นิราศพระà¹à¸—่นดงรัง (นายมี)
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
||
(การแก้ไขหนึ่งรุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
== ข้อมูลเบื้องต้น == | == ข้อมูลเบื้องต้น == | ||
+ | {{เรียงลำดับ|นิราศพระท่แนดงรัง}} | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] |
รุ่นปัจจุบันของ 14:10, 10 กรกฎาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายมี
บทประพันธ์
๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน | ||||
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ | มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน | |||
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานปะ | เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์ | |||
แต่น้ำจิตคิดถึงทุกคืนวัน | จะจากกันทั้งรักพะวักพะวน ฯ | |||
๏ ในปีวอกนักษัตรอัฐศก | ชะตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์ | |||
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน | พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร | |||
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง | เฝ้ามองมองมุ่งเขม้นไม่เห็นสมร | |||
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร | สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน | |||
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง | ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ | |||
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน | สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม | |||
ขอเชิญเทพรักษามารศรี | อย่าให้มีอันตรายเท่าปลายผม | |||
ถึงคนอื่นขืนแข่งมาแต่งลม | ขออย่าให้ทรามชมนั้นยอมยิน ฯ | |||
๏ พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ | ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์ | |||
เห็นนางในใสสดหมดมลทิน | ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน | |||
พี่ชมโฉมนางงามเมื่อยามโศก | แสนวิโยคถึงนุชสุดกระสันต์ | |||
ทำเมินเฉยเลยลับไปฉับพลัน | พี่กลืนกลั้นอาลัยไว้ในทรวง ฯ | |||
๏ มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง | |||
โทมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพ่วง | จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง | |||
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย | บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ | |||
เห็นสาวสาวแม่ค้าน่าประคอง | พี่มองมองประตาน่าเอ็นดู | |||
ชั่งงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด | ยังไม่ถอดกำไรใส่ตุ้มหู | |||
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู | ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน | |||
พี่จะได้ครอบครองเป็นสองฝ่าย | ไม่หน้าหน่ายแก้วตาจนอาสัญ | |||
โอ้ว่าจิตคิดไปไม่ได้กัน | รักเท่านั้นเถินอย่ารักเอานักเลย ฯ | |||
๏ ถึงวังหลังเป็นวังสงัดเงียบ | เย็นยะเยียบรักรานนิจาเอ๋ย | |||
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย | พระคุณเคยปกเกล้าชาวบูรี | |||
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก | ออกสะอึกราญรบไม่หลบหนี | |||
แต่ครั้งพวกพม่ามาราวี | พระต้อนตีแตกยับอัปรา | |||
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า | พระผ่านเกล้านิพพานนานหนักหนา | |||
เสียดายองค์พงศ์ขษัตริย์ขัติยา | ชลนานองเนตรสังเวชวัง | |||
แล้วหวนคิดถึงนุชยิ่งสุดหมอง | พี่มิได้อยู่ครองเหมือนแต่หลัง | |||
จะร่วงโรยแรมร้างเหมือนอย่างวัง | อนิจจังจากมายิ่งอาลัย ฯ | |||
๏ ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง | เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล | |||
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในทองไฟ | ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง ฯ | |||
๏ ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง | พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง | |||
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง | เคยสำอางใส่อวดประกวดกัน | |||
พี่เคยขอแหวนยอดน้องทอดให้ | มาสอดใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ | |||
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน | คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์ ฯ | |||
๏ มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย | นาวาลอยลับไปไกลสมร | |||
พี่กล้ำกลืนโศกาอาทร | สะท้อนถอนจิตใจไม่สบาย ฯ | |||
๏ ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิต | เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย | |||
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย | แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง ฯ | |||
๏ มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิต | พี่นิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง | |||
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง | ครรไลล่วงล่องลอยนาวามา ฯ | |||
๏ มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น | หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา | |||
ดอกพิกุลหล่นกลาดดาษดา | ถ้าน้องมาเห็นจะเก็บไว้ร้อยกรอง | |||
น่าถนอมหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ย | แมลงภู่เชยคลึงเคล้าเป็นเจ้าของ | |||
แต่ตัวเรามิได้อยู่เป็นคู่ครอง | ทิ้งให้น้องโหยหนอยู่คนเดียว | |||
สักเมื่อไรจะได้กลับมารับขวัญ | เห็นหลายวันยังจะไปถึงไพรเขียว | |||
เป็นทุกข์ถึงน้องหญิงจริงจริงเจียว | พี่ก็เปลี่ยวเปล่าใจอาลัยครวญ | |||
ดูเพื่อนกันที่เขามาเป็นผาสุก | ไม่มีทุกข์ทัศนาพฤกษาสวน | |||
บ้างก็ชี้ชมพวงมะม่วงพรวน | บ้างก็ชวนชักชี้ให้พี่ดู | |||
เห็นต้นไม้ชื่อพ้องกับน้องรัก | เพื่อนเขาทักถูกชื่อให้ครือหู | |||
พี่ก้มหน้านิ่งเฉยไม่เงยดู | กลัวเขารู้เรื่องราวจะฉาวไป ฯ | |||
๏ เห็นไม้โศกเป็นดอกออกระดะ | โศกปะทะสองซ้ำจะทำไฉน | |||
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ | ทำกระไรโศกเราจะเบาลง | |||
เห็นดงรักริมคลองทั้งสองฟาก | ยิ่งรักมากมัวจิตพิศวง | |||
พี่รักดอกรักจูบรักรูปทรง | รักจนหลงเหลือรักหนักอุรา | |||
เห็นรักหักเหมือนรักพี่เริดร้าง | จะเว้นว่างเชยชิดกนิษฐา | |||
ยิ่งคิดถึงงามชื่นกลืนน้ำตา | แล้วรีบมาในวนชลธาร ฯ | |||
๏ ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด | แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร | |||
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ | ทำชื่นบานแย้มเยื้อนกับเพื่อนกัน ฯ | |||
๏ มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง | ไม่วายว่างวิโยคยิ่งโศกศัลย์ | |||
นั่งคะนึงถึงนุชสุดรำพัน | แล้วผายผันรีบมาในวาริน | |||
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิต | นั่งพินิจนึกในน้ำใจถวิล | |||
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน | แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน | |||
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล | |||
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน | ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ | |||
แต่ตัวน้องของพี่นี้ดีพร้อม | ควรถนอมแนบชิดพิสมัย | |||
งามประเสริฐเพริศพริ้งทุกสิ่งไป | ทั้งน้ำใจดีนักน่ารักจริง | |||
โอ้อาลัยใจหายเสียดายโฉม | เคยประโลมเลียมกอดแม่ยอดหญิง | |||
มาพลัดพรากจากนุชสุดประวิง | อนาถนิ่งหนาวใจอยู่ในเรือ ฯ | |||
๏ มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง | ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ | |||
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ | ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ | |||
สุดรำพันอั้นอกวิตกนัก | ด้วยความรักเหลือล้นพ้นวิสัย | |||
แต่โศกเราเซ้าซี้พิรี้พิไร | จนครรไลล่วงทางมากลางชล ฯ | |||
๏ ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ | จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน | |||
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมไทยปน | โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ ฯ | |||
๏ มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง | คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์ | |||
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน | แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา | |||
เมื่อนางกลับเป็นจระเข้เที่ยวเร่ร่อน | ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา | |||
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา | อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ ฯ | |||
๏ มาถึงวัดอุทยานรำคาญจิต | แล้วเพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว | |||
เหมือนสวนสวรรค์ขั้นฟ้าสุราลัย | หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย | |||
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก | ว่าโน่นดอกสาระภีเจ้าพี่เอ๋ย | |||
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย | เหมือนพี่เคยชมน้องที่ห้องนอน | |||
เรียมครวญพลางห่างพ้นตำบลวัด | โทมนัสน้อยใจอาลัยสมร | |||
พระสุริยงทรงรถบทจร | ก็รีบร้อนเรือมาด้วยเร็วพลัน ฯ | |||
๏ ถึงบางระนกบางโคเวียงเคียงกันอยู่ | เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | |||
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน | อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ | |||
แต่ตัวพี่ผู้เดียวมาเที่ยวท่อง | ให้ห่างห้องห่างมิตรพิสมัย | |||
เฝ้าครวญคร่ำรำพึงตะบึงไป | ดั่งเปลวไฟเผาอกวิตกมา ฯ | |||
๏ ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย | ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา | |||
พี่รักน้องถ้าจะรองเอาน้ำตา | คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ | |||
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ | เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน | |||
ยิ่งคิดถึงแก้วตาสุดอาลัย | ในจิตใจพี่นี้ไม่มีสบาย ฯ | |||
๏ ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย | คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย | |||
จะปีนต้นเล่าก็ยากลำบากกาย | พี่นึกอายนิ่งอดเหมือนมดแดง | |||
อดมะม่วงอดได้พี่ไม่อยาก | เป็นแต่ปากพูดแยบให้แอบแฝง | |||
แต่อดชมพี่นี้ตรมอุราแรง | ไม่รู้แห่งที่จะอดซึ่งรสชม | |||
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมน้อง | ประสมสองสมจิตสนิทสนม | |||
ถึงจะได้ดอกฟ้าลงมาดม | ในอารมณ์พี่ก็ยังไม่ยินดี | |||
ไม่ชอบเหมือนทรามเชยพี่เคยชิด | พี่ยิ่งคิดถึงน้องให้หมองศรี | |||
ไม่เห็นกันวันหนึ่งเหมือนครึ่งปี | หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง | |||
อนาถจิตคิดไปแล้วใจหาย | ไม่เว้นวายกำสรดสลดหมอง | |||
พี่เหลียวกลับลับคุ้งเฝ้ามุ่งมอง | เรือก็ล่องลอยมาในสาคร ฯ | |||
๏ ถึงบางใหญ่ใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า | ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร | |||
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร | ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ | |||
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา | ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ | |||
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ | แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร ฯ | |||
๏ มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย | สกนธ์กายร้อนเริงดังเหลิงผลาญ | |||
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน | เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา | |||
อันส้มสูกลูกไม้ทั้งหลายหมด | ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรขนิษฐา | |||
ครรไลเลยหลีกเลี่ยงส้มเกลี้ยงมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | |||
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิต | นั่งพินิจแนวทางมากลางหน | |||
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน | เมฆหมอกมนหมองมัวเหมือนตัวเรา | |||
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ | จะเลื่อนลับยุคุนธรศิงขรเขา | |||
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา | กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย | |||
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน | เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย | |||
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย | มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม | |||
ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์ | ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดประถม | |||
ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์ | จะเตรียมตรมตรึกหาเป็นอาจิณ ฯ | |||
๏ มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก | เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์ | |||
คลองก็เล็กน้ำตื้นเห็นพื้นดิน | ไม่น่ากินน้ำท่าระอาใจ | |||
ต้องจ้างโยงโยงเรือเหลือลำบาก | ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื้อนไหว | |||
ผูกระนาวยาวยึดเป็นพืดไป | ทั้งเจ๊กไทยปนกันสนั่นอึง | |||
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอรา | เป็นราคาจ้างประจำลำสลึง | |||
ควายก็เดินดันดังกันกังกึง | พอเชือกตึงเรือตามกันหลามมา | |||
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา | |||
ดาวประดับวับวามอร่ามตา | ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร | |||
ดูแลทุ่งทุ่งก็กว้างเป็นว่างเปล่า | เหมือนอกเราว่างเว้นไม่เห็นสมร | |||
เห็นแต่ทุ่งกับป่ายิ่งอาวรณ์ | อนาถนอนนิ่งนึกคะนึงนาง | |||
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว | ทั้งลมว่าวพัดต้องยิ่งหมองหมาง | |||
เห็นเพื่อนเรือเมื่อจวนจะรุ่งราง | มีมุ้งกลางกอดเมียอยู่เคลียคลอ | |||
แสนอาภัพก็แต่เราช่างเปล่าปลอด | ไม่ได้กอดเหมือนอย่างเขาหนอเราหนอ | |||
นอนก็อัดอุดอู้คุดคู้งอ | ในใจคอคับแคบแทบจะตาย | |||
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย | ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย | |||
เขาโยงเรือรีบรุดไม่หยุดควาย | มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง ฯ | |||
๏ มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ | ดูลึกล้ำน่ากลัวตะเข้โขง | |||
พี่นั่งขืนเรือไว้มิให้โคลง | แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว ฯ | |||
๏ มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า | ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว | |||
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว | กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา | |||
ถ้าแม้นพี่เป็นนกผกโผผิน | จะโบยบินไปรับมิตรขนิษฐา | |||
นี่ตัวพี่เป็นมนุษย์สุดปัญญา | จะไปมาสารพัดขัดกันดาร | |||
ทำกระไรขวัญใจจะได้รู้ | พี่คิดอยู่ถึงนุชสุดสงสาร | |||
เชิญพระพายพัดพาเอาอาการ | ให้ข่าวสารทราบจิตวนิดา | |||
ยิ่งรำพันตันจิตให้คิดถึง | แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร์ | |||
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา | ไม่รอรารีบผลัดกันแจว ฯ | |||
๏ ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น | พี่แลเห็นต้นงิ้วเป็นทิวแถว | |||
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว | เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป ฯ | |||
๏ มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย | น้ำเนตรย้อยซึมโซมชโลมไหล | |||
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ | พลางครรไลล่องลอยนาวามา ฯ | |||
๏ ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า | เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา | |||
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา | เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ | |||
อันเมารักมักหลงพะวงรัก | ใครจะชักฉุดไว้ก็ไม่ไหว | |||
กำลังมึนเมามัวไม่กลัวใคร | คงจะไปหารักที่พักพิง | |||
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ | เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง | |||
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง | อนาถนิ่งนอนนึกระลึกกัน | |||
พี่พลัดพรากจากรักมาพักนี้ | แทบชีวีเชษฐาจะอาสัญ | |||
ดั่งศรศักดิ์ปักอกวิตกครัน | ให้อัดอั้นอึดใจครรไลจร ฯ | |||
๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว | เห็นแต่แนวคงคาพฤกษาสลอน | |||
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร | สง่างอนช่อฟ้าศาลาตะพาน | |||
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน | ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร | |||
มีทั้งสระโกสุมปทุมมาลย์ | บ้างตูมบานเกสรอ่อนละออ | |||
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว | ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ | |||
กำลังสดมิได้เศร้าน่าเคล้าคลอ | พี่เคยขอชมเล่นไม่เว้นวัน | |||
ตั้งแต่พี่พลัดพรากมาจากน้อง | มิได้ต้องบัวทองประคองขวัญ | |||
ชมแต่บัวริมน้ำยิ่งรำพัน | แสนกระสันต์โศกเศร้าจนเข้าคลอง | |||
พระสุริย์ฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า | รับเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง | |||
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง | ไม่ผุดผ่องผิวคล้ำระกำใจ | |||
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่แต่ร่มร่ม | ได้เชยชมชิดน้องไม่หมองไหม้ | |||
ถึงจะร้อนก็คงเย็นไม่เป็นไร | แม่ดวงใจเคยพัดให้พี่นอน | |||
เมื่อยามหนาวแนบกายพี่หายหนาว | ไม่ขดคราวเป็นสุขสโมสร | |||
เมื่อไรอีกจะได้แนบอุระนอน | จะอาวรณ์วุ่นวายไปหลายวัน | |||
โอ้ปานนี้แก้วพี่จะเป็นไฉน | สำราญใจหรือว่าน้องจะโศกศัลย์ | |||
พี่จากเจ้าเยาวมาลย์มานานครัน | ยังไม่ทันสั่งความแม่ทรามเชย | |||
เป็นแต่ลอบชมชิดไม่สิทธิ์ขาด | แรมนิราศร้างมานิจจาเอ๋ย | |||
ถ้าแม้นมาดคลาดเคลื่อนไม่เหมือนเคย | ไม่อยู่เลยจะสู้ตายด้วยอายคน | |||
ขอเดชะความรักเป็นหลักแหล่ง | ช่วยตบแต่งให้เขาเห็นว่าเป็นผล | |||
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานบน | ช่วยเข้าดลใจมิตรให้ติดตาม ฯ | |||
๏ รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ | พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม | |||
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม | แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ ฯ | |||
๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด | ไปเปล่าปลอดเรือแพแลไสว | |||
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | |||
สัปบุรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า | เสียงเฮฮาอึงอื้อหฤหรรษ์ | |||
เป็นพวกพ้องเข้าประสบสมทบกัน | จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ | |||
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม | บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | |||
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าแก่ออกแซ่ไป | จะเดินไพรให้สนุกไม่ทุกข์ร้อน | |||
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย | แลดูควายเดินระดับสลับสลอน | |||
เจ้าของหวดตะพดให้บทจร | เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง | |||
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง | คนเดินมุ่งมาดมาทั้งหน้าหลัง | |||
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง | ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน ฯ | |||
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ | เป็นบ้านคนใหญ่โตรโหฐาน | |||
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร | ตำข้าวสารกรอกหม้อแต่พอกิน | |||
ดูเหย้าเรือนเคหาน่าสังเวช | เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น | |||
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน | ไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย | |||
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตร | แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย | |||
ไม่มีความแช่มชื่นสะอื้นโอย | มีแต่โกยทุกข์ล้นมาเดินทาง | |||
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้ม | ไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง | |||
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลาง | มาตามทางหิมวันสนั่นมา ฯ | |||
๏ ถึงพระโฑณารามพราหมณ์เขาสร้าง | เป็นพระปรางค์แต่บูราณนานนักหนา | |||
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา | พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง | |||
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษ | พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์ | |||
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง | ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร | |||
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ | คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน | |||
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน | บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย | |||
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุก | บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขลุ่ย | |||
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย | เห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจร ฯ | |||
๏ บรรลุถึงพระประธมประทับหยุด | สัปบุรุษเซ็งแซ่แลสลอน | |||
แวะขึ้นไปไหว้พระประธมประณมกร | สโมสรโสมนัสนมัสการ | |||
ต่างระรื่นชื่นจิตพิศวง | เทียวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน | |||
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณ | สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร | |||
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณ | แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตสยอง | |||
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน | ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา | |||
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบคัน | เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา | |||
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา | มีพฤกษาร่มรื่นเป็นพื้นทราย | |||
พี่ชมพลางทางนบอภิวาท | สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย | |||
สัปบุรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย | กราบถวายวันทาแล้วลาลง | |||
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส | ดูอนาถน้ำจิตพิศวง | |||
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง | ดูงวยงงร่วงรามาช้านาน | |||
พระประธมของบรมกษัตริย์สร้าง | เป็นพระปรางค์ใหญ่โตรโหฐาน | |||
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน | พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม | |||
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคต | เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ | |||
เธอทำผิดคิดเห็นไม่เป็นธรรม | จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง | |||
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก | เมื่อยามยากนึกไปฤทัยหมอง | |||
ไหว้พระปรางค์ทางนึกระลึกน้อง | ให้ตามตรองเตรียมใจครรไลลา | |||
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหาย | เหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา | |||
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตา | แล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดัง ฯ | |||
๏ ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง | สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงส์ | |||
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง | ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย | |||
เสียงจักจั่นแจ้วแจ้วให้แว่วหวาด | หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล | |||
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย | วังเวงใจจรมาในราตรี | |||
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก | คะนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี | |||
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี | กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง | |||
บ้างกินโภชนากระยาหาร | ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง | |||
บ้างก็หาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง | พอยับยั้งกายตามยามกันดาร | |||
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ | ยกมือไหว้เทวดาพฤกษาสาณฑ์ | |||
อย่าให้มีโพยภัยสิ่งใดพาน | นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา | |||
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง | จำรัสแสงส่องสอดลอดพฤกษา | |||
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา | พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ | |||
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท | โศกไสยาสน์เกลือกกลับไม่หลับใหล | |||
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ | ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม | |||
เสียงจังหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้อง | เย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม | |||
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม | เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน | |||
ต่างคนก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้า | แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์ | |||
ระยะทางกลางไพรยังไกลครัน | แรมอรัญทุเรศสังเกตมา | |||
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ว | สะพรั่งทิวแถบไม้ไพรพฤกษา | |||
ระบัดใบรมรื่นพื้นสุธา | ดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย | |||
บ้างทรางผลหล่นหนักเป็นอักนิฐ | ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย | |||
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย | จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง | |||
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้อง | มาชมท้องทุ่งท่าป่าระหง | |||
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตพะวง | แทบจะปลงชีวาลีลาจร ฯ | |||
๏ มาถึงลาดหญ้าไทรหัวใจหาย | ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร | |||
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ | ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ | |||
เห็นลมพัดหัดควันไปปั่นป่วน | เหมือนลมหวนโหยจิตพิสมัย | |||
เห็นหนองน้ำน้ำชุ่มสนุ่นไคล | เหมือนน้ำใจที่พี่ช้ำระกำตรอม | |||
ไม่มีสุขทุกข์โศกด้วยโรครัก | อกจะหักเสียด้วยร้างห่างถนอม | |||
เดินก็เหนื่อยเมื่อยหนักสะบักสะบอม | จนซูบผอมผิวคล้ำสิ้นน้ำนวล ฯ | |||
๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี | เสียงชะนีโหยไห้พิไรหวน | |||
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ | ให้รัญจวนจรมาในอารัญ | |||
เห็นต้นไทรใหญ่โตรโหฐาน | สูงตระหง่านเงื้อมป่าพนาสัณฑ์ | |||
พี่หยุดยั้งนั่งนบอภิวันท์ | พลางรำพันนึกในฤทัยปอง | |||
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา | พระไทรพาอุ้มสมภิเษกสอง | |||
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง | พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา | |||
พี่จากนุชสุดใจมาไกลนัก | ไม่เห็นพักตร์ทรามประโลมโฉมเฉลา | |||
เห็นแต่ทิวทางเดินเนินลำเนา | พี่สร้อยเศร้าโศกาลาพระไทร ฯ | |||
๏ ถึงหนองโพธิ์โพธิ์มีที่ริมหนอง | ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย | |||
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ | ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา | |||
พี่นั่งนบอภิวันท์แล้วผันผาย | ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา | |||
เห็นนกไม้ในดงพงพนา | ไม่เห็นหน้านิ่มมวลยิ่งครวญคราง ฯ | |||
๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น | และไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง | |||
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง | ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย | |||
เจ้าเคยจัดปัดปูไม่รู้ขาด | พี่ไสยาสน์ด้วยทุกคืนไม่ตื่นสาย | |||
มาเดินป่าคราวนี้ไม่มีสบาย | ใบไม้รายรองนอนหมอนไม่มี | |||
โอ้สงสารอาตมานิจจาเอ๋ย | ยังไม่เคยจากน้องจึงหมองศรี | |||
ช่างจำเพาะเคราะห์ร้ายเมื่อปลายปี | ไม่มีดีขัดสนพ้นประมาณ | |||
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักคมน์ | นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ | |||
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน | มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น | |||
พระเคราะห์พามาไกลถึงไพรสัณฑ์ | สักกี่วันจะได้กลับมาเล็งเห็น | |||
โอ้ที่นอนหมอนข้างจะร้างเย็น | ใครจะเคล้นเคล้าน้องประคองนอน | |||
วิตกพลางทางเลยครรไลล่วง | ข้ามห้วยห้วงคงคามาสลอน | |||
บ้างโห่ร้องกับป่าพนานอน | ทุเรศร้อนรีบรัดตัดตำบล ฯ | |||
๏ ถึงห้วยกระบอกซอกธารสถานที่ | หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน | |||
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล | มีแต่ต้นไม้ล้างข้างลำธาร | |||
ต้นซึกซากโศกไทรมะไฟป่า | เคี่ยมมะค่าคางแคแสมสาร | |||
กระเบียนกระบากหมากลิงมะพร้าวตาล | สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง | |||
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง | รีบตะบึงมาในไพรระหง | |||
จนเบี่ยงบ่ายสายแสงพระสุริยง | อุตส่าห์ทรงกายเดินดำเนินจร ฯ | |||
๏ มาถึงห้วยปลากดเขาปลดเกวียน | เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน | |||
ลงอาบน้ำดำเกล้าบรรเทาร้อน | เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต | |||
ทั้งสองฟากครึ้มครึกล้วนพฤกษา | มีมัจฉาพรั่งพรูอยู่อักโข | |||
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ | ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล | |||
ตะเพียนทองล่องลอยอยู่พ้นน้ำ | กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไหวไหว | |||
ตะโกกกาปลาสร้อยก็ลอยไป | เข้าแฝงใบจอกกระจับให้ลับกาย | |||
ยิ่งชมปลาอารมณ์ให้ร้อนจิต | นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย | |||
ถ้าน้องมาถึงนี่กับพี่ชาย | จะชวนสายสุดที่รักลงสรงชล | |||
พี่จะชี้ให้ดูหมู่มัจฉา | ที่ว่ายมาเกลือกกลับอยู่สับสน | |||
แล้วจะชวนเก็บฝักหักอุบล | ให้นิรมลชมธารสำราญใจ | |||
โอ้ว่าเหล่าเต่าปลานิจจาเอ๋ย | อย่าผุดเลยหามีใครชมไม่ | |||
น้องของเรามิได้ดูด้วยอยู่ไกล | ผุดให้ใครชมเล่านะเต่าปลา | |||
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำในลำห้วย | น้ำไม่ช่วยล้างทุกข์ให้สุขา | |||
ดีแต่ล้างเหงื่อไคลในกายา | กับล้างหน้าล้างร้อนให้ผ่อนเย็น | |||
จะล้างทุกข์ของพี่นี้สุดยาก | พี่ทุกข์มากอยู่ในใจใครไม่เห็น | |||
ชะตาตกอกเอ๋ยไม่เคยเป็น | มิได้เว้นว่ายวายคลายรำคาญ | |||
เห็นสิ่งไรใจหวนให้ครวญคร่ำ | ทุกย่านน้ำแนวหนองคลองละหาน | |||
ใครจะเป็นเช่นพี่ไม่มีปาน | เหลือประมาณที่รักภัคินี | |||
ถึงงามขำทำผิดสักร้อยครั้ง | พี่ก็ยังรักใคร่ไม่หน่ายหนี | |||
ไม่หึงหวงล่วงว่าไม่ด่าตี | ด้วยปรานีอดออมถนอมกัน | |||
ถึงจะรักหญิงอื่นสักหมื่นโกฏิ | ไม่ปราโมทย์เหมือนนุชสุดกระสันต์ | |||
มักเบื่อหน่ายหายงามไม่ข้ามวัน | ไม่เหมือนขวัญนัยนาสัจจาจริง | |||
ถึงสุดสิ้นฟ้าดินไม่สิ้นรัก | จะฟูมฟักเฝ้าประคองแต่น้องหญิง | |||
ถึงยากเย็นเข็ญใจก็ไม่ทิ้ง | จะรักมิ่งนิรมลจนวันตาย | |||
ให้น้องรักรักพี่อย่างนี้บ้าง | อย่าเริดร้างรสรักให้หักหาย | |||
จงคิดถึงยามสะเบยเคยสบาย | อย่าลืมวายรสร่วมภิรมย์ชม | |||
รำพันพลางทางแลดูพวกเพื่อน | ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม | |||
ลงอาบน้ำดำดุดบ้างผุดจม | เอาโคลนตนขว้างกันสนั่นไป | |||
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง | ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว | |||
ที่บางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ | ก็แล่นไล่เอาเถิดเกิดพนัน | |||
พวกผู้ชายว่ายับอยู่สับสน | ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน | |||
ขยุ้มขยำคลำปะแล้วละกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในวารี | |||
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย | ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมศรี | |||
ก็ออกเกวียนพร้อมกันด้วยทันที | เกวียนของพี่ออกหน้าพากันจร | |||
ระรวยรื่นชื่นหอมพะยอมสด | คันธรสโรยร่วงพวงเกสร | |||
ต้องพระพายชายช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเฝ้าเคล้าประคองชม | |||
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา | บูราญว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม | |||
หญิงกับชายก็เป็นคู่ชูอารมณ์ | ชั่วปฐมกัปกัลป์พุทธันดร | |||
ใครมีคู่พลัดคู่ไม่มีสุข | มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร | |||
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอุทร | ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย | |||
โอ้แม่ดวงพวงพุ่มปทุมทิพย์ | ดูลิบลิบลอยฟ้านิจจาเอ๋ย | |||
พี่ยังจำกลิ่นได้ไม่ลืมเลย | เป็นคู่เชยชื่นจิตชีวิตเดียว | |||
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้ | พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว | |||
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว | บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน | |||
บางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน | บางลิงโจนจับคว้าผลาผล | |||
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน | ก็รีบรนเร็วมาในป่าดอน ฯ | |||
๏ พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ | ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน | |||
ที่ย่านนั้นดูสนุกน่านั่งนอน | เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดประหลาดตา | |||
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง | ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา | |||
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา | เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน | |||
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย | ก็ผันผายล่องลัดพ้นสถาน | |||
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง ฯ | |||
๏ ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย | เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง | |||
พวกหญิงชายสัปบุรุษก็หยุดยั้ง | เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม | |||
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย | บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม | |||
บ้างกองไฟจุดไต้ตะเกียงตาม | ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป | |||
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ | จะแสงทองส่องทวีปสว่างไสว | |||
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย | ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา | |||
ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม | คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา | |||
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา | อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์ | |||
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฏ | แสนกำสรดเศร้าจิตพิศวง | |||
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง | คิดถึงองค์พระสัพพัญญุตญาณ | |||
พระองค์โปรดเทวดาและมนุษย์ | ให้สูงสุดสิ้นโอฆสงสาร | |||
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน | โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน | |||
พระองค์เกิดในบูรีกบิลพัสดุ์ | เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์ | |||
มานิพพานในป่าสาละวัน | ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา | |||
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน | ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา | |||
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา | แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ | |||
และเห็นก้อนพระโลหิตประดิษฐาน | ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล | |||
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร | แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม | |||
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช | ถ้าเรืองเดชจะนิมิตมณฑปเสริม | |||
จะสร้างวัดจัดแจงตกแต่งเติม | ไว้เฉลิมโลกาสถาพร | |||
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปก็ยิ่งทอดฤทัยถอน | |||
โอ้พระแท่นแผ่นเผาอยู่ป่าดอน | แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง | |||
ชื่อกรุงโกสินรายสบายนัก | เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลือเลื่อง | |||
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง | ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา | |||
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น | ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบุปผา | |||
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา | คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน | |||
ของพระยามลราชประสาทไว้ | ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตสถาน | |||
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ | สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง | |||
แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเป็นป่า | พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง | |||
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง | อนิจจังอนาถจิตอนิจจา | |||
เดชะบุญได้นบอภิวาท | ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา | |||
รำพันพลางทางก้มบังคมลา | ถอบออกมาเที่ยวชมพนมเนิน | |||
ขึ้นคิรีที่ถวายพระเพลิงเผา | บันไดเล่าลดหลั่นเป็นขั้นเขิน | |||
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน | เหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล | |||
ดูทางทิศบุรพาน่าวิเวก | เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน | |||
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมน | แลดูคนตัวนิดนิดติดสุธา | |||
เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชอุ่มเขียว | ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา | |||
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า | ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล | |||
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา | เห็นศิลาแวววามงามไสว | |||
รรณรายพรายแพรวดูแววไว | แลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตา | |||
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม | เป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผา | |||
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา | พิจารณาสมความตามบาลี | |||
เป็นก้อนแก้วแวววาบประปราบแสง | คือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์ | |||
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฏมี | ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน | |||
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก | อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน | |||
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร | ให้ถาวรวันทาบูชาชม | |||
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์ | สุดจะคิดขุดหินแผ่นดินถม | |||
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม | เที่ยวเดินชมบุปผาชาติดาษดา | |||
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดร่วง | เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา | |||
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา | ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย | |||
เป็นสายหยุดหยุดยืนค่อยชื่นจิต | พี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย | |||
ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบาย | ทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก | |||
มะลิลาเหมือนพี่มาไม่ลาน้อง | ให้ขัดข้องอุทรดังศรปัก | |||
กระลำพักได้พบประสบพักตร์ | มาไกลนักนึกถึงคะนึงครวญ | |||
เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้ม | ดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน | |||
อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวน | ให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา | |||
กาหลงเหมือนพี่หลงลานสวาท | เบญจมาศเหมือนพี่มาดเสน่หา | |||
พี่ชมพรรณบุปผาชาติหวาดวิญญาณ | แล้วชมป่าไม้รังสะพรั่งไป | |||
ไม่มีไม้อื่นปนต้นสล้าง | ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว | |||
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสะบัดใบ | ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย | |||
เสียงเรไรจักกระจั่นสนั่นก้อง | สกุณร้องเพรียกหูไม่รู้หาย | |||
ประดุจเสียงขับรำบำเรอราย | ร้องถวายพระแท่นในแดนดง | |||
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์ | อัศจรรย์จับจิตพิศวง | |||
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง | จนเลยหลงลัดทางมากลางไพร | |||
เห็นพะยอมยางยูงสูงสลอน | ดูซับซ้อนโศกสนต้นไสว | |||
ตะลิงปลิงปลิงปรางมะทรางไทร | ประคำไก่กันเกราสะเดาดง | |||
กระถินกระทิมชุมแสงดังแกล้งดัด | เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหง | |||
ปลิงประดู่ปรูเปรียงพุมเรียงดง | โลดทะนงอินทะนิลและอินจันทน์ | |||
เป็นพวงผลหล่นกลาดลงดาษดื่น | ระดะพื้นพสุธาวนาสัณฑ์ | |||
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชิงกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน | |||
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค | บ้างโผผกบินจับสลับสลอน | |||
นกกะลิงจับกิ่งกาหลงนอน | กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู | |||
อีลุ้มเหล่าเขาชวากระทาขัน | เบญจวรรณบินผวาเที่ยวหาคู่ | |||
นกนางนวลโนรีสีชมพู | น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาลิกาทอง | |||
พี่คะนึงถึงสาลิกาแก้ว | ค่ำลงแล้วใครจะอยู่เป็นคู่สอง | |||
จะเศร้าทรวงง่วงงงอยู่กรงทอง | หรือจะล่วงลอยบินไปกินไกล | |||
จวนจะค่ำร่ำตรึกนึกถวิล | นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน | |||
มานอนเพื่อนพี่บ้างในกลางไพร | ให้ชื่นใจเชษฐาสักราตรี | |||
พิลาปร่ำคร่ำครวญชวนละห้อย | พี่ก็พลอยคร่ำครวญถึงนวลศรี | |||
พระสุริยายอแสงแฝงคิรี | เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ | |||
เห็นเสือด้อมทรายเดินเนินพนัส | เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย | |||
วิ่งคะนองลองเชิงละเลิงใจ | เห็นคนไปวิ่งซอกตอมตรอกเตริน | |||
หมีกระโดดหมูดุดเที่ยวมุดแฝง | แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน | |||
ชะมดฉะมันหันหาพากันเดิน | ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน | |||
กระรอกกระแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด | บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์ | |||
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล | ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย | |||
ครั้นเย็นย่ำค่ำมืดขมุกขมัว | พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย | |||
พระจันทร์ส่องท้องฟ้าพนาลัย | จุดดอกไม้เพลิงพลามตามตะเกียง | |||
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตหวัง | จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง | |||
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง | ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน | |||
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด | กรวดก็ฉูดพุ่งประหลาดอยู่ฉาดฉาน | |||
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ | ประกอบการบูชาประสาจน | |||
บ้างก็เล่นเต้นรำทำสมโภช | ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล | |||
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์ | บ้างนั่งบ่นภาวนาหลับตาไป | |||
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น | คนพั่งยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว | |||
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย | เมื่อจรไปรับน้องวันทองมา | |||
บ้างก็ร้องสักระวาใส่หน้าทับ | ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง | |||
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง | แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์ | |||
พี่พาทย์รับขันขานประสานเสียง | ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตพิศวง | |||
คนมาฟังนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง | |||
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี | ชวนกันตีระฆังดังหง่างเหง่ง | |||
สัปบุรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ง | พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิน | |||
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างย้อย | หวนละห้อยโหยจิตคิดถวิล | |||
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน | เขาหลับสิ้นเสียงเงียบยะเยียบเย็น | |||
พี่นอนโศกเศร้าจิตพิศวง | พอค่ำลงวันนั้นก็ฝันเห็น | |||
ว่าโลมลูบจูบน้องประคองเคล้น | แม่เนื้อเย็นหยิกข่วนว่ากวนใจ | |||
พี่กล่าวคำร่ำปลอบให้ชอบชื่น | ระเริงรื่นชื่นจิตพิสมัย | |||
สะดุ้งตื่นรื่นรสสุมาลัย | น้ำค้างไพรพร่างพรมลมรำเพย | |||
โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย | อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย | |||
โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลย | พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล | |||
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง | อย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน | |||
ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวล | อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร | |||
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ | เดียรดาษแวมวามงามไสว | |||
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัย | เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย | |||
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ | นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย | |||
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย | พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ | |||
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | สกุณาร่ำร้องก้องประสาน | |||
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับโพยมมาน | รวีวารส่องภพจบสกล | |||
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น | พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล | |||
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล | ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา | |||
พี่ปลดเปลื้องเครื่องภูษิตอุทิศถวาย | แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา | |||
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา | แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย | |||
ขอเดชะภูษาอานิสงส์ | เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้ | |||
อย่ามีมารผจญเข้าดลใจ | เทพไทจงเห็นเป็นพยาน | |||
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส | จะข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร | |||
ให้สำเร็จประโยชน์โพธิญาณ | เข้านิพพานพ้นทุกข์สุขสบาย | |||
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก | สิ่งใดรักขอให้สมอารมณ์หมาย | |||
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย | อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน | |||
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส | อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรค์ | |||
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกอัน | การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสบเลย | |||
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ | พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย | |||
ประดิษฐ์กลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย | ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง | |||
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา | ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง | |||
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตประวิง | อนาถนิ่งนึกถึงตะบึงไป | |||
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด | ทำนิราศรักมิตรพิสมัย | |||
ด้วยจิตรรักกาพย์กลอนอักษรไทย | จึงตั้งใจแต่คำแต่ลำพัง | |||
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง | คนทั้งปวงอย่าว่าเราบ้าหลัง | |||
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง | ประดุจดังน้ำจิตเราคิดกลอน | |||
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง | ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร | |||
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร | ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ | |||