บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(บทประพันธ์)
(บทประพันธ์)
แถว 8: แถว 8:
'''พระราชนิพนธ์:''' [[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]]
'''พระราชนิพนธ์:''' [[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]]
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
 +
==== ====
<tpoem>
<tpoem>
<sup>ช้าปี่</sup>
<sup>ช้าปี่</sup>
แถว 249: แถว 250:
จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์เทวา  ดำรงขัณฑเสมาธานี ฯ
จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์เทวา  ดำรงขัณฑเสมาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
-
 
+
</tpoem>
-
 
+
==== ====
 +
<tpoem>
๏ คิดพลางทางถวายเครื่องบวงสรวง  บำบวงเทวราชเรืองศรี
๏ คิดพลางทางถวายเครื่องบวงสรวง  บำบวงเทวราชเรืองศรี
ขออารักษ์หลักเมืองเรืองฤทธี  ได้ปรานีเชิญช่วยจงสคิด
ขออารักษ์หลักเมืองเรืองฤทธี  ได้ปรานีเชิญช่วยจงสคิด
แถว 276: แถว 278:
 +
<sup>ร่าย</sup>
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ศรีปัตหราได้ทราบสาร
 +
นิ่งนึกตรึกดูก็แจ้งการ  จะมีครรภ์กุมารเป็นมั่นคง
 +
พระเร่งเกษมสันต์หรรษา  สมถวิลจินดาดังประสงค์
 +
พอรุ่งรางสว่างแสงสุริยง  ก็อ่าองค์ทรงเครื่องรูจี
 +
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัล  นั่งเหนือแท่นสุวรรณจำรัสศรี
 +
แล้วเล่าความนิมิตเทวี  แก่โหรเฒ่าทั้งสี่ทันใด ฯ
 +
ฯ ๖ คำฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ทั้งสี่โหราอัชฌาสัย
 +
พิเคราะห์ดูเห็นแจ้งไม่แคลงใจ  ต่างทูลภูวไนยไปพลัน
 +
อันพระสุบินนี้ดีนัก  จะได้โอรสรักเป็นแม่นมั่น
 +
อาจองทรงเดชดังสุริยัน  ทุกนิเวศน์เขตขัณฑ์ไม่ต้านทาน
 +
จะเป็นที่ดับเข็ญให้เย็นยุค  ราษฎรจะได้สุขเกษมศานต์
 +
ซึ่งนิมิตยามจันทร์วันอังคาร  จวนเวลากาลอโณทัย
 +
สิ่งใดพระองค์ประสงค์นัก  ตำราว่าจักพลันได้
 +
แต่ในสองเดือนถ้าเคลื่อนไป  พระอย่าไว้ชีวิตโหรา ฯ
 +
ฯ ๘ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระทรงภพกุเรปันหรรษา
 +
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา  ให้จัดเสื้อผ้าแพรพรรณ
 +
ทั้งเงินทองข้าวของหลากหลาย  มาให้โหรผู้ทายทำนายฝัน
 +
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล  เข้าปราสาทสุวรรณรจนา ฯ
 +
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ปะไหมสุหรีเสน่หา
 +
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา  ประมาณเดือนหนึ่งมาก็มีครรภ์
 +
ยิ่งผุดผาดผิวผ่องละอององค์  ดังอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
 +
เมื่อจวนจะถ้วนกำหนดนั้น  ให้บังเกิดอัศจรรย์จลาจล
 +
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่น  เป็นควันตลบทั้งเวหน
 +
มืดมิดปิดแสงพระสุริยน  ฟ้าลั่นอึงอลนภาลัย
 +
แลบพรายเป็นสายอินทรธนู  สักครู่ก็เกิดพายุใหญ่
 +
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมไป  แล้วฝนห่าใหญ่ตกลงมา
 +
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสาย  แต่มิได้อันตรายจักผ่า
 +
เย็นทั่วฝูงราษฎร์ประชา  ทั้งเจ็ดทิวาราตี ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
 +
เสด็จยังปรางค์รัตน์มณี  ภูมีเห็นนิมิตผิดใจ
 +
เกิดมาแต่ก่อนบ่ห่อนเห็น  จะอุบัติขัดเข็ญเป็นไฉน
 +
คิดพลางย่างเยื้องคลาไคล  เสด็จออกพระโรงชัยฉับพลัน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ จึงมีพระราชบรรหาร  ถามโหราจารย์คนขยัน
 +
ซึ่งเกิดมหัศจรรย์  ผิดอย่างปางบรรพ์ไม่เคยมี
 +
หรือจะเป็นเหตุการณ์แก่บ้านเมือง  ระคายเคืองขุ่นข้องหมองศรี
 +
จงเร่งทำนายร้ายหรือดี  เรานี้ให้ฉงนสนเท่ห์ใจ ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ขุนโหรกราบทูลแถลงไข
 +
ข้าพิเคราะห์เห็นไม่เป็นไร  แต่วันแรกนั้นได้ปรึกษากัน
 +
คูณควณสวนสอบทุกตำรา  ดูชะตานคเรศเขตขัณฑ์
 +
วางลัคน์อินทพาทบาทจันทร์  ก็ไม่เห็นสำคัญอันตราย
 +
เพราะอานุภาพพระโอรส  ให้ปรากฏแก่โลกทั้งหลาย
 +
ซึ่งฟ้าร้องสนั่นลั่นแลบพราย  บันดาลเป็นสายอินทรธนู
 +
จะกึกก้องเกียรติยศทั้งทศทิศ  เรืองฤทธิ์ไม่มีที่เคียงคู่
 +
พระจะเที่ยวโรมรันพันตู  ปราบหมู่อริราชทุกบุรี
 +
อันเกิดพายุใหญ่ไม้ล้ม  ระตูจะบังคมบทศรี
 +
ซึ่งฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรี  บรรณาการจะมีเนืองมา
 +
เมื่อพระชันษาสิบห้าขวบ  พระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
 +
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามครา  แต่ว่าเห็นไม่เป็นไรนัก
 +
พระจะไปได้นางในเมืองอื่น  ชมชื่นรื่นรสด้วยยศศักดิ์
 +
แล้วจำเป็นจะจากกันทั้งรัก  พระจะได้ทุกข์นักเพราะนารี
 +
นางใจที่ประสงค์จำนงให้  ไม่อาลัยจะสลัดหลีกหนี
 +
ซึ่งเมฆหมอกมืดมัวทั่วราตรี  บดบังรังสีสุริยน
 +
พระองค์ดั่งดวงทินกร  ทรงเดชขจรทุกแห่งหน
 +
พระโอรสยศยิ่งภูวดล  เหมือนเมฆเกลื่อนกล่นเข้าบังไว้
 +
ซึ่งเป็นควันตลบอบอัมพร  ภูธรจะทุกข์ทนหม่นไหม้
 +
ด้วยโอรสาจะคลาไคล  จำเป็นจำให้กำจัดกัน
 +
พระจะเที่ยวมะงุมมะงาหรา  ย่ำยีบีฑาทุกเขตขัณฑ์
 +
สิบสามปีจะคืนกุเรปัน  จะได้สองนางนั้นมาธานี
 +
จึงจะเย็นแหล่งหล้าประชากร  สโมสรเป็นสุขเกษมศรี
 +
จะสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกวันนี้  พระจะมีมเหสีถึงสิบองค์
 +
บรรดากรุงชวาทั้งปวง  จะขึ้นแก่กุเรปันเป็นส่วยส่ง
 +
ข้าเห็นพร้อมกันเป็นมั่นคง  มิได้พะวงสงกา ฯ
 +
ฯ ๒๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ท้าวกุเรปันนาถา
 +
ฟังคำทำนายโหรา  เกษมสันต์หรรษาเป็นพ้นนัก
 +
จึงประทานบำเหน็จนานา  เสื้อผ้านุ่งห่มสมปัก
 +
ให้โหรเฒ่าผู้ทำนายทายทัก  แล้วทรงศักดิ์เสด็จจากพระโรงคัล ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
 +
ตั้งแต่เกิดเหตุมหัศจรรย์  นับได้เจ็ดวันเจ็ดคืนมา
 +
พระครรภ์ครบกำหนดทศมาส  จะประสูติพระราชโอรสา
 +
ให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายา  ประหนึ่งว่าชีวันจะอันตราย ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ฝูงสุรางค์นางกำนัลทั้งหลาย
 +
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่เจ้าขรัวนาย  เห็นโฉมฉายปั่นป่วนประชวรครรภ์
 +
บ้างเข้าหนุนพระขนองประคองรับ  กำชับหมอตำแยที่แปรผัน
 +
บ้างไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์  บังคมคัลทูลแถลงให้แจ้งใจ ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านพิภพกรุงใหญ่
 +
ฟังข่าวเร่าร้อนฤทัย  ภูวไนยก็รีบลีลา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงพระจึงเสด็จนั่ง  เหนือสุวรรณบัลลังก์เลขา
 +
พร้อมสี่มเหสีกัลยา  สุริย์วงศ์พงศามากมี ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  โฉมยงค์ประไหมสุหรี
 +
ครั้นได้ฤกษ์พานาที  เทวีก็ประสูติพระกุมาร
 +
ชาวประโคมก็ประโคมแตรสังข์  พร้อมพรั่งจำเรียงเสียงประสาน
 +
อันอัศจรรย์ซึ่งบันดาล  ก็อันตรธานทันใดฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์มะเดหวีศรีใส
 +
จึงเอาข่ายแก้วแววไว  รับพระดนัยโฉฉมยง
 +
แล้วเอาน้ำดอกไม้ใสสด  มารินรดชำระสระสรง
 +
ลูบไล้ด้วยเครื่องสุคนธ์ทรง  วางลงบนยี่ภู่พานสุวรรณ ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ศรีปัตหรารังสรรค์
 +
พิศโฉมลูกยาวิลาวัณย์  สารพันงามสิ้นทั้งอินทรีย์
 +
ดำแดงแน่งเนื้อนวลผจง  น่ารักรูปทรงส่งศรี
 +
สมหมายเหมือนถวิลยินดี  เสน่หาพ้นที่จะพรรณนา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ท้าวนางข้างในถ้วนหน้า
 +
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่จ่าชา  ก็จัดสรรภรรยาเสนี
 +
เป็นนางสนมสมบูรณ์ด้วยรูปร่าง  ครบถ้วนตามอย่างหกสิบสี่
 +
เว้นโทษขาวดำผอมพี  ไม่มีต่ำสูงเสมอกัน
 +
แล้วจัดเหล่านารีพี่เลี้ยง  ที่ควรเคียงถือต้องประคองขวัญ
 +
สี่อนงค์ทรงลักษณ์ลาวัลย์  ล้วนวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตรา
 +
กับนางกำนัลน้อยน้อย  สองร้อยรูปร่างโอ่อ่า
 +
ทั้งเงินทองของขวัญนานา  นำมาถวายทันที ฯ
 +
ฯ ๘ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  จึงมหาอำมาตย์ทั้งสี่
 +
กับทั้งเหล่าเสนามนตรี  แต่บรรดาที่มีบุตรนั้น
 +
ให้จัดแจงแต่งตัวทั้งแปดร้อย  ล้วนน้อยน้อยหน้าตาคมสัน
 +
พาไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์  ถวายเป็นข้าขวัญพระกุมาร ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
 +
ชื่นชมโสมนัสเบิกบาน  จึงมีบัญชาการตรัสไป
 +
อันบุตรเสนาปาเตะ  ตั้งที่ยะรุเดะพี่เลี้ยงใหญ่
 +
บุตรตำมะหงงเสนาใน  ตั้งให้เป็นที่ปูนตา
 +
อันบุตรดะหมังมนตรี  ตั้งเป็นที่ประสันตาครบครัน
 +
พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อย  รูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน
 +
พระสั่งให้ประทานรางวัล  ตามหลั่นพี่เลี้ยงแลมนตรี ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ฝ่ายสามอนุชาเรืองศรี
 +
อีกองค์สมเด็จพระอัยกี  กับประไหมสุหรีหมันหยานั้น
 +
ทั้งระภูธรทุกประเทศ  ครั้นเห็นเหตุวิปริตผิดผัน
 +
ต่างองค์ทรงคิดอัศจรรย์  ให้สงสัยไหวหวั่นหฤทัย
 +
บ้างให้ค้นดูตำรับข้างที่  จดหมายเหตุคัมภีร์น้อยใหญ่
 +
คนแก่เฒ่าก็เอามาซักไซ้  บ้างถามไถ่โหราพฤฒาจารย์
 +
บ้างให้หาบีกูประมาหนา  ฤาษีชีป่าในไพรสัณฑ์
 +
ที่ได้กสิณอภิญญาณ  ก็แจ้งการทำนายมาเหมือนกัน
 +
ต่างรู้ประจักษ์แจ้งแห่งเหตุ  ผู้มีเดชลงมาจากสวรรค์
 +
เป็นโอรสท้าวกุเรปัน  จะประสูติจากครรภ์พระชนนี
 +
อันท้าวดาหาแลกาหลัง  อีกทั้งท้าวสิงหัดส่าหรี
 +
กับองค์อัครราชเทวี  ชื่นชมยินดีเป็นสุดคิด
 +
จึงจัดของขวัญพระกุมาร  สร้อยสนสังวาลวิภูษิต
 +
มงกุฎแก้วกุณฑลตาบทิศ  ตามอย่างราชนิติบุราณมา
 +
ให้มหาเสนานำไป  ยังกรุงไกรบรมเชษฐา
 +
เฉลิมขวัญพระราชนัดดา  โดยตำราตราตั้งจิรังกาล
 +
ฝ่ายองค์สมเด็จพระอัยกี  ในหมันหยาธานีราชฐาน
 +
จัดระเด่นดาหยันกุมาร  ซึ่งเป็นวงษ์วารกษัตรา
 +
กับพี่เลี้ยงแลนางนม  ล้วนอุดมรูปทรงวงศา
 +
ชายหญิงสิ่งละร้อยโดยตรา  มอบให้เสนานำไป ฯ
 +
ฯ ๒๐ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  เสนาหมันหยากรุงใหญ่
 +
ถวายบังคมลาคลาไคล  ออกจากพิชัยธานี ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
 +
เร่งรัดรีบมสิบห้าวัน  ก็ลุถึงกุเรปันกรุงศรี
 +
พบทูตทั้งสามพระบุรี  พากันจรลีเข้าวังใน ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหา  ปะเตะเสนาแลดาหมัง
 +
ต่างแถลงแจ้งความให้ฟัง  แล้วพากันมาพระโรงชัย ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ท้าวนางกำนัลน้อยใหญ่
 +
ครั้นถึงวันสมโภชพระดนัย  ก็วุ่นวายวิ่งไขว่ไปทั้งวัง
 +
เร่งให้หาโหราพราหมณ์ชี  ชาวประโคมดนตรีแตรสังข์
 +
เอาขันสาครใหญ่ในคลัง  มันจัดแจงแต่งตั้งเตียงรอง
 +
ปักสุวรรณราชวัติฉัตรธง  รายรอบที่สรงเป็นแถวถ้อง
 +
ทั้งมะพร้าวเต่าปลาเงินทอง  จัดต้องตามธรรมเนียมเตรียมไว้
 +
ตั้งบายศรีเงินทองสองสำรับ  แซมยอดสอดประดับดอกไม้ไหว
 +
ลังข์กลศแว่นเวียนเทียนชัย  แต่งไว้เสร็จถ้วนทุกสิ่งอัน ฯ
 +
ฯ ๘ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ศรีปัตหรารังสรรค์
 +
เวลาควรจวนฤกษ์ก็จรจรัล  ไปปราสาทสุวรรณพระโอรส ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
นั่งเหนือบัลลังก์รูจี  พร้อมพระมเหสีทั้งปวงหมด
 +
ต่างกราบบาทบงสุ์พระทรงยศ  พอกำหนดพระฤกษ์เวลา
 +
จึงให้เชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่  เข้าอุ้มองค์พระดนัยเสน่หา
 +
เชิญสี่บีกูนั้นเข้ามา  จำเริญเกศาพระกุมาร ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
แล้วเชิญลงสรงน้ำในสาคร  อับอบอายเกสรหอมหวาน
 +
ชีพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์  ต่างอ่านพระเวทย์ถวายชัย
 +
ราชครูบีกูทั้งสี่  เอาเสาวคนธ์วารีมาสรงให้
 +
แล้วเชิญลงอู่แก้วแววไว  อ่านมนต์แกว่งไกวไปมา ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
<sup>ยานี</sup>
 +
๏ มาจะกล่าวบทไป  ถึงองค์อสัญแดหวา
 +
ซึ่งเป็นบรมอัยการ  สถิตยังชั้นฟ้าสุราลัย
 +
จึงนิมิตกริชแก้วสุรกานต์  นามกรพระหลานจารึกใส่
 +
ครั้นเสร็จเสด็จจากวิมาชัย  เหาะมากรุงไกรกุเรปัน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
 +
 +
 +
<sup>ร่าย</sup>
 +
๏ ครั้นถึงจึงวางกริชลง  ข้างองค์พระกุมารหลานขวัญ
 +
อวยชัยให้พรแล้วเทวัญ  กลับคืนกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์มะเดหวีเสน่หา
 +
ประคองกรช้อนอุ้มพระลูกยา  เชิญมาจากอู่อำไพ
 +
เห็นกริชนั้นวางอยู่ข้างที่  มารศรีหลากจิตคิดสงสัย
 +
จึงหยิบมาดูด้วยดีใจ  แล้วถวายภูวไนยฉับพลัน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
 +
ชืนชมโสมนัสอัศจรรย์  เอากริชนั้นออกพิจารณา ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ จึงเห็นจารึกอักษร  นามกรพระโอรสา
 +
ชื่อหยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา  อุดากนสาหรีปาตี
 +
อิเหนาเองหยังตาหลา  เมาะตาริยะกัดดังสุรศรี
 +
ดาหยังอริราชไพรี  เองกะนะกะหรีกุรปัน ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษร  ภูธรยิ่งแสนเกษมสันต์
 +
จึงยอกรถวายอภิวันท์  อัยกาทรงธรรม์เลิศไกร
 +
พระมาช่วยอุปถัมภ์บำรุง  จะลือเกียรติทุกกรุงน้อยใหญ่
 +
สมคำโหรทายทำนายไว้  ประจักษ์ในนิมิแต่เดิมมา
 +
แล้วสั่งประโคมเป็นสำคัญ  เฉลิมขวัญพระโอรสา
 +
เอาฤกษ์ได้กริชเทวา  เป็นมหามหัศอัศจรรย์ ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นเสร็จสมโภชพระดนัย  พระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
 +
จึงสั่งพนักงานทั้งปวงนั้น  ให้จัดสรรเครื่องใช้แลเครื่องทรง
 +
มงกุฎเพชรพาหุรัดจำรัสเรือง  กับเมืองขึ้นสิบเมืองเป็นส่วยส่ง
 +
ทั้งเสนีรี้พลจัตุรงค์  ประทานองค์โอรสยศไกร ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นเสร็จพระเสด็จเยื้องย่าง  จากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
 +
มายังโรงคัลทันใด  เสนาในเฝ้าแหนแน่นนันต์ ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
 +
 +
 +
๏ บัดนั้น  ปาเตะเสนาคนขยัน
 +
จึงนำเสนีสี่เมืองนั้น  มาบังคมคัลมิทันนาน ฯ
 +
ฯ ๒ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ แล้วทูลว่าสามกษัตริย์ทรงเดช  ผู้ดำรงนคเรศราชฐาน
 +
ให้เสนีนำของมาประทาน  พระหลานรักราชสุริย์วงศ์
 +
แต่องค์สมเด็จพระอัยกี  ให้หมันหยาธานีสูงส่ง
 +
ให้ระเด่นดาหยันโฉมยง  ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พงศ์พันธุ์
 +
ทั้งหมู่ชายหญิงสิ่งละร้อย  ล้วนหนุ่มน้อยหน้าตาคมสัน
 +
กับพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้น  ถวายเป็นข้าขวัญพระนัดดา ฯ
 +
ฯ ๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระสุริย์วงศ์ศรีปัตหรา
 +
ชื่นชมโสมนัสปรีดา  จึงมีบัญชาตรัสไป
 +
ซึ่งพระมารดาการุญ  พระคุณนั้นหาที่สุดไม่
 +
ท่านจงทูลแถลงให้แจ้งใจ  ว่าเราบังคมไปใต้บาทา
 +
อันพระอนุชาสามธานี  เรานี้ชอบใจเป็นหนักหนา
 +
จงจำเริญสุขทุกเวลา  อันตรายโรคาอย่าแผ้วพาน
 +
แล้วประทานเสื้อผ้าแก่เสนี  ซึ่งมาแต่สี่ราชฐาน
 +
อันระเด่นดาหยันกุมาร  พระประธานเงินทองของพึงใจ
 +
ให้อยู่ยังที่ติกาหลัง  นิเวศน์วังลูกหลวงอาศัย
 +
ครั้นเสร็จเสด็จเข้าข้างใน  เสนีกลับไปพารา ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ประไหมสุหรีหมันหยา
 +
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตรา  ประสูติมาเป็นราชบุตรี
 +
งามงอนอ่อนระทวยนวยแน่ง  ดำแดงนวลเนื้อสองสี
 +
ผ่องพักตร์ผิวพรรณดังจันทรี  นางในธานีไม่เทียมทัน
 +
องค์พระอัยกีเป็นที่รัก  ถนอมนักเชยชมภิรมย์ขวัญ
 +
บิตุราชมาตุรงค์แลพงศ์พันธุ์  พร้อมกันประทานนามพระธิดา
 +
ชื่อจินตหราวาตีศรีสวัสดิ์  เฉลิมวงศ์พงศ์กษัตริย์ในหมันหยา
 +
อ่อนเดือนกว่าอิเหนาพี่ยา  ทั้งสองชันษาเดียวกัน
 +
พร้อมพระพี่เลี้ยงนางนม  นักสนมกรมในสาวสวรรค์
 +
ประโลมเลี้ยงพระธิดาดวงจันทร์  ทุกวันทุกเวลาราตรี ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระทรงภพกุเรปันเรืองศรี
 +
ทั้งท้าวดาหาธิบดี  สองประไหมสุหรีพี่นางนั้น
 +
จึงจัดของขวัญอันอุดม  ทั้งพี่เลี้ยงนางนมเลือกสรร
 +
ให้เสนาคุมของจรจรัล  ไปทำขวัญพระนัดดานารี ฯ
 +
ฯ ๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ท้าวสิงหัดส่าหรี
 +
มีโอรสแรกเริ่มเดิมที  กับประไหมสุหรีศรีโสภา
 +
เทเวศร์ให้กริชเป็นของขวัญ  เหมือนกันกับอิเหนาเชษฐา 
 +
จารึกนามใส่ในกริชมา  ชื่อระเด่นสุหรานากง
 +
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรี  ด้วยประไหมสุหรีนวลหง
 +
ชื่อสกาหนึ่งหรัดโฉมยง  รูปทรงโสภายาใจ
 +
จึงแต่งของไปตุนาหงัน  บิตุรงค์ทรงธรรม์ก็อวยให้
 +
ตามจารีตวงศาสุราลัย  ตุนาหงันกันได้แต่สี่เมือง
 +
อยู่มามีราชบุตรี  นวลละอองสองสีขาวเหลือง 
 +
พักตร์ผ่องผิวเนื้อเรื่อเรือง  จึงให้นามตามเรื่องมารดา
 +
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรี  พระชนกชนนีเสน่หา
 +
สามเมืองส่งเครื่องบรรณา  มาทำขวัญพระธิดานารี
 +
แล้วจัดสาวสนมกำนัล  เลือกสรรรูปทรงส่งศรี
 +
ตั้งที่พี่เลี้ยงพระบุตรี  เหมือนกันทั้งสี่พารา ฯ
 +
ฯ ๑๔ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  องค์ประไหมสุหรีดาหา
 +
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา  นานมาโฉมยงทรงครรภ์
 +
เมื่อจะประสูติพระดนัย  เวลาประจุสมัยไก่ขัน
 +
บังเกิดมหัศอัศจรรย์  กลิ่นสุคันธรสรวยริน
 +
ดอกไม้ทุกพรรณบันดาล  เบิกบานเกสรขจรกลิ่น
 +
ภุมเรศร่อนร้องโบยบิน  ประสานเสียงเพียงพิณพาทย์ฆ้อง
 +
ดนตรีแตรสังข์ก็ดังเอง  อัศจรรย์บรรเลงกึกก้อง
 +
ครั้นอรุณรุ่งรางสร่างแสงทอง  ดังแสงรุ้งเรืองรองอร่ามไป
 +
สุรศรีดังสีธรรมชาติ  เลื่อมพรายโอภาสผ่องใส
 +
จึงประสูติธิดายาใจ  งามวิไลล้ำเลิศเพริศพราย
 +
อันอัศจรรย์ที่บันดาล  ก็อันตรธานสูญหาย
 +
ยังแต่กลิ่นหอมรวยชวยชาย  จึงถวายพระนามตามเหตุนั้น
 +
ชื่อระเด่นบุษบาหนึ่งหรัด  ลออเอี่ยมเทียมทัดนางสวรรค์
 +
ทั้งในธรณีไม่มีทัน  ผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
 +
อันองค์มะเดหวีมีศักดิ์  ถนอมอุ้มฟูมฟักรักษา
 +
ทั้งสามมเหสีโสภา  รักราชธิดาดังดวงใจ ฯ
 +
ฯ ๑๖ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผ่านภพดาหากรุงใหญ่
 +
แสนสวาทพระราชดนัย  ดังดวงฤทัยทรงธรรม์
 +
จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดา  คนนั้นชื่อว่าบาหยัน
 +
หนึ่งชื่อส่าเหง็ดลาวัณย์  หนึ่งชื่อประเสหรันนารี
 +
หนึ่งชื่อปะลาหงันกัลยา  ตามตำราชื่อตั้งทั้งสี่
 +
แล้วจัดสรรกำนัลที่รูปดี  นารีน้อยน้อยแปดร้อยปลาย
 +
บรรดาบุตรเสนาน้อยใหญ่  ต่างคนเต็มใจเอาไปถวาย
 +
พระประทานรางวัลมากมาย  มอบให้เจ้าขรัวยายบังคับ
 +
บ้างหัดร้องลำนำจำเรียง  ประสานเสียงซักซ้อมกล่อมขับ
 +
บ้างหัดซอกกระจับปี่ตีโทนทับ  สำหรับบำเรอพระธิดา ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระทรงภพกุเรปันนาถา
 +
แจ้งว่าองค์อนุชา  มีราชธิดาลาวัณย์
 +
พระเร่งชื่นชมโสมนัส  จึงให้จัดสิ่งของไปทำขวัญ
 +
กับเครื่องบรรณาการนอกนั้น  เป็นของตุนาหงันกัลยา
 +
ขอระเด่นบุษบาโฉมยง  ให้องค์อิเหนาโอรสา
 +
ตามจารีตบุราณสืบมา  หวังมิให้วงศาอื่นปน
 +
ครั้นเสียศักดิ์สุริย์วงศ์เทเวศร์  ก็เกิดเหตุอันตรายหลายหน
 +
ไพร่ฟ้าประชากรร้อนรน  จลาจลต่างต่างทั้งธานี
 +
ฝ่ายพระอนุชากาหลัง  อีกทั้งสิงหัดส่าหรี
 +
ต่างแต่งบรรณาการมากมี  ไปทำขวัญบุตรีพระพี่ยา ฯ
 +
ฯ ๑๐ คำ ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระองค์ทรงพิภพดาหา
 +
ตั้งแต่มีราชธิดา  ช้านานประมาณห้าปี
 +
จึงมีโอรสยศยง  ด้วยองค์ประไหมสุหรี
 +
งามละม้ายคล้ายกันกับบุตรี  ใครเห็นเป็นที่เจริญใจ
 +
องค์อสัญแดหวาวราฤทธิ์  เสกแสร้งนฤมิตกริชให้
 +
วางลงข้างองค์พระดนัย  จารึกนามนั้นใส่ในกริชมา
 +
ชื่อระเด่นสียะตราหนึ่งหรัด  สืบวงศ์พงศ์กษัตริย์อสัญหยา
 +
พระชนกชนนีก็ปรีดา  เสน่หาดังดวงฤทัย
 +
สี่เมืองส่งเครื่องบรรณาการ  มาทำขวัญพระกุมารประสูติใหม่
 +
ของขวัญตามตำรับบังคับไว้  โดยในสุริย์วงศ์เทวา
 +
แล้วจัดสรรพี่เลี้ยงทั้งสี่  ล้วนลูกเสนีมียศถา
 +
พี่เลี้ยงเอกนั้นชื่อปุนตา  หนึ่งกะระตาหลาพี่เลี้ยงรอง
 +
หนึ่งชื่อยะรุเดะพี่เลี้ยงตรี  ที่สี่ประสันตาปัญญาว่อง
 +
ล้วนหนุ่มน้อยรุ่นรามทรามคะนอง  ตั้งต้องตามขนบครบครัน
 +
ให้บุตรขุนหมื่นพื้นน้อยน้อย  แปดร้อยกุมารากิดาหยัน
 +
ประทานเงินเสื้อผ้าสารพัน  ให้เป็นของขวัญพระลูกยา ฯ
 +
ฯ ๑๖ คำ ฯ
</tpoem>
</tpoem>

การปรับปรุง เมื่อ 09:10, 7 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

บทประพันธ์

ช้าปี่
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงสี่องค์ทรงธรรม์นาถา
เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เทวาบิตุเรศมารดาเดียวกัน
รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดชได้ดำรงนคเรศเขตขัณฑ์
พระเชษฐาครองกรุงกุเรปันถัดนั้นครองดาหาธานี
องค์หนึ่งครองกาหลังบุรีรัตน์องค์หนึ่งครองสิงหัดส่าหรี
เฉลิมโลกโลกาธาตรีไม่มีผู้รอต่อฤทธิ์
ระบือลือทั่วทุกประเทศย่อมเกรงเดชเดชาอาญาสิทธิ์
บำรุงราษฎร์ดับเข็ญอยู่เป็นนิจโดยทางทศพิศราชธรรม์
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ มีพระมเหษีห้าองค์ดั่งอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เลือกล้วนสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์กษัตริย์ครองเขตขัณฑ์สวรรยา
ตั้งแต่งตามตำแหน่งครบที่คือประไหมสุหรีเสน่หา
มะเดหวีที่สองรองลงมาแล้วมะโตโสภานารี
ที่สี่ลิกูนงเยาว์ที่ห้านั้นเหมาหลาหงี
อันอัครชายาทั้งห้านี้ตั้งได้แต่สี่พารา
ประดับด้วยสุรางค์นางสนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ถ้วนหมื่นหกพันกัลยาวิลาศเลิศลักขณาทุกนางใน
สำหรับขับรำบำเรอราชพิณพาทย์จำเรียงเสียงใส
ผลัดกันปั่นโมงมาคอยใช้พนักงานของใครระไวระวัง
มีเหล่าเถ้าแก่ท้าวนางงานเครื่องงานกลางผู้รับสั่ง
โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าชาวคลังจัดแจงแต่งตั้งครบครัน
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ มีหมู่มาตยาสามนต์โยธีรี้พลแข็งขัน
นับหมื่นพื้นหาญชาญฉกรรจ์เคยณรงค์โรมรันไม่ครั่นคร้าม
ม้ารถคชไกรไม่ใช่ชั่วแต่ละตัวแกล้วกล้ากลางสนาม
ทนปืนยืนยงในสงครามฦานามขามฤทธิทุกทิศไป
นานานัคเรศประเทศราชเข็ดขยาดย่อท้อไม่ต่อได้
ต่างถวายสุวรรณมาลัยโอรสยศไกรและธิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
ยานี
๏ อันสี่ธานีราชฐานกว้างใหญ่ไพศาลหนักหนา
เทเวศร์นฤมิตด้วยฤทธาสนุกดั่งเมืองฟ้าสุราลัย
มีปราสาททั้งสามตามฤดูเสด็จอยู่โดยจินดาอัชฌาสัย
หลังคาฝาผนังนอกในแล้วไปด้วยโมราศิลาทอง
ภูเขาเงินรองฐานมีมารแบกยอดแทรกยอดใหญ่ไม้สิบสอง
แก้วไพฑูรย์ทำเป็นลำยองบัญชรช่องชัชวาลบานบัง
พระปรัศว์ซ้ายขวาอ่าโถงท้องพระโรงรจนาหน้าหลัง
พระแท่นแก้วกุดั่นบัลลังก์กางกั้นเศวตฉัตรอยู่อัตรา
บรรจถรณ์ที่ไสยาสน์อาสน์สุวรรณมีฉากแก้วแพรวพรรณคั่นฝา
ที่เสวยที่สรงคงคาที่นั่งเย็นอยู่หน้ามนเทียรทอง
พรรณไม้ดอกลูกปลกกระถางไว้หว่างอ่างแก้วเป็นแถวถ้อง
ราบรื่นพื้นชาลาดังหน้ากองอิฐทองปูลาดสะอาดตา
ที่ทิมที่ล้อมวงองครักษ์นอกกองเกณฑ์พิทักษ์รักษา
โรงแสงโรงภูษามาลาเรียงเรียบรัถยาหน้าพระลาน
เครื่องเนืองกันเป็นหลั่นลดโรงม้าโรงรถคชสาร
ติกาหลังสำหรับพระกุมารอยู่นอกปราการกำแพงวัง ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ประตูลักลงท่าชลาลัยมีโรงเรือเรียงไปริมฝั่ง
เรือศรีสุวรรณบัลลังก์เรือแข่งเรือที่นั่งตั้งบนม้า
เรือกิ่งเอกชัยใส่บุษบกงามกระหนกลวดลายท้ายหน้า
พนักงานตำรวจใหญ่ไตรตราเกณฑ์ไพร่ให้รักษานาวี
ตำหนักแพแลล้ำอำไพมุขดลพาไลหลังคาสี
ช่อฟ้าหน้าบันปราลีล้วนมณีเนาวรัตน์ชัชวาล
ข้างหน้าตำหนักน้ำนั้นทำเกรงสำหรับราชสุริย์วงศ์สรงสนาน
เบื้องบนบังสาดดาดเพดานผูกม่านมู่ลี่ลายทอง
ฤดูสิบเอ็ดเสด็จลงลอยกระทงทรงประทีปเป็นแถวถ้อง
ทอดทุ่นท้ายน้ำประจำซองตั้งกองล้อมวงพระทรงธรรม์
อันถนนหนทางท้องฉนวนศิลาลายลาดล้วนเลือกสรร
มีตึกแถวทิมรอบขอบคันเรือนสนมกำนัลเป็นหลั่นมา ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
สมิงทอง
๏ ท้องสนามแกล้งปราบราบรื่นพ่างพื้นปถพีไม่มีหญ้า
กว้างใหญ่ไพศาลสุดตาเตียนสะอาดดาษดาด้วยทรายทอง
มีสุวรรณพลับพลาบนปราการสูงตระหง่านเอื้อมฟ้าสิบห้าห้อง
ช่อฟ้าปราลีลำยองฉลักฉลุบุทองอร่ามไป
สำหรับที่ทอดพระเนตรสระสนานล่อแพนผัดพานเป็นการใหญ่
ประลองเหล่าทหารชาญชัยยิงธนูศรใส่ยาพิษ
ตั้งป้อมหัดปืนยิงหุ่นแม่นยำซ้ำกระสุนไม่มีผิด
โล่ดั้งดาบฟันกระชั้นชิดเพลงกริชสันทัดทั่วทุกตัวตน
บ้างรำทวนเปลี่ยนท่าบนพาชีขับขี่เคยศึกฝึกฝน
ประลองคชสารสู้บำรูชนใช้ชำนาญในกลการยุทธ์ ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
ร่าย
๏ รอบราชนิเวศน์เขตขัณฑ์มีปราการแก้วกั้นสูงสุด
ซุ้มทวารบานสุวรรณชมพูนุทประตูลักช่องกุฎิ์สลับกัน
มีทิวแถวโรงช้างระวางค่ายเชิงเรียงรายเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์
หอรบแลสล้างนางจรัลป้อมสูงสามชั้นเป็นหลั่นลด
รายปืนจินดาจังกาส่องวางประจำทุกช่องเสมาหมด
เชิงเทินดังเนินบรรพตบันไดลดเลี่ยนลาดสะอาดตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ท่ามกลางทางท้องสถลมาศลำดับดาดอิฐแผ่นแน่นหนา
บ้านช่องสองข้างมรรคาล้วนเคหาหน้าถังนั่งร้าน
เหล่าพวกกรมท่าเจ้าภาษีมั่งมีสมบัติพัสถาน
เรือนริมรัถยาฝากระดานตึกกว้านบ้านขุนนางนองเนือง
สุเหร่าเรียงเคียงคั่นปั้นหยาก่อผนังหลังคามุงกระเบื้อง
ศาลเทพารักษ์หลักเมืองนับถือลือเลื่องทั้งกรุงไกร
เสาชิงช้าอาวาสวัดพราหมณ์ทำตามประเพณีพิธีไสย
หอกลองอยู่กลางเวียงชัยแม้เกิดไฟไพรีตีสัญญา
สะพานข้างทางข้ามคชสารก่ออิฐปูกระดานไม้หนา
คลองหลอดแลลิ่วสุดตาน้ำลงคงคาไม่ขอดเคือง
นาวาค้าขายพายขึ้นล่องตามแม่น้ำลำคลองแน่นเนื่อง
แพจอดตลอดท่าหน้าเมืองนองเนืองเป็นขนัดในนัที
ข้าวของต่างต่างเอาวางขายแพรม้วนมากมายหลายสี
ยกทองล่องจวนเจ็ดตะคลีพลอยมณีเพชรนิลจินดา
บริบูรณ์พูนสุขด้วยสมบัติแก้วเก้าเนาวรัตน์วัตถา
ทุกสิ่งสรรพ์เอมโอชโภชนาย่อมเยาราคาสารพัน ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
เบ้าหลุด
๏ ลูกค้าวานิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
สำเภาจอดทอดท่าเรียงรันสลุบแขกกำปั่นวิลันดา
จีนจามอะแจแซ่ซ้องคับคั่งทั้งสิบสองภาษา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราถ้วนหน้าประชาชนมนตรี
บ้างฝึกสอนคนรำทำบทบาทพิณพาทย์ระนาดฆ้องอึงมี่
ลูกค้าวาณิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
พวกขุนนางต่างหัดมโหรีลาวสาวเสียงดีมีหลายคน
บ้างลงท่าโกนจุกสนุกสนานมีงานการกึกก้องทุกแห่งหน
บ้างตั้งบ่อนปลากัดงัดไก่ชนทรหดอดทนเป็นเดิมพัน
บ้างเล่นวิ่งวัวคนโคระแทะชนแพะแกะกระบือคูขัน
บ้างเล่นว่าวคุลาคว้าพนันปากเป้าสั้นโห่ฉาววิ่งราวมา
ราตรีมีหนังประชันเชิดฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างเล่นเพลงครึ่งท้อนกลอนสักวาทั้งสุดใจไก่ป่าสารพัน ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ฝ่ายฝูงสาวสาวชาวกรุงก็บำรุงรูปโฉมเฉิดฉัน
ขัดขมิ้นหนุนเนื้อเจือจันทน์หวีผมคมสันกันไร
ที่ลูกเหล่าพงศ์เผ่าพวกผู้ดีรูปทรงส่งศรีผ่องใส
ซ่อนตัวกลัวจะเก็บเป็นางในถึงมีงานการใหญ่ไม่ไปดู
ลางพวกเพิ่งดรุณีแรกสาวเจ้าบ่าวไปปลูกหอขอสู่
บ้างลอบลักรักเร้นเป็นชู้หมากพลูพวงมาลัยให้กัน
พวกหนุ่มหนุ่มพากเพียรเวียนแวดขายมุ่งหมายรักใคร่ใฝ่ฝัน
..............................วรรคนี้หายไปไม่มีในต้นฉบับ........................
บ้างดีดนิ้วผิวปากทำเพลงล้วนนักเลงเจ้าชู้ฉุยฉาย
ลดเลี้ยวเที่ยวเล่นตามสบายหญิงชายเป็นสุขทุกคืนวัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ปลิ่ม
๏ ทิศใต้ภายนอกธานีมีสระสวนศรีสะตาหมัน
มิ่งไม้หลายอย่างต่างพรรณล้วนแกล้งกลั่นสรรสาปลูกไว้
บ้างเผล็ดผลผการะย้าย้อยช่อช้อยชูก้านบานไสว
พ่างพื้นรื่นร่มสำราญใจมีตำหนักน้อยในวารี
อันโบกขรณีสี่เหลี่ยมน้ำเปี่ยมเทียบปากสระศรรี
ใสสะอาดปราศจากราคีดังแสงแก้วมณีรจนา
มีสุพรรณโกสุมปทุมมาลย์ตูมบานแย้มกลีบกลิ่นเกล้า
เกสรร่วงลงคงคาพระพายพาหอมฟุ้งจรุงใจ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ นอกกเมืองมีสระตำยลหนึ่งวารีลึกซึ้งเย็นใส
ริมรอบขอบคันล้วนพรรณไม้ระบัดใบบังแสงสุริยง
เป็นที่ภูธรแต่ก่อนมาแม้นปราบข้าศึกเสร็จเสด็จสรง
ประดับด้วยโกมุทบุษบงลินจงอุบลบัวบาน
มีพลับพลาที่ประทับยับยั้งอยู่ริมฝั่งสระใหญ่ไพศาล
สำหรับเมืองเนื่องมาแต่บุราณทั้งสี่ราชฐานพารา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
พระทอง
๏ แต่กรุงดาหาธานีมีคิรีวิลิศมาหรา
อยู่นอกเมืองข้างเบื้องบูรพามรรคาวันหนึ่งถึงบรรพต
อารักษ์เรืองฤทธิ์สถิตสถานเชี่ยวชาญเดชาปรากฏ
ย่อมเป็นที่นับถือลือยศแห่งชาวชนบทพระบุรี
แม้นมีเหตุเภทพานประการใดก็บวงบนเทพไทเรืองศรี
ทำตามบุราณราชประเพณีถึงปีไปเคารพอภิวันท์
ทั้งที่พระองค์วงศ์เทเวศร์ดำรงนคเรศเกษมสันต์
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งนั้นเป็นสุขทุกวันทุกเวลา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงพิชัยเขตขัณฑ์หมันหยา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราบรรดากรุงชวาไม่เทียมทัด
เป็นใหญ่ยิ่งกว่าทุกธานีแต่ก่อนทั้งบุรีสี่กษัตริย์
ประกอบด้วยแก้วเก้าเนาวรัตน์ไอศูรย์สมบัติศฤงคาร
มีหมู่มาตยาข้าเฝ้าสองเหล่าพลเรือนแลทหาร
โยธีนับหมื่นพื้นเชี่ยวชาญแต่ละคนเคยชำนาญในการรบ
อยู่ยงคงกระพันสาตราวิชาโล่เขนเจนจบ
ราชรถคชสารสินธพเลิศลบเลือนกว่าทุกธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ปางก่อนพระนครหมันหยาประชาราษฎร์มาตยาเกษมศรี
ตั้งแต่ระตูภูมีสุดสิ้นชีวีทิวงคต
ก็เย็นเยียบเงียบเหงาเปล่าใจทั่วนิเใศน์เวียงชัยชยนบท
ตั้งแต่ประไหมสุหรีมียศโศกศัลย์รันทดทุกเวลา
มีราชธิดาสามองค์งามทรงวงพักตร์เพียงเลขา
พี่นางทรงนามสมญาชื่อนิหลาอระตาเทวี
พระผู้ผ่านพิภพกุเรปันตุนาหงันเป็นประไหมสุหรี
อันระเด่นดาหลาวาตีบุตรีที่สองรองลงมา
ท้าวดาหาตุนาหงันไปเป็นประไหมสุหรีในดาหา
ยังแต่น้องนุชสุดโสภากัลยาแรกรุ่นจำเริญวัย
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนนีถนอมนักรักใคร่
กษัตริย์ใดมาขออรทัยไม่ยินยอมยกให้ไปไกลองค์
หวังจะให้เป็นเอกในเศวตฉัตรสืบตระกูลกษัตริย์สูงส่ง
อันท้าวมังกันฤทธิ์วงศ์ก็เนื่องในสุริย์วงศ์กันมา
ได้ครอบครองสวรรยาธานีทรงธรรม์นั้นมีโอรสา
พระคิดถึงระตูผู้มรณาจะบำรุงพาราให้เรืองไป
จึงตกแต่ของมาตุนาหงันชนนีนางนั้นก็อวยให้
อภิเษกเอกองค์โอรสไว้ในพิชัยหมันหยาธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดีสุขเกษมเปรมปรีดิ์มาช้านาน
จึงมีพระโอรสาด้วยลิกูกัลยายอดสงสาร
ชื่อกระหรัดตะปาตีกุมารรูปทรงสัณฐานโสภา
พระบิตุเรศมารดาทั้งห้าองค์พิศวงจงรักหนักหนา
เย็นเช้าเฝ้าชมทุกเวลาแสนสนิทเสน่หาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึ่งจัดกิดาหยันน้องน้อยถ้วนร้อยโปรดปรานประทานให้
ทั้งนางนมพี่เลี้ยงแลสาวใช้เจ้าขรัวยายผู้ใหญ่ได้บังคับ
ประทานทั้งเงินทองของขวัญตามขนมครบครันเครื่องประดับ
สร้อยสุวรรณสังวาลบานพับเกี้ยวแก้วแวววับสำหรับยศ
ให้ตั้งกรรมทำกิจวิทยาพร้อมคณะพรามหาดาบส
ชุบกริชประสิทธิ์ให้โอรสเลื่องหล้าปรากฎฤทธิไกร
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยลิกูนารีศรีใส
ชื่อบุษบารากายาใจตุนาหงันกล่าวไว้แก่ลูกยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ คิดจะให้ประไหมสุหรีนั้นทรงครรภ์พระโอรสา
จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์เทวาดำรงขัณฑเสมาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ คิดพลางทางถวายเครื่องบวงสรวงบำบวงเทวราชเรืองศรี
ขออารักษ์หลักเมืองเรืองฤทธีได้ปรานีเชิญช่วยจงสคิด
ให้ประไหมสุหรีนั้นมีบุตรเป็นบุรุษรูปโฉมประโลมจิต
ได้ครอบครองพระนครขจรฤทธิ์ลือสะท้านทั่วทิศทั้งปวง
แม้นสมปรารถนาดังว่าขานจะแต่งแก้บนบานบวงสรวง
เทียนทองชวาลาบุปผาพวงพรรณรายรุ้งร่วงด้วยเนาวรัตน์
จะแผ่ทองเนื้อเก้าหุ้มเสาศาลเอาตาดคำทำม่านเพดานดัด
อีกทั้งทิวธงราชวัติชุมสายเศวตฉัตรชัชวาล
ทั้งแพะแกะโคกระทิงสิ่งละร้อยจะปล่อยไว้ในเทวสถาน
จะสมโภชเจ็ดทิวาราตรีกาลมีงานมหรสรพครบครัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเฉิดฉัน
ร่วมภิรมย์สมสุขด้วยทรงธรรม์เมื่อจวนจะมีครรภ์พระลูกรัก
ราตรีเข้าที่พระบรรทมด้วยบรมนรินทร์ปิ่นปักษ์
บังเกิดนิมิตฝันอัศจรรยบ์นักว่านงลักษณ์นั่งเล่นที่ชาลา
มีพระสุริยงทรงกลดชักรถมาในเวหา
แจ่มแจ้งแสงสว่างทั้งโลกาตกลงตรงหน้านางรับไว้
ครั้นนิทราตื่นฟื้นองค์ให้หลากจิตพิศวงสงสัย
จึงทูลพระภัสดาพลันทันใดโดยนัยนิมิตเยาวมาลย์ ฯ
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหราได้ทราบสาร
นิ่งนึกตรึกดูก็แจ้งการจะมีครรภ์กุมารเป็นมั่นคง
พระเร่งเกษมสันต์หรรษาสมถวิลจินดาดังประสงค์
พอรุ่งรางสว่างแสงสุริยงก็อ่าองค์ทรงเครื่องรูจี
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัลนั่งเหนือแท่นสุวรรณจำรัสศรี
แล้วเล่าความนิมิตเทวีแก่โหรเฒ่าทั้งสี่ทันใด ฯ
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้นทั้งสี่โหราอัชฌาสัย
พิเคราะห์ดูเห็นแจ้งไม่แคลงใจต่างทูลภูวไนยไปพลัน
อันพระสุบินนี้ดีนักจะได้โอรสรักเป็นแม่นมั่น
อาจองทรงเดชดังสุริยันทุกนิเวศน์เขตขัณฑ์ไม่ต้านทาน
จะเป็นที่ดับเข็ญให้เย็นยุคราษฎรจะได้สุขเกษมศานต์
ซึ่งนิมิตยามจันทร์วันอังคารจวนเวลากาลอโณทัย
สิ่งใดพระองค์ประสงค์นักตำราว่าจักพลันได้
แต่ในสองเดือนถ้าเคลื่อนไปพระอย่าไว้ชีวิตโหรา ฯ
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันหรรษา
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนาให้จัดเสื้อผ้าแพรพรรณ
ทั้งเงินทองข้าวของหลากหลายมาให้โหรผู้ทายทำนายฝัน
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัลเข้าปราสาทสุวรรณรจนา ฯ
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเสน่หา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลาประมาณเดือนหนึ่งมาก็มีครรภ์
ยิ่งผุดผาดผิวผ่องละอององค์ดังอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เมื่อจวนจะถ้วนกำหนดนั้นให้บังเกิดอัศจรรย์จลาจล
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นควันตลบทั้งเวหน
มืดมิดปิดแสงพระสุริยนฟ้าลั่นอึงอลนภาลัย
แลบพรายเป็นสายอินทรธนูสักครู่ก็เกิดพายุใหญ่
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมไปแล้วฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสายแต่มิได้อันตรายจักผ่า
เย็นทั่วฝูงราษฎร์ประชาทั้งเจ็ดทิวาราตี ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสด็จยังปรางค์รัตน์มณีภูมีเห็นนิมิตผิดใจ
เกิดมาแต่ก่อนบ่ห่อนเห็นจะอุบัติขัดเข็ญเป็นไฉน
คิดพลางย่างเยื้องคลาไคลเสด็จออกพระโรงชัยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีพระราชบรรหารถามโหราจารย์คนขยัน
ซึ่งเกิดมหัศจรรย์ผิดอย่างปางบรรพ์ไม่เคยมี
หรือจะเป็นเหตุการณ์แก่บ้านเมืองระคายเคืองขุ่นข้องหมองศรี
จงเร่งทำนายร้ายหรือดีเรานี้ให้ฉงนสนเท่ห์ใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนโหรกราบทูลแถลงไข
ข้าพิเคราะห์เห็นไม่เป็นไรแต่วันแรกนั้นได้ปรึกษากัน
คูณควณสวนสอบทุกตำราดูชะตานคเรศเขตขัณฑ์
วางลัคน์อินทพาทบาทจันทร์ก็ไม่เห็นสำคัญอันตราย
เพราะอานุภาพพระโอรสให้ปรากฏแก่โลกทั้งหลาย
ซึ่งฟ้าร้องสนั่นลั่นแลบพรายบันดาลเป็นสายอินทรธนู
จะกึกก้องเกียรติยศทั้งทศทิศเรืองฤทธิ์ไม่มีที่เคียงคู่
พระจะเที่ยวโรมรันพันตูปราบหมู่อริราชทุกบุรี
อันเกิดพายุใหญ่ไม้ล้มระตูจะบังคมบทศรี
ซึ่งฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรีบรรณาการจะมีเนืองมา
เมื่อพระชันษาสิบห้าขวบพระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามคราแต่ว่าเห็นไม่เป็นไรนัก
พระจะไปได้นางในเมืองอื่นชมชื่นรื่นรสด้วยยศศักดิ์
แล้วจำเป็นจะจากกันทั้งรักพระจะได้ทุกข์นักเพราะนารี
นางใจที่ประสงค์จำนงให้ไม่อาลัยจะสลัดหลีกหนี
ซึ่งเมฆหมอกมืดมัวทั่วราตรีบดบังรังสีสุริยน
พระองค์ดั่งดวงทินกรทรงเดชขจรทุกแห่งหน
พระโอรสยศยิ่งภูวดลเหมือนเมฆเกลื่อนกล่นเข้าบังไว้
ซึ่งเป็นควันตลบอบอัมพรภูธรจะทุกข์ทนหม่นไหม้
ด้วยโอรสาจะคลาไคลจำเป็นจำให้กำจัดกัน
พระจะเที่ยวมะงุมมะงาหราย่ำยีบีฑาทุกเขตขัณฑ์
สิบสามปีจะคืนกุเรปันจะได้สองนางนั้นมาธานี
จึงจะเย็นแหล่งหล้าประชากรสโมสรเป็นสุขเกษมศรี
จะสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกวันนี้พระจะมีมเหสีถึงสิบองค์
บรรดากรุงชวาทั้งปวงจะขึ้นแก่กุเรปันเป็นส่วยส่ง
ข้าเห็นพร้อมกันเป็นมั่นคงมิได้พะวงสงกา ฯ
ฯ ๒๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันนาถา
ฟังคำทำนายโหราเกษมสันต์หรรษาเป็นพ้นนัก
จึงประทานบำเหน็จนานาเสื้อผ้านุ่งห่มสมปัก
ให้โหรเฒ่าผู้ทำนายทายทักแล้วทรงศักดิ์เสด็จจากพระโรงคัล ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
ตั้งแต่เกิดเหตุมหัศจรรย์นับได้เจ็ดวันเจ็ดคืนมา
พระครรภ์ครบกำหนดทศมาสจะประสูติพระราชโอรสา
ให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายาประหนึ่งว่าชีวันจะอันตราย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นฝูงสุรางค์นางกำนัลทั้งหลาย
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่เจ้าขรัวนายเห็นโฉมฉายปั่นป่วนประชวรครรภ์
บ้างเข้าหนุนพระขนองประคองรับกำชับหมอตำแยที่แปรผัน
บ้างไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์บังคมคัลทูลแถลงให้แจ้งใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านพิภพกรุงใหญ่
ฟังข่าวเร่าร้อนฤทัยภูวไนยก็รีบลีลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระจึงเสด็จนั่งเหนือสุวรรณบัลลังก์เลขา
พร้อมสี่มเหสีกัลยาสุริย์วงศ์พงศามากมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงค์ประไหมสุหรี
ครั้นได้ฤกษ์พานาทีเทวีก็ประสูติพระกุมาร
ชาวประโคมก็ประโคมแตรสังข์พร้อมพรั่งจำเรียงเสียงประสาน
อันอัศจรรย์ซึ่งบันดาลก็อันตรธานทันใดฯ
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีศรีใส
จึงเอาข่ายแก้วแววไวรับพระดนัยโฉฉมยง
แล้วเอาน้ำดอกไม้ใสสดมารินรดชำระสระสรง
ลูบไล้ด้วยเครื่องสุคนธ์ทรงวางลงบนยี่ภู่พานสุวรรณ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
พิศโฉมลูกยาวิลาวัณย์สารพันงามสิ้นทั้งอินทรีย์
ดำแดงแน่งเนื้อนวลผจงน่ารักรูปทรงส่งศรี
สมหมายเหมือนถวิลยินดีเสน่หาพ้นที่จะพรรณนา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางข้างในถ้วนหน้า
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่จ่าชาก็จัดสรรภรรยาเสนี
เป็นนางสนมสมบูรณ์ด้วยรูปร่างครบถ้วนตามอย่างหกสิบสี่
เว้นโทษขาวดำผอมพีไม่มีต่ำสูงเสมอกัน
แล้วจัดเหล่านารีพี่เลี้ยงที่ควรเคียงถือต้องประคองขวัญ
สี่อนงค์ทรงลักษณ์ลาวัลย์ล้วนวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตรา
กับนางกำนัลน้อยน้อยสองร้อยรูปร่างโอ่อ่า
ทั้งเงินทองของขวัญนานานำมาถวายทันที ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นจึงมหาอำมาตย์ทั้งสี่
กับทั้งเหล่าเสนามนตรีแต่บรรดาที่มีบุตรนั้น
ให้จัดแจงแต่งตัวทั้งแปดร้อยล้วนน้อยน้อยหน้าตาคมสัน
พาไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ถวายเป็นข้าขวัญพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
ชื่นชมโสมนัสเบิกบานจึงมีบัญชาการตรัสไป
อันบุตรเสนาปาเตะตั้งที่ยะรุเดะพี่เลี้ยงใหญ่
บุตรตำมะหงงเสนาในตั้งให้เป็นที่ปูนตา
อันบุตรดะหมังมนตรีตั้งเป็นที่ประสันตาครบครัน
พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อยรูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน
พระสั่งให้ประทานรางวัลตามหลั่นพี่เลี้ยงแลมนตรี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายสามอนุชาเรืองศรี
อีกองค์สมเด็จพระอัยกีกับประไหมสุหรีหมันหยานั้น
ทั้งระภูธรทุกประเทศครั้นเห็นเหตุวิปริตผิดผัน
ต่างองค์ทรงคิดอัศจรรย์ให้สงสัยไหวหวั่นหฤทัย
บ้างให้ค้นดูตำรับข้างที่จดหมายเหตุคัมภีร์น้อยใหญ่
คนแก่เฒ่าก็เอามาซักไซ้บ้างถามไถ่โหราพฤฒาจารย์
บ้างให้หาบีกูประมาหนาฤาษีชีป่าในไพรสัณฑ์
ที่ได้กสิณอภิญญาณก็แจ้งการทำนายมาเหมือนกัน
ต่างรู้ประจักษ์แจ้งแห่งเหตุผู้มีเดชลงมาจากสวรรค์
เป็นโอรสท้าวกุเรปันจะประสูติจากครรภ์พระชนนี
อันท้าวดาหาแลกาหลังอีกทั้งท้าวสิงหัดส่าหรี
กับองค์อัครราชเทวีชื่นชมยินดีเป็นสุดคิด
จึงจัดของขวัญพระกุมารสร้อยสนสังวาลวิภูษิต
มงกุฎแก้วกุณฑลตาบทิศตามอย่างราชนิติบุราณมา
ให้มหาเสนานำไปยังกรุงไกรบรมเชษฐา
เฉลิมขวัญพระราชนัดดาโดยตำราตราตั้งจิรังกาล
ฝ่ายองค์สมเด็จพระอัยกีในหมันหยาธานีราชฐาน
จัดระเด่นดาหยันกุมารซึ่งเป็นวงษ์วารกษัตรา
กับพี่เลี้ยงแลนางนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ชายหญิงสิ่งละร้อยโดยตรามอบให้เสนานำไป ฯ
ฯ ๒๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาหมันหยากรุงใหญ่
ถวายบังคมลาคลาไคลออกจากพิชัยธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
เร่งรัดรีบมสิบห้าวันก็ลุถึงกุเรปันกรุงศรี
พบทูตทั้งสามพระบุรีพากันจรลีเข้าวังใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหาปะเตะเสนาแลดาหมัง
ต่างแถลงแจ้งความให้ฟังแล้วพากันมาพระโรงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางกำนัลน้อยใหญ่
ครั้นถึงวันสมโภชพระดนัยก็วุ่นวายวิ่งไขว่ไปทั้งวัง
เร่งให้หาโหราพราหมณ์ชีชาวประโคมดนตรีแตรสังข์
เอาขันสาครใหญ่ในคลังมันจัดแจงแต่งตั้งเตียงรอง
ปักสุวรรณราชวัติฉัตรธงรายรอบที่สรงเป็นแถวถ้อง
ทั้งมะพร้าวเต่าปลาเงินทองจัดต้องตามธรรมเนียมเตรียมไว้
ตั้งบายศรีเงินทองสองสำรับแซมยอดสอดประดับดอกไม้ไหว
ลังข์กลศแว่นเวียนเทียนชัยแต่งไว้เสร็จถ้วนทุกสิ่งอัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
เวลาควรจวนฤกษ์ก็จรจรัลไปปราสาทสุวรรณพระโอรส ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
นั่งเหนือบัลลังก์รูจีพร้อมพระมเหสีทั้งปวงหมด
ต่างกราบบาทบงสุ์พระทรงยศพอกำหนดพระฤกษ์เวลา
จึงให้เชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่เข้าอุ้มองค์พระดนัยเสน่หา
เชิญสี่บีกูนั้นเข้ามาจำเริญเกศาพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
แล้วเชิญลงสรงน้ำในสาครอับอบอายเกสรหอมหวาน
ชีพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์ต่างอ่านพระเวทย์ถวายชัย
ราชครูบีกูทั้งสี่เอาเสาวคนธ์วารีมาสรงให้
แล้วเชิญลงอู่แก้วแววไวอ่านมนต์แกว่งไกวไปมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
             

ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงองค์อสัญแดหวา
ซึ่งเป็นบรมอัยการสถิตยังชั้นฟ้าสุราลัย
จึงนิมิตกริชแก้วสุรกานต์นามกรพระหลานจารึกใส่
ครั้นเสร็จเสด็จจากวิมาชัยเหาะมากรุงไกรกุเรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงวางกริชลงข้างองค์พระกุมารหลานขวัญ
อวยชัยให้พรแล้วเทวัญกลับคืนกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีเสน่หา
ประคองกรช้อนอุ้มพระลูกยาเชิญมาจากอู่อำไพ
เห็นกริชนั้นวางอยู่ข้างที่มารศรีหลากจิตคิดสงสัย
จึงหยิบมาดูด้วยดีใจแล้วถวายภูวไนยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
ชืนชมโสมนัสอัศจรรย์เอากริชนั้นออกพิจารณา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงเห็นจารึกอักษรนามกรพระโอรสา
ชื่อหยังหยังหนึ่งหรัดอินดราอุดากนสาหรีปาตี
อิเหนาเองหยังตาหลาเมาะตาริยะกัดดังสุรศรี
ดาหยังอริราชไพรีเองกะนะกะหรีกุรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษรภูธรยิ่งแสนเกษมสันต์
จึงยอกรถวายอภิวันท์อัยกาทรงธรรม์เลิศไกร
พระมาช่วยอุปถัมภ์บำรุงจะลือเกียรติทุกกรุงน้อยใหญ่
สมคำโหรทายทำนายไว้ประจักษ์ในนิมิแต่เดิมมา
แล้วสั่งประโคมเป็นสำคัญเฉลิมขวัญพระโอรสา
เอาฤกษ์ได้กริชเทวาเป็นมหามหัศอัศจรรย์ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จสมโภชพระดนัยพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
จึงสั่งพนักงานทั้งปวงนั้นให้จัดสรรเครื่องใช้แลเครื่องทรง
มงกุฎเพชรพาหุรัดจำรัสเรืองกับเมืองขึ้นสิบเมืองเป็นส่วยส่ง
ทั้งเสนีรี้พลจัตุรงค์ประทานองค์โอรสยศไกร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จพระเสด็จเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
มายังโรงคัลทันใดเสนาในเฝ้าแหนแน่นนันต์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาคนขยัน
จึงนำเสนีสี่เมืองนั้นมาบังคมคัลมิทันนาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แล้วทูลว่าสามกษัตริย์ทรงเดชผู้ดำรงนคเรศราชฐาน
ให้เสนีนำของมาประทานพระหลานรักราชสุริย์วงศ์
แต่องค์สมเด็จพระอัยกีให้หมันหยาธานีสูงส่ง
ให้ระเด่นดาหยันโฉมยงซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พงศ์พันธุ์
ทั้งหมู่ชายหญิงสิ่งละร้อยล้วนหนุ่มน้อยหน้าตาคมสัน
กับพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้นถวายเป็นข้าขวัญพระนัดดา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์ศรีปัตหรา
ชื่นชมโสมนัสปรีดาจึงมีบัญชาตรัสไป
ซึ่งพระมารดาการุญพระคุณนั้นหาที่สุดไม่
ท่านจงทูลแถลงให้แจ้งใจว่าเราบังคมไปใต้บาทา
อันพระอนุชาสามธานีเรานี้ชอบใจเป็นหนักหนา
จงจำเริญสุขทุกเวลาอันตรายโรคาอย่าแผ้วพาน
แล้วประทานเสื้อผ้าแก่เสนีซึ่งมาแต่สี่ราชฐาน
อันระเด่นดาหยันกุมารพระประธานเงินทองของพึงใจ
ให้อยู่ยังที่ติกาหลังนิเวศน์วังลูกหลวงอาศัย
ครั้นเสร็จเสด็จเข้าข้างในเสนีกลับไปพารา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีหมันหยา
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตราประสูติมาเป็นราชบุตรี
งามงอนอ่อนระทวยนวยแน่งดำแดงนวลเนื้อสองสี
ผ่องพักตร์ผิวพรรณดังจันทรีนางในธานีไม่เทียมทัน
องค์พระอัยกีเป็นที่รักถนอมนักเชยชมภิรมย์ขวัญ
บิตุราชมาตุรงค์แลพงศ์พันธุ์พร้อมกันประทานนามพระธิดา
ชื่อจินตหราวาตีศรีสวัสดิ์เฉลิมวงศ์พงศ์กษัตริย์ในหมันหยา
อ่อนเดือนกว่าอิเหนาพี่ยาทั้งสองชันษาเดียวกัน
พร้อมพระพี่เลี้ยงนางนมนักสนมกรมในสาวสวรรค์
ประโลมเลี้ยงพระธิดาดวงจันทร์ทุกวันทุกเวลาราตรี ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันเรืองศรี
ทั้งท้าวดาหาธิบดีสองประไหมสุหรีพี่นางนั้น
จึงจัดของขวัญอันอุดมทั้งพี่เลี้ยงนางนมเลือกสรร
ให้เสนาคุมของจรจรัลไปทำขวัญพระนัดดานารี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวสิงหัดส่าหรี
มีโอรสแรกเริ่มเดิมทีกับประไหมสุหรีศรีโสภา
เทเวศร์ให้กริชเป็นของขวัญเหมือนกันกับอิเหนาเชษฐา
จารึกนามใส่ในกริชมาชื่อระเด่นสุหรานากง
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยประไหมสุหรีนวลหง
ชื่อสกาหนึ่งหรัดโฉมยงรูปทรงโสภายาใจ
จึงแต่งของไปตุนาหงันบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็อวยให้
ตามจารีตวงศาสุราลัยตุนาหงันกันได้แต่สี่เมือง
อยู่มามีราชบุตรีนวลละอองสองสีขาวเหลือง
พักตร์ผ่องผิวเนื้อเรื่อเรืองจึงให้นามตามเรื่องมารดา
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนกชนนีเสน่หา
สามเมืองส่งเครื่องบรรณามาทำขวัญพระธิดานารี
แล้วจัดสาวสนมกำนัลเลือกสรรรูปทรงส่งศรี
ตั้งที่พี่เลี้ยงพระบุตรีเหมือนกันทั้งสี่พารา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีดาหา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวานานมาโฉมยงทรงครรภ์
เมื่อจะประสูติพระดนัยเวลาประจุสมัยไก่ขัน
บังเกิดมหัศอัศจรรย์กลิ่นสุคันธรสรวยริน
ดอกไม้ทุกพรรณบันดาลเบิกบานเกสรขจรกลิ่น
ภุมเรศร่อนร้องโบยบินประสานเสียงเพียงพิณพาทย์ฆ้อง
ดนตรีแตรสังข์ก็ดังเองอัศจรรย์บรรเลงกึกก้อง
ครั้นอรุณรุ่งรางสร่างแสงทองดังแสงรุ้งเรืองรองอร่ามไป
สุรศรีดังสีธรรมชาติเลื่อมพรายโอภาสผ่องใส
จึงประสูติธิดายาใจงามวิไลล้ำเลิศเพริศพราย
อันอัศจรรย์ที่บันดาลก็อันตรธานสูญหาย
ยังแต่กลิ่นหอมรวยชวยชายจึงถวายพระนามตามเหตุนั้น
ชื่อระเด่นบุษบาหนึ่งหรัดลออเอี่ยมเทียมทัดนางสวรรค์
ทั้งในธรณีไม่มีทันผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
อันองค์มะเดหวีมีศักดิ์ถนอมอุ้มฟูมฟักรักษา
ทั้งสามมเหสีโสภารักราชธิดาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพดาหากรุงใหญ่
แสนสวาทพระราชดนัยดังดวงฤทัยทรงธรรม์
จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดาคนนั้นชื่อว่าบาหยัน
หนึ่งชื่อส่าเหง็ดลาวัณย์หนึ่งชื่อประเสหรันนารี
หนึ่งชื่อปะลาหงันกัลยาตามตำราชื่อตั้งทั้งสี่
แล้วจัดสรรกำนัลที่รูปดีนารีน้อยน้อยแปดร้อยปลาย
บรรดาบุตรเสนาน้อยใหญ่ต่างคนเต็มใจเอาไปถวาย
พระประทานรางวัลมากมายมอบให้เจ้าขรัวยายบังคับ
บ้างหัดร้องลำนำจำเรียงประสานเสียงซักซ้อมกล่อมขับ
บ้างหัดซอกกระจับปี่ตีโทนทับสำหรับบำเรอพระธิดา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันนาถา
แจ้งว่าองค์อนุชามีราชธิดาลาวัณย์
พระเร่งชื่นชมโสมนัสจึงให้จัดสิ่งของไปทำขวัญ
กับเครื่องบรรณาการนอกนั้นเป็นของตุนาหงันกัลยา
ขอระเด่นบุษบาโฉมยงให้องค์อิเหนาโอรสา
ตามจารีตบุราณสืบมาหวังมิให้วงศาอื่นปน
ครั้นเสียศักดิ์สุริย์วงศ์เทเวศร์ก็เกิดเหตุอันตรายหลายหน
ไพร่ฟ้าประชากรร้อนรนจลาจลต่างต่างทั้งธานี
ฝ่ายพระอนุชากาหลังอีกทั้งสิงหัดส่าหรี
ต่างแต่งบรรณาการมากมีไปทำขวัญบุตรีพระพี่ยา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
ตั้งแต่มีราชธิดาช้านานประมาณห้าปี
จึงมีโอรสยศยงด้วยองค์ประไหมสุหรี
งามละม้ายคล้ายกันกับบุตรีใครเห็นเป็นที่เจริญใจ
องค์อสัญแดหวาวราฤทธิ์เสกแสร้งนฤมิตกริชให้
วางลงข้างองค์พระดนัยจารึกนามนั้นใส่ในกริชมา
ชื่อระเด่นสียะตราหนึ่งหรัดสืบวงศ์พงศ์กษัตริย์อสัญหยา
พระชนกชนนีก็ปรีดาเสน่หาดังดวงฤทัย
สี่เมืองส่งเครื่องบรรณาการมาทำขวัญพระกุมารประสูติใหม่
ของขวัญตามตำรับบังคับไว้โดยในสุริย์วงศ์เทวา
แล้วจัดสรรพี่เลี้ยงทั้งสี่ล้วนลูกเสนีมียศถา
พี่เลี้ยงเอกนั้นชื่อปุนตาหนึ่งกะระตาหลาพี่เลี้ยงรอง
หนึ่งชื่อยะรุเดะพี่เลี้ยงตรีที่สี่ประสันตาปัญญาว่อง
ล้วนหนุ่มน้อยรุ่นรามทรามคะนองตั้งต้องตามขนบครบครัน
ให้บุตรขุนหมื่นพื้นน้อยน้อยแปดร้อยกุมารากิดาหยัน
ประทานเงินเสื้อผ้าสารพันให้เป็นของขวัญพระลูกยา ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

  • คุณพรพรรณ วัฑฒนายน ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน
  • [1]
เครื่องมือส่วนตัว