บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 1,627: แถว 1,627:
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
๏ บัดนั้น  ฝูงประชามาสิ้นทุกถิ่นฐาน
 +
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวร้าน  เดินเที่ยวดูงานพล่านไป
 +
นักเลงเหล่าเจ้าชู้ฉุยฉาย  นุ่งรายฉีกผ้าดัดตัดผมใหม่
 +
ดัดจริตปิดขมัดทาไพล  ห่มแพรหนังไก่สองเพลาะ
 +
เห็นสาวสาวเหล่าเข้าหลวงเรือนนอก  สะกิดบอกเพื่อนกันคนนั้นเหมาะ
 +
บ้างเดินเวียนแวดวายชายร่ยเราะ  พูดปะเหลาะลดเลี้ยงเกี้ยวพาน
 +
พวกดูโขนโคนตมก็ไม่ว่า  สู้ทนฝนฟ้าไม่ไปบ้าน
 +
บ้างยืนนั่งตั้งใจจะดูงาน  สับสนอลหม่านเล้าลุม
 +
พวกผู้ชายรายยืนอยู่สองข้าง  แหวกทางให้ผู้หญิงถลำหลุม
 +
ที่ลื่นล้มกลางถนนคนชุม  หนุ่มหนุ่มสรวลเสเฮฮา ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หมันหยา
 +
ตะวันชายบ่ายบังหลังพลับพลา  ให้เรียกมวยเข้ามาฉับพลัน ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  คู่มวยลุกขึ้นขมีขมัน
 +
บ่างเท้าสาวหมัดกัดฟัน  ตั้งมั่นตาเขม็งคอยรับ
 +
ชกนอกหลอกหลอนลวงให้ไล่  ว่องไวได้ที่ตีเท้ากลับ
 +
ยังไม่ทันถึงยกฟกบวมยับ  อดเหนียวเคี่ยวขับไม่รับแพ้
 +
มุทะลุไล่สุ่มตะลุมบอน  ชกซ้อนถูกถนัดหมัดทอดแห
 +
ล้มลงกลอกคอทำท้อแท้  เรียกหมอมาแก้แล้วหยุดไว้ ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระตูหมันหยาเป็นใหญ่
 +
ทรงพระสรวลตรัสสั่งเสนาใน  จงไปเปรียบมวยผู้หญิงดู
 +
เลือกล่ำงามงามตามสมัคร  ที่ใจรักชกตีจะมีอยู่
 +
ลูกเมียของใครก็ไม่รู้  ได้คู่คาดหมัดมาบัดนี้ ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  เสนารับสั่งใส่เกศี
 +
มาเปรียบมวยผู้หญิงเป็นสิงคลี  ตามมีพระราชบัญชา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ คู่แรกหัวไรจุกจับกระเหม่า  หน้าเง้าเจ้าคารมผมประบ่า
 +
แต่งตัวผัวเสกขมิ้นทา  ห่มผ้าแพรแดงตระแบงมาน
 +
คาดหมัดขัดเขมรมงคลใส่  แล้วไปยังสนามหน้าฉาน
 +
ทุบหลังลงให้นั่งกราบกราน  พระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวหมันหยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
จึงว่าชอบกลอยู่คู่นี้  ชกให้ดีดีอย่าเกี้ยวกัน ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  คู่มวยผู้หญิงคนขยัน
 +
กราบลงแล้วลุกขึ้นฉับพลัน  ตั้งมั่นเหม่นเหม่ไม่มีแรง
 +
ย่างเท้าสาวหมัดเมินหน้า  หลับตาทุบถองกันพล่องแพล่ง
 +
เลี้ยวลอดกอดกัดวัดแวง  ล้มตะแคงคนดูเฮฮา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระตูผู้ผ่านหมันหยา
 +
ทอดพระเนตรอยู่บนพลับพลา  จนโพล้เพล้เวลาใกล้จะพลบ ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  พนักงานด้านพระเมรุเจนจบ
 +
พร้าขอตะกร้อน้ำเตรียมครบ  หน้าพลับพลาจุดคบรายไป ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่
 +
ให้จุดพุ่มระทาดอกไม้  ไสวสว่างช่วงดังดวงดาว ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  พวกหนังต่างประชันโห่ฉาว
 +
บ้างหยุดพากษ์เจรจาว่าเรื่องราว  บ้างเชิดบ้างกราวอึงไป ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ประชาชนอลหม่านไม่นับได้
 +
เป็นหมู่หมู่มาดูดอกไม้  แล้วไปดูหนังฟังเจรจา
 +
พวกผู้ดีหนุ่มหนุ่มคลุมศีรษะ  เดินปะใครพบก็หลบหน้า
 +
ปลอมปนมิให้คนสงกา  เที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มคะนอง
 +
พวกผู้หญิงชาวร้านบ้านใกล้  ตามไต้นั่งรายขายของ
 +
หมากพลูบุหรี่ใส่ซอง  เห็นใครเดินมาร้องเรียกให้ซื้อ
 +
พวกบัณฑิตติดจะเคอะเข้านั่งใกล้  ช่วยเขี่ยไต้อ่านอวดสวดหนังสือ
 +
ปะเหล่าโลนลำพองคะนองมือ  เอาอิฐถือลอบทิ้งจนนิ่งไป
 +
พวกผู้ชายโฉงเฉงนักเลงถั่ว  แต่งตัวนุ่งผ้าพกใหญ่
 +
เห็นบ่อนตั้งหลังระทาดอกไม้  ก็แวะวางเข้าไปนั่งแทง
 +
บ้างยักขึ้นเส้นเล่นพกเปล่า  ครั้นเสียเข้าก็นั่งทำหน้าแห้ง
 +
บ้างปลอมเปลี่ยนสับจับเงินแดง  ที่ติดพันยื้อแย้งกันรุงรัง
 +
ลางลอบเหล่าลอบจุดประทัดทิ้ง  พวกผู้หญิงเป็นหมู่มาดูหนัง
 +
บ้างโกรธบ้างว่าน่าชัง  บ้างนั่งดูสนุกบ้างลุกไป ฯ
 +
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีสีใส
 +
ครั้นค่ำคำนึงถึงทรามวัย  ภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา
 +
จะเข้าไปคอยอยู่ที่พระศพ  จะได้พบพุ่มพวงดวงยิหวา
 +
คิดพลางย่างเยื้องลีลา  เข้ามาเมรุสุวรรณชั้นใน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี  พระศพอัยกีเป็นใหญ่
 +
จึงจุดธูปเทียนทันใด  ด้วยใจเคารพบูชา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ประไหมสุหรีเสนหา
 +
สถิตยังสุวรรณพลับพลา  ครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ
 +
จึงชวนพระธิดายาใจ  จะเข้าไปทักษิณพระศพ
 +
โขลนจ่าข้าหลวงวิ่งกระทบ  จุดคบโคมส่องเสด็จมา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงบริเวณพระเมรุใหญ่  เห็นนายไพร่พร้อมพรั่งนั่งรักษา
 +
จึงหยุดยืนอยู่แทบทวารา  ทั้งสองกษัตราไม่คลาไคล ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
 +
บัดนั้น  นางโขลนผู้มีอัฌชาสัย
 +
วิ่งวางมาชับฉับไว  พวกผู้ชายออกไปเสียให้พ้น ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีแจ้งเหตุผล
 +
จึงขับเสนาสามนต์  ผู้คนทั้งนั้นออกมา
 +
แต่องค์เดียวเสด็จจรจรัล  ไปรับประหมันด้วยหรรษา
 +
น้อมองค์ลงถวายวันทา  แล้วแลดูจินตะหราวาตี ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
 +
จึงตรัสชวนระเด่นมนตรี  มาทักษิณอัยกีด้วยกัน ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีเกษมสันต์
 +
สมคิดดังจิตผูกพัน  จึงเสด็จจรจรัลตามมา
 +
พระแสร้งทำทักษิณไปพลาง  ชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา
 +
แสงเพลิงส่องจับกับพักตรา  โสภาเพียงบุหลันลอยโพยม
 +
ดูไหนให้เพลินจำเริญจิต  ยิ่งคิดพิสมัยที่ในโฉม
 +
ครั้นตึงช่องกลางหว่างโคม  ลำลำจะใคร่โลมนางเทวี ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นจินตะหรามารศรี
 +
ดำเนินเดินเคียงพระภูมี  ทำท่วงทีอายเอียงเมียงเมิน
 +
แลสบหลบเนตรเชษฐา  กัลยายิ่งระทวยขวยเขิน
 +
ให้อดสูจิตคิดสะเทิ้น  พลางเดินก้มพักตร์ทักษิณไป ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ประไหมสุหรีศรีใส
 +
เห็นท่วงทีอิเหนาก็เข้าใจ  ทำเมินเดินไปไม่นำพา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  พี่เลี้ยงกำนัลในซ้ายขวา
 +
แจ้งใจในทีกิริยา  ชายตาดูองค์พระทรงธรรม์
 +
เห็นดำเนินเดินชิดพระธิดา  กิริยาแยบคายคมสัน
 +
บ้างบอกเพื่อนสนิทสะกิดกัน  นางกำนัลซุบซิบกระหยิบตา
 +
ที่มีอัฌชาสัยมิใคร่เดิน  ทำเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า
 +
บ้างรอรั้งยั้งยืนพูดจา  ตามเสด็จเดินมาแต่ไกลไกล ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีศรีใส
 +
เดินเคียงกัลยาคลาไคล  เห็นนางห่างไกลพระชนนี
 +
จึงเอาพลูรอยกัดซัดต้ององค์  โฉมยงสะดุ้งเดินเมินหนี
 +
พระรีบไปพลันทันเทวี  ภูมียิ้มพรายชายตา
 +
เห็นนางเดินเมินเมียงเลี่ยงหลบ  พระแกล้งทำกระทบอังสา
 +
นาสิกสูดรสสุคนธา  กัลยาเคืองค้อนงอนงาม
 +
แต่เวียนวงทักษิณรอบพระศพ  จนจบถ้วนครบคำรบสาม
 +
ให้อาลัยที่จะไกลนงราม  ด้วยความประดิพัทธ์พันทวี ฯ
 +
ฯ ๘ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
 +
ครั้นเสร็จทักษิณศพพระอัยกี  ก็จรลีมาสุวรรณพลับพลา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงเร็ว
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ท้าวเจ้าเมืองหมันหยา
 +
สมโภชพระศพเสร็จเจ็ดทิวา  ครั้นเพลาบ่ายแสงสุริยง
 +
จึ่งให้เชิญพระโกศทองลองใน  ขึ้นใส่เชิงตะกอนสูงส่ง
 +
พร้อมพระมเหสีสุรย์วงศ์  ทั้งองค์อิเหนานัดดา
 +
ต่างถือธูปเทียนดอกไม้  เข้าไปประนมน้อมพร้อมหน้า
 +
จบพระหัตถ์มัสการขอสมา  อย่าให้มีเวราสืบไป
 +
ครั้นเสร็จจึงจุดเพลิงพลัน  สารพันเครื่องหอมซัดใส่
 +
คับคั่งทั้งข้างหน้าข้างใน  ต่างคนเข้าไปจุดอัคคี ฯ
 +
ฯ ๘ คำ ฯ ปี่กลอง
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
 +
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตี  ดูเปลวอัคคีชัชวาล
 +
นางยิ่งระทดสลดจิต  อาลัยให้คิดสงสาร
 +
ต่างองค์ยกหัตถ์มัสการ  เยาวมาลย์ช้อนทรวงเข้าโศกา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
 +
 +
 +
<sup>โอ้บูชากนฑ์</sup>
 +
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย  พระคุณเคยปกเกล้าเกศา
 +
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมา  ไม่นิราศคลาดคลาสักคืนวัน
 +
พระพี่นางทั้งสองมาเชิญไป  ก็มิได้จำนงผายผัน
 +
เพราะรักใคร่ในลูกผูกพัน  ประโลมเลี้ยงหลานขวัญทุกเวลา
 +
ทีนี้ตั้งแต่จะแลลับ  ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นหน้า
 +
ร่ำพลางนางทรงโศกา  กัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
 +
 +
 +
<sup>ร่าย</sup>
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านหมันหยากรุงศรี 
 +
ครั้นเสร็จส่งสักการะพระอัยกี  ภูมีสร้อยเศร้าเปล่าวิญญ์
 +
จึ่งชวนมเหสีโฉมยง  กับองค์บุตรีเสนหา
 +
พร้อมฝูงกำนัลกัลยา  ลีลาเข้ายังวังใน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีศรีใส
 +
ครั้นท้าวหมันหยาคลาไคล  ก็กลับไปที่อยู่พระภูธร ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจง  ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์
 +
ถวิลถึงวนิดายิ่งอาวรณ์  พลางสะท้อนถอนใจไปมา
 +
กรกอดเขนยข้างไว้หว่างทรวง  สำคัญว่าพุ่มพวงดวงยิหวา
 +
เคลิ้มเคล้นเหมือนจะเห็นกัลยา  พระหลงใหลไขว่คว้าม่านมอง
 +
ครั้นรู้สึกสมประดีว่ามิใช่  ก็เศร้าเสียพระทัยหม่นหมอง
 +
ให้โศกศัลย์รัญจวนถึงนวลน้อง  นิ่งตรึกตรองจนหลับไป ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระตูหมันหยาเป็นใหญ่
 +
ครั้นรุ่งสางสร่างแสงอโณทัย  ภูวไนยแต่งองค์อลงกร
 +
ครั้นเสร็จเสด็จจรลี  มายังที่เกยลาหน้าฉาน
 +
ขึ้นทรงยานุมาศสามคาน  พนักงานแห่แหนแน่นนันต์
 +
องค์ประไหมสุหรีกกับธิดา  เสด็จมาในแนวแนวนกั้น
 +
ระเด่นมนตรีกุเรปัน  ก็ตามมาเมรุสุวรรณบรรจง ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
 +
 +
 +
 +
ครั้นถึงจึงชวนพระวงศา  เขี่ยหาพระธาตุกวาดเผ้าผง
 +
เก็บได้ใส่ขันสุวรรณลง  โสรจสรงสุคนธาวารี ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นจินตะหรามารศรี
 +
เขี่ยหาพระธาตุอัยกี  เทวีพลางทรงโศกาลัย ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีศรีใส
 +
เห็นนางหยิบลงที่แห่งใด  ภูวไนยหยิบลงที่ตรงนั้น
 +
พระกรกระทบกรนางเทวี  ทำทีแยบคายคมสัน
 +
แล้วแสร้งทรงโศกาจาบัลย์  มิให้สองประหมันกินใจ ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านหมันหยาเป็นใหญ่
 +
เสร็จสรงพระธาตุทันใด  ใส่ในโกศรัตน์ชัชวาล
 +
ให้เชิญเข้าไปในวัง  สถิตยังปราสาทราชฐาน
 +
และสั่งให้ลอยพระอังคาร  ตามจารีตบุราณแต่ก่อนมา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  เสนีรับสั่งใส่เกศา
 +
มาจัดแจงแต่งตามพระบัญชา  ชาวมาลาไปกวาดพระอังคาร
 +
เอาห่อหุ้มคลุมผ้าโขมพัตถ์  แล้วผูกรัดพันเข้าทั้งเถ้าถ่าน
 +
ใส่ในขันทองรองพาน  เชิญขึ้นพระยานมาศมา
 +
คู่แห่แต่ล้วนใส่ลำพอก  พนมมือถือดอกบุปผา
 +
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องโกลา  แห่ไปยังท่าชลาลัย ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงตะพานเหนือตำหนักแพ  เรือแห่ธงทิวปลิวไสว
 +
จึงเชิญพระอังคารลงไป  เรือที่นั่งเอกชัยฉับพลัน
 +
พลพายนั่งพายเป็นคู่คู่  ใส่เสื้อปัศตูดูขบขัน
 +
เรือขุนนางเรือที่นั่งดั้งกัน  แห่แหนแน่นันต์นทีธาร ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงกึ่งกลางสาชล  เป็นวังวนกว้างใหญ่ไพศาล
 +
ชาวภูษามาลาพนักงาน  ก็เชิญพระอังคารลอยไป ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
</tpoem>
</tpoem>

การปรับปรุง เมื่อ 10:18, 7 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

บทประพันธ์

ช้าปี่
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงสี่องค์ทรงธรรม์นาถา
เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เทวาบิตุเรศมารดาเดียวกัน
รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดชได้ดำรงนคเรศเขตขัณฑ์
พระเชษฐาครองกรุงกุเรปันถัดนั้นครองดาหาธานี
องค์หนึ่งครองกาหลังบุรีรัตน์องค์หนึ่งครองสิงหัดส่าหรี
เฉลิมโลกโลกาธาตรีไม่มีผู้รอต่อฤทธิ์
ระบือลือทั่วทุกประเทศย่อมเกรงเดชเดชาอาญาสิทธิ์
บำรุงราษฎร์ดับเข็ญอยู่เป็นนิจโดยทางทศพิศราชธรรม์
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ มีพระมเหษีห้าองค์ดั่งอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เลือกล้วนสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์กษัตริย์ครองเขตขัณฑ์สวรรยา
ตั้งแต่งตามตำแหน่งครบที่คือประไหมสุหรีเสน่หา
มะเดหวีที่สองรองลงมาแล้วมะโตโสภานารี
ที่สี่ลิกูนงเยาว์ที่ห้านั้นเหมาหลาหงี
อันอัครชายาทั้งห้านี้ตั้งได้แต่สี่พารา
ประดับด้วยสุรางค์นางสนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ถ้วนหมื่นหกพันกัลยาวิลาศเลิศลักขณาทุกนางใน
สำหรับขับรำบำเรอราชพิณพาทย์จำเรียงเสียงใส
ผลัดกันปั่นโมงมาคอยใช้พนักงานของใครระไวระวัง
มีเหล่าเถ้าแก่ท้าวนางงานเครื่องงานกลางผู้รับสั่ง
โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าชาวคลังจัดแจงแต่งตั้งครบครัน
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ มีหมู่มาตยาสามนต์โยธีรี้พลแข็งขัน
นับหมื่นพื้นหาญชาญฉกรรจ์เคยณรงค์โรมรันไม่ครั่นคร้าม
ม้ารถคชไกรไม่ใช่ชั่วแต่ละตัวแกล้วกล้ากลางสนาม
ทนปืนยืนยงในสงครามฦานามขามฤทธิทุกทิศไป
นานานัคเรศประเทศราชเข็ดขยาดย่อท้อไม่ต่อได้
ต่างถวายสุวรรณมาลัยโอรสยศไกรและธิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
ยานี
๏ อันสี่ธานีราชฐานกว้างใหญ่ไพศาลหนักหนา
เทเวศร์นฤมิตด้วยฤทธาสนุกดั่งเมืองฟ้าสุราลัย
มีปราสาททั้งสามตามฤดูเสด็จอยู่โดยจินดาอัชฌาสัย
หลังคาฝาผนังนอกในแล้วไปด้วยโมราศิลาทอง
ภูเขาเงินรองฐานมีมารแบกยอดแทรกยอดใหญ่ไม้สิบสอง
แก้วไพฑูรย์ทำเป็นลำยองบัญชรช่องชัชวาลบานบัง
พระปรัศว์ซ้ายขวาอ่าโถงท้องพระโรงรจนาหน้าหลัง
พระแท่นแก้วกุดั่นบัลลังก์กางกั้นเศวตฉัตรอยู่อัตรา
บรรจถรณ์ที่ไสยาสน์อาสน์สุวรรณมีฉากแก้วแพรวพรรณคั่นฝา
ที่เสวยที่สรงคงคาที่นั่งเย็นอยู่หน้ามนเทียรทอง
พรรณไม้ดอกลูกปลกกระถางไว้หว่างอ่างแก้วเป็นแถวถ้อง
ราบรื่นพื้นชาลาดังหน้ากองอิฐทองปูลาดสะอาดตา
ที่ทิมที่ล้อมวงองครักษ์นอกกองเกณฑ์พิทักษ์รักษา
โรงแสงโรงภูษามาลาเรียงเรียบรัถยาหน้าพระลาน
เครื่องเนืองกันเป็นหลั่นลดโรงม้าโรงรถคชสาร
ติกาหลังสำหรับพระกุมารอยู่นอกปราการกำแพงวัง ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ประตูลักลงท่าชลาลัยมีโรงเรือเรียงไปริมฝั่ง
เรือศรีสุวรรณบัลลังก์เรือแข่งเรือที่นั่งตั้งบนม้า
เรือกิ่งเอกชัยใส่บุษบกงามกระหนกลวดลายท้ายหน้า
พนักงานตำรวจใหญ่ไตรตราเกณฑ์ไพร่ให้รักษานาวี
ตำหนักแพแลล้ำอำไพมุขดลพาไลหลังคาสี
ช่อฟ้าหน้าบันปราลีล้วนมณีเนาวรัตน์ชัชวาล
ข้างหน้าตำหนักน้ำนั้นทำเกรงสำหรับราชสุริย์วงศ์สรงสนาน
เบื้องบนบังสาดดาดเพดานผูกม่านมู่ลี่ลายทอง
ฤดูสิบเอ็ดเสด็จลงลอยกระทงทรงประทีปเป็นแถวถ้อง
ทอดทุ่นท้ายน้ำประจำซองตั้งกองล้อมวงพระทรงธรรม์
อันถนนหนทางท้องฉนวนศิลาลายลาดล้วนเลือกสรร
มีตึกแถวทิมรอบขอบคันเรือนสนมกำนัลเป็นหลั่นมา ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
สมิงทอง
๏ ท้องสนามแกล้งปราบราบรื่นพ่างพื้นปถพีไม่มีหญ้า
กว้างใหญ่ไพศาลสุดตาเตียนสะอาดดาษดาด้วยทรายทอง
มีสุวรรณพลับพลาบนปราการสูงตระหง่านเอื้อมฟ้าสิบห้าห้อง
ช่อฟ้าปราลีลำยองฉลักฉลุบุทองอร่ามไป
สำหรับที่ทอดพระเนตรสระสนานล่อแพนผัดพานเป็นการใหญ่
ประลองเหล่าทหารชาญชัยยิงธนูศรใส่ยาพิษ
ตั้งป้อมหัดปืนยิงหุ่นแม่นยำซ้ำกระสุนไม่มีผิด
โล่ดั้งดาบฟันกระชั้นชิดเพลงกริชสันทัดทั่วทุกตัวตน
บ้างรำทวนเปลี่ยนท่าบนพาชีขับขี่เคยศึกฝึกฝน
ประลองคชสารสู้บำรูชนใช้ชำนาญในกลการยุทธ์ ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
ร่าย
๏ รอบราชนิเวศน์เขตขัณฑ์มีปราการแก้วกั้นสูงสุด
ซุ้มทวารบานสุวรรณชมพูนุทประตูลักช่องกุฎิ์สลับกัน
มีทิวแถวโรงช้างระวางค่ายเชิงเรียงรายเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์
หอรบแลสล้างนางจรัลป้อมสูงสามชั้นเป็นหลั่นลด
รายปืนจินดาจังกาส่องวางประจำทุกช่องเสมาหมด
เชิงเทินดังเนินบรรพตบันไดลดเลี่ยนลาดสะอาดตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ท่ามกลางทางท้องสถลมาศลำดับดาดอิฐแผ่นแน่นหนา
บ้านช่องสองข้างมรรคาล้วนเคหาหน้าถังนั่งร้าน
เหล่าพวกกรมท่าเจ้าภาษีมั่งมีสมบัติพัสถาน
เรือนริมรัถยาฝากระดานตึกกว้านบ้านขุนนางนองเนือง
สุเหร่าเรียงเคียงคั่นปั้นหยาก่อผนังหลังคามุงกระเบื้อง
ศาลเทพารักษ์หลักเมืองนับถือลือเลื่องทั้งกรุงไกร
เสาชิงช้าอาวาสวัดพราหมณ์ทำตามประเพณีพิธีไสย
หอกลองอยู่กลางเวียงชัยแม้เกิดไฟไพรีตีสัญญา
สะพานข้างทางข้ามคชสารก่ออิฐปูกระดานไม้หนา
คลองหลอดแลลิ่วสุดตาน้ำลงคงคาไม่ขอดเคือง
นาวาค้าขายพายขึ้นล่องตามแม่น้ำลำคลองแน่นเนื่อง
แพจอดตลอดท่าหน้าเมืองนองเนืองเป็นขนัดในนัที
ข้าวของต่างต่างเอาวางขายแพรม้วนมากมายหลายสี
ยกทองล่องจวนเจ็ดตะคลีพลอยมณีเพชรนิลจินดา
บริบูรณ์พูนสุขด้วยสมบัติแก้วเก้าเนาวรัตน์วัตถา
ทุกสิ่งสรรพ์เอมโอชโภชนาย่อมเยาราคาสารพัน ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
เบ้าหลุด
๏ ลูกค้าวานิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
สำเภาจอดทอดท่าเรียงรันสลุบแขกกำปั่นวิลันดา
จีนจามอะแจแซ่ซ้องคับคั่งทั้งสิบสองภาษา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราถ้วนหน้าประชาชนมนตรี
บ้างฝึกสอนคนรำทำบทบาทพิณพาทย์ระนาดฆ้องอึงมี่
ลูกค้าวาณิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
พวกขุนนางต่างหัดมโหรีลาวสาวเสียงดีมีหลายคน
บ้างลงท่าโกนจุกสนุกสนานมีงานการกึกก้องทุกแห่งหน
บ้างตั้งบ่อนปลากัดงัดไก่ชนทรหดอดทนเป็นเดิมพัน
บ้างเล่นวิ่งวัวคนโคระแทะชนแพะแกะกระบือคูขัน
บ้างเล่นว่าวคุลาคว้าพนันปากเป้าสั้นโห่ฉาววิ่งราวมา
ราตรีมีหนังประชันเชิดฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างเล่นเพลงครึ่งท้อนกลอนสักวาทั้งสุดใจไก่ป่าสารพัน ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ฝ่ายฝูงสาวสาวชาวกรุงก็บำรุงรูปโฉมเฉิดฉัน
ขัดขมิ้นหนุนเนื้อเจือจันทน์หวีผมคมสันกันไร
ที่ลูกเหล่าพงศ์เผ่าพวกผู้ดีรูปทรงส่งศรีผ่องใส
ซ่อนตัวกลัวจะเก็บเป็นางในถึงมีงานการใหญ่ไม่ไปดู
ลางพวกเพิ่งดรุณีแรกสาวเจ้าบ่าวไปปลูกหอขอสู่
บ้างลอบลักรักเร้นเป็นชู้หมากพลูพวงมาลัยให้กัน
พวกหนุ่มหนุ่มพากเพียรเวียนแวดขายมุ่งหมายรักใคร่ใฝ่ฝัน
..............................วรรคนี้หายไปไม่มีในต้นฉบับ........................
บ้างดีดนิ้วผิวปากทำเพลงล้วนนักเลงเจ้าชู้ฉุยฉาย
ลดเลี้ยวเที่ยวเล่นตามสบายหญิงชายเป็นสุขทุกคืนวัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ปลิ่ม
๏ ทิศใต้ภายนอกธานีมีสระสวนศรีสะตาหมัน
มิ่งไม้หลายอย่างต่างพรรณล้วนแกล้งกลั่นสรรสาปลูกไว้
บ้างเผล็ดผลผการะย้าย้อยช่อช้อยชูก้านบานไสว
พ่างพื้นรื่นร่มสำราญใจมีตำหนักน้อยในวารี
อันโบกขรณีสี่เหลี่ยมน้ำเปี่ยมเทียบปากสระศรรี
ใสสะอาดปราศจากราคีดังแสงแก้วมณีรจนา
มีสุพรรณโกสุมปทุมมาลย์ตูมบานแย้มกลีบกลิ่นเกล้า
เกสรร่วงลงคงคาพระพายพาหอมฟุ้งจรุงใจ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ นอกกเมืองมีสระตำยลหนึ่งวารีลึกซึ้งเย็นใส
ริมรอบขอบคันล้วนพรรณไม้ระบัดใบบังแสงสุริยง
เป็นที่ภูธรแต่ก่อนมาแม้นปราบข้าศึกเสร็จเสด็จสรง
ประดับด้วยโกมุทบุษบงลินจงอุบลบัวบาน
มีพลับพลาที่ประทับยับยั้งอยู่ริมฝั่งสระใหญ่ไพศาล
สำหรับเมืองเนื่องมาแต่บุราณทั้งสี่ราชฐานพารา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
พระทอง
๏ แต่กรุงดาหาธานีมีคิรีวิลิศมาหรา
อยู่นอกเมืองข้างเบื้องบูรพามรรคาวันหนึ่งถึงบรรพต
อารักษ์เรืองฤทธิ์สถิตสถานเชี่ยวชาญเดชาปรากฏ
ย่อมเป็นที่นับถือลือยศแห่งชาวชนบทพระบุรี
แม้นมีเหตุเภทพานประการใดก็บวงบนเทพไทเรืองศรี
ทำตามบุราณราชประเพณีถึงปีไปเคารพอภิวันท์
ทั้งที่พระองค์วงศ์เทเวศร์ดำรงนคเรศเกษมสันต์
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งนั้นเป็นสุขทุกวันทุกเวลา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงพิชัยเขตขัณฑ์หมันหยา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราบรรดากรุงชวาไม่เทียมทัด
เป็นใหญ่ยิ่งกว่าทุกธานีแต่ก่อนทั้งบุรีสี่กษัตริย์
ประกอบด้วยแก้วเก้าเนาวรัตน์ไอศูรย์สมบัติศฤงคาร
มีหมู่มาตยาข้าเฝ้าสองเหล่าพลเรือนแลทหาร
โยธีนับหมื่นพื้นเชี่ยวชาญแต่ละคนเคยชำนาญในการรบ
อยู่ยงคงกระพันสาตราวิชาโล่เขนเจนจบ
ราชรถคชสารสินธพเลิศลบเลือนกว่าทุกธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ปางก่อนพระนครหมันหยาประชาราษฎร์มาตยาเกษมศรี
ตั้งแต่ระตูภูมีสุดสิ้นชีวีทิวงคต
ก็เย็นเยียบเงียบเหงาเปล่าใจทั่วนิเใศน์เวียงชัยชยนบท
ตั้งแต่ประไหมสุหรีมียศโศกศัลย์รันทดทุกเวลา
มีราชธิดาสามองค์งามทรงวงพักตร์เพียงเลขา
พี่นางทรงนามสมญาชื่อนิหลาอระตาเทวี
พระผู้ผ่านพิภพกุเรปันตุนาหงันเป็นประไหมสุหรี
อันระเด่นดาหลาวาตีบุตรีที่สองรองลงมา
ท้าวดาหาตุนาหงันไปเป็นประไหมสุหรีในดาหา
ยังแต่น้องนุชสุดโสภากัลยาแรกรุ่นจำเริญวัย
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนนีถนอมนักรักใคร่
กษัตริย์ใดมาขออรทัยไม่ยินยอมยกให้ไปไกลองค์
หวังจะให้เป็นเอกในเศวตฉัตรสืบตระกูลกษัตริย์สูงส่ง
อันท้าวมังกันฤทธิ์วงศ์ก็เนื่องในสุริย์วงศ์กันมา
ได้ครอบครองสวรรยาธานีทรงธรรม์นั้นมีโอรสา
พระคิดถึงระตูผู้มรณาจะบำรุงพาราให้เรืองไป
จึงตกแต่ของมาตุนาหงันชนนีนางนั้นก็อวยให้
อภิเษกเอกองค์โอรสไว้ในพิชัยหมันหยาธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดีสุขเกษมเปรมปรีดิ์มาช้านาน
จึงมีพระโอรสาด้วยลิกูกัลยายอดสงสาร
ชื่อกระหรัดตะปาตีกุมารรูปทรงสัณฐานโสภา
พระบิตุเรศมารดาทั้งห้าองค์พิศวงจงรักหนักหนา
เย็นเช้าเฝ้าชมทุกเวลาแสนสนิทเสน่หาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึ่งจัดกิดาหยันน้องน้อยถ้วนร้อยโปรดปรานประทานให้
ทั้งนางนมพี่เลี้ยงแลสาวใช้เจ้าขรัวยายผู้ใหญ่ได้บังคับ
ประทานทั้งเงินทองของขวัญตามขนมครบครันเครื่องประดับ
สร้อยสุวรรณสังวาลบานพับเกี้ยวแก้วแวววับสำหรับยศ
ให้ตั้งกรรมทำกิจวิทยาพร้อมคณะพรามหาดาบส
ชุบกริชประสิทธิ์ให้โอรสเลื่องหล้าปรากฎฤทธิไกร
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยลิกูนารีศรีใส
ชื่อบุษบารากายาใจตุนาหงันกล่าวไว้แก่ลูกยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ คิดจะให้ประไหมสุหรีนั้นทรงครรภ์พระโอรสา
จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์เทวาดำรงขัณฑเสมาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ คิดพลางทางถวายเครื่องบวงสรวงบำบวงเทวราชเรืองศรี
ขออารักษ์หลักเมืองเรืองฤทธีได้ปรานีเชิญช่วยจงสคิด
ให้ประไหมสุหรีนั้นมีบุตรเป็นบุรุษรูปโฉมประโลมจิต
ได้ครอบครองพระนครขจรฤทธิ์ลือสะท้านทั่วทิศทั้งปวง
แม้นสมปรารถนาดังว่าขานจะแต่งแก้บนบานบวงสรวง
เทียนทองชวาลาบุปผาพวงพรรณรายรุ้งร่วงด้วยเนาวรัตน์
จะแผ่ทองเนื้อเก้าหุ้มเสาศาลเอาตาดคำทำม่านเพดานดัด
อีกทั้งทิวธงราชวัติชุมสายเศวตฉัตรชัชวาล
ทั้งแพะแกะโคกระทิงสิ่งละร้อยจะปล่อยไว้ในเทวสถาน
จะสมโภชเจ็ดทิวาราตรีกาลมีงานมหรสรพครบครัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเฉิดฉัน
ร่วมภิรมย์สมสุขด้วยทรงธรรม์เมื่อจวนจะมีครรภ์พระลูกรัก
ราตรีเข้าที่พระบรรทมด้วยบรมนรินทร์ปิ่นปักษ์
บังเกิดนิมิตฝันอัศจรรยบ์นักว่านงลักษณ์นั่งเล่นที่ชาลา
มีพระสุริยงทรงกลดชักรถมาในเวหา
แจ่มแจ้งแสงสว่างทั้งโลกาตกลงตรงหน้านางรับไว้
ครั้นนิทราตื่นฟื้นองค์ให้หลากจิตพิศวงสงสัย
จึงทูลพระภัสดาพลันทันใดโดยนัยนิมิตเยาวมาลย์ ฯ
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหราได้ทราบสาร
นิ่งนึกตรึกดูก็แจ้งการจะมีครรภ์กุมารเป็นมั่นคง
พระเร่งเกษมสันต์หรรษาสมถวิลจินดาดังประสงค์
พอรุ่งรางสว่างแสงสุริยงก็อ่าองค์ทรงเครื่องรูจี
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัลนั่งเหนือแท่นสุวรรณจำรัสศรี
แล้วเล่าความนิมิตเทวีแก่โหรเฒ่าทั้งสี่ทันใด ฯ
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้นทั้งสี่โหราอัชฌาสัย
พิเคราะห์ดูเห็นแจ้งไม่แคลงใจต่างทูลภูวไนยไปพลัน
อันพระสุบินนี้ดีนักจะได้โอรสรักเป็นแม่นมั่น
อาจองทรงเดชดังสุริยันทุกนิเวศน์เขตขัณฑ์ไม่ต้านทาน
จะเป็นที่ดับเข็ญให้เย็นยุคราษฎรจะได้สุขเกษมศานต์
ซึ่งนิมิตยามจันทร์วันอังคารจวนเวลากาลอโณทัย
สิ่งใดพระองค์ประสงค์นักตำราว่าจักพลันได้
แต่ในสองเดือนถ้าเคลื่อนไปพระอย่าไว้ชีวิตโหรา ฯ
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันหรรษา
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนาให้จัดเสื้อผ้าแพรพรรณ
ทั้งเงินทองข้าวของหลากหลายมาให้โหรผู้ทายทำนายฝัน
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัลเข้าปราสาทสุวรรณรจนา ฯ
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเสน่หา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลาประมาณเดือนหนึ่งมาก็มีครรภ์
ยิ่งผุดผาดผิวผ่องละอององค์ดังอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เมื่อจวนจะถ้วนกำหนดนั้นให้บังเกิดอัศจรรย์จลาจล
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นควันตลบทั้งเวหน
มืดมิดปิดแสงพระสุริยนฟ้าลั่นอึงอลนภาลัย
แลบพรายเป็นสายอินทรธนูสักครู่ก็เกิดพายุใหญ่
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมไปแล้วฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสายแต่มิได้อันตรายจักผ่า
เย็นทั่วฝูงราษฎร์ประชาทั้งเจ็ดทิวาราตี ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสด็จยังปรางค์รัตน์มณีภูมีเห็นนิมิตผิดใจ
เกิดมาแต่ก่อนบ่ห่อนเห็นจะอุบัติขัดเข็ญเป็นไฉน
คิดพลางย่างเยื้องคลาไคลเสด็จออกพระโรงชัยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีพระราชบรรหารถามโหราจารย์คนขยัน
ซึ่งเกิดมหัศจรรย์ผิดอย่างปางบรรพ์ไม่เคยมี
หรือจะเป็นเหตุการณ์แก่บ้านเมืองระคายเคืองขุ่นข้องหมองศรี
จงเร่งทำนายร้ายหรือดีเรานี้ให้ฉงนสนเท่ห์ใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนโหรกราบทูลแถลงไข
ข้าพิเคราะห์เห็นไม่เป็นไรแต่วันแรกนั้นได้ปรึกษากัน
คูณควณสวนสอบทุกตำราดูชะตานคเรศเขตขัณฑ์
วางลัคน์อินทพาทบาทจันทร์ก็ไม่เห็นสำคัญอันตราย
เพราะอานุภาพพระโอรสให้ปรากฏแก่โลกทั้งหลาย
ซึ่งฟ้าร้องสนั่นลั่นแลบพรายบันดาลเป็นสายอินทรธนู
จะกึกก้องเกียรติยศทั้งทศทิศเรืองฤทธิ์ไม่มีที่เคียงคู่
พระจะเที่ยวโรมรันพันตูปราบหมู่อริราชทุกบุรี
อันเกิดพายุใหญ่ไม้ล้มระตูจะบังคมบทศรี
ซึ่งฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรีบรรณาการจะมีเนืองมา
เมื่อพระชันษาสิบห้าขวบพระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามคราแต่ว่าเห็นไม่เป็นไรนัก
พระจะไปได้นางในเมืองอื่นชมชื่นรื่นรสด้วยยศศักดิ์
แล้วจำเป็นจะจากกันทั้งรักพระจะได้ทุกข์นักเพราะนารี
นางใจที่ประสงค์จำนงให้ไม่อาลัยจะสลัดหลีกหนี
ซึ่งเมฆหมอกมืดมัวทั่วราตรีบดบังรังสีสุริยน
พระองค์ดั่งดวงทินกรทรงเดชขจรทุกแห่งหน
พระโอรสยศยิ่งภูวดลเหมือนเมฆเกลื่อนกล่นเข้าบังไว้
ซึ่งเป็นควันตลบอบอัมพรภูธรจะทุกข์ทนหม่นไหม้
ด้วยโอรสาจะคลาไคลจำเป็นจำให้กำจัดกัน
พระจะเที่ยวมะงุมมะงาหราย่ำยีบีฑาทุกเขตขัณฑ์
สิบสามปีจะคืนกุเรปันจะได้สองนางนั้นมาธานี
จึงจะเย็นแหล่งหล้าประชากรสโมสรเป็นสุขเกษมศรี
จะสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกวันนี้พระจะมีมเหสีถึงสิบองค์
บรรดากรุงชวาทั้งปวงจะขึ้นแก่กุเรปันเป็นส่วยส่ง
ข้าเห็นพร้อมกันเป็นมั่นคงมิได้พะวงสงกา ฯ
ฯ ๒๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันนาถา
ฟังคำทำนายโหราเกษมสันต์หรรษาเป็นพ้นนัก
จึงประทานบำเหน็จนานาเสื้อผ้านุ่งห่มสมปัก
ให้โหรเฒ่าผู้ทำนายทายทักแล้วทรงศักดิ์เสด็จจากพระโรงคัล ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
ตั้งแต่เกิดเหตุมหัศจรรย์นับได้เจ็ดวันเจ็ดคืนมา
พระครรภ์ครบกำหนดทศมาสจะประสูติพระราชโอรสา
ให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายาประหนึ่งว่าชีวันจะอันตราย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นฝูงสุรางค์นางกำนัลทั้งหลาย
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่เจ้าขรัวนายเห็นโฉมฉายปั่นป่วนประชวรครรภ์
บ้างเข้าหนุนพระขนองประคองรับกำชับหมอตำแยที่แปรผัน
บ้างไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์บังคมคัลทูลแถลงให้แจ้งใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านพิภพกรุงใหญ่
ฟังข่าวเร่าร้อนฤทัยภูวไนยก็รีบลีลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระจึงเสด็จนั่งเหนือสุวรรณบัลลังก์เลขา
พร้อมสี่มเหสีกัลยาสุริย์วงศ์พงศามากมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงค์ประไหมสุหรี
ครั้นได้ฤกษ์พานาทีเทวีก็ประสูติพระกุมาร
ชาวประโคมก็ประโคมแตรสังข์พร้อมพรั่งจำเรียงเสียงประสาน
อันอัศจรรย์ซึ่งบันดาลก็อันตรธานทันใดฯ
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีศรีใส
จึงเอาข่ายแก้วแววไวรับพระดนัยโฉฉมยง
แล้วเอาน้ำดอกไม้ใสสดมารินรดชำระสระสรง
ลูบไล้ด้วยเครื่องสุคนธ์ทรงวางลงบนยี่ภู่พานสุวรรณ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
พิศโฉมลูกยาวิลาวัณย์สารพันงามสิ้นทั้งอินทรีย์
ดำแดงแน่งเนื้อนวลผจงน่ารักรูปทรงส่งศรี
สมหมายเหมือนถวิลยินดีเสน่หาพ้นที่จะพรรณนา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางข้างในถ้วนหน้า
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่จ่าชาก็จัดสรรภรรยาเสนี
เป็นนางสนมสมบูรณ์ด้วยรูปร่างครบถ้วนตามอย่างหกสิบสี่
เว้นโทษขาวดำผอมพีไม่มีต่ำสูงเสมอกัน
แล้วจัดเหล่านารีพี่เลี้ยงที่ควรเคียงถือต้องประคองขวัญ
สี่อนงค์ทรงลักษณ์ลาวัลย์ล้วนวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตรา
กับนางกำนัลน้อยน้อยสองร้อยรูปร่างโอ่อ่า
ทั้งเงินทองของขวัญนานานำมาถวายทันที ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นจึงมหาอำมาตย์ทั้งสี่
กับทั้งเหล่าเสนามนตรีแต่บรรดาที่มีบุตรนั้น
ให้จัดแจงแต่งตัวทั้งแปดร้อยล้วนน้อยน้อยหน้าตาคมสัน
พาไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ถวายเป็นข้าขวัญพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
ชื่นชมโสมนัสเบิกบานจึงมีบัญชาการตรัสไป
อันบุตรเสนาปาเตะตั้งที่ยะรุเดะพี่เลี้ยงใหญ่
บุตรตำมะหงงเสนาในตั้งให้เป็นที่ปูนตา
อันบุตรดะหมังมนตรีตั้งเป็นที่ประสันตาครบครัน
พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อยรูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน
พระสั่งให้ประทานรางวัลตามหลั่นพี่เลี้ยงแลมนตรี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายสามอนุชาเรืองศรี
อีกองค์สมเด็จพระอัยกีกับประไหมสุหรีหมันหยานั้น
ทั้งระภูธรทุกประเทศครั้นเห็นเหตุวิปริตผิดผัน
ต่างองค์ทรงคิดอัศจรรย์ให้สงสัยไหวหวั่นหฤทัย
บ้างให้ค้นดูตำรับข้างที่จดหมายเหตุคัมภีร์น้อยใหญ่
คนแก่เฒ่าก็เอามาซักไซ้บ้างถามไถ่โหราพฤฒาจารย์
บ้างให้หาบีกูประมาหนาฤาษีชีป่าในไพรสัณฑ์
ที่ได้กสิณอภิญญาณก็แจ้งการทำนายมาเหมือนกัน
ต่างรู้ประจักษ์แจ้งแห่งเหตุผู้มีเดชลงมาจากสวรรค์
เป็นโอรสท้าวกุเรปันจะประสูติจากครรภ์พระชนนี
อันท้าวดาหาแลกาหลังอีกทั้งท้าวสิงหัดส่าหรี
กับองค์อัครราชเทวีชื่นชมยินดีเป็นสุดคิด
จึงจัดของขวัญพระกุมารสร้อยสนสังวาลวิภูษิต
มงกุฎแก้วกุณฑลตาบทิศตามอย่างราชนิติบุราณมา
ให้มหาเสนานำไปยังกรุงไกรบรมเชษฐา
เฉลิมขวัญพระราชนัดดาโดยตำราตราตั้งจิรังกาล
ฝ่ายองค์สมเด็จพระอัยกีในหมันหยาธานีราชฐาน
จัดระเด่นดาหยันกุมารซึ่งเป็นวงษ์วารกษัตรา
กับพี่เลี้ยงแลนางนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ชายหญิงสิ่งละร้อยโดยตรามอบให้เสนานำไป ฯ
ฯ ๒๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาหมันหยากรุงใหญ่
ถวายบังคมลาคลาไคลออกจากพิชัยธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
เร่งรัดรีบมสิบห้าวันก็ลุถึงกุเรปันกรุงศรี
พบทูตทั้งสามพระบุรีพากันจรลีเข้าวังใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหาปะเตะเสนาแลดาหมัง
ต่างแถลงแจ้งความให้ฟังแล้วพากันมาพระโรงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางกำนัลน้อยใหญ่
ครั้นถึงวันสมโภชพระดนัยก็วุ่นวายวิ่งไขว่ไปทั้งวัง
เร่งให้หาโหราพราหมณ์ชีชาวประโคมดนตรีแตรสังข์
เอาขันสาครใหญ่ในคลังมันจัดแจงแต่งตั้งเตียงรอง
ปักสุวรรณราชวัติฉัตรธงรายรอบที่สรงเป็นแถวถ้อง
ทั้งมะพร้าวเต่าปลาเงินทองจัดต้องตามธรรมเนียมเตรียมไว้
ตั้งบายศรีเงินทองสองสำรับแซมยอดสอดประดับดอกไม้ไหว
ลังข์กลศแว่นเวียนเทียนชัยแต่งไว้เสร็จถ้วนทุกสิ่งอัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
เวลาควรจวนฤกษ์ก็จรจรัลไปปราสาทสุวรรณพระโอรส ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
นั่งเหนือบัลลังก์รูจีพร้อมพระมเหสีทั้งปวงหมด
ต่างกราบบาทบงสุ์พระทรงยศพอกำหนดพระฤกษ์เวลา
จึงให้เชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่เข้าอุ้มองค์พระดนัยเสน่หา
เชิญสี่บีกูนั้นเข้ามาจำเริญเกศาพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
แล้วเชิญลงสรงน้ำในสาครอับอบอายเกสรหอมหวาน
ชีพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์ต่างอ่านพระเวทย์ถวายชัย
ราชครูบีกูทั้งสี่เอาเสาวคนธ์วารีมาสรงให้
แล้วเชิญลงอู่แก้วแววไวอ่านมนต์แกว่งไกวไปมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
             

ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงองค์อสัญแดหวา
ซึ่งเป็นบรมอัยการสถิตยังชั้นฟ้าสุราลัย
จึงนิมิตกริชแก้วสุรกานต์นามกรพระหลานจารึกใส่
ครั้นเสร็จเสด็จจากวิมาชัยเหาะมากรุงไกรกุเรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงวางกริชลงข้างองค์พระกุมารหลานขวัญ
อวยชัยให้พรแล้วเทวัญกลับคืนกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีเสน่หา
ประคองกรช้อนอุ้มพระลูกยาเชิญมาจากอู่อำไพ
เห็นกริชนั้นวางอยู่ข้างที่มารศรีหลากจิตคิดสงสัย
จึงหยิบมาดูด้วยดีใจแล้วถวายภูวไนยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
ชืนชมโสมนัสอัศจรรย์เอากริชนั้นออกพิจารณา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงเห็นจารึกอักษรนามกรพระโอรสา
ชื่อหยังหยังหนึ่งหรัดอินดราอุดากนสาหรีปาตี
อิเหนาเองหยังตาหลาเมาะตาริยะกัดดังสุรศรี
ดาหยังอริราชไพรีเองกะนะกะหรีกุรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษรภูธรยิ่งแสนเกษมสันต์
จึงยอกรถวายอภิวันท์อัยกาทรงธรรม์เลิศไกร
พระมาช่วยอุปถัมภ์บำรุงจะลือเกียรติทุกกรุงน้อยใหญ่
สมคำโหรทายทำนายไว้ประจักษ์ในนิมิแต่เดิมมา
แล้วสั่งประโคมเป็นสำคัญเฉลิมขวัญพระโอรสา
เอาฤกษ์ได้กริชเทวาเป็นมหามหัศอัศจรรย์ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จสมโภชพระดนัยพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
จึงสั่งพนักงานทั้งปวงนั้นให้จัดสรรเครื่องใช้แลเครื่องทรง
มงกุฎเพชรพาหุรัดจำรัสเรืองกับเมืองขึ้นสิบเมืองเป็นส่วยส่ง
ทั้งเสนีรี้พลจัตุรงค์ประทานองค์โอรสยศไกร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จพระเสด็จเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
มายังโรงคัลทันใดเสนาในเฝ้าแหนแน่นนันต์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาคนขยัน
จึงนำเสนีสี่เมืองนั้นมาบังคมคัลมิทันนาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แล้วทูลว่าสามกษัตริย์ทรงเดชผู้ดำรงนคเรศราชฐาน
ให้เสนีนำของมาประทานพระหลานรักราชสุริย์วงศ์
แต่องค์สมเด็จพระอัยกีให้หมันหยาธานีสูงส่ง
ให้ระเด่นดาหยันโฉมยงซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พงศ์พันธุ์
ทั้งหมู่ชายหญิงสิ่งละร้อยล้วนหนุ่มน้อยหน้าตาคมสัน
กับพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้นถวายเป็นข้าขวัญพระนัดดา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์ศรีปัตหรา
ชื่นชมโสมนัสปรีดาจึงมีบัญชาตรัสไป
ซึ่งพระมารดาการุญพระคุณนั้นหาที่สุดไม่
ท่านจงทูลแถลงให้แจ้งใจว่าเราบังคมไปใต้บาทา
อันพระอนุชาสามธานีเรานี้ชอบใจเป็นหนักหนา
จงจำเริญสุขทุกเวลาอันตรายโรคาอย่าแผ้วพาน
แล้วประทานเสื้อผ้าแก่เสนีซึ่งมาแต่สี่ราชฐาน
อันระเด่นดาหยันกุมารพระประธานเงินทองของพึงใจ
ให้อยู่ยังที่ติกาหลังนิเวศน์วังลูกหลวงอาศัย
ครั้นเสร็จเสด็จเข้าข้างในเสนีกลับไปพารา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีหมันหยา
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตราประสูติมาเป็นราชบุตรี
งามงอนอ่อนระทวยนวยแน่งดำแดงนวลเนื้อสองสี
ผ่องพักตร์ผิวพรรณดังจันทรีนางในธานีไม่เทียมทัน
องค์พระอัยกีเป็นที่รักถนอมนักเชยชมภิรมย์ขวัญ
บิตุราชมาตุรงค์แลพงศ์พันธุ์พร้อมกันประทานนามพระธิดา
ชื่อจินตหราวาตีศรีสวัสดิ์เฉลิมวงศ์พงศ์กษัตริย์ในหมันหยา
อ่อนเดือนกว่าอิเหนาพี่ยาทั้งสองชันษาเดียวกัน
พร้อมพระพี่เลี้ยงนางนมนักสนมกรมในสาวสวรรค์
ประโลมเลี้ยงพระธิดาดวงจันทร์ทุกวันทุกเวลาราตรี ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันเรืองศรี
ทั้งท้าวดาหาธิบดีสองประไหมสุหรีพี่นางนั้น
จึงจัดของขวัญอันอุดมทั้งพี่เลี้ยงนางนมเลือกสรร
ให้เสนาคุมของจรจรัลไปทำขวัญพระนัดดานารี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวสิงหัดส่าหรี
มีโอรสแรกเริ่มเดิมทีกับประไหมสุหรีศรีโสภา
เทเวศร์ให้กริชเป็นของขวัญเหมือนกันกับอิเหนาเชษฐา
จารึกนามใส่ในกริชมาชื่อระเด่นสุหรานากง
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยประไหมสุหรีนวลหง
ชื่อสกาหนึ่งหรัดโฉมยงรูปทรงโสภายาใจ
จึงแต่งของไปตุนาหงันบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็อวยให้
ตามจารีตวงศาสุราลัยตุนาหงันกันได้แต่สี่เมือง
อยู่มามีราชบุตรีนวลละอองสองสีขาวเหลือง
พักตร์ผ่องผิวเนื้อเรื่อเรืองจึงให้นามตามเรื่องมารดา
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนกชนนีเสน่หา
สามเมืองส่งเครื่องบรรณามาทำขวัญพระธิดานารี
แล้วจัดสาวสนมกำนัลเลือกสรรรูปทรงส่งศรี
ตั้งที่พี่เลี้ยงพระบุตรีเหมือนกันทั้งสี่พารา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีดาหา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวานานมาโฉมยงทรงครรภ์
เมื่อจะประสูติพระดนัยเวลาประจุสมัยไก่ขัน
บังเกิดมหัศอัศจรรย์กลิ่นสุคันธรสรวยริน
ดอกไม้ทุกพรรณบันดาลเบิกบานเกสรขจรกลิ่น
ภุมเรศร่อนร้องโบยบินประสานเสียงเพียงพิณพาทย์ฆ้อง
ดนตรีแตรสังข์ก็ดังเองอัศจรรย์บรรเลงกึกก้อง
ครั้นอรุณรุ่งรางสร่างแสงทองดังแสงรุ้งเรืองรองอร่ามไป
สุรศรีดังสีธรรมชาติเลื่อมพรายโอภาสผ่องใส
จึงประสูติธิดายาใจงามวิไลล้ำเลิศเพริศพราย
อันอัศจรรย์ที่บันดาลก็อันตรธานสูญหาย
ยังแต่กลิ่นหอมรวยชวยชายจึงถวายพระนามตามเหตุนั้น
ชื่อระเด่นบุษบาหนึ่งหรัดลออเอี่ยมเทียมทัดนางสวรรค์
ทั้งในธรณีไม่มีทันผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
อันองค์มะเดหวีมีศักดิ์ถนอมอุ้มฟูมฟักรักษา
ทั้งสามมเหสีโสภารักราชธิดาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพดาหากรุงใหญ่
แสนสวาทพระราชดนัยดังดวงฤทัยทรงธรรม์
จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดาคนนั้นชื่อว่าบาหยัน
หนึ่งชื่อส่าเหง็ดลาวัณย์หนึ่งชื่อประเสหรันนารี
หนึ่งชื่อปะลาหงันกัลยาตามตำราชื่อตั้งทั้งสี่
แล้วจัดสรรกำนัลที่รูปดีนารีน้อยน้อยแปดร้อยปลาย
บรรดาบุตรเสนาน้อยใหญ่ต่างคนเต็มใจเอาไปถวาย
พระประทานรางวัลมากมายมอบให้เจ้าขรัวยายบังคับ
บ้างหัดร้องลำนำจำเรียงประสานเสียงซักซ้อมกล่อมขับ
บ้างหัดซอกกระจับปี่ตีโทนทับสำหรับบำเรอพระธิดา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันนาถา
แจ้งว่าองค์อนุชามีราชธิดาลาวัณย์
พระเร่งชื่นชมโสมนัสจึงให้จัดสิ่งของไปทำขวัญ
กับเครื่องบรรณาการนอกนั้นเป็นของตุนาหงันกัลยา
ขอระเด่นบุษบาโฉมยงให้องค์อิเหนาโอรสา
ตามจารีตบุราณสืบมาหวังมิให้วงศาอื่นปน
ครั้นเสียศักดิ์สุริย์วงศ์เทเวศร์ก็เกิดเหตุอันตรายหลายหน
ไพร่ฟ้าประชากรร้อนรนจลาจลต่างต่างทั้งธานี
ฝ่ายพระอนุชากาหลังอีกทั้งสิงหัดส่าหรี
ต่างแต่งบรรณาการมากมีไปทำขวัญบุตรีพระพี่ยา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
ตั้งแต่มีราชธิดาช้านานประมาณห้าปี
จึงมีโอรสยศยงด้วยองค์ประไหมสุหรี
งามละม้ายคล้ายกันกับบุตรีใครเห็นเป็นที่เจริญใจ
องค์อสัญแดหวาวราฤทธิ์เสกแสร้งนฤมิตกริชให้
วางลงข้างองค์พระดนัยจารึกนามนั้นใส่ในกริชมา
ชื่อระเด่นสียะตราหนึ่งหรัดสืบวงศ์พงศ์กษัตริย์อสัญหยา
พระชนกชนนีก็ปรีดาเสน่หาดังดวงฤทัย
สี่เมืองส่งเครื่องบรรณาการมาทำขวัญพระกุมารประสูติใหม่
ของขวัญตามตำรับบังคับไว้โดยในสุริย์วงศ์เทวา
แล้วจัดสรรพี่เลี้ยงทั้งสี่ล้วนลูกเสนีมียศถา
พี่เลี้ยงเอกนั้นชื่อปุนตาหนึ่งกะระตาหลาพี่เลี้ยงรอง
หนึ่งชื่อยะรุเดะพี่เลี้ยงตรีที่สี่ประสันตาปัญญาว่อง
ล้วนหนุ่มน้อยรุ่นรามทรามคะนองตั้งต้องตามขนบครบครัน
ให้บุตรขุนหมื่นพื้นน้อยน้อยแปดร้อยกุมารากิดาหยัน
ประทานเงินเสื้อผ้าสารพันให้เป็นของขวัญพระลูกยา ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายอิเหนากุเรปันโอรสา
ปรีดิ์เปรมเกษมสุขทุกทิวาจนจำเริญชนมาสิบห้าปี
งามรับสรรพสิ้นสรรพางค์ยิ่งอย่างเทวาในราศี
ทรงโฉมประโลมใจนารีเป็นที่ประดิพัทธ์ผูกพัน
เนาในติกาหลังวังสถานดังวิมานเมืองฟ้ากระยาหงัน
พร้อมด้วยสุรางค์นางกำนัลพี่เลี้ยงกิดาหยันโยธา
อันศิลปศาสตร์สำหรับกษัตริย์ทุกสิ่งสารพัดหัดหา
รำกริชกระบี่ขี่อาชาศึกษาซ้อมเล่นไม่เว้นวัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นพระสุริย์ฉายบ่ายลงก็แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองฉัน
เสด็จจากปราสาทแก้วแพรวพรรณจรจรัลไปท้องสนามชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพลับพลาหน้าจักรวรรดิที่เคยหัดจตุรงค์น้อยใหญ่
จึงตรัสสั่งกิดาหยันทันใดให้เรียกมโนมัยเข้ามา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นกิดาหยันรับสั่งใส่เกศา
พลางพยักกวักเรียกกรมม้ารีบจูงอาชามาฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวากระยาหงัน
จึงขึ้นทรงม้าเหลืองเครื่องสุบรรณระเด่นดาหยันนั้นขี่ม้าแดง
รำท่าเพลงทวนกระบวนรบถ้อยทีขี่สินธพเข้มแข็ง
ชักเป็นโคมเวียนเปลี่ยนแปลงประปรายปลายพระแสงทวนทอง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แล้วลงทรงกระบี่ตีเล่นกับระเด่นดาหยันเคล่าคล่อง
กรีดกรายร่ายรำเป็นทำนองรับรองป้องปัดไปมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นเหนื่อยก็หยุดยับยั้งสถิตยังพลับพลาพลันหรรษา
ทอดพระเนตรกิดาหยันโยธาซ้อมหัดศาตราสารพัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ใครดีฝีมือแคล่วคล่องก็ประทานเงินทองทุกสิ่งสรรพ์
พอจวนเวลาสายัณห์ก็จรจรัลคืนยังวังใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เสด็จนั่งเหนืออาสน์ลาดปูพระยี่ภู่เขยทองผ่องใส
สาวสุรางค์นางบำเรอบำรุงใจแสนสำราญหฤทัยทุกเวลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงระตูผู้ผ่านหมันหยา
อยู่จำเนียรกาลนานมาพระมารดาสุดสิ้นทิวงคต
มเหสีสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ต่างแสนโศกศัลย์กำสรด
ทั้งองค์ระตูผู้มียศก็ระทดพระทัยพันทวี
จึงให้เชิญพระศพใส่โกศทองสถิตไว้ในห้องปราสาทศรี
ตกแต่งตามตำแหน่งประเพณีกษัตราธิบดีแต่ก่อนมา
แล้วมีพจนารถประสาทสั่งอำมาตย์ดะหมังยาสา
ท่านจงจัดแจงแต่งตราบอกบรรดาเมืองขึ้นของเรา
ให้ผู้รั้งทั้งปวงหลวงปลัดเกณฑ์ไพร่เร่งรัดไปตัดเสา
กำหนดยาวใหญ่ย่อมกล่อมเกลาให้ได้เท่าตามอย่างช่างให้การ
ทุกสิ่งสารพัดผัดแผงจัดแจงข้าส่วยให้ช่วยสาน
จงหมายบอกทุกตำแหน่งพนักงานจะทำการให้เสร็จในปีนี้
แล้วสั่งปาเตะตำมะหงงท่านจงแต่งราชสารศรี
ไปดาหากุเรปันพระบุรีว่าพระชนนีนั้นมรณา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นอำมาตย์ทั้งสี่มียศถา
รับส่งแล้วบังคมลาออกมาจากพระโรงรูจี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ รีบเขียนหนังสือบอกหลายฉบับแล้วประทับปิดตราพระราชสีห์
ให้ม้าใช้ถือไปทุกธานีตามมีรับสั่งพระทรงธรรม์
แล้วแต่งราชสารลงลานทองมอบให้สองสามนต์คนขยัน
จงรีบไปหากุเรปันสิบห้าวันให้ถึงพารา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีสองนาซ้ายขวา
คำนับรับราชสารามาขึ้นม้าแยกย้ายกันไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกุเรปันนคเรศก็เข้าในนิเวศน์วังใหญ่
บอกแก่ยาสาเสนาในแล้วส่งสารให้ทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยาสาเสนาบดีศรี
พาอำมาตย์หมันหยาธานีเข้าไปเฝ้าธุลีพระบาทา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมนบนิ้วประนมเหนือเกศา
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจาแล้วถวายสาราพระทรงธรรม์ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านกรุงไกรไอศวรรย์
คลี่สารอ่านทราบทุกสิ่งอันจึงมีพระบัญชาไป
พระประชวรฉันใดก็ไม่รู้ควรหรือระตูช่างนิ่งได้
ต่อเมื่อพระสวรรคาลัยจึ่งให้มาแจ้งกิจจา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีที่มาแต่หมันหยา
ได้ฟังพจนารถประภาษมาจึ่งสนองบัญชาพระทรงยศ
แต่แรกประชวรมาได้ห้าวันพระโรคนั้นเห็นพอจะเปลื้องปลด
โภชนาอาหารก็มีรสเสวยพระโอสถทุกเวลา
ระตูภูธรไว้พระทัยว่าจะไม่เป็นไรหนักหนา
จึ่งว่ามิได้มีราชสารามาทูลกิจจาภูวไนย
พระโรคนั้นกลับกลายเมื่อภายหลังหนักลงเหลือกำลังจะแก้ไข
สองวันก็สวรรคาลัยภูวไนยจงทราบฝ่าธุลี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
ได้ฟังจะแจ้งแห่งคดีภูมีจึงสั่งเสนา
จงจัดแจงแต่งของไทยทานไปช่วยการพระศพในหมันหยา
สั่งเสร็จเสด็จลีลาเข้าหาปราสาทรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ชัชวาลพร้อมห้าเยาวมาลย์มเหสี
พระยื่นสารนั้นทันทีให้ประไหมสุหรีกัลยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
คลี่สารอ่านแจ้งกิจจาว่าพระมารดาพิราลัย
ดั่งหนึ่งพระกาญชาญฤทธิ์มาเด็ดดวงชีวิตไปได้
ชลเนตรฟูมฟองนองนัยน์สะอื้นไห้ครวญคร่ำรำพัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้พระชนนีของลูกเอ๋ยพระคุณเคยปกป้องประคองขวัญ
เชยชมเช้าเย็นเป็นนิรันด์สารพันมิให้อนาทร
ยังมิได้ทดแทนสนองคุณซึ่งการุญรักพร่ำสั่งสอน
หรือมาละลูมไว้ให้อาวรณ์หนีไปอมรเมืองฟ้า
พระประชวรโรคคันคุ้งบรรลัยก็มิได้พิทักษ์รักษา
เสียแรงที่อุ้มท้องประคองมากัลยาร่ำพลางทางโศกี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยเคลื่อนวายเทซษจึงกราบทูลภูวเรศเรืองศรี
ข้าขอบังคมลาฝ่าธุลีไปดูแลเปลวอัคคีพระมารดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา
นิ่งนึกตรึกไตรไปมาครั้นจะให้กัลยาคลาไคล
เกลือกระตูผู้ผ่านแผ่นดินจะดูหมิ่นประมาทหาควรไม่
จะเสียเกียรติยศปรากฏไปทุกกรุงไกรจะติฉินนินทา
คิดพลางทางปลอบมเหสีอย่ากันแสงโศกีฟังพี่ว่า
อันเกิดแล้วไม่แคล้วมรณาถึงพรหมินทร์อินทราก็เหมือนกัน
ซึ่งจะส่งสักการพระมารดายังนครหมันหยาเขตขัณฑ์
กันดารโดยมาคาอารัญทั้งทรงครรภ์ได้แปดเดือนปลาย
เกลือกจะเกิดเหตุใหญ่ขึ้นในป่าจะลำบากายาโฉมฉาย
รู้ไปถึงไหนจะได้อายเขาจะฉินยินร้ายทุกพารา
เจ้าจงจัดแจงแต่งไทยทานส่งสักการพระศพดีกว่า
ให้อิเหนาลูกเราลีลาก็เหมือนกับกัลยาคลาไคล ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
ได้ฟังภิปรายค่อยคลายใจอรไททูลสนองพระวาจา
ซึ่งพระอง๕ืตรัสโปรดมาทั้งนี้เห็นชอบท่วงทีเป็นหนักหนา
ว่าแล้วถวายบังคมลาลงมาที่อยู่เยาวมาลย์ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ผู้ดำรงราชฐาน
จึงตรัสสั่งดะหมังมิทันนานจงรีบไปแจ้งการอนุชา
เราจะให้ระเด่นมนตรีไปปลงศพอัยกียังหมันหยา
จะจัดแจงใครไปก็ให้มาสองเมืองจะได้พากันคลาไคล ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นดะหมันรับสั่งบังคมไหว้
มาเร่งรัดจัดกันทันใดพร้อมเหล่าบ่าวไพร่แล้วไคลคลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงทางร่วมพนาลีก็พบพวกเสนหมันหยา
ต่างคนต่างรีบเร่งมาก็ถึงกรุงดาหาพร้อมกัน
จึงไปหาปาเตะเสนีแถลงเล่าคดีขมีขมัน
พอเพลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ก็พากันไปพระโรงรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทมาลย์พระผู้ผ่านดาหากรุงศรี
อำมาตย์หมันหยาธานีอัญชลีทูลถวายสารา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา
คลี่สารอ่านแจ้งในกิจจาให้สังเวชวิญญาณ์จาบัลย์
จึงสั่งคลังวิเศษศุภรัตจงจัดไทยทานทุกสิ่งสรรพ์
แล้วถามดะหมังกุเรปันพระทรงธรรม์ใช้มาว่าไร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นดะหมังบังคมแถลงไข
บัดนี้พระเชษฐาบัญชาใช้มาทูลให้ทราบธุลีพระบาทา
พระจะให้องค์ระเด่นมนตรีเสด็จไปบุรีหมันหยา
อันเครื่องไทยทานการนานาให้พร้อมแต่สิบห้าราตรี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวดาหาสุริย์วงศ์เรืองศรี
ได้แจ้งแห่งคำเสนีภูมีนิ่งนึกตรึกไตร
พระเชษฐาน่าจะแหนงฤทัยอยู่ด้วยระตูจะประมาทหมิ่นได้
หวังมิให้กัลยาคลาไคลจึงอุบายเป็นนัยมาดังนี้
คิดพลางทางมีบัญชาสั่งดะหมังจงคืนไปกรุงศรี
ทูลพระเชษฐาธิบดีว่าเราอัญชลีพระบาทา
จะให้เสนานำของไปยังนิเวศเวียงชัยพระเชษฐา
บรรจบกับอิเหนานัดดาไปเขตขัณฑ์หมันหยาธานี
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตรไปปราสาทองค์ประไหมสุหรี
นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจีพระส่งสารศรีให้กัลยา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
คลี่สารอ่านพลันมิทันช้าแจ้งว่าชนนีทิวงคต
นางตระหนกอกสั่นขวัญหายเพียงจะวายชีวิตปลิดปลง
สองกรข้อนอุรารันทดพิไรร่ำกำสรดโศกา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าพระมารดาเจ้าพระบาทเคยปกเกล้าเกศา
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมามิให้เคืองวิญญาณ์เท่ายองใย
พระเจ็บไข้ก็มิได้พยาบาลจะรู้ข่าวอาการก็หาไม่
จนสุดสิ้นชีวันบรรลัยลูกมิได้เห็นใจพระมารดร
ร่ำพลางทางทรงโศกีทอดองค์ลงกับที่บรรถรณ์
ดังจะม้วยชีวาด้วยอาวรณ์บังอรไม่เป็นสมประดี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายอาดูรจึงทูลไปภูวไนยจงโปรดเกศี
ข้าขอบังคมลาไปธานีดูเปลวอัคคีพระมารดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
จึ่งโลมเล้าเอาใจไปมาเจ้าอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย
อันกำเนิดเกิดมาในสากลใครจะพ้นมรณะก็หาไม่
จงระงับดับความอาลัยถึงโศกไปใช่ที่จะเป็นมา
ซึ่งเจ้าว่าจะลาบทจรไปนครเขื่อนขัณฑ์หมันหยา
ในฤดูเดือนนี้จะลีลากันดารโดยมรคาท่าทาง
ฝูงโขมดมายาย่อมอาเพศให้เกิดเหตุอันตรายหลายอย่าง
ใช่จะแกล้งเกียดกันกั้นทางถึงพี่นางก็ไม่ไคลคลา
โฉมยงจงจัดไทยทานส่งสักการพระศพจะดีกว่า
ให้เสนีนำไปด้วยนัดดาก็เหมือนกัลยาคลาไคล ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
ได้ฟังบัญชาภูวไนยอรไทค่อยคลายโศกา
จึงมีเสาวนีย์ตรัสสั่งพนักงานชาวคลังซ้ายขวา
จงจัดเครื่องไทยทานนานาจะให้ไปหมันหยาธานี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายนางพนักงานสาวศรี
รับสั่งแล้วรีบจรลีมาจัดตามเสาวนีย์กัลยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ สิ่งของไทยทานก็เตรียมพร้อมทั้งเครื่องหอมเนื้อไม้กฤษณา
ครั้นเสร็จให้ขนเข้ามาถวายองค์กัลยาทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
เคารพจบพระหัตถ์ด้วยยินดีเทวีสมาโทษพระมารดา
จึงตรัสสั่งสาวสวรรค์ทันใดให้ขนของไปข้างหน้า
มอบให้ดะหมังเสนาไปด้วยนัดดาโดยลำพัง ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนางกำนัลคำนับรับสั่ง
จึงขนของออกไปจากวังมอบให้ดะหมังทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นดะหมังนั่งตรวจดูถ้วนถี่
ให้เสมียนจดหมายรายบัญชีผูกถือใส่ที่แล้วตีตรา
ให้ขนสิ่งของบรรทุกช้างเหลือนั้นใส่ต่างมหิงสา
ครั้นเสร็จก็ยกโยธาออกจากพารารีบไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เร่งรัดพลมาสิบห้าวันก็ถึงกุเรปันกรุงใหญ่
ครั้นเวลาเข้าเฝ้าท้าวไทก็เข้าไปพระโรงรัตนา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทบงส์พระองค์ทรงพิภพนาถา
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจาให้ทราบบาทาทุกสิ่งไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่
ได้ฟังดะหมังเสนาในจึงตรัสไปแก่องค์พระลูกยา
เจ้าจงคุมของสองธานีไปปลงศพอัยกียังหมันหยา
แทนองค์พระราชมารดากับประหมันดาหาเวียงชัย
แล้วดูโยธีที่ทำงานแม้นเห็นการล่าแล้เป็นไฉน
บอกกมาจะเพิ่มพลไกรไประดมทำให้ทันที
เสร็จแล้วลูกแก้วอย่าอยู่ช้าเร่งกลับมากุเรปันกรุงศรี
จึงตรัสสั่งปาเตะเสนีจงตรวจเตรียมโยธารี้พล
ท่านไปด้วยช่วยดูเป็นผู้ใหญ่เอาใจใส่อย่าให้มีเหตุผล
สั่งเสร็จเสด็จจรดลขึ้นสู่ไพชยนต์ปราสาทชัย ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
             

๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคลกลับไปอยู่ที่ภูมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาบดีศรี
ออกมาจัดพลโยธีตามมีพระราชบัญชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ ขุนช้างต่างผูกคชสารเคยชำนาญการณรงค์แกล้วกล้า
ขุนม้าก็ผูกอาชาเบาะอานพานหน้าประดับดาว
ขุนรถตรวจเตรียมเทียมพาชีสลับสีเหลืองกะเลียวเขียวขาว
ขุนพลจัดพลเดินเท้านายหมวดตรวจบ่าวพร้อมเพรียง
พวกทำที่ประทับพลับพลาให้ล่วงหน้ารีบไปแต่ในเที่ยง
จัดแจงหาบคอนผ่อนเสบียงตามเยี่ยงอย่างเสด็จยาตรา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
@ร่าย
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีโอรสา
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยาเสด็จมาสระสรงสรรพางค์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์น้ำมันจันทน์บรรจงทรงพระสาง
สอดใส่สนับเพลาพลางทรงภูษาแย่งอย่างลายกระบวน
ฉลององค์โหมดม่วงร่วงระยับอบอุหรับจับกลิ่นหอมหวน
เจียระบาดตาดทองแล่งล้วนเข็มขัดคาดค่าควรพระนคร
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วงทับทรวงสังวาลห้อยสร้อยอ่อน
ตาบกุดั่นประดับทับซ้อนทอกรเก้าคู่ชมพูนุท
ธำมรงค์เพชรแพรวแวววับกรรเจียกปรับรับทรงมงกุฎ
เหน็บกริชฤทธิรอนสำหรับยุทธ์งามดั่งเทพบุตรบทจร ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๏ มาทรงรถแก้วแววไวเสนาในกราบกรานอยู่สลอน
สั่งให้ยกโยธาพลากรบทจรออกจากนิวศน์วัง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ รถเอ๋ยราชรถแก้วจำหลักลายพรายแพร้วพลอยฝัง
งามงอนอ่อนแอกแปรกบังบุษบกที่นั่งบัลลังก์ลอย
หน้ากระดานฐานปัทม์บัวหงายกระจังรายรจนาตาอ้อย
กระหนกเกรินท้ายรถชดช้อยเพลาพลอยประดับทับทิมแดง
เทียมสินธพที่นั่งทั้งสี่สารถีขี่ขับเข้มแข็ง
ทหารม้าเกณฑ์หัดจัดแจงเดินแซงสองข้างมรคา
ประดับด้วยเครื่องสูงชุมสายธงชายปลายเชือกนั้นนำหน้า
เยียดยัดจัตุรงค์โยธาไคลคลามาในไพรพนม ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินเอยเดิทางสองข้างพ่างพื้นรื่นร่ม
พี่เลี้ยงเคียงคอยบังคมพระชี้ชมรุกขาชาติดาษเดียร
บ้างผลิดอกออกผลพวงดกดั่งไม้ฉากกระจกจีนเขียน
ป่าระหงดงยางนางตะเคียนใต้ต้นแลเตียนสะอาดตา
มะลิวัลย์พันพุ่มคัดค้าวฤดูดอกออกขาวทั้งราวป่า
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี้ยวกิ่งเหมือชิงช้าลมพาพัดแกว่งดังแกล้งไกว
ร่มรังบังแสงทินกรที่หาบคอนเรื่อยล้าเข้าอาศัย
สารวัดรัดเร่งพลไกรคลาไคลไปตามมรคา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แต่แรมรอนนอนในพนาเวศมาถึงเขตนครหมันหยา
หยุดประทับยั้บยั้งโยธาเสด็จขึ้นพลับพลาพนาลี ฯ
ฯ ๒ คำ      ฯ เสมอ เจรจา
๏ บัดนั้นขุนด่านแจ้งความถ้วนถี่
จึงเหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชีขับขี่ตีควบเข้าเวียงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงไปหาทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่
เรียนคดีชี้แจงให้แจ้งใจโดยนัยอนุสนธิ์แต่ต้นมา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีได้ฟังไม่กังขา
ก็เข้าไปในพระโรงรัตนากราบทูลกิจจาทุกประการ
บัดนี้อิเหนากุเรปันยกพวกพลขันธ์มาถึงด่าน
จะเข้ามาประณตบทมาลย์ภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ได้ฟังจึงสั่งเสนาจงไปรับนัดดามาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งใส่เกศี
ออกมาเกณฑ์กันทันทีเร่งรัดสัสดีเอาผู้คน
บ้างเบิกเสื้อเบิกหมวกอลหม่านทั่วทุกพนักงานสับสน
พรั่งพร้อมโยธีรี้พลเสนานำพหลเกณฑ์แห่ไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลีองค์ระเด่นมนตรีศรีใส
บังคมทูลแถลงให้แจ้งใจระตูให้มารับเข้าบุรี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ได้ฟังตำมะหงงเสนีจึงตรัสสั่งทั้งสี่พี่เลี้ยง
วันนี้เราจะเข้าพระนครอย่าให้ทันแดดร้อนก่อนเที่ยง
จงจัดทหารแห่เป็นคู่เคียงให้พร้อมเพรียงแต่ในบัดนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี
มาจัดพลจัดพวกพาชีทหารแห่ให้ขี่คู่กัน
แล้วนุ่งห่มสมตัวตกแต่งตามตำแหน่งเสนากิดาหยัน
ปลายเชือกให้ชาวหมันหยานั้นจัดกันเดินหน้านำพล
เหล่ากำนัลเชิญพระแสงสำหรับตามล้วนงามงามต้นเหลี่ยมหลังถนน
เข้าขบวนถ้วนทั่วทุกตัวคนแล้วผูกม้าต้นเตรียมไว้
สารวัดจัดตรวจเป็นหมวดกองทวนทองธงทิวปลิวไสว
คอยเสด็จยาตราคลาไคลคับคั่งทั้งในแดนดง ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีสูงส่ง
เสด็จจากแท่นสุวรรณบรรจงมาสระสรงวารินกลิ่นเกลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ลงสรงสุหร่าย
๏ ทรงสุคนธ์ปนทองชมพูนุทนวลละอองผ่องผุดดังหล่อเหลา
พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงาสอดใส่สนับเพลาเพราผจง
ทรงภูษายกแย่งอย่างนอกพื้นม่วงดอกดวงตันหยง
โหมดเทศริ้วทองฉลององค์กระสันทรงเจียระบาดคาดทับ
ปั้นเหน่งเพชรลงยาราชาวดีทับทรวงดวงมณีศรีสลับ
เฟื่องห้อยสร้สอยสังวาลพานพับทองกรแก้วประดับดวงจินดา
สอดใส่ธำมรงค์เรือนครุฑทรงมงกุฎห้อยพวงบุปผา
เหน็บกริชฤทธิไกรแล้วไคลคลาเสด็จมาขึ้นทรงสินธพ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้นสามารถอาจผจญเจนจบ
เคล่าคล่องทีทวนกระบวนรบไม่หลีกหลบเลื่อมตื่นปืนประทัด
เผ่าโผนโจนฝ่ามากลางพลผู้คนเดินกีดก็ดีดกัด
ม้ากิดาหยันตามเยียดยัดม้าแห่แออัดรัถยา
ม้าระเด่นดาหยันเดินรองม้าพี่เลี้ยงเคียงสองซ้ายขวา
พนักงานกั้นกลดรจนาบังแสงสุริยาตรัสไตร
อภิรุมชุมสายสีประเทืองธงเทียวเขียวเหลืองล้วนใหม่ใหม่
สนั่นเสียงฆ้องกลองก้องไพรรีบรนพลไกรเข้าในเมือง ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ บัดนั้นหญิงชายระบือลือเลื่อง
มาคอยภูวไนยนองเนืองนั่งเนื่องแน่นถนนไปจนวัง
บ้างกลัวต่ำสูงจูงลูกหลานลงจากร้านขายผ้าหน้าถัง
บ้างลดไม่ค้ำฝาหน้ากระชังมาแทรกเสียดเบียดบังนั่งปน
ที่หญิงปากกล้าก็ด่าทอเพิดพ้อผลักไสพิไรบ่น
ปะชายโฉงเฉงข่มเหงคนปากลนปะเตะเล่นก็เป็นไร
ที่ทาง........ได้ที่ไหนมาจะนิ่งดูแต่ตาก็ไม่ได้
ขึ้นเสียงเถียงทะเลาะกันอึงไปฮึดฮัดขัดใจเต็มที
ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ห้ามปรามข้าขอความเอ็นดูอย่าจู้จี้
มิใช่คนชั่วช้าหน้าตาดีไม่พอที่จะโมโหโกรธา
ครั้นได้เห็นองค์พระทรงธรรม์งามดังอสัญแดหวา
พิศวงงงไปในพริบตาทั่วทั้งไพร่ฟ้าประชากร
หญิงชายชาวเมืองก็หมอบกรานทุกบ้านบังคมอยู่สลอน
บ้างร้องอำนวยอวยพรราษฎรเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นทหารแห่คับคั่งทั้งวิถี
เห็นหญิงสาวสาวชาวบุรีหน้าไหนใครดีก็แลดู
บ้างกระซิบบุ้ยปากบอกกันรูปร่างนางคนนั้นขยันอยู่
ที่หนุ่มหนุ่มนักเลงเหล่าเจ้าชู้เอาปูนพลูซัดหยอกแล้วยิ้มพราย
บ้างชักม้าพยศย่างขวางถนนสะดุดคนเหยียบของเขากองขาย
บ้างโผนผกหกมุ่นวุ่นวายตื่นตะกายเกะกะเข้าระรั้ว
พวกผู้หญิงวิ่งวุ่นอลวนลางคนผ้าห่อมหายขายหน้าผัว
บ้างแฝงฝาหน้าถังบังตัวบ้างหัวบ้างโกรธโกรธา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์อสัญแดหวา
เร่งขับมโนมัยไคลคลามรคาคับคั่งผู้คน
ครั้นถึงทิมริมที่ทวารวังเสด็จลงจากหลังม้าต้น
จึงให้หยุดโยธีรี้พลชวนระเด่นดาหยันยาตรา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เข้าในพระโรงรัตน์รูจีเห็นเสนีเฝ้าแหนแน่นหนา
จึงถวายบังคมคัลวันทาพระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเรืองศรี
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลีจึงมีมธุรสพจมาน
ปราศรัยไต่ถามพระนัดดาซึ่งเจ้ามาท่าทางทุรัศสถาน
เดินโดยอรัญกันดารโยธาทวยหาญยังพร้อมมูล
พระชนกชนนีทั้งสองครอบครองโภไคยไอศูรย์
เสวยรมย์สมบัติบริบูรณ์ทั้งประยูรสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์
อันฝูงไพร่ฟ้าประชาชนทั้งเสนาสามนต์พลขันธ์
อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมกันเหมือนแต่ก่อนกระนั้นหรือนัดดา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นอิเหนาอภิวันท์หรรษา
ทูลว่าแต่ยกพลมาเดินโดยมรคาสิบห้าวัน
อันพวกพหลพลไกรไม่มีเหตุเภทภัยในไพรสัณฑ์
สมเด็จพระบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็เสวยไอศวรรย์เปรมปรีดิ์
ถ้วนหน้าผาสุกไม่ทุกข์ร้อนไพร่ฟ้าประชากรเกษมศรี
ปราศจากอันตรายราคีมิได้มีภัยพานประการใด
แต่องค์พระชนนีนั้นทรงครรภ์แก่เกือบไม่มาได้
ให้ข้าคุ้มของสองเวียงชัยมาปลงศพท่านไทยอัยกี
แม้นพระเมรุเกณฑ์ทำไม่ทันการจะแจ้งสารไปให้ทราบบทศรี
พระเพิ่มเติมพลมนตรีทั้งสองบุรีมาทำการ ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยายิ้มย่องสนองสาร
ซึ่งสององค์บรรจงไทยทานให้หลานมาช่วยถึงพารา
พระคุณนั้นหาที่สุดไม่จะเลื่องชื่อลือไปทุกทิศา
อันการศพสมเด็จพระมารดาก็จัดแจงทำมาไม่เงือดงด
แต่ยังหาได้ตั้งพระเมรุไม่ตัวไม้ปรับปรุงไว้พร้อมหมด
หลานมาน้าสมมโนรถจะรีบกำหนดให้แน่ลง
ว่าพลางทางมีบัญชาตรัสสั่งเสนาตำมะหงง
จงแต่งที่ประเสบันอากงให้องค์อิเหนากุเราปัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งแล้วผายผัน
มาจัดแจงแต่งที่ประเสบันช่วยกันอุตลุดทั้งไพร่นาย
บ้างกั้นฉากแพรลับแลตั้งกรมวังวงพระสูตรรูดสาย
จัดแจงแต่งตำหนักยักย้ายเพดานดาดรายดารากร
บ้างตกแต่งพระยี่ภู่ปูอาสน์ชาวที่ทอดราชบรรจถรณ์
ที่เสวยที่สรงสาครเสร็จตามภูธรบัญชาการฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ผู้ดำรงราชฐาน
จึงตรัสสั่งพฤฒาโหราจารย์ให้หาฤกษ์ตั้งการกำหนดวัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นขุนโหรผู้ใหญ่คนขยัน
คลี่ตำราขับไล่ลัคน์จันทร์ดูโฉลกโชคชั้นทันที
จึงนบนิ้วประนมบังคมทูลนเรนทร์สูรจงทราบบทศรี
กำหนดเชิญพระศพฤกษ์ดีเดือนสี่สิบค่ำวันอังคาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาได้ฟังสาร
จึงสั่งเสนีพนักงานจงจัดการพระเมรุเกณฑ์กัน
นายมุลขุนหมื่นทุกหมู่หมวดสมทบสี่ตำรวจกวดขัน
เครื่องประดับพระศพครบครันรีบทำให้ทันกำหนดไว้
สั่งพลางทางกล่าววาทีชวนระเด่นมนตรีศรีใส
ทั้งระเด่นดาหยันคลาไคลเสด็จไปไหว้ศพพระอัยกี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
จึงถวายอภิวันท์อัญชลีศพพระอัยกีด้วยปรีดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
จึงมีพระราชบัญชาสั่งกำนัลกัลยาฉับพลัน
จงไปเชิญองค์ประไหมสุหรีกับบุตรีขึ้นมาขมีขมัน
บอกว่าอิเหนากุเรปันมาอภิวันท์พระศพอยู่บนนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏      บัดนั้นนางกำนัลประณตบทศรี
รับสั่งพระผู้ทรงธรณีแล้วรีบจรลีออกมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคมไหว้องค์ประไหมสุหรีเสนหา
ทูลว่าอิเหนานัดดาเสด็จมาอยู่ที่พระศพนั้น
บัดนี้พระผู้ผ่านเวียงชัยให้เชิญสองอรทัยผายผัน
ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ยังสุวรรณปราสาทรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงค์องค์ประไหมสุหรี
จึงชวนจินตะหราวาตีเข้าที่สรงสนานสำราญกาย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ สองกษัตริย์ขัดสีฉวีวรรณนางกำนัลตั้งสุคนธ์คอยถวาย
ทรงอุหรับจับกลิ่นอบอายน้ำกุหลาบละลายกรายกรีดนิ้ว
กวดเกล้าเปลาปลายพระฉายส่องผัดพักตร์นวลละอองผ่องผิว
ทรงภูษายักแย่งแพลงพลิ้วห่มริ้วทองทับซับใน
สร้อยสะอิ้งสังวาลบานพับตามประดับมรกตสดใส
ทองกรแก้วมณีเจียระไนสอดใส่เนาวรัตน์ธำมรงค์
ทรงมงกุฎสำหรับพระธิดาห้อยอุบะบุหงาตันหยง
พรั่งพร้อมสุรางค์นางอนงค์สององค์เสด็จคลาไคล ฯ
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงบังคมบรมศพแล้วนอบนบอภิวันท์ท้าวหมันหยา
พลางทอดพระเนตรแลมาดูพระนัดดาธิบดี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
จึงถวายอภิวันท์อัญชลีองค์ประไหมสุหรีศรีดสภา
แล้วทำทีมิให้ใครสังเกตชำเลืองเนตรดูระเด่นจินตหรา
งามอ่อนจริตกิริยาลักขณาเลิศล้ำนารี
พีศพักตร์งามพักตร์ผุดผ่องผิวเนื้อนวลละอองสองสี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ภูมีดูนางไม่วางตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
พินิจพิศพักตร์พระนัดดากัลยาแย้มพรายทายทัก
แต่เจ้ากำเนิดเกิดมาถึงเพียงนี้น้าเพิ่งรู้จัก
ทรงโฉมประโลมเลิศลักษณ์สมศักดิ์สุริย์วงศ์เทวัญ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
จึงทูลว่าคิดอยู่ก่อนนั้นจะใคร่มาอภิวันท์พระบาทา
พึ่งจะสมจินดาครานี้มีความยินดีเป็นหนักหนา
ทูลพลางชำเลืองนัยนาดูระเด่นจินตะหราด้วยใจรัก ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีมีศักดิ์
เห็นอิเหนาเฝ้าดูอดสูนักนงลักษณ์แอบหลังพระชนนี
พลางชม้ายชายเนตรดูเชษฐานัยนาแลสบก็หลบหนี
หมอบเมียงเอียงอายเป็นท่วงทีเทวีขวยเขินสะเทินใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
จึงตรัสแก่ธิดาทันใดเป็นไรไม่ไหว้พี่ยา
จงฝากตัวไว้ให้รู้จักจะได้พึ่งพำนักในภายหน้า
อันองค์อิเหนานัดดาก็แก่เดือนกว่าเทวี
อย่าทำกระแหน่แง่งอนอะหนะก็อ่อนกว่าพี่
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมีเจ้าจงอัญชลีพี่ยา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ฟังพระชนนีตรัสมากัลยาอายเอียงเมียงมัน
เหลือบไปปะเนตรภูวไนยยิ่งสะเทินฤทัยไหวหวั่น
อุตส่าห์ขืนอารมณ์บังคมคัลอิเหนากุเรปันแล้วก้มพักตร์ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีมีศักดิ์
เหลือบไปรับไหว้นางนงลักษณ์พิศพักตร์ผิวเนื้อนวลละออง
ลำลำจะใคร่ตรัสปราศรัยแต่หากเกรงท้าวไททั้งสอง
ให้คิดพิสมัยใจปองพระนิ่งตรึกตรองไปมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
เห็นอิเหนาเฝ้าดูธิดาก็แจ้งในกิริยาอาการ
พระแสร้งทำเฉยเชือนเหมือนไม่รู้ยิ้มอยู่ในหน้าไม่ว่าขาน
นิ่งนึกตรึกตราไปช้านานแล้วภูบาลบัญชาพาที
สั่งประไหมสุหรีมีศักดิ์ว่าหลานรักมาอยู่ในกรุงศรี
จงแต่งโภชนาสาลีให้นารีไปส่งทุกวัน
สั่งพลางทางตรัสแก่นัดดาวันนี้เหนื่อยมาจงผายผัน
ไปหยุดพักอยู่ตำหนักประเสบันให้ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์สำราญ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีได้ฟังสาร
จึงบังคมก้มพักตร์พจมานจวนเย็นแล้วหลานจะทูลลา
พระคลานคล้อยถอยองค์ออกมาพลางชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา
องค์อ่อนถอนฤทัยไปมาแล้วลีลาลงจากอัฒจันทร์
ชวนระเด่นดาหยันยุรยาตรมาทรงอัศวราชผายผัน
ทวยหาญแห่แหนแน่นนันต์ไปยังประเสบันอากง ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดรกรายกรยุรยาตรดังราชหงส์
เข้าในห้องสุวรรณบรรจงทอดองค์ลงกับที่ไสยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ พระยอกรก่ายวิลาสพาดพักตร์ถวิลถึงน้องรักจินตะหรา
โฉมงามทรามสวาทเเพียงบาดตาใต้ฟ้าหาไหนไม่ทัดเทียม
งามจริตกิริยาเป็นน่าชมแต่บังคมพี่ชายก็อายเหนียม
ที่ลอบแลโฉมน้องลองเลียมงามเสงี่ยมเจียมจิตพี่ติดใจ
เมื่อชม้ายมาสบหลบเนตรหนีท่วงทีที่ทำยังจำได้
ยิ่งแสนเสน่หาอาลัยเร่าร้อนฤทัยเกรียมตรม
จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ยจะได้เชยชวนชิดสนิทสนม
แต่ระลึกตรึกตราเป็นอารมณ์จนบรรทมหลับไปกับไสยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ      ตระ
ร่าย
๏ บัดนั้นเสนีสี่นายทั้งซ้ายขวา
ให้จับการทุกด้านดังบัญชาตรวจตราหน้าที่ทำพระเมรุ
ลากเสาเข้าที่ทั้งสี่ต้นผู้คนอึงอัดขัดเขมร
บ้างขุดหลุมลงลุยคุ้ยเลนบ้างกะเกณฑ์กันตั้งนั่งร้าน
เอาเชือกผูกแทงทบครบเสาได้ฤกษ์เร่งคนเข้าขันกว้าน
ตั้งไม่ใช้เดินรอกตะพานคนประจำทำงานไม่เงือดงด
พวกทำเมรุทิศทั้งนั้นก็พร้อมกันยกตั้งขึ้นทั้งหมด
ติดตะม่อสองชั้นเป็นหลั่นลดนายช่างกำหนดอำนวยการ
เจ้าหน้าที่สามสร้างต่างมาจับชักระดับปลายเสาเสมอสมาน
บ้างใส่สอดรอดพรึงตรึงกระดานเสียงสิ่วเสียงขวานอึงอล ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกวิเสทแต่งสำรับสับสน
ครั้นเพลาจวนเที่ยงจะเลี้ยงคนก็รีบล้นขนสำรับมาฉับไว
กรมวังนั่งจ่ายให้นายด่านพวกทำการเมรุทิศเมรุใหญ่
ข้าวกระทงส่งมาแต่ข้างในเจ้าขรัวนายเกณฑ์ให้ทำทุกเรือน
ประชาชนชายหญิงเอาสิ่งของมาถวายกรายกองไว้กล่นเกลื่อน
แจกให้ไพร่สมระดมเดือนทั้งทหารพลเรือนทั่วกัน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีสี่ตำรวจกวดขัน
นายด้านทำการพระเมรุนั้นทั้งกลางคืนกลางวันเร่งรัด
ให้ยกดูกผูกเชือกแย่งระบางยอดปรางค์นภศูลสวมฉัตร
ตำรวจในไม้สูงสันทัดขึ้นผูกแผงผัดจัดกระจัง
ติดชั้นเชิงบาตรบัวหงายเรียงรายเทพนมยืนนั่ง
บัญชรชัชวาลบานบังฝาผนังหลังคากระยารงค์
พนักงานด้านทำพระเมรุทองก็ติดตัวลำยองหางหงส์
หน้ากระดาษฐานปัทม์ไม่ขัดทรงบรรจงตั้งเครื่องพระเบญจา
เพดานดาราระย้าย้อยผูกห้อยภู่พวงบุปผา
ฉากกระจกยกตั้งบังตาแต่งที่เป็นข้างหน้าข้างใน
บ้างตั้งไม้กระถางวางรูปสัตว์รอบจังหวัดบริเวณพระเมรุใหญ่
รูปกินอ้อนแอ่นเอาใจวางไว้ริมมุขทุกทิศ
ซุ้มดอกไม้รุ่งรายซ้ายขวาโคมระย้าหลายลูกผูกติด
ราชวัติทึบตั้งบังมิดฉัตรเงินทองปิดน้ำตะกู
บ้างยกฉัตรเบญจรงค์เรียงเรียบเสาตะเกียบปักเคียงเป็นคู่คู่
ยักษ์โตตั้งวางข้างประตูยืนอยู่หูตาน่ากลัว
บ้างทำโรงหุ่นโขนช่องระทาขึ้นหลังคาดาดแผงผูกจั่ว
ปลูกศาลาฉ้อทานทำครัวเสร็จทั่วทุกตำแหน่งแต่งไว้ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายเจ้าพนักงานน้อยใหญ่
ครั้นจวนกำหนดไม่นอนใจก็ตระเตรียมเทียมพิชัยราชรถ
รถใหญ่สำหรับใส่พระโกศทองเรืองรองรจนาปรากฏ
รถโยงปรายข้าวตอกเป็นหลั่นลดรถอ่านหนังสือรถใส่ท่อนจันทน์
เกณฑ์ไพร่ไว้สำหรับชักฉุดใส่เสื้อเสนากุฎขบขัน
ที่บ่าวไพร่ใครช้ามาไม่ทันก็พากันวิ่งวุ่นทุกมุลนาย
บรรดาหมู่คู่แห่เข้ากระบวนก็มาถ้วนตามบัญชีซึ่งมีหมาย
ล้วนใส่เสื้อครุยกรุยกรายสมปักลายลำพอกถือดอกบัว
คนชักรูปสัตว์จัดหนุ่มหนุ่มใส่ศีรษะโมงคลุมครอบหัว
ทับทรวงสังวาลลอดสอดพันพัวแต่งตัวนุ่งตาโถงโจงกระเบน
กิดาหยันจัดกันตามตำแหน่งเชิญพระแสงหอกดาบดั้งเขน
ตั้งตาริ้วรายไปใกล้พระเมรุพรั่งพร้มตามเกณฑ์ทั้งไพร่นาย ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นประชาชนพลเมืองทั้งหลาย
จะดูชักพระศพตบแต่งกายหญิงชายโอ่อวดประกวดกัน
บรรดาเหล่าชาวบ้านบางไกลก็ลงเรือรีบไปแต่ไก่ขัน
เร่างพายเตือนผัวกลัวไม่ทันถุ้งเถียงทะเลาะกันมากลางทาง
ที่บ้านอยู่คนละฟากอยากจะดูแต่เช้าตรู่ก็ลงมาท่าเรือจ้าง
ให้เบี้ยเขาข้ามส่งตราท่าช้างบ้างยังค้างคอยอยู่กู่ตะโกน
พวกเมียขุนนางต่างแต่งแง่มาคอยดูอยู่ที่แคร่หน้าโรงโขน
ปะชายายหน้าประสาโลนทำเมินเดินโดนผู้หญิงไป
ชาวแพแม่ค้าพาลูกเต้าผัวพวกนายสำเภาเป็นจีนใหม่
พูดจาไม่ขัดสันทัดไทยนั่งไหนหนุ่มหนุ่มก็ล้อมอึง
เมียน้อยเจ้าภาษีมิใช่ชั่วหน้าเป็นเล่นตัวจนผัวหึง
พวกกินเหล้าเมามาหน้าตึงปากโป้งโผงผึงอวดตน
เห็นสาวสาวที่ไหนชุมเข้ากลุ้มกลัดแทรกสกัดกั้นขวางกลางถนน
ตำรวจในไล่ตีผู้คนสับสนอลหม่านไปมา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างตาเสด็จมาสรงชลฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลาสอดใส่สนับเพลาลายกระสัน
ทรงภูษาพื้นขาวเขียวสุวรรณเกรียวกรวยสามชั้นบรรจงโจง
ฉลององค์โหมดเทศทองอร่ามอินทร์ธนูดูงามอ่าโถง
เจียระบาดตาดเงินเงาโง้งปั้นเหน่งลายปรุโปร่งประดับพลอย
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วงตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย
ทองกรจำหลักเป็นรักร้อยธำมรงค์เพชรพลอยร่วงรุ้ง
กรรเจียกแก้วแพรวพายทั้งซ้ายขวาทรงชฎาห้อยยอดสอดสะดุ้ง
ห้อยอุบะตันหยงส่งกลิ่นฟุ้งครั้นรุ่งก็เสด็จจรจรัล ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
             

ร่าย
๏ มายังเกยมณีที่ข้างหน้าพระราชาขึ้นทรงอุสงหงัน
เสนีแห่แหนแน่นนันต์อิเหนากุเรปันก็ตามไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหยุดประทับพลับพลาพร้อมหมู่มาตยาน้อยใหญ่
หมอบเฝ้าคอยฟังรับสั่งใช้ตำรวจในพิทักษ์รักษาองค์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นประไหมสุหรีมีศักดิ์สูงส่ง
ชวนระเด่นจินตะหราโฉมยงมาทรงวอสุวรรณกั้นกลาง
เสด็จโดยฉนวนในไคลคลาโขลนจ่าร้องให้ปิดประตูข้าง
หร้อมหมู่สาวสวรรค์กำนัลนางต่างต่างตามเสด็จจรลี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงชวนพระธิดาหยุดประทับพลัยพลาหลังคาสี
คอยดูชักศพพระอัยกีเลิกมู่ลี่แลลอดสอดตา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีธิบดีซ้ายขวา
เร่งรัดจัดถ้วนกระบวนตราพอเวลาไขสีรวีวรรณ
จึงให้เชิญพระศพในปราสาทขึ้นสู่ยานุมาศผายผัน
เกณฑ์แห่แห่แหนแน่นันต์มายังเกยสุวรรณที่ประทับ
พนักงานเชิญพระโกษขึ้นตั้งบนบัลลังก์รถทรงเสร็จสรรพ
คู่แห่แตรสังข์คั่งคับเป็นลำดับเดินโดยมรคา
เชื้อพระวงศ์ทรงรถเรืองรองมือถือแว่นทองซองสลา
โขมพัตถ์พับยาวโยงมาพาดเหนืออังสาทรงไว้
รถพระวงศ์เชื้อสายปรายข้าวตอกใส่ชฎาลำพอกดอกไม้ไหว
รถบีกูดูหนังสืออ่านไปรถหลังตั้งเนื้อไม้ท่อนจันทน์
เครื่องสูงเคียงคู่ทั้งสองข้างพระกลดหักทองขวางกางกั้น
อินทร์พรหมพร้อมเพรียงเรียงกันเสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นไปป
รูปสัตว์สิ่งละคู่ดูต่างต่างตามตำแหน่งขุนนางน้อยใหญ่
บุษบกบัลลังก์ตั้งผ้าไตรชักไปเป็นขนัดอัดมา
ระเด่นดาหยกสุริย์วงศ์ทั้งเผ่าพงศ์ประยูรในหมันหยา
ต่างองค์ทรงเครื่องใส่ชฎาขี่ม้าตามไปในกระบวน ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ บัดนั้นหญิงชายหนุ่มสาวชาวเรือกสวน
ลูกเต้าหลานเหลนอยู่เป็นพรวนเห็นกระบวนแห้หน้ามาแต่ไกล
พวกผู้หญิงชิงช่องราชวัติด่าทอพ้อตัดผลักไส
บ้างลุกขึ้นชี้หน้าแล้วว่าไปทำไมตะกายเอานายกู
ลูกผัวพี่น้องทั้งสองข้างวิ่งวางเข้าช่วยเหมือนหมวยหมู่
พวกผู้ชายเฮฮาเข้ามาดูตำรวจในไล่ขู่ห้ามปราม
ผู้คนคั่งคับนับแสนนับแน่นไปทั้งท้องสนาม
บ้างชมรถรัตน์สารพัดงามพระโกศทองอร่ามรูจี
ท้าวนางข้างในออกไปดูนั่งอยู่หน้าพลับพลาหลังคาสี
บ้างพูดถึงครั้งการบ้านเมืองดีว่างามยิ่งกว่านี้มากมาย
เมียขุนนางลางคนติผัวแต่งตัวใส่ลำพอกปานจะหงาย
สะกิดเพื่อนเตอนให้ดูท่านผู้ชายแย้มยิ้มพริ้มพรายไปมา ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพวกพระวงศ์พงศ์พันธุ์ในหมันหยา
ทั้งขุนนางข้าง๓ูษามาลาครั้นพระศพชักมาถึงพระเมรุ
ให้เชิญโกษลงจากบุษบกพยุงยกฮึดฮัดขัดเขมร
ใส่ที่นั่งบัลลังก์ราเชนทร์เวียนรอบบริเวณพระเมรุมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯกลองโยน
๏ ครั้นครบคำรบสามตามธรรมเนียมหนักงานคอยเตรียมอยู่พร้อมหน้า
จึงเชิญพระโกศแก้วแววฟ้าขึ้นตั้งบนเบญจห้าชั้น
พวกประโคมสังข์แตรแซ่เสียงสำเนียงกลองชนะครื้นครั่น
ชาววังชักรูดพระสูตรสุวรรณบังแสงสุริยันตรัสไตร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ชวนอิเหนานัดดาคลาไคลเข้าไปในพระเมรุรจนา
ครั้นถึงจึงบังคมเคารพพระศพอัยกีนาถา
แล้วทรงจุดธูปเทียนบูชาเครื่องสุวรรณบุปผามาลี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตีจรลีมายังพระเมรุทอง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงจุดธูปเทียนนมัสการเยาวมาลย์กำสรดเศร้าหมอง
สาวสนมกรมในเนืองนองฟูมฟายชลนัยน์จาบัลย์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านไอศวรรย์
ให้สังฆ์การีพระนันธรรม์พร้อมกันเข้ามาสดับปกรณ์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วถวายไทยทานวัตถุบริขารเสื่อร่มพรมหมอน
โสมนัสศรัทธาสถาวรภูธรเสด็จกลับมาพลับพลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาดหมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา
ประชาชนกล่นเกลื่อนกันมาจึงตรัสสั่งเสนาให้ทิ้งทาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีที่เฝ้าอยู่หน้าฉาน
รับสั่งแล้ววิ่งไปลนลานโบกมือให้ทิ้งทานโปรยปราย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นชาวคลังทั้งหลาย
นั่งประจำกำมพฤกษ์รอบรายต่างถวายบังคมแล้วขึ้นทิ้ง
ผู้คนคั่งคับสับสนปนละวนวุ่นวายทั้งชายหญิง
บ้างโดดโลดลอยคอยชิงชูสวิงร่มรับลูกมะนาว
บ้างตบมือเพรียกเรียกร้องไล่ตะครุบทุบถองกันอื้อฉาว
เป็นหมู่หมู่วิ่งกรูเกรียวกราวประชาชาวบุรีปรีดา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพนักงานการเล่นทุกภาษา
ทั้งหุ่นโขนโรงใหญ่ช่องระทามานอนโรงคอยท่าแต่ราตรี
ครั้นพระศพชักมาถึงหน้าเมรุก็โห่ฉาวกราวเขนขึ้นอึงมี่
ต่างเล่นเต้นรำทำท่วงทีเสียงฆ้องกลองตีทุกโรงงาน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นฝูงประชามาสิ้นทุกถิ่นฐาน
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวร้านเดินเที่ยวดูงานพล่านไป
นักเลงเหล่าเจ้าชู้ฉุยฉายนุ่งรายฉีกผ้าดัดตัดผมใหม่
ดัดจริตปิดขมัดทาไพลห่มแพรหนังไก่สองเพลาะ
เห็นสาวสาวเหล่าเข้าหลวงเรือนนอกสะกิดบอกเพื่อนกันคนนั้นเหมาะ
บ้างเดินเวียนแวดวายชายร่ยเราะพูดปะเหลาะลดเลี้ยงเกี้ยวพาน
พวกดูโขนโคนตมก็ไม่ว่าสู้ทนฝนฟ้าไม่ไปบ้าน
บ้างยืนนั่งตั้งใจจะดูงานสับสนอลหม่านเล้าลุม
พวกผู้ชายรายยืนอยู่สองข้างแหวกทางให้ผู้หญิงถลำหลุม
ที่ลื่นล้มกลางถนนคนชุมหนุ่มหนุ่มสรวลเสเฮฮา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หมันหยา
ตะวันชายบ่ายบังหลังพลับพลาให้เรียกมวยเข้ามาฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นคู่มวยลุกขึ้นขมีขมัน
บ่างเท้าสาวหมัดกัดฟันตั้งมั่นตาเขม็งคอยรับ
ชกนอกหลอกหลอนลวงให้ไล่ว่องไวได้ที่ตีเท้ากลับ
ยังไม่ทันถึงยกฟกบวมยับอดเหนียวเคี่ยวขับไม่รับแพ้
มุทะลุไล่สุ่มตะลุมบอนชกซ้อนถูกถนัดหมัดทอดแห
ล้มลงกลอกคอทำท้อแท้เรียกหมอมาแก้แล้วหยุดไว้ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ทรงพระสรวลตรัสสั่งเสนาในจงไปเปรียบมวยผู้หญิงดู
เลือกล่ำงามงามตามสมัครที่ใจรักชกตีจะมีอยู่
ลูกเมียของใครก็ไม่รู้ได้คู่คาดหมัดมาบัดนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
มาเปรียบมวยผู้หญิงเป็นสิงคลีตามมีพระราชบัญชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ คู่แรกหัวไรจุกจับกระเหม่าหน้าเง้าเจ้าคารมผมประบ่า
แต่งตัวผัวเสกขมิ้นทาห่มผ้าแพรแดงตระแบงมาน
คาดหมัดขัดเขมรมงคลใส่แล้วไปยังสนามหน้าฉาน
ทุบหลังลงให้นั่งกราบกรานพระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงว่าชอบกลอยู่คู่นี้ชกให้ดีดีอย่าเกี้ยวกัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นคู่มวยผู้หญิงคนขยัน
กราบลงแล้วลุกขึ้นฉับพลันตั้งมั่นเหม่นเหม่ไม่มีแรง
ย่างเท้าสาวหมัดเมินหน้าหลับตาทุบถองกันพล่องแพล่ง
เลี้ยวลอดกอดกัดวัดแวงล้มตะแคงคนดูเฮฮา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ทอดพระเนตรอยู่บนพลับพลาจนโพล้เพล้เวลาใกล้จะพลบ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพนักงานด้านพระเมรุเจนจบ
พร้าขอตะกร้อน้ำเตรียมครบหน้าพลับพลาจุดคบรายไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่
ให้จุดพุ่มระทาดอกไม้ไสวสว่างช่วงดังดวงดาว ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกหนังต่างประชันโห่ฉาว
บ้างหยุดพากษ์เจรจาว่าเรื่องราวบ้างเชิดบ้างกราวอึงไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นประชาชนอลหม่านไม่นับได้
เป็นหมู่หมู่มาดูดอกไม้แล้วไปดูหนังฟังเจรจา
พวกผู้ดีหนุ่มหนุ่มคลุมศีรษะเดินปะใครพบก็หลบหน้า
ปลอมปนมิให้คนสงกาเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มคะนอง
พวกผู้หญิงชาวร้านบ้านใกล้ตามไต้นั่งรายขายของ
หมากพลูบุหรี่ใส่ซองเห็นใครเดินมาร้องเรียกให้ซื้อ
พวกบัณฑิตติดจะเคอะเข้านั่งใกล้ช่วยเขี่ยไต้อ่านอวดสวดหนังสือ
ปะเหล่าโลนลำพองคะนองมือเอาอิฐถือลอบทิ้งจนนิ่งไป
พวกผู้ชายโฉงเฉงนักเลงถั่วแต่งตัวนุ่งผ้าพกใหญ่
เห็นบ่อนตั้งหลังระทาดอกไม้ก็แวะวางเข้าไปนั่งแทง
บ้างยักขึ้นเส้นเล่นพกเปล่าครั้นเสียเข้าก็นั่งทำหน้าแห้ง
บ้างปลอมเปลี่ยนสับจับเงินแดงที่ติดพันยื้อแย้งกันรุงรัง
ลางลอบเหล่าลอบจุดประทัดทิ้งพวกผู้หญิงเป็นหมู่มาดูหนัง
บ้างโกรธบ้างว่าน่าชังบ้างนั่งดูสนุกบ้างลุกไป ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีสีใส
ครั้นค่ำคำนึงถึงทรามวัยภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา
จะเข้าไปคอยอยู่ที่พระศพจะได้พบพุ่มพวงดวงยิหวา
คิดพลางย่างเยื้องลีลาเข้ามาเมรุสุวรรณชั้นใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลีพระศพอัยกีเป็นใหญ่
จึงจุดธูปเทียนทันใดด้วยใจเคารพบูชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
สถิตยังสุวรรณพลับพลาครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ
จึงชวนพระธิดายาใจจะเข้าไปทักษิณพระศพ
โขลนจ่าข้าหลวงวิ่งกระทบจุดคบโคมส่องเสด็จมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงบริเวณพระเมรุใหญ่เห็นนายไพร่พร้อมพรั่งนั่งรักษา
จึงหยุดยืนอยู่แทบทวาราทั้งสองกษัตราไม่คลาไคล ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
             

บัดนั้นนางโขลนผู้มีอัฌชาสัย
วิ่งวางมาชับฉับไวพวกผู้ชายออกไปเสียให้พ้น ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีแจ้งเหตุผล
จึงขับเสนาสามนต์ผู้คนทั้งนั้นออกมา
แต่องค์เดียวเสด็จจรจรัลไปรับประหมันด้วยหรรษา
น้อมองค์ลงถวายวันทาแล้วแลดูจินตะหราวาตี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
จึงตรัสชวนระเด่นมนตรีมาทักษิณอัยกีด้วยกัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเกษมสันต์
สมคิดดังจิตผูกพันจึงเสด็จจรจรัลตามมา
พระแสร้งทำทักษิณไปพลางชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา
แสงเพลิงส่องจับกับพักตราโสภาเพียงบุหลันลอยโพยม
ดูไหนให้เพลินจำเริญจิตยิ่งคิดพิสมัยที่ในโฉม
ครั้นตึงช่องกลางหว่างโคมลำลำจะใคร่โลมนางเทวี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
ดำเนินเดินเคียงพระภูมีทำท่วงทีอายเอียงเมียงเมิน
แลสบหลบเนตรเชษฐากัลยายิ่งระทวยขวยเขิน
ให้อดสูจิตคิดสะเทิ้นพลางเดินก้มพักตร์ทักษิณไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
เห็นท่วงทีอิเหนาก็เข้าใจทำเมินเดินไปไม่นำพา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงกำนัลในซ้ายขวา
แจ้งใจในทีกิริยาชายตาดูองค์พระทรงธรรม์
เห็นดำเนินเดินชิดพระธิดากิริยาแยบคายคมสัน
บ้างบอกเพื่อนสนิทสะกิดกันนางกำนัลซุบซิบกระหยิบตา
ที่มีอัฌชาสัยมิใคร่เดินทำเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า
บ้างรอรั้งยั้งยืนพูดจาตามเสด็จเดินมาแต่ไกลไกล ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เดินเคียงกัลยาคลาไคลเห็นนางห่างไกลพระชนนี
จึงเอาพลูรอยกัดซัดต้ององค์โฉมยงสะดุ้งเดินเมินหนี
พระรีบไปพลันทันเทวีภูมียิ้มพรายชายตา
เห็นนางเดินเมินเมียงเลี่ยงหลบพระแกล้งทำกระทบอังสา
นาสิกสูดรสสุคนธากัลยาเคืองค้อนงอนงาม
แต่เวียนวงทักษิณรอบพระศพจนจบถ้วนครบคำรบสาม
ให้อาลัยที่จะไกลนงรามด้วยความประดิพัทธ์พันทวี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ครั้นเสร็จทักษิณศพพระอัยกีก็จรลีมาสุวรรณพลับพลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวเจ้าเมืองหมันหยา
สมโภชพระศพเสร็จเจ็ดทิวาครั้นเพลาบ่ายแสงสุริยง
จึ่งให้เชิญพระโกศทองลองในขึ้นใส่เชิงตะกอนสูงส่ง
พร้อมพระมเหสีสุรย์วงศ์ทั้งองค์อิเหนานัดดา
ต่างถือธูปเทียนดอกไม้เข้าไปประนมน้อมพร้อมหน้า
จบพระหัตถ์มัสการขอสมาอย่าให้มีเวราสืบไป
ครั้นเสร็จจึงจุดเพลิงพลันสารพันเครื่องหอมซัดใส่
คับคั่งทั้งข้างหน้าข้างในต่างคนเข้าไปจุดอัคคี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตีดูเปลวอัคคีชัชวาล
นางยิ่งระทดสลดจิตอาลัยให้คิดสงสาร
ต่างองค์ยกหัตถ์มัสการเยาวมาลย์ช้อนทรวงเข้าโศกา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้บูชากนฑ์
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ยพระคุณเคยปกเกล้าเกศา
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาไม่นิราศคลาดคลาสักคืนวัน
พระพี่นางทั้งสองมาเชิญไปก็มิได้จำนงผายผัน
เพราะรักใคร่ในลูกผูกพันประโลมเลี้ยงหลานขวัญทุกเวลา
ทีนี้ตั้งแต่จะแลลับที่ไหนจะได้กลับมาเห็นหน้า
ร่ำพลางนางทรงโศกากัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านหมันหยากรุงศรี
ครั้นเสร็จส่งสักการะพระอัยกีภูมีสร้อยเศร้าเปล่าวิญญ์
จึ่งชวนมเหสีโฉมยงกับองค์บุตรีเสนหา
พร้อมฝูงกำนัลกัลยาลีลาเข้ายังวังใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
ครั้นท้าวหมันหยาคลาไคลก็กลับไปที่อยู่พระภูธร ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจงทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์
ถวิลถึงวนิดายิ่งอาวรณ์พลางสะท้อนถอนใจไปมา
กรกอดเขนยข้างไว้หว่างทรวงสำคัญว่าพุ่มพวงดวงยิหวา
เคลิ้มเคล้นเหมือนจะเห็นกัลยาพระหลงใหลไขว่คว้าม่านมอง
ครั้นรู้สึกสมประดีว่ามิใช่ก็เศร้าเสียพระทัยหม่นหมอง
ให้โศกศัลย์รัญจวนถึงนวลน้องนิ่งตรึกตรองจนหลับไป ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ครั้นรุ่งสางสร่างแสงอโณทัยภูวไนยแต่งองค์อลงกร
ครั้นเสร็จเสด็จจรลีมายังที่เกยลาหน้าฉาน
ขึ้นทรงยานุมาศสามคานพนักงานแห่แหนแน่นนันต์
องค์ประไหมสุหรีกกับธิดาเสด็จมาในแนวแนวนกั้น
ระเด่นมนตรีกุเรปันก็ตามมาเมรุสุวรรณบรรจง ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ครั้นถึงจึงชวนพระวงศาเขี่ยหาพระธาตุกวาดเผ้าผง
เก็บได้ใส่ขันสุวรรณลงโสรจสรงสุคนธาวารี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
เขี่ยหาพระธาตุอัยกีเทวีพลางทรงโศกาลัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เห็นนางหยิบลงที่แห่งใดภูวไนยหยิบลงที่ตรงนั้น
พระกรกระทบกรนางเทวีทำทีแยบคายคมสัน
แล้วแสร้งทรงโศกาจาบัลย์มิให้สองประหมันกินใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านหมันหยาเป็นใหญ่
เสร็จสรงพระธาตุทันใดใส่ในโกศรัตน์ชัชวาล
ให้เชิญเข้าไปในวังสถิตยังปราสาทราชฐาน
และสั่งให้ลอยพระอังคารตามจารีตบุราณแต่ก่อนมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีรับสั่งใส่เกศา
มาจัดแจงแต่งตามพระบัญชาชาวมาลาไปกวาดพระอังคาร
เอาห่อหุ้มคลุมผ้าโขมพัตถ์แล้วผูกรัดพันเข้าทั้งเถ้าถ่าน
ใส่ในขันทองรองพานเชิญขึ้นพระยานมาศมา
คู่แห่แต่ล้วนใส่ลำพอกพนมมือถือดอกบุปผา
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องโกลาแห่ไปยังท่าชลาลัย ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงตะพานเหนือตำหนักแพเรือแห่ธงทิวปลิวไสว
จึงเชิญพระอังคารลงไปเรือที่นั่งเอกชัยฉับพลัน
พลพายนั่งพายเป็นคู่คู่ใส่เสื้อปัศตูดูขบขัน
เรือขุนนางเรือที่นั่งดั้งกันแห่แหนแน่นันต์นทีธาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงกึ่งกลางสาชลเป็นวังวนกว้างใหญ่ไพศาล
ชาวภูษามาลาพนักงานก็เชิญพระอังคารลอยไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

  • คุณพรพรรณ วัฑฒนายน ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน
  • [1]
เครื่องมือส่วนตัว