นิราศลอนดอน

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(อธิบายตำนานนิราศลอนดอน)
(ข้อมูลเบื้องต้น)
 
(การแก้ไข 2 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 2: แถว 2:
[[หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์]]
[[หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์]]
[[หมวดหมู่:ประชุมพงศาวดาร]]
[[หมวดหมู่:ประชุมพงศาวดาร]]
 +
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]]
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
แถว 8: แถว 9:
เป็นส่วนหนึ่งใน [[ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕]]
เป็นส่วนหนึ่งใน [[ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕]]
 +
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
=== อธิบายตำนานนิราศลอนดอน ===
=== อธิบายตำนานนิราศลอนดอน ===
แถว 37: แถว 39:
=== นิราศลอนดอน ===
=== นิราศลอนดอน ===
 +
<tpoem>
 +
  ๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล
 +
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน  เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย
 +
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช  ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย
 +
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน  อาสาไทจอมจักรหลักนคร
 +
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ  แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร
 +
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน  กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล
 +
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์  จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน
 +
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวน  อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย
 +
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์  ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล
 +
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล  ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง
 +
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์  ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง
 +
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง  ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล
 +
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด  เดียรดาษธงทิวปลิวไสว
 +
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย  จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ
 +
 +
 +
๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์  เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน
 +
อุปทูตที่สองรองถัดนั้น  เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา
 +
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์  ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า
 +
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา  ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง
 +
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์  บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง
 +
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง  ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน
 +
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์  ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน
 +
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์  ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ
 +
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก  พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย
 +
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน  บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร
 +
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ  แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน
 +
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร  จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน
 +
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้  ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล
 +
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล  พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา
 +
สมถวิลภิญโญสโมสร  รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา
 +
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา  แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย
 +
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์  เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย
 +
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย  แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา
 +
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ  ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา
 +
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา  คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม
 +
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย  เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม
 +
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม  ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี
 +
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ  ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี
 +
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี  ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน
 +
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น  ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น
 +
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ  ทานตวันพัดโบกระบายลม
 +
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ  ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม
 +
เปนสง่างามกระบวนควรจะชม  ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา
 +
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ  ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา
 +
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา  พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร
 +
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง  ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน
 +
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล  สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี
 +
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น  ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี
 +
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี  ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ
 +
 +
๏ แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก  คิดชนกชนนีมิรู้หาย
 +
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย  อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร
 +
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น  แรกรักรื่นจำไปไกลสมร
 +
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร  ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา
 +
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท  ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา
 +
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา  มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา
 +
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท  จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา
 +
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา  ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร
 +
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม  ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร
 +
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร  ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล
 +
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้า  ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน
 +
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล  จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ
 +
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร  สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้
 +
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป  พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก  จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน
 +
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน  จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ
 +
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร  เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว
 +
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ  ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง
 +
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี  สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง
 +
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง  จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย
 +
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง  คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย
 +
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย  ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน
 +
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง  ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น
 +
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน  นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ
 +
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ  บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ
 +
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ  สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี
 +
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่  ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี
 +
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี  ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ
 +
 +
 +
๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร  ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง
 +
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง  สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ
 +
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ  ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ
 +
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ  เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย
 +
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ  กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย
 +
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย  เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง
 +
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก  ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ
 +
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง  ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง
 +
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง  สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง
 +
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง  เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม
 +
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร  แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม
 +
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม  จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ
 +
 +
 +
๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ  จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์
 +
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน  ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี
 +
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์  ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่
 +
สะกรูหันผันพัดในนัที  เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล
 +
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ  ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน
 +
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน  ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง
 +
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย  เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง
 +
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง  ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง
 +
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ  จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง
 +
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง  พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม
 +
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา  สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม
 +
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ  ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล
 +
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ  ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส
 +
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ  แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน
 +
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร  สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน
 +
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน  เรือก็เดินล่วงมาในสาคร
 +
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ  เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน
 +
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน  เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน
 +
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก  ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน
 +
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน  สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ
 +
สุริยงลงลับคิรีศรี  ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ
 +
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ  แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง
 +
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน  ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง
 +
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง  ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล
 +
นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉม  ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล
 +
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ  จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ
 +
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย  ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์
 +
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน  เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ
 +
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด  ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ
 +
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ  แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี
 +
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น  มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี
 +
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี  ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก
 +
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย  เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข
 +
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก  เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม
 +
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก  ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม
 +
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม  เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ
 +
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก  เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ
 +
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน  เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา
 +
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร  ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา
 +
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา  พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง
 +
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด  จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง
 +
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง  นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์
 +
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ  แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร
 +
มาอ้างว้างอาทวาในสาคร  จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง
 +
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง  สุดประทังสุดทนกระมลหมาง
 +
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง  สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา
 +
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว  เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา
 +
คิดก็แค้นแสนเวทนาตา  ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ
 +
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่  ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร
 +
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ  มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน
 +
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย  ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน
 +
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์  อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย
 +
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ  ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย
 +
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย  เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง
 +
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า  โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง
 +
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง  อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง  ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา
 +
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา  เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน
 +
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด  เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน
 +
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน  ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี
 +
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก  อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี
 +
ถืออาวุธทำท่าจะราวี  กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ
 +
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง  ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร
 +
ขนกระสุนดินดำทำอาการ  จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว
 +
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง  ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว
 +
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว  ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี
 +
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น  เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่
 +
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที  ดูราวีอย่างทหารชาญทเล
 +
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์  แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส
 +
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ  จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา
 +
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล  ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา
 +
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา  รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน
 +
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ  ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น
 +
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน  กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน
 +
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย  นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน
 +
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน  เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว  ระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน
 +
บ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนิน  กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ
 +
ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด  กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น
 +
ล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน  เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ
 +
มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน  ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ
 +
มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ  เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา
 +
ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์  จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา
 +
สักสี่โมงเศษสายได้เวลา  ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์
 +
ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง  เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่
 +
ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร  ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง
 +
ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่  ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง
 +
แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง  โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี
 +
ให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม  ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่
 +
ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี  จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง  ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย
 +
จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย  แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี
 +
ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง  ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี
 +
แขกชวามลายูชาวบุรี  เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป
 +
เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ  ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย
 +
ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ  ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ
 +
เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม  เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป
 +
สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ  ควันตลบมืดมนท์อนธการ
 +
พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก  มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร
 +
เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน  กลองประสานรัวเร่งตะรังตัง
 +
พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ  ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง
 +
สารถีตีขวับขับประดัง  ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล
 +
ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก  ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น
 +
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น  ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ
 +
แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน  ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
 +
อันตรายราคีไม่มีพาน  พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย
 +
อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม  แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย
 +
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ  บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ
 +
พระพิเทศพานิชสนิทนัก  สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม
 +
ภูวนาถโปรดปรานประทานนาม  ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย
 +
มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น  ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย
 +
แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ  หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน
 +
ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง  เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน
 +
วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ  แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ
 +
ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ  บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน
 +
ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน  พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร
 +
ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ  เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน
 +
แถวถนนคนกวาดสอาดเตียน  ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป
 +
ครั้นถึงเขตรเคหาสารถี  หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว
 +
ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย  ริมบันไดสองข้างที่ทางจร
 +
คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย  มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน
 +
อิกเภตราในมหาชโลทร  ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ
 +
ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด  แลประหลาดตึกรามงามขยัน
 +
แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน  เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ
 +
ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ  แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ
 +
ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ  ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร
 +
ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น  ค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร
 +
แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร  รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา
 +
ก็ชวนกันผันผายออกจากที่  จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา
 +
จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา  อนิจจาจำใจต้องไกลเมือง
 +
แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก  ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง
 +
พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง  ไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวี
 +
โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย  สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี
 +
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี  กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ
 +
 +
 +
๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ  เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า
 +
จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา  กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป
 +
เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา  มีเกาะแก่งในมหาชลาไหล
 +
แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ  ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา
 +
มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน  เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา
 +
ชื่อบุรียะกะตราชวาเนา  แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา
 +
กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร  เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า
 +
จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา  ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ
 +
ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ  ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว
 +
แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย  ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี
 +
ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ  เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี
 +
มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที  น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น
 +
แวะสนานธารสบายให้หายร้อน  ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ
 +
ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน  เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน
 +
ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ  ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์
 +
เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน  จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย
 +
เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง  ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย
 +
ผลาผลต่างต่างเอาวางราย  ดูหลากหลายผักปลาสารพัด
 +
กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น  ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด
 +
บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด  เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล
 +
แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา  ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่
 +
นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร  ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน
 +
บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม  ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน
 +
อิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน  อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ
 +
แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน  พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย
 +
ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย  ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม
 +
นี่จนจิตต์กิจราชการหลวง  จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม
 +
ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม  ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร
 +
แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า  ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร
 +
จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร  เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน
 +
กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน  จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน
 +
ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน  เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ
 +
อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น  ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ
 +
ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ  มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย
 +
พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น  แสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย
 +
มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย  เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร
 +
นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่  ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน
 +
ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน  ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล
 +
ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด  ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห
 +
ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท  คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ
 +
 +
 +
๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด  เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน
 +
ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ  เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ
 +
แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้  ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่
 +
แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล  ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง
 +
ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ  กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง
 +
ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง  แทบวายวางชีวันอันตราย
 +
ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ  คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย
 +
ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย  ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป
 +
ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน  เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล
 +
ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย  มิใคร่ได้นิทราอุรารึง
 +
หลายทิวามากลางทางทุเรศ  จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง
 +
ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง  จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี
 +
ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้  สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่
 +
ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี  เกิดกุลีลมกล้าสลาตัน
 +
เสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวน  กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน
 +
ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน  ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา
 +
ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข  เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า
 +
คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา  แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์
 +
คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ  เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน
 +
จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร  ทินกรผุดพ้นชลธี
 +
ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า  อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี  มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร
 +
แต่พายุยังจัดพัดกระโชก  เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว
 +
เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ  แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย
 +
ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ  ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย
 +
ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย  ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง
 +
ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน  ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง
 +
โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง  คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม  กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร
 +
เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ  เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร
 +
ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน  ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน
 +
มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร  ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ
 +
พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง  ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส
 +
ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสว  คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที
 +
เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ  สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี
 +
ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี  เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ
 +
ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี  ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร
 +
พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน  ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน
 +
เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ  เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์
 +
ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน  เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง
 +
ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น  อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง
 +
ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง  ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน
 +
มันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน  ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน
 +
ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน  พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา
 +
เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย  เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า
 +
พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา  ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง
 +
เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น  ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง
 +
ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง  ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี
 +
ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย  มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี
 +
หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี  ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ
 +
กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น  ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน
 +
แล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร  ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ
 +
เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่  ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา
 +
ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา  จะวอนว่าไต่ถามนามกร
 +
ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน  บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน
 +
พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร  เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย
 +
เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก  หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย
 +
มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย  ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง
 +
ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่  เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง
 +
โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง  นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย
 +
เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย  ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย
 +
ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล  กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง
 +
ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง  งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง
 +
ในกระแสแลหลามตามหนทาง  ลอยสล้างเหลือล้นคณนา
 +
นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด  ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา
 +
นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา  อังกฤษว่าบูบีปีกษีบอ
 +
บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม  จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ
 +
ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ  เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล
 +
ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด  ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน
 +
แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน  ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน
 +
พายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้า  กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น
 +
เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน  เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน
 +
ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์  ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ
 +
ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ  ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี
 +
ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง  เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี
 +
ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี  ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ
 +
เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้  มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข
 +
ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต  แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง
 +
มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ  ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง
 +
แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง  ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด  พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน
 +
พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ  กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน
 +
กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา  ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน
 +
ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน  จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร
 +
ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน  เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน
 +
เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน  รับประมาญเปนธุระทุกประการ
 +
ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด  ประสามิตรผูกรักสมัคสมาน
 +
ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ  ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง
 +
ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ  ชมตลาดตึกรามตามประสงค์
 +
ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง  เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน
 +
พอบังลมร่มแดดที่แผดเผา  ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน
 +
เขาคิดทำไร่นาประสาจน  อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี
 +
เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย  มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี
 +
แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี  ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว
 +
จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม  ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว
 +
สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว  แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร
 +
เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย  แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่
 +
บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล  จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ
 +
 +
 +
๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด  ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก
 +
ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก  ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา
 +
สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ  อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า
 +
ให้ชักธงจอมจักรนัครา  ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ
 +
เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง  สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน
 +
มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน  อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง
 +
ทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่น  บันฦๅลั่นในชลาป่ารหง
 +
ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง  ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี
 +
แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร  เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี
 +
ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที  ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย
 +
นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด  เดียรดาษแลดูล้วนปูหอย
 +
นกยางย่องจ้องจับขยับคอย  ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน
 +
นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด  เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์
 +
เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน  รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี
 +
ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส  นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี
 +
กระทุงทองล่องลัดในนัที  ฉลาดดีเอาปากลงลากอวน
 +
ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง  ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน
 +
ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล  นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ
 +
เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้  ก็ตกใจบินบากจากกระแส
 +
ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ  ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด
 +
นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา  ไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิท
 +
แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร  โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ
 +
 +
 +
๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว  มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า
 +
ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา  เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล
 +
พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น  ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น
 +
บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น  บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน
 +
ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก  เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์
 +
ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้น  ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน
 +
มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง  จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล
 +
หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ  อันราคินข้อไรมิให้มี
 +
แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง  ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้
 +
พอทูตถึงที่พลันในทันที  ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน
 +
สำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย  พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน
 +
มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ  ขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง
 +
แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ  แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง
 +
เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง  คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้
 +
ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี  แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข
 +
เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต  กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี
 +
พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น  ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่
 +
กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี  ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน
 +
จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ  ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์
 +
ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน  เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย
 +
แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย  ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย
 +
พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย  ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร
 +
เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม  ให้มาชมตามทางต่างสมร
 +
เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์  นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน
 +
ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น  ไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน
 +
เมื่อพ้นจากวังวนชลธาร  ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย
 +
หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์  เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย
 +
มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย  ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว
 +
ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ  ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว
 +
กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว  โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน
 +
ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น  ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์
 +
มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ  ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร
 +
ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย  นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน
 +
เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน  สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ
 +
เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน  เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้
 +
ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจ  เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ
 +
 +
 +
๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ  ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน
 +
ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน  ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์
 +
ที่ดำรงองค์มหาอุปราช  ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์
 +
ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล  ดูมากมูลพลไพร่ในบุรี
 +
พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด  อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่
 +
เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี  ให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง
 +
ทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับ  โคมสำหรับนำหน้าพาผยอง
 +
ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง  เคียงประคองข้างรถบทจร
 +
บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี  จนถึงที่ตึกโตสโมสร
 +
กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน  ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย
 +
ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง  ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย
 +
เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย  ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ
 +
ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ  ให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน
 +
ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์  ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง
 +
ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง  ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง
 +
มาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง  ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป
 +
ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน  ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย
 +
ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน  เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา
 +
แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก  ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา
 +
พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา  ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร
 +
ในทวารมีทหารถือกระบี่  ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส
 +
ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช  ประตูโทถัดนั้นทหารปืน
 +
ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ  พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น
 +
ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน  ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ
 +
ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก  ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ
 +
หกกระบอกม้าลากก็มากพอ  ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว
 +
ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา  ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว
 +
ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว  ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี
 +
รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง  ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่
 +
เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี  เธอพาทีจับมือไม่ถือยศ
 +
ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร  โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ
 +
แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต  ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล
 +
เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน  แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว
 +
แดดก็ร่มลมชายสบายใจ  มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ
 +
กรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว  โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์
 +
พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น  ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง
 +
มลุลีมลิลากับกาหลง  รำดวนดงดกดอกออกสล้าง
 +
สละเสลาลางลิงมะปริงปราง  ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ
 +
คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม  ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ
 +
ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ  มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง
 +
ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย  ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์
 +
กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง  โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม
 +
หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น  แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม
 +
มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม  ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร
 +
เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง  เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว
 +
ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ  เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง
 +
บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย  เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง
 +
เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง  กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา
 +
แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี  เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า
 +
ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา  เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ
 +
แล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน  ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส
 +
ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร  ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ
 +
มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง  กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด
 +
ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด  เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร
 +
ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง  แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร
 +
ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน  ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย
 +
ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก  สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย
 +
ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย  ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง
 +
ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้  กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง
 +
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง  อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม
 +
เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน  บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม
 +
บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม  บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา
 +
เขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง  มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา
 +
สลักรูปหอยปูเงือกงูปลา  ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย
 +
มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ  ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย
 +
จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย  ทำลวดลายเลขาก็น่าชม
 +
สำหรับเจ้านัครามาประพาส  สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม
 +
พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์  ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์
 +
แล้วพากันกลับหลังมายังตึก  อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร
 +
โอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร  ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น
 +
แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ  อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ
 +
ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น  ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย  เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน
 +
ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน  แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ
 +
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี  ก็ลุที่ริมแควกระแสไหล
 +
เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์  เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพาน
 +
แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ  ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน
 +
ไว้สำหรับจรดลในชลธาร  เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ
 +
แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง  พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้
 +
ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไป  รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน
 +
ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า  มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์
 +
ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์  เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร
 +
อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก  ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ
 +
ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ  เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว
 +
เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก  เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว
 +
แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว  คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน
 +
ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า  ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์
 +
สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน  นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม
 +
ตื่นผวาหานางเห็นสางแสง  กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม
 +
ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม  เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง
 +
ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท  มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง
 +
สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง  ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล
 +
เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด  แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล
 +
ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท  เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร
 +
ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า  ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ
 +
เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน  จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์
 +
เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง  บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน
 +
ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน  แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี
 +
ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว  จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่
 +
พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที  เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ
 +
 +
 +
๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน  ถึงกำปั่นแสนโสมนัสา
 +
ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา  ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี
 +
เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก  ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี
 +
ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี  เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย
 +
แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน  แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย
 +
นั่งพูดจาเล่นตามความสบาย  แล้วหกนายต่างพากันลาจร
 +
ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ  ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร
 +
อยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร  ไปในท้องชโลทรทางกันดาร
 +
ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่  อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร
 +
รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ  สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง
 +
แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้  ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง
 +
ถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง  ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา
 +
กัปตันให้เรือรอสมอทอด  ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา
 +
แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา  บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ
 +
ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์  ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร
 +
ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน  คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย
 +
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ  ควันตระหลบดินดาลสท้านไหว
 +
แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป  อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา
 +
เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง  ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา
 +
ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา  ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน
 +
พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข  แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์
 +
ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน  ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง
 +
นึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง  จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง
 +
ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง  บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย
 +
ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น  ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล
 +
กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ  แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ
 +
 +
 +
๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด  ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห
 +
ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน  ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก
 +
คลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย  นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก
 +
กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก  จนยามดึกลมจัดพัดกระพือ
 +
กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ  ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ
 +
คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ  เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ
 +
แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น  ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ
 +
ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ  จนข้อเสือก้านจักรหักออกไป
 +
ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์  แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่
 +
เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้  ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ  อยู่ริมเขตรวังวนชลสาย
 +
คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย  จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี
 +
ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง  ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี  ต่างยินดีปราไสกันไปมา
 +
บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม  ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา
 +
บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา  บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย
 +
เขาผูกรักชักชิดสนิทสนม  ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย
 +
อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย  ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ
 +
 +
 +
๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย  ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์
 +
ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน  พายุนั้นสามารถทายาดพอ
 +
แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่  ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ
 +
เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ  คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม
 +
พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช  จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม
 +
เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม  ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย
 +
เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ  ปรกติไปโดยสดวกได้
 +
ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย  เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ
 +
คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ  ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน
 +
เปนเวลาสุริยนอนธการ  ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน
 +
ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง  แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น
 +
ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์  โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป
 +
ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์  เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย
 +
ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้  รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา
 +
ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง  พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา
 +
ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา  โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง
 +
ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า  ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง
 +
ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง  แลสล้างทั้งสามงามวิไล
 +
ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ  ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย
 +
ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ  มาถามไถ่ทักทายเราะรายดี
 +
แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง  พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี
 +
มีประสาสน์พระราชเสาวนี  ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา
 +
เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง  พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา
 +
ไว้สำหรับรับราชสารา  กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง
 +
จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไป  ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง
 +
เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง  ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา
 +
แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์  ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา
 +
จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา  มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง
 +
แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ  ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง
 +
สิ่งใดใดมีในบุรีเรือง  แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล
 +
อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด  อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน
 +
ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน  เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง
 +
แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น  แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง
 +
กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง  เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน
 +
ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ  แลสลับน่าดูหมู่ทหาร
 +
ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร  แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง
 +
ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด  ก็แออัดสับสนคนสพรั่ง
 +
มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง  บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย
 +
เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด  มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว
 +
แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล  ตลอดไปจนรถช่างงดงาม
 +
สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น  พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม
 +
พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม  ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล
 +
แอดมิรัลนายทหารชาญสมุท  ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว
 +
สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย  ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์
 +
ทหารรับจับเชือกกระชากปราด  พอนกฉาดปืนลั่นควันขมง
 +
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง  คำนับธงแทนนาถบาทยุคล
 +
แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ  ม้าพยศวิ่งวางกลางถนน
 +
ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล  ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ
 +
สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก  ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ
 +
แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ  ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน
 +
ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย  ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล
 +
แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร  ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก  เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
 +
จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ  สายตวันเวลาสักห้าโมง
 +
เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก  ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง
 +
บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง  ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง
 +
สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน  กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง
 +
ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง  ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน
 +
พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน  ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน
 +
จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน  เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง
 +
มีทหารถือกระบี่เปนทีท่า  ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง
 +
งามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง  สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป
 +
อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ  เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน
 +
เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย  ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน
 +
พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่  เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน
 +
ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล  ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ
 +
ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก  ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน
 +
ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร  โอฬาลานทีท่าน่าสบาย
 +
ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ  รถประทับนายทวารเปิดบานผาย
 +
ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย  มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร
 +
แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ  ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์
 +
เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน  มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน
 +
จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่  คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน
 +
เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน  ไม่เกียจกลการงานขยันจริง
 +
เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว  รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง
 +
ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง  เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน
 +
แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด  ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน
 +
เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน  เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี
 +
ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย  สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี
 +
ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที  นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง
 +
เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร  เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง
 +
นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง  จนระฆังขานก้องถึงสองยาม
 +
ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์  ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม
 +
ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม  ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง
 +
ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ  สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง
 +
เอาพระเดชจอมจักรหักระคาง  ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม
 +
เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า  ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม
 +
พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม  ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน
 +
แต่วิสัยใจบุถุชนนี้  ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน
 +
หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน  ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน
 +
อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น  ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน
 +
วายถวิลเพียงเวลาทิพากร  คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี
 +
แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง  เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
ก็พูดจาปราไสใจยินดี  บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ
 +
 +
 +
๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน  มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน
 +
ไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์  ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง
 +
ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า  ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง
 +
อาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง  ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน
 +
เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก  ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์
 +
แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน  มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู
 +
แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง  ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้
 +
ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู  ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย
 +
ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ  แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย
 +
จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย  เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง
 +
ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร  บังคับการข่มขี่ทีข่มเหง
 +
ข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรง  คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย
 +
ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ  ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย
 +
ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย  ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ
 +
ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ  เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ
 +
ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ  ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา
 +
พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ  ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา
 +
ยิงระดมล้มระดะดาษดา  คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ
 +
เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ  ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว
 +
เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้  ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ
 +
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ  ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ
 +
ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ  แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง
 +
บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง  ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง
 +
แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง  ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ
 +
แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า  บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ
 +
สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ  ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป
 +
ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น  ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย
 +
ส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล  ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ
 +
ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม  รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ
 +
ถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอ  คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม
 +
ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง  ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม
 +
ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม  สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น
 +
จึงคืนคงลงจากพาชีชาติ  ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน
 +
มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน  หวังจะกันกีดไว้มิให้จร
 +
ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์  ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน
 +
แล้วนารีขี่ควบอัศดร  ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน
 +
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด  เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน
 +
ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ  ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ
 +
 +
 +
๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ  ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง
 +
ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง  ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง
 +
บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า  ยืนแยกขาทำตามความประสงค์
 +
คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง  เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน
 +
สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว  เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน
 +
บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน  ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน
 +
บางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือก  กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน
 +
กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน  พัลวันไวว่องทั้งสองนาย
 +
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง  คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย
 +
ขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย  ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน
 +
เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า  ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น
 +
แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน  ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา
 +
อีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วง  กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า
 +
ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า  โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม
 +
แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม  ก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม
 +
แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม  ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ
 +
ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม  กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้
 +
ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป  แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ
 +
 +
 +
๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด  ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา
 +
ชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชา  มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม
 +
แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ  ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม
 +
สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ  คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน
 +
พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง  ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน
 +
ชายตลกยกเท้าอัศดร  ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา
 +
ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด  สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา
 +
บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา  แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย
 +
มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา  ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย
 +
ตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย  นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร
 +
ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า  ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน
 +
เราจะห้ามปรามไว้มิให้จร  อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี
 +
มิศกุกรับคำทำเปนว่า  มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่
 +
แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี  จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน
 +
สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง  ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน
 +
ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน  แล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไป
 +
ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน  ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้
 +
มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว  ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที
 +
จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา  ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋
 +
คนตลกจึงว่าแก่พาชี  หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร
 +
ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก  สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน
 +
ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร  จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย
 +
ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์  โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย
 +
มิศกุกนายม้าปรีชาชาย  ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว
 +
แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง  ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว
 +
ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว  สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน
 +
คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ  ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
 +
คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ  ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ
 +
เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง  เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์
 +
เอานารีรูปร่างสำอางครัน  เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล
 +
แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น  ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย
 +
ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก  ดังเหาะได้จริงจังลำพังตน
 +
บางทีผุดผายผันจากบรรพต  เห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน
 +
บางทีขึ้นจากพื้นภูวดล  แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร
 +
คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้  รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร
 +
ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร  ดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม
 +
เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ  คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม
 +
คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม  ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ
 +
 +
 +
๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ  ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว
 +
มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย  จัดรถให้ห้ารถบทจร
 +
ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน  ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน
 +
เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์  ราษฎรเสียให้จึงได้ดู
 +
มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท  สิงหราชกรินีทั้งหมีหมู
 +
อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู  ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน
 +
แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา  พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน
 +
ฟานกระจงเลียงผาสารพัน  จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน
 +
กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก  ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย
 +
อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ  ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว
 +
เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง  ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว
 +
ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว  ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย
 +
มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง  เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย
 +
เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย  ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา
 +
ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ  คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า
 +
จรเข้หอยปูงูเต่าปลา  สกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน
 +
ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่  เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน
 +
แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ  บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย
 +
ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก  ซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหว
 +
แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร  ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ
 +
จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง  แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ
 +
ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ  ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต
 +
ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง  อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้
 +
สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ  กินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน
 +
เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร  ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์
 +
แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน  จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน  ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา
 +
ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา  เปนมหานาเวศวิเศษนัก
 +
ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย  แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก
 +
ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก  คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี
 +
ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น  เขียนสุวรรณลวดลายระบายสี
 +
มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที  ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ
 +
ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด  ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ
 +
ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ  เขาหาทำของเข้าเอามาไว้
 +
ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง  แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว
 +
เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ  ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ
 +
บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น  แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน
 +
เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร  ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด  ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย
 +
ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย  ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา
 +
ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น  ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา
 +
ใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคา  ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน
 +
ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง  พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน
 +
เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร  เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด
 +
อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง  ตามแถวท้องวารินยินถนัด
 +
เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด  ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี
 +
อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น  โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่
 +
สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี  เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย
 +
เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด  ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล
 +
พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร  ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย  ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ
 +
ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ  เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน
 +
ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่  ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล
 +
ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์  ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล
 +
กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง  คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย
 +
มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ  กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน
 +
อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม  มาควบคุมของขนไปจนสิ้น
 +
บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์  ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา
 +
แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน  กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา
 +
 +
 +
๏ อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา  ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง
 +
ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า  พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง
 +
อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง  ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ
 +
ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่  ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์
 +
ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน  มีพระบัญชาตรัสดำรัสการ
 +
ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ  ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น
 +
ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร  ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา
 +
ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ  ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า
 +
จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา  มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี
 +
เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท  ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี
 +
หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี  อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด
 +
ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า  จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้
 +
เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย  ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง
 +
ราชทูตรับว่าอย่าปรารภ  จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง
 +
แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง  ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ  ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง
 +
เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง  ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์
 +
ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต  พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี
 +
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี  ในการที่รับทูตขอหยุดไว้
 +
อีกสักแปดราตรีพอมีสุข  ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย
 +
ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ  ต้องรอไปป่วยการนานเวลา
 +
ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ  ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา
 +
เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา  กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี
 +
แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น  ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี
 +
คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี  แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ
 +
 +
 +
๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน  ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน
 +
ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ  ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน
 +
ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก  แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์
 +
สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ  ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร
 +
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ  มารับรองพูดจาอัชฌาสัย
 +
แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป  ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล
 +
ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน  ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน
 +
สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน  แล้วต่างคนจากที่เดินลีลา
 +
เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอย  เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา
 +
มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา  ลำคงคาเรือแพออกแจจรร
 +
ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง  ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น
 +
ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์  อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย
 +
รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง  พื้นนภางค์โอภาษประลาดหลาย
 +
แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย  คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง
 +
ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล  ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง
 +
ไม่มีข้อสงสัยใจประวิง  ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ
 +
ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่  จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ
 +
ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ  ไปดูหนังฟังคำบทเจรจา
 +
อันรูปหนังดูงามตามวิสัย  เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา
 +
มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา  บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน
 +
ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ  ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน
 +
ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น  ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด
 +
ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง  ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์
 +
อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์  ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน
 +
ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน  จรจัลกลับหลังยังสถาน
 +
ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน  เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ
 +
 +
 +
๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน  สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง
 +
ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง  ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น
 +
เขามาชวนไปยังที่วังแก้ว  ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น
 +
ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน  ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์
 +
มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ  อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน
 +
ครั้นถึงวังรัตนาพากันจร  เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล
 +
ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว  วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส
 +
ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร  ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา
 +
สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น  เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา
 +
ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา  ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย
 +
มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น  ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย
 +
แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชาย  ประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ
 +
แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์  ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน
 +
รูปคนป่าราษีไม่มีนวล  ทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง
 +
แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย  ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง
 +
แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง  จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย
 +
มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด  ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย
 +
ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย  แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน
 +
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ  หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น
 +
ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน  แต่พิรุณจวนรินโรยลออง
 +
ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด  คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง
 +
เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง  พอพวกพ้องที่รักมาชักชวน
 +
ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ  ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ
 +
จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน  แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา
 +
แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง  เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา
 +
ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา  ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย
 +
จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย  ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย
 +
ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย  เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ
 +
พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง  เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน
 +
ดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน  ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง
 +
ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า  ดูพักตราราษีไม่มีหมอง
 +
ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง  ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ
 +
ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่  ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์
 +
เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน  เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ
 +
 +
 +
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง  มายับยั้งไสยาที่อาศรัย
 +
จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย  พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน
 +
ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น  สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน
 +
รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล  ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง
 +
ทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก  วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง
 +
กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง  แลสล้างล้อมขนานพระมารดร
 +
รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย  ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน
 +
มีคนดำน้ำอดบทจร  ในสาครทนจมอยู่นมนาน
 +
แสนสบายหายใจก็ได้คล่อง  ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน
 +
ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร  วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา
 +
อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ  ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา
 +
แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา  เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง
 +
ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย  ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง
 +
ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง  ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ
 +
 +
 +
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ  กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์
 +
สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก  มาชวนชักให้สนานสำราญกาย
 +
ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ  วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย
 +
เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย  ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย
 +
นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน  โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว
 +
บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน  ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด
 +
ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร  แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด
 +
ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด  มรกดไพฑูรย์จำรูญราย
 +
เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร  หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย
 +
สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย  ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน
 +
ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก  ถึงสำนักรถไฟจะผายผัน
 +
พอประสพพบเห็นเยนเนอรัล  ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร
 +
หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น  ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร
 +
ถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวร  ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง
 +
อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ  เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง
 +
ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง  ทูตประคองเคียงตั้งระวังดู
 +
อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น  ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้
 +
ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู  แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน
 +
กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร  ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร
 +
กระหนกนอกดอกช่ออรชร  ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย
 +
เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่  ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยาย
 +
ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย  พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง
 +
ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ  ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง
 +
ริมถนนคนผู้ดูประดัง  ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร
 +
ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์  ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข
 +
น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต  ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน
 +
บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต  บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์
 +
ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน  ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี
 +
แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก  ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี
 +
จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี  ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ
 +
 +
 +
๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว  ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง
 +
ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง  ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ
 +
ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย  ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ
 +
เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ  กลองขยับมือถี่ตีออกรัว
 +
เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร  เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว
 +
ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว  ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน
 +
เชิญพวกทูตจากรถบทบาท  ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน
 +
ให้พักพาอาศรัยในตำบล  เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย
 +
ชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาว  ถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัย
 +
จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน  กระจกใส่ช่องชิดสนิทดี
 +
เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น  ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี
 +
ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี  ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์
 +
บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์  ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร
 +
แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร  เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง
 +
เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง  ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง
 +
ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง  เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน
 +
ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช  คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน
 +
ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ  พานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย
 +
ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม  ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย
 +
เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย  แต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกร
 +
ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด  ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน
 +
คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร  พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป
 +
แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร  คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส
 +
แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย  ขุนปรีชาล่ามในบวรวัง
 +
ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด  เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง
 +
ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง  จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา
 +
ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์  ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา
 +
ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา  อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน
 +
แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า  ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว
 +
ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย  เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม
 +
ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง  ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม
 +
รับพระราชโองการบรรหารความ  จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี
 +
ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง  มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี
 +
โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี  ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน
 +
จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข  ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน
 +
สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล  ข้างพวกทูตอภิวันทนาการ
 +
อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง  คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น
 +
แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน  ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย
 +
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง  จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย
 +
พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย  วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ
 +
ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง  พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน
 +
ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์  จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย
 +
ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า  เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย
 +
ได้รับทูตสององค์พระทรงชัย  ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน
 +
ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น  เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น
 +
เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน  จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม
 +
จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่  เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม
 +
ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม  จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี
 +
ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อน  สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
พวกพานิชลูกค้าประชาชี  ได้ไปที่ค้าขายสบายบาน
 +
อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง  ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร
 +
ไปรับทูตข้ามวนชลธาร  ทางกันดารตั้งใจระไวระวัง
 +
ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล  ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง
 +
โดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง  เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้
 +
ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า  กลับออกมาชี้แจงแถลงไข
 +
ว่าพระนางยินดีมีพระทัย  ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ
 +
สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ  กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน
 +
ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ  แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย
 +
ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้  พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่
 +
ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไป  ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ
 +
ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า  จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม
 +
จะคายคมสมควรไม่ลวนลาม  เวลานี้จงประณามประนมลา
 +
ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง  ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา
 +
คลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา  เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ
 +
 +
 +
๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช  เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง
 +
อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง  ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา
 +
ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง  แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า
 +
ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา  ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา
 +
ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร  ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา
 +
ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา  ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ
 +
ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ  เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ
 +
ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ  จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด
 +
เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช  หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส
 +
มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน  ประมาณได้สามสิบพอดิบดี
 +
อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์  ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี
 +
สวยสอาดเปนพระราชสามี  แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ
 +
ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด  เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ
 +
อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ  ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน
 +
ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย  โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร
 +
สารพัดเครื่องราชบรรณาการ  พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า  สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง
 +
เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง  ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา
 +
อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น  กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา
 +
ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา  ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม
 +
บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด  บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม
 +
ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม  ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ
 +
 +
 +
๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน  เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน
 +
ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน  ชมศัสตราดาเดียรดาษดู
 +
อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ  รายประจำตามผนังวางเปนคู่
 +
มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู  ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง
 +
เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก  หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง
 +
เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง  เสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน
 +
สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ  ยุรยาตรคืนหลังยังสถาน
 +
ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน  แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ
 +
จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ  ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา
 +
เสียงม้ารถอึงอัดรัถยา  พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย
 +
ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง  เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย
 +
เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย  เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย
 +
แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง  ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวย
 +
สารพัดจัดบรรจงน่างงงวย  อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ
 +
 +
 +
๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่  บัญชาให้คนขำนำอักษร
 +
มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร  ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์
 +
จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์  พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี
 +
ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี  กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน
 +
จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย  เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน
 +
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน  จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร
 +
ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน  สุริฉานลับเงาเขาศิงขร
 +
เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร  ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย
 +
จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร  เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย
 +
มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย  เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา
 +
คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่  ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา
 +
ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา  หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง
 +
พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร  เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง
 +
พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง  แลสล้างดังคณาดาราราย
 +
เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์  เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย
 +
จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย  บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง
 +
ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท  แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง
 +
เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง  ให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย
 +
ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า  นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่
 +
อุปทูตที่สองรองลงไป  เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี
 +
แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา  ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่
 +
ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี  แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา
 +
อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้  ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา
 +
เมื่อขณะเสพย์รสโภชนา  นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย
 +
จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎ  ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย
 +
ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย  โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย
 +
ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์  ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน
 +
ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร  มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร
 +
ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ  ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร
 +
เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร  ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน
 +
พระสามีที่สนิทพิศวาท  งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ
 +
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน  แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย
 +
เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์  ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย
 +
ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย  มาทักทายพูดจาแล้วลาไป
 +
เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย  จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย
 +
เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล  ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา
 +
ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า  ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา
 +
โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา  อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง
 +
กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด  เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง
 +
ได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง  แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง
 +
พระบุตราบุตรีสามีราช  มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง
 +
บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง  จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี
 +
นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น  เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่
 +
ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี  ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน
 +
ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน  โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน
 +
คนละห้องไสยาสถาวร  จนทินกรแจ่มจบภพไตร
 +
ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ  เปนพระราชสามิศพิสมัย
 +
ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ  พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์
 +
มารับของภูบาลผ่านพิภพ  ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์
 +
ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์  ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา
 +
ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก  เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา
 +
ทั้งสองข้างต่างคนสนทนา  แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป
 +
พนักงานจัดแจงแต่งอาหาร  ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว
 +
ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ  จนสี่โมงเศษได้เวลาจร
 +
ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ  ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน
 +
พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน  นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด
 +
นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม  มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์
 +
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด  แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา
 +
กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น  พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา
 +
แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา  ไปชมโรงแพทยารักษาคน
 +
ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์  แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน
 +
ทำเริงรื่นขืนมานะจรดล  ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ  พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว
 +
ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน  ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น
 +
มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง  ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน
 +
อิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน  ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ
 +
ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก  ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห
 +
ในตากลมกลวงโหวโตกะไร  ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง
 +
กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้  น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง
 +
ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง  ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน
 +
บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด  แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ
 +
หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์  ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน
 +
จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว  พี่เห็นแล้วผมพองสยองขน
 +
อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน  ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป
 +
บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด  แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย
 +
ตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไร  ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย
 +
บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง  แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย
 +
ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย  ให้หญิงชายทัศนาบรรดามี
 +
ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น  ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี
 +
ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี  ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล
 +
แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด  ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน
 +
ก็ออกจากโรงหมอจรดล  ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ
 +
 +
 +
๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น  ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน
 +
วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ  ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที
 +
ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง  ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่
 +
ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี  เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ
 +
 +
 +
๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม  ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร
 +
ในนั้นมีตึกโตมโหฬาร  สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ
 +
รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก  ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ
 +
ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ  ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย
 +
มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต  คนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย
 +
เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย  อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์
 +
แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง  ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์
 +
มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ  สารพันอาภรณ์บวรรัตน์
 +
มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ  วับวาววาบแววแวมแจ่มจรส
 +
รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด  ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ
 +
 +
 +
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง  คืนมายังที่สำนักพักอาศรัย
 +
ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล  ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร
 +
ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน  สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร
 +
หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน  ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง
 +
ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น  เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง
 +
เห็นทวารบานปิดมิดกำบัง  ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ
 +
ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง  ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร
 +
เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน  ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร
 +
เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้  จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
 +
ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน  ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม
 +
มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า  แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม
 +
บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม  ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป
 +
ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด  ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน
 +
เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล  แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย
 +
ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด  เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย
 +
มีชื่อตามสีสันดังบรรยาย  ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน
 +
งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน  วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น
 +
ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน  บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง
 +
บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน  ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง
 +
ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง  ที่บางห้องปูพรมอุดมดี
 +
บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ  เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี
 +
อันของใช้หลากหลากก็มากมี  ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน
 +
เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น  เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน
 +
ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน  ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน
 +
เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์  วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน
 +
บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน  สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป
 +
สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่  ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว
 +
ที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ  แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ  เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน
 +
ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ  ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง
 +
เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก  ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง
 +
พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง  เสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดร
 +
ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท  วรราชนารีศรีสมร
 +
ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร  พากันจรขึ้นนั่งที่บังควร
 +
บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก  บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน
 +
จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน  มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา
 +
เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา  ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา
 +
เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา  มีรถหน้าขึงขำนำครรไล
 +
คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา  ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว
 +
แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป  ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ
 +
สพายปืนขับขี่พาชีชาติ  ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์
 +
ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด  เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย
 +
ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก  รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย
 +
ถือกระบี่ทีจับขยับราย  ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา
 +
ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง  แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา
 +
ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา  อีกขนัดถัดมาหกสิบคน
 +
ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร  มาโดยเขตรสองข้างทางถนน
 +
มารยาตรอาจหาญชาญผจญ  ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ
 +
อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ  ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช
 +
ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์  ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น
 +
แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์  พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน
 +
จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ  กระจกกันกั้นหวังให้บังลม
 +
บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ  เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม
 +
สารถีขี่ประจำล้วนขำคม  น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว
 +
ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ  ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว
 +
เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว  เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน
 +
ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช  ผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร
 +
แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ  พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง
 +
ครั้นทีหลังพาชีมีทหาร  แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง
 +
สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง  เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา
 +
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย  งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา
 +
ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา  เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์
 +
มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช  อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น
 +
ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น  ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที
 +
ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก  หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่
 +
คนเดินนำสามสิบพอดิบดี  พระมาลากำมะหยี่สีบวร
 +
ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง  มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน
 +
เมื่อเสด็จจากรถบทจร  พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง
 +
ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด  ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง
 +
ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง  กว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย
 +
สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่  ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย
 +
ถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย  คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา
 +
ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย  สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา
 +
เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์  ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย
 +
ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา  เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย
 +
แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย  ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง
 +
ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ  ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง
 +
อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง  สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม
 +
สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย  ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม
 +
โดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนาม  แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา
 +
อันพระจอมสากลวิมลสมร  ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา
 +
ฉลององค์ทรงโขมพัตรา  อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร
 +
เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง  แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ
 +
เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด  ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ
 +
เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ  จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน
 +
ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ  ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ
 +
แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่  ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น
 +
ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น  จะได้เห็นไกกลที่คนทำ
 +
เขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง  ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ
 +
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ  โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ
 +
ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ  ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร
 +
ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน  จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย
 +
แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง  น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว
 +
ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ  พอเที่ยงได้เวลาพากันจร
 +
แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์  ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน
 +
เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร  คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน
 +
เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก  ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์
 +
จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัล  ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ
 +
 +
 +
๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี  มีไร่นาสาลีแลไสว
 +
นาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร  เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง
 +
เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด  ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง
 +
ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง  ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม
 +
บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก  เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม
 +
มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม  ในที่ตามทางรถบทจร
 +
แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง  ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร
 +
เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน  ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย
 +
ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น  มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย
 +
บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย  ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา
 +
บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล  เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา
 +
แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา  ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ
 +
บางทีทำลำคลองเปนสองชั้น  ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน
 +
ข้างล่างชลลันไหลใต้สพาน  เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก  เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง
 +
เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง  ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย
 +
เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก  อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย
 +
ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย  จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ
 +
ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ  มารับทูตไทยหมดให้ผายผัน
 +
ไปดูที่นานาสารพัน  แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน
 +
กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร  วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน
 +
ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ  โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง
 +
ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง  เจียระไนใสสว่างเปนสีแสง
 +
ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง  ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง
 +
อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่  ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์
 +
ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง  เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ
 +
 +
 +
๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน  แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง
 +
จากบุรีรีบไปดังใจปอง  จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน
 +
ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน  ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์
 +
เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน  สารพันพิศเพลินเจริญตา
 +
พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่  ผู้รักษาธานีก็มาหา
 +
แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา  ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก
 +
ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์  เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก
 +
คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก  มาชวนชักพูดจาแล้วลาไป
 +
ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์  จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
 +
ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล  ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี
 +
อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด  ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี
 +
ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที  เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ
 +
 +
 +
๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์  เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน
 +
กำปั่นพวกลูกค้าในสาคร  ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ
 +
บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่  หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ
 +
เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ  ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง
 +
ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด  ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง
 +
สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง  เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง
 +
คนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน  ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง
 +
ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง  ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย
 +
ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา  ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย
 +
สุดจะนับคณนาจนตาลาย  ดูมากมายสับสนพ้นประมาณ
 +
ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง  หยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร
 +
จนสิ้นแสงสุริยนอนธการ  พนักงานจัดแจงตกแต่งรถ
 +
แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย  ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด
 +
ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด  อันปรากฎมีอยู่ในบูรี
 +
ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส  ก็คลาไคลตามแนวแถววิถี
 +
ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี  จึงจรลีเข้าไปดังใจปอง
 +
เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์  ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ
 +
กวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง  ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู
 +
อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา  จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู
 +
ขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้  ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ
 +
ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก  หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร
 +
ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน  พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด
 +
แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า  ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด
 +
ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์  ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย
 +
เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ  แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย
 +
แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย  ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน
 +
จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม  แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน
 +
แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน  เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน
 +
ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า  คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น
 +
เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน  สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว
 +
จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด  วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว
 +
ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว  ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา
 +
เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่ง  เราจะทิ้งผ้าไปในเวหา
 +
จงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา  อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน
 +
แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ  พาชีชาติรับได้ดังใจถวิล
 +
ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์  เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ
 +
แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด  ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ
 +
ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ  ยังวิตถารมากมายหลายทำนอง
 +
ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก  อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง
 +
ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง  คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา
 +
เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก  ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา
 +
พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา  เหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน
 +
ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ  นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ
 +
ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน  ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย
 +
จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง  ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย
 +
อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล  ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ
 +
 +
 +
๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์  นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน
 +
แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ  คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร
 +
ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน  ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย
 +
เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป  เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน
 +
เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง  ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน
 +
ต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน  ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ
 +
นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น  ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ
 +
ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ  พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง
 +
ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์  ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง
 +
อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง  เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย
 +
แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น  ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย
 +
เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย  เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา
 +
เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ  ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า
 +
อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา  พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา
 +
ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์  น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา
 +
ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา  จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ
 +
 +
 +
๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ  พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน
 +
ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน  ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์
 +
เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่  บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น
 +
คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน  เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม
 +
อยู่สองวันซื้อหาสารพัด  ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม
 +
ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม  ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป
 +
แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน  ตวันจวนเจียนดับลับไศล
 +
จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ  สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน
 +
เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ  ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน
 +
เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน  ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ
 +
 +
 +
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ  มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน
 +
ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน  คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ
 +
ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก  ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน
 +
แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ  บอกอาการป่วยไปมิได้จร
 +
ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา  ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน
 +
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร  แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ
 +
 +
 +
๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร  ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์
 +
ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก  ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย
 +
กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า  ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย
 +
พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย  มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์
 +
ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน  เปนจนใจไข้จับยังทับถม
 +
สุดดำรงทรงกายหมายนิยม  แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา
 +
ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ  แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า
 +
ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา  อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ
 +
 +
 +
๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่  รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา
 +
ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา  ทัศนารำเท้าเปนคราวดี
 +
ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์  ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี
 +
จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที  ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ
 +
สารถีขับม้าพาลีลาศ  ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด
 +
เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด  ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง
 +
รำกับน้องของเจ้าอาลเบิต  งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง
 +
ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง  โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา
 +
นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่  พินิจดูงดงามตามภาษา
 +
เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา  ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน
 +
กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์  ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน
 +
อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน  ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน
 +
ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย  เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร
 +
พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร  เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง
 +
โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง  มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง
 +
อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง  ขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน
 +
ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย  มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น
 +
ต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน  ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม
 +
ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก  บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม
 +
เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม  จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร  แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา
 +
มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา  เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร
 +
ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย  ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร
 +
เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร  ดูสลอนแลหลามเปนสามกอง
 +
พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่  พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง
 +
พวกม้าดำดำดีทีลำพอง  คำรนร้องเริงร่านหาญประจญ
 +
พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย  ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน
 +
ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล  เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง
 +
ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่  แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง
 +
ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง  เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน
 +
ทหารม้าจรลีทีละตับ  ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร
 +
ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน  เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง
 +
เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง  ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง
 +
พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง  เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน
 +
ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ  แต่สินธพอาชายังกล้าหาญ
 +
เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ  จึงแจ้งการในกลรณรงค์
 +
ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว  แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์
 +
ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง  ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต
 +
เชิงฉลาดอาจหาญในการรบ  รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส
 +
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย  ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ
 +
 +
 +
๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย  จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม
 +
พระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชม  ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม
 +
เธอเปนราชกุมารชาญสมร  อยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยม
 +
แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม  ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน
 +
ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย  พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์
 +
ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ  กับตัวฉันจรลีเปนสี่คน
 +
ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง  ในตำแหน่งอาวาหสถาผล
 +
ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์  แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย
 +
มาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่าง  ริมหนทางคนผู้ดูไสว
 +
ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได  ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย
 +
สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช  พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย
 +
อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย  ก็นำสายสุดสวาทราชธิดา
 +
เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด  องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา
 +
อันโฉมยงบุตรีศรีโสภา  แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว
 +
ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ  ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว
 +
ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว  สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง
 +
ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก  เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์
 +
มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์  สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล
 +
ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง  เปนยศหวังว่างามตามวิสัย
 +
แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม  เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ
 +
กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า  มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด
 +
คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ  ดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม
 +
ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย  มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม
 +
ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม  จึงคุกเข่าลงประณามประนมกร
 +
แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์  เกษมสันต์ภิญโญสโมสร
 +
พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร  ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น
 +
ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง  ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ
 +
จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ  ขณะวันอาวาห์สถาวร
 +
แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว  ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร
 +
ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน  แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที
 +
ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์  จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี
 +
ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี  ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา
 +
แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้  คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา
 +
ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา  ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป
 +
แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม  โดยคดีมีความข้อสงสัย
 +
ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย  ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก
 +
จะรับราชธิดามาเปนคู่  แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์
 +
ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก  จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน
 +
ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น  คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ
 +
มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์  แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง
 +
เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า  แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง
 +
แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง  เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย
 +
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร  รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย
 +
พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย  กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง
 +
ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง  ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง
 +
ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง  จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา
 +
มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่  ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา
 +
พระครูรับจับกรสมรมา  เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง
 +
แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย  ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์
 +
เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์  จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน
 +
ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า  จะรับเอานวลอนงค์คงสมาน
 +
ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน  ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร
 +
ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ  ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน
 +
สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร  เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์
 +
พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช  มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่
 +
แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที  ให้เทวีว่าตามทุกคำไป
 +
ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง  ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข
 +
แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล  โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา
 +
ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว  รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา
 +
จะตั้งใจปรนิบัติภัศดา  เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน
 +
เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา  จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์
 +
แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน  ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู
 +
ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์  แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่
 +
แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู  ส่งให้กูมารรับคำนับลา
 +
มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย  ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา
 +
แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา  ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี
 +
พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์  ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี
 +
โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี  ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ
 +
จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ  สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์
 +
เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน  แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์
 +
ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์  สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์
 +
ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง  แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ
 +
เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ  แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร
 +
ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน  ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง
 +
แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น  อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง
 +
จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง  จนตราบสองชันษาชีวาวาย
 +
แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์  ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย
 +
พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย  ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง
 +
บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท  ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง
 +
ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง  ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง
 +
ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี  กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง
 +
พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง  คืนเข้าวังสุขสมภิรมยา
 +
แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง  บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา
 +
อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา  ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน
 +
ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น  เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน
 +
พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร  ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป
 +
ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง  อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้
 +
ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ  จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้
 +
เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช  พวกพระญาติแลเสนาบดีศรี
 +
ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี  เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน
 +
หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย  เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร
 +
ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ  ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ
 +
พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ  จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร
 +
เดียรดาษด้วยคณาดารากร  พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน
 +
ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช  ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์
 +
ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน  จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ
 +
จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่  ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ
 +
ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ  พูดหัวร่อเฮฮาพากันไป
 +
มาถึงวังขึ้นยังตำหนักติก  เห็นคักคึกคนผู้ดูไสว
 +
พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน  แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน
 +
พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา  กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ
 +
อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ  ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน
 +
ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง  เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย
 +
มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ  กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน
 +
ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง  ให้แต่งตั้งภักษาผลาผล
 +
แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน  ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน
 +
กินน้ำชากาแฟแลขนม  มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์
 +
ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ  อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย
 +
อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง  อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย
 +
สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย  เสด็จผายผันกลับลับพระองค์
 +
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด  ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์
 +
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง  นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ
 +
เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย  ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน
 +
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล  ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง
 +
เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์  แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง
 +
ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง  ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง
 +
ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ  ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง
 +
พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง  ครรไลล่วงเลยออกนอกประตู
 +
เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม  แล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู
 +
เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู  ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย
 +
แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี  ซื้อของดีตามห้างที่วางขาย
 +
จนเวลาสายัณห์ตวันชาย  ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ
 +
 +
 +
๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ  ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง
 +
ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง  จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา
 +
คือนครทรงยศโอรสเขย  ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา
 +
ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา  เปนยอดยิ่งกัลยาในธานี
 +
ได้เวลาทูตานุทูตหมด  ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี
 +
ถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์  ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา
 +
พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท  เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา
 +
ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา  พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ
 +
เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น  ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย
 +
แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร  จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน
 +
แลดูเขาเขาดูอดสูแสน  ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน
 +
ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน  ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู
 +
จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ  กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่
 +
เสด็จออกคนเคยเผยประตู  เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ
 +
บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้อง  เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน
 +
มาออกทางทวาราข้างขวาพลัน  พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป
 +
เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ  กับทรงเดชสามิศพิสมัย
 +
พระบุตรีนงรามงามประไพ  ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา
 +
ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด  แถวหลังหมดพระญาติวงศา
 +
แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา  เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร
 +
ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ  นั่นแลคือบอกนามตามอักษร
 +
เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร  ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี
 +
ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น  จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี
 +
น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที  พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย
 +
ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์  ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย
 +
แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย  ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน
 +
จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า  ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย
 +
อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย  พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ
 +
 +
 +
๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น  ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา
 +
เอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกา  ปักรายริมรัถยาตลอดแล
 +
บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน  ลงไปจนนาเวศเขตรกระแส
 +
คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช  ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย
 +
วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ  ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข
 +
มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ  เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ
 +
บนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง  ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน
 +
ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ  สนุกสนานตามประสาพวกทารก
 +
คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น  ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก
 +
แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก  ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ
 +
 +
 +
๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก  ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง
 +
จะพาชมคลังในที่ใส่ทอง  ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง
 +
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด  มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง
 +
ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง  ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร
 +
ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน  เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร
 +
ทั้งราตรีแลเวลาทิวากร  ทหารนอนเดินนั่งระวังระไว
 +
อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ  น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย
 +
แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย  ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก
 +
เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช  คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์
 +
ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก  ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล
 +
แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย  ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน
 +
ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ  จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ
 +
 +
 +
๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น  เกษมสันต์ภิญโญสโมสร
 +
จะไปหาลอร์ดปามิศตอน  กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน
 +
ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก  แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว
 +
ดูก็น่าผาสุกสนุกใจ  จึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วาง
 +
ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ  ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง
 +
แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง  ธุระอย่างไรนั่นพากันมา
 +
ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า  ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา
 +
ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา  คืนกรุงเทพมหานครคง
 +
ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร  ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์
 +
ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง  ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน
 +
แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า  แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน
 +
เขารับความตามอารมณ์โดยสมควร  ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา
 +
ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก  คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา
 +
รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา  จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ
 +
 +
 +
๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ  พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่
 +
พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู  ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์
 +
ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก  บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม
 +
ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม  หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน
 +
แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง  เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน
 +
หวนรำลึกนึกบ้านสถานตน  คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา
 +
มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง  ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา
 +
บางสพานการถ้วนล้วนศิลา  ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา
 +
ในระยะเขตรสพานธารติดตื้น  กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา
 +
ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา  ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน
 +
แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง  แลสล้างเรือแพแซ่ประสาน
 +
บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ  บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย
 +
ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน  เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล
 +
ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้  หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ
 +
มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง  ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ
 +
ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ  บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี
 +
ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก  ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี
 +
จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที  ประทับที่หน้าท่าพากันจร
 +
ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ  อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน
 +
จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร  ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล
 +
รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ  นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์
 +
เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน  จรดลสู่เขตรนิวเศน์วัง
 +
ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย  ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง
 +
มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง  จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี
 +
จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น  จรจรัลตามทางหว่างวิถี
 +
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี  ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง
 +
เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย  เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง
 +
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง  ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน
 +
ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์  มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์
 +
ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล  พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง
 +
แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย  ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์
 +
เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์  แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน
 +
ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง  เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน
 +
แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น  คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์
 +
แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง  มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์
 +
ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง  ดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร
 +
พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก  ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ
 +
ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ  สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย
 +
ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์  คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย
 +
อัคเรศรับสาราเสนานาย  แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล
 +
เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน  ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์
 +
จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน  สุริยนเย็นพลับอับอัมพร
 +
เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์  สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร
 +
ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน  เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา
 +
ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ  เสาวนิศจอมวังสั่งให้หา
 +
พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา  เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้
 +
พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์  คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี
 +
ก็รับคำอำลาไม่ช้าที  มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ  ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย
 +
พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย  จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล
 +
มาชำระสระสนานสำราญรื่น  ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย
 +
ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล  ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง
 +
ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน  ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์
 +
จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง  เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี
 +
ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ  เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่
 +
ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี  เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ
 +
กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง  ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ
 +
วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ  ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู
 +
เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี  กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่
 +
ข้างพวกเราเข้าไปในประตู  แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน
 +
เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้  โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
 +
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน  ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา
 +
ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน  สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า
 +
แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา  ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู
 +
ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย  ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู
 +
ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู  ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป
 +
อันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก  ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้
 +
พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย  ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์
 +
จงไปดีอย่ามีระคายข้อง  ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม
 +
ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม  ให้เสร็จสมปราถนาสถาวร
 +
ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต  กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร
 +
ว่าเราขอน้อมกายถวายพร  ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา
 +
ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน  จงถาวรยืนวันชันษา
 +
เสวยราชสมบัติวัฒนา  ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์
 +
อนึ่งการอันใดท่านได้รู้  แลได้ดูเห็นตามความประสงค์
 +
จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์  ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง
 +
พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง  ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง
 +
แล้วทูลตอบพจมานสารแสดง  มิให้แหนงเคืองขัดหัทยา
 +
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง  สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา
 +
ได้รับรองมีสุขทุกทิวา  พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด
 +
การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น  ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด
 +
ให้ทรงทราบบาทาสารพัด  โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย
 +
พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก  แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย
 +
จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย  ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี
 +
ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ  ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่
 +
สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี  ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา
 +
พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด  คอยกำหนดวันวานนานหนักหนา
 +
ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา  เร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญ
 +
แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์  จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน
 +
ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ  ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ
 +
 +
 +
๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า  ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง
 +
มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง  อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง
 +
ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่  ตาครูแก่รู้รสบทสนอง
 +
วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง  ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย
 +
ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น  บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย
 +
ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร  แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา
 +
ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย  มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา
 +
บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา  แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน
 +
เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง  มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน
 +
นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน  ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย
 +
มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ  สารพัดดูแลไม่แชเฉย
 +
ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย  ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน
 +
บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน  บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น
 +
คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ  ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ
 +
เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน  ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย
 +
แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป  หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์
 +
ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ  คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม
 +
แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม  แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ
 +
 +
 +
๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น  ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์
 +
กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน  ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง
 +
แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด  ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง
 +
ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง  ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา
 +
ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง  ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา
 +
แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา  เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน
 +
ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต  ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน
 +
ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์  สารพันนกปลาคณาเนือง
 +
ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ  ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง
 +
เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง  แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน
 +
ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด  ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน
 +
จะไปชมของดีที่สำคัญ  ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย
 +
เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง  ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย
 +
อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย  มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน
 +
เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี  ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน
 +
มีรูปองค์อัคเรศเกศสกล  กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน
 +
ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์  ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น
 +
พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ  ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน
 +
รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย  บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย
 +
รูปขุนนางท่าทางแลวิไล  รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา
 +
บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน  แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา
 +
บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา  บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร
 +
รูปนารีไสยาช่างน่ารัก  ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน
 +
เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน  น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ
 +
บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ  กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม
 +
ให้ปรากฎตามยศทุกคนไป  ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน
 +
ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร  โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น
 +
ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น  ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ
 +
 +
 +
๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้ง  กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์
 +
อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์  ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน
 +
พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น  ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน
 +
ดังยาจกจนยากที่กากแกน  ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง
 +
ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก  วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง
 +
จะกลับหลังยังที่บุรีเรือง  ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง  พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา
 +
จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา  กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร
 +
เขาต้อนรับนับถือจับมือหมด  ให้เปนยศภิญโญสโมสร
 +
แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร  ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน
 +
แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข  บันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
 +
บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน  แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ
 +
 +
 +
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ  เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย
 +
ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล  ดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน
 +
ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม  ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์
 +
ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน  บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ
 +
บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก  บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล
 +
บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย  โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง
 +
สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า  ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง
 +
ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง  จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์
 +
เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่  บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก
 +
ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก  ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย
 +
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น  ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย
 +
เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย  จำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร
 +
สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก  ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน
 +
พี่สุดแสนปรีดาสถาวร  ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ
 +
ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง  ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล
 +
มาถึงเมืองโดเวอเออกะไร  ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ
 +
แสนสนุกทุกตำบลถนนตึก  เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ
 +
มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ  ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ
 +
มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น  แล้วให้กินนานาภักษาหาร
 +
ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ  สบายบานหยุดพักสำนักเนา
 +
จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น  ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา
 +
พายุจัดพัดผันไม่บันเทา  เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง
 +
ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน  ข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง
 +
พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง  จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี
 +
เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า  แถวชลาแขวงแควกระแสศรี
 +
เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที  แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น
 +
คือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ  เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์
 +
ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน  เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ
 +
ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว  จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร
 +
เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร  สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา
 +
กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์  ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา
 +
แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา  เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี
 +
อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ  แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี
 +
ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี  พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย
 +
มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย  กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย
 +
ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย  ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา
 +
เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์  ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา
 +
ไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา  ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน
 +
มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย  เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน
 +
วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน  ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ
 +
 +
 +
๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย  ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน
 +
ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน  ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง
 +
ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้  เขาทำที่ตึกรามงามระหง
 +
มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง  เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน
 +
ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ  ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน
 +
กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน  บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี
 +
ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด  จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่
 +
ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี  สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล
 +
ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า  แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน
 +
ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน  อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน
 +
ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย  ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน
 +
แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน  ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ
 +
 +
 +
๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้  กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา
 +
ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา  อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล
 +
ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง  ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน
 +
แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน  ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้
 +
ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย  เปนแต่อายอัประมาณการอดสู
 +
ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู  อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอา
 +
ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์  ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ
 +
มีสักสองพันแห่งแต่งลออ  พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา
 +
คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน  ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา
 +
คนข้างในเขามิได้พันธนา  เครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง
 +
เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้  ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ
 +
ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง  ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป
 +
พวกทหารคอยระวังตั้งรักษา  พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว
 +
ลุกกระสุนดินดำประจำไว้  สำหรับได้รบรันประจัญบาน
 +
ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด  ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน
 +
ทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์  รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง
 +
ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้  เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง
 +
ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง  ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน
 +
ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า  ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน
 +
อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน  พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน
 +
แต่ของกินสารพัดจะขัดสน  ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ
 +
ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์  จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว
 +
ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย  ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว
 +
แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว  กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ
 +
 +
 +
๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง  คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา
 +
ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา  บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง
 +
เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ  แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง
 +
สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง  ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว
 +
ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ  ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว
 +
กว้างประมาณห้าศอกออกตลิว  แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา
 +
ถนนรายมีนายอำเภออยู่  ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา
 +
ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา  ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์
 +
ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน  งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ
 +
บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ  แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา
 +
มิได้ปักปนคู่ดูจังหวะ  ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา
 +
ในระหว่างห่างราวสักสิบวา  ให้แสงมาส่องต่อกันพอดี
 +
ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ  ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี
 +
ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี  ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน
 +
เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด  แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน
 +
เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ  ที่ควงขันบิดขวับพออับลม
 +
เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง  ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม
 +
อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม  ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน
 +
แต่บรรดาตึกรามดูงามงด  ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน
 +
หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน  ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี
 +
บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น  ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี
 +
บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี  ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป
 +
บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก  หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล
 +
บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว  บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู
 +
มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า  ให้บังตาข้อรำคาญการอดสู
 +
กระดาษลายปิดฝาก็น่าดู  พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี
 +
จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้  ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี
 +
ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี  พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย
 +
แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด  ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย
 +
คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย  ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา
 +
จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น  ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา
 +
ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา  มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ
 +
ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง  อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ
 +
ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ  ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม
 +
ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง  เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม
 +
บางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม  ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป
 +
อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง  อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย
 +
จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ  นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต
 +
จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก  ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์
 +
ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด  ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ
 +
ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน  ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน
 +
เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน  ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย
 +
มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง  เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย
 +
เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย  บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม
 +
อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง  อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม
 +
ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม  สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง
 +
แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา  เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์
 +
แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง  ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ
 +
 +
 +
๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล  เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น
 +
แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น  นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์
 +
มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย  เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม
 +
ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม  น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง
 +
คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง  ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง
 +
อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง  ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม
 +
ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า  บางรัถาสองคู่ดูพอสม
 +
บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม  บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน
 +
คอยรับจ้างตามทางแถวถนน  ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน
 +
เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน  บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี
 +
บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง  บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่
 +
ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี  อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว
 +
แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ  ออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
 +
บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว  เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก
 +
รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก  ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก
 +
เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก  ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ
 +
 +
 +
๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม  ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด
 +
คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ  ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล
 +
หนทางที่รถเดินดำเนินนั้น  ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว
 +
ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป  ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง
 +
ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น  เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง
 +
ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง  จะข้ามห้วงนทีมีสพาน
 +
ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น  ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน
 +
ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ  ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร
 +
แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง  บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน
 +
ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน  ทางที่มามาล้วนไม่มีไป
 +
ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก  จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย
 +
ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟ  ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน
 +
อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า  ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน
 +
ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน  แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง
 +
จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก  ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง
 +
เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยัง  กำหนดตั้งตำราว่าไว้มี
 +
ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน  ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี
 +
รถที่ไปใส่ขอต่อกันดี  จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน
 +
รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง  เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน
 +
ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร  หมดประมวญสามห้องสิบสองคน
 +
มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น  ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน
 +
แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน  จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี
 +
ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด  ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่
 +
สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี  ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา
 +
รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง  ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา
 +
นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา  แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง
 +
ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ  แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์
 +
คนยากจนหยากไปใจจำนง  ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา
 +
แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง  จำจะต้องปนปะคละกันเข้า
 +
เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา  อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี
 +
รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ  ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่
 +
บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี  ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ
 +
 +
 +
๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง  ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร
 +
คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน  หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง
 +
ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย  ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง
 +
ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์  ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร
 +
ริมวิถีมีเสายาวหกศอก  ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน
 +
แต่ประมาณการแลไม่แน่นอน  ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา
 +
บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว  ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา
 +
สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา  ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม
 +
ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่  เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม
 +
อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม  แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป
 +
จนนครราชสิมาหรือกว่านั้น  จะบอกกันไปมาหาช้าไม่
 +
เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด  ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ
 +
เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้  ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม
 +
คนต้นลวดที่รักษาพยายาม  ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง
 +
คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง  ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ
 +
เขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง  คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน
 +
จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ  การตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน
 +
ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ  ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ
 +
 +
 +
๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง  คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร
 +
สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน  ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม
 +
พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ  ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม
 +
เขียวสดสีหรดานประสานคราม  ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก
 +
บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ  เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก
 +
ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก  มีทางบกทางเรือเหลือสบาย
 +
แม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่า  ชายชลาริมแควกระแสสาย
 +
แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย  ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ
 +
น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์  ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน
 +
ที่แถวท่าวารีนทีธาร  ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง
 +
มีนาวาหลายลำประจำไว้  ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์
 +
จะไปชมลำน้ำตามจำนง  เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ
 +
หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น  สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ
 +
ขายสุราอาหารคอยจานเจือ  สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน
 +
อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง  แลสล้างคนผู้ดูสลอน
 +
เวลาเย็นสุริยาทิพากร  ราษฎรคลาไคลไปประชุม
 +
ทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่า  ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม
 +
บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม  ที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบาย
 +
บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ  บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย
 +
บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย  สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล
 +
หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์  ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน
 +
ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน  เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป
 +
เขาแต่งตนงามงามตามภาษา  ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม
 +
แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย  ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย
 +
เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา  ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย
 +
คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย  แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง
 +
ถึงพาชีมีพยศจะห้อหก  ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง
 +
ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง  เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ
 +
เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก  บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา
 +
ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา  ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง
 +
แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด  เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์
 +
กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง  มฤคยงย่องหยัดระบัดกิน
 +
แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข  แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล
 +
บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน  ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก
 +
พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ  ครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอก
 +
แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก  ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน
 +
ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ  ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน
 +
ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน  สารพันหลายหลากดูมากมี
 +
ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ  อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่
 +
เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี  เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา
 +
เต่าตนุม่านลายเขาขายมาก  ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา
 +
ในตลาดมิได้ขาดสักเวลา  ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม
 +
เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด  สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม
 +
ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ  ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา
 +
คนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง  โดยลำพังจัดแจงแสวงหา
 +
เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา  นางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก
 +
ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข  ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์
 +
ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก  ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง
 +
เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง  ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง
 +
จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง  ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้
 +
นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี  ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย
 +
เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ  เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง
 +
ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด  ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง
 +
น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง  แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน
 +
ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า  อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน
 +
เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน  พอจุดไฟในนั้นตลอดคืน
 +
ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่  เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน
 +
มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน  เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย
 +
แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา  ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย
 +
มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย  บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ  จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา
 +
เวลาก่อนเสพย์รสโภชนา  คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ
 +
ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง  ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน
 +
กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล  ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป
 +
ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย  เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว
 +
ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้  ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน
 +
เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล  กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน
 +
ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน  อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน
 +
พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า  มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ
 +
ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น  ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน
 +
ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ  โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือม
 +
เวลากินมิให้พักต้องตักเตือน  ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา
 +
ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน  ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา
 +
จะกินของดีดีมีราคา  สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ
 +
คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้  แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน
 +
แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน  มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล
 +
คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ  ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้
 +
เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย  มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ
 +
เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น  จะผายผันคลาไคลใจถวิล
 +
ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์  คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา
 +
จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์  ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา
 +
หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา  ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม
 +
จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น  ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม
 +
ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม  อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง
 +
ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร  มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง
 +
ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง  จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ
 +
แต่วันทูตถึงพักนัคเรศ  ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล
 +
สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร  จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย
 +
 +
 +
๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ  ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน
 +
จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย  ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน
 +
ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ  ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์
 +
มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ  จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร
 +
ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก  จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน
 +
ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร  ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน
 +
แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว  ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน
 +
สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ  ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน
 +
พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ  รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน
 +
ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร  ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ
 +
บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก  แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล
 +
แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล  สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น
 +
ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง  สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น
 +
มิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ล  สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา
 +
เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ  ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา
 +
คนที่ในธานีย่อมปรีชา  เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ
 +
ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง  เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย
 +
แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย  ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์
 +
มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก  ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน
 +
รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน  สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย
 +
บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด  ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย
 +
ของพม่ามอญลาวชาวทวาย  ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู
 +
ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง  เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู
 +
โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู  เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา
 +
รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ  แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา
 +
พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา  จนเวลาผ่องพื้นโพยมบน
 +
ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ  เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน
 +
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน  ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ
 +
 +
 +
๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้  เสนาในเชิงชาญการขยัน
 +
ให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน  มาเรียงรันรอประทับกับทวาร
 +
คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า  ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร
 +
ยืนประจำทำสง่าท่าทยาน  สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ
 +
มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า  พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์
 +
ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ  ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ
 +
ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์  โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด
 +
จนสองโมงสุริยงเธอลงลด  พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา
 +
กับเอกองค์มเหษีนารีราช  ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา
 +
เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา  ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ
 +
เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ  พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร
 +
อันเอกองค์กัลยายุพาพาน  แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม
 +
พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ  พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม
 +
อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม  ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี
 +
สนทนาทูตานุทูตถ้วน  ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี
 +
พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี  เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์
 +
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด  ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน
 +
แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน  น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ
 +
 +
 +
๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ  พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง
 +
นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์  สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี
 +
แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง  ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี
 +
เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี  พระองค์นี้คือหลานผ่านนคร
 +
จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ  ด้วยเคารพทรงพระอนุสร
 +
กตัญญูรู้คุณอันสุนทร  ให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป
 +
อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่  ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้
 +
คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ  เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น
 +
แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว  ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์
 +
ที่สำหรับรับศพมีครบครัน  อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย
 +
โมราดีสีดำทำประดับ  แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย
 +
คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย  ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ
 +
ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก  อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร
 +
ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน  เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย
 +
จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร  ดารากรลับฟ้าเวหาหาย
 +
กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย  ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร
 +
พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์  จึงชวนชักกันออกนอกสถาน
 +
เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์  ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา
 +
เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง  อีกตำแหน่งมนตรีมียศถา
 +
ครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมา  กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ
 +
แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ  ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน
 +
เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน  ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ
 +
 +
 +
๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น  เกษมสันต์ภิญโญสโมสร
 +
ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร  เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน
 +
จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว  ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน
 +
พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน  รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน
 +
ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ  ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน
 +
อันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน  อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ
 +
ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง  ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ
 +
เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ  สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ
 +
ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก  ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร
 +
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน  ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน
 +
น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ  ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน
 +
เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน  สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ
 +
ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง  ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส
 +
มีบุรีริมที่ชลาลัย  ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน
 +
นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ  อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน
 +
มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล  ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล
 +
แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล  จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น
 +
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น  ก็จำเปนขึ้นรถบทจร
 +
พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก  ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน
 +
อยู่บนบกวกลงมาในสาคร  จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน
 +
แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ  สุริเยศลับหล้าเวหาหน
 +
ยังไม่จรถอนสมอจรดล  ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน
 +
คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า  ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน
 +
แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน  จำจากกันอนิจจานึกอาลัย
 +
เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง  มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล
 +
เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ  มิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญา
 +
จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง  ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา
 +
อุส่าห์สู้พยายามติดตามมา  จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน
 +
เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ  ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน
 +
ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน  เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา
 +
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์  เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า
 +
ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา  ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ
 +
เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด  จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ
 +
น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ  เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง
 +
มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย  ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์
 +
พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง  หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา
 +
แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก  กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า
 +
ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา  ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง
 +
พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ  หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง
 +
ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์  ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย
 +
แล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้า  อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย
 +
มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย  ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย
 +
ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์  มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย
 +
ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย  ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ
 +
มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ  เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล
 +
ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป  ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ
 +
ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง  ถึงตำแหน่งธานีที่สถาน
 +
แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล  พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล
 +
แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง  จนสุเอศเขตรลงชลาไหล
 +
อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ  เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ
 +
ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน  ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ
 +
ให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร  สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี
 +
ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง  เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี
 +
ยังจำได้สารพัดถนัดดี  ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล
 +
เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ  ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน
 +
บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน  จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง
 +
ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ  ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง
 +
แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง  เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา
 +
มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ  ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า
 +
ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา  แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา
 +
จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน  ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา
 +
จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา  ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้
 +
สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์  โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย
 +
อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ  กว่าจะได้จรดลพ้นนคร
 +
ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ  ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน
 +
ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร  จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน
 +
เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ  แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้
 +
ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย  ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ
 +
ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น  จะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน
 +
เจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน  ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล
 +
ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น  ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส
 +
ราชทูตตอบความให้ล่ามแปล  อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ
 +
เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ  ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย
 +
กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล  ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ
 +
 +
 +
๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ  คนสำหรับนำหน้าม้าทหาร
 +
เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล  ในสถานโฮเต็ลเปนสบาย
 +
อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม  มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย
 +
ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย  เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ
 +
ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ  ให้มารับทูตไทยดังบรรหาร
 +
บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน  สุดแท้จะโปรดปรานประการใด
 +
ได้ฟังสารปานอำมฤตรส  ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส
 +
ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร  สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ
 +
จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง  บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม
 +
จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม  หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร
 +
ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด  ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร
 +
เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร  ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล
 +
ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่  มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห
 +
แสนวิตกอกโอ้มาโรเร  นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง
 +
เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่  เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง
 +
จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง  ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง
 +
คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น  พอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง
 +
สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง  ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย
 +
ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ  ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข
 +
หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ  ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย
 +
ทั้งอาหารการกินก็ขัดสน  ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย
 +
เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย  ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี
 +
ท่านจะไปไกโรหรือไฉน  ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่
 +
ราชทูตตอบต่อข้อคดี  มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร
 +
อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้  มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ
 +
อั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ  หมดประมวญจะขออยู่ในบูรี
 +
จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ  จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี
 +
ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี  จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง
 +
ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน  ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์
 +
คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง  แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ
 +
 +
 +
๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น  ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร
 +
ว่าเรือรบที่มากลางสาคร  จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน
 +
แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก  ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน
 +
เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน  เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง
 +
ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า  กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง
 +
จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง  แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ
 +
สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี  ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ
 +
กับสะเบียงอาหารจะจานเจือ  ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม
 +
ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน  เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม
 +
โอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิม  จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ
 +
 +
 +
๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย  แสนสบายเบาใจดังได้เหาะ
 +
ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ  ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล
 +
ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น  ก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเส
 +
แสนสุขาอารมณ์สมคเน  บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา
 +
กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม  คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา
 +
สิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา  ธรรมดารับทูตสลูตปืน
 +
ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง  ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน
 +
มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน  ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์
 +
จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ  นึกอนาถน่าคิดพิศวง
 +
เปนไฉนไยหนอพระสุริยง  จึงตกลงในที่นทีธาร
 +
เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง  ขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน
 +
หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ  ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ
 +
พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน  แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข
 +
อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต  เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร
 +
พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง  เสียงจักรดังดูธารสท้านไหว
 +
ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย  เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ
 +
 +
 +
๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ  ริมระยะแขวงแควกระแสศรี
 +
เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี  ดูบุรีโซเซเกเรเกนัง
 +
ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอ  จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง
 +
ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง  เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี
 +
ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ  พอประจำใช้พลางกลางวิถี
 +
ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี  แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ
 +
 +
 +
๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน  ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร
 +
ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร  ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ
 +
ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ  ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน
 +
บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน  ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ
 +
ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น  เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร
 +
ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน  อภิบาลเภทภัยระไวระวัง
 +
แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง  โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง
 +
ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง  ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล
 +
ลงกำปั่นผันผายออกจากที่  แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว
 +
มาหลายวันสลาตันค่อยซาไป  กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย
 +
ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา  เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย
 +
มากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย  จนเจียนตายตกน้ำระยำยับ
 +
เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง  ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ
 +
เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ  แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที
 +
หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก  ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่
 +
จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี  ให้นอนที่เปลไปหลายเวลา
 +
แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง  อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา
 +
ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา  สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ
 +
 +
 +
๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย  เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี
 +
สลาตันพัดกล้าจนนาวี  เกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน
 +
ลูกเรือทำการงานพานจะขัด  ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน
 +
แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน  เสาสะบั้นหักยับทับลงมา
 +
ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน  พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา
 +
ละลอกจัดพัดเข้าในนาวา  บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ
 +
ทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า  ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน
 +
บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย  เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย
 +
บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด  แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย
 +
บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย  ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน
 +
บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย  อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน
 +
บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์  จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว
 +
บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง  บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว
 +
อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว  ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน
 +
ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย  ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน
 +
เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน  สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย
 +
ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น  นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย
 +
สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย  พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา
 +
กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา  อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา
 +
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา  ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ
 +
 +
 +
๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ  ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน
 +
มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร  แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี
 +
สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า  เรือไฟมาในระหว่างทางวิถี
 +
ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี  เข้าจอดที่รับขนมาจนพอ
 +
ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว  เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ
 +
เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ  ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร
 +
ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ  เปนขอบเขตรตึกโตสโมสร
 +
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร  ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม
 +
ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร  เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม
 +
เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม  ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง
 +
พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ  ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง
 +
แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง  ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง
 +
หนทางทูตจรลีมีทหาร  เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง
 +
เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง  พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ
 +
สิริรวมพลปืนยืนคำนับ  เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน
 +
ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน  นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี
 +
มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ  รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่
 +
ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี  ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม
 +
ให้สองชายนายถนนคนฉลาด  ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม
 +
มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม  ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ
 +
 +
 +
๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา  เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน
 +
ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ  ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน
 +
ราชทูตพูดจาประสามิตร  ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน
 +
เขามานั่งสนทนาเวลาควร  ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน
 +
จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต  จึงให้รถมารับสลับสลอน
 +
ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร  ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน
 +
กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ  สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน
 +
แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน  ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง
 +
เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า  ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง
 +
ดังหนึ่งเทพดามาสำแดง  ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ
 +
ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ  สาธุสะใครหนอก่อวิหาร
 +
ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ  อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน
 +
มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง  ทำที่ทางควรจะสรรเสริญ
 +
แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ  ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร
 +
แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า  อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้
 +
ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย  เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ
 +
 +
 +
๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก  ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา
 +
ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา  ถึงลังกาธานีก็ดีครัน
 +
จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว  เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์
 +
ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน  เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน
 +
บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย  แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย
 +
เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป  ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง
 +
แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ  ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง
 +
สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง  อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น
 +
แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ  อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน
 +
หนทางไกลไปลำลองสักสองวัน  แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา
 +
จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม  โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา
 +
คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา  ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง
 +
ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย  มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง
 +
เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง  แต่คนตายวายชีวงก็มากมาย
 +
อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน  พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย
 +
ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย  คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา
 +
ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ  โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา
 +
ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา  ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย
 +
ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน  พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข
 +
ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ  เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง
 +
ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า  จึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง
 +
ราชทูตคิดสงสัยใจระคาง  ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย
 +
ไม่นับถือพุทธบาทสาสนา  จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข
 +
เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป  หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์
 +
ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น  มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ
 +
อยู่วัดในคาลีที่สมภาร  อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา
 +
เยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมาย  คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา
 +
เปนข้อไขในมคธพจนา  ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน
 +
ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์  อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน
 +
ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน  ก็เปนอันจนในมิได้จร
 +
จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้  ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์
 +
เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร  ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ
 +
ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย  ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน
 +
จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน  ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร
 +
ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่  ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน
 +
ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ  เห็นแต่ล้วนการยากลำบากที
 +
ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน  แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่
 +
อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี  จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา
 +
กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น  เกษมสันต์แสนโสมนัศา
 +
แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา  ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล
 +
ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง  โดยจำนงจงจิตต์พิสมัย
 +
แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล  คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน
 +
สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น  ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน
 +
ตามหนทางจรจรัลทหารปืน  ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา
 +
เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด  แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า
 +
กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา  พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ
 +
ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง  เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน
 +
กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร  ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง
 +
จวบประสบพบมิตรขนิษฐา  มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง
 +
เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง  คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ
 +
 +
 +
๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง  ลงมานั่งไต่ถามความปฐม
 +
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม  ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย
 +
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก  ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย
 +
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย  ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน
 +
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง  เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน
 +
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ  พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์
 +
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน  ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน
 +
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร  ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง
 +
ยิงสลูตทูตตามความคำนับ  หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง
 +
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง  ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได
 +
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน  ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย
 +
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย  ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที
 +
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว  มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี
 +
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี  เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง
 +
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์  คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง
 +
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง  หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี
 +
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น  ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี
 +
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี  โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน
 +
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น  ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส
 +
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร  ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ
 +
 +
 +
๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก  อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา
 +
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา  สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ
 +
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต  ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ
 +
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ  บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์
 +
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา  ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์
 +
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์  จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง
 +
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น  หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง
 +
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง  หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ
 +
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ  แรมทุเรศมาในแควกระแสใส
 +
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย  คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ
 +
 +
 +
๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ  เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี
 +
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี  ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน
 +
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ  เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน
 +
เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร  ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา
 +
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่  กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า
 +
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา  นายรักษาอยู่ประจำลำละคน
 +
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด  ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน
 +
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล  ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน
 +
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน  พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน
 +
ได้สมหวังกลับยังนครคืน  ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ
 +
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นปัจจุบันของ 08:40, 17 กรกฎาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: หม่อมราโชทัย

เป็นส่วนหนึ่งใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕

บทประพันธ์

อธิบายตำนานนิราศลอนดอน

เมื่อพิมพ์สมุดเล่มนี้ แต่เรกคิดว่าจะพิมพ์แต่จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย ครั้นพิมพ์แล้วส่งสมุดตัวอย่างไปถวายพระเจ้านาง ฯ (๑) ทอดพระเนตร มีรับสั่งมาว่าหม่อมราโชทัยได้แต่งเรื่องนิราศลอนดอนเนื่องจากจดหมายเหตุนี้มีอยู่อีกเรื่อง ๑ เหมือนเปนหนังสือชุดเดียวกันทรงพระราชดำริห์เห็นว่าควรจะพิมพ์หนังสือนิราศลอนดอนในสมุดเล่มนี้ด้วยผู้อ่านจะได้อ่านหนังสือซึ่งหม่อมราโชทัยแต่งในครั้งนั้นให้บริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงได้พิมพ์นิราศลอนดอนเพิ่มเข้าในสมุดเล่มนี้อีกเรื่อง ๑


หนังสือนิราศลอนดอนนี้ ปรากฎในจดหมายเหตุของหมอบรัดเลว่า หม่อมราโชทัยแต่งภายหลังจดหมายเหตุระยะทางราชทูตไทยไปลอนดอน ๒ ปี แต่งแล้วขายกรรมสิทธิ์การพิมพ์ครั้งแรกให้หมอบรัดเลเมื่อปีระกา พ.ศ.๒๔๐๔ หมอบรัดเลลงบันทึกว่าเปนครั้งแรกที่ได้ซื้อขายกรรมสิทธิ์หนังสือกันในเมืองไทย.เรื่องนิราศลอนดอน ตั้งแต่พิมพ์ให้ปรากฎก็ยกย่องกันมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ว่าแต่งดีถึงชั้นเอกในหนังสือกลอนไทย ถึงนิราศของสุนทรภู่ เรื่องที่นับว่าเปนอย่างดีก็ไม่ดีกว่านิราศลอนดอน เห็นจะเปนด้วยประหลาดใจกันว่า หม่อมราโชทัยสิเปนนักเรียนภาษาฝรั่งทำไม จึงแต่งกลอนไทยได้ดีถึงเพียงนั้น จึงมีผู้สงสัยว่านิราศลอนดอนนี้หม่อมราโชทัยมิได้แต่งเอง พระสารสาสน์พลขันธ์ สมบุญ ได้เปนที่ขุนมหาสิทธิโวหาร อาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ บอกแก่ข้าพเจ้าว่า หม่อมราโชทัยได้วานขุนสารประเสริฐ นุช แต่ง แลยังมีผู้พูดกันอีกอย่าง ๑ ว่าหม่อมราโชทัยวานให้สุนทรภู่แต่ง อ้างว่าเมื่อสุนทรภู่ตาย เขาพบกากร่างนิราศลอนดอนที่บ้านสุนทรภู่ เสียงโจทสอดแคล้วเรื่องนิราศลอนดอนนี้เคยได้ยินมาแต่ก่อนเนือง ๆ จนเมื่อก่อนจะพิมพ์สมุดเล่มนี้ยังมีผู้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เคยได้ยินเขาพูดกันว่า นิราศลอนดอนนั้นหม่อมราโชทัยหาได้แต่งเองไม่ ข้าพเจ้าจึงเอาหนังสือนิราศลอนดอนมาอ่านพิจารณาดูอิกครั้ง ๑ อ่านไปไม่เท่าใดก็เชื่อแน่แก่ใจว่า หนังสือเรื่องนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง หาได้วานผู้ใดแต่งไม่ ถ้าจะได้อาศรัยขุนสารประเสริฐ นุช บ้าง ก็เห็นจะเพียงวานให้ช่วยอ่านตรวจแก้ถ้อยคำบ้างเล็กน้อย ข้อที่ว่าวานสุนทรภู่แต่ง น่าจะเปนด้วยสังเกตเห็นกลอนในนิราศลอนดอนคล้ายสำนวนกลอนสุนทรภู่มีอยู่หลายแห่ง เช่นเมื่อราชทูตทูลลากลอนตรงนั้นว่า. “พระทรงจิ้มจันทน์เจิมเฉลิมวิลาศ แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน” กลอนเช่นนี้เปนกลอนสุนทรภู่แท้ แต่ถ้าสังเกตต่อไปในที่อื่นจะเห็นได้ว่า ที่จริงนั้นหม่อมราโชทัยเอากลอนสุนทรภู่เปนแบบอย่างแต่งตามด้วยความนับถือ แม้คำสำผัสก็พยายามรับแต่ตรงคำที่ ๓ ตามอย่างกลอนสุนทรภู่ แต่ความจริงสุนทรภู่อยู่มาในรัชกาลที่ ๔ ไม่กี่ปีเห็นจะตายเสียก่อนแต่งนิราศลอนดอนหลายปีแล้ว.

หลักฐานที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหม่อมราโชทัยแต่งเองนั้น เพราะถ้าผู้อื่นแต่ง จะเปนสุนทรภู่ก็ตาม หรือขุนสารประเสริฐ นุช ก็ตาม คงจะต้องเอาจดหมายเหตุของหม่อมราโชทัยที่พิมพ์ข้างต้นสมุดเล่มนี้เปนหลัก แต่งกลอนตามความที่ปรากฎในจดหมายเหตุนั้นไม่นอกออกไปได้ แต่ในนิราศลอนดอน ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่ามีความแปลกออกไปจากจดหมายเหตุหลายแห่ง มิใช่แต่ที่ชมนกชมปลา ซึ่งปล่อยให้กลอนพาไปเท่านั้น ยังมีความจริงซึ่งแต่งได้แต่ด้วยรู้เอง เห็นเองอยู่ในนิราศลอนดอน อันมิได้ปรากฎในตัวจดหมายเหตุอีกมากมายหลายแห่ง ใช่วิสัยที่ผู้แต่งตามหนังสือจดหมายเหตุจะว่าได้อย่างนั้นข้อนี้เปนหลักฐานมั่นคงว่านิราศลอนดลอนนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง สมดังที่บอกไว้ในโคลงบานแพนกว่า

“ตัวเราเกลากล่าวเกลี้ยงกลอนไข
คือหม่อมราโชทัยที่ตั้ง
แสดงโดยแต่จริงใจจำจด มานา
ห่อนจักพลิกแพลงพลั้งพลาดถ้อยความแถลง”
             

เพราะฉนั้น หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณอยุธยา) ไม่ใช่เปนแต่ผู้แต่งหนังสือดีในทางความเรียง ซึ่งจะเห็นได้ในจดหมายเหตุที่พิมพ์ตอนต้นสมุดเล่มนี้อย่างเดียว ยังเปนกวีที่สมควรจะยกย่องว่าเปนชั้นสูงด้วยอิกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายได้อ่านหนังสือนิราศลอนดอนตอนต่อไปในสมุดเล่มนี้แล้ว จะเห็นเปนอย่างเดียวกันทุกคน.


แท้จริง ถึงมีผู้สอดแคล้วความสามารถของหม่อมราชโชทัยอยู่บ้างดังกล่าวมา แต่ผู้ที่ยกย่องนับถือความสามารถของหม่อมราโชทัยนั้นมากกว่ามาก มีผู้ที่ทราบว่าจะพิมพ์สมุดเล่มนี้แนะนำแก่ข้าพเจ้าหลายคนทั้งเปนผู้คนที่ได้เคยรู้จักตัวหม่อมราโชทัยแลผู้ที่ได้เคยเห็นแต่โวหารต่างตัวหม่อมราโชทัย ว่าควรพิมพ์รูปของหม่อมราโชทัยให้ปรากฎในสมุดเล่มนี้ด้วย รูปของหม่อมราโชทัยมีอยู่ในหอพระสมุด จึงได้ให้จำลองพิมพ์ไว้ในตอนนี้ ด้วยเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะพอใจได้เห็นหม่อมราโชทัยด้วยกันมาก รูปนี้หม่อมราโชทัยถ่ายเมื่อกลับมาจากยุโรปแล้วหลายปี จึงกลับไว้ผมมหาดไทยตามประเพณีในสมัยนั้น.


( ๑ ) คือสมเด็จพระปิตุฉาเจ้า สุขุมาลย์มารศรี พระอัครราชเทวี

Image:Mom-rajotai.jpg Image:Ambassadors.jpg

นิราศลอนดอน

๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพินเพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราชไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย
โดยภักดีมีประสงค์จำนงในอาสาไทจอมจักรหลักนคร
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำแสนระกำด้วยจะไปไกลสมร
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอนกล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวนอย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไลล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลางดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาดเดียรดาษธงทิวปลิวไสว
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชยจะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ
๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน
อุปทูตที่สองรองถัดนั้นเจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชาส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทางต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออกพระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาในบังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศแล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพรจงถาวรเรืองยศหมดทุกคน
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกลพอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา
สมถวิลภิญโญสโมสรรับพระพรแหวกวางหว่างเกศา
ศิโรราบกราบก้มบังคมลาแล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบายแต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลาคนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อยเข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววามประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษล้วนทองเทศงามงดดูสดสี
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานีครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์นประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณทานตวันพัดโบกระบายลม
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม
เปนสง่างามกระบวนควรจะชมทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชาพร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋งก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาลสุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่นไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มีช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ
๏ แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตกคิดชนกชนนีมิรู้หาย
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลายอิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่นแรกรักรื่นจำไปไกลสมร
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทรทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาทควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยามีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาทจึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซาค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่มท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจรถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้าลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัลจะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตรสุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไปพอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ
๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพักจอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควันจนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหารเสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถีสุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรืองจะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมองคิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชยยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่งก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครันนายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับบ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำสาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรีต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ
๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหารให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปังสนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือเหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะกลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกรายเข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึกดูคักคึกอลวนขนเข้าของ
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากองที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่งสิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพังเฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตรแสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงามจะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ
๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษจำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตันให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่
สะกรูหันผันพัดในนัทีเรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวนประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้ายเห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวงดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับจนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทืองพินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขาสล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอแต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตรสุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลินเรือก็เดินล่วงมาในสาคร
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจเมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอนเรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุกระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียนสอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ
สุริยงลงลับคิรีศรีได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอแล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วนไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคองไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล
นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉมยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจจนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้ายไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงันเขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุดชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำแล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่นมาตามแผนที่ทางหว่างวิถี
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวีทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หายเจียนจะวายชีวีไม่มีสุข
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุกเฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรักช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออมเห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขกเพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวนเมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมรต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมาพอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิดจึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึงนอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระแต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร
มาอ้างว้างอาทวาในสาครจะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่งสุดประทังสุดทนกระมลหมาง
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทางสุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่วเห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา
คิดก็แค้นแสนเวทนาตาถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญมาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้ายยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบยเมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้าโอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวงอยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ
๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่งให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทาเรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาดเห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียนช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึกอึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี
ถืออาวุธทำท่าจะราวีกับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผงควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร
ขนกระสุนดินดำทำอาการจะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่งดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัวชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่นเห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันทีดูราวีอย่างทหารชาญทเล
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮจนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศลศศิใสส่องสว่างกลางเวหา
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรารีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืนกลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัยนาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลนเรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ
๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาวระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน
บ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนินกำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ
ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิดกลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น
ล้วนศิลาดาระดะครุคระครันเมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ
มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่านทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ
มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำเวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา
ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา
สักสี่โมงเศษสายได้เวลาก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์
ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่งเสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่
ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโรก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง
ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง
แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนองโดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี
ให้มารับทูตไทยไปทั้งสามข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่
ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรีจะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ
๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่งด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย
จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกายแล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี
ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่งทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี
แขกชวามลายูชาวบุรีเสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป
เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย
ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ
เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยามเคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป
สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบควันตลบมืดมนท์อนธการ
พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอกมีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร
เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวานกลองประสานรัวเร่งตะรังตัง
พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง
สารถีตีขวับขับประดังทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล
ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึกดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็นไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ
แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อนค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
อันตรายราคีไม่มีพานพวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย
อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยมแต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจบ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ
พระพิเทศพานิชสนิทนักสามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม
ภูวนาถโปรดปรานประทานนามตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย
มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่นด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย
แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจหมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน
ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่งเขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน
วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณแมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ
ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศบนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน
ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนินพินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร
ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะเปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน
แถวถนนคนกวาดสอาดเตียนทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป
ครั้นถึงเขตรเคหาสารถีหยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว
ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทยริมบันไดสองข้างที่ทางจร
คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมายมีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน
อิกเภตราในมหาชโลทรถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ
ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาดแลประหลาดตึกรามงามขยัน
แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลันเจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ
ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือแล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ
ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร
ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่นค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร
แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากรรวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา
ก็ชวนกันผันผายออกจากที่จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา
จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุราอนิจจาจำใจต้องไกลเมือง
แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยากยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง
พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคืองไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวี
โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัยสกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรีกัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ
๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอเปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า
จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคากำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป
เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวามีเกาะแก่งในมหาชลาไหล
แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา
มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่านเปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา
ชื่อบุรียะกะตราชวาเนาแต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา
กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักรเข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า
จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญาฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ
ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว
แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทยให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี
ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศเที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี
มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนทีน้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น
แวะสนานธารสบายให้หายร้อนที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ
ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปนเลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน
ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์
เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครันจนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย
เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่องล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย
ผลาผลต่างต่างเอาวางรายดูหลากหลายผักปลาสารพัด
กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่นไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด
บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัดเผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล
แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนาไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่
นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเรทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน
บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยมใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน
อิเหนาจากจินตะหรายุพาพานอาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ
แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือนพี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย
ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทยถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม
นี่จนจิตต์กิจราชการหลวงจึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม
ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงามไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร
แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้ายิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร
จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจรเขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน
กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่านจนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน
ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกินเห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ
อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่นใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ
ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือมันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย
พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้นแสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย
มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะรายเห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร
นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน
ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอนทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล
ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัดซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห
ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเทคนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ
๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาดเขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน
ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการเชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ
แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่
แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกลก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง
ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถกำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง
ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปางแทบวายวางชีวันอันตราย
ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบคลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย
ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจายของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป
ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อนเรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล
ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัยมิใคร่ได้นิทราอุรารึง
หลายทิวามากลางทางทุเรศจนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง
ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้งจะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี
ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่
ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรีเกิดกุลีลมกล้าสลาตัน
เสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวนกำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน
ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวันต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา
ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไขเราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า
คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกาแจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์
คอยดูดวงสุริยงจนลงลับเจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน
จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพรทินกรผุดพ้นชลธี
ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่าอิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวีมาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร
แต่พายุยังจัดพัดกระโชกเรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว
เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบแล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย
ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย
ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดายไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง
ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้านข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง
โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวงคิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ
๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อมกำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร
เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการเอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร
ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่านที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน
มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาครไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ
พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้งก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส
ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสวคว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที
เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือสู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี
ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารีเอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ
ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมีดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร
พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทานต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน
เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศเที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์
ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดันเผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง
ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้นอ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง
ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวังฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน
มันขยาดไม่อาจออกต่อต้านก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน
ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอนพอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา
เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขายเห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า
พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญาต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง
เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่นไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง
ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดงฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี
ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหายมีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี
หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มีช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ
กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้นได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน
แล้วใช้จักรมากลางทางกันดารค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ
เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา
ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมาจะวอนว่าไต่ถามนามกร
ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สนบ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน
พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จรเที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย
เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึกหวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย
มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดยยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง
ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง
โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึงนึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย
เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อยช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย
ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกลกลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง
ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้งงับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง
ในกระแสแลหลามตามหนทางลอยสล้างเหลือล้นคณนา
นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัดก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา
นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลาอังกฤษว่าบูบีปีกษีบอ
บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถมจับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ
ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอเอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล
ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิดยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน
แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวนทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน
พายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้ากระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น
เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยินเหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน
ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ
ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี
ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่งเห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี
ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรีช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ
เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข
ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โตแกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง
มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง
แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจงใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ
๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอดพอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน
พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญกลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน
กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหาถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน
ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจนจะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร
ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผันเข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน
เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวนรับประมาญเปนธุระทุกประการ
ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิดประสามิตรผูกรักสมัคสมาน
ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง
ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศชมตลาดตึกรามตามประสงค์
ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดงเอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน
พอบังลมร่มแดดที่แผดเผาผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน
เขาคิดทำไร่นาประสาจนอาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี
เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลายมิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี
แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรีย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว
จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้มช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว
สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัวแต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร
เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อยแล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่
บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไลจากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ
๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอดระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก
ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทักประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา
สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศอยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า
ให้ชักธงจอมจักรนัคราขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ
เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึงสักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน
มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลันอิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง
ทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่นบันฦๅลั่นในชลาป่ารหง
ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธงธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี
แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหารเคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี
ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าทีก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย
นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาดเดียรดาษแลดูล้วนปูหอย
นกยางย่องจ้องจับขยับคอยลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน
นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอดเที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์
เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบินรู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี
ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใสนกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี
กระทุงทองล่องลัดในนัทีฉลาดดีเอาปากลงลากอวน
ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียงก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน
ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวลนับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ
เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ก็ตกใจบินบากจากกระแส
ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด
นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษาไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิท
แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตรโอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ
๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยวมาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า
ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดาเขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล
พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่นช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น
บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็นบ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน
ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุกเปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์
ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้นได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน
มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้งจะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล
หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณอันราคินข้อไรมิให้มี
แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้างตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้
พอทูตถึงที่พลันในทันทีของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน
สำเร็จกิจชวนกันจะผันผายพอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน
มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง
แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐแล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง
เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกังคนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้
ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถีแต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข
เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโตกัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี
พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้นให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่
กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมีตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน
จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์
ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายินเทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย
แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วยถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย
พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทรายใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร
เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่มให้มาชมตามทางต่างสมร
เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน
ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้นไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน
เมื่อพ้นจากวังวนชลธารก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย
หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย
มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทรายถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว
ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว
กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาวโอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน
ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็นยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์
มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร
ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัยนึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน
เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอนสักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ
เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุนเหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้
ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจเห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ
๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน
ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครันธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์
ที่ดำรงองค์มหาอุปราชดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์
ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูลดูมากมูลพลไพร่ในบุรี
พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุดอุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่
เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดีให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง
ทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับโคมสำหรับนำหน้าพาผยอง
ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบองเคียงประคองข้างรถบทจร
บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนีจนถึงที่ตึกโตสโมสร
กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอนขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย
ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่งตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย
เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งรายขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ
ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน
ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง
ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมองล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง
มาขึ้นรถม้าพยศผยองปังไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป
ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยนดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย
ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างในเสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา
แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขกตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา
พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกาก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร
ในทวารมีทหารถือกระบี่ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส
ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโชประตูโทถัดนั้นทหารปืน
ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับพวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น
ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืนที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ
ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชักช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ
หกกระบอกม้าลากก็มากพอร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว
ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนาผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว
ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัวไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี
รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียงก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่
เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนีเธอพาทีจับมือไม่ถือยศ
ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตรโดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ
แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพตก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล
เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวนแล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว
แดดก็ร่มลมชายสบายใจมีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ
กรรณิกาการเกดพิกุลแก้วโสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์
พุมเรียงรงโรกรักลักจั่นขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง
มลุลีมลิลากับกาหลงรำดวนดงดกดอกออกสล้าง
สละเสลาลางลิงมะปริงปรางข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ
คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้มยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ
ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำมะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง
ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอยชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์
กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยงโลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม
หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่นแจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม
มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงามม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร
เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่างเล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว
ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟเถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง
บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอยเกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง
เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้างกลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา
แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนีเหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า
ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเราเรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ
แล้วทำเฉยเลยชมสระสนานชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส
ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไรปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ
มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่งกระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด
ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัดเห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร
ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้องแต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร
ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอนปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย
ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพากสุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย
ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกายยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง
ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนองอันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม
เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสนบ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม
บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวมบ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา
เขาก่อหินกันดินตามข้างข้างมีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา
สลักรูปหอยปูเงือกงูปลาถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย
มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย
จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบายทำลวดลายเลขาก็น่าชม
สำหรับเจ้านัครามาประพาสสำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม
พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์
แล้วพากันกลับหลังมายังตึกอนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร
โอ้วันไรชิดชื่นคืนนครที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น
แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับอันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ
ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็นด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผายเคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน
ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบานแสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรีก็ลุที่ริมแควกระแสไหล
เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพาน
แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน
ไว้สำหรับจรดลในชลธารเคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ
แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึงพอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้
ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไปรถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน
ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้ามาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์
ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร
อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึกผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ
ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญเคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว
เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนักเข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว
แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัวคิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน
ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่าธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์
สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลันนิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม
ตื่นผวาหานางเห็นสางแสงกระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม
ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลามเสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง
ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาทมิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง
สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวังซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล
เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัดแล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล
ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเทเขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร
ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่ายิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ
เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูนจนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์
เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยงบนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน
ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพันแกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี
ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้วจะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่
พอกัปตันขึ้นมาจึงพาทีเชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ
๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผันถึงกำปั่นแสนโสมนัสา
ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมาห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี
เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพักได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี
ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวีเจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย
แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้านแสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย
นั่งพูดจาเล่นตามความสบายแล้วหกนายต่างพากันลาจร
ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร
อยู่สามวันจึงครรไลไกลนครไปในท้องชโลทรทางกันดาร
ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร
รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการสูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง
แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง
ถ้าใครขืนรบรับคงยับเองต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา
กัปตันให้เรือรอสมอทอดประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา
แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนราบอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ
ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร
ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนานคำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบควันตระหลบดินดาลสท้านไหว
แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไปอยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา
เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวางค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา
ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลาได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน
พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุขแล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์
ต้องไปในชลสายอีกหลายวันทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง
นึกคนึงถึงกายไม่วายหมองจนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง
ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจงบ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย
ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้นก็ผายผันมายังท่าชลาไหล
กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟแล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ
๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลดทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห
ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเนให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก
คลื่นระดมลมกล้าประดาเสียนอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก
กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึกจนยามดึกลมจัดพัดกระพือ
กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ
คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือเสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ
แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่นทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ
ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือจนข้อเสือก้านจักรหักออกไป
ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่
เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ
๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศอยู่ริมเขตรวังวนชลสาย
คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วายจึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี
ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่งก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี
มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรีต่างยินดีปราไสกันไปมา
บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยามชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา
บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดาบ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย
เขาผูกรักชักชิดสนิทสนมชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย
อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลายไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ
๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้ายยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์
ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วันพายุนั้นสามารถทายาดพอ
แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ
เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอคลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม
พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดชจอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม
เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อมปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย
เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิปรกติไปโดยสดวกได้
ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัยเห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ
คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน
เปนเวลาสุริยนอนธการราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน
ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่างแลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น
ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป
ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย
ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา
ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่างพื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา
ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศราโดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง
ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้าตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง
ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นางแลสล้างทั้งสามงามวิไล
ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย
ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจมาถามไถ่ทักทายเราะรายดี
แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่องพระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี
มีประสาสน์พระราชเสาวนีว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา
เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่งพร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา
ไว้สำหรับรับราชสารากับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง
จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไปว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง
เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนงร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา
แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา
จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมามิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง
แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง
สิ่งใดใดมีในบุรีเรืองแม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล
อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาดอนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน
ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคนเงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง
แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่นแล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง
กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้งเข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน
ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับแลสลับน่าดูหมู่ทหาร
ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธารแผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง
ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัดก็แออัดสับสนคนสพรั่ง
มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนังบ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย
เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอดมีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว
แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไลตลอดไปจนรถช่างงดงาม
สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์นพระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม
พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตามก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล
แอดมิรัลนายทหารชาญสมุทฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว
สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัยผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์
ทหารรับจับเชือกกระชากปราดพอนกฉาดปืนลั่นควันขมง
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรงคำนับธงแทนนาถบาทยุคล
แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถม้าพยศวิ่งวางกลางถนน
ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดลประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ
สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชักม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ
แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน
ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่ายชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล
แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควรก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ
๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนักเข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณสายตวันเวลาสักห้าโมง
เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพักต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง
บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรงไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง
สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อนกระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง
ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดังขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน
พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อนดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน
จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบนเห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง
มีทหารถือกระบี่เปนทีท่าล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง
งามอาชาร่าเริงเชิงลำพองสามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป
อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษเทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน
เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทยต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน
พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน
ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมลใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ
ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึกทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน
ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดารโอฬาลานทีท่าน่าสบาย
ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับรถประทับนายทวารเปิดบานผาย
ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนายมาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร
แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์
เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอนมีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน
จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน
เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลนไม่เกียจกลการงานขยันจริง
เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่วรู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง
ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติงเสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน
แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิดถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน
เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือนเจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี
ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัยสู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี
ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนทีนั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง
เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตรเชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง
นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพังจนระฆังขานก้องถึงสองยาม
ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม
ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงรามละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง
ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญสู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง
เอาพระเดชจอมจักรหักระคางว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม
เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้าไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม
พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทมก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน
แต่วิสัยใจบุถุชนนี้ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน
หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครันทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน
อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่นไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน
วายถวิลเพียงเวลาทิพากรคงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี
แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้องเห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ก็พูดจาปราไสใจยินดีบ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ
๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขินมิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน
ไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง
ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้าขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง
อาชาชาติผาดโผนโจนลำพองช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน
เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึกทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์
แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวันมีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู
แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวงห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้
ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปูให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย
ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษแต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย
จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวายเข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง
ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหารบังคับการข่มขี่ทีข่มเหง
ข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรงคุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย
ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย
ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตายทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ
ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญเคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ
ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา
พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา
ยิงระดมล้มระดะดาษดาคนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ
เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว
เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ
ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบแล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง
บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้างทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง
แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเองไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ
แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่าบนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ
สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป
ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่นออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย
ส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไลก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ
ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้มรู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ
ถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอคนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม
ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้างถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม
ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงามสิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น
จึงคืนคงลงจากพาชีชาติม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน
มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลันหวังจะกันกีดไว้มิให้จร
ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน
แล้วนารีขี่ควบอัศดรออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัดเขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน
ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ
๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง
ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรงควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง
บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้ายืนแยกขาทำตามความประสงค์
คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจงเอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน
สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่วเลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน
บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอนไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน
บางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือกกระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน
กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกันพัลวันไวว่องทั้งสองนาย
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลังคืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย
ขณะนั้นทันทีมีผู้ชายก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน
เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้าข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น
แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครันช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา
อีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วงกลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า
ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้าโดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม
แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนามก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม
แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติมทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ
ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขามกระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้
ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไปแล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ
๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยดดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา
ชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชามือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม
แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม
สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความคำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน
พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่งไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน
ชายตลกยกเท้าอัศดรให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา
ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัดสารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา
บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลาแต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย
มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนาฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย
ตลกจึงกล่าวคำทำภิปรายนี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร
ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้าให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน
เราจะห้ามปรามไว้มิให้จรอย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี
มิศกุกรับคำทำเปนว่ามาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่
แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชีจงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน
สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่งช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน
ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือนแล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไป
ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผันขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้
มิศกุกเรียกกลับมาฉับไวลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที
จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนาฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋
คนตลกจึงว่าแก่พาชีหยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร
ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลกสองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน
ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทรจงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย
ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย
มิศกุกนายม้าปรีชาชายต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว
แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลังม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว
ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียวสักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน
คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ
เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่งเขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์
เอานารีรูปร่างสำอางครันเปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล
แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็นช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย
ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไกดังเหาะได้จริงจังลำพังตน
บางทีผุดผายผันจากบรรพตเห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน
บางทีขึ้นจากพื้นภูวดลแต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร
คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร
ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอรดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม
เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับคืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม
คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงามถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ
๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว
มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทยจัดรถให้ห้ารถบทจร
ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวนประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน
เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ราษฎรเสียให้จึงได้ดู
มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาทสิงหราชกรินีทั้งหมีหมู
อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรูทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน
แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษาพยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน
ฟานกระจงเลียงผาสารพันจิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน
กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอกข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย
อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว
เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขังก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว
ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียวไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย
มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขงเปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย
เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลายใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา
ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบคางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า
จรเข้หอยปูงูเต่าปลาสกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน
ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน
แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณบางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย
ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็กซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหว
แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไรใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ
จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่างแล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ
ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต
ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้งอยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้
สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซกินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน
เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหารไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์
แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกันจนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผันดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา
ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวาเปนมหานาเวศวิเศษนัก
ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อยแต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก
ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยักคิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี
ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้นเขียนสุวรรณลวดลายระบายสี
มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มทีตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ
ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาดระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ
ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำเขาหาทำของเข้าเอามาไว้
ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้องแล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว
เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ
บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่นแม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน
เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดารใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ
๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมดขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย
ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคายลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา
ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้นไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา
ใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคาถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน
ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่างพื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน
เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียรเที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด
อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่องตามแถวท้องวารินยินถนัด
เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัดด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี
อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่นโดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่
สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมีเศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย
เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอดช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล
พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไรก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ
๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อยช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ
ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอเขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน
ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล
ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล
กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลังคืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย
มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจกำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน
อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่มมาควบคุมของขนไปจนสิ้น
บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา
แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผันกับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา
๏ อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชาขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง
ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้าพระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง
อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรืองดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ
ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์
ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคันมีพระบัญชาตรัสดำรัสการ
ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น
ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดารไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา
ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า
จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนามาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี
เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาทไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี
หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนีอัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด
ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้าจงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้
เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัยผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง
ราชทูตรับว่าอย่าปรารภจะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง
แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรองที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง
เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรงว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์
ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิตพระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวีในการที่รับทูตขอหยุดไว้
อีกสักแปดราตรีพอมีสุขค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย
ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจต้องรอไปป่วยการนานเวลา
ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา
เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญากลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี
แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่นก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี
คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวีแต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ
๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผันดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน
ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน
ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึกแลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์
สำหรับให้คนดูรู้สำคัญว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของมารับรองพูดจาอัชฌาสัย
แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไปให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล
ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อนดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน
สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบนแล้วต่างคนจากที่เดินลีลา
เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอยเห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา
มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตาลำคงคาเรือแพออกแจจรร
ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่างทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น
ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย
รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่างพื้นนภางค์โอภาษประลาดหลาย
แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปรายคนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง
ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหลทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง
ไม่มีข้อสงสัยใจประวิงช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ
ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ
ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำไปดูหนังฟังคำบทเจรจา
อันรูปหนังดูงามตามวิสัยเมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา
มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดาบรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน
ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน
ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้นช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด
ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่างค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์
อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน
ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผันจรจัลกลับหลังยังสถาน
ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลานเพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ
๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหนสุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง
ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวงให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น
เขามาชวนไปยังที่วังแก้วก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น
ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปนไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์
มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศอาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน
ครั้นถึงวังรัตนาพากันจรเดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล
ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ววับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส
ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไรตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา
สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้นเขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา
ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตาปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย
มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่นไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย
แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชายประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ
แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน
รูปคนป่าราษีไม่มีนวลทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง
แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อยทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง
แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวังจนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย
มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุดช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย
ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคยแล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระหวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น
ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยินแต่พิรุณจวนรินโรยลออง
ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิดคนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง
เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานองพอพวกพ้องที่รักมาชักชวน
ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ
จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวนแต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา
แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่งเห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา
ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงาไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย
จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อยล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย
ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกรายเมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ
พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่งเขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน
ดูจริตกิริยาก็น่าเพลินดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง
ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้าดูพักตราราษีไม่มีหมอง
ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลอองดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ
ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์
เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกันเปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลังมายับยั้งไสยาที่อาศรัย
จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัยพวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน
ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้นสารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน
รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวลทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง
ทั้งรูปราชสามีเปนที่รักวิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง
กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอางแลสล้างล้อมขนานพระมารดร
รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลายทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน
มีคนดำน้ำอดบทจรในสาครทนจมอยู่นมนาน
แสนสบายหายใจก็ได้คล่องลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน
ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธารวิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา
อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา
แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนาเห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง
ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัยดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง
ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลงครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำกำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์
สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รักมาชวนชักให้สนานสำราญกาย
ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศวิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย
เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชายดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย
นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสนโจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว
บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบในข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด
ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชรแต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด
ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงดมรกดไพฑูรย์จำรูญราย
เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหารหมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย
สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกรายทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน
ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพักถึงสำนักรถไฟจะผายผัน
พอประสพพบเห็นเยนเนอรัลก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร
หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้นได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร
ถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวรก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง
อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศเชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง
ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทองทูตประคองเคียงตั้งระวังดู
อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์นทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้
ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรูแปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน
กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตรประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร
กระหนกนอกดอกช่ออรชรทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย
เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยาย
ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกายพักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง
ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง
ริมถนนคนผู้ดูประดังยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร
ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข
น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โตไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน
บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูตบ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์
ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมันทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี
แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รักต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี
จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมีถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ
๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยวประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง
ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวังทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ
ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อยปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ
เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับกลองขยับมือถี่ตีออกรัว
เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหารเชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว
ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัวในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน
เชิญพวกทูตจากรถบทบาทดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน
ให้พักพาอาศรัยในตำบลเปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย
ชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาวถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัย
จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปในกระจกใส่ช่องชิดสนิทดี
เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่นค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี
ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมีควรเปนที่สบายวายอาวรณ์
บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร
แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทรเชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง
เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วงถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง
ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทางเสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน
ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤชคอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน
ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณพานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย
ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสามก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย
เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกรายแต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกร
ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาดก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน
คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจรพี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป
แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหารคุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส
แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัยขุนปรีชาล่ามในบวรวัง
ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงดเปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง
ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดังจะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา
ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา
ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตาอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน
แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้าก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว
ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทยเปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม
ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสองถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม
รับพระราชโองการบรรหารความจอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี
ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่องมาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี
โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรีร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน
จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไขที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน
สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัลข้างพวกทูตอภิวันทนาการ
อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่งคลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น
แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพานดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหงจึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย
พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชายวางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ
ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลังพร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน
ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย
ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่าเราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย
ได้รับทูตสององค์พระทรงชัยก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน
ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้นเหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น
เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืนจะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม
จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม
ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติมจะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี
ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อนสองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี
พวกพานิชลูกค้าประชาชีได้ไปที่ค้าขายสบายบาน
อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้างด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร
ไปรับทูตข้ามวนชลธารทางกันดารตั้งใจระไวระวัง
ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผลตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง
โดยระบอบชอบธรรมตามกำลังเสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้
ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่ากลับออกมาชี้แจงแถลงไข
ว่าพระนางยินดีมีพระทัยที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ
สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศกระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน
ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณแล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย
ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่
ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไปธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ
ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้าจึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม
จะคายคมสมควรไม่ลวนลามเวลานี้จงประณามประนมลา
ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้องทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา
คลานถอยหลังจนกระทั่งทวาราเยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ
๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราชเถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง
อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรงทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา
ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่องแลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า
ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพราช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา
ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชรดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา
ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมาถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ
ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติเพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ
ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำจะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด
เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราชหมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส
มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอในประมาณได้สามสิบพอดิบดี
อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี
สวยสอาดเปนพระราชสามีแต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ
ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาดเข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ
อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน
ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้ายโดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร
สารพัดเครื่องราชบรรณาการพนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ
๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้าสุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง
เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียงก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา
อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้นกินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา
ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวาใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม
บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาดบ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม
ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววามที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ
๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผันเยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน
ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียนชมศัสตราดาเดียรดาษดู
อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำรายประจำตามผนังวางเปนคู่
มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนูไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง
เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพักหยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง
เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟังเสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน
สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศยุรยาตรคืนหลังยังสถาน
ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบานแสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ
จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา
เสียงม้ารถอึงอัดรัถยาพลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย
ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้างเสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย
เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างรายเขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย
แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่งช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวย
สารพัดจัดบรรจงน่างงงวยอุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ
๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่บัญชาให้คนขำนำอักษร
มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทรว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์
จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี
ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดีกับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน
จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวยเหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครันจนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร
ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถานสุริฉานลับเงาเขาศิงขร
เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนครได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย
จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศรเสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย
มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลายเจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา
คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา
ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามาหยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง
พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมรเหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง
พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นางแลสล้างดังคณาดาราราย
เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย
จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกายบรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง
ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาทแล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง
เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลางให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย
ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่านั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่
อุปทูตที่สองรองลงไปเขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี
แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวาให้ทูตาที่สามนั่งตามที่
ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามีแต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา
อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา
เมื่อขณะเสพย์รสโภชนานางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย
จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย
ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคยโปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย
ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน
ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตรมายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร
ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร
เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจรดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน
พระสามีที่สนิทพิศวาทงามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปรานแล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย
เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย
ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกรายมาทักทายพูดจาแล้วลาไป
เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขยจึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย
เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคลประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา
ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้าต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา
โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชาอีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง
กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิดเธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง
ได้ตอบต่อข้อไขในทำนองแล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง
พระบุตราบุตรีสามีราชมารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง
บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพังจนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี
นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่นเสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่
ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดีก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน
ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถานโปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน
คนละห้องไสยาสถาวรจนทินกรแจ่มจบภพไตร
ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศเปนพระราชสามิศพิสมัย
ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจพิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์
มารับของภูบาลผ่านพิภพที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์
ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา
ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนักเห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา
ทั้งสองข้างต่างคนสนทนาแล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป
พนักงานจัดแจงแต่งอาหารล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว
ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจจนสี่โมงเศษได้เวลาจร
ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน
พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอนนึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด
นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉมมีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิดแนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา
กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่นพอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา
แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลาไปชมโรงแพทยารักษาคน
ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน
ทำเริงรื่นขืนมานะจรดลขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ
๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถพร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว
ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างในตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น
มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิงประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน
อิกกระดูกคนบุราณที่นานครันดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ
ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอกศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห
ในตากลมกลวงโหวโตกะไรปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง
กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง
ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทางออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน
บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอดแล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ
หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน
จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้วพี่เห็นแล้วผมพองสยองขน
อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคนช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป
บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิดแปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย
ตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไรก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย
บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิงแต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย
ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมายให้หญิงชายทัศนาบรรดามี
ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่นช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี
ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดีดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล
แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัดได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน
ก็ออกจากโรงหมอจรดลไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ
๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่นฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน
วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที
ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่างครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่
ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดีเหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ
๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อมไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร
ในนั้นมีตึกโตมโหฬารสูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ
รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็กใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ
ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย
มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิตคนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย
เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมายอีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์
แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้งดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์
มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณสารพันอาภรณ์บวรรัตน์
มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบวับวาววาบแววแวมแจ่มจรส
รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัดช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลังคืนมายังที่สำนักพักอาศรัย
ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไลไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร
ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อนสโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร
หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียนศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง
ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้นเปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง
เห็นทวารบานปิดมิดกำบังก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ
ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่งออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร
เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนานชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร
เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียนดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม
มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่าแต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม
บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนามร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป
ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสดช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน
เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไลแต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย
ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาดเรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย
มีชื่อตามสีสันดังบรรยายห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน
งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียนวิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น
ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครันบ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง
บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วนดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง
ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลอองที่บางห้องปูพรมอุดมดี
บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับเรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี
อันของใช้หลากหลากก็มากมีประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน
เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้นเปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน
ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคนทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน
เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน
บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยันสารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป
สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว
ที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจแล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ
๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถเชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน
ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง
เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึกดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง
พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมงเสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดร
ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาทวรราชนารีศรีสมร
ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวรพากันจรขึ้นนั่งที่บังควร
บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุกบันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน
จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวนมีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา
เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขาไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา
เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมามีรถหน้าขึงขำนำครรไล
คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศาล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว
แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไปทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ
สพายปืนขับขี่พาชีชาติห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์
ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิดเดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย
ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็กรูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย
ถือกระบี่ทีจับขยับรายดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา
ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่งแต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา
ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลาอีกขนัดถัดมาหกสิบคน
ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตรมาโดยเขตรสองข้างทางถนน
มารยาตรอาจหาญชาญผจญตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ
อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช
ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น
แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน
จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณกระจกกันกั้นหวังให้บังลม
บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศเทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม
สารถีขี่ประจำล้วนขำคมน่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว
ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว
เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัวเปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน
ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราชผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร
แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการพระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง
ครั้นทีหลังพาชีมีทหารแสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง
สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลืองเปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อยงามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา
ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญาเสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์
มีทหารถือขวานปลายเปนกฤชอำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น
ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็นล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที
ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอกหกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่
คนเดินนำสามสิบพอดิบดีพระมาลากำมะหยี่สีบวร
ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่างมีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน
เมื่อเสด็จจากรถบทจรพระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง
ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาดดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง
ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทองกว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย
สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย
ถัดออกมาเสนีอีกสี่นายคอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา
ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้ายสี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา
เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย
ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวาเสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย
แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พรายด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง
ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง
อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรงสองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม
สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้ายข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม
โดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนามแต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา
อันพระจอมสากลวิมลสมรดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา
ฉลององค์ทรงโขมพัตราอีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร
เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่างแสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ
เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ดครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ
เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจจบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน
ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ
แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น
ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็นจะได้เห็นไกกลที่คนทำ
เขายอมให้คลาไคลดังใจหวังก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำโอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ
ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร
ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพานจะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย
แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่งน้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว
ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจพอเที่ยงได้เวลาพากันจร
แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน
เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาครคิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน
เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพรากต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์
จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัลก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ
๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถีมีไร่นาสาลีแลไสว
นาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไรเขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง
เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัดทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง
ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรงต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม
บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผักเปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม
มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกรามในที่ตามทางรถบทจร
แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวางก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร
เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อนช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย
ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้นมืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย
บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยายก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา
บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหลเรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา
แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมาดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ
บางทีทำลำคลองเปนสองชั้นข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน
ข้างล่างชลลันไหลใต้สพานเรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ
๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนักเขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง
เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรองต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย
เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึกอนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย
ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบายจนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ
ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถมารับทูตไทยหมดให้ผายผัน
ไปดูที่นานาสารพันแห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน
กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักรวิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน
ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญโดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง
ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่างเจียระไนใสสว่างเปนสีแสง
ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจงดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง
อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์
ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยงเขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ
๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วนแล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง
จากบุรีรีบไปดังใจปองจนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน
ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉนดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์
เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครันสารพันพิศเพลินเจริญตา
พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ผู้รักษาธานีก็มาหา
แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลาขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก
ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก
คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรักมาชวนชักพูดจาแล้วลาไป
ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคลดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี
อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัดช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี
ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าทีเจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ
๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน
กำปั่นพวกลูกค้าในสาครได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ
บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ
เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง
ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิดก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง
สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบังเรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง
คนทำการนั่งยืนกับพื้นหินไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง
ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจงในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย
ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสาดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย
สุดจะนับคณนาจนตาลายดูมากมายสับสนพ้นประมาณ
ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้งหยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร
จนสิ้นแสงสุริยนอนธการพนักงานจัดแจงตกแต่งรถ
แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัยขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด
ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงดอันปรากฎมีอยู่ในบูรี
ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใสก็คลาไคลตามแนวแถววิถี
ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดีจึงจรลีเข้าไปดังใจปอง
เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ
กวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรองให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู
อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขาจะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู
ขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ
ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรกหัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร
ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยานพาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด
แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่าฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด
ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย
เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบแล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย
แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคายทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน
จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อมแกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน
แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนินเที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน
ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้าคาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น
เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมันสินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว
จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุดวิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว
ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัวม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา
เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่งเราจะทิ้งผ้าไปในเวหา
จงคอยคาบรับเอาทุกคราวคราอย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน
แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศพาชีชาติรับได้ดังใจถวิล
ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ
แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวดดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ
ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการยังวิตถารมากมายหลายทำนอง
ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึกอนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง
ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรองคนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา
เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตกใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา
พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุราเหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน
ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับนึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ
ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวันครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย
จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่างไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย
อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไลขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ
๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน
แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการคิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร
ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถานต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย
เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไปเอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน
เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้องทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน
ต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือนดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ
นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่นลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ
ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำพวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง
ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง
อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลังเพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย
แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่นให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย
เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชยเขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา
เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า
อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตาพวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา
ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา
ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลาจนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ
๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศพร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน
ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลันถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์
เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น
คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดินเปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม
อยู่สองวันซื้อหาสารพัดไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม
ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยมถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป
แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วนตวันจวนเจียนดับลับไศล
จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟสี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน
เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน
เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลนถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎมีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน
ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลันคนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ
ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชักก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน
แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญบอกอาการป่วยไปมิได้จร
ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถาถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกรแล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ
๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษรทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์
ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรักให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย
กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้าดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย
พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชายมารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์
ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉนเปนจนใจไข้จับยังทับถม
สุดดำรงทรงกายหมายนิยมแม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา
ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศแล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า
ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบาอยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ
๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา
ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลาทัศนารำเท้าเปนคราวดี
ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี
จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ทีต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ
สารถีขับม้าพาลีลาศก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด
เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลดดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง
รำกับน้องของเจ้าอาลเบิตงามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง
ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทางโดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา
นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่พินิจดูงดงามตามภาษา
เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมาว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน
กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน
อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวนก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน
ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้ายเสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร
พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วารเสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง
โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยงมีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง
อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดังขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน
ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อยมิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น
ต่างยินดีปรีดาไม่ราคินครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม
ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุกบันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม
เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุมจนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ
๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหารแทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา
มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจาเชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร
ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผายไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร
เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดรดูสลอนแลหลามเปนสามกอง
พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง
พวกม้าดำดำดีทีลำพองคำรนร้องเริงร่านหาญประจญ
พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลายล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน
ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพลเสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง
ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง
ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียงเปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน
ทหารม้าจรลีทีละตับไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร
ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพันเมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง
เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วงไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง
พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตังเหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน
ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบแต่สินธพอาชายังกล้าหาญ
เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญจึงแจ้งการในกลรณรงค์
ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่วแต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์
ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนงทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต
เชิงฉลาดอาจหาญในการรบรู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโยก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ
๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมายจะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม
พระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชมให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม
เธอเปนราชกุมารชาญสมรอยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยม
แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียมฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน
ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสายพระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์
ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญกับตัวฉันจรลีเปนสี่คน
ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้งในตำแหน่งอาวาหสถาผล
ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย
มาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่างริมหนทางคนผู้ดูไสว
ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันไดก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย
สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราชพร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย
อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชายก็นำสายสุดสวาทราชธิดา
เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมดองค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา
อันโฉมยงบุตรีศรีโสภาแต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว
ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว
ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัวสอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง
ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอกเปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์
มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล
ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลังเปนยศหวังว่างามตามวิสัย
แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไมเธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ
กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่ามีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด
คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม
ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่ายมายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม
ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างามจึงคุกเข่าลงประณามประนมกร
แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์เกษมสันต์ภิญโญสโมสร
พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทรร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น
ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสองที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ
จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญขณะวันอาวาห์สถาวร
แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าวให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร
ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอนแล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที
ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี
ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคีในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา
แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา
ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนาต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป
แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถามโดยคดีมีความข้อสงสัย
ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัยท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก
จะรับราชธิดามาเปนคู่แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์
ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยักจะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน
ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่นคงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ
มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง
เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่าแกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง
แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิงเสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมรรับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย
พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปรายกล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง
ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิงให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง
ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลอองจึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา
มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา
พระครูรับจับกรสมรมาเอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง
แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมายให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์
เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน
ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้าจะรับเอานวลอนงค์คงสมาน
ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงานไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร
ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน
สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอรเสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์
พระครูจึงจับหัตถาธิดาราชมาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่
แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันทีให้เทวีว่าตามทุกคำไป
ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่องก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข
แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกลโดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา
ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัวรู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา
จะตั้งใจปรนิบัติภัศดาเสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน
เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลาจึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์
แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลันทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู
ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่
แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชูส่งให้กูมารรับคำนับลา
มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้ายของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา
แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจาว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี
พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี
โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคีธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ
จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติสารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์
เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลันแล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์
ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์
ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลงแล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ
เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับแกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร
ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌานได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง
แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้นอย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง
จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคองจนตราบสองชันษาชีวาวาย
แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย
พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนรายร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง
บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาททั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง
ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลงดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง
ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวีกับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง
พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดังคืนเข้าวังสุขสมภิรมยา
แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้งบอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา
อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามาล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน
ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็นเหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน
พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆารต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป
ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่งอย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้
ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจจึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้
เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราชพวกพระญาติแลเสนาบดีศรี
ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดีเหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน
หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อยเปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร
ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ
พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศจันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร
เดียรดาษด้วยคณาดารากรพื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน
ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราชใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์
ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคนจรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ
จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ
ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอพูดหัวร่อเฮฮาพากันไป
มาถึงวังขึ้นยังตำหนักติกเห็นคักคึกคนผู้ดูไสว
พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าในแต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน
พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลากับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ
อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน
ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิงเสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย
มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจกลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน
ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่งให้แต่งตั้งภักษาผลาผล
แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคนไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน
กินน้ำชากาแฟแลขนมมีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์
ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณอเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย
อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้งอยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย
สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลายเสด็จผายผันกลับลับพระองค์
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมดขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนงนึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ
เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ยใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวลได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง
เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง
ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียงศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง
ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง
พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวงครรไลล่วงเลยออกนอกประตู
เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อมแล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู
เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดูไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย
แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถีซื้อของดีตามห้างที่วางขาย
จนเวลาสายัณห์ตวันชายก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ
๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง
ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวงจะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา
คือนครทรงยศโอรสเขยต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา
ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดาเปนยอดยิ่งกัลยาในธานี
ได้เวลาทูตานุทูตหมดขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี
ถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา
พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาทเดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา
ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยาพี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ
เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่นได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย
แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไรจึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน
แลดูเขาเขาดูอดสูแสนไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน
ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทินทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู
จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษกับสามิศแอบองค์ดำรงคู่
เสด็จออกคนเคยเผยประตูเปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ
บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้องเข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน
มาออกทางทวาราข้างขวาพลันพวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป
เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศกับทรงเดชสามิศพิสมัย
พระบุตรีนงรามงามประไพทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา
ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลดแถวหลังหมดพระญาติวงศา
แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลาเกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร
ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อนั่นแลคือบอกนามตามอักษร
เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทรให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี
ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้นจึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี
น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันทีพระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย
ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย
แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปรายให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน
จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้าข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย
อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัยพานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ
๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่นชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา
เอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกาปักรายริมรัถยาตลอดแล
บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนนลงไปจนนาเวศเขตรกระแส
คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแชออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย
วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข
มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟเหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ
บนหนทางน้ำค้างที่ตกขังดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน
ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญสนุกสนานตามประสาพวกทารก
คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่นด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก
แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงกดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ
๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชักด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง
จะพาชมคลังในที่ใส่ทองทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมดมาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง
ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรืองค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร
ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วนเห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร
ทั้งราตรีแลเวลาทิวากรทหารนอนเดินนั่งระวังระไว
อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐน่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย
แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทยได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก
เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดชคงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์
ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรักในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล
แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมายก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน
ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญจนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ
๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้นเกษมสันต์ภิญโญสโมสร
จะไปหาลอร์ดปามิศตอนกับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน
ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึกแลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว
ดูก็น่าผาสุกสนุกใจจึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วาง
ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง
แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลางธุระอย่างไรนั่นพากันมา
ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่าว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา
ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลาคืนกรุงเทพมหานครคง
ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตรที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์
ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจงขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน
แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่าแจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน
เขารับความตามอารมณ์โดยสมควรต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา
ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึกคนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา
รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมาจะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ
๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบพี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่
พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดูท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์
ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุกบันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม
ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรมหน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน
แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวงเรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน
หวนรำลึกนึกบ้านสถานตนคล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา
มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่งทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา
บางสพานการถ้วนล้วนศิลาถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา
ในระยะเขตรสพานธารติดตื้นกำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา
ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนาไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน
แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้างแลสล้างเรือแพแซ่ประสาน
บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญบางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย
ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อนเขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล
ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ
มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้างไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ
ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำบ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี
ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตกไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี
จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าทีประทับที่หน้าท่าพากันจร
ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศอนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน
จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวรปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล
รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศนำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์
เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคนจรดลสู่เขตรนิวเศน์วัง
ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมายทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง
มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดังจะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี
จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้นจรจรัลตามทางหว่างวิถี
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรีตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง
เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผายเสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมืองตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน
ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์
ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัลพระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง
แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้ายทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์
เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน
ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้องเอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน
แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้นคือสำคัญรักใคร่ในพระองค์
แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลังมาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์
ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจงดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร
พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอกท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ
ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญสทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย
ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย
อัคเรศรับสาราเสนานายแล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล
เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อนที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์
จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคนสุริยนเย็นพลับอับอัมพร
เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร
ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอนเยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา
ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษเสาวนิศจอมวังสั่งให้หา
พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชาเข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้
พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี
ก็รับคำอำลาไม่ช้าทีมาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ
๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย
พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลายจนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล
มาชำระสระสนานสำราญรื่นค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย
ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไลขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง
ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐานก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์
จากรัถาพากันเดินดำเนินตรงเข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี
ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับเครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่
ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมีเตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ
กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้องไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ
วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู
เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรีกับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่
ข้างพวกเราเข้าไปในประตูแล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน
เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลันว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา
ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อนสโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า
แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบาด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู
ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อยช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู
ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรูได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป
อันความหนาวคราวนี้มิสู้มากไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้
พระเทพินจึงอวยอำนวยชัยว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์
จงไปดีอย่ามีระคายข้องที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม
ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคมให้เสร็จสมปราถนาสถาวร
ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนตกราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร
ว่าเราขอน้อมกายถวายพรในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา
ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อนจงถาวรยืนวันชันษา
เสวยราชสมบัติวัฒนาขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์
อนึ่งการอันใดท่านได้รู้แลได้ดูเห็นตามความประสงค์
จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง
พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่งให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง
แล้วทูลตอบพจมานสารแสดงมิให้แหนงเคืองขัดหัทยา
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึงสิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา
ได้รับรองมีสุขทุกทิวาพระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด
การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็นไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด
ให้ทรงทราบบาทาสารพัดโดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย
พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยักแล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย
จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปรายความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี
ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่
สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรีก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา
พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทดคอยกำหนดวันวานนานหนักหนา
ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลาเร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญ
แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน
ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ
๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้าดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง
มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวงอย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง
ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ตาครูแก่รู้รสบทสนอง
วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกองทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย
ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้นบ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย
ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไรแลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา
ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้ายมักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา
บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มาแล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน
เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้องมีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน
นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตนถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย
มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติสารพัดดูแลไม่แชเฉย
ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคยให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน
บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วนบ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น
คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ
เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวานไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย
แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไปหวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์
ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับคืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม
แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทมแต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ
๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์นของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์
กับสำเนาอีกฉบับกำกับกันให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง
แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมดขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง
ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุงดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา
ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่างล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา
แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวาเขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน
ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิตช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน
ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์สารพันนกปลาคณาเนือง
ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง
เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมืองแอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน
ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมดขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน
จะไปชมของดีที่สำคัญในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย
เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่างที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย
อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคายมีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน
เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสีทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน
มีรูปองค์อัคเรศเกศสกลกับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน
ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น
พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน
รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลายบ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย
รูปขุนนางท่าทางแลวิไลรูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา
บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อนแล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา
บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตาบ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร
รูปนารีไสยาช่างน่ารักดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน
เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอนน่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ
บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือกังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม
ให้ปรากฎตามยศทุกคนไปช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน
ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตรโดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น
ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้นก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ
๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้งกล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์
อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน
พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่นให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน
ดังยาจกจนยากที่กากแกนได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง
ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอกวายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง
จะกลับหลังยังที่บุรีเรืองถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ
๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่างพื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา
จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลากรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร
เขาต้อนรับนับถือจับมือหมดให้เปนยศภิญโญสโมสร
แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พรให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน
แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุขบันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนานแสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำเวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย
ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคลดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน
ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนมก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์
ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครันบ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ
บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รักบ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล
บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัยโรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง
สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้าทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง
ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอางจะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์
เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก
ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนักได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็นต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย
เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดายจำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร
สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชักก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน
พี่สุดแสนปรีดาสถาวรต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ
ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวงก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล
มาถึงเมืองโดเวอเออกะไรช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ
แสนสนุกทุกตำบลถนนตึกเห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ
มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ
มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้นแล้วให้กินนานาภักษาหาร
ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญสบายบานหยุดพักสำนักเนา
จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่นดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา
พายุจัดพัดผันไม่บันเทาเขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง
ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อนข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง
พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนังจนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี
เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่าแถวชลาแขวงแควกระแสศรี
เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนทีแลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น
คือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษเมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์
ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกันเก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ
ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าวจะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร
เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทรสถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา
กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา
แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำราเพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี
อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือแต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี
ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรีพฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย
มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อยกำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย
ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวายประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา
เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา
ไม่มีกำแพงรอบขอบบุราตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน
มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อยเปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน
วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลนดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ
๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลายทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน
ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียนช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง
ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้เขาทำที่ตึกรามงามระหง
มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนงเล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน
ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน
กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยันบันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี
ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนดจึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่
ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคีสุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล
ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้าแล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน
ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจนอยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน
ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อยชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน
แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอนด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ
๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา
ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมาอยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล
ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้างครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน
แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจนก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้
ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลายเปนแต่อายอัประมาณการอดสู
ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครูอุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอา
ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ
มีสักสองพันแห่งแต่งลออพร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา
คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วนก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา
คนข้างในเขามิได้พันธนาเครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง
เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ
ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกองต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป
พวกทหารคอยระวังตั้งรักษาพร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว
ลุกกระสุนดินดำประจำไว้สำหรับได้รบรันประจัญบาน
ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาดที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน
ทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง
ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง
ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวังไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน
ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้าก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน
อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือนพอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน
แต่ของกินสารพัดจะขัดสนให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ
ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว
ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผยถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว
แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียวกินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ
๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่งคนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา
ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวาบ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง
เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐแล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง
สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลางริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว
ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว
กว้างประมาณห้าศอกออกตลิวแลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา
ถนนรายมีนายอำเภออยู่ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา
ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตราทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์
ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนนงามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ
บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศแลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา
มิได้ปักปนคู่ดูจังหวะไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา
ในระหว่างห่างราวสักสิบวาให้แสงมาส่องต่อกันพอดี
ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี
ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคีไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน
เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติดแปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน
เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญที่ควงขันบิดขวับพออับลม
เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วงก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม
อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดมทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน
แต่บรรดาตึกรามดูงามงดทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน
หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือนที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี
บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่นตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี
บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดีทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป
บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหกหลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล
บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไวบานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู
มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้าให้บังตาข้อรำคาญการอดสู
กระดาษลายปิดฝาก็น่าดูพื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี
จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี
ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคีพอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย
แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอดให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย
คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชายต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา
จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่นด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา
ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรามีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ
ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่งอย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ
ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม
ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่งเหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม
บางทีเข้ารับใช้ดังชายทรามทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป
อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้องอิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย
จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจนายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต
จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหากความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์
ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิดทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ
ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนนในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน
เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้านช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย
มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่างเครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย
เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลายบ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม
อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่งอิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม
ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงามสิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง
แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนาเที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์
แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรงไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ
๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหลเหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น
แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้นนามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์
มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อยเที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม
ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอมน่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง
คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่องไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง
อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวงชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม
ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้าบางรัถาสองคู่ดูพอสม
บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคมบ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน
คอยรับจ้างตามทางแถวถนนที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน
เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกันบางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี
บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สองบ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่
ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดีอีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว
แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว
บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราวเปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก
รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมากไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก
เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนักออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ
๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยมไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด
คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล
หนทางที่รถเดินดำเนินนั้นทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว
ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไปถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง
ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่นเสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง
ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวงจะข้ามห้วงนทีมีสพาน
ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่นให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน
ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร
แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสองบางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน
ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวนทางที่มามาล้วนไม่มีไป
ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลกจึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย
ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน
อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้าผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน
ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครันแรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง
จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนักด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง
เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยังกำหนดตั้งตำราว่าไว้มี
ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผันถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี
รถที่ไปใส่ขอต่อกันดีจัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน
รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่องเปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน
ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควรหมดประมวญสามห้องสิบสองคน
มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่นทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน
แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบนจะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี
ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิดให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่
สำหรับบังสุริเยศวิเศษดีล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา
รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่องในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา
นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามาแต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง
ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำแกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์
คนยากจนหยากไปใจจำนงค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา
แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้องจำจะต้องปนปะคละกันเข้า
เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพราอนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี
รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่
บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชีทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ
๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่งช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร
คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอนหรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง
ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลายให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง
ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร
ริมวิถีมีเสายาวหกศอกตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน
แต่ประมาณการแลไม่แน่นอนระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา
บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่วที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา
สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจาด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม
ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม
อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคมแต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป
จนนครราชสิมาหรือกว่านั้นจะบอกกันไปมาหาช้าไม่
เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใดได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ
เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม
คนต้นลวดที่รักษาพยายามก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง
คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้องต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ
เขาพูดมาว่ากะไรในทำนองคนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน
จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อการตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน
ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ
๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวงคนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร
สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียนทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม
พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม
เขียวสดสีหรดานประสานครามใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก
บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อเย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก
ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนกมีทางบกทางเรือเหลือสบาย
แม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่าชายชลาริมแควกระแสสาย
แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทรายทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ
น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน
ที่แถวท่าวารีนทีธารทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง
มีนาวาหลายลำประจำไว้ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์
จะไปชมลำน้ำตามจำนงเอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ
หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้นสมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ
ขายสุราอาหารคอยจานเจือสนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน
อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้างแลสล้างคนผู้ดูสลอน
เวลาเย็นสุริยาทิพากรราษฎรคลาไคลไปประชุม
ทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่าต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม
บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุมที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบาย
บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติบ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย
บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปรายสตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล
หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน
ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวนเฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป
เขาแต่งตนงามงามตามภาษาใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม
แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทยขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย
เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขาดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย
คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควายแต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง
ถึงพาชีมีพยศจะห้อหกทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง
ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลงเปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ
เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมากบางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา
ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวาปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง
แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัดเลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์
กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพงมฤคยงย่องหยัดระบัดกิน
แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุขแสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล
บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดินในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก
พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอก
แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยกให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน
ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน
ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวันสารพันหลายหลากดูมากมี
ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะอิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่
เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดีเนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา
เต่าตนุม่านลายเขาขายมากใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา
ในตลาดมิได้ขาดสักเวลาผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม
เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัดสารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม
ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา
คนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่งโดยลำพังจัดแจงแสวงหา
เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครานางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก
ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุขที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์
ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานักด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง
เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่างตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง
จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลังใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้
นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวีก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย
เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟเอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง
ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัดประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง
น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียงแล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน
ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้าอุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน
เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอันพอจุดไฟในนั้นตลอดคืน
ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน
มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืนเปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย
แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษาใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย
มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวายบุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศจรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา
เวลาก่อนเสพย์รสโภชนาคนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ
ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้งขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน
กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาลให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป
ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวยเป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว
ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน
เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผลกินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน
ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบนอีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน
พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้ามิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ
ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็นไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน
ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟโดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือม
เวลากินมิให้พักต้องตักเตือนไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา
ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหนถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา
จะกินของดีดีมีราคาสั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ
คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน
แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้านมีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล
คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้
เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัยมารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ
เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้นจะผายผันคลาไคลใจถวิล
ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา
จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา
หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชาตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม
จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่นของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม
ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชมอย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง
ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสรมีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง
ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวงจะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ
แต่วันทูตถึงพักนัคเรศในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล
สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวารจึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย
๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน
จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัยลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน
ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์
มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการจึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร
ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึกจนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน
ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวรก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน
แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่วดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน
สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน
พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษรักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน
ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควรใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ
บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนักแวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล
แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดลสุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น
ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้างสิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น
มิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ลสำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา
เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา
คนที่ในธานีย่อมปรีชาเรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ
ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่งเข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย
แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทยไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์
มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนกช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน
รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครันสิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย
บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาดชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย
ของพม่ามอญลาวชาวทวายล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู
ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้งเฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู
โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรูเข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา
รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับแต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา
พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยาจนเวลาผ่องพื้นโพยมบน
ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศเที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยนก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ
๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้เสนาในเชิงชาญการขยัน
ให้คุมรถงดงามทั้งสามคันมาเรียงรันรอประทับกับทวาร
คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้าท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร
ยืนประจำทำสง่าท่าทยานสวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ
มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้าพระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์
ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ
ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด
จนสองโมงสุริยงเธอลงลดพระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา
กับเอกองค์มเหษีนารีราชยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา
เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลาตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ
เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎพร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร
อันเอกองค์กัลยายุพาพานแต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม
พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศพระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม
อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตามที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี
สนทนาทูตานุทูตถ้วนให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี
พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลีเข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมดขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน
แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบานน่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ
๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพพระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง
นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี
แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝังใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี
เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานีพระองค์นี้คือหลานผ่านนคร
จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพด้วยเคารพทรงพระอนุสร
กตัญญูรู้คุณอันสุนทรให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป
อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้
คเนนึกโดยลึกกำหนดใจเห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น
แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาวลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์
ที่สำหรับรับศพมีครบครันอยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย
โมราดีสีดำทำประดับแลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย
คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคายของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ
ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึกอนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร
ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลานเหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย
จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขรดารากรลับฟ้าเวหาหาย
กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณรายก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร
พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์จึงชวนชักกันออกนอกสถาน
เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา
เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่งอีกตำแหน่งมนตรีมียศถา
ครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมากินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ
แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน
เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านานครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ
๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้นเกษมสันต์ภิญโญสโมสร
ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนครเข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน
จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสวที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน
พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลินรถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน
ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน
อันปักษินแม้จะบินแข่งพนันอย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ
ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่งทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ
เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะสำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ
ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนักให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทานไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน
น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน
เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืนสุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ
ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่งก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส
มีบุรีริมที่ชลาลัยขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน
นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซอยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน
มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัลก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล
แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผลจนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็นก็จำเปนขึ้นรถบทจร
พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอกระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน
อยู่บนบกวกลงมาในสาครจะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน
แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศสุริเยศลับหล้าเวหาหน
ยังไม่จรถอนสมอจรดลด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน
คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้ายิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน
แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบันจำจากกันอนิจจานึกอาลัย
เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวางมาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล
เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจมิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญา
จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวงก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา
อุส่าห์สู้พยายามติดตามมาจนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน
เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน
ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลนเสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า
ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนาทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ
เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาดจะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ
น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอเปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง
มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อยค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์
พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนงหวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา
แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวกกลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า
ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบาควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง
พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับหทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง
ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย
แล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้าอะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย
มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชายต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย
ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย
ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนียละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ
มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะเกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล
ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไปได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ
ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้งถึงตำแหน่งธานีที่สถาน
แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาลพอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล
แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่งจนสุเอศเขตรลงชลาไหล
อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจเขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ
ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผันฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ
ให้ใช้จักรมากลางทางกันดารสี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี
ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้งเคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ยังจำได้สารพัดถนัดดีด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล
เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน
บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคนจรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง
ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง
แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟังเจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา
มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า
ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลาแม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา
จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อนให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา
จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบาประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้
สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย
อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจกว่าจะได้จรดลพ้นนคร
ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน
ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทรจึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน
เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบแต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้
ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทยถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ
ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้นจะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน
เจ้าไกโรมีกำหนดพจมานให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล
ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่นยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส
ราชทูตตอบความให้ล่ามแปลอย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ
เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย
กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไลขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ
๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับคนสำหรับนำหน้าม้าทหาร
เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาลในสถานโฮเต็ลเปนสบาย
อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่ามมาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย
ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชายเขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ
ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับให้มารับทูตไทยดังบรรหาร
บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวานสุดแท้จะโปรดปรานประการใด
ได้ฟังสารปานอำมฤตรสที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส
ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไรสำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ
จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่งบ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม
จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยมหวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร
ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุดด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร
เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนครชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล
ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห
แสนวิตกอกโอ้มาโรเรนึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง
เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง
จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวงในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง
คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้นพอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง
สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลางว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย
ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข
หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย
ทั้งอาหารการกินก็ขัดสนไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย
เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบายของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี
ท่านจะไปไกโรหรือไฉนตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่
ราชทูตตอบต่อข้อคดีมาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร
อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ
อั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญหมดประมวญจะขออยู่ในบูรี
จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับจะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี
ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคีจึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง
ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉนให้คนไปแจ้งความตามประสงค์
คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนงแล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ
๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้นถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร
ว่าเรือรบที่มากลางสาครจะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน
แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึกก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน
เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตันเรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง
ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้ากัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง
จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรืองแต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ
สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสีให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ
กับสะเบียงอาหารจะจานเจือของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม
ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อนเหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม
โอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิมจะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ
๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่ายแสนสบายเบาใจดังได้เหาะ
ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล
ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่นก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเส
แสนสุขาอารมณ์สมคเนบ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา
กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยามคำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา
สิบเก้านัดจัดไว้ในตำราธรรมดารับทูตสลูตปืน
ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่งตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน
มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืนล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์
จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศนึกอนาถน่าคิดพิศวง
เปนไฉนไยหนอพระสุริยงจึงตกลงในที่นทีธาร
เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่องขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน
หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ
พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อนแต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข
อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โตเราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร
พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้งเสียงจักรดังดูธารสท้านไหว
ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชยเลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ
๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะริมระยะแขวงแควกระแสศรี
เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรีดูบุรีโซเซเกเรเกนัง
ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอจะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง
ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟังเที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี
ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำพอประจำใช้พลางกลางวิถี
ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรีแล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ
๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถานป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร
ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทรให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ
ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน
บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกันฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ
ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้นเขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร
ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงานอภิบาลเภทภัยระไวระวัง
แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่งโดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง
ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพังได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล
ลงกำปั่นผันผายออกจากที่แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว
มาหลายวันสลาตันค่อยซาไปกัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย
ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสาเมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย
มากระทบถูกสีข้างแทบวางวายจนเจียนตายตกน้ำระยำยับ
เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่งปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ
เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับแล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที
หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนักซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่
จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดีให้นอนที่เปลไปหลายเวลา
แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวางอยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา
ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยาสักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ
๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อยเปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี
สลาตันพัดกล้าจนนาวีเกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน
ลูกเรือทำการงานพานจะขัดด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน
แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทันเสาสะบั้นหักยับทับลงมา
ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อนพี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา
ละลอกจัดพัดเข้าในนาวาบนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ
ทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่าดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน
บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแยเสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย
บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลดแสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย
บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีรายถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน
บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วยอย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน
บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว
บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่งบ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว
อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราวทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน
ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อยดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน
เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียนสะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย
ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่นนภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย
สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกายพอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา
กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสาอีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดาในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ
๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน
มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธารแต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี
สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่าเรือไฟมาในระหว่างทางวิถี
ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มีเข้าจอดที่รับขนมาจนพอ
ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าวเสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ
เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร
ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศเปนขอบเขตรตึกโตสโมสร
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกรลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม
ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหารเขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม
เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวามครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง
พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง
แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริงถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง
หนทางทูตจรลีมีทหารเคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง
เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพังพวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ
สิริรวมพลปืนยืนคำนับเขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน
ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวนนับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี
มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับรถประทับแล้วครรไลเข้าในที่
ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมีตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม
ให้สองชายนายถนนคนฉลาดทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม
มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายามระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ
๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผาเจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน
ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน
ราชทูตพูดจาประสามิตรต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน
เขามานั่งสนทนาเวลาควรก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน
จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพตจึงให้รถมารับสลับสลอน
ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกรขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน
กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะสิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน
แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมันดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง
เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่าปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง
ดังหนึ่งเทพดามาสำแดงให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ
ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระสาธุสะใครหนอก่อวิหาร
ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญอยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน
มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้างทำที่ทางควรจะสรรเสริญ
แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร
แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่าอย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้
ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทยเอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ
๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนักก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา
ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมาถึงลังกาธานีก็ดีครัน
จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้วเหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์
ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกันเจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน
บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมายแห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย
เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไปตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง
แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง
สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรืองอยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น
แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศอันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน
หนทางไกลไปลำลองสักสองวันแม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา
จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สมโดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา
คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมาราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง
ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้ายมักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง
เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลงแต่คนตายวายชีวงก็มากมาย
อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขันพวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย
ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบายคงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา
ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุโดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา
ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลาออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย
ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียนพอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข
ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจเห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง
ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่าจึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง
ราชทูตคิดสงสัยใจระคางว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย
ไม่นับถือพุทธบาทสาสนาจึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข
เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไปหมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์
ขณะทูตพูดกับนายกำปั่นมีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ
อยู่วัดในคาลีที่สมภารอีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา
เยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมายคุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา
เปนข้อไขในมคธพจนาชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน
ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน
ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตันก็เปนอันจนในมิได้จร
จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์
เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวรใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ
ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผายออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน
จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานานทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร
ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน
ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญเห็นแต่ล้วนการยากลำบากที
ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อนแล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่
อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดีจะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา
กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้นเกษมสันต์แสนโสมนัศา
แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกาได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล
ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่งโดยจำนงจงจิตต์พิสมัย
แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคลคิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน
สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่นด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน
ตามหนทางจรจรัลทหารปืนดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา
เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัดแล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า
กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลาพระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ
ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่งเรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน
กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวารถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง
จวบประสบพบมิตรขนิษฐามาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง
เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึงคิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ
๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้งลงมานั่งไต่ถามความปฐม
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคมค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรักในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทยขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้างเปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญพินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผันลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจรริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง
ยิงสลูตทูตตามความคำนับหูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียงครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐานค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัยยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าวมันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานีเขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบังหมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้นก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรีโดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่นได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกรครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ
๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึกอึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดาสักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูตขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับบ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถาไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่นหมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวางหัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษแรมทุเรศมาในแควกระแสใส
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัยคลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ
๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำเห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑีก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือเรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน
เร่งโรยรอกนาวาลงสาครให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวานายรักษาอยู่ประจำลำละคน
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ดครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดลฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วนพระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน
ได้สมหวังกลับยังนครคืนก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ
             

เชิงอรรถ

อ้างอิง

เครื่องมือส่วนตัว