เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 257: แถว 257:
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด  ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด  ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
-
ก็รีบมากุฎีที่อาราม
+
ก็รีบมากุฎีที่อาราม   ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
-
  ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
+
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน  เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน  เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ว่ามีพระโองการมาอย่างไร  ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
ว่ามีพระโองการมาอย่างไร  ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา

การปรับปรุง เมื่อ 16:01, 1 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ไม่ปรากฏ

บทประพันธ์

๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชยบุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา
หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญากู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที
ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถานป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี
บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดีนามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร
ชนชาวภารากว่าห้าแสนเนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน
ตั้งเคหารายรอบขอบนครราษฎรแสนศุขสนุกสบาย
ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชาสมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย
ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้ายไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท
พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้าดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่
พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาในม้ารถคชไกรทหารเดิน
สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ
โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลินรุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา
ส่วนพระจอมเทพีศรีสมรนามกรซื่อสุวรรณบุบผา
ทรงโฉมประโลมใจไนยนาเปนใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน
ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้าโขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว
เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายในบำเรอไทธิบดินทร์นรินทร ฯ
๏ ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราชเปนครูฉลาดรอบรู้ธนูศร
ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจรอิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี
เปนทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี
ทั้งภรรยานงรามพราหมณีรู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญ ฯ
๏ ยังมีสองสามีภิริยาตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน
หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวนเสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้
ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส
ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโตดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง
ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอจะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง
ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคืองจึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์
เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร
เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดี ฯ
๏ ครานั้นท่านภรรยาพฤฒาเถ้าได้ฟังเล่าในฝันนั้นถ้วนถี่
จึงทำนายทายฝันให้ยายปลีว่าจะมีบุตรชายปรีชาคำ
พูดจาแคล่วคล่องว่องไวนักรู้หลักลอดคนข้อคำขำ
เปนตลกหลวงดีมีคนยำท่านจงจำไว้เถิดประเสริฐชาย
ส่วนยายปลีได้ฟังทำนายฝันก็อภิวันท์ลามาด้วยสมหมาย
ประดับประคองท้องไว้ ไม่ระคายค่อยสบายหายทุกข์เปนศุขใจ ฯ
๏ ครานั้นท่านพราหมณ์พฤฒาจารย์กลับมายังสถานที่อาไศรย
ฝ่ายภรรยาก็เล่าความตามทายไปกลัวจะไม่ถูกตำราสามีตน
พฤฒาเถ้าฟังเล่าทำนายฝันหุนหันว่าเจ้าทายไม่เปนผล
บุตรเขาดีจะเปนที่เจ้านายคนทำนายผิดจะไม่พ้นอันตราย
อิกเจ็ดวันฟ้าจะผ่าศีศะเจ้านางฟังเล่าร้อนตัวกลัวใจหาย
ให้อัดอั้นสั่นระรัวทั่วทั้งกายว่าท่านช่วยคิดอุบายให้พ้นไภย
ฝ่ายว่าทิศาปาโมกข์เถ้าช่วยแบ่งเบาทำตามคัมภีร์ไสย
ปั้นรูปพราหมณีใส่ชื่อในไปตั้งไว้ห่างบ้านสถานตน
แล้วเอาขันครอบศีศะที่รูปปั้นพอเจ็ดวันมืดกลุ้มคลุ้มเมฆฝน
ครั่นครื้นเสียงฟ้าคำรามรนพอเม็ดฝนตกต้องลอองปราย
อสนีฟาดเปรี้ยงเสียงสท้านผ่ากระบานรูปปั้นขนสลาย
พราหมณีก็รอดจากความตายด้วยอุบายภัศดาพฤฒาจารย์
จึงมิให้ใช้ขันรองน้ำฝนทุกตัวคนทั่วประเทศเขตรสถาน
กลัวฟ้าจะผ่าขันด้วยบันดาลตลอดกาลจนทุกวันท่านกล่าวมา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพเลิศลบแดนไตรในใต้หล้า
ดำรงเมืองเรืองยศปรากฎมาแสนสำราญโรคาไม่ยายี
ร่วมภิรมย์สมสวาดินาฎนาเรศซึ่งเปนเกษกำนัลนารีศรี
นางทรงครรภ์สิบเดือนกำหนดมีจวนจะคลอดเทพีรัญจวนใจ
ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าโทมนัศพร้อมแพทย์แออัดอยู่ไสว
หมอตำแยอยู่งานนางทรามไวยเวลาได้ฤกษ์ประสูตรพระกุมาร ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมทวาลีบุรีราชบรมนารถเห็นโอรสยอดสงสาร
จึงให้โหราพฤฒาจารย์ดูลักษณกุมารดวงชตา
คูณหารสอบสวนทบทวนไปก็แจ้งใจคืนวันพระชัณษา
จึงกราบทูลว่าองค์กุมารามีบุญญาธิการกล้าหาญครัน
มีเดชะอำนาจราชศักดิปรปักษ์ทั่วทิศกลัวฤทธิพรั่น
แต่เลี้ยงเธอยากนักหนักอกครันถ้าได้กุมารร่วมวันทันเวลา
เมื่อประสูตรโอรสยศไกรหาให้ได้เหมือนกันกับชัณษา
มาเลี้ยงด้วยกันกับราชบุตรากุมาราจึงเจริญไม่มีไภย ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวังได้ทรงฟังโหรแจ้งแถลงไข
จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาในเอาฆ้องไปตีประกาศราษฎร
ว่าผู้ใดคลอดบุตรเมื่อวันวานพระโองการต้องประสงค์อย่าเร้นซ่อน
จะทรงเลี้ยงเคียงดไนยไม่อาทรทั่วนครใครมีบุตรบุรุษชาย
จงบอกความตามจริงอย่านิ่งช้าข้าจะพาบุตรเจ้าเข้าถวาย
อำมาตย์ตีฆ้องพลางทางภิปรายถึงบ้านยายปลีที่ฝันขันพิกล
ความว่าเมื่อภรรยาพฤฒาเถ้าทำนายฝันตามเล่าซึ่งเหตุผล
ยายปลีมีครรภ์ได้สิบเดือนดลคลอดบุตรตนเปนชายโฉมโสภา
ฤกษ์ยามเวลาก็พร้อมกันกับจอมขวัญประสูตรโอรสา
เมื่ออำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวมาตกประหม่าไม่มีขวัญตัวสั่นงก
ครั้นจะนิ่งปิดความว่าไม่มีพระองค์ทราบคดีว่าโกหก
จะลงโทษกายระบมตรมอกฟกนึกแล้วอุ้มทารกมาบอกความ ฯ
๏ ครานั้นเสนาข้าราชการฟังว่าขานสอบไล่ซักไซ้ถาม
รู้แน่ว่าเด็กนั้นพร้อมฤกษ์ยามกับโอรสจอมสยามทวาลี
จึงรับเอากุมารามาถวายทูลดังยายมารดาว่าถ้วนถี่
ฝ่ายพระจอมภาราทวาลีฟังวาทีเสวกาปรีดาครัน
โปรดให้หานางนมแลพี่เลี้ยงประคองเคียงรักษาทารกนั่น
ให้โอรสอย่างไรก็ให้ปันแก่กุมารคนนั้นเหมือนกันมา
จนสองกุมารชัณษาสิบห้าปีโปรดให้เรียนตระบองกระปิติศึกษา
กระบวนรบครบอย่างขี่ช้างม้าพุ่งสาตรายิงแทงแผลงธนู
อิกให้เรียนไตรเพทเวทมนต์ขลังคงจังงังทรหดอดทนสู
แคล้วคลาศสารพัดหัดให้รู้ทรงเอนดูสองราเมตตานัก
ครั้นอยู่มาจอมประชาชราร่างโรคหลายอย่างก่อกวนประชวรหนัก
ตรัสเรียกสองดไนยผู้ยอดรักมอบมไหไตรจักรใครอบครอง
ประทานราโชวาทประสาทให้รักใคร่อย่าเดียดฉันกันทั้งสอง
อย่าข่มเหงต่อยตีเหมือนพี่น้องเจ้าปรองดองสองรารักษาเมือง
แม้นว่าน้องพ้องผิดโทษถึงฆ่าได้เมตตาปัดเป่าให้เบาเปลื้อง
อย่าขุ่นแค้นฆ่าฟันเลยขวัญเมืองถ้าขัดเคืองอดออมถนอมกัน
หนึ่งขุนนางข้าเฝ้าเหล่าทั้งหลายจงแจกจ่ายเบี้ยหวัดดูจัดสรร
ผู้ใดมีความชอบตอบรางวัลให้แบ่งปันสนองคุณการุญรัก
เงินตราผ้าพานทองคำให้เครื่องกาไหล่เครื่องถมแลสมปัก
เสลี่ยงแคร่กระบี่สายสพายสพักสมยศศักดิความชอบจงตอบแทน
ราษฎรทั่วประเทศในเขตรขัณฑ์อย่าเบียนมันให้ทุกข์ร้อนค่อนแค่น
จงเมตตาคนจนขัดสนแกนทุกด้าวแดนให้เปนศุขสนุกใจ
สมณะชีพราหมณ์อย่าหยามหยาบเกรงกลัวบาปละปลดอดจิตรให้
ควรบำรุงสงเคราะห์สักเพียงไรก็จงให้พองามตามศรัทธา
หนึ่งข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่งแม้นระแวงราชกิจผิดนักหนา
จะลงโทษก็ให้ต้องตามอาชญาฤาหนึ่งถ้าทัณฑกรรมทำพอควร
อย่ามากมูลโทษะมนะผิดควรคิดโดยระบอบสอบไต่สวน
ควรเฆี่ยนควรขังเชือกหนังทวนจำโซ่ตรวนขื่อคาอย่าทำเกิน
พ่อจำคำบิดาสั่งตั้งความสัตย์แม้นปฏิบัติชื่อตรงคงสรรเสริญ
ราชการภาราพ่อพย่าเมินอย่าหลงเพลินนางในไม่ได้การ
พระโอรสฟังโองการประทานสอนโอนอ่อนเศียรคำนับรับสั่งสาร
ทั้งราชบุตรบุญธรรมก้มกราบกรานรับโอวาทซึ่งประทานด้วยเศียรตน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์จอมเจิมเฉลิมโลกประชวรโรคแรงกล้าดังห่าฝน
สิ้นกำลังลมปราณเหลือทานทนสวรรคตอยู่บนพระแท่นทอง ฯ
๏ ครานั้นเสวกามหามาตย์เกลื่อนกลาดแออัดจัดสิ่งของ
เครื่องสูงแตรสังข์พระโกษฐทองจ่าปี่จ่ากลองเรียกร้องมา
กลองชนะเบิงมางวางเตรียมไว้ชั้นแว่นฟ้ารีบไปยกคอยท่า
คู่เคียงพระสเลี่ยงเทวดาโปรยมาลาเข้าตอกบอกมาคอย
พระสงฆ์นำน่าฉานอ่านหนังสือสังฆ์การีวิ่งปรื๋อไม่ล้าถอย
เผดียงราชาคณะวัดพระลอยไวไวหน่อยเถิดเจ้าคุณวุ่นเต็มที
ฝ่ายว่าราชาคณะพระญาณสิทธิ์ซึ่งสถิตย์วัดพระลอยก็เร็วรี่
รีบครองผ้าเรียกศิษย์ได้ตามมีสังฆ์การีพามาพักคอยชักนำ ฯ
๏ ครานั้นจึงพระราชกุมารเชิญพระศพสรงสนานจนจวนค่ำ
มาลาภูษาถวายเครื่องทรงประจำเครื่องต้นล้วนทองคำลงยาดี
ทรงเครื่องต้นเสร็จสรรพสำหรับกระษัตริย์เชิญเข้าโกษฐเนาวรัตน์มณีศรี
ประโคมแตรสังข์สนั่นลั่นดนตรีกลองชนะพร้อมตีเสียงมี่วัง
ฝ่ายพวกกระบวนแห่เสียงแซ่ซ้องตั้งกระบวนเปนกองคอยรับสั่ง
ได้เวลาพระศพออกจากวังดูสพรั่งกระบวนแห่แลหลามมา
พวกตั้งชั้นแว่นฟ้าเสนาภิมุขชาดสีสุกทาซ่อมที่คร่ำคร่า
ช่างรักปิดทองผ่องจับตาช่างกระจกประดับประดาที่ชำรุด
เครื่องแก้วตั้งคลังพิมานอากาศจัดศุภรัตขนผ้าไตรอุตลุด
รักษาองค์เติมน้ำมันฟันชุดรายกันจุดอัจกลับสับสนครัน
แห่พระศพถึงที่นั่งมังคลาเชิญตั้งแท่นแว่นฟ้างามเฉิดฉัน
เรียงรอบเครื่องสูงลายสุวรรณจามรทานตวันพัดโบกราย
กลิ้งกลดบดบังพระสุริยนต์หักทองขวางห้าชั้นอิกชุมสาย
แว่นทองปักกระเสตขันทองพรายบุบผาพวงห้อยรายกลิ่นขจร
ข้าราชการกราบราบศิโรตม์ถวายบังคมบรมโกษฐสท้อนถอน
ฤไทยโทมนัศาให้อาวรณ์พิไรรักภูธรสิ้นทุกคน ฯ
๏ ฝ่ายพระราชโอรสยศไกรเสด็จมาโศกาไลยพิไรบ่น
พระราชบุตรบุญธรรมก็ทุกข์ทนน้ำสุชนไหลหลั่งนั่งโศกา
ครั้นจัดแต่งตั้งพระศพครบครันสดัปกรณ์นับพันไตรสิบห้า
พระสงฆ์เนื่องแน่นหลามตามชลาพระราชาคณะได้ไตรทุกองค์
เสร็จทำกุศลกิจอุทิศไปถวายไทชนกนารถราชหงษ์
จึงสมเด็จโอรสยิ่งยศยงเสด็จลงจากปราสาทลีลาศมา
พวกร้องไห้นางในก็ส่งเสียงเสนาะสำเนียงว่าพระพุทธเจ้าข้า
พระร่มโพธิทองล่องสู่ฟ้าเสด็จไปชั้นใดข้าจะตามไป
โอ้พระร่มโพธิแก้วลับแล้วลิบเสวยทิพพิมานสถานไหน
ข้าน้อยพยายามจะตามไปไม่ทิ้งไทนฤเบศร์เกษประชา ฯ
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์ข้าราชการกับพระราชกุมารโอรสา
พร้อมกันกะเกณฑ์การฌาปนาทำมหาเมรุปราค์ตามอย่างยศ
สูงเส้นห้าวาสง่านามเมรุทิศงามสามสร้างต้องอย่างหมด
เมรุทองในเครื่องชั้นเปนหลั่นลดต้องแบบตามบททุกสิ่งอัน
ราชวัตรฉัตรทองฉัตรเงินนากแลหลากตั้งสลับลำดับคั่น
ฉัตรเบญจรงค์รายออกนอกอิกชั้นตลอดกั้นราชวัตรขนัดแนว
ราชวัตรฉัตรรายทางข้างถนนทางสถลที่จะแห่แลเปนแถว
โรงการเล่นเต้นรำทำเสร็จแล้วท้องสนามกวาดแผ้วสอาดเตียน
โรงรำช่องระทาระดาดาษเอาแผงลาดหลังคาทาเครื่องเขียน
กั้นฉากวาดดูงามเรื่องรามเกียรติ์ล้วนแนบเนียนนน่าสนุกทุกโรงงาน
หกคเมนลอดบ่วงห่วงน้อยเสาติดต่อเข้าสามต่อสูงตะหง่าน
รำแพนเสาไต่ลวดสูงลิ่วทยานตามอย่างงานบรมศพมีครบครัน
เตรียมการเสร็จทุกด้านงานกำหนดเชิญพระโกษฐขึ้นรถแห่สนั่น
เข้าพระเมรุสมโภชสิบห้าวันถวายพระเพลิงทรงธรรม์กระษัตรา
สมโภชพระอัฐิลอยอังคารเสร็จการเชิญอัฐิขั้นรัถา
แห่เข้าสู่พระนคราเหล่าเสวกาโศกเศร้าเฝ้าพิไร
จึงประชุมมาตยามหาอำมาตย์จะยกราชโอรสครองกรุงใหญ่
เห็นพร้อมกันต่างอำนวยอวยไชยจึงหมายให้จัดราชาภิเศกการ
เกณฑ์กันทำการทุกด้านทางตามอย่างขัติยามหาศาล
อภิเศกพระราชกุมารให้ขึ้นผานทวาลีบุรีรมย์
ถวายพระนามเหมือนพระราชบิดาว่าทวาลีราชองอาจสม
พระเดชาปรากฎยศอุดมครองบรมธานีศรีโสภา
จึงให้กุมารบุญธรรม์นั้นไปบวชเล่าเรียนสวนพระคัมภีร์มีสิกขา
เปนสามเฌรอู่กับพระครูบาจันทสุบิงสมญาพระอาจารย์ ฯ
             

๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวชท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน
ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทานสามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์
ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อสามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน
ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้นมีปัญญามากครันแปลกกว่าคน
จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น
ลองความรู้พระครูอาจารย์ตนมาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน
ในบทปถมังดังเวหาที่สองว่าชาโตเนข้อขัน
คูชลามิคาลำดับกันเปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร
จัตวาติตานี้ที่สี่แถลงแปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร
ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจนพระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน
ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็นก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น
นั่งคิดนอนคิดให้มิดตันต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ
บอกแก่สามเณรว่าคิดได้ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม
ดังเวหาคืองาช้างงอนงามชาโตตามบทมาว่าคางคก
คูชลามิคาคือครุเก่าชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก
รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยกถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ
จัตวาตีตาตีรั้วบ้านทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ
แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป
แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนามิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้
เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ
๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยงมาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง
ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิงถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก
เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำเห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก
กระบอกผูกพวงวางพลางถามทักกระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา
ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวงบอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า
เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมาพักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที
อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมากข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่
จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธีแจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง
ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถามจึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง
แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลังแกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด
ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไปจะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร
ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน
เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน
พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้นแม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร
สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่งข้าจะรังวัลสบงอังสะให้
แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจจะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว
ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวงมิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว
ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัวให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน
ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่นชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น
แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกนถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร
ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนันจะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร
อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี
สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี
ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารีที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา
แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่งไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า
จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามาไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ
๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมดพวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี
จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดีให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดีฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน
แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนันเอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง
จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง
แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียงหมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชาได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ
เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้านอยากฟังคำให้การจะอย่างไร
จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามาตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน
เณรถวายพรองค์พระทรงไชยทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย
ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตามข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย
จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวายอย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร
ตามีสักสี่ซ้าห้าบาทเจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร
ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวรเงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรดไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
ก็รีบมากุฎีที่อารามยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมันเข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ว่ามีพระโองการมาอย่างไรฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วยจึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า
แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมาให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ
๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé
ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจเราจะได้เงินตราไหนมาพอ
แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อนเหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ
สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอจึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง
จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลังขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ
อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ
พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ
แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตนฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด
เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลดอิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย
จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามากคนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย
ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อยจะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว
จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการเณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่
รีบสึกออกมาข้าจะใช้เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ
๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยงได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน
เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกันได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้าหมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย
ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอยให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน
ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉันแพรพรรณปูนบำนาญประทานให
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถานเสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น
มิใคร่ได้มาหลายทิวาวันพระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา
ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา
เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียาให้เสวยโภชนามามีรศ
ดำรัสว่าเองเอายามาให้กูจะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ
เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนตพระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน
ทูลแล้วลีลามาสู่บ้านเที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน
ไม่หายาทูลลามาแชเชือนนอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม
คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไปแสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา
เสวยเวลานั้นมีรศมากเพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา
ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยาเชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี
จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่
ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ
แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้วไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด
แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศอาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ
๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวายเพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง
อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลังไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ
๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอกพูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม
มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย
ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัสพระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย
เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ยทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดชสั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี
อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดีพ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์
กรมช้างผูกช้างพระที่นั่งขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์
เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรงมีพระองการถามเสนาใน
ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้
อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน
เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วยจึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน
ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกินสรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่าเคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม
แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความมันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร
จึงดำรัสความอื่นกับเสวกาทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน
พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวนตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน
ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่นขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น
ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป
สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่
ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา
ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลงของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า
ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนายิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด
เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคนพระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด
ได้อับอายขายหน้าโทมนัศจอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง
ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้าโรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง
จันทสุบิงสมญากาละกะตังถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ
๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษาบุตรนัดดาจะมีก็หาไม่
พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไปเสนาในกราบทูลพระกรุณา
ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพอัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา
จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกาศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ
จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนาช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน
แล้วรับสั่งให้สนมบริพารไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง
ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้องเดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด
จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้นเปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด
พานางสนมมาที่ศพสถิตย์นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง
แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง
สนมตอบว่าพระครูผู้มรณังมิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง
จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามาตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง
เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วงข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ทีเข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า
เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกาชลนาไหลนองสองแก้มคาง
ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ยสิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง
เก้าปีมิได้พบสีกานางมาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง
เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่าไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง
มานอนตายในกุฎีทีในโลงพ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย
ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย
ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวยเชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา
ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมาให้โศการักศพพระครูเฒ่า
อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้าทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ
ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายในตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ
สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง
เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถาต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง
ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลอองไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย
ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบายสั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว
ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว
แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้วรับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ
             

๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้ฟังว่าเห็นนายชาติวิ่งมาจนเหื่อไหล
แจ้งว่าเหตุเพราะตีสนมในพระทรงไชยขัดเคืองเบื้องบาทา
ก็รีบเร้ามาเฝ้านเรนทร์สูรทรงบัณฑูรตรัสถามถึงโทษา
ว่าอีกเหล่านี้มีผิดอย่างไรมาจึงไล่ตีกายาเปนริ้วรอย ฯ
๏ เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถามจึ่งทูลตามเหตุไปไม่ท้อถอย
พระอาญาล้นเกษาแห่งข้าน้อยนางในทำไม่ต้องรอยพระโองการ
มีรับสั่งให้ไปร้องไห้ร่ำนั่งหัวเราะแทบค่ำครั้นหม่อมฉาน
ร้องไห้รักพระครูผู้อาจารย์กลับชื่นานสรวลเสเสียงเฮฮา
อยู่ที่นั่นหนุ่มหนุ่ม็มีมากคะนองปากเปนสนมไม่สมหน้า
หม่อมแนเห็นไม่ดีตีไล่มาควรมิควรพระอาญาเปนล้นพ้น ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงภพฟังจบเรื่องให้ขัดเคืองนางในได้เหตุผล
จึ่งดำรัสตรัสด่าสิ้นทุกคนว่าไปทำลุกลนให้ได้อาย
เชียงเมี่ยงตีแต่เพียงนี้ยังไม่สามันฆ่าเสียก็ต้องตามกฎหมาย
ไปหัวเราะเยาะเย้าเจ้าผู้ชายโทษมึงถึงตายตามไอยการ ฯ
๏ นางสนมได้ฟังพระกริ้วกราดก็ไม่อาจเถียงท้าต่อว่าขาน
แค้นเชียงเมี่ยงมิได้เหือดคิดเดือดดาลก้มคลานบังคมลามาทุกคน ฯ
๏ อยู่มาวันหนึ่งพระจอมเวียงเสวยเมี่ยงองค์หนึ่งเปนคำต้น
ฝ่ายเชียงเมี่ยงอมเมี่ยงทำพิกลสี่คำดูล้นแก้มตุ่ยพอง
แล้วเอาน้ำมันทาแก้มไว้เลื่อมใสดุขันเปนมันย่อง
พระทรงศักดิตรัสทักว่าแก้มพองเองอมเมี่ยงฤาดูป่องผิดในตา
เชี่ยงเมี่ยงทูลว่าแก้มเกล้าหม่อมฉันทาน้ำมันเลื่อมอยู่เองเป่งนักหนา
กรุงกระษัตริย์เคองขัดหัทยาแต่ไม่ว่านิ่งแค้นในพระไทย ฯ
๏ ล่วงมานานชานพระที่นั่งซุดพระประสงค์จะให้ขุดซ่อมแปลงใหมè
สั่งให้หาเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการถอยคลานออกจากวังแล้วเที่ยวหา
สืบทุกแห่งหาคนปากแหว่งมาว่ามีพระบัญชาจะต้องการ
คนทั้งหลายจึ่งว่าเห็นผิดไปจะทำไมคนปากแหว่งบอกทุกบ้าน
เชียงเมี่ยงว่าเรารับพระโองการต่อพระโอษฐบรรหารให้เลือกค้น
ว่าแล้วจึ่งเที่ยวหาคนปากแหว่งหลายแแห่งบอกมาทุกถนน
พอครบถ้วนจำนวนสิบแปดคนพาเข้าเฝ้าจุมพลจอมประชา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรคนปากแหว่งมานักหนา
ดำรัสถามเชียงเมี่ยงมิได้ช้าคนปากแหว่งนี้พามาทำไม
เชียงเมี่ยงกราบทูลพระกรุณาโปรดให้หาปากง่ามก็หาได
๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ยินเชียงเมี่ยงกราบทูลเถียบอ้างรับสั่งดูอาจหาญ
ทรงพระสรวลว่ากูจะต้องการคนปากไม้ทำชานที่ซุดพัง
คนปากแหว่งเช่นนี้ไม่ประสงค์มึงใหลหลงพามาเหมือนบ้าหลัง
แล้วทรงเล่าให้เสนาข้าเฝ้าฟังขุนนางทั้งปวงก็พากันหัวเราะ
พระทรงภพปรารภว่าอ้ายคนนี้มันอวดดีว่าปัญญามากมั่นเหมาะ
อย่าเลยนะจะให้แกงแร้งจำเภาะให้มันกินจะได้เย้าะเย้ยประจาน
เพราะแร้งนันมนกินสุนักข์เน่าซากศพเก่าศพใหม่เปนอาหาร
อ้ายเชียงเมี่ยงกินเนื้ออันสาธารณ์ความคิดอ่านปัญญาคงอับน้อย
ทรงดำริห์แล้วสั่งวิเศษในหาแร้งแกงให้ ได้ ให้อร่อย
ใส่พริกเกินตำราอย่าให้น้อยให้มันเผ็ดเหื่อย้อยถึงเครื่องร้อน
วิเศษรับพระราชโองการทำตามบรรหารไม่ย่อหย่อน
เสร็จใส่สำรับถวายพระภูธรเตรียมไว้ก่อนคอยเชียงเมี่ยงจะมา ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงครั้นถึงเวลาเฝ้าก็รีบเข้าบังคมบาทนารถนาถา
ครั้นพระองค์อิศเรศเกษประชาเห็นเชียงเมี่ยงเข้ามาดีพระไทย
จึ่งรับสั่งให้ยกสำรับมารับสั่งว่าเองจงกินแกงไก่ใหญ
กินเถิดอย่ากระดากลำบากใจกูสั่งให้ทำเลี้ยงเชียงเมี่ยงกิน ฯ
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้รับสั่งถวายบังคมแล้วไม่ผันผิน
บริโภคแกงเผ็ดให้เข็ดลิ้นเหม็นกลิ่นคาวมากแทบรากท้น
เนื้อก็เหนียวเคี้ยวไปไม่ใครขาดเกรงอาญาจอมราชจึ่งไม่บ่น
แขงใจกินได้สามคำกล้าเหลือทนก็อิ่มเข้าร้อนรนเผ็ดเต็มท
ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชาเห็นเชียงเมี่ยงดูระอาริบอิ่มหนี
จึ่งรับสั่งถามพลันในทันทีอย่างไรนี่จึ่งไม่กินให้สิ้นชาม
ทั้งเหม็นคาวเหม็นสาบหลาบครั่นคร้ามทนได้สามคำเท่านั้นให้ตันตอ
พระภูบาลทรงพระสรวลสำรวลร่าว่าไก่ชราตัวใหญ่เนื้อเหนียวหนอ
เพราะมันกินสุนักข์เน่าเข้าไว้พอเองจึ่งท้อเข็ดขยาดไม่อาจกิน
เชียงเมี่ยงฟังรับสั่งรู้ว่าแร้งเอามาแกงลวงเล่นเหม็นไม่สิ้น
แค้นใจโกรธในพระเจ้าแผ่นดินจะแก้เผ็ดนึกจินตนาปอง
แล้วถวายบังคมลามาสู่บ้านให้คลื่นเหียนซาบซ่านขนสยอง
เอามาะกรูดส้มป่อยดินสอพองชำระปากตอท้องสอิดสเอียน
ถึงสามวันสี่วันเหม็นไม่หายทั้งกลิ่นอายคาวขื่นให้คลื่นเหียน
ท้องไส้ขย่อนเขย่าเฝ้าอาเจียนสอิดสเอียนเปนไข้ไปหลายวัน
พอคลายไข้อุส่าห์หาคี่แร้งได้มาผสมแป้งสู้เพียรปั้น
ทำดินสอแท่งงามงามได้สามอันเอาไปถวายทรงธรรม์มิได้แคลง ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถานเห็นเชียงเมี่ยงยกพานดินสอแท่ง
มาถวายทรงรับไม่ระแวงทรงเขียนลองแห้งแห้งเส้นไม่มี
แล้วทรงจิ้มลิ้มเขฬาเลขาใหม่ก็มิได้เห็นเส้นเหมือนเช่นกี้
ประหลาดฤไทยแต่ไม่ทรงพาทีชวนเชียงเมี่ยงมาที่ทรงหมากรุก
เล่นกับเชียงเมี่ยงเสียงโกกก้องเชียงเมี่ยงร้องพูดเล่นเปนสนุกนี้
ได้ทีเดินโดดโลดเข้ารุกบ่ารุกเรือเม็ดเล็ดลอดกิน
ร้องโปกฉาดข้าบาทได้กินตัวพระอู่หัวเลิศลบภพทั้งสิ้น
เปนปีนแขวงแต่พระแกงคูธริ้นพระภูมินทร์ทราบเรื่องเคืองพระไทย
ทรงดำริห์ว่าจะฆ่าผ่าอกแล่โทษมันแก้เผ็ดล้อเปนข้อใหญ่
แล้วหวนคิดปิตุรงค์ทรงฝากไว้ภูวไนยตรัสว่าอย่าฆ่าฟัน
แต่เคืองขุ่นมุ่นฤไทยมิไใคร่หายเพราะพระองค์อับอายให้อัดอั้น
เสด็จเข้าสู่พระแท่นแผ่นสุวรรณพระทรงธรรม์จะพาลผิดนิจกาล ฯ
๏ ครั้นล่วงมาวันหนึ่งจอมประชาทรงจินตนาขะเสด็จสรงสนาน
ที่หาดทรายชายท่าชลาธารทรงคิดอ่านเห็นจะได้ความผิดมี
จึ่งดำรัสแก่หมู่เสวกาจงหาฟองไก่ไวอย่าอึงมี่
ปิดเชียงเมี่ยงอย่าให้รู้หมู่เสนีไปฝังไข่ไว้ที่ในหาดทราย
พรุ่งนี้ให้ได้ไปแต่ช้าวข่าวคราวซ่อนไว้อย่าได้ขยาย
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์มาตยารับพระราชบัญชาออกจากเฝ้า
ให้ค้นหาไข่ไก่ไว้แต่เช้าสั่งเบ่าให้ไปยังฝั่งชลา
ได้เวลาจอมนรินทร์ปิ่นประเทศเสด็จจากพระนิเวศน์ด้วยยศถา
ทรงเรือที่นั่งพร้อมหมู่เสวกาเชียงเมี่ยงตามเสด็จมาในนัที
ถึงที่เสด็จประทับบนพลับพลามีบัญชาให้เล่นน้ำสนั่นมี่
ดำรัสว่าให้กระตากคนละทีให้ได้ไข่ทุกเสนีบรรดามา
ถ้าไม่ได้ ไข่ชูให้กูเห็นจะเอาเปนความผิดมีโทษา
ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชบัญชาลงสู่ท่าดำน้ำก็ทำตาม
ผุดขึ้นนว่ากระตากมือชูไข่ต่างต่างได้คนละฟองร้องอึงสนาม
เชียงเมี่ยงดำแล้วผุดขึ้นมาตามร้องระตูแจ้งความว่าไม่มี
เพราะเปนไก่ผู้หาฟองไม่แล้วก็ไล่จับพวกขุนนางขี่
เที่ยวไล่จับสัตว์ในนัทีหมู่เสนีสำลักน้ำดำหนีไป ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์หมายมาดจะเอาผิดก็ไม่ได้
เชียงเมี่ยงแก้คล่องด้วยว่องไวพระทรงไชยกลับหลังยังนคร
แล้วทรงคิดจะเอาผิดแก่เชียงเมี่ยงอย่าให้เลี่ยงข้างข้างเหมือนอย่างก่อน
จะให้ไปซื้อผ้าท้าวนครทรงอนุสรแล้วเสด็จออกขุนนาง
ดำรัสใช้ ให้เชียงเมี่ยงไปซื้อผ้าลายโสภาตีนแต้มให้ได้อย่าง
เชียงเมี่ยงรับเงินตราออกมาพลางถึงบ้านนอนไขว่ห้างเล่นสบาย
ครบเจ็ดวันจึงเามาเผ้าพระบาทบรมนารถทักว่าเองไปไหนหาย
มามือเปล่ากูไม่เห็นได้ผ้าลายเที่ยวสบายเสียไม่หาฤาว่าไร
เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถามจึ่งทูลความว่าหม่อมแนหาไม่ได้
ผ้าตีนแต้มเช่นตรัสดำรัสใช้เกล้ากระหม่อมเที่ยวไปทั่วตำบล
ถามผู้ใดก็ว่าแต้มแต่ด้วยมือไม่อาจซื้อมาถวายเพราะขัดสน
ไม่มีแต้มด้วยเท้าแต่สักคนก็เปนคนใจจะวงพระโองการ
ฝ่ายพระจอมนครินทร์บดินทร์สูรได้ฟังทูลเชียงเมี่ยงดูอาจหาญ
ทรงตรองไปก็เห็นจริงนิ่งรำคาญหมายจะพาลผิดก็ไม่ได้สักครา ฯ
๏ ยังมีเจ้าอธิการสมภารใหญ่ปลูกต้นไม้มีผลมากนักหนา
มะม่วงมะปรางมะทรางและพุดทราน้อยหน่าลำไยมะไฟมะเฟือง
แต่ผู้ใดใครมาขอไม่อยากให้หวงไว้จนผลงอมหล่นเหลือง
ถึงตัวท่านก็ไฉันกลัวจะเปลืองชาวบ้านเคืองคิดชังไปทั้งคาม
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเดินมาเห็นมะม่วงดกเปนพวงสุกเหลืองเรืองอร่าม
อยากใคร่ได้ไปถือเล่นงามงามแต่ครั่นคร้ามไม่ได้ขอนิ่งรอพลาง
แล้วขึ้นไปบนกุฎีพระชีเฒ่าคุกเข่าร้องขอส้มกินบ้าง
เจ้าอธิการรู้เรื่องเคืองระคางเดินเข้ากุฎีกลางปิดประตู
เชียงเมี่ยงเห็นอาการสมภารแก่วิ่งแร่หนีตัวซ่อนหัวหู
คิดโกรธว่าขรัวนี้ทำไม่น่าดูให้ไม่ให้ก็ไม่รู้ ไม่พูดจา
เปนไรมิดีแล้วได้เห็นกันคิดให้ขันถีบขว้ำคะมำหน้า
ให้ได้แผลแก้แค้นด้วยปัญญาทำที่หน้าผากให้แตกได้แลกลำ
คิดแล้วกลับไปบ้านสถานตนหาหมากผลพลูซองลองขรัวคร่ำ
ให้เมียทำไก่พะแนงแกงต้มยำแล้วใส่สำรับมาให้พระสมภาร
ขึ้นกุฎีก้มกราบหมาอบราบพื้นบอกว่าคืนนี้รับสั่งให้ดีฉาน
มาเผดียงเจ้าคุณพระอาจารย์นิมนต์ท่านไปตั้งราชาคณะ
ฝ่ายขรัวเฒ่าเขลาปัญญาว่าสาธุมาได้ที่เมื่ออายุมากนะจะ
เชียงเมี่ยงตอบว่าเจ้าคุณบุญถึงละดีฉันจะขอดูรู้ลายมือ
ในตำราว่าไว้จะได้ที่ฤามั่งมียศศักดิ์คนนับถือ
เปนที่เกรงหมอบเทาชื่อเล่าฦามีแจ้งในลายมือแลลายท้าว
สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศเชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว
แบให้ดูลายมือพูดยืดยาวทั้งลายท้าวไม่ระแวงนึกแคลงใจ
เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่นทำพูดกันให้สิ้นความสงไสย
ว่าลายมือลายเท้าที่ทายไว้ไม่แน่ใจเหมือนลายก้นต้นตำรา
จะดีชั่วแจ้งชัดเปนสัจจังไม่พลาดพลั้งที่นั่งทับตำหรับว่า
พระอธิการฟังสารเชียงเมี่ยงว่าไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย
ว่าจะดูก้นเห็นฦกข้านึกอายเชียงเมี่ยงว่าไม่แพร่งพรายจะอายใคร
ดูแต่สองคนเท่านี้นี่ไปในที่ลับลี้ก็จะได้
พระสมภารไม่แหนงเคลือบแคลงใจก็พาไปห้องน้ำตามคำชวน
ฝ่ายเชียงเมี่ยงสมจิตรที่คิดหมายจะทำให้ได้อายนึกยิ้มสรวล
พอขรัวเฒ่าเข้าห้องต้องกระบวนทำทีด่วนว่าจะดูตามตำรา
ให้ขรัวเฒ่าแก่โก้งโค้งจะดูก้นถีบตะโพกหัวชนเข้ากับฝา
สมภารหน้าผากแตกเวทนาร้องด่าอ้ายขี้ครอกบอกกล่าวพลาง
เชียงเมี่ยงก็ถีบซ้ำอีกสามทีแล้วจึงหนีลงบันไดไปข้างล่าง
ท่านสมภารล้มกลิ้งก็ยิ่งครางโลหิตไหลเปนทางนองกระดาน
กว่าจะนั่งขึ้นได้เปนนานช้าเชียงเมี่ยงวิ่งหนีมาจนถึงบ้าน
คิดว่าโทษเรามีตีสมภารกินยารุให้พิการซูบผอมกาย ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการเฒ่าปวดร้าวที่แผลหน้ามิใคร่หา
อุส่าห์ประคบทาไพลค่อยได้สบายครบเจ็ดวันจึงคอยคลายเจ็บกายา
ครั้นความเจ็บบางเบาขรัวเฒ่าเถรฉันเพนแล้วห่มดองจึ่งครองผ้า
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรขรัวแก่ตรัสถามก่อน
ว่าคุณประสงค์บาตรเภสัชฤาจีวรเครื่องนั่งนอนอย่างไรจงไขความ ฯ
พยุงเดินเข้าในวังเซซังมาถึงเข้าเฝ้าจอมนราประชากร ฯ
๏ ครานั้นขรัวเฒ่าทูลเล่าเรื่องที่ขัดเคืองมีผู้มาหยาบหยาม
อุบาสกคนหนึ่งพึ่งรุ่นงามมาแจ้งความว่าพระองค์ผู้ทรงไชย
ให้นิมนต์รูปมาตั้งราชาคณะแล้วทำรูปหน้าหวะโลหิตไหล
ได้ความร้อนรนเปนพ้นไปเห็นเปนข้าจอมไทนราบาล ฯ
             

             

เชิงอรรถ

ที่มา

[1]

เครื่องมือส่วนตัว