลรบครบทุกคน
 +
หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้น  ก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล
 +
หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพล  เมื่อประจญประจัญรับกับอริน
 +
หลวงจัตุรงคโยธาปัญญาลึก  การรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน
 +
ขุนนราฤทธิไกนใจทมิฬ  ขุนพิชัยชาญยุทธศิลป์รวมห้านาย
 +
ล้วนคุมไพร่ไวว่องเป็นกองหลัง  ถือโล่ห์ดั้งและดาบกำซาบสาย
 +
ทั้งปืนใหญ่ปืนน้อยปล่อยลูกปราย  ดาบตะพายง้าวทวนกระบวนเรียง
 +
ท่านหลวงทรงศักดาปัญญายง  ดั่งเล่าฮ่องตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง
 +
ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียง  เสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ
 +
ท่านขุนรักพลพยุห์ใจดุเหลือ  ยิ่งกว่าเสือฤทธาก็กล้าหาญ
 +
ท่านขุนราชเมธาปัญญาชาญ  ล้วนกองด้านแซงนอกพลหอกแดง ฯ
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อม  ต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง
 +
ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดง  ต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน
 +
ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่าย  ทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น
 +
พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลัน  แล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำ  เป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล
 +
ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยน  พวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม
 +
ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวน  งามธงทวนพู่หอกดั่งดอกแขม
 +
ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรม  สีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน
 +
เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์คอยเบิกเนตร  นั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน
 +
พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน  ลั่นฆ้องถวนสามครั้งขึ้นยังเกย
 +
ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับ  รูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย
 +
ดูงามงดรจนาสง่าเงย  ช้างตัวเคยเป็นประเทียบหลังเรียบดี
 +
เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือน  ค่อยคลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี
 +
เสียงเท้าคนเดินดงเป้นผงคลี  ดั่งธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์  คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง
 +
เจ้าคุณก็จำเนียรจุดเทียนทอง  แล้วจึงร้องเรียกคนให้ไปบูชา
 +
เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง  ถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา
 +
ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมา  ดงพระยาเย็นเชียบเงียบเหงาใจ
 +
ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้  มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว
 +
โศกสักกรักกร่างมะทรางไทร  แสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคล้อง
 +
มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกา  คางมะค่าประคำร้อยและข่อยหยอง
 +
กระท้อนกระทุ่มอุทุมพรและค้อนกลอง  มะพลับพลองพลวงกะเพราสะเดาดง
 +
ต้นตะโกสะแกแสมสาร  ต้นกำยานพระยายาและกาหลง
 +
อัมพามะพูดชลูดโรกโลดทะนง  ทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าและขานาง
 +
ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟ  สลัดไดนางรองและทองหลาง
 +
มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวาง  มะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล
 +
เกดกุ่มพุมเรียงและเหียงหาด  มะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล
 +
ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปน  มีทั้งคณฑาไทยลำไยดง
 +
ตะแบกกระเบากรันเกราไกร  ทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์
 +
ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์  ทั้งคนทรงแส้ม้าพระยารัง
 +
ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำ  เหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง
 +
ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพัง  เหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว
 +
คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อ  ฤทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว
 +
เข้าใต้พงดงรังระวังตัว  เพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย
 +
ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิต  ครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย
 +
ไหนจะคิดถึงญาติไม่ขาดวาย  ทั้งพี่ชายน้องสาวและอาวอา ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้า  โอ้โศกเราเหลือลึกพ้องพฤกษา
 +
มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมา  เหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน
 +
ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทาง  แลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน
 +
เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญ  ไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ
 +
ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือ  แม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน
 +
เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวัน  ตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน
 +
ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่อง  เหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน
 +
น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคน  จะยกพลขึ้นบนบกก็รกเกิน
 +
ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้น  ตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน
 +
ถึงจะให้คนถางหนทางเดิน  ตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน
 +
จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิด  ไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น
 +
จะหามเรือไปก็ยากลำบากครัน  ด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป
 +
จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบาก  จะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน
 +
นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัย  ด้วยความไข้มิใช่ชั่วกลัวระวัง
 +
ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้ง  ยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง
 +
ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลัง  เป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน
 +
มิใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่  ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์
 +
อนิจจาว่าไม่เบี่ยงไม่เที่ยงธรรม์  ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน
 +
ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้  เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล
 +
จึ่งรู้ตัวว่าจะตายวายกังวล  ปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี
 +
ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบ  เหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี
 +
หากว่าบุญเราหลายได้นายดี  ไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร
 +
หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโข  สู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่
 +
ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจ  คงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน
 +
คนอื่นก็พูดกันเช่นฉันว่า  เหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ
 +
บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกิน  บ้างอวยชัยให้เจริญยิ่งภิญโญ
.
.
.
.

การปรับปรุง เมื่อ 12:51, 1 ตุลาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)

บทประพันธ์

๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออกก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียงเมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชาลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดชซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัวศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่นทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลันพร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอเป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีกให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนายทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัวดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครันบ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกายทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัดขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกองเอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรีที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏหวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
กางกรประคองกอดแม่ยอดรักพิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวลด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียวนึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือนจะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิตนึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไปกลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอดคนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
ต้องจำใจจำร้างห่างพธูจงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศกอย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคีนั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำเป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไปจำครรไลโลมลาสุดาดวง
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้องเหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวงแล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุขอย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
สวัสดีมีชียพ้นภัยยันเมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่นถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณกำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานองใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาสใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาลทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
เกินจะพรรณนาเหลือตาดูเครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพันล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จสักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามาทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวงหวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือจดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลันเจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงรายที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จแล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงครามขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวานโหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะพระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดังขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จน้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
สุริยงทรงรถหมดมลทินทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรีท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือนเสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกันเสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
กลามตลอดจอดแพออกแจจนกญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
ดูเรือแพแออัดสงัดหายไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธารหลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสวพวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตราเสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่งลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็งเสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำถวายคำนับน้อมจอมสถาน
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกรานตามบูราณประเพณีที่มีมา
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณาเป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบาแต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพรแล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
ทองคำทำตลับระยับย้อยทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
พระจอมนาถมีพระราชโองการว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับเจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอเสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อยพระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
คนในเรือรับพลางต่างวางพายน้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
เอิกเกริกเร่งมาในสาครเรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่วล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลมฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุลเห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพรประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรงมีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
ชยันโตอวยชัยในนาวาจอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียงบ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมรองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
พระกายไทยใจทหารชาญสงครามพระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับเรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
สังเกตลมพระพายพัดชายธงนิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวาพระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทันเห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือนี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วนนิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามาฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตรเรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไปเรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตารามประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจรก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลันมาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋งฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
พอจวนถึงรอรานาวาคอยเรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับสมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
พระทัยดีมีพระกรุณประจำหยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของสมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสนบ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กันบางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลาฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวนจะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึงนอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิตโอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอมประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่าหัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลายโศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อยพอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
จวนแจ้งแสงศรีสุริยาตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
เสร็จเสพโภชนากระยาหารทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตมด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิตสำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดังจอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียงเรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทรพายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้านก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดมล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพังกระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดงเรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทองพินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยาตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมมีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไปตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาททั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
น้อมจิตคิดตั้งปณิธานเจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมดพระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัยเดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอนคนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับนอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พันเร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกาอนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศกบังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาวไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหยอุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมาเกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาสใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบายุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึกครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียมไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่างลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบายเหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวาเสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครันจ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตาครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
             

๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกรกำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงยน่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งจอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียงนั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวังดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลันก็เหหันเรือประทับกับตะพาน
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุดบูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานานแต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วามทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหารครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตราจึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททองได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์
มีพระราชศรัทธาปัญญายงเสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอารามประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคนชื่อชุมพลนิกายาราม
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปราซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตามไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน
แล้วเลยทรงสถาปนาการพระวิหารให้คงดำรงดี
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททองดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมีทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระก็เลยละผายผันจิตหรรษา
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวาโห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนีบ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียวปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล
ฝีพายไม่รอรามาตะบึงบรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไปเจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชาน้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญใจเบิกบานยินดีที่สบาย
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่วบ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลายให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิงพอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทาพระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระคารวะขอความตามประสงค์
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรงสิงในองค์พระปฏิมากร
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอนจงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับผู้คนคับสองข้างหว่างถนน
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชนที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับคนที่รับไทยทานประมาณโข
บางคนออกวาจาวราโรรัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อนเรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ละลิ่วมาในวนชลธารบ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปราแวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำเวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสายเหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจรหมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวังมาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชาที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกายเสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียงคอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร
แล้วชักชวนไปวัดมนัสการพระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา
เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียรแล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชาพระมหาที่นั่งในวังจันทร์
ออกจากวังไปยังพระอาวาสนามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ
ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททองเป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความแจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง
เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุดเอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง
วัดสลักหักพังออกนังนุงแต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน
ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน
เสด็จมาบำรุงผดุงการพระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความอยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลังเจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ
จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่องด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวานกรมการเขาว่าตราไม่มี
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสารแจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดีแจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศสักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล
ต่างลงเรือทุกลำประจำพลบ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวังพร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว
นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัวให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ
ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวานโห่ประสานสามลาสง่าเหลือ
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพายบ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ
บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลมเรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส
ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับแดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน
ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยนเหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่านมีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน
เรือกองทัพคับคั่งประดังกันแรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง
ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมดน้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิงอาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือคนที่เหลืออาศัยในวิหาร
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพานเหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศนองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการสุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน
ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่างค่อยลูบล้างพักตราวิญญาหวน
เจ้าคุณสั่งให้บอกออกกระบวนเวลาจวนจะรุ่งฟุ้งอัมพร
พอนาวาคลาเคลื่อนเขยื้อนโยกธงก็โบกริ้วริ้วปลิวสลอน
นาวาเรื่อยเฉื่อยมาในสาครก็รีบร้อนเร็วมาไม่ราแรม
ถึงน้ำวนวนปะประทะคุ้งเรือหันพุ่งข้ามบากไปฟากแหลม
ฝีพายจ้ำน้ำเป็นฟองทั้งสองแคมไม่พรอมแพรมพร้อมพรั่งพายตั้งใจ ฯ
๏ ถึงเมืองสระบุรีเรือรี่เรียบเห็นทำเนียบรายเรียงเคียงไสว
เขาปลูกตั้งหลังเด่นเห็นแต่ไกลพลไพร่ยินดีด้วยปรีดา
ต่างมุ่งมาดพอถึงหาดพระยาทศบ่ายกำหนดสี่โมงโปร่งเวหา
พระสุริยงจวนจะลับพรรพตาแลนาวาจอดเรียบประเทียบเรียง
ที่ศาลาท่าน้ำลำกระแสเรือนเป็นแพจอดชุมนุมบ้างทุ่มเถียง
ชวนกันชิงเรือนที่มีระเบียงขอนของเรียงเข้าไปวางต่างประจำ
ต่างคนต่างก็ก็จองปองที่อยู่ถึงก่อนดูเลือกได้เมื่อใกล้ค่ำ
พอพักพิงอิงกายวายระกำไม่ต้องทำเรือนร้านป่วยการคน
ที่ลางนายผายผันไม่ทันเพื่อนไม่มีเรือนที่พำนักพักพหล
หาไม้ไล่ทำหลังคาประสาจนพอบังฝนบังฟ้าเป็นท่าลม
ท่านเจ้าคุณใจดีอารีเหลือคิดแผ่เผื่อไพร่แท้แต่ประถม
ทำเนียบปลูกไว้มีไม่นิยมด้วยอารมณ์เอ็นดูหมู่นิกร
ทำเนียบปลูกไว้ท่าสี่ห้าหลังพร้อมหอนั่งหอเคียงเรียงสลอน
สู้อยู่เรือบดเลยตามเคยนอนด้วยอาวรณ์เมตตาประชาชน
ถ้าแม้นขึ้นสู่อยู่ทำเนียบตรองการเรียบเรียงเห็นไม่เป็นผล
จะไม่มีที่อาศัยแก้ไพร่พลท่านสู้ทนอยู่ในเรือใจเหลือดี
ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องพวกกองทัพบ้างนอนหลับกรนอยู่เสียงฝู่ฝี่
แต่ตัวฉันตรึกตรมระทมทวีโศกโศกีแสนสวาทไม่ขาดวาย
แสนคะนึงถึงนวลหวนเทวศจนดวงเนตรบวมแดงเป็นแสงสาย
อยู่ในเรือกัญญาใหญ่ไม่สบายคิดใจหายใจห่างในทรวงครวญ
โอ้เจ้าดวงพวงพุ่มอุทุมพรเมื่อยามนอนแนบถนอมกลิ่นหอมหวน
เวลาตรมชมชูเรณูนวลยามรัญจวนก็วายหายกังวล
ยิ่งนึกยิ่งตรึกตรมระทมทุกข์จะต้องบุกเดินป่าไปหน้าฝน
จะข้ามดงพงชัฎระมัดตนเหล่าฝูงชนคิดกลัวหนังหัวพอง
ฤดูฝนความไข้มิได้หยอกผู้ใหญ่บอกเศร้าจิตคิดสยอง
ที่ในดงลึกล้ำล้วนน้ำนองจะยกกองทัพไปกลัวไข้ดง
ซึ่งปู่ย่าตาลุงครั้งกรุงเก่าฟังเขาเล่าจำไว้ไม่ใหลหลง
ฤดูฝนเป็นไม่ไปณรงค์ทำการสงครามแต่ก่อนบ่ห่อนเป็น
แต่เมื่อใดฝนแล้งแห้งสนิทจึงจะคิดยกทัพไปดับเข็ญ
คิดขึ้นมาน้ำตาตกกระเด็นไม่วางเว้นกลัวตายเสียดายตน
โอ้กรรมเราเกิดมาเวลานี้พอไพรีมาสู่ฤดูฝน
นึกแค้นอ้ายพวกฮ่อทรชนจะฆ่าคนเสียด้วยไข้ใช้ปัญญา ฯ
๏ ฉันตรองตรึกนึกพลางพอจ่างแจ้งสว่างแสงสุริเยเยี่ยมเวหา
เป็นวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย
ก็พร้อมด้วยนายทัพกับนายกองลงเรือล่องน้ำมาเวลาสาย
ล้วนแต่งตัวเต็มยศหมดทุกนายต่างผันผายล้นหลามตามเจ้าคุณ
รีบรัดมาถึงวัดสมุหะพร้อมด้วยพระหลวงยืนแลหมื่นขุน
ทั้งหัวเมืองเป็นการวิ่งซานซุนคอยคำนับรับเจ้าคุณอยู่เรียงราย
เรือเจ้าคุณแม่ทัพจอดกับท่าเยื้องยาตราพร้อมพรั่งคนทั้งหลาย
ล้วนสวมเสื้อกำซาบดาบสะพายที่ตัวนายคอยสดับรับบัญชา
ต่างคนเข้าไปในวิหารฟังโองการพร้อมกันด้วยหรรษา
แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยาตามตำราบุราณสาบานตัว
ท่านเจ้าพระยาแม่ทัพกลับทำเนียบเรือประเทียบแก้ท้ายแล้วบ่ายหัว
จอดประทับกับท่าเวลามัวแดดสลัวจวนค่ำอยู่รำไร
เวลาค่ำย่ำฆ้องครั้นสองทุ่มแตรก็รุมเป่าเสียงสำเนียงใส
พวกทหารนั่งยามต้องตามไฟเอาฟืนใส่เรียงรายเป็นหลายกอง
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกำชับสั่งให้ประจุปืนประนังนั่งจดจ้อง
เหล่าทหารหอกหลาวแลง้าวพลองพวกกองตรวจถือฆ้องกระแตตี
ด้วยเรายกโยธามาจากถิ่นประมาทหมิ่นแล้วก็เห็นจะเป็นผี
เผื่อพวกฮ่อต่อเข้ามาสระบุรีจะเสียทีย่อยยับทั้งทัพชัย ฯ
๏ ครั้นจวนแจ้งแสงสีตีสิบเอ็ดออกอึงเอ็ดเป่าแตรเสียงแซ่ใส
ทหารเป่าขลุ่ยนัวรัวกลองชัยฟังเสียงไพเราะวังเวงด้วยเพลงแตร
ครั้นรุ่งแสงสุริยาท้องฟ้าฟื้นเจ้าคุณขึ้นทำเนียบหน้าท่ากระแส
สำหรับขุนนางใช้ต่างแพอยู่ริมแม่น้ำวนชลธาร
พวกนายกองนายทัพคำนับน้อมมาพรั่งพร้อมนั่งเรียงเคียงขนาน
คอยสดับตรับฟังจะสั่งงานจะมีการเหตุผลด้วยกลใด
เจ้าพระยาแม่ทัพขยับโอษฐ์ภิปรายโปรดไต่ถามความสงสัย
พวกเรามาพร้อมพรั่งหรืออย่างไรใครป่วยไข้ที่บรรดามาด้วยกัน
พวกนายทัพนายกองสนองเรียนน้อมจำเนียรแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
คนกองทัพวิบัติอัศจรรย์เกิดปัจจุบันโรคร้ายเป็นหลายคน
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามระบอบจึงประกอบยาละลายกระสายฝน
ตามตำราหมอด้วงแก่แก้อับจนท่านสู้ทนนั่งปรุงบำรุงยา
แล้วก็ให้อนุญาตประกาศสั่งว่าทีหลังใครป่วยไข้ให้มาหา
เพราะใจท่านอารีมีเมตตาตั้งรักษาเป็นธุระไม่ละเลย
ถึงเที่ยงนางกลางคืนคนตื่นหลับคนกองทัพป่วยไข้มิได้เฉย
สั่งให้ปลุกทุกครั้งเหมือนดังเคยไม่เสบยบอกเราเอาอาการ
ด้วยลงทุนสำรองยากว่าสองชั่งยาฝรั่งมากมายหลายขนาน
ด้วยจงหวังตั้งใจจะให้ทานคิดเตรียมการถ้าใครป่วยได้อวยเออ
แล้วสั่งการขุนชำนาญภักดีพุกเที่ยวตรวจทุกเวลาอย่าได้เผลอ
ใครเป็นโรคร้อนหนาวหรือหาวเรือให้ดอกเตอร์พุกปรุงบำรุงยา
ตั้งแต่นั้นท่านก็นั่งคอยฟังทั่วใครยังชั่วใครจะหนักที่รักษา
นายพุกเที่ยวทุกหมวดคอยตรวจตราตามบัญชามิได้เว้นเช้าเย็นดู
คนมากหายตายน้อยนับตัวถ้วนนายพุกสวนสอบตรวจทุกหมวดหมู่
พวกกองทัพหายฟื้นต่างชื่นชูล้วนแต่รู้จักบุญคุณทุกคน
เมื่อหยุดพักอยู่ที่ท่าพระยาทศต้องรองดช้าอยู่ฤดูฝน
ครั้นจะยกทัพไปกลัวไพร่พลจะปี้ป่นเสียเพราะไข้ที่ในดง
เจ้าคุณสืบสวนกะระยะทางพระยากลางพระยาไฟไพรระหง
ให้รู้ที่สำคัญโดยมั่นคงด้วยจิตจงอยากยกขึ้นบกไป
ให้พระรัตนกาศประภาษถามก็แจ้งความมั่นคงไม่สงสัย
เขาว่ามรคาพระยาไฟจะคลาไคลเหลือล้ำด้วยน้ำนอง
ทั้งเป็นโคลนเป็นหล่มตมตลอดจะมุดลอดหลีกลัดก็ขัดข้อง
ต้องเดินข้ามแม่น้ำลำธารคลองข้ามเป็นสองสามหนล้วนชลลึก
ท่านเจ้าคุณแจ้งเหตุสังเวชไพร่ด้วยจะไปรบรากับข้าศึก
จะมาตายเสียในดงที่พงพฤกษ์อนาถนึกเศร้าใจด้วยไพร่พล
จึงแต่งบอกกราบทูลตามมูลเหตุเป็นไปรเวทเรียงความตามนุสนธิ์
ขอรอรั้งตั้งพักพำนักพลแต่พอฝนฟ้าแล้งทางแห้งดี
หนังสือเสร็จแล้วก็ส่งลงบางกอกผู้ถือบอกหมายมุ่งไปกรุงศรี
ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดีพร้อมอยู่ที่พระยาทศหมดด้วยกัน
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน
ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวันตั้งแต่นั้นเป็นคนสุขสนุกจริง
พวงหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่นล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง
บ้างโกรธขึ้งหึงหวงเที่ยวช่วงชิงแล้วค้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน
ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยวบ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน
บ้างสู่ขอเป็นเมียได้เสียกันแต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร
ด้วยคิดถึงเนื้อคู่อยู่ที่บ้านจึงขี้คร้านยาตรย่างไปข้างไหน
ถึงเห็นสาวสวยสดสู้อดใจเพื่อนเขาไปตัวเราอยู่เฝ้าเรือ
วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขายเฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ
อุตส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง
ฉันขี้คร้านผูกรักคิดจักเบือนเหล่าพวกเพื่อนเย้ยยั่วว่ากลัวหญิง
ควรจะหาที่พักสำนักพิงคิดแอบอิงแต่พออุ่นถุนขี้ยา ฯ
             

๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดเสร็จความขึ้นสามค่ำได้จดจำจงหวังไม่กังขา
บ่ายสามโมงสังเกตเศษเวลาเรือไฟมาเปิดหลอดเสียงหวอดดัง
เห็นเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์จำถนัดเรือห่างอยู่ข้างฝั่ง
ลงเรือแหวดแจวร่าเข้ามายังถึงกระทั่งท่าทำเนียบจอดเทียบพลัน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับรองต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ขึ้นบนทำเนียบท่าพูดจากันแต่โดยฉันราชการในสารตรา
ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ก็หยิบลายราชหัตถเลขา
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับมาจิตปรีดาเบิกบานสำราญใจ
ท่านเจ้าคุณรับรองของประทานที่เจ้าคุณทหารนำมาให้
ดาบฝรั่งสองร้อยเล่มที่เต็มในหีบใหญ่ใหญ่รับขนขึ้นบนเรือ
อีกกับน้ำมันหอมพระจอมเกล้าทรงเสกเป่าไว้เลิศประเสริฐเหลือ
ดอกไม้ร้อยแปดอย่างไม่จางเจือกลั่นเอาเหงื่อทำน้ำมันด้วยบรรจง
ไว้บำเรอลูกเธอเสด็จทัพเป็นที่นับถือความตามประสงค์
ได้ป้องกันสรรพภัยที่ในดงออกณรงค์ไม่ต้องคิดมีจิตกลัว
ด้วยเจ้าคุณมีชื่อลือทุกเวียงเป็นบุตรเลี้ยงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงประทานน้ำมันมากันตัวครั้นอ่านทั่วราชหัตถ์จัดจำเนียร ฯ
๏ ลุวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นแปดค่ำได้จดจำแน่จิตประดิษฐ์เขียน
เรีบยเรียงเรื่องเบื้องต้นไม่วนเวียนพระยาเกียรติ์นั้นจึงมาถึงพลัน
เชิญท้องตราขึ้นมาหนึ่งฉบับเจ้าคุณรับตามควรไม่ผวนผัน
พระยาเกียรติ์ก็กลับไปฉับพลันยังหาทันที่จะถามเนื้อความใด
จึงประชุมลูกทัพกับหลานกองฟังอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข
มีบังคับรีบให้ยกขึ้นบกไปแจ้งอยู่ในสารตราที่มาวาง
ถ้าให้ไปตรวจเสบียงให้เพียงพอกับอีกข้อหนึ่งให้ปรุงปลูกยุ้งฉาง
ให้ถ้วนทุกจังหวะระยะทางกับเร่งส่วยด้วยที่ค้างอยู่นมนาน
แม้นเงินไม่มีสำรองให้กองทัพที่จะจับจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร
เร่งส่วยเสียที่ท้าวเพี้ยกรมการมาเจือจานสำหรับกองทัพชัย
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพสดับตราบังคับมามั่นคงไม่สงสัย
จึงโต้ตอบท้องตราปัญญาไวซึ่งจะไปเร่งส่วยเห็นป่วนการ
แล้วจะให้ปลูกปรุงซึ่งยุ้งไว้กับจัดให้ซื้อเสบียงเลี้ยงทหาร
ด้วยจะยกนิกรไปรอนราญจะละลานหน้าหลังเป็นกังวล
ซึ่งจะให้ยกทัพไปสรรพเสร็จแต่ในเดือนสิบเอ็ดฤดูฝน
เป็นที่ลำบากใจแก่ไพร่พลน้ำยังล้นลงไม่ลดของดที
ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจารึกหลังส่งไปยังบางกอกบอกวิถี
แรมทัพคอยท้องตราหลายราตรีบ่ห่อนมีเภทภัยสิ่งใดพาล
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพพูดปรับทุกข์ซึ่งจะบุกไปในป่าน่าสงสาร
กลัวผู้คนทั้งหลายจะวายปราณจึงคิดอ่านหาช่องสู่ท้องตรา
ถึงจะมีโทษร้ายกฎหมายทัพจะสู้รับเอาผู้เดียวจริงเจียวหนา
ที่ข้อขัดบังคับรับอาญาถึงจะฆ่าถือมั่นกตัญญู
ขออย่าให้ไพร่พลไปป่นปี้เวลานี้ขืนจรต้องอ่อนหู
จะรับบาปคนทั้งเพเหมือนเยซูมิให้หมู่ไข้ป่ามันฆ่าคน
มิใช่จะคร้านคลาดราชการเพราะสงสารโยธาด้วยหน้าฝน
จะพากันไปตายทำลายชนม์แล้วเมืองบนก็ไม่มีไพรีรอน
แม้นข้าศึกนับแสนตีแดนร่วมถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร
จะสู้ยกพหลพลนิกรถึงไฟร้อนต้านหน้าจะกล้าไป ฯ
๏ เดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำตามเหตุบ่ายสักสามโมงเศษไม่สงสัย
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาในเรือกลไฟถึงท่าพระยาทศ
บังเอิญเทวดาวลาหกก็เร่งตกลงมาให้ปรากฏ
ฝนก็ไม่หายเหือดไม่เงือดงดไม่หยาดหยดซู่ซ่าลงมาพอ
ท่านเจ้าคุณไปคำนับรับสมเด็จฝนสาดไม่ขาดเม็ดลงสอสอ
ต้องกางกั้นร่มไปมิได้รอลงนั่งย่อเรือพายม้ารีบคลาไคล
ครั้นถึงเรือสมเด็จจอดเสร็จสรรพน้อมคำนับกราบก้มประนมไหว้
แล้วเรียนเรื่องทางบกจะยกไปในดงใหญ่น้ำมากลำบากคน
ขอรั้งรอพอให้แห้งแล้งสักหน่อยจึงจะค่อยยกไปในไพรสณฑ์
ถ้าขืนยกเวลานี้เห็นรี้พลจะปี้ป่นตายลงในดงดาน
ท่านเจ้าคุณจำเนียนกราบเรียนเสร็จฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฟังว่าขาน
จึงมีพระประศาสน์ประกาศการให้คิดอ่านรีบยกขึ้นบกไป
เจ้าคุณรับโอวาทประศาสน์สั่งโดยข้อบังคับแจ้งแถลงไข
จะให้ยกโยธารีบคลาไคลรอพอได้ทำบุญเสร็จสักเจ็ดวัน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกลับทำเนียบฝนไม่เรียบตกตวดเป็นกวดขัน
พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยันมีกำปั่นไฟถึงอีกหนึ่งลำ
ด้วยท่านหลวงยุทธยานาธิกรท่านด่วนจรก็เห็นสมดูคมขำ
เชิญท้องตรามากำลังฝนตกพรำขึ้นบนทำเนียบท่าชลาธาร
ส่งท้องตราให้แก่ท่านแม่ทัพอีกทั้งกับเงินจำแนกแจกทหาร
ทั้งเงินห้าสิบชั่งสั่งประทานเป็นเงินงานเตรียมทัพสำหรับไป
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรองแล้วอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข
มีบังคับจะยกขึ้นบกไปแต่โดยในเดือนสิบเอ็ดจงเสร็จพลัน
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้งตอบแถลงตามกระบนไม่ผวนผัน
ด้วยโคต่างช้างมามาไม่ทันการติดตันเหลือเขยื้อนเคลื่นนิกาย
แม้โคต่างช้างมาพร้อมมาถึงเป็นแน่หนึ่งวันนั้นได้ผันผาย
พอได้พาหนะทั่วเหล่าตัวนายจะถวายบังคมลาฝ่าละออง
ครั้ยเสร็จสรรพพับผนึกจารึกบอกส่งบางกอกแจ้งความตามสนอง
หลวงยุทธยาคำนับแล้วรับรองหนังสือสองสามฉบับแล้วกลับลา ฯ
๏ ครั้นขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ดได้จำเสร็จโดยหวังไม่กังขา
น้ำท่วมถึงกระทั่งเลยหลังคานึกก็น่าอัศจรรย์ขันกระไร
เรือต้องขึ้นจอดบกเจียวอกเอ๋ยมิได้เคยพบเห็นเป็นไฉน
นึ้ขึ้นถึงขนาดประหลาดใจแม้นผู้ใดบอกคงจะสงกา
นี่ได้เห็นต่อพักตร์แก่จักขุเจอแลจุปากทักน้ำหนักหนา
ขึ้นคืนเดียวเจียวร่วมท่วมหลังคาเป็นน้ำป่าเช่นผู้เฒ่าเขาเล่ากัน ฯ
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จวัสสาสิบห้าค่ำเจ้าคุณทำบุญใหญ่ใจกระสัน
สนองคุณบพิตรนิจนิรันดร์ด้วยเป็นวันพระจอมเกล้าฯเข้านิพพาน
นิมนต์สงฆ์พร้อมเพรียงประเดียงฉันในวันนั้นล้วนเป็นสุขสนุกสนาน
มีมหาชาติใหญ่แล้วให้ทานมโหฬารสรวลเสเสียงเฮฮา
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริย์ใสจุดดอกไม้ส่องสว่างกลางเวหา
แสงดอกไม้กระจ่างสำอางตาจับนวลหน้านางลาวขาวเป็นใย
ครั้นเทศน์ครบจบตามสิบสามกัณฑ์ตั้งแต่นั้นน้ำลดค่อยงดหาย
ซึ่งกองทัพเปป็นสุขสนุกสบายพอหาดทรายผุดพ้นชลธาร
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพหยุดยับยั้งท่านก็ตั้งซ้อมศึกฝึกทหาร
ล้วนเข้าใจไวว่องคล่องชำนาญท่านเห็นการน้ำลดเงือดงดลง
จึงแต่งจัดขุนสัจจวาทีสืบวิถีแน่กำหนดลงจดหมาย
เสร็จสรรพกลับสนองทั้งสองนายกราบเรียนรายระยะทางในกลางดง
ก็พอจะไปได้ไม่สู้ยากที่ลำบากน้ำเผื่อยังเหลือหลง
เป็นหล่มลึกตลอดไปในไพรพงก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นดอนไป
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้งว่าทางแห้งไม่สู้ยากลำบากไพร่
คิดจะยกซึ่งพหลพลไกรแต่ยังไม่มีช้างโคต่างจร
เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน
เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎรก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง
พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษของพระยาราชเสนาลงมาถึง
ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึงเจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ
ใบบอกว่าพระยามหาอำมาตย์กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม
เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงามพอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย
กองทัพไทยได้ทีตีกระทบพวกฮ่อรบแหกหันหนีผันผาย
พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นายที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา
ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า
พวกอ้ายฮ่อดีนักแผลงศักดาบนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน
พระสุริยนสนธยาวลาหกเพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน
พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลันเข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล
แต่พระยามหาอำมาตย์นั้นได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน
สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวนหลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว
เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบเจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว
พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัวด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป
คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิดอ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้
พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไปด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ
ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้มใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ
คอยฟังกล่าวซึ่งท้องตราให้หากลับก็ลึกลับเหลือล้นพ้นวิสัย
ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไปประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง
อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืนเมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง
คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึงคนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา
ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชาเสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ
จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ
เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำมิได้จำจดไว้ไม่เป็นการ
ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับเจ้าคุณแม่ทัพเกษมศานต์
แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านานทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา
ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหารทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา
เอาเงินแจกคนชแรแก่ชราทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร
พอโคต่างช้างมาลงมาถึงเจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน
ให้ได้เห็นจึงรู้ดูจำนวนจงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย
ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่าโคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย
ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบายพร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน
กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดินบอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์
เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญจะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย
พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่าบ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย
ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอยไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย
พวกลาวชาวบ้านพระยาทศรู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย
ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดายกองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล
ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกสนาน
ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญพวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา
กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่งดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา
ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชาบ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง ฯ
๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาดเจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง
ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึงแล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือมาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน
มายังที่ชุมนุมประชุมพลันพร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับรอง
แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง
จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนองจงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามบังคับจึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว
โคต่างช้างมีมาจะว่าไรอยากจะใคร่กรีพลพหลจร
บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมดได้กำหนดไว้แล้วแต่ก่อน
จะยกซึ่งพหลพลนิกรใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี
แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าวเป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี
ขอถวายบังคมลาฝ่าชุลีสิ้นวาทีห่อพับประทับตรา
แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์ตามเหตุผลข้อศึกที่ปรึกษา
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยาเห็นกำปั่นไปมาถึงท่าพลัน
เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน
พอเห็นหมวกกะระเซ็นเป็นสำคัญชาวอเมริกันเขาขึ้นมา
ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมกับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา
เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจาตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน
ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไรทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน
ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุลเขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร
ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปังกับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้
ยาโกรกกรากใบตองสำรองไปทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา
จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอมอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา
คนกองทัพจับไข้ได้พยา-บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน
พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร
ช่วยกันขนล้นหลามถ้วยชามจานทั้งนำตาลทรายกระสอบรับมอบมา
ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาดไปจากหาดพระยาทศกำสรดหา
ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตาจะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ
ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ดคนพร้อมเสร็จเตรียมกายจะผายผัน
ขนของลงนาวาไม่ช้าพลันบ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป
เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนืองล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส
ดูงดงามตามตำแหน่งแกร่งเกรียงไกรต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ
ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อนอุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน
พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่างงามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร
เสร็จลงนาวาเวลาควรเรือก็หวนเหห่างออกกลางชล
ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสานฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน
พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา
เหล่าพวกสาวชาวบ้านละลานจิตบ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา
เดินตามส่งกองทัพจนลับตาบ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล
ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบเรือยวบยวบมาในวนชลกระแส
ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแดทรวงตั้งแต่โศกข้อนอาวรณ์มา
เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุยฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้างถลา
ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมาดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชาญชล
น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยวฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน
ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบลประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง
น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอยไพร่พลคอยถ่อค้ำหักต้ำโผง
ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยงค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง
ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุดพอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง
ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลงเขาตกแต่งคอยรับกองทัพชัย
เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพานพอทหารยืนเรียงเคียงไสว
พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไปกัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ
ทหารแถวยึกปืนขึ้นคำนับไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ
แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำเขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ
ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั่นครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล
บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธารให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง
แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่งจัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง
ตามกระบวนทัพชัยในทำนองปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน
พระอภัยสงครามใจห่ามฮึกเคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน
ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดินคงไม่เยินย่อยยับอัปรา
ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลายเป็นปักซ้ายสำหรับกองทัพหน้า
พระอภัยพลรบจบศักดาเป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป
พระมนตรีบวรซ้อนประดังเป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย
รวมจำนวนบาญชีที่มีไปล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร
พระยาชิตณรงค์เคยสงครามไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร
เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกรไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา
พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่นเป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา
พลรบถือครบเครื่องศัสตราประจำหน้าที่ไม่ถอยคอยต่อกร
เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวงเป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน
ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอนแม้นราญรอนท่วงทีจะมีชัย
ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัดกับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนใหญ่
คุมทหารสำหรับแม่ทัพไประวังภัยมิได้หมิ่นอรินพาล
พระพิบูลไอศวรรย์ตัวกลั่นกล้าเป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร
ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย
ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพการรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย
คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนายเป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน
ซึ่งพระยามหานุภาพนั้นก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน
ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพลเพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน
หลวงภักดีจุมพลรณดิลกเป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน
ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครันรู้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน
ซึ่งขุนสกลสารบาลใจหาญฮึกในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน
เป็นที่จเรทัพจับกระบวนเจ้าจำนวนริ้วทัพกำกับการ
ซึ่งท่านขุนอินทร์วิเชียรชาติขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ
ขุนนราชุมพลคนชำนาญขันสัจวาทิการทั้งสี่นาย
เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจด้วยองอาจมิได้พรั่นจิตมั่นหมาย
อยากรบศึกฝึกตัวไม่กลัวตายคุมนิกายพลรบครบทุกคน
หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้นก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล
หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพลเมื่อประจญประจัญรับกับอริน
หลวงจัตุรงคโยธาปัญญาลึกการรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน
ขุนนราฤทธิไกนใจทมิฬขุนพิชัยชาญยุทธศิลป์รวมห้านาย
ล้วนคุมไพร่ไวว่องเป็นกองหลังถือโล่ห์ดั้งและดาบกำซาบสาย
ทั้งปืนใหญ่ปืนน้อยปล่อยลูกปรายดาบตะพายง้าวทวนกระบวนเรียง
ท่านหลวงทรงศักดาปัญญายงดั่งเล่าฮ่องตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง
ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียงเสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ
ท่านขุนรักพลพยุห์ใจดุเหลือยิ่งกว่าเสือฤทธาก็กล้าหาญ
ท่านขุนราชเมธาปัญญาชาญล้วนกองด้านแซงนอกพลหอกแดง ฯ
             

๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อมต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง
ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดงต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน
ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่ายทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น
พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลันแล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ
๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำเป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล
ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยนพวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม
ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวนงามธงทวนพู่หอกดั่งดอกแขม
ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรมสีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน
เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์คอยเบิกเนตรนั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน
พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวนลั่นฆ้องถวนสามครั้งขึ้นยังเกย
ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับรูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย
ดูงามงดรจนาสง่าเงยช้างตัวเคยเป็นประเทียบหลังเรียบดี
เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือนค่อยคลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี
เสียงเท้าคนเดินดงเป้นผงคลีดั่งธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ
๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง
เจ้าคุณก็จำเนียรจุดเทียนทองแล้วจึงร้องเรียกคนให้ไปบูชา
เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้งถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา
ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมาดงพระยาเย็นเชียบเงียบเหงาใจ
ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว
โศกสักกรักกร่างมะทรางไทรแสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคล้อง
มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกาคางมะค่าประคำร้อยและข่อยหยอง
กระท้อนกระทุ่มอุทุมพรและค้อนกลองมะพลับพลองพลวงกะเพราสะเดาดง
ต้นตะโกสะแกแสมสารต้นกำยานพระยายาและกาหลง
อัมพามะพูดชลูดโรกโลดทะนงทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าและขานาง
ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟสลัดไดนางรองและทองหลาง
มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวางมะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล
เกดกุ่มพุมเรียงและเหียงหาดมะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล
ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปนมีทั้งคณฑาไทยลำไยดง
ตะแบกกระเบากรันเกราไกรทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์
ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์ทั้งคนทรงแส้ม้าพระยารัง
ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำเหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง
ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพังเหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว
คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อฤทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว
เข้าใต้พงดงรังระวังตัวเพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย
ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิตครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย
ไหนจะคิดถึงญาติไม่ขาดวายทั้งพี่ชายน้องสาวและอาวอา ฯ
๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้าโอ้โศกเราเหลือลึกพ้องพฤกษา
มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมาเหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน
ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทางแลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน
เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ
ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือแม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน
เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวันตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน
ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่องเหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน
น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคนจะยกพลขึ้นบนบกก็รกเกิน
ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้นตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน
ถึงจะให้คนถางหนทางเดินตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน
จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิดไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น
จะหามเรือไปก็ยากลำบากครันด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป
จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบากจะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน
นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัยด้วยความไข้มิใช่ชั่วกลัวระวัง
ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้งยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง
ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลังเป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน
มิใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์
อนิจจาว่าไม่เบี่ยงไม่เที่ยงธรรม์ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน
ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล
จึ่งรู้ตัวว่าจะตายวายกังวลปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี
ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบเหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี
หากว่าบุญเราหลายได้นายดีไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร
หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโขสู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่
ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจคงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน
คนอื่นก็พูดกันเช่นฉันว่าเหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ
บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกินบ้างอวยชัยให้เจริญยิ่งภิญโญ
.
.
.
ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขดสูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน
ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตนขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน
ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผาหนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน
เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดินสะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ
ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลดช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ
ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำแม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก
.
.
.
ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำบ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา
บางแห่งเหลืองสีซ้ำดอกจำปาพื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน
ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาดด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน
บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการบ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา
บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวซักหาวนอนบ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา
บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตาบ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม
บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูดไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม
ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลามตลอดตามสองข้างหนทางจร
อีกอายว่านอายยาในป่าชิดล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน
ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากรกำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล
อายพื้นดินนำพาให้อาพาธวิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน
ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทนจึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ
คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุกช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร
เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซานบ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค
ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้าดูก็น่าสมเพชสังเวชโข
เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง
ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติดพระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง
คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรงบ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง
.
.
.
ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปดได้จำจดผูกพันจนวันกลับ
ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับได้สดับเรื่องหมดจดจำมา
ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพบางคนกลับผูกจิตริษยา
แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทาค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน
.
.
.
             

เชิงอรรถ

ที่มา

นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔

เครื่องมือส่วนตัว