นิราศพระแท่นดงรัง (นายมี)

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ข้อมูลเบื้องต้น)
(ข้อมูลเบื้องต้น)
 
(การแก้ไข 6 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 1: แถว 1:
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
== ข้อมูลเบื้องต้น ==
 +
{{เรียงลำดับ|นิราศพระท่แนดงรัง}}
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]]
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]]
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]]
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
[[หมวดหมู่:กลอนสุภาพ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
-
'''ผู้แต่ง:''' [[เณรกลั่น]] ( [[สุนทรภู่]] ? )
+
'''ผู้แต่ง:''' [[นายมี]]
-
 
+
-
ความยังไม่ครบถ้วน
+
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
<tpoem>
<tpoem>
 +
  ๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน 
 +
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ  มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน 
 +
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานปะ  เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์ 
 +
แต่น้ำจิตคิดถึงทุกคืนวัน  จะจากกันทั้งรักพะวักพะวน ฯ
 +
 +
 +
๏ ในปีวอกนักษัตรอัฐศก  ชะตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์ 
 +
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน  พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร 
 +
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง  เฝ้ามองมองมุ่งเขม้นไม่เห็นสมร 
 +
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร  สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน 
 +
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง  ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ 
 +
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน  สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม 
 +
ขอเชิญเทพรักษามารศรี  อย่าให้มีอันตรายเท่าปลายผม 
 +
ถึงคนอื่นขืนแข่งมาแต่งลม  ขออย่าให้ทรามชมนั้นยอมยิน ฯ
 +
 +
 +
๏ พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ  ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์ 
 +
เห็นนางในใสสดหมดมลทิน  ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน 
 +
พี่ชมโฉมนางงามเมื่อยามโศก  แสนวิโยคถึงนุชสุดกระสันต์ 
 +
ทำเมินเฉยเลยลับไปฉับพลัน  พี่กลืนกลั้นอาลัยไว้ในทรวง ฯ
 +
 +
 +
๏ มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย  ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง 
 +
โทมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพ่วง  จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง 
 +
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย  บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ 
 +
เห็นสาวสาวแม่ค้าน่าประคอง  พี่มองมองประตาน่าเอ็นดู 
 +
ชั่งงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด  ยังไม่ถอดกำไรใส่ตุ้มหู 
 +
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู  ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน 
 +
พี่จะได้ครอบครองเป็นสองฝ่าย  ไม่หน้าหน่ายแก้วตาจนอาสัญ 
 +
โอ้ว่าจิตคิดไปไม่ได้กัน  รักเท่านั้นเถินอย่ารักเอานักเลย ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงวังหลังเป็นวังสงัดเงียบ  เย็นยะเยียบรักรานนิจาเอ๋ย 
 +
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย  พระคุณเคยปกเกล้าชาวบูรี 
 +
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก  ออกสะอึกราญรบไม่หลบหนี 
 +
แต่ครั้งพวกพม่ามาราวี  พระต้อนตีแตกยับอัปรา 
 +
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า  พระผ่านเกล้านิพพานนานหนักหนา 
 +
เสียดายองค์พงศ์ขษัตริย์ขัติยา  ชลนานองเนตรสังเวชวัง 
 +
แล้วหวนคิดถึงนุชยิ่งสุดหมอง  พี่มิได้อยู่ครองเหมือนแต่หลัง 
 +
จะร่วงโรยแรมร้างเหมือนอย่างวัง  อนิจจังจากมายิ่งอาลัย ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง  เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล 
 +
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในทองไฟ  ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง  พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง 
 +
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง  เคยสำอางใส่อวดประกวดกัน 
 +
พี่เคยขอแหวนยอดน้องทอดให้  มาสอดใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ 
 +
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน  คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์ ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย  นาวาลอยลับไปไกลสมร 
 +
พี่กล้ำกลืนโศกาอาทร  สะท้อนถอนจิตใจไม่สบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิต  เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย 
 +
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย  แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิต  พี่นิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง 
 +
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง  ครรไลล่วงล่องลอยนาวามา ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น  หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา 
 +
ดอกพิกุลหล่นกลาดดาษดา  ถ้าน้องมาเห็นจะเก็บไว้ร้อยกรอง 
 +
น่าถนอมหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ย  แมลงภู่เชยคลึงเคล้าเป็นเจ้าของ 
 +
แต่ตัวเรามิได้อยู่เป็นคู่ครอง  ทิ้งให้น้องโหยหนอยู่คนเดียว 
 +
สักเมื่อไรจะได้กลับมารับขวัญ  เห็นหลายวันยังจะไปถึงไพรเขียว 
 +
เป็นทุกข์ถึงน้องหญิงจริงจริงเจียว  พี่ก็เปลี่ยวเปล่าใจอาลัยครวญ 
 +
ดูเพื่อนกันที่เขามาเป็นผาสุก  ไม่มีทุกข์ทัศนาพฤกษาสวน 
 +
บ้างก็ชี้ชมพวงมะม่วงพรวน  บ้างก็ชวนชักชี้ให้พี่ดู 
 +
เห็นต้นไม้ชื่อพ้องกับน้องรัก  เพื่อนเขาทักถูกชื่อให้ครือหู 
 +
พี่ก้มหน้านิ่งเฉยไม่เงยดู  กลัวเขารู้เรื่องราวจะฉาวไป ฯ
 +
 +
 +
๏ เห็นไม้โศกเป็นดอกออกระดะ  โศกปะทะสองซ้ำจะทำไฉน 
 +
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ  ทำกระไรโศกเราจะเบาลง 
 +
เห็นดงรักริมคลองทั้งสองฟาก  ยิ่งรักมากมัวจิตพิศวง 
 +
พี่รักดอกรักจูบรักรูปทรง  รักจนหลงเหลือรักหนักอุรา 
 +
เห็นรักหักเหมือนรักพี่เริดร้าง  จะเว้นว่างเชยชิดกนิษฐา 
 +
ยิ่งคิดถึงงามชื่นกลืนน้ำตา  แล้วรีบมาในวนชลธาร ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด  แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร 
 +
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ  ทำชื่นบานแย้มเยื้อนกับเพื่อนกัน ฯ
 +
 +
 +
๏ มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง  ไม่วายว่างวิโยคยิ่งโศกศัลย์ 
 +
นั่งคะนึงถึงนุชสุดรำพัน  แล้วผายผันรีบมาในวาริน 
 +
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิต  นั่งพินิจนึกในน้ำใจถวิล 
 +
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน  แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน 
 +
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย  ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล 
 +
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน  ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ 
 +
แต่ตัวน้องของพี่นี้ดีพร้อม  ควรถนอมแนบชิดพิสมัย 
 +
งามประเสริฐเพริศพริ้งทุกสิ่งไป  ทั้งน้ำใจดีนักน่ารักจริง 
 +
โอ้อาลัยใจหายเสียดายโฉม  เคยประโลมเลียมกอดแม่ยอดหญิง 
 +
มาพลัดพรากจากนุชสุดประวิง  อนาถนิ่งหนาวใจอยู่ในเรือ ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง  ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ 
 +
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ  ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ 
 +
สุดรำพันอั้นอกวิตกนัก  ด้วยความรักเหลือล้นพ้นวิสัย 
 +
แต่โศกเราเซ้าซี้พิรี้พิไร  จนครรไลล่วงทางมากลางชล ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ  จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน 
 +
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมไทยปน  โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง  คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์ 
 +
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน  แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา 
 +
เมื่อนางกลับเป็นจระเข้เที่ยวเร่ร่อน  ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา 
 +
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา  อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงวัดอุทยานรำคาญจิต  แล้วเพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว 
 +
เหมือนสวนสวรรค์ขั้นฟ้าสุราลัย  หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย 
 +
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก  ว่าโน่นดอกสาระภีเจ้าพี่เอ๋ย 
 +
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย  เหมือนพี่เคยชมน้องที่ห้องนอน 
 +
เรียมครวญพลางห่างพ้นตำบลวัด  โทมนัสน้อยใจอาลัยสมร 
 +
พระสุริยงทรงรถบทจร  ก็รีบร้อนเรือมาด้วยเร็วพลัน ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบางระนกบางโคเวียงเคียงกันอยู่  เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ 
 +
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน  อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ 
 +
แต่ตัวพี่ผู้เดียวมาเที่ยวท่อง  ให้ห่างห้องห่างมิตรพิสมัย 
 +
เฝ้าครวญคร่ำรำพึงตะบึงไป  ดั่งเปลวไฟเผาอกวิตกมา ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย  ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา 
 +
พี่รักน้องถ้าจะรองเอาน้ำตา  คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ 
 +
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ  เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน 
 +
ยิ่งคิดถึงแก้วตาสุดอาลัย  ในจิตใจพี่นี้ไม่มีสบาย ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย  คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย 
 +
จะปีนต้นเล่าก็ยากลำบากกาย  พี่นึกอายนิ่งอดเหมือนมดแดง 
 +
อดมะม่วงอดได้พี่ไม่อยาก  เป็นแต่ปากพูดแยบให้แอบแฝง 
 +
แต่อดชมพี่นี้ตรมอุราแรง  ไม่รู้แห่งที่จะอดซึ่งรสชม 
 +
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมน้อง  ประสมสองสมจิตสนิทสนม 
 +
ถึงจะได้ดอกฟ้าลงมาดม  ในอารมณ์พี่ก็ยังไม่ยินดี 
 +
ไม่ชอบเหมือนทรามเชยพี่เคยชิด  พี่ยิ่งคิดถึงน้องให้หมองศรี 
 +
ไม่เห็นกันวันหนึ่งเหมือนครึ่งปี  หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง 
 +
อนาถจิตคิดไปแล้วใจหาย  ไม่เว้นวายกำสรดสลดหมอง 
 +
พี่เหลียวกลับลับคุ้งเฝ้ามุ่งมอง  เรือก็ล่องลอยมาในสาคร ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบางใหญ่ใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า  ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร 
 +
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร  ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ 
 +
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา  ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ 
 +
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ  แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย  สกนธ์กายร้อนเริงดังเหลิงผลาญ 
 +
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน  เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา 
 +
อันส้มสูกลูกไม้ทั้งหลายหมด  ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรขนิษฐา 
 +
ครรไลเลยหลีกเลี่ยงส้มเกลี้ยงมา  ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล 
 +
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิต  นั่งพินิจแนวทางมากลางหน 
 +
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน  เมฆหมอกมนหมองมัวเหมือนตัวเรา 
 +
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ  จะเลื่อนลับยุคุนธรศิงขรเขา 
 +
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา  กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย 
 +
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน  เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย 
 +
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย  มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม 
 +
ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์  ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดประถม 
 +
ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์  จะเตรียมตรมตรึกหาเป็นอาจิณ ฯ
 +
 +
 +
๏ มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก  เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์ 
 +
คลองก็เล็กน้ำตื้นเห็นพื้นดิน  ไม่น่ากินน้ำท่าระอาใจ 
 +
ต้องจ้างโยงโยงเรือเหลือลำบาก  ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื้อนไหว 
 +
ผูกระนาวยาวยึดเป็นพืดไป  ทั้งเจ๊กไทยปนกันสนั่นอึง 
 +
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอรา  เป็นราคาจ้างประจำลำสลึง 
 +
ควายก็เดินดันดังกันกังกึง  พอเชือกตึงเรือตามกันหลามมา 
 +
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย  พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา 
 +
ดาวประดับวับวามอร่ามตา  ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร 
 +
ดูแลทุ่งทุ่งก็กว้างเป็นว่างเปล่า  เหมือนอกเราว่างเว้นไม่เห็นสมร 
 +
เห็นแต่ทุ่งกับป่ายิ่งอาวรณ์  อนาถนอนนิ่งนึกคะนึงนาง 
 +
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว  ทั้งลมว่าวพัดต้องยิ่งหมองหมาง 
 +
เห็นเพื่อนเรือเมื่อจวนจะรุ่งราง  มีมุ้งกลางกอดเมียอยู่เคลียคลอ 
 +
แสนอาภัพก็แต่เราช่างเปล่าปลอด  ไม่ได้กอดเหมือนอย่างเขาหนอเราหนอ 
 +
นอนก็อัดอุดอู้คุดคู้งอ  ในใจคอคับแคบแทบจะตาย 
 +
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย  ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย 
 +
เขาโยงเรือรีบรุดไม่หยุดควาย  มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ  ดูลึกล้ำน่ากลัวตะเข้โขง 
 +
พี่นั่งขืนเรือไว้มิให้โคลง  แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า  ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว 
 +
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว  กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา 
 +
ถ้าแม้นพี่เป็นนกผกโผผิน  จะโบยบินไปรับมิตรขนิษฐา 
 +
นี่ตัวพี่เป็นมนุษย์สุดปัญญา  จะไปมาสารพัดขัดกันดาร 
 +
ทำกระไรขวัญใจจะได้รู้  พี่คิดอยู่ถึงนุชสุดสงสาร 
 +
เชิญพระพายพัดพาเอาอาการ  ให้ข่าวสารทราบจิตวนิดา 
 +
ยิ่งรำพันตันจิตให้คิดถึง  แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร์ 
 +
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา  ไม่รอรารีบผลัดกันแจว ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น  พี่แลเห็นต้นงิ้วเป็นทิวแถว 
 +
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว  เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย  น้ำเนตรย้อยซึมโซมชโลมไหล 
 +
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ  พลางครรไลล่องลอยนาวามา ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า  เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา 
 +
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา  เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ 
 +
อันเมารักมักหลงพะวงรัก  ใครจะชักฉุดไว้ก็ไม่ไหว 
 +
กำลังมึนเมามัวไม่กลัวใคร  คงจะไปหารักที่พักพิง 
 +
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ  เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง 
 +
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง  อนาถนิ่งนอนนึกระลึกกัน 
 +
พี่พลัดพรากจากรักมาพักนี้  แทบชีวีเชษฐาจะอาสัญ 
 +
ดั่งศรศักดิ์ปักอกวิตกครัน  ให้อัดอั้นอึดใจครรไลจร ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว  เห็นแต่แนวคงคาพฤกษาสลอน 
 +
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร  สง่างอนช่อฟ้าศาลาตะพาน 
 +
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน  ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร 
 +
มีทั้งสระโกสุมปทุมมาลย์  บ้างตูมบานเกสรอ่อนละออ 
 +
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว  ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ 
 +
กำลังสดมิได้เศร้าน่าเคล้าคลอ  พี่เคยขอชมเล่นไม่เว้นวัน 
 +
ตั้งแต่พี่พลัดพรากมาจากน้อง  มิได้ต้องบัวทองประคองขวัญ 
 +
ชมแต่บัวริมน้ำยิ่งรำพัน  แสนกระสันต์โศกเศร้าจนเข้าคลอง 
 +
พระสุริย์ฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า  รับเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง 
 +
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง  ไม่ผุดผ่องผิวคล้ำระกำใจ 
 +
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่แต่ร่มร่ม  ได้เชยชมชิดน้องไม่หมองไหม้ 
 +
ถึงจะร้อนก็คงเย็นไม่เป็นไร  แม่ดวงใจเคยพัดให้พี่นอน 
 +
เมื่อยามหนาวแนบกายพี่หายหนาว  ไม่ขดคราวเป็นสุขสโมสร 
 +
เมื่อไรอีกจะได้แนบอุระนอน  จะอาวรณ์วุ่นวายไปหลายวัน 
 +
โอ้ปานนี้แก้วพี่จะเป็นไฉน  สำราญใจหรือว่าน้องจะโศกศัลย์ 
 +
พี่จากเจ้าเยาวมาลย์มานานครัน  ยังไม่ทันสั่งความแม่ทรามเชย 
 +
เป็นแต่ลอบชมชิดไม่สิทธิ์ขาด  แรมนิราศร้างมานิจจาเอ๋ย 
 +
ถ้าแม้นมาดคลาดเคลื่อนไม่เหมือนเคย  ไม่อยู่เลยจะสู้ตายด้วยอายคน 
 +
ขอเดชะความรักเป็นหลักแหล่ง  ช่วยตบแต่งให้เขาเห็นว่าเป็นผล 
 +
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานบน  ช่วยเข้าดลใจมิตรให้ติดตาม ฯ
 +
 +
 +
๏ รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์  พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม 
 +
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม  แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด  ไปเปล่าปลอดเรือแพแลไสว 
 +
สิ้นหนทางคงคาชลาลัย  จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน 
 +
สัปบุรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า  เสียงเฮฮาอึงอื้อหฤหรรษ์ 
 +
เป็นพวกพ้องเข้าประสบสมทบกัน  จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ 
 +
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม  บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว 
 +
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าแก่ออกแซ่ไป  จะเดินไพรให้สนุกไม่ทุกข์ร้อน 
 +
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย  แลดูควายเดินระดับสลับสลอน 
 +
เจ้าของหวดตะพดให้บทจร  เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง 
 +
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง  คนเดินมุ่งมาดมาทั้งหน้าหลัง 
 +
ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง  ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์  เป็นบ้านคนใหญ่โตรโหฐาน 
 +
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร  ตำข้าวสารกรอกหม้อแต่พอกิน 
 +
ดูเหย้าเรือนเคหาน่าสังเวช  เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น 
 +
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน  ไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย 
 +
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตร  แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย 
 +
ไม่มีความแช่มชื่นสะอื้นโอย  มีแต่โกยทุกข์ล้นมาเดินทาง 
 +
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้ม  ไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง 
 +
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลาง  มาตามทางหิมวันสนั่นมา ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงพระโฑณารามพราหมณ์เขาสร้าง  เป็นพระปรางค์แต่บูราณนานนักหนา 
 +
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา  พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง 
 +
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษ  พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์ 
 +
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง  ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร 
 +
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่  คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน 
 +
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน  บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย 
 +
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุก  บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขลุ่ย 
 +
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย  เห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจร ฯ
 +
 +
 +
๏ บรรลุถึงพระประธมประทับหยุด  สัปบุรุษเซ็งแซ่แลสลอน 
 +
แวะขึ้นไปไหว้พระประธมประณมกร  สโมสรโสมนัสนมัสการ 
 +
ต่างระรื่นชื่นจิตพิศวง  เทียวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน 
 +
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณ  สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร 
 +
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณ  แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตสยอง 
 +
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน  ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา 
 +
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบคัน  เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา 
 +
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา  มีพฤกษาร่มรื่นเป็นพื้นทราย 
 +
พี่ชมพลางทางนบอภิวาท  สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย 
 +
สัปบุรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย  กราบถวายวันทาแล้วลาลง 
 +
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส  ดูอนาถน้ำจิตพิศวง 
 +
บริเวณวัดวาเป็นป่าดง  ดูงวยงงร่วงรามาช้านาน 
 +
พระประธมของบรมกษัตริย์สร้าง  เป็นพระปรางค์ใหญ่โตรโหฐาน 
 +
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน  พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม 
 +
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคต  เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ 
 +
เธอทำผิดคิดเห็นไม่เป็นธรรม  จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง 
 +
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก  เมื่อยามยากนึกไปฤทัยหมอง 
 +
ไหว้พระปรางค์ทางนึกระลึกน้อง  ให้ตามตรองเตรียมใจครรไลลา 
 +
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหาย  เหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา 
 +
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตา  แล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดัง ฯ
 +
 +
 +
๏ ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง  สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงส์ 
 +
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง  ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย 
 +
เสียงจักจั่นแจ้วแจ้วให้แว่วหวาด  หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล 
 +
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย  วังเวงใจจรมาในราตรี 
 +
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก  คะนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี 
 +
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี  กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง 
 +
บ้างกินโภชนากระยาหาร  ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง 
 +
บ้างก็หาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง  พอยับยั้งกายตามยามกันดาร 
 +
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้  ยกมือไหว้เทวดาพฤกษาสาณฑ์ 
 +
อย่าให้มีโพยภัยสิ่งใดพาน  นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา 
 +
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง  จำรัสแสงส่องสอดลอดพฤกษา 
 +
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา  พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ 
 +
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท  โศกไสยาสน์เกลือกกลับไม่หลับใหล 
 +
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ  ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม 
 +
เสียงจังหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้อง  เย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม 
 +
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม  เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน 
 +
ต่างคนก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้า  แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์ 
 +
ระยะทางกลางไพรยังไกลครัน  แรมอรัญทุเรศสังเกตมา 
 +
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ว  สะพรั่งทิวแถบไม้ไพรพฤกษา 
 +
ระบัดใบรมรื่นพื้นสุธา  ดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย 
 +
บ้างทรางผลหล่นหนักเป็นอักนิฐ  ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย 
 +
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย  จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง 
 +
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้อง  มาชมท้องทุ่งท่าป่าระหง 
 +
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตพะวง  แทบจะปลงชีวาลีลาจร ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงลาดหญ้าไทรหัวใจหาย  ตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร 
 +
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์  ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ 
 +
เห็นลมพัดหัดควันไปปั่นป่วน  เหมือนลมหวนโหยจิตพิสมัย 
 +
เห็นหนองน้ำน้ำชุ่มสนุ่นไคล  เหมือนน้ำใจที่พี่ช้ำระกำตรอม 
 +
ไม่มีสุขทุกข์โศกด้วยโรครัก  อกจะหักเสียด้วยร้างห่างถนอม 
 +
เดินก็เหนื่อยเมื่อยหนักสะบักสะบอม  จนซูบผอมผิวคล้ำสิ้นน้ำนวล ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี  เสียงชะนีโหยไห้พิไรหวน 
 +
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ  ให้รัญจวนจรมาในอารัญ 
 +
เห็นต้นไทรใหญ่โตรโหฐาน  สูงตระหง่านเงื้อมป่าพนาสัณฑ์ 
 +
พี่หยุดยั้งนั่งนบอภิวันท์  พลางรำพันนึกในฤทัยปอง 
 +
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา  พระไทรพาอุ้มสมภิเษกสอง 
 +
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง  พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา 
 +
พี่จากนุชสุดใจมาไกลนัก  ไม่เห็นพักตร์ทรามประโลมโฉมเฉลา 
 +
เห็นแต่ทิวทางเดินเนินลำเนา  พี่สร้อยเศร้าโศกาลาพระไทร ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงหนองโพธิ์โพธิ์มีที่ริมหนอง  ต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย 
 +
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ  ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา 
 +
พี่นั่งนบอภิวันท์แล้วผันผาย  ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา 
 +
เห็นนกไม้ในดงพงพนา  ไม่เห็นหน้านิ่มมวลยิ่งครวญคราง ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น  และไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง 
 +
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง  ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย 
 +
เจ้าเคยจัดปัดปูไม่รู้ขาด  พี่ไสยาสน์ด้วยทุกคืนไม่ตื่นสาย 
 +
มาเดินป่าคราวนี้ไม่มีสบาย  ใบไม้รายรองนอนหมอนไม่มี 
 +
โอ้สงสารอาตมานิจจาเอ๋ย  ยังไม่เคยจากน้องจึงหมองศรี 
 +
ช่างจำเพาะเคราะห์ร้ายเมื่อปลายปี  ไม่มีดีขัดสนพ้นประมาณ 
 +
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักคมน์  นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ 
 +
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นาน  มาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น 
 +
พระเคราะห์พามาไกลถึงไพรสัณฑ์  สักกี่วันจะได้กลับมาเล็งเห็น 
 +
โอ้ที่นอนหมอนข้างจะร้างเย็น  ใครจะเคล้นเคล้าน้องประคองนอน 
 +
วิตกพลางทางเลยครรไลล่วง  ข้ามห้วยห้วงคงคามาสลอน 
 +
บ้างโห่ร้องกับป่าพนานอน  ทุเรศร้อนรีบรัดตัดตำบล ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงห้วยกระบอกซอกธารสถานที่  หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน 
 +
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล  มีแต่ต้นไม้ล้างข้างลำธาร 
 +
ต้นซึกซากโศกไทรมะไฟป่า  เคี่ยมมะค่าคางแคแสมสาร 
 +
กระเบียนกระบากหมากลิงมะพร้าวตาล  สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง 
 +
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง  รีบตะบึงมาในไพรระหง 
 +
จนเบี่ยงบ่ายสายแสงพระสุริยง  อุตส่าห์ทรงกายเดินดำเนินจร ฯ
 +
 +
 +
๏ มาถึงห้วยปลากดเขาปลดเกวียน  เป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน 
 +
ลงอาบน้ำดำเกล้าบรรเทาร้อน  เห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต 
 +
ทั้งสองฟากครึ้มครึกล้วนพฤกษา  มีมัจฉาพรั่งพรูอยู่อักโข 
 +
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ  ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล 
 +
ตะเพียนทองล่องลอยอยู่พ้นน้ำ  กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไหวไหว 
 +
ตะโกกกาปลาสร้อยก็ลอยไป  เข้าแฝงใบจอกกระจับให้ลับกาย 
 +
ยิ่งชมปลาอารมณ์ให้ร้อนจิต  นึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย 
 +
ถ้าน้องมาถึงนี่กับพี่ชาย  จะชวนสายสุดที่รักลงสรงชล 
 +
พี่จะชี้ให้ดูหมู่มัจฉา  ที่ว่ายมาเกลือกกลับอยู่สับสน 
 +
แล้วจะชวนเก็บฝักหักอุบล  ให้นิรมลชมธารสำราญใจ 
 +
โอ้ว่าเหล่าเต่าปลานิจจาเอ๋ย  อย่าผุดเลยหามีใครชมไม่ 
 +
น้องของเรามิได้ดูด้วยอยู่ไกล  ผุดให้ใครชมเล่านะเต่าปลา 
 +
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำในลำห้วย  น้ำไม่ช่วยล้างทุกข์ให้สุขา 
 +
ดีแต่ล้างเหงื่อไคลในกายา  กับล้างหน้าล้างร้อนให้ผ่อนเย็น 
 +
จะล้างทุกข์ของพี่นี้สุดยาก  พี่ทุกข์มากอยู่ในใจใครไม่เห็น 
 +
ชะตาตกอกเอ๋ยไม่เคยเป็น  มิได้เว้นว่ายวายคลายรำคาญ 
 +
เห็นสิ่งไรใจหวนให้ครวญคร่ำ  ทุกย่านน้ำแนวหนองคลองละหาน 
 +
ใครจะเป็นเช่นพี่ไม่มีปาน  เหลือประมาณที่รักภัคินี 
 +
ถึงงามขำทำผิดสักร้อยครั้ง  พี่ก็ยังรักใคร่ไม่หน่ายหนี 
 +
ไม่หึงหวงล่วงว่าไม่ด่าตี  ด้วยปรานีอดออมถนอมกัน 
 +
ถึงจะรักหญิงอื่นสักหมื่นโกฏิ  ไม่ปราโมทย์เหมือนนุชสุดกระสันต์ 
 +
มักเบื่อหน่ายหายงามไม่ข้ามวัน  ไม่เหมือนขวัญนัยนาสัจจาจริง 
 +
ถึงสุดสิ้นฟ้าดินไม่สิ้นรัก  จะฟูมฟักเฝ้าประคองแต่น้องหญิง 
 +
ถึงยากเย็นเข็ญใจก็ไม่ทิ้ง  จะรักมิ่งนิรมลจนวันตาย 
 +
ให้น้องรักรักพี่อย่างนี้บ้าง  อย่าเริดร้างรสรักให้หักหาย 
 +
จงคิดถึงยามสะเบยเคยสบาย  อย่าลืมวายรสร่วมภิรมย์ชม 
 +
รำพันพลางทางแลดูพวกเพื่อน  ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม 
 +
ลงอาบน้ำดำดุดบ้างผุดจม  เอาโคลนตนขว้างกันสนั่นไป 
 +
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้อง  ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว 
 +
ที่บางคนกล้าแข็งแรงสุดใจ  ก็แล่นไล่เอาเถิดเกิดพนัน 
 +
พวกผู้ชายว่ายับอยู่สับสน  ได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน 
 +
ขยุ้มขยำคลำปะแล้วละกัน  เสียงสนั่นเฮฮาในวารี 
 +
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย  ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมศรี 
 +
ก็ออกเกวียนพร้อมกันด้วยทันที  เกวียนของพี่ออกหน้าพากันจร 
 +
ระรวยรื่นชื่นหอมพะยอมสด  คันธรสโรยร่วงพวงเกสร 
 +
ต้องพระพายชายช่ออรชร  แมลงภู่ฟอนเฝ้าเคล้าประคองชม 
 +
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา  บูราญว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม 
 +
หญิงกับชายก็เป็นคู่ชูอารมณ์  ชั่วปฐมกัปกัลป์พุทธันดร 
 +
ใครมีคู่พลัดคู่ไม่มีสุข  มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร 
 +
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอุทร  ด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย 
 +
โอ้แม่ดวงพวงพุ่มปทุมทิพย์  ดูลิบลิบลอยฟ้านิจจาเอ๋ย 
 +
พี่ยังจำกลิ่นได้ไม่ลืมเลย  เป็นคู่เชยชื่นจิตชีวิตเดียว 
 +
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้  พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว 
 +
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว  บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน 
 +
บางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน  บางลิงโจนจับคว้าผลาผล 
 +
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน  ก็รีบรนเร็วมาในป่าดอน ฯ
 +
 +
 +
๏ พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ  ถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน 
 +
ที่ย่านนั้นดูสนุกน่านั่งนอน  เป็นทรายอ่อนขาวสะอาดประหลาดตา 
 +
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้าง  ดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา 
 +
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา  เป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน 
 +
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย  ก็ผันผายล่องลัดพ้นสถาน 
 +
พระสุริยงลงลับโพยมมาน  ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง ฯ
 +
 +
 +
๏ ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย  เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง 
 +
พวกหญิงชายสัปบุรุษก็หยุดยั้ง  เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม 
 +
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัย  บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม 
 +
บ้างกองไฟจุดไต้ตะเกียงตาม  ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป 
 +
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ  จะแสงทองส่องทวีปสว่างไสว 
 +
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย  ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา 
 +
ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม  คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา 
 +
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา  อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์ 
 +
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฏ  แสนกำสรดเศร้าจิตพิศวง 
 +
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลง  คิดถึงองค์พระสัพพัญญุตญาณ 
 +
พระองค์โปรดเทวดาและมนุษย์  ให้สูงสุดสิ้นโอฆสงสาร 
 +
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน  โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน 
 +
พระองค์เกิดในบูรีกบิลพัสดุ์  เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์ 
 +
มานิพพานในป่าสาละวัน  ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา 
 +
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน  ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา 
 +
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา  แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ 
 +
และเห็นก้อนพระโลหิตประดิษฐาน  ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล 
 +
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร  แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม 
 +
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช  ถ้าเรืองเดชจะนิมิตมณฑปเสริม 
 +
จะสร้างวัดจัดแจงตกแต่งเติม  ไว้เฉลิมโลกาสถาพร 
 +
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่  ยิ่งคิดไปก็ยิ่งทอดฤทัยถอน 
 +
โอ้พระแท่นแผ่นเผาอยู่ป่าดอน  แต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง 
 +
ชื่อกรุงโกสินรายสบายนัก  เป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลือเลื่อง 
 +
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง  ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา 
 +
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น  ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบุปผา 
 +
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา  คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน 
 +
ของพระยามลราชประสาทไว้  ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตสถาน 
 +
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ  สมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง 
 +
แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเป็นป่า  พยัคฆาอาศัยดังใจหวัง 
 +
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง  อนิจจังอนาถจิตอนิจจา 
 +
เดชะบุญได้นบอภิวาท  ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา 
 +
รำพันพลางทางก้มบังคมลา  ถอบออกมาเที่ยวชมพนมเนิน 
 +
ขึ้นคิรีที่ถวายพระเพลิงเผา  บันไดเล่าลดหลั่นเป็นขั้นเขิน 
 +
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน  เหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล 
 +
ดูทางทิศบุรพาน่าวิเวก  เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน 
 +
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมน  แลดูคนตัวนิดนิดติดสุธา 
 +
เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชอุ่มเขียว  ดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา 
 +
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า  ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล 
 +
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา  เห็นศิลาแวววามงามไสว 
 +
รรณรายพรายแพรวดูแววไว  แลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตา 
 +
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม  เป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผา 
 +
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธา  พิจารณาสมความตามบาลี 
 +
เป็นก้อนแก้วแวววาบประปราบแสง  คือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์ 
 +
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฏมี  ด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน 
 +
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก  อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน 
 +
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร  ให้ถาวรวันทาบูชาชม 
 +
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์  สุดจะคิดขุดหินแผ่นดินถม 
 +
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม  เที่ยวเดินชมบุปผาชาติดาษดา 
 +
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดร่วง  เป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา 
 +
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา  ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย 
 +
เป็นสายหยุดหยุดยืนค่อยชื่นจิต  พี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย 
 +
ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบาย  ทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก 
 +
มะลิลาเหมือนพี่มาไม่ลาน้อง  ให้ขัดข้องอุทรดังศรปัก 
 +
กระลำพักได้พบประสบพักตร์  มาไกลนักนึกถึงคะนึงครวญ 
 +
เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้ม  ดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน 
 +
อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวน  ให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา 
 +
กาหลงเหมือนพี่หลงลานสวาท  เบญจมาศเหมือนพี่มาดเสน่หา 
 +
พี่ชมพรรณบุปผาชาติหวาดวิญญาณ  แล้วชมป่าไม้รังสะพรั่งไป 
 +
ไม่มีไม้อื่นปนต้นสล้าง  ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว 
 +
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสะบัดใบ  ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย 
 +
เสียงเรไรจักกระจั่นสนั่นก้อง  สกุณร้องเพรียกหูไม่รู้หาย 
 +
ประดุจเสียงขับรำบำเรอราย  ร้องถวายพระแท่นในแดนดง 
 +
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์  อัศจรรย์จับจิตพิศวง 
 +
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง  จนเลยหลงลัดทางมากลางไพร 
 +
เห็นพะยอมยางยูงสูงสลอน  ดูซับซ้อนโศกสนต้นไสว 
 +
ตะลิงปลิงปลิงปรางมะทรางไทร  ประคำไก่กันเกราสะเดาดง 
 +
กระถินกระทิมชุมแสงดังแกล้งดัด  เป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหง 
 +
ปลิงประดู่ปรูเปรียงพุมเรียงดง  โลดทะนงอินทะนิลและอินจันทน์ 
 +
เป็นพวงผลหล่นกลาดลงดาษดื่น  ระดะพื้นพสุธาวนาสัณฑ์ 
 +
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชิงกัน  เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน 
 +
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค  บ้างโผผกบินจับสลับสลอน 
 +
นกกะลิงจับกิ่งกาหลงนอน  กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู 
 +
อีลุ้มเหล่าเขาชวากระทาขัน  เบญจวรรณบินผวาเที่ยวหาคู่ 
 +
นกนางนวลโนรีสีชมพู  น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาลิกาทอง 
 +
พี่คะนึงถึงสาลิกาแก้ว  ค่ำลงแล้วใครจะอยู่เป็นคู่สอง 
 +
จะเศร้าทรวงง่วงงงอยู่กรงทอง  หรือจะล่วงลอยบินไปกินไกล 
 +
จวนจะค่ำร่ำตรึกนึกถวิล  นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน 
 +
มานอนเพื่อนพี่บ้างในกลางไพร  ให้ชื่นใจเชษฐาสักราตรี 
 +
พิลาปร่ำคร่ำครวญชวนละห้อย  พี่ก็พลอยคร่ำครวญถึงนวลศรี 
 +
พระสุริยายอแสงแฝงคิรี  เสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ 
 +
เห็นเสือด้อมทรายเดินเนินพนัส  เล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย 
 +
วิ่งคะนองลองเชิงละเลิงใจ  เห็นคนไปวิ่งซอกตอมตรอกเตริน 
 +
หมีกระโดดหมูดุดเที่ยวมุดแฝง  แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน 
 +
ชะมดฉะมันหันหาพากันเดิน  ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน 
 +
กระรอกกระแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด  บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์ 
 +
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล  ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย 
 +
ครั้นเย็นย่ำค่ำมืดขมุกขมัว  พี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย 
 +
พระจันทร์ส่องท้องฟ้าพนาลัย  จุดดอกไม้เพลิงพลามตามตะเกียง 
 +
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตหวัง  จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง 
 +
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง  ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน 
 +
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูด  กรวดก็ฉูดพุ่งประหลาดอยู่ฉาดฉาน 
 +
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ  ประกอบการบูชาประสาจน 
 +
บ้างก็เล่นเต้นรำทำสมโภช  ด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล 
 +
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์  บ้างนั่งบ่นภาวนาหลับตาไป 
 +
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น  คนพั่งยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว 
 +
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัย  เมื่อจรไปรับน้องวันทองมา 
 +
บ้างก็ร้องสักระวาใส่หน้าทับ  ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง 
 +
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง  แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์ 
 +
พี่พาทย์รับขันขานประสานเสียง  ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตพิศวง 
 +
คนมาฟังนั่งพร้อมล้อมเป็นวง  บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง 
 +
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี  ชวนกันตีระฆังดังหง่างเหง่ง 
 +
สัปบุรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ง  พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิน 
 +
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างย้อย  หวนละห้อยโหยจิตคิดถวิล 
 +
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน  เขาหลับสิ้นเสียงเงียบยะเยียบเย็น 
 +
พี่นอนโศกเศร้าจิตพิศวง  พอค่ำลงวันนั้นก็ฝันเห็น 
 +
ว่าโลมลูบจูบน้องประคองเคล้น  แม่เนื้อเย็นหยิกข่วนว่ากวนใจ 
 +
พี่กล่าวคำร่ำปลอบให้ชอบชื่น  ระเริงรื่นชื่นจิตพิสมัย 
 +
สะดุ้งตื่นรื่นรสสุมาลัย  น้ำค้างไพรพร่างพรมลมรำเพย 
 +
โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย  อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย 
 +
โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลย  พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล 
 +
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง  อย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน 
 +
ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวล  อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร 
 +
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ  เดียรดาษแวมวามงามไสว 
 +
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัย  เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย 
 +
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ  นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย 
 +
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย  พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ 
 +
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า  สกุณาร่ำร้องก้องประสาน 
 +
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับโพยมมาน  รวีวารส่องภพจบสกล 
 +
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น  พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล 
 +
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล  ก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา 
 +
พี่ปลดเปลื้องเครื่องภูษิตอุทิศถวาย  แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา 
 +
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธา  แล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย 
 +
ขอเดชะภูษาอานิสงส์  เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้ 
 +
อย่ามีมารผจญเข้าดลใจ  เทพไทจงเห็นเป็นพยาน 
 +
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลส  จะข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร 
 +
ให้สำเร็จประโยชน์โพธิญาณ  เข้านิพพานพ้นทุกข์สุขสบาย 
 +
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านัก  สิ่งใดรักขอให้สมอารมณ์หมาย 
 +
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย  อย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน 
 +
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส  อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรค์ 
 +
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกอัน  การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสบเลย 
 +
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระ  พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย 
 +
ประดิษฐ์กลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย  ไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง 
 +
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขา  ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง 
 +
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตประวิง  อนาถนิ่งนึกถึงตะบึงไป 
 +
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด  ทำนิราศรักมิตรพิสมัย 
 +
ด้วยจิตรรักกาพย์กลอนอักษรไทย  จึงตั้งใจแต่คำแต่ลำพัง 
 +
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวง  คนทั้งปวงอย่าว่าเราบ้าหลัง 
 +
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจัง  ประดุจดังน้ำจิตเราคิดกลอน 
 +
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง  ให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร 
 +
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร  ให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นปัจจุบันของ 14:10, 10 กรกฎาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายมี

บทประพันธ์

๏ นิราศรักหักใจอาลัยหวน
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญมิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานปะเหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
แต่น้ำจิตคิดถึงทุกคืนวันจะจากกันทั้งรักพะวักพะวน ฯ
๏ ในปีวอกนักษัตรอัฐศกชะตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพนพี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้องเฝ้ามองมองมุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพรสง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้างไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพันสักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
ขอเชิญเทพรักษามารศรีอย่าให้มีอันตรายเท่าปลายผม
ถึงคนอื่นขืนแข่งมาแต่งลมขออย่าให้ทรามชมนั้นยอมยิน ฯ
๏ พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
เห็นนางในใสสดหมดมลทินทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
พี่ชมโฉมนางงามเมื่อยามโศกแสนวิโยคถึงนุชสุดกระสันต์
ทำเมินเฉยเลยลับไปฉับพลันพี่กลืนกลั้นอาลัยไว้ในทรวง ฯ
๏ มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อยยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
โทมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพ่วงจนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขายบ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
เห็นสาวสาวแม่ค้าน่าประคองพี่มองมองประตาน่าเอ็นดู
ชั่งงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอดยังไม่ถอดกำไรใส่ตุ้มหู
น่าสงสารคอนพายมาขายพลูถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
พี่จะได้ครอบครองเป็นสองฝ่ายไม่หน้าหน่ายแก้วตาจนอาสัญ
โอ้ว่าจิตคิดไปไม่ได้กันรักเท่านั้นเถินอย่ารักเอานักเลย ฯ
๏ ถึงวังหลังเป็นวังสงัดเงียบเย็นยะเยียบรักรานนิจาเอ๋ย
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงยพระคุณเคยปกเกล้าชาวบูรี
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึกออกสะอึกราญรบไม่หลบหนี
แต่ครั้งพวกพม่ามาราวีพระต้อนตีแตกยับอัปรา
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่าพระผ่านเกล้านิพพานนานหนักหนา
เสียดายองค์พงศ์ขษัตริย์ขัติยาชลนานองเนตรสังเวชวัง
แล้วหวนคิดถึงนุชยิ่งสุดหมองพี่มิได้อยู่ครองเหมือนแต่หลัง
จะร่วงโรยแรมร้างเหมือนอย่างวังอนิจจังจากมายิ่งอาลัย ฯ
๏ ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้องเขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในทองไฟทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง ฯ
๏ ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่งพี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนางเคยสำอางใส่อวดประกวดกัน
พี่เคยขอแหวนยอดน้องทอดให้มาสอดใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวันคิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์ ฯ
๏ มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อยนาวาลอยลับไปไกลสมร
พี่กล้ำกลืนโศกาอาทรสะท้อนถอนจิตใจไม่สบาย ฯ
๏ ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตเหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
ก็ได้สมชมน้องประคองกายแล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง ฯ
๏ มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตพี่นิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวงครรไลล่วงล่องลอยนาวามา ฯ
๏ มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่นหอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
ดอกพิกุลหล่นกลาดดาษดาถ้าน้องมาเห็นจะเก็บไว้ร้อยกรอง
น่าถนอมหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ยแมลงภู่เชยคลึงเคล้าเป็นเจ้าของ
แต่ตัวเรามิได้อยู่เป็นคู่ครองทิ้งให้น้องโหยหนอยู่คนเดียว
สักเมื่อไรจะได้กลับมารับขวัญเห็นหลายวันยังจะไปถึงไพรเขียว
เป็นทุกข์ถึงน้องหญิงจริงจริงเจียวพี่ก็เปลี่ยวเปล่าใจอาลัยครวญ
ดูเพื่อนกันที่เขามาเป็นผาสุกไม่มีทุกข์ทัศนาพฤกษาสวน
บ้างก็ชี้ชมพวงมะม่วงพรวนบ้างก็ชวนชักชี้ให้พี่ดู
เห็นต้นไม้ชื่อพ้องกับน้องรักเพื่อนเขาทักถูกชื่อให้ครือหู
พี่ก้มหน้านิ่งเฉยไม่เงยดูกลัวเขารู้เรื่องราวจะฉาวไป ฯ
๏ เห็นไม้โศกเป็นดอกออกระดะโศกปะทะสองซ้ำจะทำไฉน
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจทำกระไรโศกเราจะเบาลง
เห็นดงรักริมคลองทั้งสองฟากยิ่งรักมากมัวจิตพิศวง
พี่รักดอกรักจูบรักรูปทรงรักจนหลงเหลือรักหนักอุรา
เห็นรักหักเหมือนรักพี่เริดร้างจะเว้นว่างเชยชิดกนิษฐา
ยิ่งคิดถึงงามชื่นกลืนน้ำตาแล้วรีบมาในวนชลธาร ฯ
๏ ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอดแทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญทำชื่นบานแย้มเยื้อนกับเพื่อนกัน ฯ
๏ มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้างไม่วายว่างวิโยคยิ่งโศกศัลย์
นั่งคะนึงถึงนุชสุดรำพันแล้วผายผันรีบมาในวาริน
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตนั่งพินิจนึกในน้ำใจถวิล
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากินแต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ยไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซนไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
แต่ตัวน้องของพี่นี้ดีพร้อมควรถนอมแนบชิดพิสมัย
งามประเสริฐเพริศพริ้งทุกสิ่งไปทั้งน้ำใจดีนักน่ารักจริง
โอ้อาลัยใจหายเสียดายโฉมเคยประโลมเลียมกอดแม่ยอดหญิง
มาพลัดพรากจากนุชสุดประวิงอนาถนิ่งหนาวใจอยู่ในเรือ ฯ
๏ มาถึงบางขุนกองให้หมองหมางระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
สุดรำพันอั้นอกวิตกนักด้วยความรักเหลือล้นพ้นวิสัย
แต่โศกเราเซ้าซี้พิรี้พิไรจนครรไลล่วงทางมากลางชล ฯ
๏ ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือจึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมไทยปนโอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ ฯ
๏ มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมองคิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวันแล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
เมื่อนางกลับเป็นจระเข้เที่ยวเร่ร่อนไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตาอุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ ฯ
๏ มาถึงวัดอุทยานรำคาญจิตแล้วเพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
เหมือนสวนสวรรค์ขั้นฟ้าสุราลัยหอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอกว่าโน่นดอกสาระภีเจ้าพี่เอ๋ย
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชยเหมือนพี่เคยชมน้องที่ห้องนอน
เรียมครวญพลางห่างพ้นตำบลวัดโทมนัสน้อยใจอาลัยสมร
พระสุริยงทรงรถบทจรก็รีบร้อนเรือมาด้วยเร็วพลัน ฯ
๏ ถึงบางระนกบางโคเวียงเคียงกันอยู่เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกันอัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
แต่ตัวพี่ผู้เดียวมาเที่ยวท่องให้ห่างห้องห่างมิตรพิสมัย
เฝ้าครวญคร่ำรำพึงตะบึงไปดั่งเปลวไฟเผาอกวิตกมา ฯ
๏ ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อยดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
พี่รักน้องถ้าจะรองเอาน้ำตาคงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติเป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
ยิ่งคิดถึงแก้วตาสุดอาลัยในจิตใจพี่นี้ไม่มีสบาย ฯ
๏ ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อยคิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
จะปีนต้นเล่าก็ยากลำบากกายพี่นึกอายนิ่งอดเหมือนมดแดง
อดมะม่วงอดได้พี่ไม่อยากเป็นแต่ปากพูดแยบให้แอบแฝง
แต่อดชมพี่นี้ตรมอุราแรงไม่รู้แห่งที่จะอดซึ่งรสชม
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมน้องประสมสองสมจิตสนิทสนม
ถึงจะได้ดอกฟ้าลงมาดมในอารมณ์พี่ก็ยังไม่ยินดี
ไม่ชอบเหมือนทรามเชยพี่เคยชิดพี่ยิ่งคิดถึงน้องให้หมองศรี
ไม่เห็นกันวันหนึ่งเหมือนครึ่งปีหัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง
อนาถจิตคิดไปแล้วใจหายไม่เว้นวายกำสรดสลดหมอง
พี่เหลียวกลับลับคุ้งเฝ้ามุ่งมองเรือก็ล่องลอยมาในสาคร ฯ
๏ ถึงบางใหญ่ใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่าไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทรไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนาไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอแล้วเลยต่อไปในวนชลธาร ฯ
๏ มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสายสกนธ์กายร้อนเริงดังเหลิงผลาญ
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบานเปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
อันส้มสูกลูกไม้ทั้งหลายหมดไม่เหมือนรสมิ่งมิตรขนิษฐา
ครรไลเลยหลีกเลี่ยงส้มเกลี้ยงมาไม่รอรารีบรัดตัดตำบล
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตนั่งพินิจแนวทางมากลางหน
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยนเมฆหมอกมนหมองมัวเหมือนตัวเรา
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับจะเลื่อนลับยุคุนธรศิงขรเขา
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรากำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อนเพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตายมีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม
ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดประถม
ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์จะเตรียมตรมตรึกหาเป็นอาจิณ ฯ
๏ มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือกเป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
คลองก็เล็กน้ำตื้นเห็นพื้นดินไม่น่ากินน้ำท่าระอาใจ
ต้องจ้างโยงโยงเรือเหลือลำบากให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื้อนไหว
ผูกระนาวยาวยึดเป็นพืดไปทั้งเจ๊กไทยปนกันสนั่นอึง
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอราเป็นราคาจ้างประจำลำสลึง
ควายก็เดินดันดังกันกังกึงพอเชือกตึงเรือตามกันหลามมา
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อยพระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
ดาวประดับวับวามอร่ามตาดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
ดูแลทุ่งทุ่งก็กว้างเป็นว่างเปล่าเหมือนอกเราว่างเว้นไม่เห็นสมร
เห็นแต่ทุ่งกับป่ายิ่งอาวรณ์อนาถนอนนิ่งนึกคะนึงนาง
ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาวทั้งลมว่าวพัดต้องยิ่งหมองหมาง
เห็นเพื่อนเรือเมื่อจวนจะรุ่งรางมีมุ้งกลางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
แสนอาภัพก็แต่เราช่างเปล่าปลอดไม่ได้กอดเหมือนอย่างเขาหนอเราหนอ
นอนก็อัดอุดอู้คุดคู้งอในใจคอคับแคบแทบจะตาย
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ยไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
เขาโยงเรือรีบรุดไม่หยุดควายมาจนสายจึงพ้นตำบลโยง ฯ
๏ มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำดูลึกล้ำน่ากลัวตะเข้โขง
พี่นั่งขืนเรือไว้มิให้โคลงแจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว ฯ
๏ มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้ายิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียวกะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
ถ้าแม้นพี่เป็นนกผกโผผินจะโบยบินไปรับมิตรขนิษฐา
นี่ตัวพี่เป็นมนุษย์สุดปัญญาจะไปมาสารพัดขัดกันดาร
ทำกระไรขวัญใจจะได้รู้พี่คิดอยู่ถึงนุชสุดสงสาร
เชิญพระพายพัดพาเอาอาการให้ข่าวสารทราบจิตวนิดา
ยิ่งรำพันตันจิตให้คิดถึงแทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร์
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมาไม่รอรารีบผลัดกันแจว ฯ
๏ ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้นพี่แลเห็นต้นงิ้วเป็นทิวแถว
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้วเห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป ฯ
๏ มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อยน้ำเนตรย้อยซึมโซมชโลมไหล
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจพลางครรไลล่องลอยนาวามา ฯ
๏ ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้าเป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุราเมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
อันเมารักมักหลงพะวงรักใครจะชักฉุดไว้ก็ไม่ไหว
กำลังมึนเมามัวไม่กลัวใครคงจะไปหารักที่พักพิง
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับเกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิงอนาถนิ่งนอนนึกระลึกกัน
พี่พลัดพรากจากรักมาพักนี้แทบชีวีเชษฐาจะอาสัญ
ดั่งศรศักดิ์ปักอกวิตกครันให้อัดอั้นอึดใจครรไลจร ฯ
๏ ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้วเห็นแต่แนวคงคาพฤกษาสลอน
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาครสง่างอนช่อฟ้าศาลาตะพาน
ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยนต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
มีทั้งสระโกสุมปทุมมาลย์บ้างตูมบานเกสรอ่อนละออ
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้วยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
กำลังสดมิได้เศร้าน่าเคล้าคลอพี่เคยขอชมเล่นไม่เว้นวัน
ตั้งแต่พี่พลัดพรากมาจากน้องมิได้ต้องบัวทองประคองขวัญ
ชมแต่บัวริมน้ำยิ่งรำพันแสนกระสันต์โศกเศร้าจนเข้าคลอง
พระสุริย์ฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้ารับเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละอองไม่ผุดผ่องผิวคล้ำระกำใจ
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่แต่ร่มร่มได้เชยชมชิดน้องไม่หมองไหม้
ถึงจะร้อนก็คงเย็นไม่เป็นไรแม่ดวงใจเคยพัดให้พี่นอน
เมื่อยามหนาวแนบกายพี่หายหนาวไม่ขดคราวเป็นสุขสโมสร
เมื่อไรอีกจะได้แนบอุระนอนจะอาวรณ์วุ่นวายไปหลายวัน
โอ้ปานนี้แก้วพี่จะเป็นไฉนสำราญใจหรือว่าน้องจะโศกศัลย์
พี่จากเจ้าเยาวมาลย์มานานครันยังไม่ทันสั่งความแม่ทรามเชย
เป็นแต่ลอบชมชิดไม่สิทธิ์ขาดแรมนิราศร้างมานิจจาเอ๋ย
ถ้าแม้นมาดคลาดเคลื่อนไม่เหมือนเคยไม่อยู่เลยจะสู้ตายด้วยอายคน
ขอเดชะความรักเป็นหลักแหล่งช่วยตบแต่งให้เขาเห็นว่าเป็นผล
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานบนช่วยเข้าดลใจมิตรให้ติดตาม ฯ
๏ รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
ประณมหัตถ์ทัศนาพระอารามแล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ ฯ
๏ ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอดไปเปล่าปลอดเรือแพแลไสว
สิ้นหนทางคงคาชลาลัยจะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
สัปบุรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้าเสียงเฮฮาอึงอื้อหฤหรรษ์
เป็นพวกพ้องเข้าประสบสมทบกันจะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่มบรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าแก่ออกแซ่ไปจะเดินไพรให้สนุกไม่ทุกข์ร้อน
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่ายแลดูควายเดินระดับสลับสลอน
เจ้าของหวดตะพดให้บทจรเกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้งคนเดินมุ่งมาดมาทั้งหน้าหลัง
ถืออาวุธกันภัยระไวระวังไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน ฯ
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์เป็นบ้านคนใหญ่โตรโหฐาน
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดารตำข้าวสารกรอกหม้อแต่พอกิน
ดูเหย้าเรือนเคหาน่าสังเวชเต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชินไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตรแสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
ไม่มีความแช่มชื่นสะอื้นโอยมีแต่โกยทุกข์ล้นมาเดินทาง
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้มไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลางมาตามทางหิมวันสนั่นมา ฯ
๏ ถึงพระโฑณารามพราหมณ์เขาสร้างเป็นพระปรางค์แต่บูราณนานนักหนา
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดาพราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง
บรรจุพระทะนานทองของวิเศษพี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจงถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอนบ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มซุกบ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขลุ่ย
พอเห็นคนวนบินดินกระจุยเห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจร ฯ
๏ บรรลุถึงพระประธมประทับหยุดสัปบุรุษเซ็งแซ่แลสลอน
แวะขึ้นไปไหว้พระประธมประณมกรสโมสรโสมนัสนมัสการ
ต่างระรื่นชื่นจิตพิศวงเทียวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณสูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณแลเห็นสิ้นทุกทิศจิตสยอง
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอนระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบคันเป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลามีพฤกษาร่มรื่นเป็นพื้นทราย
พี่ชมพลางทางนบอภิวาทสุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
สัปบุรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชายกราบถวายวันทาแล้วลาลง
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาสดูอนาถน้ำจิตพิศวง
บริเวณวัดวาเป็นป่าดงดูงวยงงร่วงรามาช้านาน
พระประธมของบรมกษัตริย์สร้างเป็นพระปรางค์ใหญ่โตรโหฐาน
สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยานพระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคตเขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
เธอทำผิดคิดเห็นไม่เป็นธรรมจึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามากเมื่อยามยากนึกไปฤทัยหมอง
ไหว้พระปรางค์ทางนึกระลึกน้องให้ตามตรองเตรียมใจครรไลลา
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหายเหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตาแล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดัง ฯ
๏ ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้องสกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงส์
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลงให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
เสียงจักจั่นแจ้วแจ้วให้แว่วหวาดหนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัยวังเวงใจจรมาในราตรี
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึกคะนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลีกองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
บ้างกินโภชนากระยาหารต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
บ้างก็หาร่มไม้ชิดให้ปิดบังพอยับยั้งกายตามยามกันดาร
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ยกมือไหว้เทวดาพฤกษาสาณฑ์
อย่าให้มีโพยภัยสิ่งใดพานนมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้งจำรัสแสงส่องสอดลอดพฤกษา
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุราพี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาทโศกไสยาสน์เกลือกกลับไม่หลับใหล
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
เสียงจังหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้องเย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างามเรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
ต่างคนก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้าแล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
ระยะทางกลางไพรยังไกลครันแรมอรัญทุเรศสังเกตมา
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่วสะพรั่งทิวแถบไม้ไพรพฤกษา
ระบัดใบรมรื่นพื้นสุธาดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย
บ้างทรางผลหล่นหนักเป็นอักนิฐไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบายจะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้องมาชมท้องทุ่งท่าป่าระหง
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตพะวงแทบจะปลงชีวาลีลาจร ฯ
๏ มาถึงลาดหญ้าไทรหัวใจหายตะวันสายเสียใจด้วยไกลสมร
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ
เห็นลมพัดหัดควันไปปั่นป่วนเหมือนลมหวนโหยจิตพิสมัย
เห็นหนองน้ำน้ำชุ่มสนุ่นไคลเหมือนน้ำใจที่พี่ช้ำระกำตรอม
ไม่มีสุขทุกข์โศกด้วยโรครักอกจะหักเสียด้วยร้างห่างถนอม
เดินก็เหนื่อยเมื่อยหนักสะบักสะบอมจนซูบผอมผิวคล้ำสิ้นน้ำนวล ฯ
๏ มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผีเสียงชะนีโหยไห้พิไรหวน
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญให้รัญจวนจรมาในอารัญ
เห็นต้นไทรใหญ่โตรโหฐานสูงตระหง่านเงื้อมป่าพนาสัณฑ์
พี่หยุดยั้งนั่งนบอภิวันท์พลางรำพันนึกในฤทัยปอง
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษาพระไทรพาอุ้มสมภิเษกสอง
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้องพระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา
พี่จากนุชสุดใจมาไกลนักไม่เห็นพักตร์ทรามประโลมโฉมเฉลา
เห็นแต่ทิวทางเดินเนินลำเนาพี่สร้อยเศร้าโศกาลาพระไทร ฯ
๏ ถึงหนองโพธิ์โพธิ์มีที่ริมหนองต้นโพธิ์ทองปากป่าคนอาศัย
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา
พี่นั่งนบอภิวันท์แล้วผันผายไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา
เห็นนกไม้ในดงพงพนาไม่เห็นหน้านิ่มมวลยิ่งครวญคราง ฯ
๏ มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้นและไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนางทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย
เจ้าเคยจัดปัดปูไม่รู้ขาดพี่ไสยาสน์ด้วยทุกคืนไม่ตื่นสาย
มาเดินป่าคราวนี้ไม่มีสบายใบไม้รายรองนอนหมอนไม่มี
โอ้สงสารอาตมานิจจาเอ๋ยยังไม่เคยจากน้องจึงหมองศรี
ช่างจำเพาะเคราะห์ร้ายเมื่อปลายปีไม่มีดีขัดสนพ้นประมาณ
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักคมน์นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ
พี่รักน้องมิได้อยู่เป็นคู่นานมาเกิดการกำจัดวิบัติเป็น
พระเคราะห์พามาไกลถึงไพรสัณฑ์สักกี่วันจะได้กลับมาเล็งเห็น
โอ้ที่นอนหมอนข้างจะร้างเย็นใครจะเคล้นเคล้าน้องประคองนอน
วิตกพลางทางเลยครรไลล่วงข้ามห้วยห้วงคงคามาสลอน
บ้างโห่ร้องกับป่าพนานอนทุเรศร้อนรีบรัดตัดตำบล ฯ
๏ ถึงห้วยกระบอกซอกธารสถานที่หนองจะมีคงคาต่อหน้าฝน
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชลมีแต่ต้นไม้ล้างข้างลำธาร
ต้นซึกซากโศกไทรมะไฟป่าเคี่ยมมะค่าคางแคแสมสาร
กระเบียนกระบากหมากลิงมะพร้าวตาลสุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึงรีบตะบึงมาในไพรระหง
จนเบี่ยงบ่ายสายแสงพระสุริยงอุตส่าห์ทรงกายเดินดำเนินจร ฯ
๏ มาถึงห้วยปลากดเขาปลดเกวียนเป็นที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน
ลงอาบน้ำดำเกล้าบรรเทาร้อนเห็นสาครลึกซึ้งเป็นบึงโต
ทั้งสองฟากครึ้มครึกล้วนพฤกษามีมัจฉาพรั่งพรูอยู่อักโข
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล
ตะเพียนทองล่องลอยอยู่พ้นน้ำกระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไหวไหว
ตะโกกกาปลาสร้อยก็ลอยไปเข้าแฝงใบจอกกระจับให้ลับกาย
ยิ่งชมปลาอารมณ์ให้ร้อนจิตนึกถึงคู่ชีวิตแล้วใจหาย
ถ้าน้องมาถึงนี่กับพี่ชายจะชวนสายสุดที่รักลงสรงชล
พี่จะชี้ให้ดูหมู่มัจฉาที่ว่ายมาเกลือกกลับอยู่สับสน
แล้วจะชวนเก็บฝักหักอุบลให้นิรมลชมธารสำราญใจ
โอ้ว่าเหล่าเต่าปลานิจจาเอ๋ยอย่าผุดเลยหามีใครชมไม่
น้องของเรามิได้ดูด้วยอยู่ไกลผุดให้ใครชมเล่านะเต่าปลา
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำในลำห้วยน้ำไม่ช่วยล้างทุกข์ให้สุขา
ดีแต่ล้างเหงื่อไคลในกายากับล้างหน้าล้างร้อนให้ผ่อนเย็น
จะล้างทุกข์ของพี่นี้สุดยากพี่ทุกข์มากอยู่ในใจใครไม่เห็น
ชะตาตกอกเอ๋ยไม่เคยเป็นมิได้เว้นว่ายวายคลายรำคาญ
เห็นสิ่งไรใจหวนให้ครวญคร่ำทุกย่านน้ำแนวหนองคลองละหาน
ใครจะเป็นเช่นพี่ไม่มีปานเหลือประมาณที่รักภัคินี
ถึงงามขำทำผิดสักร้อยครั้งพี่ก็ยังรักใคร่ไม่หน่ายหนี
ไม่หึงหวงล่วงว่าไม่ด่าตีด้วยปรานีอดออมถนอมกัน
ถึงจะรักหญิงอื่นสักหมื่นโกฏิไม่ปราโมทย์เหมือนนุชสุดกระสันต์
มักเบื่อหน่ายหายงามไม่ข้ามวันไม่เหมือนขวัญนัยนาสัจจาจริง
ถึงสุดสิ้นฟ้าดินไม่สิ้นรักจะฟูมฟักเฝ้าประคองแต่น้องหญิง
ถึงยากเย็นเข็ญใจก็ไม่ทิ้งจะรักมิ่งนิรมลจนวันตาย
ให้น้องรักรักพี่อย่างนี้บ้างอย่าเริดร้างรสรักให้หักหาย
จงคิดถึงยามสะเบยเคยสบายอย่าลืมวายรสร่วมภิรมย์ชม
รำพันพลางทางแลดูพวกเพื่อนออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม
ลงอาบน้ำดำดุดบ้างผุดจมเอาโคลนตนขว้างกันสนั่นไป
พวกผู้หญิงปลิงกัดสะบัดร้องขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว
ที่บางคนกล้าแข็งแรงสุดใจก็แล่นไล่เอาเถิดเกิดพนัน
พวกผู้ชายว่ายับอยู่สับสนได้นางคนหนึ่งแรงแข็งขยัน
ขยุ้มขยำคลำปะแล้วละกันเสียงสนั่นเฮฮาในวารี
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่ายทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ก็ออกเกวียนพร้อมกันด้วยทันทีเกวียนของพี่ออกหน้าพากันจร
ระรวยรื่นชื่นหอมพะยอมสดคันธรสโรยร่วงพวงเกสร
ต้องพระพายชายช่ออรชรแมลงภู่ฟอนเฝ้าเคล้าประคองชม
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผาบูราญว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม
หญิงกับชายก็เป็นคู่ชูอารมณ์ชั่วปฐมกัปกัลป์พุทธันดร
ใครมีคู่พลัดคู่ไม่มีสุขมักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอุทรด้วยจากจรมิได้อยู่เป็นคู่เชย
โอ้แม่ดวงพวงพุ่มปทุมทิพย์ดูลิบลิบลอยฟ้านิจจาเอ๋ย
พี่ยังจำกลิ่นได้ไม่ลืมเลยเป็นคู่เชยชื่นจิตชีวิตเดียว
ยิ่งคิดไปใจตื้นสะอื้นไห้พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียวบ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน
บางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหนบางลิงโจนจับคว้าผลาผล
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซนก็รีบรนเร็วมาในป่าดอน ฯ
๏ พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือถึงพระยาพายเรือไม่หยุดหย่อน
ที่ย่านนั้นดูสนุกน่านั่งนอนเป็นทรายอ่อนขาวสะอาดประหลาดตา
แต่ปางก่อนเป็นลำแม่น้ำกว้างดูสองข้างยังเห็นเป็นฝั่งฝา
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลาเป็นสุธารื่นราบดังปราบลาน
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหายก็ผันผายล่องลัดพ้นสถาน
พระสุริยงลงลับโพยมมานก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง ฯ
๏ ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหายเห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง
พวกหญิงชายสัปบุรุษก็หยุดยั้งเข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม
พอพลบค่ำทำที่จะอาศัยบ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม
บ้างกองไฟจุดไต้ตะเกียงตามดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบจะแสงทองส่องทวีปสว่างไสว
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัยชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อมคำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดาอนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฏแสนกำสรดเศร้าจิตพิศวง
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเป็นฝอยลงคิดถึงองค์พระสัพพัญญุตญาณ
พระองค์โปรดเทวดาและมนุษย์ให้สูงสุดสิ้นโอฆสงสาร
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพานโปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน
พระองค์เกิดในบูรีกบิลพัสดุ์เป็นกษัตริย์ศรีสุขเกษมสันต์
มานิพพานในป่าสาละวันถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อนให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตาแทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ
และเห็นก้อนพระโลหิตประดิษฐานยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไรแล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวชถ้าเรืองเดชจะนิมิตมณฑปเสริม
จะสร้างวัดจัดแจงตกแต่งเติมไว้เฉลิมโลกาสถาพร
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่ยิ่งคิดไปก็ยิ่งทอดฤทัยถอน
โอ้พระแท่นแผ่นเผาอยู่ป่าดอนแต่ปางก่อนที่นี่เป็นที่เมือง
ชื่อกรุงโกสินรายสบายนักเป็นเอกอัครออกชื่อย่อมลือเลื่อง
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนืองไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่นดูดาดดื่นดอกดวงพวงบุปผา
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลาคือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน
ของพระยามลราชประสาทไว้ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตสถาน
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการสมนิพพานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเป็นป่าพยัคฆาอาศัยดังใจหวัง
พระอุทยานร้างราเป็นป่ารังอนิจจังอนาถจิตอนิจจา
เดชะบุญได้นบอภิวาทไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
รำพันพลางทางก้มบังคมลาถอบออกมาเที่ยวชมพนมเนิน
ขึ้นคิรีที่ถวายพระเพลิงเผาบันไดเล่าลดหลั่นเป็นขั้นเขิน
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลินเหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล
ดูทางทิศบุรพาน่าวิเวกเห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมนแลดูคนตัวนิดนิดติดสุธา
เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชอุ่มเขียวดูลดเลี้ยวหลายหลากชะวากผา
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้าทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
พินิจพลางทางเดินบนเนินผาเห็นศิลาแวววามงามไสว
รรณรายพรายแพรวดูแววไวแลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตา
บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลมเป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
เป็นที่เทพนิรมิตด้วยฤทธาพิจารณาสมความตามบาลี
เป็นก้อนแก้วแวววาบประปราบแสงคือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์
จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฏมีด้วยเป็นที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตกอยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนครให้ถาวรวันทาบูชาชม
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์สุดจะคิดขุดหินแผ่นดินถม
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนมเที่ยวเดินชมบุปผาชาติดาษดา
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดร่วงเป็นพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธาดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย
เป็นสายหยุดหยุดยืนค่อยชื่นจิตพี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย
ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบายทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก
มะลิลาเหมือนพี่มาไม่ลาน้องให้ขัดข้องอุทรดังศรปัก
กระลำพักได้พบประสบพักตร์มาไกลนักนึกถึงคะนึงครวญ
เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้มดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน
อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวนให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา
กาหลงเหมือนพี่หลงลานสวาทเบญจมาศเหมือนพี่มาดเสน่หา
พี่ชมพรรณบุปผาชาติหวาดวิญญาณแล้วชมป่าไม้รังสะพรั่งไป
ไม่มีไม้อื่นปนต้นสล้างดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว
เป็นดอกดวงร่วงผลัดสะบัดใบที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย
เสียงเรไรจักกระจั่นสนั่นก้องสกุณร้องเพรียกหูไม่รู้หาย
ประดุจเสียงขับรำบำเรอรายร้องถวายพระแท่นในแดนดง
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์อัศจรรย์จับจิตพิศวง
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวงจนเลยหลงลัดทางมากลางไพร
เห็นพะยอมยางยูงสูงสลอนดูซับซ้อนโศกสนต้นไสว
ตะลิงปลิงปลิงปรางมะทรางไทรประคำไก่กันเกราสะเดาดง
กระถินกระทิมชุมแสงดังแกล้งดัดเป็นคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหง
ปลิงประดู่ปรูเปรียงพุมเรียงดงโลดทะนงอินทะนิลและอินจันทน์
เป็นพวงผลหล่นกลาดลงดาษดื่นระดะพื้นพสุธาวนาสัณฑ์
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชิงกันเสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหคบ้างโผผกบินจับสลับสลอน
นกกะลิงจับกิ่งกาหลงนอนกระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู
อีลุ้มเหล่าเขาชวากระทาขันเบญจวรรณบินผวาเที่ยวหาคู่
นกนางนวลโนรีสีชมพูน่าเอ็นดูแต่เจ้าสาลิกาทอง
พี่คะนึงถึงสาลิกาแก้วค่ำลงแล้วใครจะอยู่เป็นคู่สอง
จะเศร้าทรวงง่วงงงอยู่กรงทองหรือจะล่วงลอยบินไปกินไกล
จวนจะค่ำร่ำตรึกนึกถวิลนกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน
มานอนเพื่อนพี่บ้างในกลางไพรให้ชื่นใจเชษฐาสักราตรี
พิลาปร่ำคร่ำครวญชวนละห้อยพี่ก็พลอยคร่ำครวญถึงนวลศรี
พระสุริยายอแสงแฝงคิรีเสียงชะนีโหยหวนรัญจวนใจ
เห็นเสือด้อมทรายเดินเนินพนัสเล็มระบัดใบหญ้าที่อาศัย
วิ่งคะนองลองเชิงละเลิงใจเห็นคนไปวิ่งซอกตอมตรอกเตริน
หมีกระโดดหมูดุดเที่ยวมุดแฝงแรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน
ชะมดฉะมันหันหาพากันเดินละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน
กระรอกกระแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุดบ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบลก็ต่างคนต่างสำราญบานฤทัย
ครั้นเย็นย่ำค่ำมืดขมุกขมัวพี่นึกกลัวกลับมาที่อาศัย
พระจันทร์ส่องท้องฟ้าพนาลัยจุดดอกไม้เพลิงพลามตามตะเกียง
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตหวังจุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียงขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสะท้าน
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือหวูดกรวดก็ฉูดพุ่งประหลาดอยู่ฉาดฉาน
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญประกอบการบูชาประสาจน
บ้างก็เล่นเต้นรำทำสมโภชด้วยปราโมทย์มุ่งหมายฝ่ายกุศล
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์บ้างนั่งบ่นภาวนาหลับตาไป
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้นคนพั่งยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาลัยเมื่อจรไปรับน้องวันทองมา
บ้างก็ร้องสักระวาใส่หน้าทับลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง
ข้างเสภากุมกรับขยับพลางแล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์
พี่พาทย์รับขันขานประสานเสียงก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตพิศวง
คนมาฟังนั่งพร้อมล้อมเป็นวงบ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซ็ง
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมีชวนกันตีระฆังดังหง่างเหง่ง
สัปบุรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็งพระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิน
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างย้อยหวนละห้อยโหยจิตคิดถวิล
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดินเขาหลับสิ้นเสียงเงียบยะเยียบเย็น
พี่นอนโศกเศร้าจิตพิศวงพอค่ำลงวันนั้นก็ฝันเห็น
ว่าโลมลูบจูบน้องประคองเคล้นแม่เนื้อเย็นหยิกข่วนว่ากวนใจ
พี่กล่าวคำร่ำปลอบให้ชอบชื่นระเริงรื่นชื่นจิตพิสมัย
สะดุ้งตื่นรื่นรสสุมาลัยน้ำค้างไพรพร่างพรมลมรำเพย
โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อยอย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย
โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลยพี่อยากเชยชมชูเรณูนวล
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้งอย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน
ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวลอย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศเดียรดาษแวมวามงามไสว
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัยเหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับนึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อยพี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้าสกุณาร่ำร้องก้องประสาน
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับโพยมมานรวีวารส่องภพจบสกล
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่นพี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพลก็ต่างคนต่างสะอื้นกลืนน้ำตา
พี่ปลดเปลื้องเครื่องภูษิตอุทิศถวายแล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา
ก็ชื่นชมโสมนัสด้วยศรัทธาแล้วก้มหน้าตรวจน้ำเป็นคำไทย
ขอเดชะภูษาอานิสงส์เมื่อปลดปลงชีวิตให้คิดได้
อย่ามีมารผจญเข้าดลใจเทพไทจงเห็นเป็นพยาน
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลสจะข้ามเขตแว่นแคว้นแดนสงสาร
ให้สำเร็จประโยชน์โพธิญาณเข้านิพพานพ้นทุกข์สุขสบาย
ขอให้สมปรารถนาอย่าช้านักสิ่งใดรักขอให้สมอารมณ์หมาย
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลายอย่าให้ตายกลางอายุปัจจุบัน
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัสอย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรค์
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกอันการสิ่งนั้นอย่าได้พบประสบเลย
ครั้นตรวจน้ำสำเร็จเสร็จธุระพี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย
ประดิษฐ์กลอนอ่อนใจด้วยไกลเชยไม่หมดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง
ถึงฟ้าดินอิสินธรศิงขรเขาไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตประวิงอนาถนิ่งนึกถึงตะบึงไป
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาดทำนิราศรักมิตรพิสมัย
ด้วยจิตรรักกาพย์กลอนอักษรไทยจึงตั้งใจแต่คำแต่ลำพัง
หวังจะให้ลือเลื่องในเมืองหลวงคนทั้งปวงอย่าว่าเราบ้าหลัง
ถ้าใครเป็นก็จะเห็นว่าจริงจังประดุจดังน้ำจิตเราคิดกลอน
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่องให้ลือเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพรให้สุนทรลือทั่วธานีเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

อ้างอิง

เครื่องมือส่วนตัว