เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|สเภารเืองศรีธนญชไ…')
()
แถว 191: แถว 191:
==== ====
==== ====
<tpoem>
<tpoem>
 +
๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวช  ท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน
 +
ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทาน  สามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์
 +
ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อ  สามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน
 +
ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้น  มีปัญญามากครันแปลกกว่าคน
 +
จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์  ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น
 +
ลองความรู้พระครูอาจารย์ตน  มาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน
 +
ในบทปถมังดังเวหา  ที่สองว่าชาโตเนข้อขัน
 +
คูชลามิคาลำดับกัน  เปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร
 +
จัตวาติตานี้ที่สี่แถลง  แปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร
 +
ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจน  พระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน
 +
ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็น  ก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น
 +
นั่งคิดนอนคิดให้มิดตัน  ต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ
 +
บอกแก่สามเณรว่าคิดได้  ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม
 +
ดังเวหาคืองาช้างงอนงาม  ชาโตตามบทมาว่าคางคก
 +
คูชลามิคาคือครุเก่า  ชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก
 +
รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยก  ถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ
 +
จัตวาตีตาตีรั้วบ้าน  ทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ
 +
แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะ  ควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป
 +
แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนา  มิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้
 +
เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจ  ชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยง  มาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง
 +
ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิง  ถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก
 +
เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำ  เห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก
 +
กระบอกผูกพวงวางพลางถามทัก  กระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา
 +
ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวง  บอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า
 +
เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมา  พักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที
 +
อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมาก  ข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่
 +
จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธี  แจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง
 +
ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถาม  จึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง
 +
แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลัง  แกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด
 +
ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไป  จะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร
 +
ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิ  ฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน
 +
เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้  พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน
 +
พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้น  แม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร
 +
สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่ง  ข้าจะรังวัลสบงอังสะให้
 +
แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจ  จะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว
 +
ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวง  มิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว
 +
ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัว  ให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน
 +
ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่น  ชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น
 +
แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกน  ถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร
 +
ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนัน  จะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร
 +
อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์  เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี
 +
สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้  เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี
 +
ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารี  ที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา
 +
แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่ง  ไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า
 +
จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามา  ไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ
 +
 +
๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมด  พวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี
 +
จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดี  ให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดี  ฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน
 +
แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนัน  เอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง
 +
จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพ  ไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง
 +
แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียง  หมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชา  ได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ
 +
เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้าน  อยากฟังคำให้การจะอย่างไร
 +
จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามา  ตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน
 +
เณรถวายพรองค์พระทรงไชย  ทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย
 +
ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตาม  ข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย
 +
จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวาย  อย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร
 +
ตามีสักสี่ซ้าห้าบาท  เจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร
 +
ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวร  เงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด  ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
 +
ก็รีบมากุฎีที่อาราม
 +
  ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
 +
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน  เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
 +
ว่ามีพระโองการมาอย่างไร  ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
 +
รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วย  จึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า
 +
แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมา  ให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ
 +
 +
๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่  สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé
 +
ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจ  เราจะได้เงินตราไหนมาพอ
 +
แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อน  เหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ
 +
สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอ  จึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร  ทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง
 +
จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลัง  ขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ
 +
อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่  ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ
 +
พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะ  ขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ
 +
แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตน  ฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด
 +
เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลด  อิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย
 +
จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามาก  คนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย
 +
ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อย  จะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว
 +
จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการ  เณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่
 +
รีบสึกออกมาข้าจะใช้  เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ
 +
 +
๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยง  ได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน
 +
เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกัน  ได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้า  หมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย
 +
ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอย  ให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน
 +
ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉัน  แพรพรรณปูนบำนาญประทานให
 +
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้  เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน
 +
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถาน  เสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น
 +
มิใคร่ได้มาหลายทิวาวัน  พระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา
 +
ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้  ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา
 +
เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียา  ให้เสวยโภชนามามีรศ
 +
ดำรัสว่าเองเอายามาให้กู  จะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ
 +
เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนต  พระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน
 +
ทูลแล้วลีลามาสู่บ้าน  เที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน
 +
ไม่หายาทูลลามาแชเชือน  นอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม
 +
คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไป  แสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา
 +
เสวยเวลานั้นมีรศมาก  เพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา
 +
ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยา  เชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี
 +
จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่  อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่
 +
ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้  ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ
 +
แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้ว  ไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด
 +
แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศ  อาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ
 +
 +
๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวาย  เพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง
 +
อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลัง  ไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ
 +
 +
๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอก  พูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม
 +
มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความ  ไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย
 +
ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัส  พระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย
 +
เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ย  ทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ
 +
 +
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดช  สั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี
 +
อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดี  พ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์
 +
กรมช้างผูกช้างพระที่นั่ง  ขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์
 +
เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรง  มีพระองการถามเสนาใน
 +
ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์  ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้
 +
อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้  ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน
 +
เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วย  จึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน
 +
ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกิน  สรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่า  เคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม
 +
แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความ  มันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร
 +
จึงดำรัสความอื่นกับเสวกา  ทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน
 +
พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวน  ตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน
 +
ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่น  ขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น
 +
ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์  เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป
 +
สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจ  ทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่
 +
ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้  ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลง  ของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า
 +
ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนา  ยิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด
 +
เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคน  พระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด
 +
ได้อับอายขายหน้าโทมนัศ  จอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง
 +
ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้า  โรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง
 +
จันทสุบิงสมญากาละกะตัง  ถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ
 +
 +
๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษา  บุตรนัดดาจะมีก็หาไม่
 +
พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไป  เสนาในกราบทูลพระกรุณา
 +
ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพ  อัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา
 +
จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกา  ศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ
 +
จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนา  ช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน
 +
แล้วรับสั่งให้สนมบริพาร  ไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้  พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง
 +
ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้อง  เดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด
 +
จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้น  เปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด
 +
พานางสนมมาที่ศพสถิตย์  นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง
 +
แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้  มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง
 +
สนมตอบว่าพระครูผู้มรณัง  มิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง
 +
จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามา  ตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง
 +
เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วง  ข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ที  เข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า
 +
เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกา  ชลนาไหลนองสองแก้มคาง
 +
ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ย  สิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง
 +
เก้าปีมิได้พบสีกานาง  มาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง
 +
เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่า  ไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง
 +
มานอนตายในกุฎีทีในโลง  พ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย
 +
ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้  กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย
 +
ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวย  เชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา
 +
ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมา  ให้โศการักศพพระครูเฒ่า
 +
อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้า  ทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ
 +
ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายใน  ตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ
 +
สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะ  ที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง
 +
เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถา  ต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง
 +
ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลออง  ไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์  ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย
 +
ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบาย  สั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว
 +
ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการ  ถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว
 +
แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้ว  รับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
==== ====
==== ====
<tpoem>
<tpoem>

การปรับปรุง เมื่อ 15:58, 1 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ไม่ปรากฏ

บทประพันธ์

๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชยบุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา
หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญากู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที
ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถานป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี
บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดีนามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร
ชนชาวภารากว่าห้าแสนเนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน
ตั้งเคหารายรอบขอบนครราษฎรแสนศุขสนุกสบาย
ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชาสมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย
ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้ายไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท
พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้าดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่
พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาในม้ารถคชไกรทหารเดิน
สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ
โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลินรุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา
ส่วนพระจอมเทพีศรีสมรนามกรซื่อสุวรรณบุบผา
ทรงโฉมประโลมใจไนยนาเปนใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน
ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้าโขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว
เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายในบำเรอไทธิบดินทร์นรินทร ฯ
๏ ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราชเปนครูฉลาดรอบรู้ธนูศร
ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจรอิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี
เปนทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี
ทั้งภรรยานงรามพราหมณีรู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญ ฯ
๏ ยังมีสองสามีภิริยาตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน
หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวนเสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้
ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส
ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโตดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง
ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอจะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง
ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคืองจึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์
เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร
เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดี ฯ
๏ ครานั้นท่านภรรยาพฤฒาเถ้าได้ฟังเล่าในฝันนั้นถ้วนถี่
จึงทำนายทายฝันให้ยายปลีว่าจะมีบุตรชายปรีชาคำ
พูดจาแคล่วคล่องว่องไวนักรู้หลักลอดคนข้อคำขำ
เปนตลกหลวงดีมีคนยำท่านจงจำไว้เถิดประเสริฐชาย
ส่วนยายปลีได้ฟังทำนายฝันก็อภิวันท์ลามาด้วยสมหมาย
ประดับประคองท้องไว้ ไม่ระคายค่อยสบายหายทุกข์เปนศุขใจ ฯ
๏ ครานั้นท่านพราหมณ์พฤฒาจารย์กลับมายังสถานที่อาไศรย
ฝ่ายภรรยาก็เล่าความตามทายไปกลัวจะไม่ถูกตำราสามีตน
พฤฒาเถ้าฟังเล่าทำนายฝันหุนหันว่าเจ้าทายไม่เปนผล
บุตรเขาดีจะเปนที่เจ้านายคนทำนายผิดจะไม่พ้นอันตราย
อิกเจ็ดวันฟ้าจะผ่าศีศะเจ้านางฟังเล่าร้อนตัวกลัวใจหาย
ให้อัดอั้นสั่นระรัวทั่วทั้งกายว่าท่านช่วยคิดอุบายให้พ้นไภย
ฝ่ายว่าทิศาปาโมกข์เถ้าช่วยแบ่งเบาทำตามคัมภีร์ไสย
ปั้นรูปพราหมณีใส่ชื่อในไปตั้งไว้ห่างบ้านสถานตน
แล้วเอาขันครอบศีศะที่รูปปั้นพอเจ็ดวันมืดกลุ้มคลุ้มเมฆฝน
ครั่นครื้นเสียงฟ้าคำรามรนพอเม็ดฝนตกต้องลอองปราย
อสนีฟาดเปรี้ยงเสียงสท้านผ่ากระบานรูปปั้นขนสลาย
พราหมณีก็รอดจากความตายด้วยอุบายภัศดาพฤฒาจารย์
จึงมิให้ใช้ขันรองน้ำฝนทุกตัวคนทั่วประเทศเขตรสถาน
กลัวฟ้าจะผ่าขันด้วยบันดาลตลอดกาลจนทุกวันท่านกล่าวมา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพเลิศลบแดนไตรในใต้หล้า
ดำรงเมืองเรืองยศปรากฎมาแสนสำราญโรคาไม่ยายี
ร่วมภิรมย์สมสวาดินาฎนาเรศซึ่งเปนเกษกำนัลนารีศรี
นางทรงครรภ์สิบเดือนกำหนดมีจวนจะคลอดเทพีรัญจวนใจ
ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าโทมนัศพร้อมแพทย์แออัดอยู่ไสว
หมอตำแยอยู่งานนางทรามไวยเวลาได้ฤกษ์ประสูตรพระกุมาร ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมทวาลีบุรีราชบรมนารถเห็นโอรสยอดสงสาร
จึงให้โหราพฤฒาจารย์ดูลักษณกุมารดวงชตา
คูณหารสอบสวนทบทวนไปก็แจ้งใจคืนวันพระชัณษา
จึงกราบทูลว่าองค์กุมารามีบุญญาธิการกล้าหาญครัน
มีเดชะอำนาจราชศักดิปรปักษ์ทั่วทิศกลัวฤทธิพรั่น
แต่เลี้ยงเธอยากนักหนักอกครันถ้าได้กุมารร่วมวันทันเวลา
เมื่อประสูตรโอรสยศไกรหาให้ได้เหมือนกันกับชัณษา
มาเลี้ยงด้วยกันกับราชบุตรากุมาราจึงเจริญไม่มีไภย ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวังได้ทรงฟังโหรแจ้งแถลงไข
จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาในเอาฆ้องไปตีประกาศราษฎร
ว่าผู้ใดคลอดบุตรเมื่อวันวานพระโองการต้องประสงค์อย่าเร้นซ่อน
จะทรงเลี้ยงเคียงดไนยไม่อาทรทั่วนครใครมีบุตรบุรุษชาย
จงบอกความตามจริงอย่านิ่งช้าข้าจะพาบุตรเจ้าเข้าถวาย
อำมาตย์ตีฆ้องพลางทางภิปรายถึงบ้านยายปลีที่ฝันขันพิกล
ความว่าเมื่อภรรยาพฤฒาเถ้าทำนายฝันตามเล่าซึ่งเหตุผล
ยายปลีมีครรภ์ได้สิบเดือนดลคลอดบุตรตนเปนชายโฉมโสภา
ฤกษ์ยามเวลาก็พร้อมกันกับจอมขวัญประสูตรโอรสา
เมื่ออำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวมาตกประหม่าไม่มีขวัญตัวสั่นงก
ครั้นจะนิ่งปิดความว่าไม่มีพระองค์ทราบคดีว่าโกหก
จะลงโทษกายระบมตรมอกฟกนึกแล้วอุ้มทารกมาบอกความ ฯ
๏ ครานั้นเสนาข้าราชการฟังว่าขานสอบไล่ซักไซ้ถาม
รู้แน่ว่าเด็กนั้นพร้อมฤกษ์ยามกับโอรสจอมสยามทวาลี
จึงรับเอากุมารามาถวายทูลดังยายมารดาว่าถ้วนถี่
ฝ่ายพระจอมภาราทวาลีฟังวาทีเสวกาปรีดาครัน
โปรดให้หานางนมแลพี่เลี้ยงประคองเคียงรักษาทารกนั่น
ให้โอรสอย่างไรก็ให้ปันแก่กุมารคนนั้นเหมือนกันมา
จนสองกุมารชัณษาสิบห้าปีโปรดให้เรียนตระบองกระปิติศึกษา
กระบวนรบครบอย่างขี่ช้างม้าพุ่งสาตรายิงแทงแผลงธนู
อิกให้เรียนไตรเพทเวทมนต์ขลังคงจังงังทรหดอดทนสู
แคล้วคลาศสารพัดหัดให้รู้ทรงเอนดูสองราเมตตานัก
ครั้นอยู่มาจอมประชาชราร่างโรคหลายอย่างก่อกวนประชวรหนัก
ตรัสเรียกสองดไนยผู้ยอดรักมอบมไหไตรจักรใครอบครอง
ประทานราโชวาทประสาทให้รักใคร่อย่าเดียดฉันกันทั้งสอง
อย่าข่มเหงต่อยตีเหมือนพี่น้องเจ้าปรองดองสองรารักษาเมือง
แม้นว่าน้องพ้องผิดโทษถึงฆ่าได้เมตตาปัดเป่าให้เบาเปลื้อง
อย่าขุ่นแค้นฆ่าฟันเลยขวัญเมืองถ้าขัดเคืองอดออมถนอมกัน
หนึ่งขุนนางข้าเฝ้าเหล่าทั้งหลายจงแจกจ่ายเบี้ยหวัดดูจัดสรร
ผู้ใดมีความชอบตอบรางวัลให้แบ่งปันสนองคุณการุญรัก
เงินตราผ้าพานทองคำให้เครื่องกาไหล่เครื่องถมแลสมปัก
เสลี่ยงแคร่กระบี่สายสพายสพักสมยศศักดิความชอบจงตอบแทน
ราษฎรทั่วประเทศในเขตรขัณฑ์อย่าเบียนมันให้ทุกข์ร้อนค่อนแค่น
จงเมตตาคนจนขัดสนแกนทุกด้าวแดนให้เปนศุขสนุกใจ
สมณะชีพราหมณ์อย่าหยามหยาบเกรงกลัวบาปละปลดอดจิตรให้
ควรบำรุงสงเคราะห์สักเพียงไรก็จงให้พองามตามศรัทธา
หนึ่งข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่งแม้นระแวงราชกิจผิดนักหนา
จะลงโทษก็ให้ต้องตามอาชญาฤาหนึ่งถ้าทัณฑกรรมทำพอควร
อย่ามากมูลโทษะมนะผิดควรคิดโดยระบอบสอบไต่สวน
ควรเฆี่ยนควรขังเชือกหนังทวนจำโซ่ตรวนขื่อคาอย่าทำเกิน
พ่อจำคำบิดาสั่งตั้งความสัตย์แม้นปฏิบัติชื่อตรงคงสรรเสริญ
ราชการภาราพ่อพย่าเมินอย่าหลงเพลินนางในไม่ได้การ
พระโอรสฟังโองการประทานสอนโอนอ่อนเศียรคำนับรับสั่งสาร
ทั้งราชบุตรบุญธรรมก้มกราบกรานรับโอวาทซึ่งประทานด้วยเศียรตน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์จอมเจิมเฉลิมโลกประชวรโรคแรงกล้าดังห่าฝน
สิ้นกำลังลมปราณเหลือทานทนสวรรคตอยู่บนพระแท่นทอง ฯ
๏ ครานั้นเสวกามหามาตย์เกลื่อนกลาดแออัดจัดสิ่งของ
เครื่องสูงแตรสังข์พระโกษฐทองจ่าปี่จ่ากลองเรียกร้องมา
กลองชนะเบิงมางวางเตรียมไว้ชั้นแว่นฟ้ารีบไปยกคอยท่า
คู่เคียงพระสเลี่ยงเทวดาโปรยมาลาเข้าตอกบอกมาคอย
พระสงฆ์นำน่าฉานอ่านหนังสือสังฆ์การีวิ่งปรื๋อไม่ล้าถอย
เผดียงราชาคณะวัดพระลอยไวไวหน่อยเถิดเจ้าคุณวุ่นเต็มที
ฝ่ายว่าราชาคณะพระญาณสิทธิ์ซึ่งสถิตย์วัดพระลอยก็เร็วรี่
รีบครองผ้าเรียกศิษย์ได้ตามมีสังฆ์การีพามาพักคอยชักนำ ฯ
๏ ครานั้นจึงพระราชกุมารเชิญพระศพสรงสนานจนจวนค่ำ
มาลาภูษาถวายเครื่องทรงประจำเครื่องต้นล้วนทองคำลงยาดี
ทรงเครื่องต้นเสร็จสรรพสำหรับกระษัตริย์เชิญเข้าโกษฐเนาวรัตน์มณีศรี
ประโคมแตรสังข์สนั่นลั่นดนตรีกลองชนะพร้อมตีเสียงมี่วัง
ฝ่ายพวกกระบวนแห่เสียงแซ่ซ้องตั้งกระบวนเปนกองคอยรับสั่ง
ได้เวลาพระศพออกจากวังดูสพรั่งกระบวนแห่แลหลามมา
พวกตั้งชั้นแว่นฟ้าเสนาภิมุขชาดสีสุกทาซ่อมที่คร่ำคร่า
ช่างรักปิดทองผ่องจับตาช่างกระจกประดับประดาที่ชำรุด
เครื่องแก้วตั้งคลังพิมานอากาศจัดศุภรัตขนผ้าไตรอุตลุด
รักษาองค์เติมน้ำมันฟันชุดรายกันจุดอัจกลับสับสนครัน
แห่พระศพถึงที่นั่งมังคลาเชิญตั้งแท่นแว่นฟ้างามเฉิดฉัน
เรียงรอบเครื่องสูงลายสุวรรณจามรทานตวันพัดโบกราย
กลิ้งกลดบดบังพระสุริยนต์หักทองขวางห้าชั้นอิกชุมสาย
แว่นทองปักกระเสตขันทองพรายบุบผาพวงห้อยรายกลิ่นขจร
ข้าราชการกราบราบศิโรตม์ถวายบังคมบรมโกษฐสท้อนถอน
ฤไทยโทมนัศาให้อาวรณ์พิไรรักภูธรสิ้นทุกคน ฯ
๏ ฝ่ายพระราชโอรสยศไกรเสด็จมาโศกาไลยพิไรบ่น
พระราชบุตรบุญธรรมก็ทุกข์ทนน้ำสุชนไหลหลั่งนั่งโศกา
ครั้นจัดแต่งตั้งพระศพครบครันสดัปกรณ์นับพันไตรสิบห้า
พระสงฆ์เนื่องแน่นหลามตามชลาพระราชาคณะได้ไตรทุกองค์
เสร็จทำกุศลกิจอุทิศไปถวายไทชนกนารถราชหงษ์
จึงสมเด็จโอรสยิ่งยศยงเสด็จลงจากปราสาทลีลาศมา
พวกร้องไห้นางในก็ส่งเสียงเสนาะสำเนียงว่าพระพุทธเจ้าข้า
พระร่มโพธิทองล่องสู่ฟ้าเสด็จไปชั้นใดข้าจะตามไป
โอ้พระร่มโพธิแก้วลับแล้วลิบเสวยทิพพิมานสถานไหน
ข้าน้อยพยายามจะตามไปไม่ทิ้งไทนฤเบศร์เกษประชา ฯ
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์ข้าราชการกับพระราชกุมารโอรสา
พร้อมกันกะเกณฑ์การฌาปนาทำมหาเมรุปราค์ตามอย่างยศ
สูงเส้นห้าวาสง่านามเมรุทิศงามสามสร้างต้องอย่างหมด
เมรุทองในเครื่องชั้นเปนหลั่นลดต้องแบบตามบททุกสิ่งอัน
ราชวัตรฉัตรทองฉัตรเงินนากแลหลากตั้งสลับลำดับคั่น
ฉัตรเบญจรงค์รายออกนอกอิกชั้นตลอดกั้นราชวัตรขนัดแนว
ราชวัตรฉัตรรายทางข้างถนนทางสถลที่จะแห่แลเปนแถว
โรงการเล่นเต้นรำทำเสร็จแล้วท้องสนามกวาดแผ้วสอาดเตียน
โรงรำช่องระทาระดาดาษเอาแผงลาดหลังคาทาเครื่องเขียน
กั้นฉากวาดดูงามเรื่องรามเกียรติ์ล้วนแนบเนียนนน่าสนุกทุกโรงงาน
หกคเมนลอดบ่วงห่วงน้อยเสาติดต่อเข้าสามต่อสูงตะหง่าน
รำแพนเสาไต่ลวดสูงลิ่วทยานตามอย่างงานบรมศพมีครบครัน
เตรียมการเสร็จทุกด้านงานกำหนดเชิญพระโกษฐขึ้นรถแห่สนั่น
เข้าพระเมรุสมโภชสิบห้าวันถวายพระเพลิงทรงธรรม์กระษัตรา
สมโภชพระอัฐิลอยอังคารเสร็จการเชิญอัฐิขั้นรัถา
แห่เข้าสู่พระนคราเหล่าเสวกาโศกเศร้าเฝ้าพิไร
จึงประชุมมาตยามหาอำมาตย์จะยกราชโอรสครองกรุงใหญ่
เห็นพร้อมกันต่างอำนวยอวยไชยจึงหมายให้จัดราชาภิเศกการ
เกณฑ์กันทำการทุกด้านทางตามอย่างขัติยามหาศาล
อภิเศกพระราชกุมารให้ขึ้นผานทวาลีบุรีรมย์
ถวายพระนามเหมือนพระราชบิดาว่าทวาลีราชองอาจสม
พระเดชาปรากฎยศอุดมครองบรมธานีศรีโสภา
จึงให้กุมารบุญธรรม์นั้นไปบวชเล่าเรียนสวนพระคัมภีร์มีสิกขา
เปนสามเฌรอู่กับพระครูบาจันทสุบิงสมญาพระอาจารย์ ฯ
             

๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวชท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน
ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทานสามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์
ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อสามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน
ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้นมีปัญญามากครันแปลกกว่าคน
จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น
ลองความรู้พระครูอาจารย์ตนมาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน
ในบทปถมังดังเวหาที่สองว่าชาโตเนข้อขัน
คูชลามิคาลำดับกันเปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร
จัตวาติตานี้ที่สี่แถลงแปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร
ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจนพระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน
ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็นก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น
นั่งคิดนอนคิดให้มิดตันต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ
บอกแก่สามเณรว่าคิดได้ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม
ดังเวหาคืองาช้างงอนงามชาโตตามบทมาว่าคางคก
คูชลามิคาคือครุเก่าชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก
รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยกถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ
จัตวาตีตาตีรั้วบ้านทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ
แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป
แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนามิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้
เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ
๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยงมาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง
ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิงถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก
เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำเห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก
กระบอกผูกพวงวางพลางถามทักกระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา
ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวงบอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า
เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมาพักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที
อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมากข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่
จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธีแจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง
ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถามจึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง
แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลังแกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด
ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไปจะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร
ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน
เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน
พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้นแม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร
สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่งข้าจะรังวัลสบงอังสะให้
แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจจะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว
ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวงมิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว
ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัวให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน
ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่นชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น
แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกนถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร
ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนันจะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร
อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี
สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี
ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารีที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา
แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่งไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า
จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามาไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ
๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมดพวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี
จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดีให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดีฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน
แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนันเอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง
จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง
แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียงหมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชาได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ
เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้านอยากฟังคำให้การจะอย่างไร
จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามาตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน
เณรถวายพรองค์พระทรงไชยทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย
ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตามข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย
จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวายอย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร
ตามีสักสี่ซ้าห้าบาทเจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร
ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวรเงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรดไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
ก็รีบมากุฎีที่อาราม
ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมันเข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ว่ามีพระโองการมาอย่างไรฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วยจึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า
แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมาให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ
๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé
ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจเราจะได้เงินตราไหนมาพอ
แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อนเหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ
สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอจึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง
จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลังขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ
อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ
พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ
แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตนฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด
เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลดอิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย
จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามากคนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย
ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อยจะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว
จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการเณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่
รีบสึกออกมาข้าจะใช้เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ
๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยงได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน
เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกันได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้าหมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย
ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอยให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน
ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉันแพรพรรณปูนบำนาญประทานให
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถานเสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น
มิใคร่ได้มาหลายทิวาวันพระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา
ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา
เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียาให้เสวยโภชนามามีรศ
ดำรัสว่าเองเอายามาให้กูจะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ
เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนตพระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน
ทูลแล้วลีลามาสู่บ้านเที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน
ไม่หายาทูลลามาแชเชือนนอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม
คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไปแสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา
เสวยเวลานั้นมีรศมากเพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา
ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยาเชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี
จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่
ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ
แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้วไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด
แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศอาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ
๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวายเพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง
อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลังไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ
๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอกพูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม
มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย
ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัสพระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย
เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ยทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดชสั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี
อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดีพ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์
กรมช้างผูกช้างพระที่นั่งขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์
เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรงมีพระองการถามเสนาใน
ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้
อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน
เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วยจึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน
ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกินสรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่าเคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม
แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความมันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร
จึงดำรัสความอื่นกับเสวกาทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน
พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวนตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน
ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่นขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น
ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป
สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่
ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา
ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลงของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า
ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนายิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด
เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคนพระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด
ได้อับอายขายหน้าโทมนัศจอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง
ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้าโรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง
จันทสุบิงสมญากาละกะตังถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ
๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษาบุตรนัดดาจะมีก็หาไม่
พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไปเสนาในกราบทูลพระกรุณา
ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพอัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา
จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกาศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ
จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนาช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน
แล้วรับสั่งให้สนมบริพารไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง
ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้องเดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด
จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้นเปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด
พานางสนมมาที่ศพสถิตย์นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง
แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง
สนมตอบว่าพระครูผู้มรณังมิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง
จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามาตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง
เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วงข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ทีเข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า
เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกาชลนาไหลนองสองแก้มคาง
ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ยสิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง
เก้าปีมิได้พบสีกานางมาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง
เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่าไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง
มานอนตายในกุฎีทีในโลงพ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย
ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย
ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวยเชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา
ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมาให้โศการักศพพระครูเฒ่า
อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้าทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ
ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายในตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ
สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง
เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถาต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง
ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลอองไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย
ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบายสั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว
ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว
แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้วรับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ
             

             

             

เชิงอรรถ

ที่มา

[1]

เครื่องมือส่วนตัว