เสภาเรื่à¸à¸‡à¸¨à¸£à¸µà¸˜à¸™à¸à¹„ชยเชียงเมี่ยง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→) |
(→) |
||
| แถว 1,115: | แถว 1,115: | ||
==== ==== | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
| + | ๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟัง ทำเปนนั่งเศร้าทอดฤไทยถอน | ||
| + | ในอุบายเหมือนเสียดายต้องทุกข์ร้อน จึ่งตอบว่าแต่ก่อนรับสั่งมา | ||
| + | ให้ข้าพเจ้าเอาปัญญาไปถวาย ความเสียดายเพราะยังรักอยู่นักหนา | ||
| + | บัดนี้มีพระราชบัญชา ให้ท่านข้างในขอปัญญามาถึงเรือน | ||
| + | จะขืนขัดก็ไม่ได้ต้องให้ปัน แต่คนละตัวเท่านั้นเลี้ยงเปนเพื่อน | ||
| + | พอมีเชื้อต่อพันธุ์ให้เต็มเรือน ตัวเดียวเหมือนมากด้วยฬ่อต่อกันมา | ||
| + | ว่าแล้วหยิบกระบอกมาจากห้อง พระสนมต่างร้องขอบ้างหนา | ||
| + | เข้าเบียดเสียดแซกกันขอปัญญา ลางคนว่าอยากได้มากหลายหลากกัน | ||
| + | ธนญไชยว่าอยากได้ทำไมมาก แต่คนละตัวเถอะจะภาคส่วนแบ่งสรร | ||
| + | พอเปนเชื้อเลี้ยงในเรือนเหมือนกัน ข้าเจ้าจะทำพันธุ์ต่อต่อไป | ||
| + | ทั้งจะถวายพระองค์ดำรงราษฎร์ ตัวฉลาดเกิดปัญญาหาพอไม่ | ||
| + | จึ่งให้พระสนมนางข้างฝ่ายใน แบฝ่ามือว่าจะให้ตัวปัญญา | ||
| + | ฝ่ายนางในแบหัดถามาทุกคน ขุนธนญเปิดกระบอกขึ้นต่อหน้า | ||
| + | ตัวผึ้งต่อแตนแล่นออกมา ท่านข้างในต่างคว้าจะจับตัว | ||
| + | ตัวปัญญาสามชนิดมีพิศม์ร้าย ก็ต่อยกายแขนหน้าบ้างต่อยหัว | ||
| + | ทั้งปรางถันคันเจ็บไปทั้งตัว สัตว์ชาติชั่วเข้าร่มผ้าไม่ว่าใคร | ||
| + | ปะที่ไหนต่อยให้ทุกแห่งหน พระสนมเหลือทนบ้างร้องไห้ | ||
| + | เสียงกราดกรีดหวีดว่าธนญไชย แกล้งจะให้ล้มตายได้อายคน | ||
| + | ธนญไชยทำเปนห้ามตัวปัญญา ทำไมต่อยท่านเล่าหวาออกปี้ป่น | ||
| + | อย่าทำเช่นนั้นจงหยุดอย่าซุกซน ตัวปัญญาก็บินวนไล่ต่อยตอม | ||
| + | ธนญไชยว่าเพราะท่านทำให้วุ่น มาแย่งชิงชุลมุนไม่ค่อยถนอม | ||
| + | ตัวปัญญาขึ้งโกรธโลดไล่ตอม ข้าพเจ้าก็ต่อยงอมไปเหมือนกัน | ||
| + | โกรธขึ้นมามิได้ว่าเปนเจ้าของ แม้นจับต้องเข้าไม่ได้ใจหุนหัน | ||
| + | จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ทัน สุดจะกั้นกางได้ว่องไวนัก | ||
| + | พรสนมต้องต่อแตนมันต่อย บวมผื่นยับย่อยเจ็บปวดหนัก | ||
| + | ต่างวิ่งหนีล้มคว่ำคะมำภักตร์ นอกชานหักตกเรือนเรียกเพื่อนอึง | ||
| + | บ้างหน้าแตกแขนหวะโลหิตไหล โดนกันเองวุ่นไปหนีต่อผึ้ง | ||
| + | ต่างต่างวิ่งย่างยาวก้าวตะบึง มาจนถึงที่เฝ้าเจ้าจุมพล ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงนิเวศน์ครองเขตรขัณฑ์ เห็นพระสนมกำนัลวิ่งสับสน | ||
| + | แกล้งให้ได้อับอายไม่หายเลย มิได้เคยเจ็บกายแทบวายปราณ ฯ | ||
| + | กายาเหล่านารีล้วนพิกล บวมผื่นไปทุกคนแปลกไนยนา | ||
| + | จึ่งรับสั่งถามว่าเปนเหตุไฉน เออเมื่อไปแต่งกายงามสง่า | ||
| + | ครั้นเมื่อกลับมาบวมผิดในตา ทั้งกายาผิดผื่นบื่นโนนอ | ||
| + | พระสนมทูลว่าปัญญาต่อย มิใช่น้อยบินร่อนว่อนเปรียวปร๋อ | ||
| + | ตัวลายลายเหลืองเหลืองต่อยคางคอ เหมือนผึ้งต่อแตนมีพิศม์ไม่ผิดกัน | ||
| + | ต่อยที่ไหนร้อนดังไฟทั้งปวดเจ็บ ซ่านทั่วกายชาเหน็บไม่เศกสรร | ||
| + | เกล้าหม่อมฉานเหลือทนบ่นรำพรรณ ไม่เคยเปนเช่นนั้นอยู่ในเวียง | ||
| + | กราบทูลกล่าวโทษธนญไชย ร่ำพิไรโศกสอื้นครั้นครื้นเสียง | ||
| + | ว่าพระองค์ทรงเมตตาได้ชุบเลี้ยง ไม่ลำเอียงแนทาข้าทั้งปวง | ||
| + | มีพระคุณล้นเกล้าเหล่าหม่อมฉัน พระทรงธรรม์อาชญาก็ใหญ่หลวง | ||
| + | มิได้ทรงให้เจ็บช้ำระกำทรวง น้ำเนตรร่วงเหมือนครั้งนี้ไม่มีเลย | ||
| + | ธนญไชยทำแก่เกล้าหม่อมฉาน เหลือประมาณจะกราบทูลมูลเฉลย | ||
| + | ครานั้นพระองค์ดำรงโลกย์ เห็นสาวสรรค์เศร้าโศกแซ่เสียงประสาน | ||
| + | ทูลกล่าวโทษธนญไชยให้เดือดดาล พระภูบาลซักซ้ำให้คำยืน | ||
| + | ว่าตัวปัญญานั้นคล้ายผึ้งต่อแตนหรือ พระสนมประนมมือไม่ฝ่าฝืน | ||
| + | ทูลคงคำซ้ำประดังว่ายั่งยืน พระยิ่งตื้นตันแน่นแค้นพระไทย | ||
| + | ตรัสว่าจริงเหมือนอย่างว่าจะฆ่าเสีย เลี้ยงไว้ไยเปลืองเบี้ยหวัดที่ให้ | ||
| + | น้อยฤานั่นอ้ายขุนศรีธนญไชย มันทำได้ไม่เกรงกลัวหัวจะปลิว | ||
| + | จึ่งรับสั่งว่าให้หาตัวเข้ามา ตำรวจรับพระบัญชาวิ่งออกฉิว | ||
| + | ถึงบ้านศรีธนญไชยไม่บิดพลิ้ว พูดขึ้นนิ้วบอกสิ้นตามโองการ | ||
| + | ว่าบัดนี้พระสนมทูลกว่าวโทษ ในคำโจทย์ว่าท่านทำอาจหาญ | ||
| + | ทำงามหน้าแล้วครั้งนี้มีโองการ ให้หาท่านไปไวไวเข้าในวัง | ||
| + | ธนญไชยได้ฟังคำตำรวจว่า ก็รีบมาเฝ้าพระบาทต่อภายหลัง | ||
| + | ฝ่ายพระจอมนคเรศนิเวศน์วัง ให้แค้นคั่งมิได้ตรัสอัดอั้นเคือง | ||
| + | ทอดพระเนตรเห็นขุนศรีธนญไชย ด้วยนางในทูลยกโทษอยู่หลายเรื่อง | ||
| + | น้อยพระไทยไม่อยากได้ไว้ในเมือง จะใคร่ฆ่าแก้เคืองขัดฤไทย ฯ | ||
| + | |||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายขุนธนญคนบิดพลิ้วเห็นกริ้วกราด เพื่อนองอาจมิได้พรั่นไม่หวั่นไหว | ||
| + | จึ่งกราบทูลว่ามีรับสั่งไว้ พระโปรดให้นำตัวปัญญามา | ||
| + | หม่อมฉันก็จะจับมาถวาย ครั้นสนมทั้งหลายออกมาหา | ||
| + | ว่าโปรดให้มางอนง้อขอปัญญา ครั้นเปิดไขตัวปรีชาจากปล้องไม้ | ||
| + | ต่างคนต่างแย่งชิงกันจะจับ ตัวปัญญาหวนกลับมาต่อยให้ | ||
| + | ถึงเกล้ากระหม่อมผู้เจ้าของซึ่งเลี้ยงไว้ ก็ต่อยยับแล้วหนีไปจนสิ้นตัว | ||
| + | ครั้นจะว่าก็เกรงพระอาชญา ด้วยว่ามีบัญชาเจ้าอยู่หัว | ||
| + | ก็จนใจไม่ว่าขานหม่อนฉานกลัว ควรมิควรเปนคนชั่วไม่มีดี ฯ | ||
| + | ฝ่ายพระองค์ทรงฟังให้คั่งแค้น ด้วยห้ามแหนแสนสุรางค์มาป่นปี้ | ||
| + | ทั้งนางในกล่าวโทษยกคดี พระผุ้ผ่านทวาลีขุ่นเคืองนัก | ||
| + | ถอดพระแสงทรงง่าจะฆ่าขุนศรี แล้วกลับมีพระสติทรงหวนหัก | ||
| + | ความพิโรธให้หย่อนค่อยผ่อนพัก นึกถึงคำทรงศักดิ์พระบิตุรงค์ | ||
| + | ได้ฝากฝังครั้งประชวรจวนล่วงลับ ทรงกำชับไม่ให้ฆ่าตามประสงค์ | ||
| + | ถึงผิดพลั้งรั้งรอให้ชีพคง ครั้นฆ่าลงบ้านเมืองจะวุ่นวาย | ||
| + | หนึ่งพระบรมอัฐิจะติโทษ เกิดพิโรธร้าวรานไม่รู้หาย | ||
| + | ก็คืนพระแสงคงฝักจำหลักลาย ครั้นค่อยคลายขุ่นเคืองในเรื่องความ | ||
| + | ก็ทรงวางพระแสงดแล้วตรัสวตวาด เฮ้ยอ้ายชาติชั่วทำแต่หยาบหยาม | ||
| + | ตั้งแต่นี้อย่าเข้ามาวู่วาม ไม่ขอดูหน้าเองจะชามมาหลอกล้อ | ||
| + | ไปเสียเดี๋ยวนี้อ่ารีรอ เฮ้ยตำรวจไสคอเสียจากวัง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชย เห็นพระองค์เคืองฤไทยยังแค้นคั่ง | ||
| + | กราบถวายบังคมลาไม่รอรั้ง ในใจตั้งจะแก้แค้นพระทรงฤทธิ์ | ||
| + | ไม่สู้ทุกข์สู้ร้อนนอนสบาย ตรองไม่วายจะกลบเกลื่อนที่ความผิด | ||
| + | แก้ให้ได้สักครั้งตั้งใจคิด พอเจ็ดวันจอมอิศราประชา | ||
| + | เสด็จเลียบพระนครปทักษิณ ธนญไชยขุดดินไว้คอยท่า | ||
| + | ให้เปนหลุมฝังศีศะในพสุธา ชูแต่ก้นขึ้นมาขวางน่าขบวน | ||
| + | ครั้นเสด็จมาถึงประเทศนั้น ทอดพระเนตรเห็นขันก็ทรงพระสรวล | ||
| + | รับสั่งว่าใครทำดูไม่ควร ขวางขบวนชี้ก้นพิกลกาย | ||
| + | อำมาตย์ทูลมูลคดีว่าศรีธนญ ฝังศีศะชูแต่ก้นขึ้นถวาย | ||
| + | ไม่ให้ทอดพระเนตรหน้าเปนคนร้าย ทำอุบายซ่อนเศียรให้เมี้ยนมิด | ||
| + | รับสั่งไว้ว่าไม่ขอเห็นหน้า ฝังภักตราด้วยว่าตนเปนคนผิด | ||
| + | ให้ทอดพระเนตรแต่กาหายหัวมิด ถวายองค์ทรงฤทธิคิดชขอบกล ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ ฟังอำมาตย์กราบทูลได้เหตุผล | ||
| + | เคืองพระไทยด้วยได้เห็นศรีธนญ ชูแต่ก้นขึ้นถวาอายพระไทย | ||
| + | จึ่งรับสั่งให้กลับช้างที่นั่ง เข้าราชวังมณเฑียรอันสุกใส | ||
| + | ฝ่ายว่าเจ้าขุนศรีธนญไชย ขึ้นจากหลุมก็ไปยังบ้านต้น ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ถึงเดือนหกศกใหม่เขาไถนา ทั่วขอบเขตรภาราทุกแห่งหน | ||
| + | ราษฎรต่างไถไร่นาตน ศรีธนญครั้นเห็นเขาไถนา | ||
| + | นึกในใจว่าการไถไร่นานี้ ชื่อว่ากลับปัถพีทุแหล่งหล้า | ||
| + | ทำข้างบนกลับลงพสุธา จอมประชาตรัสวากลับพื้นแผ่นดิน | ||
| + | จึ่งให้เข้าเฝ้าเบื้องยุคลบาท แต่เราขาดเฝ้ามากว่าปีสิ้น | ||
| + | ครั้งนี้แลจะได้เฝ้าพระภูมินทร์ กับแผ่นดินตามโองการบรรหารมา ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ คิดแล้วจึ่งเข้าเฝ้าพระบาท จอมทวาลีราชารถนาถา | ||
| + | ถวายบังคมท่างามครบสามครา หมอบตามยศถาตำแหน่งขุนนาง ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นพระผู้ผ่านทวาลี เห็นขุนศรีธนญไชยให้ขัดขวาง | ||
| + | เคืองพระเนตรแล้วตรัสดำรัสพลาง กูห้ามไว้อย่างไรวางวิ่งเข้ามา | ||
| + | ได้สั่งแล้ว่าถ้าแผ่นดินกลับ สิ้นบังคับจึ่งเขัาในวังหนา | ||
| + | กูยังอยู่มิได้ผลัดกระษัตรา เองเข้ามาว่ากะไรไม่ทำตาม ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชย จึ่งทูลไปด้วยปัญญาไม่เข็ดขาม | ||
| + | ข้อซึ่งดำรัสตรัสห้ามปราม ไม่ลวนลามล่วงเกินพระโองการ | ||
| + | มีรับสั่งว่าแผ่นดินกลับจึ่งมา ก็บัดนี้พสุธาประเทศสถาน | ||
| + | กลับแล้วตามพระราชโองการ กระหม่อมฉานจึ่งมาเฝ้าเจ้าจุมพล | ||
| + | ไม่ทรงเชื่อโปรดให้มหาดชา เที่ยวดูนอกพาราทุกแห่งหน | ||
| + | จะเห็นจริงแจ้งใจในยุบล มิได้นำเล่ห์กลมากราบทูล ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถาน ฟังขุนศรีทูลสารนเรนทร์สูร | ||
| + | ทรงดำริห์ตริความตามเหตุมูล จอมประยูรยังให้สงไสยนัก | ||
| + | จึ่งตรัสใช้มหาดเล็กที่ปรีชา ไปเที่ยวรอบภาราให้เห็นประจักษ์ | ||
| + | มหาดเล็กคลานออกมาไม่หยุดพัก เที่ยวดูให้แน่กตระหนักทั่วนคร | ||
| + | ครั้นไปก็ได้เห็นเขาไถนา แล้วกลับมาทูลบพิตรอดิศร | ||
| + | ว่าเกล้ากระหม่อมไปได้เห็นราษฎร เขาไถนารอบนครทวาลี ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศระเทศสถาน ฟังทูลแล้วทรงวิจารณ์คำขุนศรี | ||
| + | อันธรรมดาว่าการไถนานี้ ชื่อว่ากลับปัถพีจริงของมัน | ||
| + | ก็ค่อยคลายหายเคืองที่เรื่องผิด ทรงยกโทษใช้สนิทไม่เดียดฉัน | ||
| + | ธนญไชยได้มาเฝ้าพระทรงธรรม์ เปนนิรันดรมาเหมือนก่อนกาล ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ จะกล่าวถึงกษัตราเบญจาละรา ร้ายกาจเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
| + | ครองกรุงเบญจามาช้านาน มีพลรบเชี่ยวชาญการณรงค์ | ||
| + | ทรงดำริห์จะใคร่ได้ทวาลี เปนบุรีขึ้นนครโดยประสงค์ | ||
| + | จึงยกนิกรพลพะลาข้ามป่าดง รถดุรงค์บทจรกุญชรไชย | ||
| + | มาตั้งค่ายรยรอบแดนต่อแดน ดูหนาแน่นเทียวธงดูไสว | ||
| + | ฝ่ายชาวด่านแจ้งการอรินไภย มาอยู่ใกล้ด่านแดนแน่นหนานัก | ||
| + | ก็ร่างคำทำหนั่งสือใมบบอกมา ให้คนรีบแจ้งกิจจาหมู่ปรปักษ์ | ||
| + | มาห้าวันเร่งร้อนไม่ผ่อนพัก แจ้งขุนนางให้ประจักษ์ข่าวดัษกร | ||
| + | ว่ามีทัพกรุงกระษัตริย์เธอยกมา ตั้งริมด่านชายป่าเชิงศิงขร | ||
| + | ขุนนางทูลข่าวศึกพระภูธร ตามใบบอกชาวดอนแดนต่อแดน ฯ | ||
| + | |||
| + | ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา ทรงฟังบอกอักขราเห็นหนาแน่น | ||
| + | ว่ามีศึกกรุงกระษัตริย์มาติดแดน ยกหมู่แสนยากรจะรอนราญ | ||
| + | จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชย เข้ามาแล้วสั่งให้ออกจากสถาน | ||
| + | เปนแม่ทัพพลขันธ์ประจัญบาน ให้ทวยหาญฟังบังคับธนญไชย | ||
| + | ด้วยศรีธนญคนดีมีปัญญา เพลงสาตราวุธก็คล่องควรรบได้ | ||
| + | แล้วความคิดบิดพลิ้วก็ว่องไว เองจงไปสู้ศึกอย่านึกกลัว | ||
| + | ธนญไชยรับพระราลชโองการ ไม่อาจขัดบรรหารเจ้าอยู่หัว | ||
| + | แต่ไม่สู้เต็มใจให้นึกกลัว มาถึงบ้านคลุมหัวรนอนรำพึง | ||
| + | ว่ารับสั่งครั้งนี้ให้ไปรบ พระจอมภพจะแกล้งให้ความตายถึง | ||
| + | แล้วนึกได้ใจกล้าไม่พรั่นพรึง คิดคำนึงได้อุบายให้ช้าการ | ||
| + | ลุกขึ้นได้ตัดไม้ไผ่มาผ่า จักตอกสานหับว่าจะใส่อาหาร | ||
| + | แต่ต้นจนล่วงสามทิวาวาร ก็นั่งสานหับใหญ่ไม่ไปทัพ | ||
| + | พวกพหลพลนิกายทั้งนายไพร่ คอยท่าศรีธนญไชยเตรียมเสร็จสรรพ | ||
| + | ทั้งลูกดินของกินเสบียงทัพ ธนญไชยสานหับไม่แล้วเลย | ||
| + | ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองทวาลี ทราบว่าศรีธนญไชยนอนใจเฉย | ||
| + | ยังไม่ไปไชยชิงนิ่งละเลย ให้ไปเตือนเพื่อนก็เฉยไม่รีบร้อน | ||
| + | จึ่งรับสั่งให้ถามธนญไชย ว่าอย่างไรเนิ่นช้าว่ามาก่อน | ||
| + | ธนญไชยให้กราบทูลพระภูธร ว่ายังสานหับจะคอนใส่เสบียง | ||
| + | ครั้นหลายวันก็รับสั่งให้เตือนซ้ำ บอกว่าทำหับไม่แล้วพูดหลีกเลี่ยง | ||
| + | ฝ่ายพระองค์ทราบว่าสานใส่เสบียง จะโตเพียงไหนมิใคร่จะแล้วลง | ||
| + | มันจะสานหับใหญ่ทำไมหนอ กระบวนทัพคอยรอไม่สมประสงค์ | ||
| + | อยู่เนิ่นนานมิได้การณรงค์ มันทนงไว้ ใจพวกไพรี | ||
| + | รับสั่งเตือนให้เร่งยกกองทัพ ก็พบอหับสานแวโตได้ที่ | ||
| + | ได้แปดอ้อมหาไม้ไผ่อันยาวรี ได้สามวาพอดีจะทำคาน | ||
| + | ปั้นเข้าสุกปั้นหนึ่งไส่ในหับ คอนขึ้นบ่านำทัพมาน่าฉาน | ||
| + | เปนแม่ทัพออกน่าถึงทวาร หับที่สานโตกว่าประตูเมือง | ||
| + | ออกไม่ได้ติดคับทัพก็คั่ง ค่อยรอรั่งนายทัพอยู่แน่นเนื่อง | ||
| + | ขุนนางเห็นหับคับประตูเมือง กราบทูลให้ทราบเรื่องนายทัพไชย | ||
| + | ว่าหับคับประตูเมืองฝืดเคืองนัก กองทัพต้องรอพักไปไม่ได้ | ||
| + | ฝ่ายพระองค์ทรงฟังคั่งแค้นฤไทย ตรัสให้ห้ามว่าอ่าไปเลยรำคาญ | ||
| + | ขุนนางรับพระโองการก็มาบอก ไม่ให้ออกไปรบตามบรรหาร | ||
| + | ธนญไชย ได้ฟังก็ชื่นบาน สมที่การคิดจะไม่ไปสงคราม | ||
| + | จึ่งแกล้งว่าข้าหมายจะไปทัพ ฉลองพระคุณตามตำหรับไม่เข็ดขาม | ||
| + | ทำไมจึ่งรับสั่งให้ห้ามปราม ขัดไม่ได้ต้องตามพระโองการ | ||
| + | ว่าแล้วก็กลับยังเคหา สมปราถนาบริโภคกระยาหาร | ||
| + | ครั้นอิ่มแล้วนอนเล่นให้สำราญ จับหนังสือโคลงมาอ่านสบายใจ ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
| + | |||
==== ==== | ==== ==== | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
การปรับปรุง เมื่อ 16:06, 1 กันยายน 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ไม่ปรากฏ
บทประพันธ์
| ๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชย | บุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา | ||
| หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญา | กู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที | ||
| ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถาน | ป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี | ||
| บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดี | นามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร | ||
| ชนชาวภารากว่าห้าแสน | เนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน | ||
| ตั้งเคหารายรอบขอบนคร | ราษฎรแสนศุขสนุกสบาย | ||
| ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชา | สมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย | ||
| ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้าย | ไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท | ||
| พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้า | ดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่ | ||
| พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาใน | ม้ารถคชไกรทหารเดิน | ||
| สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์ | หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ | ||
| โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลิน | รุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา | ||
| ส่วนพระจอมเทพีศรีสมร | นามกรซื่อสุวรรณบุบผา | ||
| ทรงโฉมประโลมใจไนยนา | เปนใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน | ||
| ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า | โขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว | ||
| เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายใน | บำเรอไทธิบดินทร์นรินทร ฯ | ||
| ๏ ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราช | เปนครูฉลาดรอบรู้ธนูศร | ||
| ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจร | อิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี | ||
| เปนทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์ | เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ทั้งภรรยานงรามพราหมณี | รู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญ ฯ | ||
| ๏ ยังมีสองสามีภิริยา | ตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน | ||
| หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวน | เสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้ | ||
| ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์ | นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส | ||
| ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโต | ดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง | ||
| ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอ | จะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง | ||
| ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคือง | จึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์ | ||
| เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่ | จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร | ||
| เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์ | โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นท่านภรรยาพฤฒาเถ้า | ได้ฟังเล่าในฝันนั้นถ้วนถี่ | ||
| จึงทำนายทายฝันให้ยายปลี | ว่าจะมีบุตรชายปรีชาคำ | ||
| พูดจาแคล่วคล่องว่องไวนัก | รู้หลักลอดคนข้อคำขำ | ||
| เปนตลกหลวงดีมีคนยำ | ท่านจงจำไว้เถิดประเสริฐชาย | ||
| ส่วนยายปลีได้ฟังทำนายฝัน | ก็อภิวันท์ลามาด้วยสมหมาย | ||
| ประดับประคองท้องไว้ ไม่ระคาย | ค่อยสบายหายทุกข์เปนศุขใจ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นท่านพราหมณ์พฤฒาจารย์ | กลับมายังสถานที่อาไศรย | ||
| ฝ่ายภรรยาก็เล่าความตามทายไป | กลัวจะไม่ถูกตำราสามีตน | ||
| พฤฒาเถ้าฟังเล่าทำนายฝัน | หุนหันว่าเจ้าทายไม่เปนผล | ||
| บุตรเขาดีจะเปนที่เจ้านายคน | ทำนายผิดจะไม่พ้นอันตราย | ||
| อิกเจ็ดวันฟ้าจะผ่าศีศะเจ้า | นางฟังเล่าร้อนตัวกลัวใจหาย | ||
| ให้อัดอั้นสั่นระรัวทั่วทั้งกาย | ว่าท่านช่วยคิดอุบายให้พ้นไภย | ||
| ฝ่ายว่าทิศาปาโมกข์เถ้า | ช่วยแบ่งเบาทำตามคัมภีร์ไสย | ||
| ปั้นรูปพราหมณีใส่ชื่อใน | ไปตั้งไว้ห่างบ้านสถานตน | ||
| แล้วเอาขันครอบศีศะที่รูปปั้น | พอเจ็ดวันมืดกลุ้มคลุ้มเมฆฝน | ||
| ครั่นครื้นเสียงฟ้าคำรามรน | พอเม็ดฝนตกต้องลอองปราย | ||
| อสนีฟาดเปรี้ยงเสียงสท้าน | ผ่ากระบานรูปปั้นขนสลาย | ||
| พราหมณีก็รอดจากความตาย | ด้วยอุบายภัศดาพฤฒาจารย์ | ||
| จึงมิให้ใช้ขันรองน้ำฝน | ทุกตัวคนทั่วประเทศเขตรสถาน | ||
| กลัวฟ้าจะผ่าขันด้วยบันดาล | ตลอดกาลจนทุกวันท่านกล่าวมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | เลิศลบแดนไตรในใต้หล้า | ||
| ดำรงเมืองเรืองยศปรากฎมา | แสนสำราญโรคาไม่ยายี | ||
| ร่วมภิรมย์สมสวาดินาฎนาเรศ | ซึ่งเปนเกษกำนัลนารีศรี | ||
| นางทรงครรภ์สิบเดือนกำหนดมี | จวนจะคลอดเทพีรัญจวนใจ | ||
| ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าโทมนัศ | พร้อมแพทย์แออัดอยู่ไสว | ||
| หมอตำแยอยู่งานนางทรามไวย | เวลาได้ฤกษ์ประสูตรพระกุมาร ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมทวาลีบุรีราช | บรมนารถเห็นโอรสยอดสงสาร | ||
| จึงให้โหราพฤฒาจารย์ | ดูลักษณกุมารดวงชตา | ||
| คูณหารสอบสวนทบทวนไป | ก็แจ้งใจคืนวันพระชัณษา | ||
| จึงกราบทูลว่าองค์กุมารา | มีบุญญาธิการกล้าหาญครัน | ||
| มีเดชะอำนาจราชศักดิ | ปรปักษ์ทั่วทิศกลัวฤทธิพรั่น | ||
| แต่เลี้ยงเธอยากนักหนักอกครัน | ถ้าได้กุมารร่วมวันทันเวลา | ||
| เมื่อประสูตรโอรสยศไกร | หาให้ได้เหมือนกันกับชัณษา | ||
| มาเลี้ยงด้วยกันกับราชบุตรา | กุมาราจึงเจริญไม่มีไภย ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวัง | ได้ทรงฟังโหรแจ้งแถลงไข | ||
| จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาใน | เอาฆ้องไปตีประกาศราษฎร | ||
| ว่าผู้ใดคลอดบุตรเมื่อวันวาน | พระโองการต้องประสงค์อย่าเร้นซ่อน | ||
| จะทรงเลี้ยงเคียงดไนยไม่อาทร | ทั่วนครใครมีบุตรบุรุษชาย | ||
| จงบอกความตามจริงอย่านิ่งช้า | ข้าจะพาบุตรเจ้าเข้าถวาย | ||
| อำมาตย์ตีฆ้องพลางทางภิปราย | ถึงบ้านยายปลีที่ฝันขันพิกล | ||
| ความว่าเมื่อภรรยาพฤฒาเถ้า | ทำนายฝันตามเล่าซึ่งเหตุผล | ||
| ยายปลีมีครรภ์ได้สิบเดือนดล | คลอดบุตรตนเปนชายโฉมโสภา | ||
| ฤกษ์ยามเวลาก็พร้อมกัน | กับจอมขวัญประสูตรโอรสา | ||
| เมื่ออำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวมา | ตกประหม่าไม่มีขวัญตัวสั่นงก | ||
| ครั้นจะนิ่งปิดความว่าไม่มี | พระองค์ทราบคดีว่าโกหก | ||
| จะลงโทษกายระบมตรมอกฟก | นึกแล้วอุ้มทารกมาบอกความ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเสนาข้าราชการ | ฟังว่าขานสอบไล่ซักไซ้ถาม | ||
| รู้แน่ว่าเด็กนั้นพร้อมฤกษ์ยาม | กับโอรสจอมสยามทวาลี | ||
| จึงรับเอากุมารามาถวาย | ทูลดังยายมารดาว่าถ้วนถี่ | ||
| ฝ่ายพระจอมภาราทวาลี | ฟังวาทีเสวกาปรีดาครัน | ||
| โปรดให้หานางนมแลพี่เลี้ยง | ประคองเคียงรักษาทารกนั่น | ||
| ให้โอรสอย่างไรก็ให้ปัน | แก่กุมารคนนั้นเหมือนกันมา | ||
| จนสองกุมารชัณษาสิบห้าปี | โปรดให้เรียนตระบองกระปิติศึกษา | ||
| กระบวนรบครบอย่างขี่ช้างม้า | พุ่งสาตรายิงแทงแผลงธนู | ||
| อิกให้เรียนไตรเพทเวทมนต์ขลัง | คงจังงังทรหดอดทนสู | ||
| แคล้วคลาศสารพัดหัดให้รู้ | ทรงเอนดูสองราเมตตานัก | ||
| ครั้นอยู่มาจอมประชาชราร่าง | โรคหลายอย่างก่อกวนประชวรหนัก | ||
| ตรัสเรียกสองดไนยผู้ยอดรัก | มอบมไหไตรจักรใครอบครอง | ||
| ประทานราโชวาทประสาทให้ | รักใคร่อย่าเดียดฉันกันทั้งสอง | ||
| อย่าข่มเหงต่อยตีเหมือนพี่น้อง | เจ้าปรองดองสองรารักษาเมือง | ||
| แม้นว่าน้องพ้องผิดโทษถึงฆ่า | ได้เมตตาปัดเป่าให้เบาเปลื้อง | ||
| อย่าขุ่นแค้นฆ่าฟันเลยขวัญเมือง | ถ้าขัดเคืองอดออมถนอมกัน | ||
| หนึ่งขุนนางข้าเฝ้าเหล่าทั้งหลาย | จงแจกจ่ายเบี้ยหวัดดูจัดสรร | ||
| ผู้ใดมีความชอบตอบรางวัล | ให้แบ่งปันสนองคุณการุญรัก | ||
| เงินตราผ้าพานทองคำให้ | เครื่องกาไหล่เครื่องถมแลสมปัก | ||
| เสลี่ยงแคร่กระบี่สายสพายสพัก | สมยศศักดิความชอบจงตอบแทน | ||
| ราษฎรทั่วประเทศในเขตรขัณฑ์ | อย่าเบียนมันให้ทุกข์ร้อนค่อนแค่น | ||
| จงเมตตาคนจนขัดสนแกน | ทุกด้าวแดนให้เปนศุขสนุกใจ | ||
| สมณะชีพราหมณ์อย่าหยามหยาบ | เกรงกลัวบาปละปลดอดจิตรให้ | ||
| ควรบำรุงสงเคราะห์สักเพียงไร | ก็จงให้พองามตามศรัทธา | ||
| หนึ่งข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่ง | แม้นระแวงราชกิจผิดนักหนา | ||
| จะลงโทษก็ให้ต้องตามอาชญา | ฤาหนึ่งถ้าทัณฑกรรมทำพอควร | ||
| อย่ามากมูลโทษะมนะผิด | ควรคิดโดยระบอบสอบไต่สวน | ||
| ควรเฆี่ยนควรขังเชือกหนังทวน | จำโซ่ตรวนขื่อคาอย่าทำเกิน | ||
| พ่อจำคำบิดาสั่งตั้งความสัตย์ | แม้นปฏิบัติชื่อตรงคงสรรเสริญ | ||
| ราชการภาราพ่อพย่าเมิน | อย่าหลงเพลินนางในไม่ได้การ | ||
| พระโอรสฟังโองการประทานสอน | โอนอ่อนเศียรคำนับรับสั่งสาร | ||
| ทั้งราชบุตรบุญธรรมก้มกราบกราน | รับโอวาทซึ่งประทานด้วยเศียรตน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์จอมเจิมเฉลิมโลก | ประชวรโรคแรงกล้าดังห่าฝน | ||
| สิ้นกำลังลมปราณเหลือทานทน | สวรรคตอยู่บนพระแท่นทอง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเสวกามหามาตย์ | เกลื่อนกลาดแออัดจัดสิ่งของ | ||
| เครื่องสูงแตรสังข์พระโกษฐทอง | จ่าปี่จ่ากลองเรียกร้องมา | ||
| กลองชนะเบิงมางวางเตรียมไว้ | ชั้นแว่นฟ้ารีบไปยกคอยท่า | ||
| คู่เคียงพระสเลี่ยงเทวดา | โปรยมาลาเข้าตอกบอกมาคอย | ||
| พระสงฆ์นำน่าฉานอ่านหนังสือ | สังฆ์การีวิ่งปรื๋อไม่ล้าถอย | ||
| เผดียงราชาคณะวัดพระลอย | ไวไวหน่อยเถิดเจ้าคุณวุ่นเต็มที | ||
| ฝ่ายว่าราชาคณะพระญาณสิทธิ์ | ซึ่งสถิตย์วัดพระลอยก็เร็วรี่ | ||
| รีบครองผ้าเรียกศิษย์ได้ตามมี | สังฆ์การีพามาพักคอยชักนำ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจึงพระราชกุมาร | เชิญพระศพสรงสนานจนจวนค่ำ | ||
| มาลาภูษาถวายเครื่องทรงประจำ | เครื่องต้นล้วนทองคำลงยาดี | ||
| ทรงเครื่องต้นเสร็จสรรพสำหรับกระษัตริย์ | เชิญเข้าโกษฐเนาวรัตน์มณีศรี | ||
| ประโคมแตรสังข์สนั่นลั่นดนตรี | กลองชนะพร้อมตีเสียงมี่วัง | ||
| ฝ่ายพวกกระบวนแห่เสียงแซ่ซ้อง | ตั้งกระบวนเปนกองคอยรับสั่ง | ||
| ได้เวลาพระศพออกจากวัง | ดูสพรั่งกระบวนแห่แลหลามมา | ||
| พวกตั้งชั้นแว่นฟ้าเสนาภิมุข | ชาดสีสุกทาซ่อมที่คร่ำคร่า | ||
| ช่างรักปิดทองผ่องจับตา | ช่างกระจกประดับประดาที่ชำรุด | ||
| เครื่องแก้วตั้งคลังพิมานอากาศจัด | ศุภรัตขนผ้าไตรอุตลุด | ||
| รักษาองค์เติมน้ำมันฟันชุด | รายกันจุดอัจกลับสับสนครัน | ||
| แห่พระศพถึงที่นั่งมังคลา | เชิญตั้งแท่นแว่นฟ้างามเฉิดฉัน | ||
| เรียงรอบเครื่องสูงลายสุวรรณ | จามรทานตวันพัดโบกราย | ||
| กลิ้งกลดบดบังพระสุริยนต์ | หักทองขวางห้าชั้นอิกชุมสาย | ||
| แว่นทองปักกระเสตขันทองพราย | บุบผาพวงห้อยรายกลิ่นขจร | ||
| ข้าราชการกราบราบศิโรตม์ | ถวายบังคมบรมโกษฐสท้อนถอน | ||
| ฤไทยโทมนัศาให้อาวรณ์ | พิไรรักภูธรสิ้นทุกคน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระราชโอรสยศไกร | เสด็จมาโศกาไลยพิไรบ่น | ||
| พระราชบุตรบุญธรรมก็ทุกข์ทน | น้ำสุชนไหลหลั่งนั่งโศกา | ||
| ครั้นจัดแต่งตั้งพระศพครบครัน | สดัปกรณ์นับพันไตรสิบห้า | ||
| พระสงฆ์เนื่องแน่นหลามตามชลา | พระราชาคณะได้ไตรทุกองค์ | ||
| เสร็จทำกุศลกิจอุทิศไป | ถวายไทชนกนารถราชหงษ์ | ||
| จึงสมเด็จโอรสยิ่งยศยง | เสด็จลงจากปราสาทลีลาศมา | ||
| พวกร้องไห้นางในก็ส่งเสียง | เสนาะสำเนียงว่าพระพุทธเจ้าข้า | ||
| พระร่มโพธิทองล่องสู่ฟ้า | เสด็จไปชั้นใดข้าจะตามไป | ||
| โอ้พระร่มโพธิแก้วลับแล้วลิบ | เสวยทิพพิมานสถานไหน | ||
| ข้าน้อยพยายามจะตามไป | ไม่ทิ้งไทนฤเบศร์เกษประชา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์ข้าราชการ | กับพระราชกุมารโอรสา | ||
| พร้อมกันกะเกณฑ์การฌาปนา | ทำมหาเมรุปราค์ตามอย่างยศ | ||
| สูงเส้นห้าวาสง่านาม | เมรุทิศงามสามสร้างต้องอย่างหมด | ||
| เมรุทองในเครื่องชั้นเปนหลั่นลด | ต้องแบบตามบททุกสิ่งอัน | ||
| ราชวัตรฉัตรทองฉัตรเงินนาก | แลหลากตั้งสลับลำดับคั่น | ||
| ฉัตรเบญจรงค์รายออกนอกอิกชั้น | ตลอดกั้นราชวัตรขนัดแนว | ||
| ราชวัตรฉัตรรายทางข้างถนน | ทางสถลที่จะแห่แลเปนแถว | ||
| โรงการเล่นเต้นรำทำเสร็จแล้ว | ท้องสนามกวาดแผ้วสอาดเตียน | ||
| โรงรำช่องระทาระดาดาษ | เอาแผงลาดหลังคาทาเครื่องเขียน | ||
| กั้นฉากวาดดูงามเรื่องรามเกียรติ์ | ล้วนแนบเนียนนน่าสนุกทุกโรงงาน | ||
| หกคเมนลอดบ่วงห่วงน้อยเสา | ติดต่อเข้าสามต่อสูงตะหง่าน | ||
| รำแพนเสาไต่ลวดสูงลิ่วทยาน | ตามอย่างงานบรมศพมีครบครัน | ||
| เตรียมการเสร็จทุกด้านงานกำหนด | เชิญพระโกษฐขึ้นรถแห่สนั่น | ||
| เข้าพระเมรุสมโภชสิบห้าวัน | ถวายพระเพลิงทรงธรรม์กระษัตรา | ||
| สมโภชพระอัฐิลอยอังคาร | เสร็จการเชิญอัฐิขั้นรัถา | ||
| แห่เข้าสู่พระนครา | เหล่าเสวกาโศกเศร้าเฝ้าพิไร | ||
| จึงประชุมมาตยามหาอำมาตย์ | จะยกราชโอรสครองกรุงใหญ่ | ||
| เห็นพร้อมกันต่างอำนวยอวยไชย | จึงหมายให้จัดราชาภิเศกการ | ||
| เกณฑ์กันทำการทุกด้านทาง | ตามอย่างขัติยามหาศาล | ||
| อภิเศกพระราชกุมาร | ให้ขึ้นผานทวาลีบุรีรมย์ | ||
| ถวายพระนามเหมือนพระราชบิดา | ว่าทวาลีราชองอาจสม | ||
| พระเดชาปรากฎยศอุดม | ครองบรมธานีศรีโสภา | ||
| จึงให้กุมารบุญธรรม์นั้นไปบวช | เล่าเรียนสวนพระคัมภีร์มีสิกขา | ||
| เปนสามเฌรอู่กับพระครูบา | จันทสุบิงสมญาพระอาจารย์ ฯ | ||
| ๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวช | ท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน | ||
| ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทาน | สามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์ | ||
| ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อ | สามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน | ||
| ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้น | มีปัญญามากครันแปลกกว่าคน | ||
| จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์ | ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น | ||
| ลองความรู้พระครูอาจารย์ตน | มาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน | ||
| ในบทปถมังดังเวหา | ที่สองว่าชาโตเนข้อขัน | ||
| คูชลามิคาลำดับกัน | เปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร | ||
| จัตวาติตานี้ที่สี่แถลง | แปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร | ||
| ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจน | พระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน | ||
| ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็น | ก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น | ||
| นั่งคิดนอนคิดให้มิดตัน | ต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ | ||
| บอกแก่สามเณรว่าคิดได้ | ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม | ||
| ดังเวหาคืองาช้างงอนงาม | ชาโตตามบทมาว่าคางคก | ||
| คูชลามิคาคือครุเก่า | ชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก | ||
| รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยก | ถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ | ||
| จัตวาตีตาตีรั้วบ้าน | ทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ | ||
| แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะ | ควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป | ||
| แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนา | มิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้ | ||
| เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจ | ชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยง | มาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง | ||
| ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิง | ถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก | ||
| เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำ | เห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก | ||
| กระบอกผูกพวงวางพลางถามทัก | กระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา | ||
| ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวง | บอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า | ||
| เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมา | พักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที | ||
| อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมาก | ข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่ | ||
| จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธี | แจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง | ||
| ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถาม | จึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง | ||
| แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลัง | แกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด | ||
| ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไป | จะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร | ||
| ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิ | ฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน | ||
| เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้ | พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน | ||
| พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้น | แม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร | ||
| สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่ง | ข้าจะรังวัลสบงอังสะให้ | ||
| แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจ | จะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว | ||
| ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวง | มิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว | ||
| ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัว | ให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน | ||
| ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่น | ชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น | ||
| แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกน | ถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร | ||
| ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนัน | จะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร | ||
| อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์ | เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี | ||
| สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้ | เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี | ||
| ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารี | ที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา | ||
| แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่ง | ไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า | ||
| จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามา | ไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ | ||
| ๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมด | พวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี | ||
| จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดี | ให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดี | ฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน | ||
| แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนัน | เอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง | ||
| จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพ | ไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง | ||
| แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียง | หมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชา | ได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ | ||
| เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้าน | อยากฟังคำให้การจะอย่างไร | ||
| จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามา | ตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน | ||
| เณรถวายพรองค์พระทรงไชย | ทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย | ||
| ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตาม | ข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย | ||
| จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวาย | อย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร | ||
| ตามีสักสี่ซ้าห้าบาท | เจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร | ||
| ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวร | เงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด | ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม | ||
| ก็รีบมากุฎีที่อาราม | ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได | ||
| ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน | เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให | ||
| ว่ามีพระโองการมาอย่างไร | ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา | ||
| รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วย | จึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า | ||
| แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมา | ให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ | ||
| ๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่ | สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé | ||
| ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจ | เราจะได้เงินตราไหนมาพอ | ||
| แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อน | เหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ | ||
| สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอ | จึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง | ||
| จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลัง | ขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ | ||
| อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่ | ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ | ||
| พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะ | ขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ | ||
| แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตน | ฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด | ||
| เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลด | อิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย | ||
| จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามาก | คนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย | ||
| ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อย | จะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว | ||
| จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการ | เณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่ | ||
| รีบสึกออกมาข้าจะใช้ | เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ | ||
| ๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยง | ได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน | ||
| เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกัน | ได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้า | หมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย | ||
| ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอย | ให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน | ||
| ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉัน | แพรพรรณปูนบำนาญประทานให | ||
| ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้ | เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน | ||
| อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถาน | เสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น | ||
| มิใคร่ได้มาหลายทิวาวัน | พระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา | ||
| ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้ | ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา | ||
| เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียา | ให้เสวยโภชนามามีรศ | ||
| ดำรัสว่าเองเอายามาให้กู | จะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ | ||
| เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนต | พระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน | ||
| ทูลแล้วลีลามาสู่บ้าน | เที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน | ||
| ไม่หายาทูลลามาแชเชือน | นอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม | ||
| คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไป | แสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา | ||
| เสวยเวลานั้นมีรศมาก | เพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา | ||
| ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยา | เชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี | ||
| จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่ | อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่ | ||
| ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้ | ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ | ||
| แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้ว | ไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด | ||
| แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศ | อาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ | ||
| ๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวาย | เพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง | ||
| อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลัง | ไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ | ||
| ๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอก | พูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม | ||
| มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความ | ไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย | ||
| ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัส | พระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย | ||
| เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ย | ทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ | ||
| ๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดช | สั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี | ||
| อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดี | พ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์ | ||
| กรมช้างผูกช้างพระที่นั่ง | ขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์ | ||
| เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรง | มีพระองการถามเสนาใน | ||
| ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์ | ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้ | ||
| อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้ | ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน | ||
| เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วย | จึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน | ||
| ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกิน | สรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่า | เคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม | ||
| แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความ | มันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร | ||
| จึงดำรัสความอื่นกับเสวกา | ทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน | ||
| พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวน | ตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน | ||
| ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่น | ขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น | ||
| ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป | ||
| สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจ | ทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่ | ||
| ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้ | ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลง | ของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า | ||
| ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนา | ยิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด | ||
| เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคน | พระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด | ||
| ได้อับอายขายหน้าโทมนัศ | จอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง | ||
| ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้า | โรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง | ||
| จันทสุบิงสมญากาละกะตัง | ถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ | ||
| ๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษา | บุตรนัดดาจะมีก็หาไม่ | ||
| พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไป | เสนาในกราบทูลพระกรุณา | ||
| ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพ | อัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา | ||
| จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกา | ศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ | ||
| จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนา | ช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน | ||
| แล้วรับสั่งให้สนมบริพาร | ไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้ | พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง | ||
| ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้อง | เดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด | ||
| จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้น | เปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด | ||
| พานางสนมมาที่ศพสถิตย์ | นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง | ||
| แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้ | มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง | ||
| สนมตอบว่าพระครูผู้มรณัง | มิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง | ||
| จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามา | ตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง | ||
| เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วง | ข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ที | เข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า | ||
| เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกา | ชลนาไหลนองสองแก้มคาง | ||
| ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ย | สิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง | ||
| เก้าปีมิได้พบสีกานาง | มาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง | ||
| เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่า | ไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง | ||
| มานอนตายในกุฎีทีในโลง | พ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย | ||
| ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้ | กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย | ||
| ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวย | เชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา | ||
| ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมา | ให้โศการักศพพระครูเฒ่า | ||
| อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้า | ทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ | ||
| ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายใน | ตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ | ||
| สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะ | ที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง | ||
| เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถา | ต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง | ||
| ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลออง | ไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์ | ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย | ||
| ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบาย | สั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว | ||
| ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการ | ถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว | ||
| แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้ว | รับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ | ||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้ฟังว่า | เห็นนายชาติวิ่งมาจนเหื่อไหล | |||
| แจ้งว่าเหตุเพราะตีสนมใน | พระทรงไชยขัดเคืองเบื้องบาทา | |||
| ก็รีบเร้ามาเฝ้านเรนทร์สูร | ทรงบัณฑูรตรัสถามถึงโทษา | |||
| ว่าอีกเหล่านี้มีผิดอย่างไรมา | จึงไล่ตีกายาเปนริ้วรอย ฯ | |||
| ๏ เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึ่งทูลตามเหตุไปไม่ท้อถอย | |||
| พระอาญาล้นเกษาแห่งข้าน้อย | นางในทำไม่ต้องรอยพระโองการ | |||
| มีรับสั่งให้ไปร้องไห้ร่ำ | นั่งหัวเราะแทบค่ำครั้นหม่อมฉาน | |||
| ร้องไห้รักพระครูผู้อาจารย์ | กลับชื่นานสรวลเสเสียงเฮฮา | |||
| อยู่ที่นั่นหนุ่มหนุ่ม็มีมาก | คะนองปากเปนสนมไม่สมหน้า | |||
| หม่อมแนเห็นไม่ดีตีไล่มา | ควรมิควรพระอาญาเปนล้นพ้น ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงภพฟังจบเรื่อง | ให้ขัดเคืองนางในได้เหตุผล | |||
| จึ่งดำรัสตรัสด่าสิ้นทุกคน | ว่าไปทำลุกลนให้ได้อาย | |||
| เชียงเมี่ยงตีแต่เพียงนี้ยังไม่สา | มันฆ่าเสียก็ต้องตามกฎหมาย | |||
| ไปหัวเราะเยาะเย้าเจ้าผู้ชาย | โทษมึงถึงตายตามไอยการ ฯ | |||
| ๏ นางสนมได้ฟังพระกริ้วกราด | ก็ไม่อาจเถียงท้าต่อว่าขาน | |||
| แค้นเชียงเมี่ยงมิได้เหือดคิดเดือดดาล | ก้มคลานบังคมลามาทุกคน ฯ | |||
| ๏ อยู่มาวันหนึ่งพระจอมเวียง | เสวยเมี่ยงองค์หนึ่งเปนคำต้น | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงอมเมี่ยงทำพิกล | สี่คำดูล้นแก้มตุ่ยพอง | |||
| แล้วเอาน้ำมันทาแก้มไว้ | เลื่อมใสดุขันเปนมันย่อง | |||
| พระทรงศักดิตรัสทักว่าแก้มพอง | เองอมเมี่ยงฤาดูป่องผิดในตา | |||
| เชี่ยงเมี่ยงทูลว่าแก้มเกล้าหม่อมฉัน | ทาน้ำมันเลื่อมอยู่เองเป่งนักหนา | |||
| กรุงกระษัตริย์เคองขัดหัทยา | แต่ไม่ว่านิ่งแค้นในพระไทย ฯ | |||
| ๏ ล่วงมานานชานพระที่นั่งซุด | พระประสงค์จะให้ขุดซ่อมแปลงใหมè | |||
| สั่งให้หาเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ | ถอยคลานออกจากวังแล้วเที่ยวหา | |||
| สืบทุกแห่งหาคนปากแหว่งมา | ว่ามีพระบัญชาจะต้องการ | |||
| คนทั้งหลายจึ่งว่าเห็นผิดไป | จะทำไมคนปากแหว่งบอกทุกบ้าน | |||
| เชียงเมี่ยงว่าเรารับพระโองการ | ต่อพระโอษฐบรรหารให้เลือกค้น | |||
| ว่าแล้วจึ่งเที่ยวหาคนปากแหว่ง | หลายแแห่งบอกมาทุกถนน | |||
| พอครบถ้วนจำนวนสิบแปดคน | พาเข้าเฝ้าจุมพลจอมประชา ฯ | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรคนปากแหว่งมานักหนา | |||
| ดำรัสถามเชียงเมี่ยงมิได้ช้า | คนปากแหว่งนี้พามาทำไม | |||
| เชียงเมี่ยงกราบทูลพระกรุณา | โปรดให้หาปากง่ามก็หาได | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ยินเชียงเมี่ยง | กราบทูลเถียบอ้างรับสั่งดูอาจหาญ | |||
| ทรงพระสรวลว่ากูจะต้องการ | คนปากไม้ทำชานที่ซุดพัง | |||
| คนปากแหว่งเช่นนี้ไม่ประสงค์ | มึงใหลหลงพามาเหมือนบ้าหลัง | |||
| แล้วทรงเล่าให้เสนาข้าเฝ้าฟัง | ขุนนางทั้งปวงก็พากันหัวเราะ | |||
| พระทรงภพปรารภว่าอ้ายคนนี้ | มันอวดดีว่าปัญญามากมั่นเหมาะ | |||
| อย่าเลยนะจะให้แกงแร้งจำเภาะ | ให้มันกินจะได้เย้าะเย้ยประจาน | |||
| เพราะแร้งนันมนกินสุนักข์เน่า | ซากศพเก่าศพใหม่เปนอาหาร | |||
| อ้ายเชียงเมี่ยงกินเนื้ออันสาธารณ์ | ความคิดอ่านปัญญาคงอับน้อย | |||
| ทรงดำริห์แล้วสั่งวิเศษใน | หาแร้งแกงให้ ได้ ให้อร่อย | |||
| ใส่พริกเกินตำราอย่าให้น้อย | ให้มันเผ็ดเหื่อย้อยถึงเครื่องร้อน | |||
| วิเศษรับพระราชโองการ | ทำตามบรรหารไม่ย่อหย่อน | |||
| เสร็จใส่สำรับถวายพระภูธร | เตรียมไว้ก่อนคอยเชียงเมี่ยงจะมา ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงครั้นถึงเวลาเฝ้า | ก็รีบเข้าบังคมบาทนารถนาถา | |||
| ครั้นพระองค์อิศเรศเกษประชา | เห็นเชียงเมี่ยงเข้ามาดีพระไทย | |||
| จึ่งรับสั่งให้ยกสำรับมา | รับสั่งว่าเองจงกินแกงไก่ใหญ | |||
| กินเถิดอย่ากระดากลำบากใจ | กูสั่งให้ทำเลี้ยงเชียงเมี่ยงกิน ฯ | |||
| ๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้รับสั่ง | ถวายบังคมแล้วไม่ผันผิน | |||
| บริโภคแกงเผ็ดให้เข็ดลิ้น | เหม็นกลิ่นคาวมากแทบรากท้น | |||
| เนื้อก็เหนียวเคี้ยวไปไม่ใครขาด | เกรงอาญาจอมราชจึ่งไม่บ่น | |||
| แขงใจกินได้สามคำกล้าเหลือทน | ก็อิ่มเข้าร้อนรนเผ็ดเต็มท | |||
| ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา | เห็นเชียงเมี่ยงดูระอาริบอิ่มหนี | |||
| จึ่งรับสั่งถามพลันในทันที | อย่างไรนี่จึ่งไม่กินให้สิ้นชาม | |||
| ทั้งเหม็นคาวเหม็นสาบหลาบครั่นคร้าม | ทนได้สามคำเท่านั้นให้ตันตอ | |||
| พระภูบาลทรงพระสรวลสำรวลร่า | ว่าไก่ชราตัวใหญ่เนื้อเหนียวหนอ | |||
| เพราะมันกินสุนักข์เน่าเข้าไว้พอ | เองจึ่งท้อเข็ดขยาดไม่อาจกิน | |||
| เชียงเมี่ยงฟังรับสั่งรู้ว่าแร้ง | เอามาแกงลวงเล่นเหม็นไม่สิ้น | |||
| แค้นใจโกรธในพระเจ้าแผ่นดิน | จะแก้เผ็ดนึกจินตนาปอง | |||
| แล้วถวายบังคมลามาสู่บ้าน | ให้คลื่นเหียนซาบซ่านขนสยอง | |||
| เอามาะกรูดส้มป่อยดินสอพอง | ชำระปากตอท้องสอิดสเอียน | |||
| ถึงสามวันสี่วันเหม็นไม่หาย | ทั้งกลิ่นอายคาวขื่นให้คลื่นเหียน | |||
| ท้องไส้ขย่อนเขย่าเฝ้าอาเจียน | สอิดสเอียนเปนไข้ไปหลายวัน | |||
| พอคลายไข้อุส่าห์หาคี่แร้ง | ได้มาผสมแป้งสู้เพียรปั้น | |||
| ทำดินสอแท่งงามงามได้สามอัน | เอาไปถวายทรงธรรม์มิได้แคลง ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน | เห็นเชียงเมี่ยงยกพานดินสอแท่ง | |||
| มาถวายทรงรับไม่ระแวง | ทรงเขียนลองแห้งแห้งเส้นไม่มี | |||
| แล้วทรงจิ้มลิ้มเขฬาเลขาใหม่ | ก็มิได้เห็นเส้นเหมือนเช่นกี้ | |||
| ประหลาดฤไทยแต่ไม่ทรงพาที | ชวนเชียงเมี่ยงมาที่ทรงหมากรุก | |||
| เล่นกับเชียงเมี่ยงเสียงโกกก้อง | เชียงเมี่ยงร้องพูดเล่นเปนสนุกนี้ | |||
| ได้ทีเดินโดดโลดเข้ารุก | บ่ารุกเรือเม็ดเล็ดลอดกิน | |||
| ร้องโปกฉาดข้าบาทได้กินตัว | พระอู่หัวเลิศลบภพทั้งสิ้น | |||
| เปนปีนแขวงแต่พระแกงคูธริ้น | พระภูมินทร์ทราบเรื่องเคืองพระไทย | |||
| ทรงดำริห์ว่าจะฆ่าผ่าอกแล่ | โทษมันแก้เผ็ดล้อเปนข้อใหญ่ | |||
| แล้วหวนคิดปิตุรงค์ทรงฝากไว้ | ภูวไนยตรัสว่าอย่าฆ่าฟัน | |||
| แต่เคืองขุ่นมุ่นฤไทยมิไใคร่หาย | เพราะพระองค์อับอายให้อัดอั้น | |||
| เสด็จเข้าสู่พระแท่นแผ่นสุวรรณ | พระทรงธรรม์จะพาลผิดนิจกาล ฯ | |||
| ๏ ครั้นล่วงมาวันหนึ่งจอมประชา | ทรงจินตนาขะเสด็จสรงสนาน | |||
| ที่หาดทรายชายท่าชลาธาร | ทรงคิดอ่านเห็นจะได้ความผิดมี | |||
| จึ่งดำรัสแก่หมู่เสวกา | จงหาฟองไก่ไวอย่าอึงมี่ | |||
| ปิดเชียงเมี่ยงอย่าให้รู้หมู่เสนี | ไปฝังไข่ไว้ที่ในหาดทราย | |||
| พรุ่งนี้ให้ได้ไปแต่ช้าว | ข่าวคราวซ่อนไว้อย่าได้ขยาย | |||
| ๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์มาตยา | รับพระราชบัญชาออกจากเฝ้า | |||
| ให้ค้นหาไข่ไก่ไว้แต่เช้า | สั่งเบ่าให้ไปยังฝั่งชลา | |||
| ได้เวลาจอมนรินทร์ปิ่นประเทศ | เสด็จจากพระนิเวศน์ด้วยยศถา | |||
| ทรงเรือที่นั่งพร้อมหมู่เสวกา | เชียงเมี่ยงตามเสด็จมาในนัที | |||
| ถึงที่เสด็จประทับบนพลับพลา | มีบัญชาให้เล่นน้ำสนั่นมี่ | |||
| ดำรัสว่าให้กระตากคนละที | ให้ได้ไข่ทุกเสนีบรรดามา | |||
| ถ้าไม่ได้ ไข่ชูให้กูเห็น | จะเอาเปนความผิดมีโทษา | |||
| ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชบัญชา | ลงสู่ท่าดำน้ำก็ทำตาม | |||
| ผุดขึ้นนว่ากระตากมือชูไข่ | ต่างต่างได้คนละฟองร้องอึงสนาม | |||
| เชียงเมี่ยงดำแล้วผุดขึ้นมาตาม | ร้องระตูแจ้งความว่าไม่มี | |||
| เพราะเปนไก่ผู้หาฟองไม่ | แล้วก็ไล่จับพวกขุนนางขี่ | |||
| เที่ยวไล่จับสัตว์ในนัที | หมู่เสนีสำลักน้ำดำหนีไป ฯ | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | หมายมาดจะเอาผิดก็ไม่ได้ | |||
| เชียงเมี่ยงแก้คล่องด้วยว่องไว | พระทรงไชยกลับหลังยังนคร | |||
| แล้วทรงคิดจะเอาผิดแก่เชียงเมี่ยง | อย่าให้เลี่ยงข้างข้างเหมือนอย่างก่อน | |||
| จะให้ไปซื้อผ้าท้าวนคร | ทรงอนุสรแล้วเสด็จออกขุนนาง | |||
| ดำรัสใช้ ให้เชียงเมี่ยงไปซื้อผ้า | ลายโสภาตีนแต้มให้ได้อย่าง | |||
| เชียงเมี่ยงรับเงินตราออกมาพลาง | ถึงบ้านนอนไขว่ห้างเล่นสบาย | |||
| ครบเจ็ดวันจึงเามาเผ้าพระบาท | บรมนารถทักว่าเองไปไหนหาย | |||
| มามือเปล่ากูไม่เห็นได้ผ้าลาย | เที่ยวสบายเสียไม่หาฤาว่าไร | |||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึ่งทูลความว่าหม่อมแนหาไม่ได้ | |||
| ผ้าตีนแต้มเช่นตรัสดำรัสใช้ | เกล้ากระหม่อมเที่ยวไปทั่วตำบล | |||
| ถามผู้ใดก็ว่าแต้มแต่ด้วยมือ | ไม่อาจซื้อมาถวายเพราะขัดสน | |||
| ไม่มีแต้มด้วยเท้าแต่สักคน | ก็เปนคนใจจะวงพระโองการ | |||
| ฝ่ายพระจอมนครินทร์บดินทร์สูร | ได้ฟังทูลเชียงเมี่ยงดูอาจหาญ | |||
| ทรงตรองไปก็เห็นจริงนิ่งรำคาญ | หมายจะพาลผิดก็ไม่ได้สักครา ฯ | |||
| ๏ ยังมีเจ้าอธิการสมภารใหญ่ | ปลูกต้นไม้มีผลมากนักหนา | |||
| มะม่วงมะปรางมะทรางและพุดทรา | น้อยหน่าลำไยมะไฟมะเฟือง | |||
| แต่ผู้ใดใครมาขอไม่อยากให้ | หวงไว้จนผลงอมหล่นเหลือง | |||
| ถึงตัวท่านก็ไฉันกลัวจะเปลือง | ชาวบ้านเคืองคิดชังไปทั้งคาม | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเดินมาเห็นมะม่วง | ดกเปนพวงสุกเหลืองเรืองอร่าม | |||
| อยากใคร่ได้ไปถือเล่นงามงาม | แต่ครั่นคร้ามไม่ได้ขอนิ่งรอพลาง | |||
| แล้วขึ้นไปบนกุฎีพระชีเฒ่า | คุกเข่าร้องขอส้มกินบ้าง | |||
| เจ้าอธิการรู้เรื่องเคืองระคาง | เดินเข้ากุฎีกลางปิดประตู | |||
| เชียงเมี่ยงเห็นอาการสมภารแก่ | วิ่งแร่หนีตัวซ่อนหัวหู | |||
| คิดโกรธว่าขรัวนี้ทำไม่น่าดู | ให้ไม่ให้ก็ไม่รู้ ไม่พูดจา | |||
| เปนไรมิดีแล้วได้เห็นกัน | คิดให้ขันถีบขว้ำคะมำหน้า | |||
| ให้ได้แผลแก้แค้นด้วยปัญญา | ทำที่หน้าผากให้แตกได้แลกลำ | |||
| คิดแล้วกลับไปบ้านสถานตน | หาหมากผลพลูซองลองขรัวคร่ำ | |||
| ให้เมียทำไก่พะแนงแกงต้มยำ | แล้วใส่สำรับมาให้พระสมภาร | |||
| ขึ้นกุฎีก้มกราบหมาอบราบพื้น | บอกว่าคืนนี้รับสั่งให้ดีฉาน | |||
| มาเผดียงเจ้าคุณพระอาจารย์ | นิมนต์ท่านไปตั้งราชาคณะ | |||
| ฝ่ายขรัวเฒ่าเขลาปัญญาว่าสาธุ | มาได้ที่เมื่ออายุมากนะจะ | |||
| เชียงเมี่ยงตอบว่าเจ้าคุณบุญถึงละ | ดีฉันจะขอดูรู้ลายมือ | |||
| ในตำราว่าไว้จะได้ที่ | ฤามั่งมียศศักดิ์คนนับถือ | |||
| เปนที่เกรงหมอบเทาชื่อเล่าฦา | มีแจ้งในลายมือแลลายท้าว | |||
| สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศ | เชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว | |||
| แบให้ดูลายมือพูดยืดยาว | ทั้งลายท้าวไม่ระแวงนึกแคลงใจ | |||
| เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่น | ทำพูดกันให้สิ้นความสงไสย | |||
| ว่าลายมือลายเท้าที่ทายไว้ | ไม่แน่ใจเหมือนลายก้นต้นตำรา | |||
| จะดีชั่วแจ้งชัดเปนสัจจัง | ไม่พลาดพลั้งที่นั่งทับตำหรับว่า | |||
| พระอธิการฟังสารเชียงเมี่ยงว่า | ไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย | |||
| ว่าจะดูก้นเห็นฦกข้านึกอาย | เชียงเมี่ยงว่าไม่แพร่งพรายจะอายใคร | |||
| ดูแต่สองคนเท่านี้นี่ | ไปในที่ลับลี้ก็จะได้ | |||
| พระสมภารไม่แหนงเคลือบแคลงใจ | ก็พาไปห้องน้ำตามคำชวน | |||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงสมจิตรที่คิดหมาย | จะทำให้ได้อายนึกยิ้มสรวล | |||
| พอขรัวเฒ่าเข้าห้องต้องกระบวน | ทำทีด่วนว่าจะดูตามตำรา | |||
| ให้ขรัวเฒ่าแก่โก้งโค้งจะดูก้น | ถีบตะโพกหัวชนเข้ากับฝา | |||
| สมภารหน้าผากแตกเวทนา | ร้องด่าอ้ายขี้ครอกบอกกล่าวพลาง | |||
| เชียงเมี่ยงก็ถีบซ้ำอีกสามที | แล้วจึงหนีลงบันไดไปข้างล่าง | |||
| ท่านสมภารล้มกลิ้งก็ยิ่งคราง | โลหิตไหลเปนทางนองกระดาน | |||
| กว่าจะนั่งขึ้นได้เปนนานช้า | เชียงเมี่ยงวิ่งหนีมาจนถึงบ้าน | |||
| คิดว่าโทษเรามีตีสมภาร | กินยารุให้พิการซูบผอมกาย ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายเจ้าอธิการเฒ่า | ปวดร้าวที่แผลหน้ามิใคร่หา | |||
| อุส่าห์ประคบทาไพลค่อยได้สบาย | ครบเจ็ดวันจึงคอยคลายเจ็บกายา | |||
| ครั้นความเจ็บบางเบาขรัวเฒ่าเถร | ฉันเพนแล้วห่มดองจึ่งครองผ้า | |||
| ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรขรัวแก่ตรัสถามก่อน | |||
| ว่าคุณประสงค์บาตรเภสัชฤาจีวร | เครื่องนั่งนอนอย่างไรจงไขความ ฯ | |||
| พยุงเดินเข้าในวังเซซังมา | ถึงเข้าเฝ้าจอมนราประชากร ฯ | |||
| ๏ ครานั้นขรัวเฒ่าทูลเล่าเรื่อง | ที่ขัดเคืองมีผู้มาหยาบหยาม | |||
| อุบาสกคนหนึ่งพึ่งรุ่นงาม | มาแจ้งความว่าพระองค์ผู้ทรงไชย | |||
| ให้นิมนต์รูปมาตั้งราชาคณะ | แล้วทำรูปหน้าหวะโลหิตไหล | |||
| ได้ความร้อนรนเปนพ้นไป | เห็นเปนข้าจอมไทนราบาล ฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนิเวศน์เกษประชา | ทรงฟังว่าข้าเฝ้าทำอาจหาญ | ||
| นึกฉงนจนพระไทยให้รำคาญ | พระโองการดำรัสว่าผู้ใดไป | ||
| ความที่ว่าฉันสั่งให้นิมนต์ | จะได้ใช้ใครสักคนก็หาไม่ | ||
| ผู้เปนเจ้าว่าข้าเฝ้าที่เคยใช้ | แม้นว่าจำหน้าได้จงชี้มา | ||
| เจ้าอธิการทูลว่าจำหน้าได้ | จึ่งโปรดให้ชี้ขุนนางอยู่พร้อมหน้า | ||
| พระเถรพิศดูหมู่เสนา | แต่บรรดาหมอบเฝ้าเจ้าจุมพล | ||
| จึ่งทูลว่าเสนาที่อยู่นี่ | มิใช่ที่คนทำรูปปี้ป่น | ||
| แต่คนทำนั้นก็ยังรู้จักตน | ได้สั่งสนทนาอยู่เปนครู่นาน | ||
| จึ่งดำรัสถามเหล่าเสนามาตย์ | ผู้ใดขาดไม่มาจงว่าขาน | ||
| ขุนนางทูลว่าเชียงเมี่ยงไม่พบพาน | ขาดเผ้าพระภูบาลมาหลายวัน | ||
| ได้ทรงฟังจึ่งรับสั่งให้หามา | เชียงเมี่ยงกินแต่ยาเพราะความพรั่น | ||
| ครั้นมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | ผิวพรรณผิดหน้าตาโหลกลวง | ||
| ทั้งรูปกายผ่ายผอมดูพิกล | พระจุมพลจึ่งถามขรัวตาหลวง | ||
| ว่าคนนี้ฤาที่ไปฬ่อลวง | ขอมะม่วงแล้วข่มแหงเก่งกอแก | ||
| เจ้าอธิการทูลว่าคล้ายคนนี้ | แต่ท่วงทีผิดไปดูไม่แน่ | ||
| คนที่ไปลวงฬ่ทำตอแย | ล่ำกว่านี้คนนี้แก่กว่าคนนั้น | ||
| เชียงเมี่ยงจึงตอบว่าข้าพเจ้า | ขาดเฝ้าเพราะป่วยหลายวันคั่น | ||
| ไปไหนไม่ได้มาหลายวัน | พระทรงธรรม์ให้หามาในวัง | ||
| จึ่งค่อยแขงใจมาเฝ้าจอมราช | กลัวพระราชอาชญารักษาหลัง | ||
| จิตรใจยังโผเผเดินเซซัง | สมภารฟังเห็นไม่แน่ทูลลาไป ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงกระษัตราเมืองธานี | ครองบุรีนคเรศประเทศใหญ่ | ||
| พรั่งพร้อมรถอัศดรกุญชรไชย | ทหารเดินเนืองในพระภารา | ||
| มหไสูรย์มูลมั่งคั่งสมบัติ | แออัดฝูงชนล้นแน่นหนา | ||
| มีเรือเสาสำเภาเหล่านาวา | เรือลูกค้ามาจอดทอดเรียงราย | ||
| ราษฎรเปนศุขทุกตัวคน | ไม่ยากจนตั้งห้างวางของขาย | ||
| แสนสำราญมั่งคั่งทั้งหญิงชาย | ศุขสบายทั่วนครไม่ร้อนรน | ||
| ปรปักษ์ข้าศึกไม่นึกร้าย | ชนทั้งหบายเกรงพระเดชแสยงขน | ||
| ขอเปนข้าขอบขัณฑ์พรั่นทุกคน | บุบผาหิรญกาญจนามาคำนับ | ||
| พระเจ้ากรุงธานีบุรีราช | มีชายชาติหัวแขงแข่งคู่ปรับ | ||
| ศีศะล้านเลื่อมขันเปนมันรยับ | เที่ยวชนสู้มานับว่าหมื่นพัน | ||
| ท้าชนใครไม่มีผู้โต้ทาน | มะพร้าวตาลชนต้นก่นสบั้น | ||
| ศีศะแขงแรงคล้ายช้างน้ำมัน | เที่ยวพนันทุกเมืองเลื่องฦาชา | ||
| ชนมีไชยได้มาขิ้นบุรี | ยิ่งกว่าสี่สิบเมืองมากนักหนา | ||
| ทุกนครคลอนหัวกลัวระอา | ออกปากว่าหัวแขงเรี่ยวแรงครัน | ||
| วันหนึ่งจอมบุรีธานีราช | สถิตย์อาศน์แท่นทองตรองกระสัน | ||
| ว่าจะเอาศีศะล้านไปพนัน | ชนกันกับคนเมืองทวาลี | ||
| ด้วยข่าวเล่าฦาชาว่ามั่นคั่ง | เปนเอกราชทั่วทั้งบุรีศรี | ||
| มิได้ขึ้นเมืองใดในปัถพี | มั่งมีศฤงฆารโอฬารนัก | ||
| จำจะเอาหัวล้านไปพนัน | แข่งขันสู้เล่นให้เห็นประจักษ์ | ||
| ถ้าแพ้เราได้บุรีจะดีนัก | เปนศรีศักดิ์ฦาเลื่องกระเดื่องยศ | ||
| ดำริห์แล้วจึ่งเสด็จออกข้างน่า | สั่งเสนาให้หมายวันกำหนด | ||
| ที่จะไปพนันชนคนมีคต | ให้ปรากฎไว้ชื่อเลื่องฦาขจร | ||
| แต่งสำเภาเภตราสักห้าร้อย | เครื่องใช้สอยเงินตราและผ้าผ่อน | ||
| ของบรรณาการอย่างต่างนคร | บรรทุกตอนนาวาสารพัน | ||
| จงให้คนศีศะแขงตกแต่งกาย | ลงในท้ายบาหลีขมีขมัน | ||
| แต่งราชสารแจ้งการจะขอพนัน | ชนกันถ้าชนนะจะเอาเมือง | ||
| ถ้าศีศะล้นนบุรีธานีราช | พลั้งพลาดพ่ายแพ้ ในบาทเบื้อง | ||
| จะถวายสินพนันมิให้เคือง | อิกทั้งเมืองถวายขึ้นทวาลี | ||
| สั่งให้แต่งราชสารโองการเสร็จ | ก็เสด็จคืนเข้าปราสาทศรี | ||
| กรมวังหมายบอกสัสดี | จ่ายคนทุกน่าที่ลงสำเภา | ||
| กรมท่าจัดล้าต้าต้นหน | ลูกเรือขนเพลาไบมาใส่เสา | ||
| กว้านสมอช่อใช้ในสำเภา | เกลือเข้าของลำเลียงเสบียงทาง | ||
| พวกคลังขนบรรณาการส่าโหมดตาด | โตกถาดแพรผ้าหักทองขวาง | ||
| มอบให้นายใหญ่ใส่ระวาง | ฝ่ายขุนนางที่เปนทูตลงนาวา | ||
| ครั้นได้ฤกษ์ให้ออกสำเภาใหญ่ | ทั้งห้าร้อยแล่นไปออกจากท่า | ||
| มาในท้องทเลล้วนเภตรา | ตั้งหน้าต่อนครทวาลี | ||
| มาได้สองคืนโดยประมาณ | ก็ถึงด่านปกน้ำบุรีศรี | ||
| แจ้งความแก่นายด่านตามคดี | ว่าทูเมืองธานีมาคำนับ | ||
| ทำใบบอกมาในกรุงหวังต้อนรับ | เสมียนกับกรมการรีบเข้าไป | ||
| ถึงศาลาบอกนายเวรให้กราบเรียน | นำใบบอกที่เขียนมาส่งให้ | ||
| ว่านายช่วยกราบเรียนโดยเร็วไว | ให้เจ้าคุณผู้ใหญ่ทราบเหตุการ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นนายเวรในกรมท่า | ได้ฟังว่าเสร็จสิ้นในข่าวสาร | ||
| รับใบบอกรีบไปมิได้นาน | เรียนต่อท่านอธิบดีให้ทราบความ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าท่านเจ้าพระยาอธิบดี | ฟังวาทีนายเวรไม่เข็ดขาม | ||
| คลี่ใบบอกออกดูรู้ข้อความ | แล้วซักถามกรมการด่านปากน้ำ | ||
| ได้ความแน่ว่าทูตเมืองธานี | ถือพระราชสารศรีเปนข้อขำ | ||
| กับสำเภาใหญ่น้อยห้าร้อยลำ | แล้วจึ่งนำใบบอกขึ้นกราบทูล | ||
| ตามสำเนากรมการด่านเขื่อนขันธ์ | กราบทูลพระทรงธรรม์นเรนทร์สูร | ||
| ให้ทราบใต้บงกชบทมูล | จอมประยูรขัติยาเจ้าธานี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ | ทรงฟังจบข่าวทูตมากรุงศรี | ||
| ว่าจอมกระษัตริย์ครองสมบัติเมืองธานี | จะมาเจริญไมตรีใช้ทูตมา | ||
| ทรงดำริห์ในพระไทยสงไสย | ความ จะลวนลามฤาไฉนให้กังขา | ||
| ดีฤาร้ายเปนอย่างไรในสารา | ฤาจะท้ารบตีบุรีเรา | ||
| ทรงดำริห์แล้วดำรัสให้นัดวัน | ราชทูตตัวสำคัญให้เข้าเฝ้า | ||
| จงจัดการรับทูตนายสำเภา | อย่าให้เขาครหาด้วยมาไกล | ||
| ดำรัสสั่งแล้วเสด็จสู่ปรางค์มาศ | พระที่นั่งบัลลังก็อาศน์อันสุกใส | ||
| พระแท่นที่สุวรรณพรายข้างฝ่ายใน | สำราญฤไทยด้วยศฤงฆารผ่านบุรี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าท่านมหาเสนามาตย | รับพระราชโองการคลานจากที่ | ||
| สั่งให้หมายเกณฑ์คนสัสดี | เรือกระบี่วายุภักษ์ปักธงไชย | ||
| ทั้งเรือเชิญราชสารม่านทองปัก | ที่นั่งฉลักลายประกอบดูสุกใส | ||
| ดาดหลังคาลายแย่งแต่งลงไป | พิณพาทย์ให้ลงนาวานำน่ากระบวน | ||
| ถึงวันนัดจัดการพร้อมตามหมาย | เรียกฝีพายลงเรือครบเสร็จถ้วน | ||
| เรือแห่เตรียมเต็มตามจำนวน | เคลื่อนกระบวนลงไปรับทูตเข้ามา | ||
| ฝ่ายว่าทูตานุทูตนั้น | ก็พร้อมกันเข้าเฝ้าจอมนาถา | ||
| เชิญพานทองรองราชสารา | ถวายพระปิ่นขัติยาเจ้าธานี ฯ | ||
| ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ทอดพระเนตรเห็นราชสารศรี | ||
| ทรงรับไว้มอบให้ศรีภูรี | ผู้ว่าที่พระอาลักษณ์มีศักดินา | ||
| ฝ่ายพระศรีภูรีศรีสาลักษณ์ | ถวายบังคมจุลจักรนารถนาถา | ||
| รับราชสารอ่านถวายตามสารา | ให้ทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ | ทรงจบในราชสารศรี | ||
| แล้วตรัสปฏิสันฐารทูตธานี | โดยคดีสามนัดแบบบุราณ | ||
| จึงดำรัสผัดว่าอีกเจ็ดวั | น จะเลือกสรรคนดูในราชฐาน | ||
| ที่จะพนันชนคนหัวล้าน | พอจัดการเตรียมพนันขันสู้ชน | ||
| ราชทูตก็ถวายบรรณาการ | แล้วทูลลาไปสถานให้ฝึกฝน | ||
| ศีศะล้านที่มาว่าจะชน | อย่าให้แพ้ล้านคนทวาลี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเจ้าเขตรขัณฑ์ | ทรงนัดวันแล้วเสด็จขึ้นเข้าที่ | ||
| ทรงวิตกการกู้พระบุรี | ในเมืองจะมีสู้เขาฤาเปล่าดาย | ||
| ทรงปรารมภ์พลางบรรธมบนแท่นรัตน์ | อัจกลับแสงจำรัสรุ่งเรืองฉาย | ||
| ระย้าแก้วแพรวพราวดังดาวพราย | พนักงานขับถวายมโหรี | ||
| แจ้วเจื้อยเฉื่อยฉ่ำยักลำส่ง | ฆ้องวงรนาดขลุ่ยตุ่ยต๋อยตี๋ | ||
| โทนน่าทับรับรำมนาตี | ซอจับปี่ซอยซ้ำเลียนงน้ำนวล | ||
| ลำพระทองร้องส่งประสานซอ | ขลุ่ยรับต่อกลมเกลี้ยงเสียงแหบหวน | ||
| จะเข้ดีดเตร๋งเตร่งเต๋งเต่งครวญ | กลับทบทวนไล่เดี่ยวเคี่ยวขับกัน | ||
| พระบรรธมบนพระแท่นแสนสบาย | น้ำค้างพรายจวนอุไทยเสียงไก่ขัน | ||
| นกดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยัน | แซ่สนั่นสกุณาทิชากร | ||
| หอมระรินกลิ่นผกาบุบผาเผย | แมลงภู่บินมาเชยวะหวี่ว่อน | ||
| แมลงผึ้งหึ่งหึ่งเปนหมู่จร | เคล้าเกสรเกลือกกลิ่นแล้วบินไป | ||
| พระองค์ฟื้นตื่นองค์สรงพระภักตร์ | ทรงเครื่องต้นสมศักดิ์ดูสุกใส | ||
| เสด็จออกที่นั่งโถงพระโรงไชย | เสนาในเฝ้าพระบาทดาษดา | ||
| จึ่งดำรัสว่ากษัตริย์เมืองธานี | ให้มีราชสารมานั้นขันนักหนา | ||
| จะขอพนันคนแลกภารา | ชนคนจนเกษาว่าชอบกล | ||
| แน่อำมาตย์ใหญ่น้อยจงเที่ยวหา | ศีศะล้านเอามาทุกถนน | ||
| มาประชุมน่าพระลานเลือกคู่ชน | เที่ยวหาค้นตีฆ้องป่าวร้องไป ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายอำมาตย์รับราชบรรหาร | ถวายบังคมก้มคลานหาช้าไม่ | ||
| ออกจากเฝ้ามาศาลามหาดไทย | แจกหมายให้หาตัวพวกหัวล้าน | ||
| ให้มาพร้อมที่ศาลามหาดไทย | จะถามดูผู้ใดจะอาจหาญ | ||
| ชนสู้แขกเมืองเลื่องฦาสท้าน | ตามที่มีราชสารมาท้าพนัน | ||
| ฝ่ายว่าพวกผมไร้ได้พึ่งหมาย | ต่างๆ มามากมายขมีขมัน | ||
| ประชุมพร้อมที่ศาลามากกว่าพัน | ต่างคนพรั่นหนีตัวกลัวระอา | ||
| ออกปากว่ากลัวนักพูดยักเยื้อง | แล้วเกรงเคืองเบื้องบาทนารถนาถา | ||
| จึ่งวิงวอนต่อท่านมหาเสนา | บ้างก็ให้เงินตราขอบนบาน ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจึ่งมหาเสนามาตย์ | เห็นเศียรล้านพานขลาดไม่อาจหาญ | ||
| สู้ไม่ได้ก็อย่าชนอย่าบนบาน | จะกราบทูลภูบาลผ่านธานี | ||
| ว่าหามาทั่วคนไม่ชนสู้ | แต่พอรู้ก็เกรงกลัวออกตัวหนี | ||
| ไม่เปนไรดอกกราบทูลแต่โดยดี | ด้วยไม่มีผู้อาสากล้าเข้าชน | ||
| ว่าแล้วก็เข้ากราบบังคมทูล | ตามมูลถามไถ่ได้เหตุผล | ||
| ว่าศีศะล้านกลัวระอาไม่กล้าชน | จอมจุมพลจงทราบพระบาทา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ฟังอำมาตย์ทูลโทมนัศา | ||
| ทรงดำริห์เกรงจะเสียพระภารา | จึ่งให้หาเชียงเมี่ยงมาเฝ้าพลัน | ||
| รับสั่งเล่าเรื่องจะชนคนผมน้อย | อมาตย์หากว่าร้อยแต่เลือกสรร | ||
| ไม่มีใครรับสู้คู่พนัน | มีแต่พรั่นออกตัวกลัวทุกคน | ||
| เองจะรับอาสาได้ฤาไม่ | กูร้อนใจเกรงจะอายขายหน้าป่น | ||
| แขกเมืองจะตรีชาว่าอับจน | เองเปนคนมีปัญญาปรีชาไวย | ||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม | จึงทูลตามปัญญาอาสาได้ | ||
| แต่เพียงนี้ไม่สู้ยากลำบากใจ | หม่อมฉันนมิให้ขุ่นข้องลอองธุลี | ||
| แม้นแขกเมืองมีกำลังเจ็ดช้างสาร | จะหักหาญด้วยปัญญาไม่ล่าหนี | ||
| ฝ่ายพระจอมนคราทวาลี | ฟังวาทีเชียงเมี่ยงทรงโสมนัศ | ||
| จึ่งตรัสว่าต้องการสิ่งอันใด | ชาวคลังจงจ่ายให้อย่าได้ขัด | ||
| เลือกเอาตามใจให้ทันนัด | พระดำรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ | ถวายบังคมถอยคลานหาช้าไม่ | ||
| มาศาลาเวรหมายรายกันไป | ทุกนายไพร่ให้รู้พระโองการ | ||
| แด่บรรดาคนศีศะไร้เกษา | ให้เข้ามาพร้อมในพระราชฐาน | ||
| ราษฎรในนครที่หัวล้าน | รู้หมายรีบลนลานมาพร้อมกัน | ||
| ทั้งผู้คนชนบทหัวเมืองนอก | มีท้องตราแจ้งบอกทั่วเขตรขัณฑ์ | ||
| ทั้งนายไพร่เศียรโล่งโหม่งเปนมัน | ก็พากันมาหาเชียงเมี่ยงพร้อม | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นคนจนเกษา | ดูนานาหลากถ้วนทั้งอ้วนผอม | ||
| บ้างฉอกหลงดงช้งข้ามเปนเขาค้อม | สามหย่อมเปียแหยมแกมปนคละ | ||
| ผู้รับสั่งจึ่งประกาศตามโองการ | พระภูบาลให้เลือกคนชนศีศะ | ||
| ใครจะอาสาได้ให้ชนะ | พระองค์จะพระราชทานเงินทองยศ | ||
| ฝ่ายว่าพวกไร้เผ้าฟังเล่าหมาย | ทั้งไพร่นายอกตัวกลัวไปหมด | ||
| บ้างว่าแรงฉันน้อยถอยลด | บ้างว่างดฉันเสียเถิดแต่เกิดมา | ||
| ไม่เคยเห็นไม่เคยเล่นพนันชน | บ้างก็บนเงินทองสิ่งของผ้า | ||
| ลางคนบนคู่สนิทให้ธิดา | ว่าท่านได้กรุณาอย่าให้ขน | ||
| เชียงเมี่ยงพูดโลมเล้าเอาใจไว้ | จะเลือกแต่ได้ราชการอย่าพานบ่น | ||
| แล้วออกมาเลือกคนดูในหมู่คน | ดูพิกลต่างๆ หลายอย่างพรรณ | ||
| บ้างหัวล้านแต่รอบนอกมีผมกลาง | ตำราอ้างล้านน้ำเต้าเค้าดูขัน | ||
| ชนิดนี้แรงน้อยถอยทุกวัน | บ้างฉอกฉินเลี่ยมมันจับแก้วตา | ||
| เรียกว่าล้านเดือยไก่ใจคะนอง | พูดเล่นคล่องไม่ขัดจัดนักหนา | ||
| ถ้าอายุแก่เข้าเฒ่าชรา | มักเกิดโรคนานามายายี | ||
| บางคนล้านโขมนโกร๋นเกรียน | โล่งเลี่ยนแลเลื่อมเปนมันสี | ||
| มักใจน้อยเจ้าโทโสโอ่อวดดี | ถ้อยคำมีสำนวนชวนก่อความ | ||
| เชียงเมี่ยงเลือกคัดจัดคนใหม่ | อย่างที่ว่าใช้ไม่ได้สิ้นทั้งสาม | ||
| เลือกได้คนหนึ่งพีรูปดีงาม | ล่ำสันไม่เข็ดขามควรเปรียบชน | ||
| ศีศะพึ่งล้านใหม่ดูใสเศียร | ผมเกรียนเส้นเอียดพึ่งร่วงหล่น | ||
| หน้าดุร้ายกายดำขำกว่าคน | เห็นควรชนเชียงเมี่ยงว่าได้การ | ||
| จึ่งเบิกกระดาษมาฟันทำพวนหนัง | สำรับรั้งสี่เส้นทาหมึกประสาน | ||
| ติดขนควายรายทุกเส้นเห็นได้การ | แม้นใคร ดูก็ปานกับหนังพวน | ||
| แล้วจัดคนถือเชือกเส้นละร้อย | ล้วนแต่เกษาน้อยสี่ร้อยถ้วน | ||
| บอกกลอุบายให้รู้ขบวน | ครั้นวันจวนก็แต่งตัวพวกหัวล้าน | ||
| มีเรื่องแห่แตรสังข์พิณพาทย์ฆ้อง | ธงทองธงมังกรธงไชยฉาน | ||
| ให้เตรียมเสร็จคอยฤกษ์เวลากาล | น่าพระลานขบวนแห่แลแน่นยัด | ||
| แล้วให้เที่ยวตีฆ้องร้องประกาศ | จะอาบน้ำตัวราชสมบัติ | ||
| ใครกลัวไภยให้รักษาตัวระมัด | ระวังบ้านเรือนถ้าพลัดเข้าบ้านใด | ||
| เย่าเรือนจะทลายสลายหัก | จะฉุดชักไล่ห้ามปรามไม่ไหว | ||
| ด้วยมีแรงแขงกล้าเปนพ้นไป | เข้าบ้านใดยับย่อยไม่น้อยเลย | ||
| น่าต่างประตูดูปิดให้แน่นหนา | เมื่อเวลาลงน้ำอย่าเปิดเผย | ||
| รู้ทั่วกันอย่าเผลอเลินเล่อเลย | ใครไม่เคยเห็นรู้มาดูตัว | ||
| ราษฎรรู้ประกาศในมาดหมาย | ที่กลัวตายนอนซุ่มผ้าคลุมหัว | ||
| บ้างหลบลี้หนีนอนซุกซ่อนตัว | ที่เรือกรั้วไม่แน่นหนาผ่าไม้แซม | ||
| ชาวสำเภาโดยยินคำประกาศ | นึกขยาดคิดว่าจริงไม่รู้แต้ม | ||
| ก็เก็บงำสินค้าที่ราแรม | ขยายแย้มไว้แต่ช่องคอยมองดู ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นแดดอ่อนหย่อนแสง | ก็ตกแต่งราชสมบัติหมายจะสู้ | ||
| ผูกเชือกเองคู่ชนคนนอกครู | ทั้งสี่เส้นเกณฑ์หมู่คนมาชัก | ||
| จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อย | ก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซงแซ่หนัก | ||
| ทั้งซ้ายขวาน่าหลังเชือกรั้งชัก | แห่งมาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ | ||
| ราชสมบัติแขงขึงตึงเชือกไว้ | คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ | ||
| เชือกยวนขาดเปนท่อนซ้อนคะมำ | แล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย | ||
| ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติ | ให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย | ||
| ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชาย | มาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ | ||
| บ้างก็ขึ้นต้นไม่คอยมองดู | บ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่ | ||
| ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแล | เสียงเซงแซ่คนดูพรั่งพรูมา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นราชทูตนายสำเภา | โฉดเขลาเห็นว่าแรงมากนักหนา | ||
| แต่พวนหนังรั้งขาดประหลาดตา | จึ่งปฤกษาคู่ชนคนสำคัญ | ||
| ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับ | ยังจะรับเปนคู่พนันขัน | ||
| ฤาจะสู้เขาไม่ได้ ให้บอกกัน | อย่าอึ้งอั้นแจ้งคามแต่ตามจริง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าล้านธานีบุรีราช | คิดขยาดกลัวใจให้เกรงกริ่ง | ||
| จึ่งบอกว่าสู้ไม่ได้ ให้ประวิง | เขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน | ||
| สู้ไม่ได้เปนแน่ตามแต่จะคิด | ไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น | ||
| ให้เกรงแต่จะแพ้แก้ไม่ทัน | จะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายราชทูตกับชขายนายสำเภา | เห็นเสียเค้าไม่ได้สมอารมณ์หมาย | ||
| จึ่งปฤกษาตามใจทั้งไพร่นาย | ว่าจะถวายสินพนันกันนินทา | ||
| ทูลว่าล้านมาด้วยป่วยเปนไข้ | ทูลลาไปไหนจะมีครหา | ||
| เห็นพร้อมกันพลยันนำเครื่องบรรณา | เข้าเฝ้าถวายจอมนรานรินทร | ||
| กราบทูลว่าคู่พนันนั้นเปนไข้ | ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน | ||
| ขอถวายสินพนันพระภูธร | จะลากลับยังนครนามธานี ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ทรงฟังทูลเห็นประหลาดชั้นเชิงหนี | ||
| ทรงปราไสตามได้มีไมตรี | ทูตก็ลาพระจรลีลงนาวา | ||
| ให้ใช้ไปไปถึงพระบุรี | กราบทูลแจ้งคดีจอมนาถา | ||
| ให้ทราบใต้ลอองบาทลาดหนีมา | เหลือปัญญาที่จะชนพ้นกำลัง ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองธานี | ทรงฟังทูตทูลว่าหนีให้แค้นคั่ง | ||
| ปรารภจะสู้มิได้หลีอีกสักครั้ง | พระไทยตั้งหมายมาดไม่ขาดวัน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเชียงญาณอยู่บ้านไร่ | ข่าวฦาไปว่าเชียงเมี่ยงปัญญาขยัน | ||
| คิดหมายลองปรีชาจะสู้กัน | ฤาว่ามันแหลมฉลาดจะลองดู | ||
| ตดใส่ปล้องไม้ไผ่แล้วอุดอัด | ออกจากบ้านลอดลัดมาหมายสู้ | ||
| ได้แปดวันดั้นป่ามาสืบดู | แต่ไม่รู้ว่าเชียงเมี่ยงนั้นคนใด | ||
| ครั้นเดินมาก็พบกับเชียงเมี่ยง | ถามชื่อเสียงโดยตัวว่าอยู่ไหน | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงถามว่าจะทำไม | มีธุระสิ่งใดถามหามัน | ||
| เชียงญาณพาซื่อไม่รู้จัก | หมายว่าคนอื่นซักไม่บิดผัน | ||
| จึงบอกว่าจะทดลงของสำคัญ | เชียงเมี่ยงจะรู้ทันฤางมงาย | ||
| ข้าตดใส่ปล้องไม้จะให้ดม | ถ้าดีจะสมาคมเปนสหาย | ||
| เชียงเมี่ยงว่าเจ้าอัดลมระบาย | มากี่วันกลิ่นจะคลายฤายังมี | ||
| จงเปิดดมดูก่อนถ้าหย่อนกลิ่น | จวนจะสิ้นจะได้เติมให้เต็มที่ | ||
| เชียงญาณฟังเห็นชอบว่าพูดดี | เปิดดมว่ายังมีกลิ่นมากนัก | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นว่างมต้องดมตด | ว่าเองชาวชขนบทไม่รู้จัก | ||
| กูและชื่อเชียงเมี่ยงซึ่งถามทัก | เองประจักษ์แล้วฤาไม่ไอ้โง่เคอะ | ||
| มึงหมายมาว่าจะให้กูดมตด | มึงดมเองให้หมดกลับไปเถอะ | ||
| กูชาวในลวงไม่ได้แล้วไอ้เซอะ | อ้ายบ้านนอกโล่เบอะน่าถองซ้ำ | ||
| เชียงญาณครั้นรู้ว่าเชียงเมี่ยง | ไม่โต้เถียงวาจาก้มหน้าคว่ำ | ||
| นึกน้อยใจเจ็บอกเหมือนฟกช้ำ | กลับไปบ้านจิตรระกำคลุมหัวนอน | ||
| คิดคิดก็ยิ่งแค้นแสนอดสู | มาเสียรู้เชียงเมี่ยงให้ถอดถอน | ||
| ถ้าแก้แค้นไม่ได้ ไม่อยู่นคร | จะเที่ยวซุกซอนนิ่งนอนตาย ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงระผู้ผ่านทวาลี | ประชวรโรคมากทวีมิใคร่หาย | ||
| พระอาการพานมากลำบากกาย | แทบจะวายชีวาพิราไลย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระอรรคเทพีศรีสมร | เธออาวรณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
| สงสาองค์ภัศดาโศกาไลย | จึ่งสั่งให้โหรดูชาตาดวง | ||
| โหรก็ลงเลขคำนวณทวนสอบไล่ | แจ้งใจว่าพระเคราะห์นั้นใหญ่หลวง | ||
| พระชาตาก็ยังดีมีในดวง | แต่เข้าห่วงรุมเห็นไม่เปนไร | ||
| จึ่งทูลสนองเสาวนีเทพีราช | พระชัณษาไม่ถึงฆาฏแต่โรคใหญ่ | ||
| ด้วยราหูสู่ราษีจึ่งมีไภย | เสวยอายุแต่ใกล้จะออกจร | ||
| ยังไม่ถึงอับจนพระชนมาน | เกล้าหม่อมฉานสอบดูตามครูสอน | ||
| โหรสี่นายพร้อมถวายพยากรณ์ | ให้บังอรปิ่นสุรางค์ส่างโศกา | ||
| ฝ่ายเชียงเมี่งหมอบอยู่กับโหรเฒ่า | ว่าข้าพเจ้าจะสอบพระชัณษา | ||
| ทำลงเลขคุณหารตามตำรา | ทูลแก่อรรคชายาจอมนารี | ||
| ว่าอันองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว | ค้นดูทั่วในตำราว่ายืนที่ | ||
| คงสู่สวรรค์ในเจ็ดวันเจ็ดราตรี | พระภูมีไม่ตลอดเจ็ดวันไป ฯ | ||
| ๏ จอมอนงค์องค์มิ่งมเหษี | ฟังวาทีเชียงเมี่ยงไม่สงไสย | ||
| สำคัญว่าพระองค์ผู้ทรงไชย | จะสวรรคาไลยในเจ็ดวัน | ||
| ทรงกรรแสงคร่ำครวญรัญจวนจิตร ์ | ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์เจ้าไอสวรรย | ||
| ดำรัสสั่งชาวคลังสิ้นทั้งนั้น | จ่ายเงินทองแพรพรรณออกแจกทาน | ||
| แก่ยาจกวรรณิพกคนชรา | จัดเอมโอชโภชนากระยาหาร | ||
| เลี้ยงพระสงฆ์ทรงศีลทุกวันวาร | ประกอบการกุศลกิจเปนนิจรัน | ||
| เจ็ดทิวาล่วงไปไม่สวรรคต | พระทรงยศคลายพระโรคเกษมสันต์ | ||
| หายประชวรออกขุนนางได้ทุกวัน | พระทรงธรรม์ตรัสถามเชียงเมี่ยงดู | ||
| เองทายไว้ว่าจะตายในเจ็ดวัน | ก็เกินแล้วไฉนนั่นกูยังอยู่ | ||
| ฤาเองชังแช่งเล่นเปนสัตรู | ที่ไม่ดีเอามาดูจะให้ตาย | ||
| เชียงเมี่ยงได้ฟังพระโองการ | บังคมทูลภูบาลขยับขยาย | ||
| ว่าสารพัดสัตว์สิงทั้งหญิงชาย | ที่จะตายพ้นเจ็ดวันนั้นไม่มี | ||
| นับแต่อาทิตย์นั้นถึงวันเสาร์ | แม้นพระเจ้าจอมมุนินทร์ชินศรี | ||
| ก็นิพานในเจ็ดวันเจ็ดราตรี | ทั้งปัถพีไม่พ้นตายในเจ็ดวัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน | ฟังเชียงเมี่ยงว่าขานเห็นคมสัน | ||
| คลายโกรธาด้วยว่าจริงอย่างนั้น | ไม่แปรผันผิดคำเชียงเมี่ยงเลย | ||
| มันแก้ไขไวว่องไม่ข้องขัด | ช่างสันทัดจัดเจนจริงเจียวเหวย | ||
| แต่มิได้ออกพระโอษฐโปรดภิเปรย | ทรงชมเชยในพระไทยไม่ตรัสดัง ฯ | ||
| ๏ จะกลับกล่าวกระษัตราเมืองธานี | แต่เสียทีพนันคนให้แค้นคั่ง | ||
| ทรงดำริห์จะแก้ไขใหม่สักครั้ง | ทั้งเดินนั่งไสยาศน์ไม่ขาดคิด | ||
| ดำริห์ว่าจะพนันสิ่งใดดี | นำบุรีมาขึ้นได้สมใจจิตร | ||
| อย่าเลยนะจะนิมนต์บรรพชิต | ซึ่งสถิตย์ในยศถาราชาคณะ | ||
| ที่รู้ธรรมคัมภีร์บาฬีอรรถ | เจนจัดแจ้งประจักษ์ในอักขระ | ||
| ชำนาญไล่ถามช้ำข้อธัมมะ | เอาชนะกันที่จนพ้นปัญญา | ||
| ทรงดำริห์แล้วมิทันนาน | เสด็จออกมีโองการสั่งให้หา | ||
| สังฆ์การีธรรมการคลานเข้ามา | จึ่งมีพระบัญชาให้เผดียง | ||
| พระราชาคณะผู้รอบรู้อรรถ | ที่สันทัดเล่าฦามีชื่อเสียง | ||
| จะให้ไปถามปัณหาท่าไล่เลียง | โต้เถียงกันกับปราชญทวาลี | ||
| พระผู้เปนเจ้าองค์ใดจะอาสา | ให้เข้ามาจะได้บอกให้ถ้วนถี่ | ||
| อย่าให้แพ้แก้สู้กู้บุรี | สังฆ์การีธรรมการก็รีบไป | ||
| เผดียงถามตามโองการบรรหารสั่ง | ทั่วทั้งธานีบุรีใหญ่ | ||
| ในกรุงนั่นสังฆ์การีมีหมายไป | นอกกรุงให้ธรรมการส่งสารตรา | ||
| เผดียงถามตามพระสงฆ์ดำรงยศ | ทั่วทั้งหมดน้อยใหญ่ให้ปฤษา | ||
| ท่านผู้ทรงบันดาศักดิ์ทุกวัดวา | พระราชาคณะมีสามองค์ | ||
| พระญาณกิจทั้งพระประสิทธิไตรย | พระวิไนยนายกเปนจอมสงฆ์ | ||
| สังฆ์การีพามาเฝ้าทั้งสามองค์ | ทูลให้ทรงทราบว่าอาสาไป ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | แสนประสาทดสมนัศตรัสปราไส | ||
| ว่าเจ้าคุณกู้บุรีให้มีไชย | โยมจะได้เกียรติยศปรากฎมี | ||
| พระราชทานบาตรไตรบริขาร | เครื่องสักการสารพัดจัดตามที่ | ||
| ให้อาลักษณ์แต่งสารเปนไมตรี | บรรณาการของดีดีให้จัดไป | ||
| พระดำรัสให้ร่างราชสาร | อาลักษณ์จานจารึกงามผ่องใส | ||
| ลงสุวรรณบัตรแผ่แผ่นอุไร | มอบราชทูตไปลงนาวา | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ผู้ทรงยศ | ก็มาหมดลงสำเภาทอดที่ท่า | ||
| ได้ฤกษ์ให้ใช้ใบออกเภตรา | แล่นมาในท้องสมุทจนสุดแดน | ||
| สำเภาทั้งห้าร้อยแล่นลอยล่อง | ฝ่าฟองชาคลื่นกว่าหมื่นแสน | ||
| ได้ลมดีในนทีไม่ขาดแคลน | มาตามแผนที่ต้นหนดลบุรี | ||
| ถึงด่านปากน้ำอ่าวบอกข่าวแจ้ง | เหมือนคราวก่อนที่แถลงเมื่องครั้งหนึ่ง | ||
| ขุนนางในกรมท่าทราบคดี | กราบทูลว่าทูตธานีกลับเข้ามา | ||
| ข่าวว่ามีราชสารการพนัน | ขอพระองค์ทรงธรรม์จอมนาถา | ||
| จงทราบใต้ฝ่าธุลีในกิจจา | ควรมิควรพระบาทาปกเกล้าบัง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ทรงฟังทูลว่าทูตมาให้แค้นคั่ง | ||
| เจ้าเซ้าซี้ของพนันกันอีกครั้ง | เนื้อความยังไม่รู้เรื่องเมืองธานี | ||
| จึ่งสั่งเจ้าพนักงานจัดการรับ | ให้เสร็จสรรพเชิญราชสารศรี | ||
| ตามธรรมเนียมเตรียมรับทูตธานี | เรือกระบี่เรือเห่แลหลามชล | ||
| ถึงท่าวังตั้งแห่งราชสาร | ทูตเชิญพานทองพระราชอนุสนธิ์ | ||
| ถึงพระโรงเข้าเฝ้าเจ้าจุมพล | ถวายบังคมสิ้นทุกคนฟังโองการ | ||
| กรมท่าทูลเบิกทูกทั้งหลาย | พวกทูตก็ถวายราชสาร | ||
| ทรงรับมอบพระอาลักษณ์พนักงาน | ให้คลี่อ่านสารศรีที่มีมา | ||
| ในลักษณพระราชสาร | ของภูบาลธานีมียศถา | ||
| ขอเจริญไม่ตรีพระพี่ยา | ยังภาราทวาลีบุรีรัตน์ | ||
| ด้วยได้ข่าวเาฦาระบือเลื่อง | ว่าในเมืองมีปราชญ์รู้เจนจัด | ||
| จึ่งให้ราชาคณะทั้งสามวัด | มาถามอรรถบาฬีคัมภีร์ธรรม | ||
| พระเชษฐาถ้าได้ไชยชำนะ | ขอคารวะขึ้นบุรีอุปถัมภ์ | ||
| ถวายหิรัญมาลาบาบุบผาคำ | ไม่เกินก้ำจะเปนข้ากว่าวายปราณ | ||
| ถ้าปราชญ์เมืองธานีนี้ชำนะ | จงสละนิวาศราชฐาน | ||
| มาขึ้นเมืองธานีตามบุราณ | มอบสักการรัชฎามาลาทอง | ||
| แผ่เขตขัณฑ์ธานีบุรีราช | ให้อำนาจสิทธิการงานทั้งผอง | ||
| เปนพื้นเดียวเนื่องแดนดังแผ่นทอง | จะได้ครองบุรีรัตน์กำจัดไภย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงภพฟังจบสาร | ปฏิสัณฐารสามนัดตรัสปราไส | ||
| ตามธรรมเนียมทูตาอันมาไกล | ดำรัสให้รออยู่พักสักสามวัน | ||
| จะแต่งที่พระกระวี่ถามปัณหา | ให้งามตาเปนเกียรติยศใหญ่มหันต์ | ||
| แต่นักปราชญ์ผู้ฉลาดรอบรู้ธรรม์ | จะจัดสรรมาถามสู้ดุสักครั้ง | ||
| ราชทูตก็คำนับรับโองการ | ถวายบังคมภูบาลคลานถอยหลัง | ||
| มาข้างนอกออกไปจากในวัง | ก็มายังท่าจอดทอดนาวา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร | ให้อาดูรทรงโทมนัศา | ||
| ว่าเหลือปัญญาจะสู้กู้บูรี | ไม่รู้ที่วิสัชนาปัญญาสูญ | ||
| ให้อ้นอั้นตันใจได้อนุกูล | ช่วยกราบทูลแก้ไขอย่าให้เคือง | ||
| ว่ากระษัตริย์ธานีนี้พาลา | รบพันนครานี้ร่ำไป | ||
| จึ่งดำรัสสั่งเจ้าพนักงาน | สังฆ์การีธรรมการหมอบไสว | ||
| ให้ทำหมายรายแจกทุกวัดไป | ราชาคณะองค์ใดจะรับพนัน | ||
| แปลอักขรกับพระเมืองธานี | กู้บุรีคุ้มประเทศทั่วเขตรขัณฑ์ | ||
| ถามบรรดาที่ชำนาญการอรรถธรรม์ | กูนัดไว้สามวันแก่ทูตมา | ||
| ในกรุงให้สังฆ์การีเผดียงถาม | ทุกอารามพระสงฆ์ทรงยศถา | ||
| นอกกรุงให้ธรรมการแจ้งกิจจา | เที่ยวปฤกษาเผดียงถามความพนัน | ||
| สังฆ์การีธรรมการคลานออกมา | ถามพระราชาคณะขมีขมัน | ||
| แต่รู้บาฬีคัมภีร์ธรรม์ | ในสามวันบอกเข้ามาอย่าช้าการ | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาราชาคณะ | แจ้งในพระประสงค์เจ้าจอมสถาน | ||
| ต่างก็กลัวปราไชยใจรำคาญ | บอกสังฆ์การีธรรมการให้กราบทูล | ||
| สังฆ์การีธรรมการทราบสารเสร็จ | ทูลว่าพระขามเข็ดแต่ทราบเรื่อง | ||
| ไม่มีใครเป็นคู่สู้แขกเมือง | พูดปลดเปลื้องออกตัวกลัวเต็มที ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร | ฟังทูลให้อาวรณ์เศร้าหมองศรี | ||
| เสียพระไทยเกรงจะแพ้ทูตธานี | จะได้ใครกู้บุรีให้ชนะ | ||
| จึ่งดำรัสปฤกษากับเชียงเมี่ยง | เองจะเถียงถามธรรมได้ไหมหวะ | ||
| เชียงเมี่ยงก้มเกษาคารวะ | ทูลว่าเกล้ากระหม่อมจะอาสาไป | ||
| ถามปัญหาในคัมภีร์ยาฬีอรรถ | สู้สักนัดมิได้หนีคัมภีร์ไหน | ||
| ลาบรรพชาจึ่งมีไชย | แม้นโปรดให้บวชเปนสงฆ์คงได้การ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงเวียง | ฟังเชียงเมี่ยงปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
| ก็โปรดให้บรรพชาไม่ช้านาน | บริขารไตรแพรแห่แหนไป | ||
| ให้เชียงเมี่ยงอาบน้ำด้วยขันทอง | พิณพาทย์แตรสังข์ฆ้องประโคมให้ | ||
| ประทานชื่อว่าพระศรีธนญไชย | ให้ถามไต่ธรรมขันธ์พนันเมือง | ||
| ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชย | ได้ยศศักดิ์ยิ่งใหญ่ชื่อฦาเลื่อง | ||
| เสมอเดชาคณะเดชะประเทือง | รับพนันแขกเมืองทูตธานี | ||
| จึ่งให้แต่งอาศนไว้หกสถาน | สูงตระหง่านเท่ากันเปนศักดิ์ศรี | ||
| ดาดเพดานห้อยบุบผาพวงมาลี | มีมุลี่ม่านบังตั้งเครื่องยศ | ||
| ถึงวันนัดให้นิมนต์ราชาคณะ | ทั้งสามองค์ที่จะไต่ถามบท | ||
| ข้อธรรมปัณหามาลองทด | ครั้นมาหมดให้นั่งอาศน์ปูลาดไว้ | ||
| ขึ้นที่สูงสามแห่งแต่งไว้ท่า | จึ่งสนทนาพูดพลางทางปราไส | ||
| ถามบ้านเมื่องเรื่องอื่นพอชื่นใจ | แกล้งหน่วงให้ชักช้าเวลาเปลือง | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์เห็นนานนัก | แต่ถามซักกันไปไมได้เรื่อง | ||
| เห็นที่ว่าสามแห่งแต่งรุ่งเรือง | มีทั้งเครื่องยศประดับรับเถรา | ||
| ก็เข้าใจว่าที่ท่านจะมาถาม | เห็นเนิ่นนานในความแก้ปฤษณา | ||
| จึ่งเตือนว่าสักเมื่อไรท่านจะมา | จวนเวลาบ่ายเย็นไม่เห็นเลย | ||
| ฝ่ายพระศรีธนญไชยไวปัญญา | ว่าจะมาเดี๋ยวนี้ไม่เชือนเฉย | ||
| พระผู้เปนเจ้าเจนอรรถสันทัดเคย | ทั้งสามองค์จะเฉลยบทบาฬี | ||
| ท่านรู้ธรรมคัมภีร์ฦกซึ้ง | ไม่มีคู่เทียมถึงทั้งกรุงศรี | ||
| ข้าพเจ้าเปนแต่เชานอกบุรี | เข้ามาเรียนคัมภีร์ศึกษาธรรม | ||
| พึ่งบวชใหม่อายุได้ยี่สิบห้า | มาศึกษาเปนศิษย์คิดเรียนร่ำ | ||
| ปัญญาเขลารู้น้อยในถ้อยคำ | ท่านทั้งสามแม่นยำยิ่งเกรียงไกร | ||
| ขอนิมนต์สนทนากันเล่นก่อน | พึ่งฝึกสอนจักถามตามสงไสย | ||
| พุทธบิดาและไอยกาไซ้ | นามอย่างไรบิตุรงค์องค์ไอยกา | ||
| อีกทั้งต้นวงษ์พงษ์ศักราช | ลำดับถึงจอมปราชญ์นารถนาถา | ||
| พระนครที่สถิตย์กระษัตรา | นามภาราชื่อใดจงไขความ | ||
| ราชาคณะสามองค์ฟังปุจฉา | วิสัชนาได้แต่กษัตริย์สาม | ||
| ตั้งแต่พุทธบิดาแสดงนาม | สิ้นทั้งสามถึงภูมินทร์นรินทรา | ||
| ซึ่งเปนชนกแห่งไอยกานารถ | ต่อขึ้นไปไม่อาจแก้ปัณหา | ||
| บอกว่าจำไม่ได้สิ้นปัญญา | ก็นิ่งจนวาจาอยู่เพียงนั้น | ||
| ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชย | เห็นว่าไม่ไหวดูอัดอั้น | ||
| จึ่งว่าผู้เปนเจ้ามาติดตัน | ถามกันยังค้างข้อไม่ต่อไป | ||
| นี่แต่ศิษย์รู้น้อยพลอยมาถาม | ยังแก้ไม่สิ้นความที่สงไสย | ||
| ถ้าพระครูสามองค์อันทรงไตร | ท่านถามมาแก้ไม่ได้จะอับอาย | ||
| จะนิ่งไม่พริบตาอ้าปากค้าง | แมลงวันหยอดไข่ขางไว้มากหลาย | ||
| ไม่รู้ตนจนในปัณหาทาย | ขอจงได้อธิบายบาฬีมา | ||
| ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ราชาคณะ | ไม่อาจจะแก้ได้ในปัณหา | ||
| ได้อายแก่ข้าเฝ้าเหล่าเสนา | ทั้งพระองค์ปิ่นประชาทวาลี | ||
| ปราไชยในสนามทั้งสามองค์ | ก็เลื่อนลงจากอาศน์มณีศรี | ||
| ทูตถวายสินพนันอัญชลี | ขอมาขึ้นบุรีตามสัญญา | ||
| ถวายทั้งนาวาสิ้นห้าร้อย | ให้เคลื่อนคล้อยสำเภาเข้าสู่ท่า | ||
| ราชาคณะก็ถวายพระพรลา | ทูตไปทูลกิจจาเจ้านายตน ฯ | ||
| ๏ ชนทั้งหลายชมพระศรีธนญไชย | ว่าว่องไวเจนจัดไม่ขัดสน | ||
| กู้บุรีมีไชยไม่อับจน | พระจุมพลตรัสให้อวยไชยพร ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระศรีธนญไชยได้ชำนะ | สึกจากพระมาอยู่เหมือนแต่ก่อน | ||
| เปนข้าเฝ้าจอมนรินทร์บดินทร | คู่นครเพิ่มโพธิสมภาร ฯ | ||
| ๏ ครั้นล่วงกาลนานมามีข้าศึก | ทำโห่ฮึกยกมายั้งตั้งอยู่ด่าน | ||
| ได้ทีจะเข้าตีป้อมปราการ | ชิงกราชฐานนคราทวาลี | ||
| ชาวด่านทำใบบอกแจ้งราชการ | ให้กราบทูลภูบาลในกรุงศรี | ||
| ขุนนางในตำแหน่งแจ้งคดี | เข้าเฝ้าพระภูมีทูลกิจจา ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ฟังอำมาตย์อ่านบอกในเลขา | ||
| ว่าข้าศึกยกพลพหลมา | จะตีพระภาราทวาลี | ||
| จึ่งสั่งให้เตรียมทัพไว้สรรพเสร็จ | ตีสิบเอ็ดจะเสด็จจากกรุงศรี | ||
| อำมาตย์รับพระบัญชาเจ้าธานี | จัดพวกพลโยธีคอยฤกษ์ไชย | ||
| รับสั่งให้ธนญไชยตามเสด็จ | ธนญไชยรับโองการมาบ้านตน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกษประชา | ไม่เห็นธนญไชยมาก็ยกพหล | ||
| ให้ทันฤกษ์ยามดีกรีธาพล | ทรงช้างต้นมีกำลังมาตังคพงษ์ | ||
| หกสิบปีจึ่งหย่อนอ่อนนำลัง | สีคล้ายครั่งล่ำสันสูงรหง | ||
| ทั้งห้าวหาญฝึกชำนาญการณรงค์ | ควรคู่จักรพรรดิทรงนำกองทัพ | ||
| เรียกมันชันหูดูข้าศึก | โกญจนาทก้องกึกไม่ถอยกลับ | ||
| แต่ช้างเดียวอาจฝ่าโยธาทัพ | ตะลุยไล่ให้ยับสักหมื่นพัน | ||
| ประดับชาภรณ์เรื่องแลเครื่องมั่น | ล้วนสุวรรณเนาวรัตน์เลือกจัดสรร | ||
| ห้อยภู่จามรีทั้งสองกรรณ | งามดังเอราวรรณอมรินทร์ | ||
| เหล่าช้างดั้งช้างกันเปนอันดับ | ก็แข่งขับเคียงคู่ธนูศิลป์ | ||
| พลม้าควบขนานสท้านดิน ส | เทื้อนด้าวดังจะภินท์พสุธา | ||
| เหล่าโยธีมีแรงกำแหงเหี้ยม | ล้ำสั่นเทียมยักษ์มารล้วนหาญกล้า | ||
| เลือกตัวดีมีฝีมือถือสาสตรา | สองหัตถาแกว่งดาบปลายเปนเงา | ||
| เหล็กถลุงปรุงยาตำราอ้าง | อุส่าห์กรางคลุกน้ำตาลปนกับเข้า | ||
| ให้นกกินจนสิ้นที่กรางเอา | มูลกนกกะเรียนใส่เบ้าสูบหลายไฟ | ||
| จึ่งชุบแช่แร่พลวงล่วงขวบมา | ผสมยาว่านต่างต่างแลหางไหล | ||
| แล้วหลอมหุงปรุงกับเหล็กพระขรรค์ไชย | มาตีได้เปนอาวุธสุดจะคม | ||
| ทหารทวนล้วนสกรรจ์มั่นตั้นเติบ | ใจกำเริบรบรับล้วนทับถม | ||
| อาบว่านปรุงยาทั้งอาคม | ปากก็อมเหล็กไหลได้อยู่คง | ||
| ทหารปืนกว่าหมื่นชำนาญหัตถ์ | ทั้งยิงยัดคล่องไวดังใจประสงค์ | ||
| มีเลขยันต์กันศึกนึกทนง | การณรงค์เคยมีไชยไม่เกรงกลัว | ||
| ทหารดั้งเสโลห์ทั้งโตมร | ธนูศรแม่นดีมิใช่ชั่ว | ||
| หมายจะพุ่งยิงใครไม่ผิดตัว | ข้าศึกเห็นสั่นหัวระอามือ | ||
| พลรถเทียมสินธล้วนต่างสี | สารถีขึ้นขับม้าง่าแส้ถือ | ||
| มีนายรถกุมหอกซัดถนัดมือ | ล้วนตัวฦาเรี่ยวแรงกำแหงทยาน | ||
| เหล่าจตุรงค์สี่หมู่พรั่งพรูพร้อม | แห่แวดล้อมจอมนรินทร์ปิ่นสถาน | ||
| ถึงที่พักจักประทับคชาธาร | มีโองการให้หยุดพลนิกาย | ||
| ทรงคอยศรีธนญไชยมิได้มา | จนเวลาสุริฉันตวันบ่าย | ||
| ให้หยุดช้างพระที่นั่งพอยั้งสบาย | โยธารายล้อมวงองค์ขัติยา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายศรีธนญไชยกลับไปบ้าน | จึงคิดอ่านจับไก่ไว้นักหนา | ||
| ใส่กรงขังสมดังจิตรจึ่งนิทรา | ตื่นขึ้นกินโภชนาสบายใจ | ||
| แล้วเที่ยวเล่นกับเพื่อนเชือนแชเฉย | จนล่วงเลยเวลาหามาไม่ | ||
| กลับไปบ้านนอนกลางวันไม่พรั่นใจ | ตื่นขึ้นบ่ายแวให้ผูกช้างพลัน | ||
| เอาไก่ผูกท้ายช้างกับสัปคับ | เสบียงอาหารเสร็จสรรพขนเลือกสรร | ||
| หีบผ้ากาน้ำของสำคัญ | ขึ้นช้างไสไปให้ทันทัพหลวงจร | ||
| รีบขับช้างย่างยาวก้าวเหยียดเหยาะ | หวังจำเภาะทัพใหญ่ไม่หยุดหย่อน | ||
| พอบ่ายเย็นเห็นพหลพลนิกร | พักร้อนล้อมพลับพลาพนาวัน | ||
| รีบให้ถึงคชาเข้ามาเฝ้า | ถวายบังคมก้มเกล้าขมีขมัน | ||
| ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองขุ่นเคืองครัน | ตรัสว่าเฮ้ยอย่งไรนั่นจึงช้านาน | ||
| สั่งให้มาก่อนไก่ทำไมอยู่ | ให้ตัวกูคอยจนบ่ายสุริยฉาน | ||
| ไม่ทำตามคำว่าต้องท่านาน | จงให้การมาอย่าช้าว่ากระไร | ||
| ธนญไชยได้ฟังรับสั่งถาม | จึงทูลความว่าหม่อมฉานมาก่อนไก่ | ||
| ผูกไว้ที่ท้ายช้างร้องอึกไป | ขึ้นนั่งได้ก่อนไก่แล้วจึงมา | ||
| มิได้ทำล่วงเกินพระโองการ | ควรมิควรขอปรทานซึ่งโทษา | ||
| เปนช้างเดียวเปลี่ยวใจจึงได้ช้า | พระอาญาล้นเกล้าด้วยเบาความ ฯ | ||
| ๏ ครานั้นธิบดินทร์นรินทร์ราช | ฟังทูลว่าเห็นฉลาดไม่เข็ดขาม | ||
| จะให้ฆ่าเสียก็ได้ไม่ทำตาม | ทรงตรองความเห็นจริงแล้วนิ่งไว้ | ||
| จึงดำรัสการรบกับเสนา | ตามมหาพิไชยสงครามใหญ่ | ||
| จงตั้งจิตรรบตีให้มีไชย | ทั้งนายไพร่อย่าย่อท้อต่อสงคราม | ||
| แล้วยกพลล่งไปใกล้วถึงด่าน | พวกข้าศึกไม่ต่อต้านกลัวเข็ดขาม | ||
| เห็นรี้พลคร้นครึกให้นึกคร้าม | ดูล้นหลามแน่นป่าไม่กล้ารบ | ||
| กำลังพลตนน้อยก็ถอยล่า | ยกโยธารีบลี้เลี่ยงหนีหลบ | ||
| แพ้พ่ายไปแต่ไกลไม่ทันรบ | พระจอมภพนคราทวาลี | ||
| เห็นข้าศึกสัตรูหมู่คิดร้าย | แตกกระจัดกระจายกระเจิงหนี | ||
| ก็ยกทัพกลับคืนเข้าบุรี | ทรงคอยที่จะเอาผิดธนญไชย ฯ | ||
| ๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรภพทวาลี | เสด็จประพาศสวนศรีอุทยานใหญ่ | ||
| ชมพฤกษาดอกผลที่ปลูกไว้ | สำราญพระไทยรื่นเริงบรรเทิงครัน | ||
| ทอดพระเนตรผลพริสุกแดงฉาน | เต็มทั้งต้นภูบาลเกษมสันต์ | ||
| ดำริห์ไว้ในพระไทยให้ผูกพัน | จะเสวยพริกนนั้นสักเวลา | ||
| เสด็จกลับยังพระราชวังสถาน | นฤบาลดำรัสตรัสให้หา | ||
| ธนญไชยตัวดีมีปัญญา | รับสั่งว่าไปเก็บพริกมาไวไว | ||
| กูจะกินกับอาหารเวลานี้ | รีบไปที่สวนอย่าช้าเก็บมาให้ | ||
| ธนญไชยรับโองการคลานออกไป | ถึงอุทยานหมายใจจะเก็บพริก | ||
| เห็นสุกแดงเต็มต้นไม่หล่นร่วง | ครั้นจะล่วงเกินเข้าเก็บด้วยเล็บหยิก | ||
| ไม่รับสั่งให้เด็ดให้เก็บพริก | ลมไม่พัดให้ระดิกกระเด็นเลย | ||
| จะเด็ดเอาที่บนต้นก็เกินรับสั่ง | ครั้นจะนั่งคอยดูอยู่เฉยเฉย | ||
| ก็ป่วยการจำจะผิวปากตามเคย | ให้พระพายพัดรำเพยพยุมา | ||
| คิดแล้วจึ่งเข้านอนอยู่ใต้ต้น | คอยท่าให้พริกหล่นตามปรารถนา | ||
| ฝ่ายพระองค์พงษ์กระษัตริย์ขัติยา | คอยธนญไชยเห็นช้าเนินนานนัก | ||
| จึงตรัสใช้มหาดเล็กไปตามดู | อย่างไรอยู่ถามไถ่ให้ประจักษ์ | ||
| เก็บพริกที่สวนควรฤาอยู่ช้านัก | เที่ยวเชือนชักกาลให้เนินเกินเวลา | ||
| มหาดเล็กได้รับสั่งมายังสวน | เที่ยวทบทวนเสาะแสดงทุกแห่งหา | ||
| ได้ยินเสียงผิวปากใกล้าพลับพลา | ก็ตามไปไม่ช้าได้พบตัว | ||
| เห็นนอนอยู่ใต้ต้นพริกกะดิกนิ้ว | กำลังผิวปากจึ่งเตือนว่าเจ้าอยู่หัว | ||
| สั่งให้เก็บพริกมานอนซุกซ่อนตัว | เหมือนไม่กลัวรับสั่งใช้ให้มาดู | ||
| ธนญไชยตอบว่ามีโองการ | ให้เก็บพริกในอุทยานก็จริงอยู่ | ||
| แต่ผลพริกมิได้หล่นก็คอยดู | จะเด็ดบนต้นเปนสู่รู้ล่วงเกินไป | ||
| จะนั่งคอยพริกหล่นก็ป่วยการ | จึ่งคิดอ่านเรียกชมพยุใหญ่ | ||
| ให้พัดผลพริกหล่นเหมือนอย่างใจ | จะเก็บไปถวายองค์พระทรงธรรม | ||
| แม้นกริ้วกราดว่ามาช้าก็ควรการ | ด้วยทรงคอยอยู่นานจึ่งหุนหัน | ||
| ถ้าจะเด็ดพริผลบนต้นนั้น | สักสามหนก็จะทันไม่เนิ่นนาน | ||
| นายจงไปกราบทูลตามมูลเหตุ | ให้ทรงเดชทราบตามที่คิดอ่าน | ||
| มหาดเล็กมาสนองพระโองการ | ตามธนญไชยว่าขานให้กราบทูล ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง | ที่แค้นคั่งค่อยคลายกริ้วหายสูญ | ||
| ทรงเห็นจริงด้วยได้สั่งตามเหตุมูล | ที่อาดูรเดือดดาลสำราญไป ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าธนญไชยไม่ได้พริก | ด้วยทำพลิกแพลงให้ควรสำนวนใหญ่ | ||
| เห็นนานช้ากลับมาเฝ้าพระทรงไชย | ทูลตามเหตุที่ไม่ได้จนสิ้นความ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนครเรศประเทศสถาน | ฟังธนญไชยทูลสารไม่เข็ดขาม | ||
| ทรงดำริห์ว่าอ้ายนี่มิใช่ทราม | จะไล่ถามสักกี่หนไม่จนเลย | ||
| จึ่งดำรัสถาว่าปัญญนั้น | เองขังคั่นไว้ในท้องคอยตรองเฉลย | ||
| ฤามีตัวปรากฎไม่หมดเลย | จงเปิดเผยลอกมาอย่างอำพราง | ||
| ธนญไชยทูลว่าปัญญาหม่อมฉัน | ในท้องนั้นไม่สู้มากก็มีบ้าง | ||
| มีตัวข้างนอกเลี้ยงไว้มิได้พราง | ใส่ปล้องไม้หม่อมแนวางไว้ในเรือน | ||
| เพราะเปนตัวบินได้ต้องใส่กระบอก | แม้นปล่อยออกก็จะหนีด้วยมีเพื่อน | ||
| จึ่งขังใส่ปล้องไม้มิให้เชือน | ต้องเลี้ยงไว้ในเรือนให้มิดชิด | ||
| พระทรงฟังว่าซึ่งปัญญาได้ | ใส่ปล้องไม้ซ่อนไว้ฦกผนึกปิด | ||
| ดำรัสว่าตัวปัญญาเจ้าความคิด | ของเองมากหลายชนิดจงแบ่งปัน | ||
| กูจะแจกอีสาวสาวพวกชาวใน | มันจะได้มีปัญญามากเข้มขัน | ||
| เหมือนตัวเองไม่มีคู่รู้เทียมทัน | อย่างไรนั่นให้มิให้จงไขความ | ||
| ธนญไชยได้ฟังรับสั่งขอ | นึกหัวร่ออยู่ในใจไม่เข็ดขาม | ||
| จึงทูลว่าสิ่งนี้มิใช่ทราม | ที่พึงใจต้องห้ามหวงระวัง | ||
| แด่พระเดชพระคุณเปนที่ยิ่ง | เปนความจริงไม่อยากให้ใครสมหวัง | ||
| ต้องถวายมิไคิดจะปิดบัง | ด้วยใจตั้งพึ่งพระโพธิสมภาร | ||
| กราบทูลแล้วบังคมลามาสู่เรือน | คิดจะใคร่ปิดเงื่อนไม่แผ่ซ่าน | ||
| ได้สิ่งไรหนอถวายพระภูบาล | นึกรำคาญแล้วคิดได้ไวปัญญา | ||
| อย่าเลยนะจะถวายตัวต่อผึ้ง | คิดแล้วจึ่งเที่ยวทุกแห่งแสวงหา | ||
| เปนห้าวันได้ตัวผึ้งต่อแตนมา | ใส่กระบอกปิดฝาไว้เรือนตน ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถาน | คอยธนญไชยไม่พบพานก็ทรงบ่น | ||
| รับสั่งให้หาพระสนมมาทุกคน | ตรัสว่าปัญญาไม่จนธนญไชย | ||
| มันบอกว่ามีตัวเลี้ยงไว้มาก | อีเหล่านี้ใครอยากจะใคร่ได้ | ||
| พระสนมทูลทุกคนอยากจะได้ไว้ | ปัญญาเหมือนศรีธนญไชยจะใคร่มี | ||
| จึงตรัสว่าถ้าอยากได้ไปหามัน | ขอแบ่งสรรปัญญาอ้ายขุนศรี | ||
| พระสนมบังคมอัญชลี | ทูลลาพระภูมีออกจากวัง | ||
| ทั้งโขลนจ่าทนายเรือนกล่นเกลื่อนมา | ตำรวจวังนำน่ากำกับหลัง | ||
| มาบ้านศรีธนญไชยไม่รอรั้ง | กรมวังบอกว่ามีพระโองการ | ||
| รับสั่งใช้ให้มาขอตัวปัญญา | พระสนมมาหาจนถึงบ้าน | ||
| จงแบ่งปันตัวปัญญาอย่าช้านาน | ตามโองการพระภูมินทร์นรินทร | ||
| ๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟัง | ทำเปนนั่งเศร้าทอดฤไทยถอน | ||
| ในอุบายเหมือนเสียดายต้องทุกข์ร้อน | จึ่งตอบว่าแต่ก่อนรับสั่งมา | ||
| ให้ข้าพเจ้าเอาปัญญาไปถวาย | ความเสียดายเพราะยังรักอยู่นักหนา | ||
| บัดนี้มีพระราชบัญชา | ให้ท่านข้างในขอปัญญามาถึงเรือน | ||
| จะขืนขัดก็ไม่ได้ต้องให้ปัน | แต่คนละตัวเท่านั้นเลี้ยงเปนเพื่อน | ||
| พอมีเชื้อต่อพันธุ์ให้เต็มเรือน | ตัวเดียวเหมือนมากด้วยฬ่อต่อกันมา | ||
| ว่าแล้วหยิบกระบอกมาจากห้อง | พระสนมต่างร้องขอบ้างหนา | ||
| เข้าเบียดเสียดแซกกันขอปัญญา | ลางคนว่าอยากได้มากหลายหลากกัน | ||
| ธนญไชยว่าอยากได้ทำไมมาก | แต่คนละตัวเถอะจะภาคส่วนแบ่งสรร | ||
| พอเปนเชื้อเลี้ยงในเรือนเหมือนกัน | ข้าเจ้าจะทำพันธุ์ต่อต่อไป | ||
| ทั้งจะถวายพระองค์ดำรงราษฎร์ | ตัวฉลาดเกิดปัญญาหาพอไม่ | ||
| จึ่งให้พระสนมนางข้างฝ่ายใน | แบฝ่ามือว่าจะให้ตัวปัญญา | ||
| ฝ่ายนางในแบหัดถามาทุกคน | ขุนธนญเปิดกระบอกขึ้นต่อหน้า | ||
| ตัวผึ้งต่อแตนแล่นออกมา | ท่านข้างในต่างคว้าจะจับตัว | ||
| ตัวปัญญาสามชนิดมีพิศม์ร้าย | ก็ต่อยกายแขนหน้าบ้างต่อยหัว | ||
| ทั้งปรางถันคันเจ็บไปทั้งตัว | สัตว์ชาติชั่วเข้าร่มผ้าไม่ว่าใคร | ||
| ปะที่ไหนต่อยให้ทุกแห่งหน | พระสนมเหลือทนบ้างร้องไห้ | ||
| เสียงกราดกรีดหวีดว่าธนญไชย | แกล้งจะให้ล้มตายได้อายคน | ||
| ธนญไชยทำเปนห้ามตัวปัญญา | ทำไมต่อยท่านเล่าหวาออกปี้ป่น | ||
| อย่าทำเช่นนั้นจงหยุดอย่าซุกซน | ตัวปัญญาก็บินวนไล่ต่อยตอม | ||
| ธนญไชยว่าเพราะท่านทำให้วุ่น | มาแย่งชิงชุลมุนไม่ค่อยถนอม | ||
| ตัวปัญญาขึ้งโกรธโลดไล่ตอม | ข้าพเจ้าก็ต่อยงอมไปเหมือนกัน | ||
| โกรธขึ้นมามิได้ว่าเปนเจ้าของ | แม้นจับต้องเข้าไม่ได้ใจหุนหัน | ||
| จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ทัน | สุดจะกั้นกางได้ว่องไวนัก | ||
| พรสนมต้องต่อแตนมันต่อย | บวมผื่นยับย่อยเจ็บปวดหนัก | ||
| ต่างวิ่งหนีล้มคว่ำคะมำภักตร์ | นอกชานหักตกเรือนเรียกเพื่อนอึง | ||
| บ้างหน้าแตกแขนหวะโลหิตไหล | โดนกันเองวุ่นไปหนีต่อผึ้ง | ||
| ต่างต่างวิ่งย่างยาวก้าวตะบึง | มาจนถึงที่เฝ้าเจ้าจุมพล ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงนิเวศน์ครองเขตรขัณฑ์ | เห็นพระสนมกำนัลวิ่งสับสน | ||
| แกล้งให้ได้อับอายไม่หายเลย | มิได้เคยเจ็บกายแทบวายปราณ ฯ | ||
| กายาเหล่านารีล้วนพิกล | บวมผื่นไปทุกคนแปลกไนยนา | ||
| จึ่งรับสั่งถามว่าเปนเหตุไฉน | เออเมื่อไปแต่งกายงามสง่า | ||
| ครั้นเมื่อกลับมาบวมผิดในตา | ทั้งกายาผิดผื่นบื่นโนนอ | ||
| พระสนมทูลว่าปัญญาต่อย | มิใช่น้อยบินร่อนว่อนเปรียวปร๋อ | ||
| ตัวลายลายเหลืองเหลืองต่อยคางคอ | เหมือนผึ้งต่อแตนมีพิศม์ไม่ผิดกัน | ||
| ต่อยที่ไหนร้อนดังไฟทั้งปวดเจ็บ | ซ่านทั่วกายชาเหน็บไม่เศกสรร | ||
| เกล้าหม่อมฉานเหลือทนบ่นรำพรรณ | ไม่เคยเปนเช่นนั้นอยู่ในเวียง | ||
| กราบทูลกล่าวโทษธนญไชย | ร่ำพิไรโศกสอื้นครั้นครื้นเสียง | ||
| ว่าพระองค์ทรงเมตตาได้ชุบเลี้ยง | ไม่ลำเอียงแนทาข้าทั้งปวง | ||
| มีพระคุณล้นเกล้าเหล่าหม่อมฉัน | พระทรงธรรม์อาชญาก็ใหญ่หลวง | ||
| มิได้ทรงให้เจ็บช้ำระกำทรวง | น้ำเนตรร่วงเหมือนครั้งนี้ไม่มีเลย | ||
| ธนญไชยทำแก่เกล้าหม่อมฉาน | เหลือประมาณจะกราบทูลมูลเฉลย | ||
| ครานั้นพระองค์ดำรงโลกย์ | เห็นสาวสรรค์เศร้าโศกแซ่เสียงประสาน | ||
| ทูลกล่าวโทษธนญไชยให้เดือดดาล | พระภูบาลซักซ้ำให้คำยืน | ||
| ว่าตัวปัญญานั้นคล้ายผึ้งต่อแตนหรือ | พระสนมประนมมือไม่ฝ่าฝืน | ||
| ทูลคงคำซ้ำประดังว่ายั่งยืน | พระยิ่งตื้นตันแน่นแค้นพระไทย | ||
| ตรัสว่าจริงเหมือนอย่างว่าจะฆ่าเสีย | เลี้ยงไว้ไยเปลืองเบี้ยหวัดที่ให้ | ||
| น้อยฤานั่นอ้ายขุนศรีธนญไชย | มันทำได้ไม่เกรงกลัวหัวจะปลิว | ||
| จึ่งรับสั่งว่าให้หาตัวเข้ามา | ตำรวจรับพระบัญชาวิ่งออกฉิว | ||
| ถึงบ้านศรีธนญไชยไม่บิดพลิ้ว | พูดขึ้นนิ้วบอกสิ้นตามโองการ | ||
| ว่าบัดนี้พระสนมทูลกว่าวโทษ | ในคำโจทย์ว่าท่านทำอาจหาญ | ||
| ทำงามหน้าแล้วครั้งนี้มีโองการ | ให้หาท่านไปไวไวเข้าในวัง | ||
| ธนญไชยได้ฟังคำตำรวจว่า | ก็รีบมาเฝ้าพระบาทต่อภายหลัง | ||
| ฝ่ายพระจอมนคเรศนิเวศน์วัง | ให้แค้นคั่งมิได้ตรัสอัดอั้นเคือง | ||
| ทอดพระเนตรเห็นขุนศรีธนญไชย | ด้วยนางในทูลยกโทษอยู่หลายเรื่อง | ||
| น้อยพระไทยไม่อยากได้ไว้ในเมือง | จะใคร่ฆ่าแก้เคืองขัดฤไทย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายขุนธนญคนบิดพลิ้วเห็นกริ้วกราด | เพื่อนองอาจมิได้พรั่นไม่หวั่นไหว | ||
| จึ่งกราบทูลว่ามีรับสั่งไว้ | พระโปรดให้นำตัวปัญญามา | ||
| หม่อมฉันก็จะจับมาถวาย | ครั้นสนมทั้งหลายออกมาหา | ||
| ว่าโปรดให้มางอนง้อขอปัญญา | ครั้นเปิดไขตัวปรีชาจากปล้องไม้ | ||
| ต่างคนต่างแย่งชิงกันจะจับ | ตัวปัญญาหวนกลับมาต่อยให้ | ||
| ถึงเกล้ากระหม่อมผู้เจ้าของซึ่งเลี้ยงไว้ | ก็ต่อยยับแล้วหนีไปจนสิ้นตัว | ||
| ครั้นจะว่าก็เกรงพระอาชญา | ด้วยว่ามีบัญชาเจ้าอยู่หัว | ||
| ก็จนใจไม่ว่าขานหม่อนฉานกลัว | ควรมิควรเปนคนชั่วไม่มีดี ฯ | ||
| ฝ่ายพระองค์ทรงฟังให้คั่งแค้น | ด้วยห้ามแหนแสนสุรางค์มาป่นปี้ | ||
| ทั้งนางในกล่าวโทษยกคดี | พระผุ้ผ่านทวาลีขุ่นเคืองนัก | ||
| ถอดพระแสงทรงง่าจะฆ่าขุนศรี | แล้วกลับมีพระสติทรงหวนหัก | ||
| ความพิโรธให้หย่อนค่อยผ่อนพัก | นึกถึงคำทรงศักดิ์พระบิตุรงค์ | ||
| ได้ฝากฝังครั้งประชวรจวนล่วงลับ | ทรงกำชับไม่ให้ฆ่าตามประสงค์ | ||
| ถึงผิดพลั้งรั้งรอให้ชีพคง | ครั้นฆ่าลงบ้านเมืองจะวุ่นวาย | ||
| หนึ่งพระบรมอัฐิจะติโทษ | เกิดพิโรธร้าวรานไม่รู้หาย | ||
| ก็คืนพระแสงคงฝักจำหลักลาย | ครั้นค่อยคลายขุ่นเคืองในเรื่องความ | ||
| ก็ทรงวางพระแสงดแล้วตรัสวตวาด | เฮ้ยอ้ายชาติชั่วทำแต่หยาบหยาม | ||
| ตั้งแต่นี้อย่าเข้ามาวู่วาม | ไม่ขอดูหน้าเองจะชามมาหลอกล้อ | ||
| ไปเสียเดี๋ยวนี้อ่ารีรอ | เฮ้ยตำรวจไสคอเสียจากวัง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชย | เห็นพระองค์เคืองฤไทยยังแค้นคั่ง | ||
| กราบถวายบังคมลาไม่รอรั้ง | ในใจตั้งจะแก้แค้นพระทรงฤทธิ์ | ||
| ไม่สู้ทุกข์สู้ร้อนนอนสบาย | ตรองไม่วายจะกลบเกลื่อนที่ความผิด | ||
| แก้ให้ได้สักครั้งตั้งใจคิด | พอเจ็ดวันจอมอิศราประชา | ||
| เสด็จเลียบพระนครปทักษิณ | ธนญไชยขุดดินไว้คอยท่า | ||
| ให้เปนหลุมฝังศีศะในพสุธา | ชูแต่ก้นขึ้นมาขวางน่าขบวน | ||
| ครั้นเสด็จมาถึงประเทศนั้น | ทอดพระเนตรเห็นขันก็ทรงพระสรวล | ||
| รับสั่งว่าใครทำดูไม่ควร | ขวางขบวนชี้ก้นพิกลกาย | ||
| อำมาตย์ทูลมูลคดีว่าศรีธนญ | ฝังศีศะชูแต่ก้นขึ้นถวาย | ||
| ไม่ให้ทอดพระเนตรหน้าเปนคนร้าย | ทำอุบายซ่อนเศียรให้เมี้ยนมิด | ||
| รับสั่งไว้ว่าไม่ขอเห็นหน้า | ฝังภักตราด้วยว่าตนเปนคนผิด | ||
| ให้ทอดพระเนตรแต่กาหายหัวมิด | ถวายองค์ทรงฤทธิคิดชขอบกล ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ | ฟังอำมาตย์กราบทูลได้เหตุผล | ||
| เคืองพระไทยด้วยได้เห็นศรีธนญ | ชูแต่ก้นขึ้นถวาอายพระไทย | ||
| จึ่งรับสั่งให้กลับช้างที่นั่ง | เข้าราชวังมณเฑียรอันสุกใส | ||
| ฝ่ายว่าเจ้าขุนศรีธนญไชย | ขึ้นจากหลุมก็ไปยังบ้านต้น ฯ | ||
| ๏ ถึงเดือนหกศกใหม่เขาไถนา | ทั่วขอบเขตรภาราทุกแห่งหน | ||
| ราษฎรต่างไถไร่นาตน | ศรีธนญครั้นเห็นเขาไถนา | ||
| นึกในใจว่าการไถไร่นานี้ | ชื่อว่ากลับปัถพีทุแหล่งหล้า | ||
| ทำข้างบนกลับลงพสุธา | จอมประชาตรัสวากลับพื้นแผ่นดิน | ||
| จึ่งให้เข้าเฝ้าเบื้องยุคลบาท | แต่เราขาดเฝ้ามากว่าปีสิ้น | ||
| ครั้งนี้แลจะได้เฝ้าพระภูมินทร์ | กับแผ่นดินตามโองการบรรหารมา ฯ | ||
| ๏ คิดแล้วจึ่งเข้าเฝ้าพระบาท | จอมทวาลีราชารถนาถา | ||
| ถวายบังคมท่างามครบสามครา | หมอบตามยศถาตำแหน่งขุนนาง ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระผู้ผ่านทวาลี | เห็นขุนศรีธนญไชยให้ขัดขวาง | ||
| เคืองพระเนตรแล้วตรัสดำรัสพลาง | กูห้ามไว้อย่างไรวางวิ่งเข้ามา | ||
| ได้สั่งแล้ว่าถ้าแผ่นดินกลับ | สิ้นบังคับจึ่งเขัาในวังหนา | ||
| กูยังอยู่มิได้ผลัดกระษัตรา | เองเข้ามาว่ากะไรไม่ทำตาม ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชย | จึ่งทูลไปด้วยปัญญาไม่เข็ดขาม | ||
| ข้อซึ่งดำรัสตรัสห้ามปราม | ไม่ลวนลามล่วงเกินพระโองการ | ||
| มีรับสั่งว่าแผ่นดินกลับจึ่งมา | ก็บัดนี้พสุธาประเทศสถาน | ||
| กลับแล้วตามพระราชโองการ | กระหม่อมฉานจึ่งมาเฝ้าเจ้าจุมพล | ||
| ไม่ทรงเชื่อโปรดให้มหาดชา | เที่ยวดูนอกพาราทุกแห่งหน | ||
| จะเห็นจริงแจ้งใจในยุบล | มิได้นำเล่ห์กลมากราบทูล ฯ | ||
| ๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถาน | ฟังขุนศรีทูลสารนเรนทร์สูร | ||
| ทรงดำริห์ตริความตามเหตุมูล | จอมประยูรยังให้สงไสยนัก | ||
| จึ่งตรัสใช้มหาดเล็กที่ปรีชา | ไปเที่ยวรอบภาราให้เห็นประจักษ์ | ||
| มหาดเล็กคลานออกมาไม่หยุดพัก | เที่ยวดูให้แน่กตระหนักทั่วนคร | ||
| ครั้นไปก็ได้เห็นเขาไถนา | แล้วกลับมาทูลบพิตรอดิศร | ||
| ว่าเกล้ากระหม่อมไปได้เห็นราษฎร | เขาไถนารอบนครทวาลี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศระเทศสถาน | ฟังทูลแล้วทรงวิจารณ์คำขุนศรี | ||
| อันธรรมดาว่าการไถนานี้ | ชื่อว่ากลับปัถพีจริงของมัน | ||
| ก็ค่อยคลายหายเคืองที่เรื่องผิด | ทรงยกโทษใช้สนิทไม่เดียดฉัน | ||
| ธนญไชยได้มาเฝ้าพระทรงธรรม์ | เปนนิรันดรมาเหมือนก่อนกาล ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงกษัตราเบญจาละรา | ร้ายกาจเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
| ครองกรุงเบญจามาช้านาน | มีพลรบเชี่ยวชาญการณรงค์ | ||
| ทรงดำริห์จะใคร่ได้ทวาลี | เปนบุรีขึ้นนครโดยประสงค์ | ||
| จึงยกนิกรพลพะลาข้ามป่าดง | รถดุรงค์บทจรกุญชรไชย | ||
| มาตั้งค่ายรยรอบแดนต่อแดน | ดูหนาแน่นเทียวธงดูไสว | ||
| ฝ่ายชาวด่านแจ้งการอรินไภย | มาอยู่ใกล้ด่านแดนแน่นหนานัก | ||
| ก็ร่างคำทำหนั่งสือใมบบอกมา | ให้คนรีบแจ้งกิจจาหมู่ปรปักษ์ | ||
| มาห้าวันเร่งร้อนไม่ผ่อนพัก | แจ้งขุนนางให้ประจักษ์ข่าวดัษกร | ||
| ว่ามีทัพกรุงกระษัตริย์เธอยกมา | ตั้งริมด่านชายป่าเชิงศิงขร | ||
| ขุนนางทูลข่าวศึกพระภูธร | ตามใบบอกชาวดอนแดนต่อแดน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา | ทรงฟังบอกอักขราเห็นหนาแน่น | ||
| ว่ามีศึกกรุงกระษัตริย์มาติดแดน | ยกหมู่แสนยากรจะรอนราญ | ||
| จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชย | เข้ามาแล้วสั่งให้ออกจากสถาน | ||
| เปนแม่ทัพพลขันธ์ประจัญบาน | ให้ทวยหาญฟังบังคับธนญไชย | ||
| ด้วยศรีธนญคนดีมีปัญญา | เพลงสาตราวุธก็คล่องควรรบได้ | ||
| แล้วความคิดบิดพลิ้วก็ว่องไว | เองจงไปสู้ศึกอย่านึกกลัว | ||
| ธนญไชยรับพระราลชโองการ | ไม่อาจขัดบรรหารเจ้าอยู่หัว | ||
| แต่ไม่สู้เต็มใจให้นึกกลัว | มาถึงบ้านคลุมหัวรนอนรำพึง | ||
| ว่ารับสั่งครั้งนี้ให้ไปรบ | พระจอมภพจะแกล้งให้ความตายถึง | ||
| แล้วนึกได้ใจกล้าไม่พรั่นพรึง | คิดคำนึงได้อุบายให้ช้าการ | ||
| ลุกขึ้นได้ตัดไม้ไผ่มาผ่า | จักตอกสานหับว่าจะใส่อาหาร | ||
| แต่ต้นจนล่วงสามทิวาวาร | ก็นั่งสานหับใหญ่ไม่ไปทัพ | ||
| พวกพหลพลนิกายทั้งนายไพร่ | คอยท่าศรีธนญไชยเตรียมเสร็จสรรพ | ||
| ทั้งลูกดินของกินเสบียงทัพ | ธนญไชยสานหับไม่แล้วเลย | ||
| ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองทวาลี | ทราบว่าศรีธนญไชยนอนใจเฉย | ||
| ยังไม่ไปไชยชิงนิ่งละเลย | ให้ไปเตือนเพื่อนก็เฉยไม่รีบร้อน | ||
| จึ่งรับสั่งให้ถามธนญไชย | ว่าอย่างไรเนิ่นช้าว่ามาก่อน | ||
| ธนญไชยให้กราบทูลพระภูธร | ว่ายังสานหับจะคอนใส่เสบียง | ||
| ครั้นหลายวันก็รับสั่งให้เตือนซ้ำ | บอกว่าทำหับไม่แล้วพูดหลีกเลี่ยง | ||
| ฝ่ายพระองค์ทราบว่าสานใส่เสบียง | จะโตเพียงไหนมิใคร่จะแล้วลง | ||
| มันจะสานหับใหญ่ทำไมหนอ | กระบวนทัพคอยรอไม่สมประสงค์ | ||
| อยู่เนิ่นนานมิได้การณรงค์ | มันทนงไว้ ใจพวกไพรี | ||
| รับสั่งเตือนให้เร่งยกกองทัพ | ก็พบอหับสานแวโตได้ที่ | ||
| ได้แปดอ้อมหาไม้ไผ่อันยาวรี | ได้สามวาพอดีจะทำคาน | ||
| ปั้นเข้าสุกปั้นหนึ่งไส่ในหับ | คอนขึ้นบ่านำทัพมาน่าฉาน | ||
| เปนแม่ทัพออกน่าถึงทวาร | หับที่สานโตกว่าประตูเมือง | ||
| ออกไม่ได้ติดคับทัพก็คั่ง | ค่อยรอรั่งนายทัพอยู่แน่นเนื่อง | ||
| ขุนนางเห็นหับคับประตูเมือง | กราบทูลให้ทราบเรื่องนายทัพไชย | ||
| ว่าหับคับประตูเมืองฝืดเคืองนัก | กองทัพต้องรอพักไปไม่ได้ | ||
| ฝ่ายพระองค์ทรงฟังคั่งแค้นฤไทย | ตรัสให้ห้ามว่าอ่าไปเลยรำคาญ | ||
| ขุนนางรับพระโองการก็มาบอก | ไม่ให้ออกไปรบตามบรรหาร | ||
| ธนญไชย ได้ฟังก็ชื่นบาน | สมที่การคิดจะไม่ไปสงคราม | ||
| จึ่งแกล้งว่าข้าหมายจะไปทัพ | ฉลองพระคุณตามตำหรับไม่เข็ดขาม | ||
| ทำไมจึ่งรับสั่งให้ห้ามปราม | ขัดไม่ได้ต้องตามพระโองการ | ||
| ว่าแล้วก็กลับยังเคหา | สมปราถนาบริโภคกระยาหาร | ||
| ครั้นอิ่มแล้วนอนเล่นให้สำราญ | จับหนังสือโคลงมาอ่านสบายใจ ฯ | ||
