เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
 
(การแก้ไข 8 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 257: แถว 257:
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด  ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรด  ไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
-
ก็รีบมากุฎีที่อาราม
+
ก็รีบมากุฎีที่อาราม   ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
-
  ยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
+
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน  เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมัน  เข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ว่ามีพระโองการมาอย่างไร  ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
ว่ามีพระโองการมาอย่างไร  ฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
แถว 376: แถว 375:
==== ====
==== ====
<tpoem>
<tpoem>
 +
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้ฟังว่า  เห็นนายชาติวิ่งมาจนเหื่อไหล
 +
แจ้งว่าเหตุเพราะตีสนมใน  พระทรงไชยขัดเคืองเบื้องบาทา
 +
ก็รีบเร้ามาเฝ้านเรนทร์สูร  ทรงบัณฑูรตรัสถามถึงโทษา
 +
ว่าอีกเหล่านี้มีผิดอย่างไรมา  จึงไล่ตีกายาเปนริ้วรอย ฯ
 +
 +
๏ เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม  จึ่งทูลตามเหตุไปไม่ท้อถอย
 +
พระอาญาล้นเกษาแห่งข้าน้อย  นางในทำไม่ต้องรอยพระโองการ
 +
มีรับสั่งให้ไปร้องไห้ร่ำ  นั่งหัวเราะแทบค่ำครั้นหม่อมฉาน
 +
ร้องไห้รักพระครูผู้อาจารย์  กลับชื่นานสรวลเสเสียงเฮฮา
 +
อยู่ที่นั่นหนุ่มหนุ่ม็มีมาก  คะนองปากเปนสนมไม่สมหน้า
 +
หม่อมแนเห็นไม่ดีตีไล่มา  ควรมิควรพระอาญาเปนล้นพ้น ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงภพฟังจบเรื่อง  ให้ขัดเคืองนางในได้เหตุผล
 +
จึ่งดำรัสตรัสด่าสิ้นทุกคน  ว่าไปทำลุกลนให้ได้อาย
 +
เชียงเมี่ยงตีแต่เพียงนี้ยังไม่สา  มันฆ่าเสียก็ต้องตามกฎหมาย
 +
ไปหัวเราะเยาะเย้าเจ้าผู้ชาย  โทษมึงถึงตายตามไอยการ ฯ
 +
 +
๏ นางสนมได้ฟังพระกริ้วกราด  ก็ไม่อาจเถียงท้าต่อว่าขาน
 +
แค้นเชียงเมี่ยงมิได้เหือดคิดเดือดดาล  ก้มคลานบังคมลามาทุกคน ฯ
 +
 +
๏ อยู่มาวันหนึ่งพระจอมเวียง  เสวยเมี่ยงองค์หนึ่งเปนคำต้น
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงอมเมี่ยงทำพิกล  สี่คำดูล้นแก้มตุ่ยพอง
 +
แล้วเอาน้ำมันทาแก้มไว้  เลื่อมใสดุขันเปนมันย่อง
 +
พระทรงศักดิตรัสทักว่าแก้มพอง  เองอมเมี่ยงฤาดูป่องผิดในตา
 +
เชี่ยงเมี่ยงทูลว่าแก้มเกล้าหม่อมฉัน  ทาน้ำมันเลื่อมอยู่เองเป่งนักหนา
 +
กรุงกระษัตริย์เคองขัดหัทยา  แต่ไม่ว่านิ่งแค้นในพระไทย ฯ
 +
 +
๏ ล่วงมานานชานพระที่นั่งซุด  พระประสงค์จะให้ขุดซ่อมแปลงใหมè
 +
สั่งให้หาเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ  ถอยคลานออกจากวังแล้วเที่ยวหา
 +
สืบทุกแห่งหาคนปากแหว่งมา  ว่ามีพระบัญชาจะต้องการ
 +
คนทั้งหลายจึ่งว่าเห็นผิดไป  จะทำไมคนปากแหว่งบอกทุกบ้าน
 +
เชียงเมี่ยงว่าเรารับพระโองการ  ต่อพระโอษฐบรรหารให้เลือกค้น
 +
ว่าแล้วจึ่งเที่ยวหาคนปากแหว่ง  หลายแแห่งบอกมาทุกถนน
 +
พอครบถ้วนจำนวนสิบแปดคน  พาเข้าเฝ้าจุมพลจอมประชา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช  ทอดพระเนตรคนปากแหว่งมานักหนา
 +
ดำรัสถามเชียงเมี่ยงมิได้ช้า  คนปากแหว่งนี้พามาทำไม
 +
เชียงเมี่ยงกราบทูลพระกรุณา  โปรดให้หาปากง่ามก็หาได
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ยินเชียงเมี่ยง  กราบทูลเถียบอ้างรับสั่งดูอาจหาญ
 +
ทรงพระสรวลว่ากูจะต้องการ  คนปากไม้ทำชานที่ซุดพัง
 +
คนปากแหว่งเช่นนี้ไม่ประสงค์  มึงใหลหลงพามาเหมือนบ้าหลัง
 +
แล้วทรงเล่าให้เสนาข้าเฝ้าฟัง  ขุนนางทั้งปวงก็พากันหัวเราะ
 +
พระทรงภพปรารภว่าอ้ายคนนี้  มันอวดดีว่าปัญญามากมั่นเหมาะ
 +
อย่าเลยนะจะให้แกงแร้งจำเภาะ  ให้มันกินจะได้เย้าะเย้ยประจาน
 +
เพราะแร้งนันมนกินสุนักข์เน่า  ซากศพเก่าศพใหม่เปนอาหาร
 +
อ้ายเชียงเมี่ยงกินเนื้ออันสาธารณ์  ความคิดอ่านปัญญาคงอับน้อย
 +
ทรงดำริห์แล้วสั่งวิเศษใน  หาแร้งแกงให้ ได้ ให้อร่อย
 +
ใส่พริกเกินตำราอย่าให้น้อย  ให้มันเผ็ดเหื่อย้อยถึงเครื่องร้อน
 +
วิเศษรับพระราชโองการ  ทำตามบรรหารไม่ย่อหย่อน
 +
เสร็จใส่สำรับถวายพระภูธร  เตรียมไว้ก่อนคอยเชียงเมี่ยงจะมา ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงครั้นถึงเวลาเฝ้า  ก็รีบเข้าบังคมบาทนารถนาถา
 +
ครั้นพระองค์อิศเรศเกษประชา  เห็นเชียงเมี่ยงเข้ามาดีพระไทย
 +
จึ่งรับสั่งให้ยกสำรับมา  รับสั่งว่าเองจงกินแกงไก่ใหญ
 +
กินเถิดอย่ากระดากลำบากใจ  กูสั่งให้ทำเลี้ยงเชียงเมี่ยงกิน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้รับสั่ง  ถวายบังคมแล้วไม่ผันผิน
 +
บริโภคแกงเผ็ดให้เข็ดลิ้น  เหม็นกลิ่นคาวมากแทบรากท้น
 +
เนื้อก็เหนียวเคี้ยวไปไม่ใครขาด  เกรงอาญาจอมราชจึ่งไม่บ่น
 +
แขงใจกินได้สามคำกล้าเหลือทน  ก็อิ่มเข้าร้อนรนเผ็ดเต็มท
 +
ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา  เห็นเชียงเมี่ยงดูระอาริบอิ่มหนี
 +
จึ่งรับสั่งถามพลันในทันที  อย่างไรนี่จึ่งไม่กินให้สิ้นชาม
 +
ทั้งเหม็นคาวเหม็นสาบหลาบครั่นคร้าม  ทนได้สามคำเท่านั้นให้ตันตอ
 +
พระภูบาลทรงพระสรวลสำรวลร่า  ว่าไก่ชราตัวใหญ่เนื้อเหนียวหนอ
 +
เพราะมันกินสุนักข์เน่าเข้าไว้พอ  เองจึ่งท้อเข็ดขยาดไม่อาจกิน
 +
เชียงเมี่ยงฟังรับสั่งรู้ว่าแร้ง  เอามาแกงลวงเล่นเหม็นไม่สิ้น
 +
แค้นใจโกรธในพระเจ้าแผ่นดิน  จะแก้เผ็ดนึกจินตนาปอง
 +
แล้วถวายบังคมลามาสู่บ้าน  ให้คลื่นเหียนซาบซ่านขนสยอง
 +
เอามาะกรูดส้มป่อยดินสอพอง  ชำระปากตอท้องสอิดสเอียน
 +
ถึงสามวันสี่วันเหม็นไม่หาย  ทั้งกลิ่นอายคาวขื่นให้คลื่นเหียน
 +
ท้องไส้ขย่อนเขย่าเฝ้าอาเจียน  สอิดสเอียนเปนไข้ไปหลายวัน
 +
พอคลายไข้อุส่าห์หาคี่แร้ง  ได้มาผสมแป้งสู้เพียรปั้น
 +
ทำดินสอแท่งงามงามได้สามอัน  เอาไปถวายทรงธรรม์มิได้แคลง ฯ 
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน  เห็นเชียงเมี่ยงยกพานดินสอแท่ง
 +
มาถวายทรงรับไม่ระแวง  ทรงเขียนลองแห้งแห้งเส้นไม่มี
 +
แล้วทรงจิ้มลิ้มเขฬาเลขาใหม่  ก็มิได้เห็นเส้นเหมือนเช่นกี้
 +
ประหลาดฤไทยแต่ไม่ทรงพาที  ชวนเชียงเมี่ยงมาที่ทรงหมากรุก
 +
เล่นกับเชียงเมี่ยงเสียงโกกก้อง  เชียงเมี่ยงร้องพูดเล่นเปนสนุกนี้
 +
ได้ทีเดินโดดโลดเข้ารุก  บ่ารุกเรือเม็ดเล็ดลอดกิน
 +
ร้องโปกฉาดข้าบาทได้กินตัว  พระอู่หัวเลิศลบภพทั้งสิ้น
 +
เปนปีนแขวงแต่พระแกงคูธริ้น  พระภูมินทร์ทราบเรื่องเคืองพระไทย
 +
ทรงดำริห์ว่าจะฆ่าผ่าอกแล่  โทษมันแก้เผ็ดล้อเปนข้อใหญ่
 +
แล้วหวนคิดปิตุรงค์ทรงฝากไว้  ภูวไนยตรัสว่าอย่าฆ่าฟัน
 +
แต่เคืองขุ่นมุ่นฤไทยมิไใคร่หาย  เพราะพระองค์อับอายให้อัดอั้น
 +
เสด็จเข้าสู่พระแท่นแผ่นสุวรรณ  พระทรงธรรม์จะพาลผิดนิจกาล ฯ
 +
 +
๏ ครั้นล่วงมาวันหนึ่งจอมประชา  ทรงจินตนาขะเสด็จสรงสนาน
 +
ที่หาดทรายชายท่าชลาธาร  ทรงคิดอ่านเห็นจะได้ความผิดมี
 +
จึ่งดำรัสแก่หมู่เสวกา  จงหาฟองไก่ไวอย่าอึงมี่
 +
ปิดเชียงเมี่ยงอย่าให้รู้หมู่เสนี  ไปฝังไข่ไว้ที่ในหาดทราย
 +
พรุ่งนี้ให้ได้ไปแต่ช้าว  ข่าวคราวซ่อนไว้อย่าได้ขยาย
 +
 +
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์มาตยา  รับพระราชบัญชาออกจากเฝ้า
 +
ให้ค้นหาไข่ไก่ไว้แต่เช้า  สั่งเบ่าให้ไปยังฝั่งชลา
 +
ได้เวลาจอมนรินทร์ปิ่นประเทศ  เสด็จจากพระนิเวศน์ด้วยยศถา
 +
ทรงเรือที่นั่งพร้อมหมู่เสวกา  เชียงเมี่ยงตามเสด็จมาในนัที
 +
ถึงที่เสด็จประทับบนพลับพลา  มีบัญชาให้เล่นน้ำสนั่นมี่
 +
ดำรัสว่าให้กระตากคนละที  ให้ได้ไข่ทุกเสนีบรรดามา
 +
ถ้าไม่ได้ ไข่ชูให้กูเห็น  จะเอาเปนความผิดมีโทษา
 +
ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชบัญชา  ลงสู่ท่าดำน้ำก็ทำตาม
 +
ผุดขึ้นนว่ากระตากมือชูไข่  ต่างต่างได้คนละฟองร้องอึงสนาม
 +
เชียงเมี่ยงดำแล้วผุดขึ้นมาตาม  ร้องระตูแจ้งความว่าไม่มี
 +
เพราะเปนไก่ผู้หาฟองไม่  แล้วก็ไล่จับพวกขุนนางขี่
 +
เที่ยวไล่จับสัตว์ในนัที  หมู่เสนีสำลักน้ำดำหนีไป ฯ
 +
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  หมายมาดจะเอาผิดก็ไม่ได้
 +
เชียงเมี่ยงแก้คล่องด้วยว่องไว  พระทรงไชยกลับหลังยังนคร
 +
แล้วทรงคิดจะเอาผิดแก่เชียงเมี่ยง  อย่าให้เลี่ยงข้างข้างเหมือนอย่างก่อน
 +
จะให้ไปซื้อผ้าท้าวนคร  ทรงอนุสรแล้วเสด็จออกขุนนาง
 +
ดำรัสใช้ ให้เชียงเมี่ยงไปซื้อผ้า  ลายโสภาตีนแต้มให้ได้อย่าง
 +
เชียงเมี่ยงรับเงินตราออกมาพลาง  ถึงบ้านนอนไขว่ห้างเล่นสบาย
 +
ครบเจ็ดวันจึงเามาเผ้าพระบาท  บรมนารถทักว่าเองไปไหนหาย
 +
มามือเปล่ากูไม่เห็นได้ผ้าลาย  เที่ยวสบายเสียไม่หาฤาว่าไร
 +
เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม  จึ่งทูลความว่าหม่อมแนหาไม่ได้
 +
ผ้าตีนแต้มเช่นตรัสดำรัสใช้  เกล้ากระหม่อมเที่ยวไปทั่วตำบล
 +
ถามผู้ใดก็ว่าแต้มแต่ด้วยมือ  ไม่อาจซื้อมาถวายเพราะขัดสน
 +
ไม่มีแต้มด้วยเท้าแต่สักคน  ก็เปนคนใจจะวงพระโองการ
 +
ฝ่ายพระจอมนครินทร์บดินทร์สูร  ได้ฟังทูลเชียงเมี่ยงดูอาจหาญ
 +
ทรงตรองไปก็เห็นจริงนิ่งรำคาญ  หมายจะพาลผิดก็ไม่ได้สักครา ฯ
 +
 +
๏ ยังมีเจ้าอธิการสมภารใหญ่  ปลูกต้นไม้มีผลมากนักหนา
 +
มะม่วงมะปรางมะทรางและพุดทรา  น้อยหน่าลำไยมะไฟมะเฟือง
 +
แต่ผู้ใดใครมาขอไม่อยากให้  หวงไว้จนผลงอมหล่นเหลือง
 +
ถึงตัวท่านก็ไฉันกลัวจะเปลือง  ชาวบ้านเคืองคิดชังไปทั้งคาม
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเดินมาเห็นมะม่วง  ดกเปนพวงสุกเหลืองเรืองอร่าม
 +
อยากใคร่ได้ไปถือเล่นงามงาม  แต่ครั่นคร้ามไม่ได้ขอนิ่งรอพลาง
 +
แล้วขึ้นไปบนกุฎีพระชีเฒ่า  คุกเข่าร้องขอส้มกินบ้าง
 +
เจ้าอธิการรู้เรื่องเคืองระคาง  เดินเข้ากุฎีกลางปิดประตู
 +
เชียงเมี่ยงเห็นอาการสมภารแก่  วิ่งแร่หนีตัวซ่อนหัวหู
 +
คิดโกรธว่าขรัวนี้ทำไม่น่าดู  ให้ไม่ให้ก็ไม่รู้ ไม่พูดจา
 +
เปนไรมิดีแล้วได้เห็นกัน  คิดให้ขันถีบขว้ำคะมำหน้า
 +
ให้ได้แผลแก้แค้นด้วยปัญญา  ทำที่หน้าผากให้แตกได้แลกลำ
 +
คิดแล้วกลับไปบ้านสถานตน  หาหมากผลพลูซองลองขรัวคร่ำ
 +
ให้เมียทำไก่พะแนงแกงต้มยำ  แล้วใส่สำรับมาให้พระสมภาร
 +
ขึ้นกุฎีก้มกราบหมาอบราบพื้น  บอกว่าคืนนี้รับสั่งให้ดีฉาน
 +
มาเผดียงเจ้าคุณพระอาจารย์  นิมนต์ท่านไปตั้งราชาคณะ
 +
ฝ่ายขรัวเฒ่าเขลาปัญญาว่าสาธุ  มาได้ที่เมื่ออายุมากนะจะ
 +
เชียงเมี่ยงตอบว่าเจ้าคุณบุญถึงละ  ดีฉันจะขอดูรู้ลายมือ
 +
ในตำราว่าไว้จะได้ที่  ฤามั่งมียศศักดิ์คนนับถือ
 +
เปนที่เกรงหมอบเทาชื่อเล่าฦา  มีแจ้งในลายมือแลลายท้าว
 +
สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศ  เชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว
 +
แบให้ดูลายมือพูดยืดยาว  ทั้งลายท้าวไม่ระแวงนึกแคลงใจ
 +
เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่น  ทำพูดกันให้สิ้นความสงไสย
 +
ว่าลายมือลายเท้าที่ทายไว้  ไม่แน่ใจเหมือนลายก้นต้นตำรา
 +
จะดีชั่วแจ้งชัดเปนสัจจัง  ไม่พลาดพลั้งที่นั่งทับตำหรับว่า
 +
พระอธิการฟังสารเชียงเมี่ยงว่า  ไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย
 +
ว่าจะดูก้นเห็นฦกข้านึกอาย  เชียงเมี่ยงว่าไม่แพร่งพรายจะอายใคร
 +
ดูแต่สองคนเท่านี้นี่  ไปในที่ลับลี้ก็จะได้
 +
พระสมภารไม่แหนงเคลือบแคลงใจ  ก็พาไปห้องน้ำตามคำชวน
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงสมจิตรที่คิดหมาย  จะทำให้ได้อายนึกยิ้มสรวล
 +
พอขรัวเฒ่าเข้าห้องต้องกระบวน  ทำทีด่วนว่าจะดูตามตำรา
 +
ให้ขรัวเฒ่าแก่โก้งโค้งจะดูก้น  ถีบตะโพกหัวชนเข้ากับฝา
 +
สมภารหน้าผากแตกเวทนา  ร้องด่าอ้ายขี้ครอกบอกกล่าวพลาง
 +
เชียงเมี่ยงก็ถีบซ้ำอีกสามที  แล้วจึงหนีลงบันไดไปข้างล่าง
 +
ท่านสมภารล้มกลิ้งก็ยิ่งคราง  โลหิตไหลเปนทางนองกระดาน
 +
กว่าจะนั่งขึ้นได้เปนนานช้า  เชียงเมี่ยงวิ่งหนีมาจนถึงบ้าน
 +
คิดว่าโทษเรามีตีสมภาร  กินยารุให้พิการซูบผอมกาย ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการเฒ่า  ปวดร้าวที่แผลหน้ามิใคร่หา
 +
อุส่าห์ประคบทาไพลค่อยได้สบาย  ครบเจ็ดวันจึงคอยคลายเจ็บกายา
 +
ครั้นความเจ็บบางเบาขรัวเฒ่าเถร  ฉันเพนแล้วห่มดองจึ่งครองผ้า
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช  ทอดพระเนตรขรัวแก่ตรัสถามก่อน
 +
ว่าคุณประสงค์บาตรเภสัชฤาจีวร  เครื่องนั่งนอนอย่างไรจงไขความ ฯ
 +
พยุงเดินเข้าในวังเซซังมา  ถึงเข้าเฝ้าจอมนราประชากร ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นขรัวเฒ่าทูลเล่าเรื่อง  ที่ขัดเคืองมีผู้มาหยาบหยาม
 +
อุบาสกคนหนึ่งพึ่งรุ่นงาม  มาแจ้งความว่าพระองค์ผู้ทรงไชย
 +
ให้นิมนต์รูปมาตั้งราชาคณะ  แล้วทำรูปหน้าหวะโลหิตไหล
 +
ได้ความร้อนรนเปนพ้นไป  เห็นเปนข้าจอมไทนราบาล ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
==== ====
==== ====
<tpoem>
<tpoem>
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนิเวศน์เกษประชา  ทรงฟังว่าข้าเฝ้าทำอาจหาญ
 +
นึกฉงนจนพระไทยให้รำคาญ  พระโองการดำรัสว่าผู้ใดไป
 +
ความที่ว่าฉันสั่งให้นิมนต์  จะได้ใช้ใครสักคนก็หาไม่
 +
ผู้เปนเจ้าว่าข้าเฝ้าที่เคยใช้  แม้นว่าจำหน้าได้จงชี้มา
 +
เจ้าอธิการทูลว่าจำหน้าได้  จึ่งโปรดให้ชี้ขุนนางอยู่พร้อมหน้า
 +
พระเถรพิศดูหมู่เสนา  แต่บรรดาหมอบเฝ้าเจ้าจุมพล
 +
จึ่งทูลว่าเสนาที่อยู่นี่  มิใช่ที่คนทำรูปปี้ป่น
 +
แต่คนทำนั้นก็ยังรู้จักตน  ได้สั่งสนทนาอยู่เปนครู่นาน
 +
จึ่งดำรัสถามเหล่าเสนามาตย์  ผู้ใดขาดไม่มาจงว่าขาน
 +
ขุนนางทูลว่าเชียงเมี่ยงไม่พบพาน  ขาดเผ้าพระภูบาลมาหลายวัน
 +
ได้ทรงฟังจึ่งรับสั่งให้หามา  เชียงเมี่ยงกินแต่ยาเพราะความพรั่น
 +
ครั้นมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์  ผิวพรรณผิดหน้าตาโหลกลวง
 +
ทั้งรูปกายผ่ายผอมดูพิกล  พระจุมพลจึ่งถามขรัวตาหลวง
 +
ว่าคนนี้ฤาที่ไปฬ่อลวง  ขอมะม่วงแล้วข่มแหงเก่งกอแก
 +
เจ้าอธิการทูลว่าคล้ายคนนี้  แต่ท่วงทีผิดไปดูไม่แน่
 +
คนที่ไปลวงฬ่ทำตอแย  ล่ำกว่านี้คนนี้แก่กว่าคนนั้น
 +
เชียงเมี่ยงจึงตอบว่าข้าพเจ้า  ขาดเฝ้าเพราะป่วยหลายวันคั่น
 +
ไปไหนไม่ได้มาหลายวัน  พระทรงธรรม์ให้หามาในวัง
 +
จึ่งค่อยแขงใจมาเฝ้าจอมราช  กลัวพระราชอาชญารักษาหลัง
 +
จิตรใจยังโผเผเดินเซซัง  สมภารฟังเห็นไม่แน่ทูลลาไป ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงกระษัตราเมืองธานี  ครองบุรีนคเรศประเทศใหญ่
 +
พรั่งพร้อมรถอัศดรกุญชรไชย  ทหารเดินเนืองในพระภารา
 +
มหไสูรย์มูลมั่งคั่งสมบัติ  แออัดฝูงชนล้นแน่นหนา
 +
มีเรือเสาสำเภาเหล่านาวา  เรือลูกค้ามาจอดทอดเรียงราย
 +
ราษฎรเปนศุขทุกตัวคน  ไม่ยากจนตั้งห้างวางของขาย
 +
แสนสำราญมั่งคั่งทั้งหญิงชาย  ศุขสบายทั่วนครไม่ร้อนรน
 +
ปรปักษ์ข้าศึกไม่นึกร้าย  ชนทั้งหบายเกรงพระเดชแสยงขน
 +
ขอเปนข้าขอบขัณฑ์พรั่นทุกคน  บุบผาหิรญกาญจนามาคำนับ
 +
พระเจ้ากรุงธานีบุรีราช  มีชายชาติหัวแขงแข่งคู่ปรับ
 +
ศีศะล้านเลื่อมขันเปนมันรยับ  เที่ยวชนสู้มานับว่าหมื่นพัน
 +
ท้าชนใครไม่มีผู้โต้ทาน  มะพร้าวตาลชนต้นก่นสบั้น
 +
ศีศะแขงแรงคล้ายช้างน้ำมัน  เที่ยวพนันทุกเมืองเลื่องฦาชา
 +
ชนมีไชยได้มาขิ้นบุรี  ยิ่งกว่าสี่สิบเมืองมากนักหนา
 +
ทุกนครคลอนหัวกลัวระอา  ออกปากว่าหัวแขงเรี่ยวแรงครัน
 +
วันหนึ่งจอมบุรีธานีราช  สถิตย์อาศน์แท่นทองตรองกระสัน
 +
ว่าจะเอาศีศะล้านไปพนัน  ชนกันกับคนเมืองทวาลี
 +
ด้วยข่าวเล่าฦาชาว่ามั่นคั่ง  เปนเอกราชทั่วทั้งบุรีศรี
 +
มิได้ขึ้นเมืองใดในปัถพี  มั่งมีศฤงฆารโอฬารนัก
 +
จำจะเอาหัวล้านไปพนัน  แข่งขันสู้เล่นให้เห็นประจักษ์
 +
ถ้าแพ้เราได้บุรีจะดีนัก  เปนศรีศักดิ์ฦาเลื่องกระเดื่องยศ
 +
ดำริห์แล้วจึ่งเสด็จออกข้างน่า  สั่งเสนาให้หมายวันกำหนด
 +
ที่จะไปพนันชนคนมีคต  ให้ปรากฎไว้ชื่อเลื่องฦาขจร
 +
แต่งสำเภาเภตราสักห้าร้อย  เครื่องใช้สอยเงินตราและผ้าผ่อน
 +
ของบรรณาการอย่างต่างนคร  บรรทุกตอนนาวาสารพัน
 +
จงให้คนศีศะแขงตกแต่งกาย  ลงในท้ายบาหลีขมีขมัน
 +
แต่งราชสารแจ้งการจะขอพนัน  ชนกันถ้าชนนะจะเอาเมือง
 +
ถ้าศีศะล้นนบุรีธานีราช  พลั้งพลาดพ่ายแพ้ ในบาทเบื้อง
 +
จะถวายสินพนันมิให้เคือง  อิกทั้งเมืองถวายขึ้นทวาลี
 +
สั่งให้แต่งราชสารโองการเสร็จ  ก็เสด็จคืนเข้าปราสาทศรี
 +
กรมวังหมายบอกสัสดี  จ่ายคนทุกน่าที่ลงสำเภา
 +
กรมท่าจัดล้าต้าต้นหน  ลูกเรือขนเพลาไบมาใส่เสา
 +
กว้านสมอช่อใช้ในสำเภา  เกลือเข้าของลำเลียงเสบียงทาง
 +
พวกคลังขนบรรณาการส่าโหมดตาด  โตกถาดแพรผ้าหักทองขวาง
 +
มอบให้นายใหญ่ใส่ระวาง  ฝ่ายขุนนางที่เปนทูตลงนาวา
 +
ครั้นได้ฤกษ์ให้ออกสำเภาใหญ่  ทั้งห้าร้อยแล่นไปออกจากท่า
 +
มาในท้องทเลล้วนเภตรา  ตั้งหน้าต่อนครทวาลี
 +
มาได้สองคืนโดยประมาณ  ก็ถึงด่านปกน้ำบุรีศรี
 +
แจ้งความแก่นายด่านตามคดี  ว่าทูเมืองธานีมาคำนับ
 +
ทำใบบอกมาในกรุงหวังต้อนรับ  เสมียนกับกรมการรีบเข้าไป
 +
ถึงศาลาบอกนายเวรให้กราบเรียน  นำใบบอกที่เขียนมาส่งให้
 +
ว่านายช่วยกราบเรียนโดยเร็วไว  ให้เจ้าคุณผู้ใหญ่ทราบเหตุการ ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นนายเวรในกรมท่า  ได้ฟังว่าเสร็จสิ้นในข่าวสาร
 +
รับใบบอกรีบไปมิได้นาน  เรียนต่อท่านอธิบดีให้ทราบความ ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าท่านเจ้าพระยาอธิบดี  ฟังวาทีนายเวรไม่เข็ดขาม
 +
คลี่ใบบอกออกดูรู้ข้อความ  แล้วซักถามกรมการด่านปากน้ำ
 +
ได้ความแน่ว่าทูตเมืองธานี  ถือพระราชสารศรีเปนข้อขำ
 +
กับสำเภาใหญ่น้อยห้าร้อยลำ  แล้วจึ่งนำใบบอกขึ้นกราบทูล
 +
ตามสำเนากรมการด่านเขื่อนขันธ์  กราบทูลพระทรงธรรม์นเรนทร์สูร
 +
ให้ทราบใต้บงกชบทมูล  จอมประยูรขัติยาเจ้าธานี ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ  ทรงฟังจบข่าวทูตมากรุงศรี
 +
ว่าจอมกระษัตริย์ครองสมบัติเมืองธานี  จะมาเจริญไมตรีใช้ทูตมา
 +
ทรงดำริห์ในพระไทยสงไสย  ความ จะลวนลามฤาไฉนให้กังขา
 +
ดีฤาร้ายเปนอย่างไรในสารา  ฤาจะท้ารบตีบุรีเรา
 +
ทรงดำริห์แล้วดำรัสให้นัดวัน  ราชทูตตัวสำคัญให้เข้าเฝ้า
 +
จงจัดการรับทูตนายสำเภา  อย่าให้เขาครหาด้วยมาไกล
 +
ดำรัสสั่งแล้วเสด็จสู่ปรางค์มาศ  พระที่นั่งบัลลังก็อาศน์อันสุกใส
 +
พระแท่นที่สุวรรณพรายข้างฝ่ายใน  สำราญฤไทยด้วยศฤงฆารผ่านบุรี ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าท่านมหาเสนามาตย  รับพระราชโองการคลานจากที่
 +
สั่งให้หมายเกณฑ์คนสัสดี  เรือกระบี่วายุภักษ์ปักธงไชย
 +
ทั้งเรือเชิญราชสารม่านทองปัก  ที่นั่งฉลักลายประกอบดูสุกใส
 +
ดาดหลังคาลายแย่งแต่งลงไป  พิณพาทย์ให้ลงนาวานำน่ากระบวน
 +
ถึงวันนัดจัดการพร้อมตามหมาย  เรียกฝีพายลงเรือครบเสร็จถ้วน
 +
เรือแห่เตรียมเต็มตามจำนวน  เคลื่อนกระบวนลงไปรับทูตเข้ามา
 +
ฝ่ายว่าทูตานุทูตนั้น  ก็พร้อมกันเข้าเฝ้าจอมนาถา
 +
เชิญพานทองรองราชสารา  ถวายพระปิ่นขัติยาเจ้าธานี ฯ
 +
ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช  ทอดพระเนตรเห็นราชสารศรี
 +
ทรงรับไว้มอบให้ศรีภูรี  ผู้ว่าที่พระอาลักษณ์มีศักดินา
 +
ฝ่ายพระศรีภูรีศรีสาลักษณ์  ถวายบังคมจุลจักรนารถนาถา
 +
รับราชสารอ่านถวายตามสารา  ให้ทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ  ทรงจบในราชสารศรี
 +
แล้วตรัสปฏิสันฐารทูตธานี  โดยคดีสามนัดแบบบุราณ
 +
จึงดำรัสผัดว่าอีกเจ็ดวั  น จะเลือกสรรคนดูในราชฐาน
 +
ที่จะพนันชนคนหัวล้าน  พอจัดการเตรียมพนันขันสู้ชน
 +
ราชทูตก็ถวายบรรณาการ  แล้วทูลลาไปสถานให้ฝึกฝน
 +
ศีศะล้านที่มาว่าจะชน  อย่าให้แพ้ล้านคนทวาลี ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเจ้าเขตรขัณฑ์  ทรงนัดวันแล้วเสด็จขึ้นเข้าที่
 +
ทรงวิตกการกู้พระบุรี  ในเมืองจะมีสู้เขาฤาเปล่าดาย
 +
ทรงปรารมภ์พลางบรรธมบนแท่นรัตน์  อัจกลับแสงจำรัสรุ่งเรืองฉาย
 +
ระย้าแก้วแพรวพราวดังดาวพราย  พนักงานขับถวายมโหรี
 +
แจ้วเจื้อยเฉื่อยฉ่ำยักลำส่ง  ฆ้องวงรนาดขลุ่ยตุ่ยต๋อยตี๋
 +
โทนน่าทับรับรำมนาตี  ซอจับปี่ซอยซ้ำเลียนงน้ำนวล
 +
ลำพระทองร้องส่งประสานซอ  ขลุ่ยรับต่อกลมเกลี้ยงเสียงแหบหวน
 +
จะเข้ดีดเตร๋งเตร่งเต๋งเต่งครวญ  กลับทบทวนไล่เดี่ยวเคี่ยวขับกัน
 +
พระบรรธมบนพระแท่นแสนสบาย  น้ำค้างพรายจวนอุไทยเสียงไก่ขัน
 +
นกดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยัน  แซ่สนั่นสกุณาทิชากร
 +
หอมระรินกลิ่นผกาบุบผาเผย  แมลงภู่บินมาเชยวะหวี่ว่อน
 +
แมลงผึ้งหึ่งหึ่งเปนหมู่จร  เคล้าเกสรเกลือกกลิ่นแล้วบินไป
 +
พระองค์ฟื้นตื่นองค์สรงพระภักตร์  ทรงเครื่องต้นสมศักดิ์ดูสุกใส
 +
เสด็จออกที่นั่งโถงพระโรงไชย  เสนาในเฝ้าพระบาทดาษดา
 +
จึ่งดำรัสว่ากษัตริย์เมืองธานี  ให้มีราชสารมานั้นขันนักหนา
 +
จะขอพนันคนแลกภารา  ชนคนจนเกษาว่าชอบกล
 +
แน่อำมาตย์ใหญ่น้อยจงเที่ยวหา  ศีศะล้านเอามาทุกถนน
 +
มาประชุมน่าพระลานเลือกคู่ชน  เที่ยวหาค้นตีฆ้องป่าวร้องไป ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายอำมาตย์รับราชบรรหาร  ถวายบังคมก้มคลานหาช้าไม่
 +
ออกจากเฝ้ามาศาลามหาดไทย  แจกหมายให้หาตัวพวกหัวล้าน
 +
ให้มาพร้อมที่ศาลามหาดไทย  จะถามดูผู้ใดจะอาจหาญ
 +
ชนสู้แขกเมืองเลื่องฦาสท้าน  ตามที่มีราชสารมาท้าพนัน
 +
ฝ่ายว่าพวกผมไร้ได้พึ่งหมาย  ต่างๆ มามากมายขมีขมัน
 +
ประชุมพร้อมที่ศาลามากกว่าพัน  ต่างคนพรั่นหนีตัวกลัวระอา
 +
ออกปากว่ากลัวนักพูดยักเยื้อง  แล้วเกรงเคืองเบื้องบาทนารถนาถา
 +
จึ่งวิงวอนต่อท่านมหาเสนา  บ้างก็ให้เงินตราขอบนบาน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจึ่งมหาเสนามาตย์  เห็นเศียรล้านพานขลาดไม่อาจหาญ
 +
สู้ไม่ได้ก็อย่าชนอย่าบนบาน  จะกราบทูลภูบาลผ่านธานี
 +
ว่าหามาทั่วคนไม่ชนสู้  แต่พอรู้ก็เกรงกลัวออกตัวหนี
 +
ไม่เปนไรดอกกราบทูลแต่โดยดี  ด้วยไม่มีผู้อาสากล้าเข้าชน
 +
ว่าแล้วก็เข้ากราบบังคมทูล  ตามมูลถามไถ่ได้เหตุผล
 +
ว่าศีศะล้านกลัวระอาไม่กล้าชน  จอมจุมพลจงทราบพระบาทา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  ฟังอำมาตย์ทูลโทมนัศา
 +
ทรงดำริห์เกรงจะเสียพระภารา  จึ่งให้หาเชียงเมี่ยงมาเฝ้าพลัน
 +
รับสั่งเล่าเรื่องจะชนคนผมน้อย  อมาตย์หากว่าร้อยแต่เลือกสรร
 +
ไม่มีใครรับสู้คู่พนัน  มีแต่พรั่นออกตัวกลัวทุกคน
 +
เองจะรับอาสาได้ฤาไม่  กูร้อนใจเกรงจะอายขายหน้าป่น
 +
แขกเมืองจะตรีชาว่าอับจน  เองเปนคนมีปัญญาปรีชาไวย
 +
เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถาม  จึงทูลตามปัญญาอาสาได้
 +
แต่เพียงนี้ไม่สู้ยากลำบากใจ  หม่อมฉันนมิให้ขุ่นข้องลอองธุลี
 +
แม้นแขกเมืองมีกำลังเจ็ดช้างสาร  จะหักหาญด้วยปัญญาไม่ล่าหนี
 +
ฝ่ายพระจอมนคราทวาลี  ฟังวาทีเชียงเมี่ยงทรงโสมนัศ
 +
จึ่งตรัสว่าต้องการสิ่งอันใด  ชาวคลังจงจ่ายให้อย่าได้ขัด
 +
เลือกเอาตามใจให้ทันนัด  พระดำรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการ  ถวายบังคมถอยคลานหาช้าไม่
 +
มาศาลาเวรหมายรายกันไป  ทุกนายไพร่ให้รู้พระโองการ
 +
แด่บรรดาคนศีศะไร้เกษา  ให้เข้ามาพร้อมในพระราชฐาน
 +
ราษฎรในนครที่หัวล้าน  รู้หมายรีบลนลานมาพร้อมกัน
 +
ทั้งผู้คนชนบทหัวเมืองนอก  มีท้องตราแจ้งบอกทั่วเขตรขัณฑ์
 +
ทั้งนายไพร่เศียรโล่งโหม่งเปนมัน  ก็พากันมาหาเชียงเมี่ยงพร้อม
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นคนจนเกษา  ดูนานาหลากถ้วนทั้งอ้วนผอม
 +
บ้างฉอกหลงดงช้งข้ามเปนเขาค้อม  สามหย่อมเปียแหยมแกมปนคละ
 +
ผู้รับสั่งจึ่งประกาศตามโองการ  พระภูบาลให้เลือกคนชนศีศะ
 +
ใครจะอาสาได้ให้ชนะ  พระองค์จะพระราชทานเงินทองยศ
 +
ฝ่ายว่าพวกไร้เผ้าฟังเล่าหมาย  ทั้งไพร่นายอกตัวกลัวไปหมด
 +
บ้างว่าแรงฉันน้อยถอยลด  บ้างว่างดฉันเสียเถิดแต่เกิดมา
 +
ไม่เคยเห็นไม่เคยเล่นพนันชน  บ้างก็บนเงินทองสิ่งของผ้า
 +
ลางคนบนคู่สนิทให้ธิดา  ว่าท่านได้กรุณาอย่าให้ขน
 +
เชียงเมี่ยงพูดโลมเล้าเอาใจไว้  จะเลือกแต่ได้ราชการอย่าพานบ่น
 +
แล้วออกมาเลือกคนดูในหมู่คน  ดูพิกลต่างๆ หลายอย่างพรรณ
 +
บ้างหัวล้านแต่รอบนอกมีผมกลาง  ตำราอ้างล้านน้ำเต้าเค้าดูขัน
 +
ชนิดนี้แรงน้อยถอยทุกวัน  บ้างฉอกฉินเลี่ยมมันจับแก้วตา
 +
เรียกว่าล้านเดือยไก่ใจคะนอง  พูดเล่นคล่องไม่ขัดจัดนักหนา
 +
ถ้าอายุแก่เข้าเฒ่าชรา  มักเกิดโรคนานามายายี
 +
บางคนล้านโขมนโกร๋นเกรียน  โล่งเลี่ยนแลเลื่อมเปนมันสี
 +
มักใจน้อยเจ้าโทโสโอ่อวดดี  ถ้อยคำมีสำนวนชวนก่อความ
 +
เชียงเมี่ยงเลือกคัดจัดคนใหม่  อย่างที่ว่าใช้ไม่ได้สิ้นทั้งสาม
 +
เลือกได้คนหนึ่งพีรูปดีงาม  ล่ำสันไม่เข็ดขามควรเปรียบชน
 +
ศีศะพึ่งล้านใหม่ดูใสเศียร  ผมเกรียนเส้นเอียดพึ่งร่วงหล่น
 +
หน้าดุร้ายกายดำขำกว่าคน  เห็นควรชนเชียงเมี่ยงว่าได้การ
 +
จึ่งเบิกกระดาษมาฟันทำพวนหนัง  สำรับรั้งสี่เส้นทาหมึกประสาน
 +
ติดขนควายรายทุกเส้นเห็นได้การ  แม้นใคร ดูก็ปานกับหนังพวน
 +
แล้วจัดคนถือเชือกเส้นละร้อย  ล้วนแต่เกษาน้อยสี่ร้อยถ้วน
 +
บอกกลอุบายให้รู้ขบวน  ครั้นวันจวนก็แต่งตัวพวกหัวล้าน
 +
มีเรื่องแห่แตรสังข์พิณพาทย์ฆ้อง  ธงทองธงมังกรธงไชยฉาน
 +
ให้เตรียมเสร็จคอยฤกษ์เวลากาล  น่าพระลานขบวนแห่แลแน่นยัด
 +
แล้วให้เที่ยวตีฆ้องร้องประกาศ  จะอาบน้ำตัวราชสมบัติ
 +
ใครกลัวไภยให้รักษาตัวระมัด  ระวังบ้านเรือนถ้าพลัดเข้าบ้านใด
 +
เย่าเรือนจะทลายสลายหัก  จะฉุดชักไล่ห้ามปรามไม่ไหว
 +
ด้วยมีแรงแขงกล้าเปนพ้นไป  เข้าบ้านใดยับย่อยไม่น้อยเลย
 +
น่าต่างประตูดูปิดให้แน่นหนา  เมื่อเวลาลงน้ำอย่าเปิดเผย
 +
รู้ทั่วกันอย่าเผลอเลินเล่อเลย  ใครไม่เคยเห็นรู้มาดูตัว
 +
ราษฎรรู้ประกาศในมาดหมาย  ที่กลัวตายนอนซุ่มผ้าคลุมหัว
 +
บ้างหลบลี้หนีนอนซุกซ่อนตัว  ที่เรือกรั้วไม่แน่นหนาผ่าไม้แซม
 +
ชาวสำเภาโดยยินคำประกาศ  นึกขยาดคิดว่าจริงไม่รู้แต้ม
 +
ก็เก็บงำสินค้าที่ราแรม  ขยายแย้มไว้แต่ช่องคอยมองดู ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นแดดอ่อนหย่อนแสง  ก็ตกแต่งราชสมบัติหมายจะสู้
 +
ผูกเชือกเองคู่ชนคนนอกครู  ทั้งสี่เส้นเกณฑ์หมู่คนมาชัก
 +
จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อย  ก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซงแซ่หนัก
 +
ทั้งซ้ายขวาน่าหลังเชือกรั้งชัก  แห่งมาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ
 +
ราชสมบัติแขงขึงตึงเชือกไว้  คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ
 +
เชือกยวนขาดเปนท่อนซ้อนคะมำ  แล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย
 +
ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติ  ให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย
 +
ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชาย  มาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ
 +
บ้างก็ขึ้นต้นไม่คอยมองดู  บ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่
 +
ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแล  เสียงเซงแซ่คนดูพรั่งพรูมา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นราชทูตนายสำเภา  โฉดเขลาเห็นว่าแรงมากนักหนา
 +
แต่พวนหนังรั้งขาดประหลาดตา  จึ่งปฤกษาคู่ชนคนสำคัญ
 +
ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับ  ยังจะรับเปนคู่พนันขัน
 +
ฤาจะสู้เขาไม่ได้ ให้บอกกัน  อย่าอึ้งอั้นแจ้งคามแต่ตามจริง ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าล้านธานีบุรีราช  คิดขยาดกลัวใจให้เกรงกริ่ง
 +
จึ่งบอกว่าสู้ไม่ได้ ให้ประวิง  เขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน
 +
สู้ไม่ได้เปนแน่ตามแต่จะคิด  ไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น
 +
ให้เกรงแต่จะแพ้แก้ไม่ทัน  จะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายราชทูตกับชขายนายสำเภา  เห็นเสียเค้าไม่ได้สมอารมณ์หมาย
 +
จึ่งปฤกษาตามใจทั้งไพร่นาย  ว่าจะถวายสินพนันกันนินทา
 +
ทูลว่าล้านมาด้วยป่วยเปนไข้  ทูลลาไปไหนจะมีครหา
 +
เห็นพร้อมกันพลยันนำเครื่องบรรณา  เข้าเฝ้าถวายจอมนรานรินทร
 +
กราบทูลว่าคู่พนันนั้นเปนไข้  ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน
 +
ขอถวายสินพนันพระภูธร  จะลากลับยังนครนามธานี ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  ทรงฟังทูลเห็นประหลาดชั้นเชิงหนี
 +
ทรงปราไสตามได้มีไมตรี  ทูตก็ลาพระจรลีลงนาวา
 +
ให้ใช้ไปไปถึงพระบุรี  กราบทูลแจ้งคดีจอมนาถา
 +
ให้ทราบใต้ลอองบาทลาดหนีมา  เหลือปัญญาที่จะชนพ้นกำลัง ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองธานี  ทรงฟังทูตทูลว่าหนีให้แค้นคั่ง
 +
ปรารภจะสู้มิได้หลีอีกสักครั้ง  พระไทยตั้งหมายมาดไม่ขาดวัน ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงเชียงญาณอยู่บ้านไร่  ข่าวฦาไปว่าเชียงเมี่ยงปัญญาขยัน
 +
คิดหมายลองปรีชาจะสู้กัน  ฤาว่ามันแหลมฉลาดจะลองดู
 +
ตดใส่ปล้องไม้ไผ่แล้วอุดอัด  ออกจากบ้านลอดลัดมาหมายสู้
 +
ได้แปดวันดั้นป่ามาสืบดู  แต่ไม่รู้ว่าเชียงเมี่ยงนั้นคนใด
 +
ครั้นเดินมาก็พบกับเชียงเมี่ยง  ถามชื่อเสียงโดยตัวว่าอยู่ไหน
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงถามว่าจะทำไม  มีธุระสิ่งใดถามหามัน
 +
เชียงญาณพาซื่อไม่รู้จัก  หมายว่าคนอื่นซักไม่บิดผัน
 +
จึงบอกว่าจะทดลงของสำคัญ  เชียงเมี่ยงจะรู้ทันฤางมงาย
 +
ข้าตดใส่ปล้องไม้จะให้ดม  ถ้าดีจะสมาคมเปนสหาย
 +
เชียงเมี่ยงว่าเจ้าอัดลมระบาย  มากี่วันกลิ่นจะคลายฤายังมี
 +
จงเปิดดมดูก่อนถ้าหย่อนกลิ่น  จวนจะสิ้นจะได้เติมให้เต็มที่
 +
เชียงญาณฟังเห็นชอบว่าพูดดี  เปิดดมว่ายังมีกลิ่นมากนัก
 +
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นว่างมต้องดมตด  ว่าเองชาวชขนบทไม่รู้จัก
 +
กูและชื่อเชียงเมี่ยงซึ่งถามทัก  เองประจักษ์แล้วฤาไม่ไอ้โง่เคอะ
 +
มึงหมายมาว่าจะให้กูดมตด  มึงดมเองให้หมดกลับไปเถอะ
 +
กูชาวในลวงไม่ได้แล้วไอ้เซอะ  อ้ายบ้านนอกโล่เบอะน่าถองซ้ำ
 +
เชียงญาณครั้นรู้ว่าเชียงเมี่ยง  ไม่โต้เถียงวาจาก้มหน้าคว่ำ
 +
นึกน้อยใจเจ็บอกเหมือนฟกช้ำ  กลับไปบ้านจิตรระกำคลุมหัวนอน
 +
คิดคิดก็ยิ่งแค้นแสนอดสู  มาเสียรู้เชียงเมี่ยงให้ถอดถอน
 +
ถ้าแก้แค้นไม่ได้ ไม่อยู่นคร  จะเที่ยวซุกซอนนิ่งนอนตาย ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงระผู้ผ่านทวาลี  ประชวรโรคมากทวีมิใคร่หาย
 +
พระอาการพานมากลำบากกาย  แทบจะวายชีวาพิราไลย ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระอรรคเทพีศรีสมร  เธออาวรณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส
 +
สงสาองค์ภัศดาโศกาไลย  จึ่งสั่งให้โหรดูชาตาดวง
 +
โหรก็ลงเลขคำนวณทวนสอบไล่  แจ้งใจว่าพระเคราะห์นั้นใหญ่หลวง
 +
พระชาตาก็ยังดีมีในดวง  แต่เข้าห่วงรุมเห็นไม่เปนไร
 +
จึ่งทูลสนองเสาวนีเทพีราช  พระชัณษาไม่ถึงฆาฏแต่โรคใหญ่
 +
ด้วยราหูสู่ราษีจึ่งมีไภย  เสวยอายุแต่ใกล้จะออกจร
 +
ยังไม่ถึงอับจนพระชนมาน  เกล้าหม่อมฉานสอบดูตามครูสอน
 +
โหรสี่นายพร้อมถวายพยากรณ์  ให้บังอรปิ่นสุรางค์ส่างโศกา
 +
ฝ่ายเชียงเมี่งหมอบอยู่กับโหรเฒ่า  ว่าข้าพเจ้าจะสอบพระชัณษา
 +
ทำลงเลขคุณหารตามตำรา  ทูลแก่อรรคชายาจอมนารี
 +
ว่าอันองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ค้นดูทั่วในตำราว่ายืนที่
 +
คงสู่สวรรค์ในเจ็ดวันเจ็ดราตรี  พระภูมีไม่ตลอดเจ็ดวันไป ฯ
 +
 +
๏ จอมอนงค์องค์มิ่งมเหษี  ฟังวาทีเชียงเมี่ยงไม่สงไสย
 +
สำคัญว่าพระองค์ผู้ทรงไชย  จะสวรรคาไลยในเจ็ดวัน
 +
ทรงกรรแสงคร่ำครวญรัญจวนจิตร ์  ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์เจ้าไอสวรรย
 +
ดำรัสสั่งชาวคลังสิ้นทั้งนั้น  จ่ายเงินทองแพรพรรณออกแจกทาน
 +
แก่ยาจกวรรณิพกคนชรา  จัดเอมโอชโภชนากระยาหาร
 +
เลี้ยงพระสงฆ์ทรงศีลทุกวันวาร  ประกอบการกุศลกิจเปนนิจรัน
 +
เจ็ดทิวาล่วงไปไม่สวรรคต  พระทรงยศคลายพระโรคเกษมสันต์
 +
หายประชวรออกขุนนางได้ทุกวัน  พระทรงธรรม์ตรัสถามเชียงเมี่ยงดู
 +
เองทายไว้ว่าจะตายในเจ็ดวัน  ก็เกินแล้วไฉนนั่นกูยังอยู่
 +
ฤาเองชังแช่งเล่นเปนสัตรู  ที่ไม่ดีเอามาดูจะให้ตาย
 +
เชียงเมี่ยงได้ฟังพระโองการ  บังคมทูลภูบาลขยับขยาย
 +
ว่าสารพัดสัตว์สิงทั้งหญิงชาย  ที่จะตายพ้นเจ็ดวันนั้นไม่มี
 +
นับแต่อาทิตย์นั้นถึงวันเสาร์  แม้นพระเจ้าจอมมุนินทร์ชินศรี
 +
ก็นิพานในเจ็ดวันเจ็ดราตรี  ทั้งปัถพีไม่พ้นตายในเจ็ดวัน ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถาน  ฟังเชียงเมี่ยงว่าขานเห็นคมสัน
 +
คลายโกรธาด้วยว่าจริงอย่างนั้น  ไม่แปรผันผิดคำเชียงเมี่ยงเลย
 +
มันแก้ไขไวว่องไม่ข้องขัด  ช่างสันทัดจัดเจนจริงเจียวเหวย
 +
แต่มิได้ออกพระโอษฐโปรดภิเปรย  ทรงชมเชยในพระไทยไม่ตรัสดัง ฯ
 +
 +
๏ จะกลับกล่าวกระษัตราเมืองธานี  แต่เสียทีพนันคนให้แค้นคั่ง
 +
ทรงดำริห์จะแก้ไขใหม่สักครั้ง  ทั้งเดินนั่งไสยาศน์ไม่ขาดคิด
 +
ดำริห์ว่าจะพนันสิ่งใดดี  นำบุรีมาขึ้นได้สมใจจิตร
 +
อย่าเลยนะจะนิมนต์บรรพชิต  ซึ่งสถิตย์ในยศถาราชาคณะ
 +
ที่รู้ธรรมคัมภีร์บาฬีอรรถ  เจนจัดแจ้งประจักษ์ในอักขระ
 +
ชำนาญไล่ถามช้ำข้อธัมมะ  เอาชนะกันที่จนพ้นปัญญา
 +
ทรงดำริห์แล้วมิทันนาน  เสด็จออกมีโองการสั่งให้หา
 +
สังฆ์การีธรรมการคลานเข้ามา  จึ่งมีพระบัญชาให้เผดียง
 +
พระราชาคณะผู้รอบรู้อรรถ  ที่สันทัดเล่าฦามีชื่อเสียง
 +
จะให้ไปถามปัณหาท่าไล่เลียง  โต้เถียงกันกับปราชญทวาลี
 +
พระผู้เปนเจ้าองค์ใดจะอาสา  ให้เข้ามาจะได้บอกให้ถ้วนถี่
 +
อย่าให้แพ้แก้สู้กู้บุรี  สังฆ์การีธรรมการก็รีบไป
 +
เผดียงถามตามโองการบรรหารสั่ง  ทั่วทั้งธานีบุรีใหญ่
 +
ในกรุงนั่นสังฆ์การีมีหมายไป  นอกกรุงให้ธรรมการส่งสารตรา
 +
เผดียงถามตามพระสงฆ์ดำรงยศ  ทั่วทั้งหมดน้อยใหญ่ให้ปฤษา
 +
ท่านผู้ทรงบันดาศักดิ์ทุกวัดวา  พระราชาคณะมีสามองค์
 +
พระญาณกิจทั้งพระประสิทธิไตรย  พระวิไนยนายกเปนจอมสงฆ์
 +
สังฆ์การีพามาเฝ้าทั้งสามองค์  ทูลให้ทรงทราบว่าอาสาไป ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  แสนประสาทดสมนัศตรัสปราไส
 +
ว่าเจ้าคุณกู้บุรีให้มีไชย  โยมจะได้เกียรติยศปรากฎมี
 +
พระราชทานบาตรไตรบริขาร  เครื่องสักการสารพัดจัดตามที่
 +
ให้อาลักษณ์แต่งสารเปนไมตรี  บรรณาการของดีดีให้จัดไป
 +
พระดำรัสให้ร่างราชสาร  อาลักษณ์จานจารึกงามผ่องใส
 +
ลงสุวรรณบัตรแผ่แผ่นอุไร  มอบราชทูตไปลงนาวา
 +
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ผู้ทรงยศ  ก็มาหมดลงสำเภาทอดที่ท่า
 +
ได้ฤกษ์ให้ใช้ใบออกเภตรา  แล่นมาในท้องสมุทจนสุดแดน
 +
สำเภาทั้งห้าร้อยแล่นลอยล่อง  ฝ่าฟองชาคลื่นกว่าหมื่นแสน
 +
ได้ลมดีในนทีไม่ขาดแคลน  มาตามแผนที่ต้นหนดลบุรี
 +
ถึงด่านปากน้ำอ่าวบอกข่าวแจ้ง  เหมือนคราวก่อนที่แถลงเมื่องครั้งหนึ่ง
 +
ขุนนางในกรมท่าทราบคดี  กราบทูลว่าทูตธานีกลับเข้ามา
 +
ข่าวว่ามีราชสารการพนัน  ขอพระองค์ทรงธรรม์จอมนาถา
 +
จงทราบใต้ฝ่าธุลีในกิจจา  ควรมิควรพระบาทาปกเกล้าบัง ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร  ทรงฟังทูลว่าทูตมาให้แค้นคั่ง
 +
เจ้าเซ้าซี้ของพนันกันอีกครั้ง  เนื้อความยังไม่รู้เรื่องเมืองธานี
 +
จึ่งสั่งเจ้าพนักงานจัดการรับ  ให้เสร็จสรรพเชิญราชสารศรี
 +
ตามธรรมเนียมเตรียมรับทูตธานี  เรือกระบี่เรือเห่แลหลามชล
 +
ถึงท่าวังตั้งแห่งราชสาร  ทูตเชิญพานทองพระราชอนุสนธิ์
 +
ถึงพระโรงเข้าเฝ้าเจ้าจุมพล  ถวายบังคมสิ้นทุกคนฟังโองการ
 +
กรมท่าทูลเบิกทูกทั้งหลาย  พวกทูตก็ถวายราชสาร
 +
ทรงรับมอบพระอาลักษณ์พนักงาน  ให้คลี่อ่านสารศรีที่มีมา
 +
ในลักษณพระราชสาร  ของภูบาลธานีมียศถา
 +
ขอเจริญไม่ตรีพระพี่ยา  ยังภาราทวาลีบุรีรัตน์
 +
ด้วยได้ข่าวเาฦาระบือเลื่อง  ว่าในเมืองมีปราชญ์รู้เจนจัด
 +
จึ่งให้ราชาคณะทั้งสามวัด  มาถามอรรถบาฬีคัมภีร์ธรรม
 +
พระเชษฐาถ้าได้ไชยชำนะ  ขอคารวะขึ้นบุรีอุปถัมภ์
 +
ถวายหิรัญมาลาบาบุบผาคำ  ไม่เกินก้ำจะเปนข้ากว่าวายปราณ
 +
ถ้าปราชญ์เมืองธานีนี้ชำนะ  จงสละนิวาศราชฐาน
 +
มาขึ้นเมืองธานีตามบุราณ  มอบสักการรัชฎามาลาทอง
 +
แผ่เขตขัณฑ์ธานีบุรีราช  ให้อำนาจสิทธิการงานทั้งผอง
 +
เปนพื้นเดียวเนื่องแดนดังแผ่นทอง  จะได้ครองบุรีรัตน์กำจัดไภย ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงภพฟังจบสาร  ปฏิสัณฐารสามนัดตรัสปราไส
 +
ตามธรรมเนียมทูตาอันมาไกล  ดำรัสให้รออยู่พักสักสามวัน
 +
จะแต่งที่พระกระวี่ถามปัณหา  ให้งามตาเปนเกียรติยศใหญ่มหันต์
 +
แต่นักปราชญ์ผู้ฉลาดรอบรู้ธรรม์  จะจัดสรรมาถามสู้ดุสักครั้ง
 +
ราชทูตก็คำนับรับโองการ  ถวายบังคมภูบาลคลานถอยหลัง
 +
มาข้างนอกออกไปจากในวัง  ก็มายังท่าจอดทอดนาวา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร  ให้อาดูรทรงโทมนัศา
 +
ว่าเหลือปัญญาจะสู้กู้บูรี  ไม่รู้ที่วิสัชนาปัญญาสูญ
 +
ให้อ้นอั้นตันใจได้อนุกูล  ช่วยกราบทูลแก้ไขอย่าให้เคือง
 +
ว่ากระษัตริย์ธานีนี้พาลา  รบพันนครานี้ร่ำไป
 +
จึ่งดำรัสสั่งเจ้าพนักงาน  สังฆ์การีธรรมการหมอบไสว
 +
ให้ทำหมายรายแจกทุกวัดไป  ราชาคณะองค์ใดจะรับพนัน
 +
แปลอักขรกับพระเมืองธานี  กู้บุรีคุ้มประเทศทั่วเขตรขัณฑ์
 +
ถามบรรดาที่ชำนาญการอรรถธรรม์  กูนัดไว้สามวันแก่ทูตมา
 +
ในกรุงให้สังฆ์การีเผดียงถาม  ทุกอารามพระสงฆ์ทรงยศถา
 +
นอกกรุงให้ธรรมการแจ้งกิจจา  เที่ยวปฤกษาเผดียงถามความพนัน
 +
สังฆ์การีธรรมการคลานออกมา  ถามพระราชาคณะขมีขมัน
 +
แต่รู้บาฬีคัมภีร์ธรรม์  ในสามวันบอกเข้ามาอย่าช้าการ
 +
ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาราชาคณะ  แจ้งในพระประสงค์เจ้าจอมสถาน
 +
ต่างก็กลัวปราไชยใจรำคาญ  บอกสังฆ์การีธรรมการให้กราบทูล
 +
สังฆ์การีธรรมการทราบสารเสร็จ  ทูลว่าพระขามเข็ดแต่ทราบเรื่อง
 +
ไม่มีใครเป็นคู่สู้แขกเมือง  พูดปลดเปลื้องออกตัวกลัวเต็มที ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร  ฟังทูลให้อาวรณ์เศร้าหมองศรี
 +
เสียพระไทยเกรงจะแพ้ทูตธานี  จะได้ใครกู้บุรีให้ชนะ
 +
จึ่งดำรัสปฤกษากับเชียงเมี่ยง  เองจะเถียงถามธรรมได้ไหมหวะ
 +
เชียงเมี่ยงก้มเกษาคารวะ  ทูลว่าเกล้ากระหม่อมจะอาสาไป
 +
ถามปัญหาในคัมภีร์ยาฬีอรรถ  สู้สักนัดมิได้หนีคัมภีร์ไหน
 +
ลาบรรพชาจึ่งมีไชย  แม้นโปรดให้บวชเปนสงฆ์คงได้การ ฯ
 +
</tpoem>
 +
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงเวียง  ฟังเชียงเมี่ยงปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
 +
ก็โปรดให้บรรพชาไม่ช้านาน  บริขารไตรแพรแห่แหนไป
 +
ให้เชียงเมี่ยงอาบน้ำด้วยขันทอง  พิณพาทย์แตรสังข์ฆ้องประโคมให้
 +
ประทานชื่อว่าพระศรีธนญไชย  ให้ถามไต่ธรรมขันธ์พนันเมือง
 +
ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชย  ได้ยศศักดิ์ยิ่งใหญ่ชื่อฦาเลื่อง
 +
เสมอเดชาคณะเดชะประเทือง  รับพนันแขกเมืองทูตธานี
 +
จึ่งให้แต่งอาศนไว้หกสถาน  สูงตระหง่านเท่ากันเปนศักดิ์ศรี
 +
ดาดเพดานห้อยบุบผาพวงมาลี  มีมุลี่ม่านบังตั้งเครื่องยศ
 +
ถึงวันนัดให้นิมนต์ราชาคณะ  ทั้งสามองค์ที่จะไต่ถามบท
 +
ข้อธรรมปัณหามาลองทด  ครั้นมาหมดให้นั่งอาศน์ปูลาดไว้
 +
ขึ้นที่สูงสามแห่งแต่งไว้ท่า  จึ่งสนทนาพูดพลางทางปราไส
 +
ถามบ้านเมื่องเรื่องอื่นพอชื่นใจ  แกล้งหน่วงให้ชักช้าเวลาเปลือง
 +
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์เห็นนานนัก  แต่ถามซักกันไปไมได้เรื่อง
 +
เห็นที่ว่าสามแห่งแต่งรุ่งเรือง  มีทั้งเครื่องยศประดับรับเถรา
 +
ก็เข้าใจว่าที่ท่านจะมาถาม  เห็นเนิ่นนานในความแก้ปฤษณา
 +
จึ่งเตือนว่าสักเมื่อไรท่านจะมา  จวนเวลาบ่ายเย็นไม่เห็นเลย
 +
ฝ่ายพระศรีธนญไชยไวปัญญา  ว่าจะมาเดี๋ยวนี้ไม่เชือนเฉย
 +
พระผู้เปนเจ้าเจนอรรถสันทัดเคย  ทั้งสามองค์จะเฉลยบทบาฬี
 +
ท่านรู้ธรรมคัมภีร์ฦกซึ้ง  ไม่มีคู่เทียมถึงทั้งกรุงศรี
 +
ข้าพเจ้าเปนแต่เชานอกบุรี  เข้ามาเรียนคัมภีร์ศึกษาธรรม
 +
พึ่งบวชใหม่อายุได้ยี่สิบห้า  มาศึกษาเปนศิษย์คิดเรียนร่ำ
 +
ปัญญาเขลารู้น้อยในถ้อยคำ  ท่านทั้งสามแม่นยำยิ่งเกรียงไกร
 +
ขอนิมนต์สนทนากันเล่นก่อน  พึ่งฝึกสอนจักถามตามสงไสย
 +
พุทธบิดาและไอยกาไซ้  นามอย่างไรบิตุรงค์องค์ไอยกา
 +
อีกทั้งต้นวงษ์พงษ์ศักราช  ลำดับถึงจอมปราชญ์นารถนาถา
 +
พระนครที่สถิตย์กระษัตรา  นามภาราชื่อใดจงไขความ
 +
ราชาคณะสามองค์ฟังปุจฉา  วิสัชนาได้แต่กษัตริย์สาม
 +
ตั้งแต่พุทธบิดาแสดงนาม  สิ้นทั้งสามถึงภูมินทร์นรินทรา
 +
ซึ่งเปนชนกแห่งไอยกานารถ  ต่อขึ้นไปไม่อาจแก้ปัณหา
 +
บอกว่าจำไม่ได้สิ้นปัญญา  ก็นิ่งจนวาจาอยู่เพียงนั้น
 +
ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชย  เห็นว่าไม่ไหวดูอัดอั้น
 +
จึ่งว่าผู้เปนเจ้ามาติดตัน  ถามกันยังค้างข้อไม่ต่อไป
 +
นี่แต่ศิษย์รู้น้อยพลอยมาถาม  ยังแก้ไม่สิ้นความที่สงไสย
 +
ถ้าพระครูสามองค์อันทรงไตร  ท่านถามมาแก้ไม่ได้จะอับอาย
 +
จะนิ่งไม่พริบตาอ้าปากค้าง  แมลงวันหยอดไข่ขางไว้มากหลาย
 +
ไม่รู้ตนจนในปัณหาทาย  ขอจงได้อธิบายบาฬีมา
 +
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ราชาคณะ  ไม่อาจจะแก้ได้ในปัณหา
 +
ได้อายแก่ข้าเฝ้าเหล่าเสนา  ทั้งพระองค์ปิ่นประชาทวาลี
 +
ปราไชยในสนามทั้งสามองค์  ก็เลื่อนลงจากอาศน์มณีศรี
 +
ทูตถวายสินพนันอัญชลี  ขอมาขึ้นบุรีตามสัญญา
 +
ถวายทั้งนาวาสิ้นห้าร้อย  ให้เคลื่อนคล้อยสำเภาเข้าสู่ท่า
 +
ราชาคณะก็ถวายพระพรลา  ทูตไปทูลกิจจาเจ้านายตน ฯ
 +
 +
๏ ชนทั้งหลายชมพระศรีธนญไชย  ว่าว่องไวเจนจัดไม่ขัดสน
 +
กู้บุรีมีไชยไม่อับจน  พระจุมพลตรัสให้อวยไชยพร ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระศรีธนญไชยได้ชำนะ  สึกจากพระมาอยู่เหมือนแต่ก่อน
 +
เปนข้าเฝ้าจอมนรินทร์บดินทร  คู่นครเพิ่มโพธิสมภาร ฯ
 +
 +
๏ ครั้นล่วงกาลนานมามีข้าศึก  ทำโห่ฮึกยกมายั้งตั้งอยู่ด่าน
 +
ได้ทีจะเข้าตีป้อมปราการ  ชิงกราชฐานนคราทวาลี
 +
ชาวด่านทำใบบอกแจ้งราชการ  ให้กราบทูลภูบาลในกรุงศรี
 +
ขุนนางในตำแหน่งแจ้งคดี  เข้าเฝ้าพระภูมีทูลกิจจา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  ฟังอำมาตย์อ่านบอกในเลขา
 +
ว่าข้าศึกยกพลพหลมา  จะตีพระภาราทวาลี
 +
จึ่งสั่งให้เตรียมทัพไว้สรรพเสร็จ  ตีสิบเอ็ดจะเสด็จจากกรุงศรี
 +
อำมาตย์รับพระบัญชาเจ้าธานี  จัดพวกพลโยธีคอยฤกษ์ไชย
 +
รับสั่งให้ธนญไชยตามเสด็จ  ธนญไชยรับโองการมาบ้านตน ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกษประชา  ไม่เห็นธนญไชยมาก็ยกพหล
 +
ให้ทันฤกษ์ยามดีกรีธาพล  ทรงช้างต้นมีกำลังมาตังคพงษ์
 +
หกสิบปีจึ่งหย่อนอ่อนนำลัง  สีคล้ายครั่งล่ำสันสูงรหง
 +
ทั้งห้าวหาญฝึกชำนาญการณรงค์  ควรคู่จักรพรรดิทรงนำกองทัพ
 +
เรียกมันชันหูดูข้าศึก  โกญจนาทก้องกึกไม่ถอยกลับ
 +
แต่ช้างเดียวอาจฝ่าโยธาทัพ  ตะลุยไล่ให้ยับสักหมื่นพัน
 +
ประดับชาภรณ์เรื่องแลเครื่องมั่น  ล้วนสุวรรณเนาวรัตน์เลือกจัดสรร
 +
ห้อยภู่จามรีทั้งสองกรรณ  งามดังเอราวรรณอมรินทร์
 +
เหล่าช้างดั้งช้างกันเปนอันดับ  ก็แข่งขับเคียงคู่ธนูศิลป์
 +
พลม้าควบขนานสท้านดิน ส  เทื้อนด้าวดังจะภินท์พสุธา
 +
เหล่าโยธีมีแรงกำแหงเหี้ยม  ล้ำสั่นเทียมยักษ์มารล้วนหาญกล้า
 +
เลือกตัวดีมีฝีมือถือสาสตรา  สองหัตถาแกว่งดาบปลายเปนเงา
 +
เหล็กถลุงปรุงยาตำราอ้าง  อุส่าห์กรางคลุกน้ำตาลปนกับเข้า
 +
ให้นกกินจนสิ้นที่กรางเอา  มูลกนกกะเรียนใส่เบ้าสูบหลายไฟ
 +
จึ่งชุบแช่แร่พลวงล่วงขวบมา  ผสมยาว่านต่างต่างแลหางไหล
 +
แล้วหลอมหุงปรุงกับเหล็กพระขรรค์ไชย  มาตีได้เปนอาวุธสุดจะคม
 +
ทหารทวนล้วนสกรรจ์มั่นตั้นเติบ  ใจกำเริบรบรับล้วนทับถม
 +
อาบว่านปรุงยาทั้งอาคม  ปากก็อมเหล็กไหลได้อยู่คง
 +
ทหารปืนกว่าหมื่นชำนาญหัตถ์  ทั้งยิงยัดคล่องไวดังใจประสงค์
 +
มีเลขยันต์กันศึกนึกทนง  การณรงค์เคยมีไชยไม่เกรงกลัว
 +
ทหารดั้งเสโลห์ทั้งโตมร  ธนูศรแม่นดีมิใช่ชั่ว
 +
หมายจะพุ่งยิงใครไม่ผิดตัว  ข้าศึกเห็นสั่นหัวระอามือ
 +
พลรถเทียมสินธล้วนต่างสี  สารถีขึ้นขับม้าง่าแส้ถือ
 +
มีนายรถกุมหอกซัดถนัดมือ  ล้วนตัวฦาเรี่ยวแรงกำแหงทยาน
 +
เหล่าจตุรงค์สี่หมู่พรั่งพรูพร้อม  แห่แวดล้อมจอมนรินทร์ปิ่นสถาน
 +
ถึงที่พักจักประทับคชาธาร  มีโองการให้หยุดพลนิกาย
 +
ทรงคอยศรีธนญไชยมิได้มา  จนเวลาสุริฉันตวันบ่าย
 +
ให้หยุดช้างพระที่นั่งพอยั้งสบาย  โยธารายล้อมวงองค์ขัติยา ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายศรีธนญไชยกลับไปบ้าน  จึงคิดอ่านจับไก่ไว้นักหนา
 +
ใส่กรงขังสมดังจิตรจึ่งนิทรา  ตื่นขึ้นกินโภชนาสบายใจ
 +
แล้วเที่ยวเล่นกับเพื่อนเชือนแชเฉย  จนล่วงเลยเวลาหามาไม่
 +
กลับไปบ้านนอนกลางวันไม่พรั่นใจ  ตื่นขึ้นบ่ายแวให้ผูกช้างพลัน
 +
เอาไก่ผูกท้ายช้างกับสัปคับ  เสบียงอาหารเสร็จสรรพขนเลือกสรร
 +
หีบผ้ากาน้ำของสำคัญ  ขึ้นช้างไสไปให้ทันทัพหลวงจร
 +
รีบขับช้างย่างยาวก้าวเหยียดเหยาะ  หวังจำเภาะทัพใหญ่ไม่หยุดหย่อน
 +
พอบ่ายเย็นเห็นพหลพลนิกร  พักร้อนล้อมพลับพลาพนาวัน
 +
รีบให้ถึงคชาเข้ามาเฝ้า  ถวายบังคมก้มเกล้าขมีขมัน
 +
ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองขุ่นเคืองครัน  ตรัสว่าเฮ้ยอย่งไรนั่นจึงช้านาน
 +
สั่งให้มาก่อนไก่ทำไมอยู่  ให้ตัวกูคอยจนบ่ายสุริยฉาน
 +
ไม่ทำตามคำว่าต้องท่านาน  จงให้การมาอย่าช้าว่ากระไร
 +
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งถาม  จึงทูลความว่าหม่อมฉานมาก่อนไก่
 +
ผูกไว้ที่ท้ายช้างร้องอึกไป  ขึ้นนั่งได้ก่อนไก่แล้วจึงมา
 +
มิได้ทำล่วงเกินพระโองการ  ควรมิควรขอปรทานซึ่งโทษา
 +
เปนช้างเดียวเปลี่ยวใจจึงได้ช้า  พระอาญาล้นเกล้าด้วยเบาความ ฯ
 +
 +
 +
๏ ครานั้นธิบดินทร์นรินทร์ราช  ฟังทูลว่าเห็นฉลาดไม่เข็ดขาม
 +
จะให้ฆ่าเสียก็ได้ไม่ทำตาม  ทรงตรองความเห็นจริงแล้วนิ่งไว้
 +
จึงดำรัสการรบกับเสนา  ตามมหาพิไชยสงครามใหญ่
 +
จงตั้งจิตรรบตีให้มีไชย  ทั้งนายไพร่อย่าย่อท้อต่อสงคราม
 +
แล้วยกพลล่งไปใกล้วถึงด่าน  พวกข้าศึกไม่ต่อต้านกลัวเข็ดขาม
 +
เห็นรี้พลคร้นครึกให้นึกคร้าม  ดูล้นหลามแน่นป่าไม่กล้ารบ
 +
กำลังพลตนน้อยก็ถอยล่า  ยกโยธารีบลี้เลี่ยงหนีหลบ
 +
แพ้พ่ายไปแต่ไกลไม่ทันรบ  พระจอมภพนคราทวาลี
 +
เห็นข้าศึกสัตรูหมู่คิดร้าย  แตกกระจัดกระจายกระเจิงหนี
 +
ก็ยกทัพกลับคืนเข้าบุรี  ทรงคอยที่จะเอาผิดธนญไชย ฯ
 +
 +
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรภพทวาลี  เสด็จประพาศสวนศรีอุทยานใหญ่
 +
ชมพฤกษาดอกผลที่ปลูกไว้  สำราญพระไทยรื่นเริงบรรเทิงครัน
 +
ทอดพระเนตรผลพริสุกแดงฉาน  เต็มทั้งต้นภูบาลเกษมสันต์
 +
ดำริห์ไว้ในพระไทยให้ผูกพัน  จะเสวยพริกนนั้นสักเวลา
 +
เสด็จกลับยังพระราชวังสถาน  นฤบาลดำรัสตรัสให้หา
 +
ธนญไชยตัวดีมีปัญญา  รับสั่งว่าไปเก็บพริกมาไวไว
 +
กูจะกินกับอาหารเวลานี้  รีบไปที่สวนอย่าช้าเก็บมาให้
 +
ธนญไชยรับโองการคลานออกไป  ถึงอุทยานหมายใจจะเก็บพริก
 +
เห็นสุกแดงเต็มต้นไม่หล่นร่วง  ครั้นจะล่วงเกินเข้าเก็บด้วยเล็บหยิก
 +
ไม่รับสั่งให้เด็ดให้เก็บพริก  ลมไม่พัดให้ระดิกกระเด็นเลย
 +
จะเด็ดเอาที่บนต้นก็เกินรับสั่ง  ครั้นจะนั่งคอยดูอยู่เฉยเฉย
 +
ก็ป่วยการจำจะผิวปากตามเคย  ให้พระพายพัดรำเพยพยุมา
 +
คิดแล้วจึ่งเข้านอนอยู่ใต้ต้น  คอยท่าให้พริกหล่นตามปรารถนา
 +
ฝ่ายพระองค์พงษ์กระษัตริย์ขัติยา  คอยธนญไชยเห็นช้าเนินนานนัก
 +
จึงตรัสใช้มหาดเล็กไปตามดู  อย่างไรอยู่ถามไถ่ให้ประจักษ์
 +
เก็บพริกที่สวนควรฤาอยู่ช้านัก  เที่ยวเชือนชักกาลให้เนินเกินเวลา
 +
มหาดเล็กได้รับสั่งมายังสวน  เที่ยวทบทวนเสาะแสดงทุกแห่งหา
 +
ได้ยินเสียงผิวปากใกล้าพลับพลา  ก็ตามไปไม่ช้าได้พบตัว
 +
เห็นนอนอยู่ใต้ต้นพริกกะดิกนิ้ว  กำลังผิวปากจึ่งเตือนว่าเจ้าอยู่หัว
 +
สั่งให้เก็บพริกมานอนซุกซ่อนตัว  เหมือนไม่กลัวรับสั่งใช้ให้มาดู
 +
ธนญไชยตอบว่ามีโองการ  ให้เก็บพริกในอุทยานก็จริงอยู่
 +
แต่ผลพริกมิได้หล่นก็คอยดู  จะเด็ดบนต้นเปนสู่รู้ล่วงเกินไป
 +
จะนั่งคอยพริกหล่นก็ป่วยการ  จึ่งคิดอ่านเรียกชมพยุใหญ่
 +
ให้พัดผลพริกหล่นเหมือนอย่างใจ  จะเก็บไปถวายองค์พระทรงธรรม
 +
แม้นกริ้วกราดว่ามาช้าก็ควรการ  ด้วยทรงคอยอยู่นานจึ่งหุนหัน
 +
ถ้าจะเด็ดพริผลบนต้นนั้น  สักสามหนก็จะทันไม่เนิ่นนาน
 +
นายจงไปกราบทูลตามมูลเหตุ  ให้ทรงเดชทราบตามที่คิดอ่าน
 +
มหาดเล็กมาสนองพระโองการ  ตามธนญไชยว่าขานให้กราบทูล ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง  ที่แค้นคั่งค่อยคลายกริ้วหายสูญ
 +
ทรงเห็นจริงด้วยได้สั่งตามเหตุมูล  ที่อาดูรเดือดดาลสำราญไป ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าธนญไชยไม่ได้พริก  ด้วยทำพลิกแพลงให้ควรสำนวนใหญ่
 +
เห็นนานช้ากลับมาเฝ้าพระทรงไชย  ทูลตามเหตุที่ไม่ได้จนสิ้นความ ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนครเรศประเทศสถาน  ฟังธนญไชยทูลสารไม่เข็ดขาม
 +
ทรงดำริห์ว่าอ้ายนี่มิใช่ทราม  จะไล่ถามสักกี่หนไม่จนเลย
 +
จึ่งดำรัสถาว่าปัญญนั้น  เองขังคั่นไว้ในท้องคอยตรองเฉลย
 +
ฤามีตัวปรากฎไม่หมดเลย  จงเปิดเผยลอกมาอย่างอำพราง
 +
ธนญไชยทูลว่าปัญญาหม่อมฉัน  ในท้องนั้นไม่สู้มากก็มีบ้าง
 +
มีตัวข้างนอกเลี้ยงไว้มิได้พราง  ใส่ปล้องไม้หม่อมแนวางไว้ในเรือน
 +
เพราะเปนตัวบินได้ต้องใส่กระบอก  แม้นปล่อยออกก็จะหนีด้วยมีเพื่อน
 +
จึ่งขังใส่ปล้องไม้มิให้เชือน  ต้องเลี้ยงไว้ในเรือนให้มิดชิด
 +
พระทรงฟังว่าซึ่งปัญญาได้  ใส่ปล้องไม้ซ่อนไว้ฦกผนึกปิด
 +
ดำรัสว่าตัวปัญญาเจ้าความคิด  ของเองมากหลายชนิดจงแบ่งปัน
 +
กูจะแจกอีสาวสาวพวกชาวใน  มันจะได้มีปัญญามากเข้มขัน
 +
เหมือนตัวเองไม่มีคู่รู้เทียมทัน  อย่างไรนั่นให้มิให้จงไขความ
 +
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งขอ  นึกหัวร่ออยู่ในใจไม่เข็ดขาม
 +
จึงทูลว่าสิ่งนี้มิใช่ทราม  ที่พึงใจต้องห้ามหวงระวัง
 +
แด่พระเดชพระคุณเปนที่ยิ่ง  เปนความจริงไม่อยากให้ใครสมหวัง
 +
ต้องถวายมิไคิดจะปิดบัง  ด้วยใจตั้งพึ่งพระโพธิสมภาร
 +
กราบทูลแล้วบังคมลามาสู่เรือน  คิดจะใคร่ปิดเงื่อนไม่แผ่ซ่าน
 +
ได้สิ่งไรหนอถวายพระภูบาล  นึกรำคาญแล้วคิดได้ไวปัญญา
 +
อย่าเลยนะจะถวายตัวต่อผึ้ง  คิดแล้วจึ่งเที่ยวทุกแห่งแสวงหา
 +
เปนห้าวันได้ตัวผึ้งต่อแตนมา  ใส่กระบอกปิดฝาไว้เรือนตน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถาน  คอยธนญไชยไม่พบพานก็ทรงบ่น
 +
รับสั่งให้หาพระสนมมาทุกคน  ตรัสว่าปัญญาไม่จนธนญไชย
 +
มันบอกว่ามีตัวเลี้ยงไว้มาก  อีเหล่านี้ใครอยากจะใคร่ได้
 +
พระสนมทูลทุกคนอยากจะได้ไว้  ปัญญาเหมือนศรีธนญไชยจะใคร่มี
 +
จึงตรัสว่าถ้าอยากได้ไปหามัน  ขอแบ่งสรรปัญญาอ้ายขุนศรี
 +
พระสนมบังคมอัญชลี  ทูลลาพระภูมีออกจากวัง
 +
ทั้งโขลนจ่าทนายเรือนกล่นเกลื่อนมา  ตำรวจวังนำน่ากำกับหลัง
 +
มาบ้านศรีธนญไชยไม่รอรั้ง  กรมวังบอกว่ามีพระโองการ
 +
รับสั่งใช้ให้มาขอตัวปัญญา  พระสนมมาหาจนถึงบ้าน
 +
จงแบ่งปันตัวปัญญาอย่าช้านาน  ตามโองการพระภูมินทร์นรินทร
 +
</tpoem>
 +
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟัง  ทำเปนนั่งเศร้าทอดฤไทยถอน
 +
ในอุบายเหมือนเสียดายต้องทุกข์ร้อน  จึ่งตอบว่าแต่ก่อนรับสั่งมา
 +
ให้ข้าพเจ้าเอาปัญญาไปถวาย  ความเสียดายเพราะยังรักอยู่นักหนา
 +
บัดนี้มีพระราชบัญชา  ให้ท่านข้างในขอปัญญามาถึงเรือน
 +
จะขืนขัดก็ไม่ได้ต้องให้ปัน  แต่คนละตัวเท่านั้นเลี้ยงเปนเพื่อน
 +
พอมีเชื้อต่อพันธุ์ให้เต็มเรือน  ตัวเดียวเหมือนมากด้วยฬ่อต่อกันมา
 +
ว่าแล้วหยิบกระบอกมาจากห้อง  พระสนมต่างร้องขอบ้างหนา
 +
เข้าเบียดเสียดแซกกันขอปัญญา  ลางคนว่าอยากได้มากหลายหลากกัน
 +
ธนญไชยว่าอยากได้ทำไมมาก  แต่คนละตัวเถอะจะภาคส่วนแบ่งสรร
 +
พอเปนเชื้อเลี้ยงในเรือนเหมือนกัน  ข้าเจ้าจะทำพันธุ์ต่อต่อไป
 +
ทั้งจะถวายพระองค์ดำรงราษฎร์  ตัวฉลาดเกิดปัญญาหาพอไม่
 +
จึ่งให้พระสนมนางข้างฝ่ายใน  แบฝ่ามือว่าจะให้ตัวปัญญา
 +
ฝ่ายนางในแบหัดถามาทุกคน  ขุนธนญเปิดกระบอกขึ้นต่อหน้า
 +
ตัวผึ้งต่อแตนแล่นออกมา  ท่านข้างในต่างคว้าจะจับตัว
 +
ตัวปัญญาสามชนิดมีพิศม์ร้าย  ก็ต่อยกายแขนหน้าบ้างต่อยหัว
 +
ทั้งปรางถันคันเจ็บไปทั้งตัว  สัตว์ชาติชั่วเข้าร่มผ้าไม่ว่าใคร
 +
ปะที่ไหนต่อยให้ทุกแห่งหน  พระสนมเหลือทนบ้างร้องไห้
 +
เสียงกราดกรีดหวีดว่าธนญไชย  แกล้งจะให้ล้มตายได้อายคน
 +
ธนญไชยทำเปนห้ามตัวปัญญา  ทำไมต่อยท่านเล่าหวาออกปี้ป่น
 +
อย่าทำเช่นนั้นจงหยุดอย่าซุกซน  ตัวปัญญาก็บินวนไล่ต่อยตอม
 +
ธนญไชยว่าเพราะท่านทำให้วุ่น  มาแย่งชิงชุลมุนไม่ค่อยถนอม
 +
ตัวปัญญาขึ้งโกรธโลดไล่ตอม  ข้าพเจ้าก็ต่อยงอมไปเหมือนกัน
 +
โกรธขึ้นมามิได้ว่าเปนเจ้าของ  แม้นจับต้องเข้าไม่ได้ใจหุนหัน
 +
จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ทัน  สุดจะกั้นกางได้ว่องไวนัก
 +
พรสนมต้องต่อแตนมันต่อย  บวมผื่นยับย่อยเจ็บปวดหนัก
 +
ต่างวิ่งหนีล้มคว่ำคะมำภักตร์  นอกชานหักตกเรือนเรียกเพื่อนอึง
 +
บ้างหน้าแตกแขนหวะโลหิตไหล  โดนกันเองวุ่นไปหนีต่อผึ้ง
 +
ต่างต่างวิ่งย่างยาวก้าวตะบึง  มาจนถึงที่เฝ้าเจ้าจุมพล ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงนิเวศน์ครองเขตรขัณฑ์  เห็นพระสนมกำนัลวิ่งสับสน
 +
แกล้งให้ได้อับอายไม่หายเลย  มิได้เคยเจ็บกายแทบวายปราณ ฯ
 +
กายาเหล่านารีล้วนพิกล  บวมผื่นไปทุกคนแปลกไนยนา
 +
จึ่งรับสั่งถามว่าเปนเหตุไฉน  เออเมื่อไปแต่งกายงามสง่า
 +
ครั้นเมื่อกลับมาบวมผิดในตา  ทั้งกายาผิดผื่นบื่นโนนอ
 +
พระสนมทูลว่าปัญญาต่อย  มิใช่น้อยบินร่อนว่อนเปรียวปร๋อ
 +
ตัวลายลายเหลืองเหลืองต่อยคางคอ  เหมือนผึ้งต่อแตนมีพิศม์ไม่ผิดกัน
 +
ต่อยที่ไหนร้อนดังไฟทั้งปวดเจ็บ  ซ่านทั่วกายชาเหน็บไม่เศกสรร
 +
เกล้าหม่อมฉานเหลือทนบ่นรำพรรณ  ไม่เคยเปนเช่นนั้นอยู่ในเวียง
 +
กราบทูลกล่าวโทษธนญไชย  ร่ำพิไรโศกสอื้นครั้นครื้นเสียง
 +
ว่าพระองค์ทรงเมตตาได้ชุบเลี้ยง  ไม่ลำเอียงแนทาข้าทั้งปวง
 +
มีพระคุณล้นเกล้าเหล่าหม่อมฉัน  พระทรงธรรม์อาชญาก็ใหญ่หลวง
 +
มิได้ทรงให้เจ็บช้ำระกำทรวง  น้ำเนตรร่วงเหมือนครั้งนี้ไม่มีเลย
 +
ธนญไชยทำแก่เกล้าหม่อมฉาน  เหลือประมาณจะกราบทูลมูลเฉลย
 +
ครานั้นพระองค์ดำรงโลกย์  เห็นสาวสรรค์เศร้าโศกแซ่เสียงประสาน
 +
ทูลกล่าวโทษธนญไชยให้เดือดดาล  พระภูบาลซักซ้ำให้คำยืน
 +
ว่าตัวปัญญานั้นคล้ายผึ้งต่อแตนหรือ  พระสนมประนมมือไม่ฝ่าฝืน
 +
ทูลคงคำซ้ำประดังว่ายั่งยืน  พระยิ่งตื้นตันแน่นแค้นพระไทย
 +
ตรัสว่าจริงเหมือนอย่างว่าจะฆ่าเสีย  เลี้ยงไว้ไยเปลืองเบี้ยหวัดที่ให้
 +
น้อยฤานั่นอ้ายขุนศรีธนญไชย  มันทำได้ไม่เกรงกลัวหัวจะปลิว
 +
จึ่งรับสั่งว่าให้หาตัวเข้ามา  ตำรวจรับพระบัญชาวิ่งออกฉิว
 +
ถึงบ้านศรีธนญไชยไม่บิดพลิ้ว  พูดขึ้นนิ้วบอกสิ้นตามโองการ
 +
ว่าบัดนี้พระสนมทูลกว่าวโทษ  ในคำโจทย์ว่าท่านทำอาจหาญ
 +
ทำงามหน้าแล้วครั้งนี้มีโองการ  ให้หาท่านไปไวไวเข้าในวัง
 +
ธนญไชยได้ฟังคำตำรวจว่า  ก็รีบมาเฝ้าพระบาทต่อภายหลัง
 +
ฝ่ายพระจอมนคเรศนิเวศน์วัง  ให้แค้นคั่งมิได้ตรัสอัดอั้นเคือง
 +
ทอดพระเนตรเห็นขุนศรีธนญไชย  ด้วยนางในทูลยกโทษอยู่หลายเรื่อง
 +
น้อยพระไทยไม่อยากได้ไว้ในเมือง  จะใคร่ฆ่าแก้เคืองขัดฤไทย ฯ
 +
 +
 +
๏ ฝ่ายขุนธนญคนบิดพลิ้วเห็นกริ้วกราด  เพื่อนองอาจมิได้พรั่นไม่หวั่นไหว
 +
จึ่งกราบทูลว่ามีรับสั่งไว้  พระโปรดให้นำตัวปัญญามา
 +
หม่อมฉันก็จะจับมาถวาย  ครั้นสนมทั้งหลายออกมาหา
 +
ว่าโปรดให้มางอนง้อขอปัญญา  ครั้นเปิดไขตัวปรีชาจากปล้องไม้
 +
ต่างคนต่างแย่งชิงกันจะจับ  ตัวปัญญาหวนกลับมาต่อยให้
 +
ถึงเกล้ากระหม่อมผู้เจ้าของซึ่งเลี้ยงไว้  ก็ต่อยยับแล้วหนีไปจนสิ้นตัว
 +
ครั้นจะว่าก็เกรงพระอาชญา  ด้วยว่ามีบัญชาเจ้าอยู่หัว
 +
ก็จนใจไม่ว่าขานหม่อนฉานกลัว  ควรมิควรเปนคนชั่วไม่มีดี ฯ
 +
ฝ่ายพระองค์ทรงฟังให้คั่งแค้น  ด้วยห้ามแหนแสนสุรางค์มาป่นปี้
 +
ทั้งนางในกล่าวโทษยกคดี  พระผุ้ผ่านทวาลีขุ่นเคืองนัก
 +
ถอดพระแสงทรงง่าจะฆ่าขุนศรี  แล้วกลับมีพระสติทรงหวนหัก
 +
ความพิโรธให้หย่อนค่อยผ่อนพัก  นึกถึงคำทรงศักดิ์พระบิตุรงค์
 +
ได้ฝากฝังครั้งประชวรจวนล่วงลับ  ทรงกำชับไม่ให้ฆ่าตามประสงค์
 +
ถึงผิดพลั้งรั้งรอให้ชีพคง  ครั้นฆ่าลงบ้านเมืองจะวุ่นวาย
 +
หนึ่งพระบรมอัฐิจะติโทษ  เกิดพิโรธร้าวรานไม่รู้หาย
 +
ก็คืนพระแสงคงฝักจำหลักลาย  ครั้นค่อยคลายขุ่นเคืองในเรื่องความ
 +
ก็ทรงวางพระแสงดแล้วตรัสวตวาด  เฮ้ยอ้ายชาติชั่วทำแต่หยาบหยาม
 +
ตั้งแต่นี้อย่าเข้ามาวู่วาม  ไม่ขอดูหน้าเองจะชามมาหลอกล้อ
 +
ไปเสียเดี๋ยวนี้อ่ารีรอ  เฮ้ยตำรวจไสคอเสียจากวัง ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชย  เห็นพระองค์เคืองฤไทยยังแค้นคั่ง
 +
กราบถวายบังคมลาไม่รอรั้ง  ในใจตั้งจะแก้แค้นพระทรงฤทธิ์
 +
ไม่สู้ทุกข์สู้ร้อนนอนสบาย  ตรองไม่วายจะกลบเกลื่อนที่ความผิด
 +
แก้ให้ได้สักครั้งตั้งใจคิด  พอเจ็ดวันจอมอิศราประชา
 +
เสด็จเลียบพระนครปทักษิณ  ธนญไชยขุดดินไว้คอยท่า
 +
ให้เปนหลุมฝังศีศะในพสุธา  ชูแต่ก้นขึ้นมาขวางน่าขบวน
 +
ครั้นเสด็จมาถึงประเทศนั้น  ทอดพระเนตรเห็นขันก็ทรงพระสรวล
 +
รับสั่งว่าใครทำดูไม่ควร  ขวางขบวนชี้ก้นพิกลกาย
 +
อำมาตย์ทูลมูลคดีว่าศรีธนญ  ฝังศีศะชูแต่ก้นขึ้นถวาย
 +
ไม่ให้ทอดพระเนตรหน้าเปนคนร้าย  ทำอุบายซ่อนเศียรให้เมี้ยนมิด
 +
รับสั่งไว้ว่าไม่ขอเห็นหน้า  ฝังภักตราด้วยว่าตนเปนคนผิด
 +
ให้ทอดพระเนตรแต่กาหายหัวมิด  ถวายองค์ทรงฤทธิคิดชขอบกล ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  ฟังอำมาตย์กราบทูลได้เหตุผล
 +
เคืองพระไทยด้วยได้เห็นศรีธนญ  ชูแต่ก้นขึ้นถวาอายพระไทย
 +
จึ่งรับสั่งให้กลับช้างที่นั่ง  เข้าราชวังมณเฑียรอันสุกใส
 +
ฝ่ายว่าเจ้าขุนศรีธนญไชย  ขึ้นจากหลุมก็ไปยังบ้านต้น ฯ
 +
 +
๏ ถึงเดือนหกศกใหม่เขาไถนา  ทั่วขอบเขตรภาราทุกแห่งหน
 +
ราษฎรต่างไถไร่นาตน  ศรีธนญครั้นเห็นเขาไถนา
 +
นึกในใจว่าการไถไร่นานี้  ชื่อว่ากลับปัถพีทุแหล่งหล้า
 +
ทำข้างบนกลับลงพสุธา  จอมประชาตรัสวากลับพื้นแผ่นดิน
 +
จึ่งให้เข้าเฝ้าเบื้องยุคลบาท  แต่เราขาดเฝ้ามากว่าปีสิ้น
 +
ครั้งนี้แลจะได้เฝ้าพระภูมินทร์  กับแผ่นดินตามโองการบรรหารมา ฯ
 +
 +
๏ คิดแล้วจึ่งเข้าเฝ้าพระบาท  จอมทวาลีราชารถนาถา
 +
ถวายบังคมท่างามครบสามครา  หมอบตามยศถาตำแหน่งขุนนาง ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระผู้ผ่านทวาลี  เห็นขุนศรีธนญไชยให้ขัดขวาง
 +
เคืองพระเนตรแล้วตรัสดำรัสพลาง  กูห้ามไว้อย่างไรวางวิ่งเข้ามา
 +
ได้สั่งแล้ว่าถ้าแผ่นดินกลับ  สิ้นบังคับจึ่งเขัาในวังหนา
 +
กูยังอยู่มิได้ผลัดกระษัตรา  เองเข้ามาว่ากะไรไม่ทำตาม ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชย  จึ่งทูลไปด้วยปัญญาไม่เข็ดขาม
 +
ข้อซึ่งดำรัสตรัสห้ามปราม  ไม่ลวนลามล่วงเกินพระโองการ
 +
มีรับสั่งว่าแผ่นดินกลับจึ่งมา  ก็บัดนี้พสุธาประเทศสถาน
 +
กลับแล้วตามพระราชโองการ  กระหม่อมฉานจึ่งมาเฝ้าเจ้าจุมพล
 +
ไม่ทรงเชื่อโปรดให้มหาดชา  เที่ยวดูนอกพาราทุกแห่งหน
 +
จะเห็นจริงแจ้งใจในยุบล  มิได้นำเล่ห์กลมากราบทูล ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถาน  ฟังขุนศรีทูลสารนเรนทร์สูร
 +
ทรงดำริห์ตริความตามเหตุมูล  จอมประยูรยังให้สงไสยนัก
 +
จึ่งตรัสใช้มหาดเล็กที่ปรีชา  ไปเที่ยวรอบภาราให้เห็นประจักษ์
 +
มหาดเล็กคลานออกมาไม่หยุดพัก  เที่ยวดูให้แน่กตระหนักทั่วนคร
 +
ครั้นไปก็ได้เห็นเขาไถนา  แล้วกลับมาทูลบพิตรอดิศร
 +
ว่าเกล้ากระหม่อมไปได้เห็นราษฎร  เขาไถนารอบนครทวาลี ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศระเทศสถาน  ฟังทูลแล้วทรงวิจารณ์คำขุนศรี
 +
อันธรรมดาว่าการไถนานี้  ชื่อว่ากลับปัถพีจริงของมัน
 +
ก็ค่อยคลายหายเคืองที่เรื่องผิด  ทรงยกโทษใช้สนิทไม่เดียดฉัน
 +
ธนญไชยได้มาเฝ้าพระทรงธรรม์  เปนนิรันดรมาเหมือนก่อนกาล ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงกษัตราเบญจาละรา  ร้ายกาจเรี่ยวแรงกำแหงหาญ
 +
ครองกรุงเบญจามาช้านาน  มีพลรบเชี่ยวชาญการณรงค์
 +
ทรงดำริห์จะใคร่ได้ทวาลี  เปนบุรีขึ้นนครโดยประสงค์
 +
จึงยกนิกรพลพะลาข้ามป่าดง  รถดุรงค์บทจรกุญชรไชย
 +
มาตั้งค่ายรยรอบแดนต่อแดน  ดูหนาแน่นเทียวธงดูไสว
 +
ฝ่ายชาวด่านแจ้งการอรินไภย  มาอยู่ใกล้ด่านแดนแน่นหนานัก
 +
ก็ร่างคำทำหนั่งสือใมบบอกมา  ให้คนรีบแจ้งกิจจาหมู่ปรปักษ์
 +
มาห้าวันเร่งร้อนไม่ผ่อนพัก  แจ้งขุนนางให้ประจักษ์ข่าวดัษกร
 +
ว่ามีทัพกรุงกระษัตริย์เธอยกมา  ตั้งริมด่านชายป่าเชิงศิงขร
 +
ขุนนางทูลข่าวศึกพระภูธร  ตามใบบอกชาวดอนแดนต่อแดน ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชา  ทรงฟังบอกอักขราเห็นหนาแน่น
 +
ว่ามีศึกกรุงกระษัตริย์มาติดแดน  ยกหมู่แสนยากรจะรอนราญ
 +
จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชย  เข้ามาแล้วสั่งให้ออกจากสถาน
 +
เปนแม่ทัพพลขันธ์ประจัญบาน  ให้ทวยหาญฟังบังคับธนญไชย
 +
ด้วยศรีธนญคนดีมีปัญญา  เพลงสาตราวุธก็คล่องควรรบได้
 +
แล้วความคิดบิดพลิ้วก็ว่องไว  เองจงไปสู้ศึกอย่านึกกลัว
 +
ธนญไชยรับพระราลชโองการ  ไม่อาจขัดบรรหารเจ้าอยู่หัว
 +
แต่ไม่สู้เต็มใจให้นึกกลัว  มาถึงบ้านคลุมหัวรนอนรำพึง
 +
ว่ารับสั่งครั้งนี้ให้ไปรบ  พระจอมภพจะแกล้งให้ความตายถึง
 +
แล้วนึกได้ใจกล้าไม่พรั่นพรึง  คิดคำนึงได้อุบายให้ช้าการ
 +
ลุกขึ้นได้ตัดไม้ไผ่มาผ่า  จักตอกสานหับว่าจะใส่อาหาร
 +
แต่ต้นจนล่วงสามทิวาวาร  ก็นั่งสานหับใหญ่ไม่ไปทัพ
 +
พวกพหลพลนิกายทั้งนายไพร่  คอยท่าศรีธนญไชยเตรียมเสร็จสรรพ
 +
ทั้งลูกดินของกินเสบียงทัพ  ธนญไชยสานหับไม่แล้วเลย
 +
ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองทวาลี  ทราบว่าศรีธนญไชยนอนใจเฉย
 +
ยังไม่ไปไชยชิงนิ่งละเลย  ให้ไปเตือนเพื่อนก็เฉยไม่รีบร้อน
 +
จึ่งรับสั่งให้ถามธนญไชย  ว่าอย่างไรเนิ่นช้าว่ามาก่อน
 +
ธนญไชยให้กราบทูลพระภูธร  ว่ายังสานหับจะคอนใส่เสบียง
 +
ครั้นหลายวันก็รับสั่งให้เตือนซ้ำ  บอกว่าทำหับไม่แล้วพูดหลีกเลี่ยง
 +
ฝ่ายพระองค์ทราบว่าสานใส่เสบียง  จะโตเพียงไหนมิใคร่จะแล้วลง
 +
มันจะสานหับใหญ่ทำไมหนอ  กระบวนทัพคอยรอไม่สมประสงค์
 +
อยู่เนิ่นนานมิได้การณรงค์  มันทนงไว้ ใจพวกไพรี
 +
รับสั่งเตือนให้เร่งยกกองทัพ  ก็พบอหับสานแวโตได้ที่
 +
ได้แปดอ้อมหาไม้ไผ่อันยาวรี  ได้สามวาพอดีจะทำคาน
 +
ปั้นเข้าสุกปั้นหนึ่งไส่ในหับ  คอนขึ้นบ่านำทัพมาน่าฉาน
 +
เปนแม่ทัพออกน่าถึงทวาร  หับที่สานโตกว่าประตูเมือง
 +
ออกไม่ได้ติดคับทัพก็คั่ง  ค่อยรอรั่งนายทัพอยู่แน่นเนื่อง
 +
ขุนนางเห็นหับคับประตูเมือง  กราบทูลให้ทราบเรื่องนายทัพไชย
 +
ว่าหับคับประตูเมืองฝืดเคืองนัก  กองทัพต้องรอพักไปไม่ได้
 +
ฝ่ายพระองค์ทรงฟังคั่งแค้นฤไทย  ตรัสให้ห้ามว่าอ่าไปเลยรำคาญ
 +
ขุนนางรับพระโองการก็มาบอก  ไม่ให้ออกไปรบตามบรรหาร
 +
ธนญไชย ได้ฟังก็ชื่นบาน  สมที่การคิดจะไม่ไปสงคราม
 +
จึ่งแกล้งว่าข้าหมายจะไปทัพ  ฉลองพระคุณตามตำหรับไม่เข็ดขาม
 +
ทำไมจึ่งรับสั่งให้ห้ามปราม  ขัดไม่ได้ต้องตามพระโองการ
 +
ว่าแล้วก็กลับยังเคหา  สมปราถนาบริโภคกระยาหาร
 +
ครั้นอิ่มแล้วนอนเล่นให้สำราญ  จับหนังสือโคลงมาอ่านสบายใจ ฯ
 +
</tpoem>
 +
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ฝ่ายว่าเสนาผู้นายทัพ  ก็เร่งขับพลนิกายทั้งนายไพร่
 +
ถึงแดนต่อแดนตั้งแสนยากรไว้  บังคับให้ตั้งค่ายรายเรียงกัน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นกรุงกษัตราปัญจาละราช  เห็นพหลพลดาดดนมหันต์
 +
ล้วนทัพเมืองทวาลีมีมากครัน  แน่นอนันต์ม้ารถคชไกร
 +
ทั้งทหารบทจรศรกำซาบ  ถือหอกดาบทวนธนูดูไสว
 +
ทั้งโล่ห์เขนปืนยาแลน่าไม้  ดังน้ำไหลล้นหลามตามมรคา
 +
นึกสดุ้งหวาดหวี่นพรั่นในศึก  เสียงพิฦกโห่ลั่นสนั่นป่า
 +
ก็ล่าทัพกลับคืนพระภารา  ไม่อาจสู้เกรงเดชาพระทรงธรรม์ ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่ากองทัพทวาลี  เห็นข้าศึกล่าหนีจากเขตรขัณฑ์
 +
บอกหนังสือมาแจ้งข่าวศึกนั้น  ให้ทูลองค์ทรงธรรม์ จะถอยทัพ
 +
ฝ่ายว่าพระผู้ผ่านมไหสวรรย์  เกษมสันต์ด้วยข้าศึกล่าหนีกลับ
 +
สั่งมีตราให้หากระบวนทัพ  คืนนครอยู่รับราชการ
 +
ส่วนนายพลทราบยุบลว่าให้หา  ก็ยกทัพกลับมายังราชฐาน
 +
เข้าเฝ้าทูลกิจจาทุกประการ  พระประทานรางวัลตามไพร่นาย ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงกรุงกษัตริย์อยู่เมืองเทศ  เปนเจ้าเขตรแดนชวาสิ้นทั้งหลาย
 +
มีแขกดำล่ำสันสกรรจ์กาย  ดำชลสายทนนักในพักเดียว
 +
กลั้นใจอยู่ได้ถึงเจ็ดวัน  ไม่มีใครคู่ขันสั่นเศียรเสียว
 +
ไม่ขอสู้ดำคงคากลัวหน้าเซียว  ข่าวเกรียวเลื่องชื่อฦาขจร
 +
ฝ่ายพระเจ้าเมืองเทศเขตรชวา  ทรงนิทราเหนือที่บรรจฐรณ์
 +
ดำริห์ว่าจะพนันเอานคร  ทวาลีรเขตรดอนแดนชาวไทย
 +
จึ่งแต่งเรือสลุบมาห้าลำ  กับราชสารเปนคำชวาวิไสย
 +
ให้ราชทูกเชิญสารลงเรือไบ  กับคนใหญ่ประดาน้ำกายดำนิล
 +
ออกนาวาจากท่ามาไม่หยุด  ให้รีบรุดแล่นฝ่าชลาสินธุ์
 +
มาลิบลิบไรไรไกลแผ่นดิน  ห้าเดือนก็ถึงถิ่นทวาลี
 +
ทอดสมอที่ชวากอ่าวปากน้ำ  ยกธงดำตามประสากลาสี
 +
ด่านปากน้ำรู้ความตามคดี  ให้คนรีบมาบุรีแจ้งกิจจา
 +
ฝ่ายเสนาผู้ว่าต่างประเทศ  ได้ทราบเหตุแล้วทูลจอมนาถา
 +
ว่าราชสารบ้านเมืองเขตรชวา  มีเข้ามาถึงปากน้ำห้าลำจร
 +
ได้ทรางทราบสั่งให้รับทูตชวา  มีเข้ามาถึงปากน้ำห้าลำจร
 +
ได้ทรงราบสั่งให้รับทูตชวา  เหมือนเคยรับทูตมาแต่ก่อนก่อน
 +
ขุนนางรับโองการพระภูธร  ก็จัดเรือออกสลอนลงไปรับ
 +
เรืองแห่แลเรือใส่ราชสาร  พนักงวานตามตกแหน่งให้กำกับ
 +
ขุนนางก็กระทำตามบังคับ  พณหัวสั่งให้รับทูตชวา
 +
เรือกระบวนถึงชวากอ่าวปากน้ำ  ก็เรียงลำเรือแห่อยู่คอยท่า
 +
รับทูตแลสารเสร็จแล้วมิช้า  ก็แห่มายังนครทวาลี
 +
ฝ่ายราชทูตก็เข้าเฝ้าพระบาท  บรมนารถผู้ดำรงบุรีศรี
 +
ขุนนางเฝ้าครบตำแน่งแห่งมนตรี  อู่ตามทีตามยศดูงดงาม
 +
ทูตชวาก็เชิญราชสาร  ชูบานทองถวายเจ้าจอมสยาม
 +
ก็ทรงรับให้อาลักษณ์อ่านข้อความ  ให้แขกล่ามคอยแปลภาษาชวา
 +
ในลักษณ์พระราชสารศรี  เจ้าบุรีอัษฎงค์ทรงยศถา
 +
ขอเจริญทางพระราชไมตรีมา  ถึงพระองค์ทรงเดชาทวาลี
 +
หวังพระไทยจะใคร่เล่นการพนัน  ให้ดำน้ำสู้กันไม่ถอยหนี
 +
ถ้าแพ้จะเสียพนันตามอันมี  ให้เปนศรีพระนครขจรยศ
 +
ประดาน้ำเมืองชวาที่มานี้  ดำวารีได้เจ็ดวนกลั้นใจอด
 +
ถ้าในเมืองทวาลีมีอย่างด  มาดำนู้ให้ปรากฎแก่ทูตมา
 +
แม้นว่าประดาน้ำในเมืองเทศ  แพ้แก่คนในเขตรจอมนาถา
 +
ขอถวายสินพนันของนานา  เงินทองผ้าแพรพรรณอันตระการ
 +
ถ้าคนเมืองทวาลีปราไชย  ของจงได้มอบสิ่งธะนะสาร
 +
แก่ชาวเขตรอัษฎงค์จบปฏิญาณ  ให้สัตย์ต่างสาบาลกันแลกัน
 +
ขอพระองค์จงเห็นแก่ไมตรี  หาคนดำวารีที่เข้มขัน
 +
มาเปนคู่สู้ประดาน้ำพนัน  พระทรงธรรม์อย่าขัดเคืองเรื่องสารา ฯ
 +
 +
๏ ครั้นอ่านเสร็จราชาารการพนัน  พระทรงธรรม์ฟังความในเลขา
 +
ให้ขัดเคืองเรื่องสาราแต่ไม่ตรัส  ปฏิสันฐารสามนัดโดยประสงค์
 +
ตามเยี่ยงอย่างรัชทูตขัติยวงษ์  แล้วก็ทรงนัดพนันดำวารี
 +
อิกเจ็ดวันจงให้ประดาน้ำ  พนันดำกับคนสนกรุงศรี
 +
ทูตถวายบังคมคัลอัญชลี  ออกจากที่เฝ้าครรไลไปเรือตน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพ  ให้หาจบในแขวงทุกแห่งหน
 +
ไม่มีใครเปนคู่สู้สักคน  พระจุมพลจึ่งให้หาธนญไชย
 +
ครั้นเข้ามาก็ทรงเล่าเรื่องสารา  เมืองชวาเขตรแขกแปลกวิไสย
 +
จบคดีแก่ขุนศรีธนญไชย  รับสั่งว่าจะได้ ใครอาสาพนัน
 +
กูวิตกกลัวจะแพ้เแก่แขกเทศ  ให้หาทั่ววงนิเวศน์ในเขตรขัณฑ์
 +
ไม่มีใครจะอาสามาพนัน  ดำน้ำกันกับชวาที่มาไกล
 +
ธนญไชยฟังยุบลบรรหารตรัส  เห็นจอมกษัตริย์เศร้าหมองไม่ผ่องใส
 +
จึ่งทูลว่าข้าพเจ้าจะเอาไชย  มิให้ได้อายเขาเหล่าแขกเมือง
 +
จะขอสู้อาสาฝ่าพระบาท  ให้แขกขยาดฝีมือเล่าฦาเลื่อง
 +
ด้วยอุบายคิดได้ไม่ฝืดเคือง  ให้รุ่งเรืองพระเกียรติยศปรกฎไป
 +
ได้ทรงฟังธนญไชยรับอาสา  พระปรีดาโสมนัศตรัสมอบให้
 +
เปนธุระขุนศรีธนญไชย  จะต้องการสิ่งไรให้เรียกเอา
 +
ธนญไชยก็ถวายบังคมลา  คลานคล้อยถอยมาจากที่เฝ้า
 +
สั่งเจ้าพนักงานให้เร่งเร้า  หาเรือโกลนใหญ่เท่าเรือห้าวา
 +
ไปคว่ำไว้มิให้ไกลจากฝั่งน้ำ  มีเชือกผูกประจำล่ามมาหา
 +
หลักที่ปักจะยึดคำคงคา  ให้เตรียมทั้งโภชนาไว้จงพอ
 +
ทำที่นอนที่นั่งใต้เรือคว่ำ  เข้าน้ำของกินพร้อมเสร็จขอ
 +
มาไว้ใต้เรือโกลนอย่ารีรอ  จัดให้พออย่าให้ขาดสิ่งอันใด
 +
พนักงานทราบสารผู้รับสั่ง  ไม่รอรั้งจัดของมามอบให้
 +
ทำเสร็จตามยุบลธนญไชย  เตรียมไว้ท่าฤกษ์ดำวารี
 +
ครั้นถึงนัดครบเจ็ดวันเวลา  ก็ไปเตือนไว้ท่าฤกษ์ดำวารี
 +
ให้มาพร้อมคอยฤาษ์ริมชลธี  หาโหราดูวิถีเทพาจร
 +
ฆ้องไชยเตรียมไว้คอยเวลา  ได้ฤกษ์พาให้ตีเอาไชยก่อน
 +
ฝ่าพระองค์ผู้ดำรงพระนคร  เสด็จประทับบรรจ์ฐรณ์พลับพลาไชย
 +
พร้อมหมู่มาตยาพฤฒาจารย์  หมอบเฝ้าน่าพระลานอยู่ไสว
 +
ขุนธนญกับแขกจับหลักไว้  พอดหรลั่นฆ้องหชยก็ดำน้ำ
 +
แขกเทศไม่รู้เหตุว่าทำกล  ก็จับหลักกลั้นทันหายใจร่ำ
 +
ไปจนครบเจ็ดวันอยู่ในน้ำ  ผุดขึ้นมาหน้าดำแทบขาดใจ
 +
ทูตแขจกแปลกใจไทยไม่ผุด  ประดาน้ำแขกพิรุธผุดก่อนได้
 +
เห็นการจะเสียทีไม่มีไชย  คิดใในใจว่าของเราดำน้ำทน
 +
เขายังดำกลั้นช้ากว่าอิกเล่า  ก็หงอยเหงาไทมนัศให้ขัดสน
 +
ครันสิบห้าราตรีศรีธนญ  ก็ผุดจากวังวนชลธาร
 +
ขึ้นจากวารีชลีหัดถ์  ถวายบังคมจอมกระษัตริย์มหาสาร
 +
ทูตแขกแปลกใจไทยไม่ผุด  ประดาน้ำแขกพิรุธผุดก่อนได้
 +
เห็นการจะเสียทีไม่มีไชย  คิดในใจว่าของเราดำน้ำทน
 +
เขายังดำกลั้นช้ากว่าอิกเล่า  ก็หงอยเหงาโทมนัศให้ขัดสน
 +
ครั้นสิบห้าราตรีศรีธนญ  ก็ผุดจากวังวนชลธาร
 +
ขึ้นจากวารีชลีหัดถ์  ถวายบังคมจอมกระษัตริย์มหาสาร
 +
หมอบเฝ้าห้าประชาน่าพระลาน  ทูตเห็นการปราไชยในวาร
 +
ก็ถวายสินพนันตามสัญญา  เงินทองแพผ้าต่างต่างสี
 +
แล้วทูลลาลงเรือได้สมดี  ก็แล่นไปยังบุรีแตรชา
 +
เข้าเฝ้าแถลงแจ้งโดยเหตุ  แก่พระจเาเมืองเทศทรงยศถา
 +
ตามซึ่งได้พนันคำคงคส  ปราไชยไทยมาสู่ธานี ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช  เสด็จจากนัคเรศบุรีศรี
 +
หวังพระไทยจะไปเล่นวารี  เสด็จด้วยเรือที่นั่งศรีอร่ามงาม
 +
พร้อมหมู่เสนาข้าราชการ  โดยเสด็จแข่งขนานนาวสหลาม
 +
ทั้งเรือดั้งคู่แห่แลเรือตามี  สง่างามแน่นเลื่องในนที
 +
นวลนางวิเศษเชิญเครื่องเสวย  ตามเคยลงท้ายที่นั่งศรี
 +
ครั้นพระจอมประชาเจ้าธานี  เสด็จถึงที่ประทับสระสรงชล
 +
ทรงผลัดภูษาแล้วสรงสนาน  แสนสำราญเย็นซาบทุกขุนขน
 +
เสร็จสรงคงคาในสาชล  ประทับบนพลับพลาสง่างาม
 +
หมู่ขุนนางเฝ้าพระบาทกลาดเกลื่อน  ดังดาราล้อมเดือนเด่นสนาม
 +
พรั่งพร้อมเกียรติยศดูงดงาม  และหลามล้วนเหล่าข้าเฝ้าอนันต์
 +
ถึงเวลาเข้าที่ลงบังคน  พระจุมพลก็เสด็จในม่านกั้น
 +
ตรัสให้หาพนักงานชำระพลัน  ทราบว่ามาไม่ทันกิจชำระ
 +
จึงตรัสสั่งนางวิเศษให้ทำแทน  ด้วยขาดแคลนคนเคยไม่พบปะ
 +
วิเศษต้นก็ถวายน้ำชำระ  ทำตามพระโองการบรรหารมา
 +
ครั้นเวลาบ่ายแสงสุริยันต์  เสด็จกลับโห่ลั่นกลองนำน่า
 +
เสียงส้าวเสียงโห่เปนโกลา  กลับยังนคราพระธานี
 +
จึ่งดำรัสอีวิเศษนั้น ี่  ถอดมันเสียเถิดออกจากที่
 +
มือมันล้างก้นกูเมื่อวันนี้  ให้คนอื่นว่าที่มันสืบไป ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นนางวิเศษครั้นได้ฟัง  เสียใจดังจะคลั่งน้ำตาไหล
 +
จึ่งรับมาหาขุนศรีธนญไชย  อ้อนวอนไหว้ว่าท่านจงเมตตา
 +
เล่าความตามมีพระโองการ  ว่าช่วยฉานให้คืนที่หน่อยจ๋า
 +
ช่วยวิ่งเต้นข้างในทูลกิจจา  แม้นสมมาดปราถนาคืนที่ทาง
 +
จะทูลหัวให้ท่านสิบตำลึง  จนสลึงมิได้ลดอย่าหมองหมาง
 +
ศรีธนญฟังวาจาแล้วว่าพลาง  ข้าจะช่วยให้ร้างจากที่ตน
 +
อยู่ที่นี่คอยข้าอย่าเพ่อไป  จะช่วยทูลแก้ไขให้สักหน
 +
ว่าแล้วก็รีบไปบัดดล  เข้าข้างในวิ่งวนทำเวียนวก
 +
แล้วเต้นไปเต้นมาทำหน้าตื่น  เสียงครึกครื้นท้าวนางต่างวิตก
 +
ด้วยเปนเวลาเข้าที่ก็กลัวงก  ร้อนอกตกประหม่าแล้วว่าไป
 +
นี่แน่นายขุนศรีผู้ปรีชา  ทำอะไรโกลาสนั่นไหว
 +
พระองค์เสด็จเข้าที่บรรธมใน  อย่าอึงไปไม่ดีที่ไม่ควร ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ  เลิศลบธานีดังอิศวร
 +
บรรธมหลับสดุ้งฟื้นตื่นรัญจวน  ให้ปั่นปว่นเคืองขุ่นฉุนฤไทย
 +
ดำรัสถามว่าใครที่ไหนหนอ  ข้ามาล้ออื้ออึงถึงนี่ได้
 +
เขากราบทูลว่าขุนศรีธนญไชย  มาวิ่งไปวิ่งมาชาลาวัง
 +
แล้วก็เต้นเล่นอยู่จนใกล้ที่  อึงมี่ทำตามน้ำใจหวัง
 +
จะห้ามปรามเท่าไรก็ไม่ฟัง  เดี๋ยวนี้ยังวิ่งเต้นไม่เว้นวาย ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูร  ได้ฟังทูลเคืองพระไทยมิได้หาย
 +
ทราบว่าธนญไชยทำหยาบคาย  ให้ได้อายชาววังสิ้นทั้งมวญ
 +
ครั้นจะลงราชทัณฑ์ถึงฟันฆ่า  คิดถึงคำพระบิดาก็กลับหวน
 +
จะเฆี่ยนจำทำมันก็ไม่ควร  ภูมิศวรฝากฝังสวั่งกำชับ
 +
ว่าโทษแม้นจะถึงประหารชีพ  อย่าด่วนรีบฆ่าฟังบั่นสับ
 +
ให้อดโทษยกไว้ได้กำชับ  เสด็จลับล่วงสวรรคาไลย
 +
ครั้นจะทำล่วงพระราชโองการ  ให้สังหารเฆี่ยนจำทำไม่ได้
 +
ดำริห์แล้วทรงนิ่งในพระไทย  ธนญไชยก็กลับมาเคหาตน
 +
บอกกับนางวิเศษตามที่ทำ  ได้วิ่งเต้นตามคำไม่ขัดสน
 +
ยังแต่จะช่วยทูลมูลยุบล  เดี๋ยวนี้สนธยาย่ำค่ำขัดคราว
 +
ต่อพรุ่งนี้เจ้าไปเฝ้าด้วยกัน  คอยทูลข้อสำคัญอย่าอื้อฉาว
 +
พรุ่งนี้ขึ้นมาหาข้าแต่ช้าว  ฟังข่าวคราวเรื่องความตามคดี ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายนางวิเศษครั้นถึงนัด  ก็รีบรัดมาหาท่านขุนศรี
 +
ครั้นได้เวลาเฝ้าจอมปัถพี  ธนญไชยนารีพากันมา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นจอมนราประชากร  รวิวรส่องแสงสว่างหล้า
 +
แซ่เสียงกาไก่สกุณา  เสด็จตื่นนิทราสรงพระภักตร์
 +
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณจันทน์กระแจะ  ทรงภูษาลายกะแหนะทองแล่งปัก
 +
สวมมงกุฎกล่อมกลมสมพระภักตร์  ทองกรรักร้อยสายกุดั่นดวง
 +
ทรงสังวาลเนาวรัตน์ประภัศร  ทับทรวงลายมังกรดูรุ้งร่วง
 +
ทรงพระแสงห้อยเพ็ชรอุบะพวง  ออกพระโรงวิเชียรช่วงอันรูจี
 +
พร้อมเหล่าข้าเฝ้าหมอบสพรั่ง  คับคั่งโดยลำดับตำแหน่งที่
 +
กลาโหมมหาดไทยใหญ่น้อยมี  ทั้งสี่จตุสดมภ์ประนมกร ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชย  พาวิเศษเขน้าไปเฝ้าอยู่ก่อน
 +
ครั้นเห็นจอมนินทร์ ปิ่นนิกร  เสด็จประทับบรรจฐรณ์แท่นสุวรรณ
 +
จึ่งสั่งนางวิเศษให้คลานไป  ข้างน่าเราจะได้ทำให้ขัน
 +
นางวิเศษก็ทำตามคำนั้น  ทั้งสองคนแข่งประชันคลานเข้าไป
 +
ครั้นถึงน่าที่นั่งก็บังคม  สามหนต่างก้มคล้านเข้าใกล้
 +
ฝ่ายเจ้าขุนศรีธนญไชย  จับก้นวิเศษได้ใส่หัวตน
 +
คลานพลางใส่พลางไม่วางมือ  ทำให้ฦาเรื่องไปจะได้ฉงน
 +
เข้าใกล้าน่าที่นั่งพระจุมพล  จับก้นขวางหน้าเสนาใน ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์  เห็นประหลาดอ้ายขจุนศรีนี่ไฉน
 +
จับก้นอีวิเศษนี่ร่ำไป  แล้วใส่หัวตนละลนละลาน
 +
จึ่งดำรัสตรัสถามตามสงไสย  มึงทำอไรอย่างนี้ดูอาจหาญ
 +
จับก้นใส่หัวหูดูรำคาญ  จงให้การโดยจริงอย่านิ่งช้า ฯ
 +
</tpoem>
 +
 +
==== ====
 +
<tpoem>
 +
๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟัง  ถวายบังคมทูลพระนาถา
 +
ว่าก้นวิเศษคนนี้มีศักดา  เลิศกว่านารีมีในเมือง
 +
จึ่งรับสั่งซักถามตามฉงน  เองว่าก้นอีนี่ดีฦาเลื่อง
 +
เหตุไฉนจึ่งดีกว่าทั้งเมือง  ตงบอกเรื่องราวมาอย่าช้าที
 +
ธนญไชยจึ่งสนองพระโองการ  เกล้าหม่อมฉานทราบว่านารีศรี
 +
เดิมเปนวิเศษต้นตัวดี  มือล้างคี่ก้นของตนก็พ้นไภย
 +
ครั้นมาชำระพระบังคน  ต้องร้อนรนถอดจากที่เดิมได้
 +
ก้นพระองค์เลิศลบภพไตร  ก็สู้ก้นนี้ไม่ได้ดูชอบกล
 +
ส่วนก้นนางนี้ล้างอยู่เปนนิจ  ก็ไม่ผิดกลับชอบมีพักผล
 +
ครั้นมาล้างชำระพระบังคน  กลับปี้ป่นถอดถอนต้องร้อนใจ
 +
คิดด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมยอมแพ้  ก้นแม่เจ้าประคุณมีบุญใหญ่
 +
จึ่งจับจบหัวตนพ้นจรรไร  จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ  ฟังจบเห็นจริงด้วยขุนศรี
 +
จึ่งประทานที่เก่าให้นารี  เปนวิเศษคืนที่ตามก่อนมา ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงกระษัตริย์ประเทศราช  มีกระบือสามารถองอาจกล้า
 +
กำลังเจ็ดช้างสารมหิมา  กหายาโตใหญ๋เขาไปล่กาง
 +
ไม่มีคู่สู้ท้าสมาวิ่งกัน  แต่วิ่งชนะนับพันแพ้ฝีย่าง
 +
ไม่มีใครอาจมาท้าเข้าวาง  ควายเขากางตัวนี้ฝีเท้าไว
 +
กรุงกระษัตริย์เจ้าประเทศเขตรขัณฑ์  จะใคร่พนันวิ่งกระบยือให้ฦาใหญ
 +
จึ่งจัดเครื่องบรรณาการสารคำไทย  สั่งทูตให้นำสำเภาห้าร้อยมา
 +
กับกระบือตัววสำคัญคู่ขันวิ่ง  ครบทุกสิ่งจัดสรรทั้งล้าต้า
 +
ต้นหนคนชำนาญในคงคา  ทูตถวายบังคมลาใช้ไบจร
 +
แล่นมาในมหาชลาสินธุ์  ไม่เห็นดินเห็นไม้ไพรสิงขร
 +
เห็นแต่ฟ้ากับคงกาในสาคร  เรือขย่อนคลื่นเข่าสำเภาโคลง
 +
หมู่มัจฉาเหราก็คลาคล่ำ  อยู่ในน้ำภูตพรายผีตายโหง
 +
บ่นพึมพำร่ำเร้าขึ้นเสากระโดง  ล้วนเก่งโกงคอยคล่ำทำอันตราย
 +
จีนเท่าแก๋รู้แก้เผาขนไก่  ยิงปืนไล่เหม็นควันก็พลันหาย
 +
ลูกเรือกลัวหน้าจ๋อยค่อยสบาย  ก็แล่นฝ่าชลบสายมาหลายเดือน
 +
เห็นทิวไม้รำไรยังไกลฝั่ง  ดูสพรั่งเรียงสล้างเมหือนอย่างเขื่อน
 +
รีบใช้ใบมาใได้แวะแชเชือน  สิบเดือนถึงประเทศเข้าเขตรไทย
 +
ถึงปากน้ำให้จอดทอดสมอ  ตีม้าฬ่อรับกันสนั่นไหว
 +
จอดเปนแถวแนวสลับอันดับไป  ให้ม้นไบลดทุกลำเรือสำเภา
 +
ฝ่ายคนทีมารักษาด่าน  ฟังม้าฦ่อเสียงขานพวกเรือเข้า
 +
ออกมาดูรู้ว่าเรือสำเภา  และเห็นเสามากสพรั่งที่ฝั่งชล
 +
ให้เรือเร็วรีบไปถามความแขกเมือง  ก็รู้เรื่องเสร็จสิ้นอนุสนธิ์
 +
กรมการแจ้งใจในยุบล  ก็เรียกคนเปนเสมียนเขียนบอกมา
 +
แล้วรีบรัดลัดล่องไม่ข้องขัด  มาถึงบุรีรัตน์ขึ้นจากท่า
 +
นำใบบอกเข้าเรียนตามกิจจา  ให้เจ้าพระยาอธิบดีทราบข้อความ
 +
ครานั้นพณหัวมาตยา  แจ้งในอักขราซักไซ้ถาม
 +
ให้แน่นอนแม่นไว้ในข้อความ  แล้วกราบทูลจอมสยามนรินทร ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายพระองค์ผู้ดำรงอาณาเขตร  ทรงทราบเหตุแจ้งประจักษ์ในอักษร
 +
สั่งให้รับทูตามานคร  พระภูธรทราบสารการพนัน
 +
ทรงดำริห์ว่าเราจะทำไฉน  หากระบือให้มีไชยพนันขัน
 +
แล้วทรงผัดนัดทูตสิบห้าวัน  ทูตถวายบังคมคัลมาสำเภา
 +
จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชย  ดำรัสเล่าสารให้ฟังคำเขา
 +
จนจบสิ้นกระแสความตามสำเนา  พระเปนเจ้านคเรศเกษประชา
 +
จึ่งตรัสถามว่าเองจะทำไฉน  จึ่งจะสู้เขาได้ให้เร่งว่า
 +
เองเปนคนไม่จนในปัญญา  จะอาสาวิ่งกระบือให้ฦายศ
 +
จะได้ฤาไม่ได้ ให้คิดอ่าน  อย่านั่งนานกูนัดวันกำหนด
 +
สิบห้าวันจะพนันวิ่งลองทด  กับทูตเมืองชนบทนายสำเภา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชย  จึ่งโองการท้าวไทพระทรงเล่า
 +
จึ่งทูลสนองพระบัญชาตามสำเนา  ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการ
 +
ฉลองพระเดชพระคุณดูสักครั้ง  ตามรับสั่งจะอาสาโดยกราชสาร
 +
มิให้แพ้ทูตพนันประจัญบาน  ด้วยปัญญากระหม่อมฉานให้มีไชย
 +
ได้ทรงฟังปรีดิ์เปรมเกษมสานต์  ตรัสว่าเองต้องการสิ่งไรจะให้
 +
จงคิดอ่านเลือกเอาตามชอบใจ  ให้ทันวันนัดไว้ในสัญญา
 +
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งประภาษ  โปรดประสาทสั่งให้ตามปรารถนา
 +
จึ่งกราบทูลบพิตรอิศรา  เกล้ากระหม่อมจะเลือกหาลูกกระบือ
 +
ที่ยังไม่หย่านมมาขังไว้  พอสู้ได้เกียรติยศปรากฎชื่อ
 +
พระทรงฟังสั่งให้เลือกลูกกระบือ  ตามแต่ใจจะได้ฦาวิ่งพนัน
 +
ธนญไชยก็ถวายบังคมลา  พระผู้ผ่านภาราเจ้าเขตรขัณฑ์
 +
ออกมาสั่งพนักงานการปัจจุบัน  กรมนาเลือกสรรกระบือน้อย
 +
ได้มาให้ทำคอกริมสนาม  ขังให้อดกษิราจนหน้าจ๋อย
 +
แต่งสนามทูลปราบราบเรียบร้อย  ให้สิ้นรอยหลุมบ่อหลักตอเตียน
 +
ถึงวันนัดก็ให้เตือนทูตมา  สู่สนามที่ชาลาพื้นกวาดเลี่ยน
 +
ทูตก็จูงกระบือมาไม่ผัดเพี้ยน  ถึงที่เตียนผูกหลักปักเสาธง
 +
ฝ่ายพระผู้ผ่านภพบโลกา  เสด็จขึ้นพลับพลาสูงรหง
 +
ขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมหมอบล้อมวง  เปนกรรกงเกลื่อนกลาดดาษดา
 +
ราษฎรรู้ข่าวกราวเกรียวสนั่น  ก็ชวนกันมาดูมากนักหนา
 +
ทั้งเจ๊กมอญญวนลาวชาวประชา  แขกชวามลายูมูรงิด
 +
แขกเทศพุธเกศฝรั่งเก่า  วิลันดามะเกาเชาอังกฤษ
 +
เขมรไทยแขกไทรแขกมะริด  มานั่งชิดแซกเสียดต่างเบียดกัน
 +
ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฤกษ์  ให้ประโคมเอิกเกริกนี่สนั่น
 +
ก็เบิกคอกลูกกระบือออกมาพลัน  จูงมาวางพนันควายทูตที่มา
 +
นายสำเภาก็แก้เชือกผูกปล่อย  กระบือน้อยก็วิ่งเข้ามาหา
 +
เที่ยวดูดดมหานมกษิรา  คิดว่าควายมารดาเคยกินนม
 +
กระบือใหญ่ให้รำคาญดาลเดือดแค้น  ก็วิ่งแล่นหนีลูกกระบือประสม
 +
ลูกกระบือกำลังอยากน้ำนม  ก็วิ่งดมดูดไปมิได้วาง
 +
กระบือใหญ่วิ่งหนีก็ยิ่งไล่  วนไปหลายรอบไม่เหินห่าง
 +
ชนทั้งหลายโห่ร้องตบมือพลาง  ก็วิ่งวางใหญ่ไปไม่หยุดลง
 +
ฝ่ายทูตเห็นกระบือของตนหนี  แพ้เสายทีไม่สมอารมณ์ประสงค์
 +
ก็ถวายสินพนันอันบรรจง  แก่พระองค์อิศราเจ้าธานี ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าพระผู้ผ่านมไหสวรรรย์  เกษมสันต์ได้ชะนะเพราะขุนศรี
 +
ก็ทรงแบ่งสินพนันอันมากมี  ให้ขุนศรีธนญไชยได้กึ่งทรัพย์
 +
ทูตเสียใจปราไชยกระบือน้อย  ทูลลาแล้วเคลื่อนคล้อยสำเภากลับ
 +
แล่นไปประเทศตนเสียป่นยับ  ฉิบหายทรัพย์กลับไปทูลเจ้านายตน ฯ
 +
 +
๏ จะกล่าวถึงเจ้าประเทศเขตรลังกา  ครองภาราเปนใหญ่ในสิงหฬ
 +
พร้อมอำมาตย์ราชครูมากหมู่ชน  พระจุมพลทรงดำริห์ตริรำพัง
 +
ในเมืองไทยฦามาว่ามีปราชญ์  เฉลียวฉลาดยากที่ผู้จะรู้ถึง
 +
ทั้งแปลอรรถจัดเจนรู้ฦกซึ้ง  ทรงคำนึ่งในพระไทยใคร่ทดลอง
 +
เสด็จออกพระโรงรัตน์ตรัสประภาษ  กับอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ทั้งผอง
 +
ว่านักปราชญ์เมืองไทยอยากใคร่ลอง  จงตระเตรียมสิ่งของบรรณาการ
 +
บรรทุกทั้งคัมภีร์ที่แปลยาก  ปิดฉลากเปนสำคัญกับราชสาร
 +
นิมนต์ประสังฆราชผู้เชี่ยวชาญ  กับภิกษุบริวารลงเรือไป
 +
จะไแจ้งข้อความตามฦาเล่า  จะจริงอย่งคำเขาฤาไฉนร
 +
ที่เล่าฦารบือข่าวชาวมืองไทย  อำมาตย์ไปจัดการอย่านานวัน
 +
 +
มนตรีรับโองการคลบานออกมา  จัดการตามบัญชาขมีขมัน
 +
ขนตู้ใส่บาฬีคัมภีร์ธรรม์  เสร็จแต่ในสามวันตามโองการ
 +
นิมนต์พระสังฆราชฉลาดอรรถ  กับบริสัชภิกษุสงฆ์ทรงบริขาร
 +
กับราชทูตเข้าใจในกิจการ  เปนประธานกำปั่นใหญ่ใช้ใบจร
 +
รีบแล่นนาวามาในสมุท  ไม่หย่อนหยุดข้ามเกาะแก่งสิงขร
 +
มาหกเดือนถึงเขตรขัณฑ์นอกสันดอน  แดนนครสยามเวียงจอดเรียงลำ
 +
ฝ่ายพวกเมืองสมุทอยุทธยา  ทราบกิจจาไต่ถามเนื้อความขำ
 +
แล้วเข้าแจ้งคดีตามถ้อยคำ  ทูตลังกาซึ่งนำพระสงฆ์มา ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นขุนนางว่าต่างประเทศ  ทราบเหตุก็กราบทูลจอมนาถา
 +
ตามที่ทูตกับพระมืองลังกา  จะเข้ามาแปลธรรมพระคัมภีร์ ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟัง  ว่าทูตลังกามาสู่บุรีศรี
 +
พาพระสงฆ์มาแปลพระบาฬี  ให้หาศรีธนญไชยมาเฝ้าพลัน
 +
จึ่งดำรัสตรัสว่าจำทำไฉน  อันพระในเมืองเราไม่แขงขัน
 +
คงจะแพ้ในการที่แปลธรรม์  เห็นไม่มีคู่ขันชาวลังกา
 +
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งถาม  จึ่งทูลเจ้าจอมสยามขออาสา
 +
ว่าเกล้ากระหม่อมขอถวายบังคมลา  บรรพชาเปนสมเณรไป
 +
จะคอยสู้ชาวลังกาไม่ล่าหนี  แปลคัมภีร์ธรรมขันธ์กันจงได้
 +
จงลงไปรับที่ปากน้ำให้มีไชย  ท้าวไททรงอนุญาตประสาทพร ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชย  รับพระพรภูวไนยอดิศร
 +
ใส่เกล้าแล้วทูลลานรินทร  รีบจรออกมาสั่งพนักงาน
 +
ให้นตูลายรดน้ำใส่คัมภีร์  พระบาฬีจารึกอักษรสาร
 +
แล้วให้ช่างลงรักปิดทองลาน  ไม่ให้จานอักษรทั้งคัมภีร์
 +
จับปูชุบหมึกมาลากลง  ให้พิศวงเส้นยับรอยป่นปี้
 +
จะอ่นแปลเหลือรู้ดูเต็มที  ด้วยไม่มีอักขระเกะกะครัน
 +
ตั้งสมญาเรียกว่าพระไตรปู  พิเคราะห์ดูเส้นเฝือเลอะเหลือขัน
 +
แล้วห่อฝ้ามีชายสายรัดพัน  ใส่ในตู้มีสำคัญฉลากราย
 +
 +
ให้ช่างจานลงลานอักคัมภีร์  อักษณมีผวนผันขันใจหาย
 +
ให้ชื่อพระไตรคดปดภิปราย  ห่อผ้าลายสายรัดมัดไว้ดี
 +
ใส่ไว้ในตู้ลายรดน้ำ  เหมือนพระธรรมพุทธพจน์พระชินศรี
 +
ให้คนขนไปปากน้ำทำกุฎี  สองห้องมีหลังคาฝาไม้ลาย
 +
พนักงานจัดการตามที่สั่ง  พร้อมพรั่งที่ริมฝั่งชลสาย
 +
แทบเชิงเบนท่าลาดมีหาดทราย  ธนญไชยก็กลัยกลายเพศเปนเณร
 +
มีเครื่องยศสารพัดให้จัดสรร  ทำยศศักดิ์ใหญ่มหันต์มหาเถร
 +
ตั้งฉายาชื่อว่ามหาเลน  สามเณรธนญไชยไปกุฎี
 +
อยู่ในกุฏิผู้เดียวเปล่าเปลี่ยวใจ  ไม่มีใครเป็นเพื่อนเณรขุนศรี
 +
ฝ่ายสังฆราชลังกาชราชี  ห้วงจะสืบข้อคดีปราชญเมืองไทย
 +
ลงเรือโบตให้ตีกระเชียงมา  ถึงกุฎีที่ท่าชลาไหล
 +
เห็นสามเณรอยู่ผู้เดียวน่าเปลี่ยวใจ  แวะเข้าไปจะถามตามสงกา
 +
ถึงกุฎีเณรศรีธนญไชย  จึ่งซักไซ้ข้อควมที่กังขา
 +
ว่าตัวท่านมาอยู่ริมคงคง  เหตุไฉนแจ้งกิจจาจะขอฟัง ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายว่าเณรขุนศรีธนญไชย  จึ่งปดให้สังฆราชตามใจหวัง
 +
ว่าข้าพเจ้าต้องขับมาจากวัง  ให้มายังฝั่งน้ำทำโทษกรณ์
 +
เพราะรู้น้อยถอยปัญญาปรีชนาเขลา  เอาข้าพเจ้ามาทรมานสอน
 +
ให้อยู่ยังริมฝั่งชโลธร  ไม่ให้หมู่ราษฎรดูเยี่ยงนี้
 +
ได้สมญาชนื่อว่ามหาเลน  เปนสามเณรต้องพรากบุรีศรี
 +
พระผู้เปนเจ้ามาทำไมในธานี  ข้อคดีเปนไฉนอยากได้ความ ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นสังฆราชเมืองลังกา  ฟังวาจามหาเนเจ้าเณรถาม
 +
จึงบอกแจ้งแห่งกิจจาพยายาม  สู้แล่นข้มมคงตคามานคร
 +
หวังจะแปลคัมภีร์บาฬีอรรถ  ให้แจ้งชัดกับปราชญ์ตามอักษร
 +
ด้วยได้ข่าวออกชื่อฦาขจร  ว่านครสยามมีคนปรีชา
 +
อันตัวฉันนั้นเปนที่ประสังฆราช  หวังมาแปลสู้กับปราชญ์คำสาสนา
 +
อันตัวฉันนั้นเปนที่ประสังฆราช  หวังมาแปลสู้กับปราชญ์คำสาสนา
 +
 +
๏ ครานั้นเณรศรีธนญไชย  ฟังสังฆราชแจ้งใจทุกสิ่งสรรพ์
 +
จึงตอบว่าเจ้าคุณจะแปลธรรม์  ดีขยันจะได้ดูรู้ปัญญา
 +
จะขอลองให้อแปลพรบาฬี  ว่าแล้วหยิบคัมภีร์ที่ห่อผ้า
 +
เปนพระธรรมคำของพระศาสดา  ให้พระสังฆราชาแปลให้ฟัง
 +
พระสังฆราชแปลได้ ไม่ข้องขัด  เจนชัดมิได้ติดต้องคิดคั่ง
 +
แปลรวดเร็วคล่องจริงจริงไม่นิ่งยั้ง  เณรธนญไชยได้ฟังว่าดีจริง
 +
ซึ่งเจาคุณแปลธรรมในคัมภีร์  แคล่วคล่องดีมิได้ขัดชัดทุกสิ่ง
 +
คำมคธเชี่ยวชาญชำนาญจริง  แต่ผมกริ่งอิกคัมภีร์ขชื่อไตรปู
 +
จะแปลได้ฤาไฉนยังไม่แจ้ง  พระสังฆราชฟังแคลงตะแคงหู
 +
จึงถามว่าเปนอย่างไรพระไตรปู  เณรก็หยิบมาให้ดูทั้งคัมภีร์
 +
พระสังฆราชเห็นลานเปนรอยยับ  ไม่ได้ศัพท์แต่สักนิดคิดถ้วนถี่
 +
ดูไปให้ฉงนจนในที  ตอบว่าไตรปูนั้ไม่ได้ความ
 +
พิศไปดูมิใช่ตัวอกักษร  ยอกย้อนยุ่งยิ่งกริ่งเกรงขาม
 +
จึงบอกกับศรีธนญว่าจนความ  เหลือจะตามไต่แปลไม่แน่ใจ
 +
เณรตอบว่าคัมร์พระไตรปู  เจ้าคุณไม่เรียนรู้จะทำไฉน
 +
แปลไม่ได้สักบทจงงดไว้  ยังพระไตรคดคัมภีร์ธรรม์
 +
ว่าแล้วหยิบคัมภีร์พระไตรคด  มีอักษรปรากฎคำผวนผัน
 +
มาให้พระสังฆราชดูฉับพลัน  บทต้นนั้นอักขระปะปาปา
 +
ที่สองจารึกเปนอักษร  ไม่ยอกย้อนตรงตรงตามภาษา
 +
อ่านได้พอรู้ปะลูลิดตา  ที่สามว่าโกนถะกิปะมี
 +
คำรบห้ากะลันทาโชแถลง  พระสังฆรดูแคลงคำขุนศรี
 +
คิดไม่ทันตันใจไนคัมภีร์  ด้วยไม่มีในพระไตรปิฎกธรรม์
 +
จึงบอกว่นคัมภรี์พระไตรคด  แปลไม่ออกแต่สักบทให้อัดอั้น
 +
คิดไม่เห็นเปนจนอนย่เท่าน้น  ยิ่งตรองก็ยิ่งตันติดเต็มที
 +
ฝ่ายว่าเณรขุนศรีธนญไชย  จึงว่าแปลไตรคดอักษรศรี
 +
ก็ไม่ออกคุณบอกว่าเต็มที  แม้นไปแปลในบุรีจะได้อาย
 +
ตัวผมงมคลำเพราะความเขลา  แปลไม่ได้จึงเอามาชลสาย
 +
ต้องบัพพาชนิยกรรมทำให้อาย  มาอยู่ชายเลนเพราะโทษท่โฉดตึง
 +
ผมได้อายต้องมาอยู่ที่ชายฝั่ง  เจ้าคุณยังจะอดสูรู้ไม่ถีง
 +
อันนักปราชญที่ครูรู้ฦกซ้ง  ไม่พรันพรึงแปลอรรถสันทัดดี
 +
ถ้าจะแปลธรรมสู้กับครูผม  จะมิล้มลงท้งยืนในกรุงศรี
 +
โปรดดำริห์ตริตรองให้คล่องดี  ถ้าอย่างนี้แล้วคงแพ้การแปลธรรม์
 +
พระสังฆรมิได้รู้ว่าขู่ลวง  นั่งง่วงนย่งคิดจิตรใจส่น
 +
นึกเกรงกลัวจะอายขายหน้าครัน  ก็ลาเณรลงกำปั่นรีบหนีไป ฯ
 +
 +
๏ ครานั้นมหาเลนเณรขุนศรี  รู้ว่าสังฆราชหนีไม่อยู่ใกล้
 +
ก็ศึกจากสามเณรในทันใด  เข้ามาเฝ้าท้าวไทยทูลกิจจา
 +
ตามที่ตนได้ผจญพระสังฆราช  บรมนารถแสนโสมนัศา
 +
ดำรัสถามไตรปูอักขรา  เปนอย่างไรเองว่าให้กูฟัง
 +
ธนญไชยทูลความตามที่ทำ  เอาปูชุบน้ำดำลากถอยหลัง
 +
ปนรอยยุ่งไม่เปนตัวพัวรุงรัง  มีชื่อต้งว่าไตรปูดูยากครัน
 +
พระไตรคดในบทปถะมา  ว่าปะปะปาปาว่าขันขัน
 +
ปะลูลิดตาอันดับกัน  กับกะลันทาโชอักษรมี
 +
โกนถะกิปะอักขรา  พระสังฆราชลังกาจนจึงหนี
 +
กระหม่อมฉันทดลองสองคัมภีร์  จึงได้มีไชยชนะพระลังกา ฯ
 +
 +
๏ ฝ่ายบรมนินทร์ชดินทร์สูร  ได้ฟังทูลทรงมเปนนักหนา
 +
ไม่เสียทืขุนศรีมีปัญญา  บทปะปะปาปาว่ากะไร
 +
ขุนธนญทูลว่าคนทาพ้อม  เอามูลโคในปลอมดินเหลวไหล
 +
ปะปาทาพ้อมทะตะล่อมไว้  คำแก้ไขอย่างนี้ว่าที่คิด
 +
กะลันทาโชกะโล่ทาชัน  โกนถะนั้นกะโถนมิได้ปด
 +
ปละลูลิดตาคือขวานปะลูลด  ลิดตาไม้ได้หมดทุกสิ่งอัน
 +
กิปะอักขระว่าสากะปิ  อุตริผูกผวนให้หวนหัน
 +
กราบทูลแก่พระองค์ผู้ทรงธรรม์  ทรงสรวลสันต์ชมขุนศรีธนญไชย ฯ
 +
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== ที่มา ==
== ที่มา ==
[http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/sri_sepha.htm]
[http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/sri_sepha.htm]

รุ่นปัจจุบันของ 16:10, 1 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ไม่ปรากฏ

บทประพันธ์

๏ จะกล่าวเรื่องขุนศรีธนญไชยบุราณท่านเล่าไว้นานหนักหนา
หวังให้แจ้งคนดีมีปัญญากู้ภาราด้วยความคิดบิดวาที
ยังมีราชนิเวศน์เขตรสถานป้อมปราการสูงใหญ่เปนศักดิศรี
บริบูรณ์ภูลสมบัติสวัสดีนามว่าเมืองทวาลีเลิศนคร
ชนชาวภารากว่าห้าแสนเนืองแน่นยคั่งคับสลับสลอน
ตั้งเคหารายรอบขอบนครราษฎรแสนศุขสนุกสบาย
ฝ่ายจอมพระนครินทร์ปิ่นประชาสมญาทวาละเลิศเฉิดฉาย
ข้าศึกศัตรูหมู่คิดร้ายไม่กล้ำกรายสยองเกล้าทุกท้าวไท
พระเกียรติยศปรากฎในใต้หล้าดังมหาจักรพรรดิกระษัตริย์ใหญ่
พร้อมจัตุรงค์มหาเสนาในม้ารถคชไกรทหารเดิน
สนมนางพ่วงเพียงอับศรสวรรค์หมื่นหกพันหน้านวลควรสรรเสริญ
โฉมสำอางงามจริตต้องจิตรเพลินรุ่นจำเริญผิวผ่องดังทองทา
ส่วนพระจอมเทพีศรีสมรนามกรซื่อสุวรรณบุบผา
ทรงโฉมประโลมใจไนยนาเปนใหญ่กว่าแสนสุรางค์เหล่านางใน
ได้ว่ากล่าวเถ้าแก่หลวงแม่เจ้าโขลนจ่าหมอบเฝ้าเรียงไสว
เธอสิทธิขาดราชการงานฝ่ายในบำเรอไทธิบดินทร์นรินทร ฯ
๏ ในเมืองมีบ้านพราหมณ์รามราชเปนครูฉลาดรอบรู้ธนูศร
ทั้งชำนาญไตรเพทวิเศษขจรอิกตำราพยากรณ์ฝันร้ายดี
เปนทิศาปาโมกข์โฉลกฤกษ์เอิกเกริกฦาฟุ้งทั้งกรุงศรี
ทั้งภรรยานงรามพราหมณีรู้วิธีทายสุบินสิ้นทั้งมวญ ฯ
๏ ยังมีสองสามีภิริยาตั้งเคหาอยู่ริมไร่ใกล้เขตรสวน
หมู่ดั้นผู้ภัศดาเคหาซวนเสาโย้จวนจะพังต้องรั้งโย้
ภรรยาซื่อยายปลีเมื่อมีครรภ์นิมิตรฝันแปลกเพื่อนเชือนโยโส
ว่ากินหยากเยื่อลองจนท้องโตดังคนโซกวาดกินสิ้นทั้งเมือง
ครั้นตื่นขึ้นคิดขันฝันเราหนอจะเกิดก่อทุกข์ไฉนไม่รู้เรื่อง
ถามหมื่นดั้นจนใจให้ขุ่นเคืองจึงย่างเยื้องไปหาพฤฒาจารย์
เมื่อวันนั้นท่านครูหาอยู่ไม่จึงวอนไหว้พราหมณีแถลงสาร
เล่าฝันกับภรรยาท่านอาจารย์โปรดดีฉานช่วยทายร้ายฤาดี ฯ
๏ ครานั้นท่านภรรยาพฤฒาเถ้าได้ฟังเล่าในฝันนั้นถ้วนถี่
จึงทำนายทายฝันให้ยายปลีว่าจะมีบุตรชายปรีชาคำ
พูดจาแคล่วคล่องว่องไวนักรู้หลักลอดคนข้อคำขำ
เปนตลกหลวงดีมีคนยำท่านจงจำไว้เถิดประเสริฐชาย
ส่วนยายปลีได้ฟังทำนายฝันก็อภิวันท์ลามาด้วยสมหมาย
ประดับประคองท้องไว้ ไม่ระคายค่อยสบายหายทุกข์เปนศุขใจ ฯ
๏ ครานั้นท่านพราหมณ์พฤฒาจารย์กลับมายังสถานที่อาไศรย
ฝ่ายภรรยาก็เล่าความตามทายไปกลัวจะไม่ถูกตำราสามีตน
พฤฒาเถ้าฟังเล่าทำนายฝันหุนหันว่าเจ้าทายไม่เปนผล
บุตรเขาดีจะเปนที่เจ้านายคนทำนายผิดจะไม่พ้นอันตราย
อิกเจ็ดวันฟ้าจะผ่าศีศะเจ้านางฟังเล่าร้อนตัวกลัวใจหาย
ให้อัดอั้นสั่นระรัวทั่วทั้งกายว่าท่านช่วยคิดอุบายให้พ้นไภย
ฝ่ายว่าทิศาปาโมกข์เถ้าช่วยแบ่งเบาทำตามคัมภีร์ไสย
ปั้นรูปพราหมณีใส่ชื่อในไปตั้งไว้ห่างบ้านสถานตน
แล้วเอาขันครอบศีศะที่รูปปั้นพอเจ็ดวันมืดกลุ้มคลุ้มเมฆฝน
ครั่นครื้นเสียงฟ้าคำรามรนพอเม็ดฝนตกต้องลอองปราย
อสนีฟาดเปรี้ยงเสียงสท้านผ่ากระบานรูปปั้นขนสลาย
พราหมณีก็รอดจากความตายด้วยอุบายภัศดาพฤฒาจารย์
จึงมิให้ใช้ขันรองน้ำฝนทุกตัวคนทั่วประเทศเขตรสถาน
กลัวฟ้าจะผ่าขันด้วยบันดาลตลอดกาลจนทุกวันท่านกล่าวมา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพเลิศลบแดนไตรในใต้หล้า
ดำรงเมืองเรืองยศปรากฎมาแสนสำราญโรคาไม่ยายี
ร่วมภิรมย์สมสวาดินาฎนาเรศซึ่งเปนเกษกำนัลนารีศรี
นางทรงครรภ์สิบเดือนกำหนดมีจวนจะคลอดเทพีรัญจวนใจ
ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าโทมนัศพร้อมแพทย์แออัดอยู่ไสว
หมอตำแยอยู่งานนางทรามไวยเวลาได้ฤกษ์ประสูตรพระกุมาร ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมทวาลีบุรีราชบรมนารถเห็นโอรสยอดสงสาร
จึงให้โหราพฤฒาจารย์ดูลักษณกุมารดวงชตา
คูณหารสอบสวนทบทวนไปก็แจ้งใจคืนวันพระชัณษา
จึงกราบทูลว่าองค์กุมารามีบุญญาธิการกล้าหาญครัน
มีเดชะอำนาจราชศักดิปรปักษ์ทั่วทิศกลัวฤทธิพรั่น
แต่เลี้ยงเธอยากนักหนักอกครันถ้าได้กุมารร่วมวันทันเวลา
เมื่อประสูตรโอรสยศไกรหาให้ได้เหมือนกันกับชัณษา
มาเลี้ยงด้วยกันกับราชบุตรากุมาราจึงเจริญไม่มีไภย ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวังได้ทรงฟังโหรแจ้งแถลงไข
จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนาในเอาฆ้องไปตีประกาศราษฎร
ว่าผู้ใดคลอดบุตรเมื่อวันวานพระโองการต้องประสงค์อย่าเร้นซ่อน
จะทรงเลี้ยงเคียงดไนยไม่อาทรทั่วนครใครมีบุตรบุรุษชาย
จงบอกความตามจริงอย่านิ่งช้าข้าจะพาบุตรเจ้าเข้าถวาย
อำมาตย์ตีฆ้องพลางทางภิปรายถึงบ้านยายปลีที่ฝันขันพิกล
ความว่าเมื่อภรรยาพฤฒาเถ้าทำนายฝันตามเล่าซึ่งเหตุผล
ยายปลีมีครรภ์ได้สิบเดือนดลคลอดบุตรตนเปนชายโฉมโสภา
ฤกษ์ยามเวลาก็พร้อมกันกับจอมขวัญประสูตรโอรสา
เมื่ออำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวมาตกประหม่าไม่มีขวัญตัวสั่นงก
ครั้นจะนิ่งปิดความว่าไม่มีพระองค์ทราบคดีว่าโกหก
จะลงโทษกายระบมตรมอกฟกนึกแล้วอุ้มทารกมาบอกความ ฯ
๏ ครานั้นเสนาข้าราชการฟังว่าขานสอบไล่ซักไซ้ถาม
รู้แน่ว่าเด็กนั้นพร้อมฤกษ์ยามกับโอรสจอมสยามทวาลี
จึงรับเอากุมารามาถวายทูลดังยายมารดาว่าถ้วนถี่
ฝ่ายพระจอมภาราทวาลีฟังวาทีเสวกาปรีดาครัน
โปรดให้หานางนมแลพี่เลี้ยงประคองเคียงรักษาทารกนั่น
ให้โอรสอย่างไรก็ให้ปันแก่กุมารคนนั้นเหมือนกันมา
จนสองกุมารชัณษาสิบห้าปีโปรดให้เรียนตระบองกระปิติศึกษา
กระบวนรบครบอย่างขี่ช้างม้าพุ่งสาตรายิงแทงแผลงธนู
อิกให้เรียนไตรเพทเวทมนต์ขลังคงจังงังทรหดอดทนสู
แคล้วคลาศสารพัดหัดให้รู้ทรงเอนดูสองราเมตตานัก
ครั้นอยู่มาจอมประชาชราร่างโรคหลายอย่างก่อกวนประชวรหนัก
ตรัสเรียกสองดไนยผู้ยอดรักมอบมไหไตรจักรใครอบครอง
ประทานราโชวาทประสาทให้รักใคร่อย่าเดียดฉันกันทั้งสอง
อย่าข่มเหงต่อยตีเหมือนพี่น้องเจ้าปรองดองสองรารักษาเมือง
แม้นว่าน้องพ้องผิดโทษถึงฆ่าได้เมตตาปัดเป่าให้เบาเปลื้อง
อย่าขุ่นแค้นฆ่าฟันเลยขวัญเมืองถ้าขัดเคืองอดออมถนอมกัน
หนึ่งขุนนางข้าเฝ้าเหล่าทั้งหลายจงแจกจ่ายเบี้ยหวัดดูจัดสรร
ผู้ใดมีความชอบตอบรางวัลให้แบ่งปันสนองคุณการุญรัก
เงินตราผ้าพานทองคำให้เครื่องกาไหล่เครื่องถมแลสมปัก
เสลี่ยงแคร่กระบี่สายสพายสพักสมยศศักดิความชอบจงตอบแทน
ราษฎรทั่วประเทศในเขตรขัณฑ์อย่าเบียนมันให้ทุกข์ร้อนค่อนแค่น
จงเมตตาคนจนขัดสนแกนทุกด้าวแดนให้เปนศุขสนุกใจ
สมณะชีพราหมณ์อย่าหยามหยาบเกรงกลัวบาปละปลดอดจิตรให้
ควรบำรุงสงเคราะห์สักเพียงไรก็จงให้พองามตามศรัทธา
หนึ่งข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่งแม้นระแวงราชกิจผิดนักหนา
จะลงโทษก็ให้ต้องตามอาชญาฤาหนึ่งถ้าทัณฑกรรมทำพอควร
อย่ามากมูลโทษะมนะผิดควรคิดโดยระบอบสอบไต่สวน
ควรเฆี่ยนควรขังเชือกหนังทวนจำโซ่ตรวนขื่อคาอย่าทำเกิน
พ่อจำคำบิดาสั่งตั้งความสัตย์แม้นปฏิบัติชื่อตรงคงสรรเสริญ
ราชการภาราพ่อพย่าเมินอย่าหลงเพลินนางในไม่ได้การ
พระโอรสฟังโองการประทานสอนโอนอ่อนเศียรคำนับรับสั่งสาร
ทั้งราชบุตรบุญธรรมก้มกราบกรานรับโอวาทซึ่งประทานด้วยเศียรตน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์จอมเจิมเฉลิมโลกประชวรโรคแรงกล้าดังห่าฝน
สิ้นกำลังลมปราณเหลือทานทนสวรรคตอยู่บนพระแท่นทอง ฯ
๏ ครานั้นเสวกามหามาตย์เกลื่อนกลาดแออัดจัดสิ่งของ
เครื่องสูงแตรสังข์พระโกษฐทองจ่าปี่จ่ากลองเรียกร้องมา
กลองชนะเบิงมางวางเตรียมไว้ชั้นแว่นฟ้ารีบไปยกคอยท่า
คู่เคียงพระสเลี่ยงเทวดาโปรยมาลาเข้าตอกบอกมาคอย
พระสงฆ์นำน่าฉานอ่านหนังสือสังฆ์การีวิ่งปรื๋อไม่ล้าถอย
เผดียงราชาคณะวัดพระลอยไวไวหน่อยเถิดเจ้าคุณวุ่นเต็มที
ฝ่ายว่าราชาคณะพระญาณสิทธิ์ซึ่งสถิตย์วัดพระลอยก็เร็วรี่
รีบครองผ้าเรียกศิษย์ได้ตามมีสังฆ์การีพามาพักคอยชักนำ ฯ
๏ ครานั้นจึงพระราชกุมารเชิญพระศพสรงสนานจนจวนค่ำ
มาลาภูษาถวายเครื่องทรงประจำเครื่องต้นล้วนทองคำลงยาดี
ทรงเครื่องต้นเสร็จสรรพสำหรับกระษัตริย์เชิญเข้าโกษฐเนาวรัตน์มณีศรี
ประโคมแตรสังข์สนั่นลั่นดนตรีกลองชนะพร้อมตีเสียงมี่วัง
ฝ่ายพวกกระบวนแห่เสียงแซ่ซ้องตั้งกระบวนเปนกองคอยรับสั่ง
ได้เวลาพระศพออกจากวังดูสพรั่งกระบวนแห่แลหลามมา
พวกตั้งชั้นแว่นฟ้าเสนาภิมุขชาดสีสุกทาซ่อมที่คร่ำคร่า
ช่างรักปิดทองผ่องจับตาช่างกระจกประดับประดาที่ชำรุด
เครื่องแก้วตั้งคลังพิมานอากาศจัดศุภรัตขนผ้าไตรอุตลุด
รักษาองค์เติมน้ำมันฟันชุดรายกันจุดอัจกลับสับสนครัน
แห่พระศพถึงที่นั่งมังคลาเชิญตั้งแท่นแว่นฟ้างามเฉิดฉัน
เรียงรอบเครื่องสูงลายสุวรรณจามรทานตวันพัดโบกราย
กลิ้งกลดบดบังพระสุริยนต์หักทองขวางห้าชั้นอิกชุมสาย
แว่นทองปักกระเสตขันทองพรายบุบผาพวงห้อยรายกลิ่นขจร
ข้าราชการกราบราบศิโรตม์ถวายบังคมบรมโกษฐสท้อนถอน
ฤไทยโทมนัศาให้อาวรณ์พิไรรักภูธรสิ้นทุกคน ฯ
๏ ฝ่ายพระราชโอรสยศไกรเสด็จมาโศกาไลยพิไรบ่น
พระราชบุตรบุญธรรมก็ทุกข์ทนน้ำสุชนไหลหลั่งนั่งโศกา
ครั้นจัดแต่งตั้งพระศพครบครันสดัปกรณ์นับพันไตรสิบห้า
พระสงฆ์เนื่องแน่นหลามตามชลาพระราชาคณะได้ไตรทุกองค์
เสร็จทำกุศลกิจอุทิศไปถวายไทชนกนารถราชหงษ์
จึงสมเด็จโอรสยิ่งยศยงเสด็จลงจากปราสาทลีลาศมา
พวกร้องไห้นางในก็ส่งเสียงเสนาะสำเนียงว่าพระพุทธเจ้าข้า
พระร่มโพธิทองล่องสู่ฟ้าเสด็จไปชั้นใดข้าจะตามไป
โอ้พระร่มโพธิแก้วลับแล้วลิบเสวยทิพพิมานสถานไหน
ข้าน้อยพยายามจะตามไปไม่ทิ้งไทนฤเบศร์เกษประชา ฯ
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์ข้าราชการกับพระราชกุมารโอรสา
พร้อมกันกะเกณฑ์การฌาปนาทำมหาเมรุปราค์ตามอย่างยศ
สูงเส้นห้าวาสง่านามเมรุทิศงามสามสร้างต้องอย่างหมด
เมรุทองในเครื่องชั้นเปนหลั่นลดต้องแบบตามบททุกสิ่งอัน
ราชวัตรฉัตรทองฉัตรเงินนากแลหลากตั้งสลับลำดับคั่น
ฉัตรเบญจรงค์รายออกนอกอิกชั้นตลอดกั้นราชวัตรขนัดแนว
ราชวัตรฉัตรรายทางข้างถนนทางสถลที่จะแห่แลเปนแถว
โรงการเล่นเต้นรำทำเสร็จแล้วท้องสนามกวาดแผ้วสอาดเตียน
โรงรำช่องระทาระดาดาษเอาแผงลาดหลังคาทาเครื่องเขียน
กั้นฉากวาดดูงามเรื่องรามเกียรติ์ล้วนแนบเนียนนน่าสนุกทุกโรงงาน
หกคเมนลอดบ่วงห่วงน้อยเสาติดต่อเข้าสามต่อสูงตะหง่าน
รำแพนเสาไต่ลวดสูงลิ่วทยานตามอย่างงานบรมศพมีครบครัน
เตรียมการเสร็จทุกด้านงานกำหนดเชิญพระโกษฐขึ้นรถแห่สนั่น
เข้าพระเมรุสมโภชสิบห้าวันถวายพระเพลิงทรงธรรม์กระษัตรา
สมโภชพระอัฐิลอยอังคารเสร็จการเชิญอัฐิขั้นรัถา
แห่เข้าสู่พระนคราเหล่าเสวกาโศกเศร้าเฝ้าพิไร
จึงประชุมมาตยามหาอำมาตย์จะยกราชโอรสครองกรุงใหญ่
เห็นพร้อมกันต่างอำนวยอวยไชยจึงหมายให้จัดราชาภิเศกการ
เกณฑ์กันทำการทุกด้านทางตามอย่างขัติยามหาศาล
อภิเศกพระราชกุมารให้ขึ้นผานทวาลีบุรีรมย์
ถวายพระนามเหมือนพระราชบิดาว่าทวาลีราชองอาจสม
พระเดชาปรากฎยศอุดมครองบรมธานีศรีโสภา
จึงให้กุมารบุญธรรม์นั้นไปบวชเล่าเรียนสวนพระคัมภีร์มีสิกขา
เปนสามเฌรอู่กับพระครูบาจันทสุบิงสมญาพระอาจารย์ ฯ
             

๏ มาวันหนึ่งพระครูผู้ที่บวชท่านไปสวดในป่าช้ากลับสถาน
ได้อ้อยมาถึงควั่นให้ขอทานสามเณรกุมารบุตรบุญธรรม์
ตัวท่านฉันกลางที่หว่างข้อสามเณรก็ไม่ขอกลางปล้องฉัน
ตั้งแต่กินข้ออ้อยไปวันนั้นมีปัญญามากครันแปลกกว่าคน
จึงคิดทายปฤษณาพระอาจารย์ห้าข้อไม่วิตถารปัญญาต้น
ลองความรู้พระครูอาจารย์ตนมาทายชนเข้ากับรังดังพูดกัน
ในบทปถมังดังเวหาที่สองว่าชาโตเนข้อขัน
คูชลามิคาลำดับกันเปนที่สามด้นดั้นปัญหาเณร
จัตวาติตานี้ที่สี่แถลงแปะๆ ปะๆ มาแจ้งมหาเถร
ถามว่าได้แก่อะไรให้ชัดเจนพระฟังเณรตรองปัญหาปัญญาตัน
ค้นคัมภีร์มีในตู้ดูไม่เห็นก็นิ่งเว้นมาสามทิวาคั่น
นั่งคิดนอนคิดให้มิดตันต่อได้ฉันแกงหมูจึงรู้ความ
บอกแก่สามเณรว่าคิดได้ปัญญาที่แคะได้เอามาถาม
ดังเวหาคืองาช้างงอนงามชาโตตามบทมาว่าคางคก
คูชลามิคาคือครุเก่าชันที่เขายาไว้ร่วงไหลตก
รั่วร้ำคร่ำคร่ามาหลายยกถลอกถลกละลายเหลวเลอะเทอะ
จัตวาตีตาตีรั้วบ้านทั้งข้อตาตีปสานใส่ออกเปรอะ
แปะๆ ปะ ปฤษณาว่าเคอะควายกินหญ้าคี่เลอะหยดย้อยไป
แต่แรกคิดว่าจะฦกลับนักหนามิรู้ว่าความตื้นอยู่ใกล้ใกล้
เจ้าสามเณรฟังทายถูกในใจชมพระครูผู้ใหญ่ว่าดีจริง ฯ
๏ จะกล่าวถึงพวกลาวชาวส่วยเมี่ยงมาแต่เวียงหาบกระบอกกตุ้งกติ้ง
ห้าร้อยบอกหนักบ่าในตาวิงถึงตลิ่งจะข้ามฝั่งนั่งหยุดพัก
เมื่อวันนั้นสามเณรมาสรงน้ำเห็นพวกลาวพุงดำล้วนลายสัก
กระบอกผูกพวงวางพลางถามทักกระบอกรักฤาอะไรไปไหนมา
ฝ่ายว่าลาวชาวเวียงส่วยเมี่ยงหลวงบอกว่าข้อยทั้งปวงอยู่เมืองป่า
เปนชาวเวียงส่วยเมี่ยงจึงขนมาพักที่ท่าหมายจะข้ามฝั่งนที
อันแม่น้ำตื้นฤาฦกมากข้อยทั้งปวงนี้อยากข้ามที่นี่
จะข้ามได้ฤามิได้ ในชลธีแจ้งคดีมาหน่อยข้อยขอฟัง
ฝ่ายเจ้าเณรฟังพวกส่วยเมี่ยงถามจึงบอกความว่าน้ำตื้นพอยืนหยั่ง
แต่จะข้ามนั้นขัดสนพ้นกำลังแกจงรั้งรอก่อนผันผ่อนคิด
ลาวเวียงไม่ทันตรองร้องว่าไปจะข้ามให้ได้ถึงฝั่งสมดังจิตร
ถ้าข้ามได้แล้วจั่วจะกลัวฤทธิฤาพนันกันสักนิดก็เล่นกัน
เณรถามว่าถ้าข้ามไปไม่ได้พี่จะเอาอะไรมาให้ฉัน
พวกส่วยเมี่ยงว่าจะให้เมี่ยงทั้งนั้นแม้นข้ามได้เณรจะปันให้อะไร
สามเณรตอบว่าข้ามถึงฝั่งข้าจะรังวัลสบงอังสะให้
แต่เมี่ยงหลวงมาให้ปันฉันตกใจจะมาไถ่สินพนันนั่นนึกกลัว
ฝ่ายพวกส่วยตอบว่าถึงของหลวงมิใช่ช่วงชิงแย่งเจ้าอยู่หัว
ถึงมาเสียสินพนันไม่พันพัวให้พ่อจั่วแล้วจะใช้ให้อื่นแทน
ครั้นพูดจานัดหมายกันแม่นมั่นชาวเวียงก็นุ่งพันผ้าให้แน่น
แล้วหิ้วเมี่ยงท่องน้ำมาตามแกนถึงฝั่งแหงนเงยหน้าว่ากับเณร
ข้อยข้ามมาถึงฝั่งดังพนันจะให้ปันสบงก็ให้เถิดพี่เถร
อย่าช้าเลยจะไปส่งของส่วยเกณฑ์เร็วพ่อเณรข้อยจะลาเข้าธานี
สามเณรตอบว่าข้าไม่ให้เดิมว่าไว้จะจะข้ามเล่นท่องหนี
ซึ่งท่องน้ำลุยมาในวารีที่ตรงนี้ไม่ว่ากันในสัญญา
แกเหล่านี้ลุยน้ำท่องมาฝั่งไม่เหมือนดังพูดไวัที่ได้ว่า
จะยึดเอาเมี่ยงทั้งหมดที่เอามาไม่ข้ามดังสัญญาที่พาที ฯ
๏ ว่าแล้วเณรก็ริบเอาเมี่ยงหมดพวกส่วยหน้าสลดไม่มีศรี
จึงมาเรียนต่อท่านเสนาบดีให้ทูลใต้ฝ่าธุลีพระทรงธรรม์ ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอธิบดีฟังวาทีพวกลาวส่วยว่าแขงขัน
แจ้งข้อความตามเรื่องเณรพนันเอาเมี่ยงส่วยกึ่งพันของชาวเวียง
จึงกราบทูลพระองค์ผู้ทรงภพไปจนจบตามเรื่องพนันเมี่ยง
แล้วแต่จะโปรดโทษลาวเชียงหมอบเมียงคอยฟังพระโองการ ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนรินทร์ปิ่นประชาได้ฟังว่าเณรนั้นทำอาจหาญ
เล่นพนันกันกับลาวฉาวสท้านอยากฟังคำให้การจะอย่างไร
จึงดำรัสให้หาเณรเข้ามาตรัสถามว่าพนันเล่นเปนไฉน
เณรถวายพรองค์พระทรงไชยทูลไปตั้งแต่ต้นจนจบปลาย
ได้ทรงฟังก็ดำริห์ตริตรึกตามข้อความโดยทำนองทั้งสองฝ่าย
จึงดำรัสว่าไม่ควรจะวุ่นวายอย่าเสียดายคิดเงินให้กับเณร
ตามีสักสี่ซ้าห้าบาทเจ้ากูฉลาดคำคมคารมเถร
ให้เปนเลิกอ่าเซ้าซี้จะมีเวรเงินประเคนเจ้ากูอย่าสู้ความ ฯ
๏ ฝ่ายสามเณรได้ฟังรับสั่งโปรดไม่มีโทษกลับจะได้เงินหลายย่าม
ก็รีบมากุฎีที่อารามยืมบาตรตามพระสงฆ์ลงบันได
ถือบาตรห้าฝาสี่ขมีขมันเข้าวังพลันแล้ววางบาตรลงให
ว่ามีพระโองการมาอย่างไรฉันมิได้ล่วงละพระบัญชา
รับสั่งให้ใช้เงินแทนเมี่ยงส่วยจึงไปฉวยฝามาสี่แต่บาตรห้า
แน่พวกส่วยจงตวงเอาเงินมาให้เต็มบาตรเต็มฝาจะลาไป ฯ
๏ พวกส่วยเห็นบาตรห้าฝาถึงสี่สุดคิดด้วยไม่มีเงินจะใËé
ปฤกษากันต่างคนต่างจนใจเราจะได้เงินตราไหนมาพอ
แม้นขายตัวลงทั้งหมดยังลดหย่อนเหลือจะผ่อนแบ่งเบาแล้วเราหนอ
สิ้นปัญญานิ่งนังดังหลักตอจึงทูลข้อขัดสนพ้นกำลัง ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรทรงฟังทูลเรื่องเณรเหมือนบ้าหลัง
จึงดำรัสโปรดให้ไขพระคลังขนเงินใส่บาตรทั้งห้าบาตรพระ
อิกสั่งให้ใส่ฝาครบทั้งสี่ใช้หนี้เณรแทนพวกเลี้ยงจะกละ
พวกลาวถวายบังคมก้มคารวะขอเดชะทูลยกพระเกียรติยศ
แล้วทูลลากลับหลังยังบ้านตนฝ่ายพระจอมจุมพลให้รวมจด
เปนเงินสี่ร้อยชั่งเศษยังลดอิกสี่ชั่งคิดปะชดถ้วนห้าร้อย
จึงทรงดำริห์ว่าเณรปัญญามากคนเช่นนี้หายากไม่ชั่วถ่อย
ถ้าได้เลี้ยงเป็นมนตรีดีไม่น้อยจะใช้สอยแคล่วคล่องเห็นว่องไว
จึงโปรดให้เณรสึกทำราชการเณรไปลาอาจารย์ท่านผู้ใหญ่
รีบสึกออกมาข้าจะใช้เณรก็ไปลาสิขาสึกมาพลัน ฯ
๏ คนทั้งหลายเรียกนามว่าเชียงเมี่ยงได้ชื่อเสียงตามเหตุพนันขัน
เพราะชนะเรื่องเมี่ยงซึ่งเถียงกันได้รางวัลเงินตราเกือบห้าร้อย ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ได้มาเปนข้าเฝ้าหมั่นเข้าวังให้ทรงใช้อย
ไม่ไกลปาทจอมนราอุส่าห์คอยให้ใช้เล็กใช้น้อยข้างน่าใน
ท้าวเธอไม่รังเกียจเดียดฉันแพรพรรณปูนบำนาญประทานให
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อจนเหลือใช้เข้าข้างในออกข้างน่าไม่ว่ากัน
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมสถานเสวยพระกระยาหารให้อัดอั้น
มิใคร่ได้มาหลายทิวาวันพระทรงธรรม์ให้หาเชียงเมี่ยงมา
ดำรัสว่ากูกินเข้าไม่ค่อยได้ทำอย่างไรจึงจะค่อยมีรศหวา
เชี่ยงเมี่ยงทูลมูลคดีว่ามียาให้เสวยโภชนามามีรศ
ดำรัสว่าเองเอายามาให้กูจะกินแก้ลองดูให้ปรากฎ
เชียงเมี่ยงรับคารวะน้อมประนตพระโอสถหม่อมฉันดีมีที่เรือน
ทูลแล้วลีลามาสู่บ้านเที่ยวเล่นศุขสำราญกับพวกเพื่อน
ไม่หายาทูลลามาแชเชือนนอนอยู่เรือนจนสายสบายใจ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ผิดปลาดเชียงเมี่ยงหามาไม
คอยอยู่จนเที่ยงสายก็หายไปแสบอุทรสั่งให้เชิญเครื่องมา
เสวยเวลานั้นมีรศมากเพราะหิวอยากเสวยได้เปนนักหนา
ตวันบ่ายชายแสงพระสุริยาเชียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้าพระภูมี
จึงประภาษตวาดรับสั่งขู่อ้ายเชียงเมี่ยงลวงกูไม่พอที่
ไปเอายาเนิ่นนานจนปานนี้ไหนยาดีขอกูดูอยากรู้รศ
แต่คอยอยู่เห็นสายจวนบ่ายแล้วไม่วี่แวดมาจนหิวพ้นกำหนด
แสบอุทรกินเสียก่อนค่อยมีรศอาหารหมดชามมากกว่าทุกครั้ง ฯ
๏ เชียงเมี่ยงว่านั่นและยาหม่อมฉันถวายเพราะเวลาเที่ยงสายโอสถขลัง
อร่อยเมื่ออยากเสวยมากมีกำลังไม่ต้องตั้งพระโอสถเข้าหมดชาม ฯ
๏ จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอกพูดโหยกเหยกโยกย้ายอ้ายส่ำสาม
มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความไม่เข็ดขามพูดเปนลิดไม่ติดเลย
ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ตรัสพระดำรัสทีหยอกเย้าเฉลย
เกรงขุนนางรู้ความจะหยามเย้ยทรงชมเชยพระวาจาทำปรานี ฯ
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ผู้ทรงเดชสั่งให้เลือกช้างวิเศษมีศักดิศรี
อันควรเปนพระที่นั่งกำลังดีพ่วงพีกล้าหาญชาญณรงค์
กรมช้างผูกช้างพระที่นั่งขับมานั่งน่าพระลานโดยประสงค์
เสด็จออกทอดพระเนตรจะลองทรงมีพระองการถามเสนาใน
ว่าช้างนี้ครบทุกสิ่งสรรพ์ฤาควรติรูปพรรณที่ไหนได้
อำมาตย์ทูลว่างามควรทรงใช้ติไม่ได้แต่สักอย่างจนย่างเดิน
เวลานั้นเชียงเมี่ยงเฝ้าอยู่ด้วยจึงว่าจะช่วยตีบ้างเห็นขัดเขิน
ส่วนตัวโตไม่สมตาเล็กเกินสรรเสริญว่าดีพร้อมไม่ยอมตาม ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังเชียงเมี่ยงว่าเคืองฤไทยด้วยมาขัดหยาบหยาม
แต่ทรงนิ่งไม่ตรัสให้แจ้งความมันลวนลามล้อเล่นเห็นไม่ควร
จึงดำรัสความอื่นกับเสวกาทรงชวนไปเล่นสบ้าที่ปลายสวน
พอเล่นแก้ไม่หยาบหายรัญจวนตั้งกระบวนแล้วเสด็จยาตราพลัน
ถึงที่ประทับพลับพลาสนามเล่นขุนนางตั้งสบ้าเปนลำดับคั่น
ตั้งสบ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์เปนลดหลั่นรายเรียงเคียงกันไป
สมเด็จพระเจ้าทวาลีมีอำนาจทรงยิงสบ้าหมายมาดไม่ผิดไพล่
ทรงยิงก่อนถูกสุอันที่ตั้งไว้ขุนนางก็ยิงลำดับไปตามศักดินา
ฝ่ายเชียงเมี่ยงตบมือร้องเสียงหลงของพระองค์เลยทุกทีอึงมี่ว่า
ครั้นพวกข้าเฝ้าเหล่าเสนายิงสบ้าถูกหมายไม่สายซัด
เชียงเมี่ยงร้องยิงผิดสิ้นทุกคนพระจุมพลแลขุนนางต่างเคืองขัด
ได้อับอายขายหน้าโทมนัศจอมกระษัตริย์ก็เสด็จกลับสู่วัง
ครั้นนานมาพระครูเปนผู้เถ้าโรคเร้าเกิดซุกทนทุกขัง
จันทสุบิงสมญากาละกะตังถึงมรณังมรณะชีพประไลย ฯ
๏ พระครูนั้นไร้ญาติขาดพงษาบุตรนัดดาจะมีก็หาไม่
พี่น้องมิตรสหายล้วนตายไปเสนาในกราบทูลพระกรุณา
ว่าพระครูผู้เถ้ามรณภาพอัประลาภไร้วงษ์เผ่าพงษา
จงทรางทราบใต้ฝ่ามุลิกาศพไม่มีใครนำพาทำกิจการ
จึงดำรัสตรัสให้หมู่เสนาช่วยกันทำฌาปนาในศพท่าน
แล้วรับสั่งให้สนมบริพารไปร้องไห้แทนหลานแลพี่น้อง ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรู้ว่ารับสั่งใช้พวกนางในพระสนมสิ้นทั้งผอง
ให้ร้องไห้ที่ศพแทนพี่น้องเดินตรึกตรองในอารมณ์ด้วยสมคิด
จึงแตัดแหวะผ้านุ่งที่ตรงกั้นเปนเล่ห์กลนุ่งโจงกระเบนปิด
พานางสนมมาที่ศพสถิตย์นางตะบิดตะยอยจะคอยฟัง
แล้วเตือนว่าพระกรุณารับสั่งใช้มาร้องไห้เหตุไฉนจึ่งนิ่งนั่ง
สนมตอบว่าพระครูผู้มรณังมิได้ชังแต่ใช่ญาติข้าทั้งปวง
จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตามาตัวเปนศิษย์เปนหาของท่านหลวง
เจ้าจงร้องไห้รักอย่าทักท้วงข้าทั้งปวงขัดไม่ได้จำใจมา ฯ
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงเห็นได้ทีเข้าไปใกล้ศพพระชีแล้วปลดผ้า
เสแสร้งแกล้งทำร่ำโศกาชลนาไหลนองสองแก้มคาง
ว่าโอ้โอนิจาพระครูเอ๋ยสิบปีพระไม่เคยพบเหล้าบ้าง
เก้าปีมิได้พบสีกานางมาเริศร้างไม่ได้อุ่นพ่อลุ่นโตง
เกิดมาทั้งชาติตายเสียเปล่าไม่พบเต่าหลังขนรำไรโหรง
มานอนตายในกุฎีทีในโลงพ่อลุ่นโตงของกูเอ๋ยเลยมอดม้วย
ฝ่ายนายในได้ฟังคำร้องไห้กลั้นหัวเราไม่ได้ ใจเขินขวย
ก็หัวเราะครึครื้นระรื่นรวยเชียงเมี่ยงฉวยไม้ได้ ไล่ตีเอา
ว่าครั้งนี้มีรับสั่งประทานมาให้โศการักศพพระครูเฒ่า
อย่างไรชวนกันมาร่าเริงเร้าทำดูเบาขัดบัญชามาหัวเราะ
ทำอย่างนี้ไม่ต้องอย่างนางฝ่ายในตีไล่เขวียวขวับเสียงปับเปาะ
สนมนางขึ้นเลียงเถียงเทลาะที่ใจเสาะโศกาน้ำตานอง
เข้าไปเฝ้าพระบาทนารถนาถาต่างวันทาอาดูรทูลฉลอง
ว่าเชียงเมี่ยงข่มเหงข้าฝ่าลอองไล่ตีต้องรอยเรียวเขียวทั้งกาย ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรย์ทรงฟังทูลนางในพระไทยหาย
ร้อนดังต้องพิศม์ไฟไม่สบายสั่งให้นายเวรตำรวจไปหาตัว
ฝ่ายตำรวจรับพระราชโองการถอยคลานถวายบังคมกราบก้มหัว
แล้วรีบมาร้องบอกแต่นอกรั้วรับสั่งให้มาเอาตัวท่านเข้าไป ฯ
             

๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้ฟังว่าเห็นนายชาติวิ่งมาจนเหื่อไหล
แจ้งว่าเหตุเพราะตีสนมในพระทรงไชยขัดเคืองเบื้องบาทา
ก็รีบเร้ามาเฝ้านเรนทร์สูรทรงบัณฑูรตรัสถามถึงโทษา
ว่าอีกเหล่านี้มีผิดอย่างไรมาจึงไล่ตีกายาเปนริ้วรอย ฯ
๏ เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถามจึ่งทูลตามเหตุไปไม่ท้อถอย
พระอาญาล้นเกษาแห่งข้าน้อยนางในทำไม่ต้องรอยพระโองการ
มีรับสั่งให้ไปร้องไห้ร่ำนั่งหัวเราะแทบค่ำครั้นหม่อมฉาน
ร้องไห้รักพระครูผู้อาจารย์กลับชื่นานสรวลเสเสียงเฮฮา
อยู่ที่นั่นหนุ่มหนุ่ม็มีมากคะนองปากเปนสนมไม่สมหน้า
หม่อมแนเห็นไม่ดีตีไล่มาควรมิควรพระอาญาเปนล้นพ้น ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงภพฟังจบเรื่องให้ขัดเคืองนางในได้เหตุผล
จึ่งดำรัสตรัสด่าสิ้นทุกคนว่าไปทำลุกลนให้ได้อาย
เชียงเมี่ยงตีแต่เพียงนี้ยังไม่สามันฆ่าเสียก็ต้องตามกฎหมาย
ไปหัวเราะเยาะเย้าเจ้าผู้ชายโทษมึงถึงตายตามไอยการ ฯ
๏ นางสนมได้ฟังพระกริ้วกราดก็ไม่อาจเถียงท้าต่อว่าขาน
แค้นเชียงเมี่ยงมิได้เหือดคิดเดือดดาลก้มคลานบังคมลามาทุกคน ฯ
๏ อยู่มาวันหนึ่งพระจอมเวียงเสวยเมี่ยงองค์หนึ่งเปนคำต้น
ฝ่ายเชียงเมี่ยงอมเมี่ยงทำพิกลสี่คำดูล้นแก้มตุ่ยพอง
แล้วเอาน้ำมันทาแก้มไว้เลื่อมใสดุขันเปนมันย่อง
พระทรงศักดิตรัสทักว่าแก้มพองเองอมเมี่ยงฤาดูป่องผิดในตา
เชี่ยงเมี่ยงทูลว่าแก้มเกล้าหม่อมฉันทาน้ำมันเลื่อมอยู่เองเป่งนักหนา
กรุงกระษัตริย์เคองขัดหัทยาแต่ไม่ว่านิ่งแค้นในพระไทย ฯ
๏ ล่วงมานานชานพระที่นั่งซุดพระประสงค์จะให้ขุดซ่อมแปลงใหมè
สั่งให้หาเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการถอยคลานออกจากวังแล้วเที่ยวหา
สืบทุกแห่งหาคนปากแหว่งมาว่ามีพระบัญชาจะต้องการ
คนทั้งหลายจึ่งว่าเห็นผิดไปจะทำไมคนปากแหว่งบอกทุกบ้าน
เชียงเมี่ยงว่าเรารับพระโองการต่อพระโอษฐบรรหารให้เลือกค้น
ว่าแล้วจึ่งเที่ยวหาคนปากแหว่งหลายแแห่งบอกมาทุกถนน
พอครบถ้วนจำนวนสิบแปดคนพาเข้าเฝ้าจุมพลจอมประชา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรคนปากแหว่งมานักหนา
ดำรัสถามเชียงเมี่ยงมิได้ช้าคนปากแหว่งนี้พามาทำไม
เชียงเมี่ยงกราบทูลพระกรุณาโปรดให้หาปากง่ามก็หาได
๏ ฝ่ายพระจอมนครินทร์ยินเชียงเมี่ยงกราบทูลเถียบอ้างรับสั่งดูอาจหาญ
ทรงพระสรวลว่ากูจะต้องการคนปากไม้ทำชานที่ซุดพัง
คนปากแหว่งเช่นนี้ไม่ประสงค์มึงใหลหลงพามาเหมือนบ้าหลัง
แล้วทรงเล่าให้เสนาข้าเฝ้าฟังขุนนางทั้งปวงก็พากันหัวเราะ
พระทรงภพปรารภว่าอ้ายคนนี้มันอวดดีว่าปัญญามากมั่นเหมาะ
อย่าเลยนะจะให้แกงแร้งจำเภาะให้มันกินจะได้เย้าะเย้ยประจาน
เพราะแร้งนันมนกินสุนักข์เน่าซากศพเก่าศพใหม่เปนอาหาร
อ้ายเชียงเมี่ยงกินเนื้ออันสาธารณ์ความคิดอ่านปัญญาคงอับน้อย
ทรงดำริห์แล้วสั่งวิเศษในหาแร้งแกงให้ ได้ ให้อร่อย
ใส่พริกเกินตำราอย่าให้น้อยให้มันเผ็ดเหื่อย้อยถึงเครื่องร้อน
วิเศษรับพระราชโองการทำตามบรรหารไม่ย่อหย่อน
เสร็จใส่สำรับถวายพระภูธรเตรียมไว้ก่อนคอยเชียงเมี่ยงจะมา ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงครั้นถึงเวลาเฝ้าก็รีบเข้าบังคมบาทนารถนาถา
ครั้นพระองค์อิศเรศเกษประชาเห็นเชียงเมี่ยงเข้ามาดีพระไทย
จึ่งรับสั่งให้ยกสำรับมารับสั่งว่าเองจงกินแกงไก่ใหญ
กินเถิดอย่ากระดากลำบากใจกูสั่งให้ทำเลี้ยงเชียงเมี่ยงกิน ฯ
๏ ครานั้นเชียงเมี่ยงได้รับสั่งถวายบังคมแล้วไม่ผันผิน
บริโภคแกงเผ็ดให้เข็ดลิ้นเหม็นกลิ่นคาวมากแทบรากท้น
เนื้อก็เหนียวเคี้ยวไปไม่ใครขาดเกรงอาญาจอมราชจึ่งไม่บ่น
แขงใจกินได้สามคำกล้าเหลือทนก็อิ่มเข้าร้อนรนเผ็ดเต็มท
ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชาเห็นเชียงเมี่ยงดูระอาริบอิ่มหนี
จึ่งรับสั่งถามพลันในทันทีอย่างไรนี่จึ่งไม่กินให้สิ้นชาม
ทั้งเหม็นคาวเหม็นสาบหลาบครั่นคร้ามทนได้สามคำเท่านั้นให้ตันตอ
พระภูบาลทรงพระสรวลสำรวลร่าว่าไก่ชราตัวใหญ่เนื้อเหนียวหนอ
เพราะมันกินสุนักข์เน่าเข้าไว้พอเองจึ่งท้อเข็ดขยาดไม่อาจกิน
เชียงเมี่ยงฟังรับสั่งรู้ว่าแร้งเอามาแกงลวงเล่นเหม็นไม่สิ้น
แค้นใจโกรธในพระเจ้าแผ่นดินจะแก้เผ็ดนึกจินตนาปอง
แล้วถวายบังคมลามาสู่บ้านให้คลื่นเหียนซาบซ่านขนสยอง
เอามาะกรูดส้มป่อยดินสอพองชำระปากตอท้องสอิดสเอียน
ถึงสามวันสี่วันเหม็นไม่หายทั้งกลิ่นอายคาวขื่นให้คลื่นเหียน
ท้องไส้ขย่อนเขย่าเฝ้าอาเจียนสอิดสเอียนเปนไข้ไปหลายวัน
พอคลายไข้อุส่าห์หาคี่แร้งได้มาผสมแป้งสู้เพียรปั้น
ทำดินสอแท่งงามงามได้สามอันเอาไปถวายทรงธรรม์มิได้แคลง ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถานเห็นเชียงเมี่ยงยกพานดินสอแท่ง
มาถวายทรงรับไม่ระแวงทรงเขียนลองแห้งแห้งเส้นไม่มี
แล้วทรงจิ้มลิ้มเขฬาเลขาใหม่ก็มิได้เห็นเส้นเหมือนเช่นกี้
ประหลาดฤไทยแต่ไม่ทรงพาทีชวนเชียงเมี่ยงมาที่ทรงหมากรุก
เล่นกับเชียงเมี่ยงเสียงโกกก้องเชียงเมี่ยงร้องพูดเล่นเปนสนุกนี้
ได้ทีเดินโดดโลดเข้ารุกบ่ารุกเรือเม็ดเล็ดลอดกิน
ร้องโปกฉาดข้าบาทได้กินตัวพระอู่หัวเลิศลบภพทั้งสิ้น
เปนปีนแขวงแต่พระแกงคูธริ้นพระภูมินทร์ทราบเรื่องเคืองพระไทย
ทรงดำริห์ว่าจะฆ่าผ่าอกแล่โทษมันแก้เผ็ดล้อเปนข้อใหญ่
แล้วหวนคิดปิตุรงค์ทรงฝากไว้ภูวไนยตรัสว่าอย่าฆ่าฟัน
แต่เคืองขุ่นมุ่นฤไทยมิไใคร่หายเพราะพระองค์อับอายให้อัดอั้น
เสด็จเข้าสู่พระแท่นแผ่นสุวรรณพระทรงธรรม์จะพาลผิดนิจกาล ฯ
๏ ครั้นล่วงมาวันหนึ่งจอมประชาทรงจินตนาขะเสด็จสรงสนาน
ที่หาดทรายชายท่าชลาธารทรงคิดอ่านเห็นจะได้ความผิดมี
จึ่งดำรัสแก่หมู่เสวกาจงหาฟองไก่ไวอย่าอึงมี่
ปิดเชียงเมี่ยงอย่าให้รู้หมู่เสนีไปฝังไข่ไว้ที่ในหาดทราย
พรุ่งนี้ให้ได้ไปแต่ช้าวข่าวคราวซ่อนไว้อย่าได้ขยาย
๏ ครานั้นหมู่อำมาตย์มาตยารับพระราชบัญชาออกจากเฝ้า
ให้ค้นหาไข่ไก่ไว้แต่เช้าสั่งเบ่าให้ไปยังฝั่งชลา
ได้เวลาจอมนรินทร์ปิ่นประเทศเสด็จจากพระนิเวศน์ด้วยยศถา
ทรงเรือที่นั่งพร้อมหมู่เสวกาเชียงเมี่ยงตามเสด็จมาในนัที
ถึงที่เสด็จประทับบนพลับพลามีบัญชาให้เล่นน้ำสนั่นมี่
ดำรัสว่าให้กระตากคนละทีให้ได้ไข่ทุกเสนีบรรดามา
ถ้าไม่ได้ ไข่ชูให้กูเห็นจะเอาเปนความผิดมีโทษา
ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชบัญชาลงสู่ท่าดำน้ำก็ทำตาม
ผุดขึ้นนว่ากระตากมือชูไข่ต่างต่างได้คนละฟองร้องอึงสนาม
เชียงเมี่ยงดำแล้วผุดขึ้นมาตามร้องระตูแจ้งความว่าไม่มี
เพราะเปนไก่ผู้หาฟองไม่แล้วก็ไล่จับพวกขุนนางขี่
เที่ยวไล่จับสัตว์ในนัทีหมู่เสนีสำลักน้ำดำหนีไป ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์หมายมาดจะเอาผิดก็ไม่ได้
เชียงเมี่ยงแก้คล่องด้วยว่องไวพระทรงไชยกลับหลังยังนคร
แล้วทรงคิดจะเอาผิดแก่เชียงเมี่ยงอย่าให้เลี่ยงข้างข้างเหมือนอย่างก่อน
จะให้ไปซื้อผ้าท้าวนครทรงอนุสรแล้วเสด็จออกขุนนาง
ดำรัสใช้ ให้เชียงเมี่ยงไปซื้อผ้าลายโสภาตีนแต้มให้ได้อย่าง
เชียงเมี่ยงรับเงินตราออกมาพลางถึงบ้านนอนไขว่ห้างเล่นสบาย
ครบเจ็ดวันจึงเามาเผ้าพระบาทบรมนารถทักว่าเองไปไหนหาย
มามือเปล่ากูไม่เห็นได้ผ้าลายเที่ยวสบายเสียไม่หาฤาว่าไร
เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถามจึ่งทูลความว่าหม่อมแนหาไม่ได้
ผ้าตีนแต้มเช่นตรัสดำรัสใช้เกล้ากระหม่อมเที่ยวไปทั่วตำบล
ถามผู้ใดก็ว่าแต้มแต่ด้วยมือไม่อาจซื้อมาถวายเพราะขัดสน
ไม่มีแต้มด้วยเท้าแต่สักคนก็เปนคนใจจะวงพระโองการ
ฝ่ายพระจอมนครินทร์บดินทร์สูรได้ฟังทูลเชียงเมี่ยงดูอาจหาญ
ทรงตรองไปก็เห็นจริงนิ่งรำคาญหมายจะพาลผิดก็ไม่ได้สักครา ฯ
๏ ยังมีเจ้าอธิการสมภารใหญ่ปลูกต้นไม้มีผลมากนักหนา
มะม่วงมะปรางมะทรางและพุดทราน้อยหน่าลำไยมะไฟมะเฟือง
แต่ผู้ใดใครมาขอไม่อยากให้หวงไว้จนผลงอมหล่นเหลือง
ถึงตัวท่านก็ไฉันกลัวจะเปลืองชาวบ้านเคืองคิดชังไปทั้งคาม
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเดินมาเห็นมะม่วงดกเปนพวงสุกเหลืองเรืองอร่าม
อยากใคร่ได้ไปถือเล่นงามงามแต่ครั่นคร้ามไม่ได้ขอนิ่งรอพลาง
แล้วขึ้นไปบนกุฎีพระชีเฒ่าคุกเข่าร้องขอส้มกินบ้าง
เจ้าอธิการรู้เรื่องเคืองระคางเดินเข้ากุฎีกลางปิดประตู
เชียงเมี่ยงเห็นอาการสมภารแก่วิ่งแร่หนีตัวซ่อนหัวหู
คิดโกรธว่าขรัวนี้ทำไม่น่าดูให้ไม่ให้ก็ไม่รู้ ไม่พูดจา
เปนไรมิดีแล้วได้เห็นกันคิดให้ขันถีบขว้ำคะมำหน้า
ให้ได้แผลแก้แค้นด้วยปัญญาทำที่หน้าผากให้แตกได้แลกลำ
คิดแล้วกลับไปบ้านสถานตนหาหมากผลพลูซองลองขรัวคร่ำ
ให้เมียทำไก่พะแนงแกงต้มยำแล้วใส่สำรับมาให้พระสมภาร
ขึ้นกุฎีก้มกราบหมาอบราบพื้นบอกว่าคืนนี้รับสั่งให้ดีฉาน
มาเผดียงเจ้าคุณพระอาจารย์นิมนต์ท่านไปตั้งราชาคณะ
ฝ่ายขรัวเฒ่าเขลาปัญญาว่าสาธุมาได้ที่เมื่ออายุมากนะจะ
เชียงเมี่ยงตอบว่าเจ้าคุณบุญถึงละดีฉันจะขอดูรู้ลายมือ
ในตำราว่าไว้จะได้ที่ฤามั่งมียศศักดิ์คนนับถือ
เปนที่เกรงหมอบเทาชื่อเล่าฦามีแจ้งในลายมือแลลายท้าว
สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศเชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว
แบให้ดูลายมือพูดยืดยาวทั้งลายท้าวไม่ระแวงนึกแคลงใจ
เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่นทำพูดกันให้สิ้นความสงไสย
ว่าลายมือลายเท้าที่ทายไว้ไม่แน่ใจเหมือนลายก้นต้นตำรา
จะดีชั่วแจ้งชัดเปนสัจจังไม่พลาดพลั้งที่นั่งทับตำหรับว่า
พระอธิการฟังสารเชียงเมี่ยงว่าไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย
ว่าจะดูก้นเห็นฦกข้านึกอายเชียงเมี่ยงว่าไม่แพร่งพรายจะอายใคร
ดูแต่สองคนเท่านี้นี่ไปในที่ลับลี้ก็จะได้
พระสมภารไม่แหนงเคลือบแคลงใจก็พาไปห้องน้ำตามคำชวน
ฝ่ายเชียงเมี่ยงสมจิตรที่คิดหมายจะทำให้ได้อายนึกยิ้มสรวล
พอขรัวเฒ่าเข้าห้องต้องกระบวนทำทีด่วนว่าจะดูตามตำรา
ให้ขรัวเฒ่าแก่โก้งโค้งจะดูก้นถีบตะโพกหัวชนเข้ากับฝา
สมภารหน้าผากแตกเวทนาร้องด่าอ้ายขี้ครอกบอกกล่าวพลาง
เชียงเมี่ยงก็ถีบซ้ำอีกสามทีแล้วจึงหนีลงบันไดไปข้างล่าง
ท่านสมภารล้มกลิ้งก็ยิ่งครางโลหิตไหลเปนทางนองกระดาน
กว่าจะนั่งขึ้นได้เปนนานช้าเชียงเมี่ยงวิ่งหนีมาจนถึงบ้าน
คิดว่าโทษเรามีตีสมภารกินยารุให้พิการซูบผอมกาย ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าอธิการเฒ่าปวดร้าวที่แผลหน้ามิใคร่หา
อุส่าห์ประคบทาไพลค่อยได้สบายครบเจ็ดวันจึงคอยคลายเจ็บกายา
ครั้นความเจ็บบางเบาขรัวเฒ่าเถรฉันเพนแล้วห่มดองจึ่งครองผ้า
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรขรัวแก่ตรัสถามก่อน
ว่าคุณประสงค์บาตรเภสัชฤาจีวรเครื่องนั่งนอนอย่างไรจงไขความ ฯ
พยุงเดินเข้าในวังเซซังมาถึงเข้าเฝ้าจอมนราประชากร ฯ
๏ ครานั้นขรัวเฒ่าทูลเล่าเรื่องที่ขัดเคืองมีผู้มาหยาบหยาม
อุบาสกคนหนึ่งพึ่งรุ่นงามมาแจ้งความว่าพระองค์ผู้ทรงไชย
ให้นิมนต์รูปมาตั้งราชาคณะแล้วทำรูปหน้าหวะโลหิตไหล
ได้ความร้อนรนเปนพ้นไปเห็นเปนข้าจอมไทนราบาล ฯ
             

๏ ฝ่ายพระจอมนิเวศน์เกษประชาทรงฟังว่าข้าเฝ้าทำอาจหาญ
นึกฉงนจนพระไทยให้รำคาญพระโองการดำรัสว่าผู้ใดไป
ความที่ว่าฉันสั่งให้นิมนต์จะได้ใช้ใครสักคนก็หาไม่
ผู้เปนเจ้าว่าข้าเฝ้าที่เคยใช้แม้นว่าจำหน้าได้จงชี้มา
เจ้าอธิการทูลว่าจำหน้าได้จึ่งโปรดให้ชี้ขุนนางอยู่พร้อมหน้า
พระเถรพิศดูหมู่เสนาแต่บรรดาหมอบเฝ้าเจ้าจุมพล
จึ่งทูลว่าเสนาที่อยู่นี่มิใช่ที่คนทำรูปปี้ป่น
แต่คนทำนั้นก็ยังรู้จักตนได้สั่งสนทนาอยู่เปนครู่นาน
จึ่งดำรัสถามเหล่าเสนามาตย์ผู้ใดขาดไม่มาจงว่าขาน
ขุนนางทูลว่าเชียงเมี่ยงไม่พบพานขาดเผ้าพระภูบาลมาหลายวัน
ได้ทรงฟังจึ่งรับสั่งให้หามาเชียงเมี่ยงกินแต่ยาเพราะความพรั่น
ครั้นมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงธรรม์ผิวพรรณผิดหน้าตาโหลกลวง
ทั้งรูปกายผ่ายผอมดูพิกลพระจุมพลจึ่งถามขรัวตาหลวง
ว่าคนนี้ฤาที่ไปฬ่อลวงขอมะม่วงแล้วข่มแหงเก่งกอแก
เจ้าอธิการทูลว่าคล้ายคนนี้แต่ท่วงทีผิดไปดูไม่แน่
คนที่ไปลวงฬ่ทำตอแยล่ำกว่านี้คนนี้แก่กว่าคนนั้น
เชียงเมี่ยงจึงตอบว่าข้าพเจ้าขาดเฝ้าเพราะป่วยหลายวันคั่น
ไปไหนไม่ได้มาหลายวันพระทรงธรรม์ให้หามาในวัง
จึ่งค่อยแขงใจมาเฝ้าจอมราชกลัวพระราชอาชญารักษาหลัง
จิตรใจยังโผเผเดินเซซังสมภารฟังเห็นไม่แน่ทูลลาไป ฯ
๏ จะกล่าวถึงกระษัตราเมืองธานีครองบุรีนคเรศประเทศใหญ่
พรั่งพร้อมรถอัศดรกุญชรไชยทหารเดินเนืองในพระภารา
มหไสูรย์มูลมั่งคั่งสมบัติแออัดฝูงชนล้นแน่นหนา
มีเรือเสาสำเภาเหล่านาวาเรือลูกค้ามาจอดทอดเรียงราย
ราษฎรเปนศุขทุกตัวคนไม่ยากจนตั้งห้างวางของขาย
แสนสำราญมั่งคั่งทั้งหญิงชายศุขสบายทั่วนครไม่ร้อนรน
ปรปักษ์ข้าศึกไม่นึกร้ายชนทั้งหบายเกรงพระเดชแสยงขน
ขอเปนข้าขอบขัณฑ์พรั่นทุกคนบุบผาหิรญกาญจนามาคำนับ
พระเจ้ากรุงธานีบุรีราชมีชายชาติหัวแขงแข่งคู่ปรับ
ศีศะล้านเลื่อมขันเปนมันรยับเที่ยวชนสู้มานับว่าหมื่นพัน
ท้าชนใครไม่มีผู้โต้ทานมะพร้าวตาลชนต้นก่นสบั้น
ศีศะแขงแรงคล้ายช้างน้ำมันเที่ยวพนันทุกเมืองเลื่องฦาชา
ชนมีไชยได้มาขิ้นบุรียิ่งกว่าสี่สิบเมืองมากนักหนา
ทุกนครคลอนหัวกลัวระอาออกปากว่าหัวแขงเรี่ยวแรงครัน
วันหนึ่งจอมบุรีธานีราชสถิตย์อาศน์แท่นทองตรองกระสัน
ว่าจะเอาศีศะล้านไปพนันชนกันกับคนเมืองทวาลี
ด้วยข่าวเล่าฦาชาว่ามั่นคั่งเปนเอกราชทั่วทั้งบุรีศรี
มิได้ขึ้นเมืองใดในปัถพีมั่งมีศฤงฆารโอฬารนัก
จำจะเอาหัวล้านไปพนันแข่งขันสู้เล่นให้เห็นประจักษ์
ถ้าแพ้เราได้บุรีจะดีนักเปนศรีศักดิ์ฦาเลื่องกระเดื่องยศ
ดำริห์แล้วจึ่งเสด็จออกข้างน่าสั่งเสนาให้หมายวันกำหนด
ที่จะไปพนันชนคนมีคตให้ปรากฎไว้ชื่อเลื่องฦาขจร
แต่งสำเภาเภตราสักห้าร้อยเครื่องใช้สอยเงินตราและผ้าผ่อน
ของบรรณาการอย่างต่างนครบรรทุกตอนนาวาสารพัน
จงให้คนศีศะแขงตกแต่งกายลงในท้ายบาหลีขมีขมัน
แต่งราชสารแจ้งการจะขอพนันชนกันถ้าชนนะจะเอาเมือง
ถ้าศีศะล้นนบุรีธานีราชพลั้งพลาดพ่ายแพ้ ในบาทเบื้อง
จะถวายสินพนันมิให้เคืองอิกทั้งเมืองถวายขึ้นทวาลี
สั่งให้แต่งราชสารโองการเสร็จก็เสด็จคืนเข้าปราสาทศรี
กรมวังหมายบอกสัสดีจ่ายคนทุกน่าที่ลงสำเภา
กรมท่าจัดล้าต้าต้นหนลูกเรือขนเพลาไบมาใส่เสา
กว้านสมอช่อใช้ในสำเภาเกลือเข้าของลำเลียงเสบียงทาง
พวกคลังขนบรรณาการส่าโหมดตาดโตกถาดแพรผ้าหักทองขวาง
มอบให้นายใหญ่ใส่ระวางฝ่ายขุนนางที่เปนทูตลงนาวา
ครั้นได้ฤกษ์ให้ออกสำเภาใหญ่ทั้งห้าร้อยแล่นไปออกจากท่า
มาในท้องทเลล้วนเภตราตั้งหน้าต่อนครทวาลี
มาได้สองคืนโดยประมาณก็ถึงด่านปกน้ำบุรีศรี
แจ้งความแก่นายด่านตามคดีว่าทูเมืองธานีมาคำนับ
ทำใบบอกมาในกรุงหวังต้อนรับเสมียนกับกรมการรีบเข้าไป
ถึงศาลาบอกนายเวรให้กราบเรียนนำใบบอกที่เขียนมาส่งให้
ว่านายช่วยกราบเรียนโดยเร็วไวให้เจ้าคุณผู้ใหญ่ทราบเหตุการ ฯ
๏ ครานั้นนายเวรในกรมท่าได้ฟังว่าเสร็จสิ้นในข่าวสาร
รับใบบอกรีบไปมิได้นานเรียนต่อท่านอธิบดีให้ทราบความ ฯ
๏ ฝ่ายว่าท่านเจ้าพระยาอธิบดีฟังวาทีนายเวรไม่เข็ดขาม
คลี่ใบบอกออกดูรู้ข้อความแล้วซักถามกรมการด่านปากน้ำ
ได้ความแน่ว่าทูตเมืองธานีถือพระราชสารศรีเปนข้อขำ
กับสำเภาใหญ่น้อยห้าร้อยลำแล้วจึ่งนำใบบอกขึ้นกราบทูล
ตามสำเนากรมการด่านเขื่อนขันธ์กราบทูลพระทรงธรรม์นเรนทร์สูร
ให้ทราบใต้บงกชบทมูลจอมประยูรขัติยาเจ้าธานี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพทรงฟังจบข่าวทูตมากรุงศรี
ว่าจอมกระษัตริย์ครองสมบัติเมืองธานีจะมาเจริญไมตรีใช้ทูตมา
ทรงดำริห์ในพระไทยสงไสยความ จะลวนลามฤาไฉนให้กังขา
ดีฤาร้ายเปนอย่างไรในสาราฤาจะท้ารบตีบุรีเรา
ทรงดำริห์แล้วดำรัสให้นัดวันราชทูตตัวสำคัญให้เข้าเฝ้า
จงจัดการรับทูตนายสำเภาอย่าให้เขาครหาด้วยมาไกล
ดำรัสสั่งแล้วเสด็จสู่ปรางค์มาศพระที่นั่งบัลลังก็อาศน์อันสุกใส
พระแท่นที่สุวรรณพรายข้างฝ่ายในสำราญฤไทยด้วยศฤงฆารผ่านบุรี ฯ
๏ ฝ่ายว่าท่านมหาเสนามาตยรับพระราชโองการคลานจากที่
สั่งให้หมายเกณฑ์คนสัสดีเรือกระบี่วายุภักษ์ปักธงไชย
ทั้งเรือเชิญราชสารม่านทองปักที่นั่งฉลักลายประกอบดูสุกใส
ดาดหลังคาลายแย่งแต่งลงไปพิณพาทย์ให้ลงนาวานำน่ากระบวน
ถึงวันนัดจัดการพร้อมตามหมายเรียกฝีพายลงเรือครบเสร็จถ้วน
เรือแห่เตรียมเต็มตามจำนวนเคลื่อนกระบวนลงไปรับทูตเข้ามา
ฝ่ายว่าทูตานุทูตนั้นก็พร้อมกันเข้าเฝ้าจอมนาถา
เชิญพานทองรองราชสาราถวายพระปิ่นขัติยาเจ้าธานี ฯ
ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชทอดพระเนตรเห็นราชสารศรี
ทรงรับไว้มอบให้ศรีภูรีผู้ว่าที่พระอาลักษณ์มีศักดินา
ฝ่ายพระศรีภูรีศรีสาลักษณ์ถวายบังคมจุลจักรนารถนาถา
รับราชสารอ่านถวายตามสาราให้ทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพทรงจบในราชสารศรี
แล้วตรัสปฏิสันฐารทูตธานีโดยคดีสามนัดแบบบุราณ
จึงดำรัสผัดว่าอีกเจ็ดวัน จะเลือกสรรคนดูในราชฐาน
ที่จะพนันชนคนหัวล้านพอจัดการเตรียมพนันขันสู้ชน
ราชทูตก็ถวายบรรณาการแล้วทูลลาไปสถานให้ฝึกฝน
ศีศะล้านที่มาว่าจะชนอย่าให้แพ้ล้านคนทวาลี ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเจ้าเขตรขัณฑ์ทรงนัดวันแล้วเสด็จขึ้นเข้าที่
ทรงวิตกการกู้พระบุรีในเมืองจะมีสู้เขาฤาเปล่าดาย
ทรงปรารมภ์พลางบรรธมบนแท่นรัตน์อัจกลับแสงจำรัสรุ่งเรืองฉาย
ระย้าแก้วแพรวพราวดังดาวพรายพนักงานขับถวายมโหรี
แจ้วเจื้อยเฉื่อยฉ่ำยักลำส่งฆ้องวงรนาดขลุ่ยตุ่ยต๋อยตี๋
โทนน่าทับรับรำมนาตีซอจับปี่ซอยซ้ำเลียนงน้ำนวล
ลำพระทองร้องส่งประสานซอขลุ่ยรับต่อกลมเกลี้ยงเสียงแหบหวน
จะเข้ดีดเตร๋งเตร่งเต๋งเต่งครวญกลับทบทวนไล่เดี่ยวเคี่ยวขับกัน
พระบรรธมบนพระแท่นแสนสบายน้ำค้างพรายจวนอุไทยเสียงไก่ขัน
นกดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยันแซ่สนั่นสกุณาทิชากร
หอมระรินกลิ่นผกาบุบผาเผยแมลงภู่บินมาเชยวะหวี่ว่อน
แมลงผึ้งหึ่งหึ่งเปนหมู่จรเคล้าเกสรเกลือกกลิ่นแล้วบินไป
พระองค์ฟื้นตื่นองค์สรงพระภักตร์ทรงเครื่องต้นสมศักดิ์ดูสุกใส
เสด็จออกที่นั่งโถงพระโรงไชยเสนาในเฝ้าพระบาทดาษดา
จึ่งดำรัสว่ากษัตริย์เมืองธานีให้มีราชสารมานั้นขันนักหนา
จะขอพนันคนแลกภาราชนคนจนเกษาว่าชอบกล
แน่อำมาตย์ใหญ่น้อยจงเที่ยวหาศีศะล้านเอามาทุกถนน
มาประชุมน่าพระลานเลือกคู่ชนเที่ยวหาค้นตีฆ้องป่าวร้องไป ฯ
๏ ฝ่ายอำมาตย์รับราชบรรหารถวายบังคมก้มคลานหาช้าไม่
ออกจากเฝ้ามาศาลามหาดไทยแจกหมายให้หาตัวพวกหัวล้าน
ให้มาพร้อมที่ศาลามหาดไทยจะถามดูผู้ใดจะอาจหาญ
ชนสู้แขกเมืองเลื่องฦาสท้านตามที่มีราชสารมาท้าพนัน
ฝ่ายว่าพวกผมไร้ได้พึ่งหมายต่างๆ มามากมายขมีขมัน
ประชุมพร้อมที่ศาลามากกว่าพันต่างคนพรั่นหนีตัวกลัวระอา
ออกปากว่ากลัวนักพูดยักเยื้องแล้วเกรงเคืองเบื้องบาทนารถนาถา
จึ่งวิงวอนต่อท่านมหาเสนาบ้างก็ให้เงินตราขอบนบาน ฯ
๏ ครานั้นจึ่งมหาเสนามาตย์เห็นเศียรล้านพานขลาดไม่อาจหาญ
สู้ไม่ได้ก็อย่าชนอย่าบนบานจะกราบทูลภูบาลผ่านธานี
ว่าหามาทั่วคนไม่ชนสู้แต่พอรู้ก็เกรงกลัวออกตัวหนี
ไม่เปนไรดอกกราบทูลแต่โดยดีด้วยไม่มีผู้อาสากล้าเข้าชน
ว่าแล้วก็เข้ากราบบังคมทูลตามมูลถามไถ่ได้เหตุผล
ว่าศีศะล้านกลัวระอาไม่กล้าชนจอมจุมพลจงทราบพระบาทา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ฟังอำมาตย์ทูลโทมนัศา
ทรงดำริห์เกรงจะเสียพระภาราจึ่งให้หาเชียงเมี่ยงมาเฝ้าพลัน
รับสั่งเล่าเรื่องจะชนคนผมน้อยอมาตย์หากว่าร้อยแต่เลือกสรร
ไม่มีใครรับสู้คู่พนันมีแต่พรั่นออกตัวกลัวทุกคน
เองจะรับอาสาได้ฤาไม่กูร้อนใจเกรงจะอายขายหน้าป่น
แขกเมืองจะตรีชาว่าอับจนเองเปนคนมีปัญญาปรีชาไวย
เชียงเมี่ยงได้ฟังรับสั่งถามจึงทูลตามปัญญาอาสาได้
แต่เพียงนี้ไม่สู้ยากลำบากใจหม่อมฉันนมิให้ขุ่นข้องลอองธุลี
แม้นแขกเมืองมีกำลังเจ็ดช้างสารจะหักหาญด้วยปัญญาไม่ล่าหนี
ฝ่ายพระจอมนคราทวาลีฟังวาทีเชียงเมี่ยงทรงโสมนัศ
จึ่งตรัสว่าต้องการสิ่งอันใดชาวคลังจงจ่ายให้อย่าได้ขัด
เลือกเอาตามใจให้ทันนัดพระดำรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน ฯ
๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงรับพระราชโองการถวายบังคมถอยคลานหาช้าไม่
มาศาลาเวรหมายรายกันไปทุกนายไพร่ให้รู้พระโองการ
แด่บรรดาคนศีศะไร้เกษาให้เข้ามาพร้อมในพระราชฐาน
ราษฎรในนครที่หัวล้านรู้หมายรีบลนลานมาพร้อมกัน
ทั้งผู้คนชนบทหัวเมืองนอกมีท้องตราแจ้งบอกทั่วเขตรขัณฑ์
ทั้งนายไพร่เศียรโล่งโหม่งเปนมันก็พากันมาหาเชียงเมี่ยงพร้อม
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นคนจนเกษาดูนานาหลากถ้วนทั้งอ้วนผอม
บ้างฉอกหลงดงช้งข้ามเปนเขาค้อมสามหย่อมเปียแหยมแกมปนคละ
ผู้รับสั่งจึ่งประกาศตามโองการพระภูบาลให้เลือกคนชนศีศะ
ใครจะอาสาได้ให้ชนะพระองค์จะพระราชทานเงินทองยศ
ฝ่ายว่าพวกไร้เผ้าฟังเล่าหมายทั้งไพร่นายอกตัวกลัวไปหมด
บ้างว่าแรงฉันน้อยถอยลดบ้างว่างดฉันเสียเถิดแต่เกิดมา
ไม่เคยเห็นไม่เคยเล่นพนันชนบ้างก็บนเงินทองสิ่งของผ้า
ลางคนบนคู่สนิทให้ธิดาว่าท่านได้กรุณาอย่าให้ขน
เชียงเมี่ยงพูดโลมเล้าเอาใจไว้จะเลือกแต่ได้ราชการอย่าพานบ่น
แล้วออกมาเลือกคนดูในหมู่คนดูพิกลต่างๆ หลายอย่างพรรณ
บ้างหัวล้านแต่รอบนอกมีผมกลางตำราอ้างล้านน้ำเต้าเค้าดูขัน
ชนิดนี้แรงน้อยถอยทุกวันบ้างฉอกฉินเลี่ยมมันจับแก้วตา
เรียกว่าล้านเดือยไก่ใจคะนองพูดเล่นคล่องไม่ขัดจัดนักหนา
ถ้าอายุแก่เข้าเฒ่าชรามักเกิดโรคนานามายายี
บางคนล้านโขมนโกร๋นเกรียนโล่งเลี่ยนแลเลื่อมเปนมันสี
มักใจน้อยเจ้าโทโสโอ่อวดดีถ้อยคำมีสำนวนชวนก่อความ
เชียงเมี่ยงเลือกคัดจัดคนใหม่อย่างที่ว่าใช้ไม่ได้สิ้นทั้งสาม
เลือกได้คนหนึ่งพีรูปดีงามล่ำสันไม่เข็ดขามควรเปรียบชน
ศีศะพึ่งล้านใหม่ดูใสเศียรผมเกรียนเส้นเอียดพึ่งร่วงหล่น
หน้าดุร้ายกายดำขำกว่าคนเห็นควรชนเชียงเมี่ยงว่าได้การ
จึ่งเบิกกระดาษมาฟันทำพวนหนังสำรับรั้งสี่เส้นทาหมึกประสาน
ติดขนควายรายทุกเส้นเห็นได้การแม้นใคร ดูก็ปานกับหนังพวน
แล้วจัดคนถือเชือกเส้นละร้อยล้วนแต่เกษาน้อยสี่ร้อยถ้วน
บอกกลอุบายให้รู้ขบวนครั้นวันจวนก็แต่งตัวพวกหัวล้าน
มีเรื่องแห่แตรสังข์พิณพาทย์ฆ้องธงทองธงมังกรธงไชยฉาน
ให้เตรียมเสร็จคอยฤกษ์เวลากาลน่าพระลานขบวนแห่แลแน่นยัด
แล้วให้เที่ยวตีฆ้องร้องประกาศจะอาบน้ำตัวราชสมบัติ
ใครกลัวไภยให้รักษาตัวระมัดระวังบ้านเรือนถ้าพลัดเข้าบ้านใด
เย่าเรือนจะทลายสลายหักจะฉุดชักไล่ห้ามปรามไม่ไหว
ด้วยมีแรงแขงกล้าเปนพ้นไปเข้าบ้านใดยับย่อยไม่น้อยเลย
น่าต่างประตูดูปิดให้แน่นหนาเมื่อเวลาลงน้ำอย่าเปิดเผย
รู้ทั่วกันอย่าเผลอเลินเล่อเลยใครไม่เคยเห็นรู้มาดูตัว
ราษฎรรู้ประกาศในมาดหมายที่กลัวตายนอนซุ่มผ้าคลุมหัว
บ้างหลบลี้หนีนอนซุกซ่อนตัวที่เรือกรั้วไม่แน่นหนาผ่าไม้แซม
ชาวสำเภาโดยยินคำประกาศนึกขยาดคิดว่าจริงไม่รู้แต้ม
ก็เก็บงำสินค้าที่ราแรมขยายแย้มไว้แต่ช่องคอยมองดู ฯ
             

๏ ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นแดดอ่อนหย่อนแสงก็ตกแต่งราชสมบัติหมายจะสู้
ผูกเชือกเองคู่ชนคนนอกครูทั้งสี่เส้นเกณฑ์หมู่คนมาชัก
จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อยก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซงแซ่หนัก
ทั้งซ้ายขวาน่าหลังเชือกรั้งชักแห่งมาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ
ราชสมบัติแขงขึงตึงเชือกไว้คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ
เชือกยวนขาดเปนท่อนซ้อนคะมำแล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย
ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย
ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชายมาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ
บ้างก็ขึ้นต้นไม่คอยมองดูบ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่
ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแลเสียงเซงแซ่คนดูพรั่งพรูมา ฯ
๏ ครานั้นราชทูตนายสำเภาโฉดเขลาเห็นว่าแรงมากนักหนา
แต่พวนหนังรั้งขาดประหลาดตาจึ่งปฤกษาคู่ชนคนสำคัญ
ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับยังจะรับเปนคู่พนันขัน
ฤาจะสู้เขาไม่ได้ ให้บอกกันอย่าอึ้งอั้นแจ้งคามแต่ตามจริง ฯ
๏ ฝ่ายว่าล้านธานีบุรีราชคิดขยาดกลัวใจให้เกรงกริ่ง
จึ่งบอกว่าสู้ไม่ได้ ให้ประวิงเขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน
สู้ไม่ได้เปนแน่ตามแต่จะคิดไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น
ให้เกรงแต่จะแพ้แก้ไม่ทันจะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย ฯ
๏ ฝ่ายราชทูตกับชขายนายสำเภาเห็นเสียเค้าไม่ได้สมอารมณ์หมาย
จึ่งปฤกษาตามใจทั้งไพร่นายว่าจะถวายสินพนันกันนินทา
ทูลว่าล้านมาด้วยป่วยเปนไข้ทูลลาไปไหนจะมีครหา
เห็นพร้อมกันพลยันนำเครื่องบรรณาเข้าเฝ้าถวายจอมนรานรินทร
กราบทูลว่าคู่พนันนั้นเปนไข้ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน
ขอถวายสินพนันพระภูธรจะลากลับยังนครนามธานี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ทรงฟังทูลเห็นประหลาดชั้นเชิงหนี
ทรงปราไสตามได้มีไมตรีทูตก็ลาพระจรลีลงนาวา
ให้ใช้ไปไปถึงพระบุรีกราบทูลแจ้งคดีจอมนาถา
ให้ทราบใต้ลอองบาทลาดหนีมาเหลือปัญญาที่จะชนพ้นกำลัง ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองธานีทรงฟังทูตทูลว่าหนีให้แค้นคั่ง
ปรารภจะสู้มิได้หลีอีกสักครั้งพระไทยตั้งหมายมาดไม่ขาดวัน ฯ
๏ จะกล่าวถึงเชียงญาณอยู่บ้านไร่ข่าวฦาไปว่าเชียงเมี่ยงปัญญาขยัน
คิดหมายลองปรีชาจะสู้กันฤาว่ามันแหลมฉลาดจะลองดู
ตดใส่ปล้องไม้ไผ่แล้วอุดอัดออกจากบ้านลอดลัดมาหมายสู้
ได้แปดวันดั้นป่ามาสืบดูแต่ไม่รู้ว่าเชียงเมี่ยงนั้นคนใด
ครั้นเดินมาก็พบกับเชียงเมี่ยงถามชื่อเสียงโดยตัวว่าอยู่ไหน
ฝ่ายเชียงเมี่ยงถามว่าจะทำไมมีธุระสิ่งใดถามหามัน
เชียงญาณพาซื่อไม่รู้จักหมายว่าคนอื่นซักไม่บิดผัน
จึงบอกว่าจะทดลงของสำคัญเชียงเมี่ยงจะรู้ทันฤางมงาย
ข้าตดใส่ปล้องไม้จะให้ดมถ้าดีจะสมาคมเปนสหาย
เชียงเมี่ยงว่าเจ้าอัดลมระบายมากี่วันกลิ่นจะคลายฤายังมี
จงเปิดดมดูก่อนถ้าหย่อนกลิ่นจวนจะสิ้นจะได้เติมให้เต็มที่
เชียงญาณฟังเห็นชอบว่าพูดดีเปิดดมว่ายังมีกลิ่นมากนัก
ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นว่างมต้องดมตดว่าเองชาวชขนบทไม่รู้จัก
กูและชื่อเชียงเมี่ยงซึ่งถามทักเองประจักษ์แล้วฤาไม่ไอ้โง่เคอะ
มึงหมายมาว่าจะให้กูดมตดมึงดมเองให้หมดกลับไปเถอะ
กูชาวในลวงไม่ได้แล้วไอ้เซอะอ้ายบ้านนอกโล่เบอะน่าถองซ้ำ
เชียงญาณครั้นรู้ว่าเชียงเมี่ยงไม่โต้เถียงวาจาก้มหน้าคว่ำ
นึกน้อยใจเจ็บอกเหมือนฟกช้ำกลับไปบ้านจิตรระกำคลุมหัวนอน
คิดคิดก็ยิ่งแค้นแสนอดสูมาเสียรู้เชียงเมี่ยงให้ถอดถอน
ถ้าแก้แค้นไม่ได้ ไม่อยู่นครจะเที่ยวซุกซอนนิ่งนอนตาย ฯ
๏ จะกล่าวถึงระผู้ผ่านทวาลีประชวรโรคมากทวีมิใคร่หาย
พระอาการพานมากลำบากกายแทบจะวายชีวาพิราไลย ฯ
๏ ฝ่ายพระอรรคเทพีศรีสมรเธออาวรณ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส
สงสาองค์ภัศดาโศกาไลยจึ่งสั่งให้โหรดูชาตาดวง
โหรก็ลงเลขคำนวณทวนสอบไล่แจ้งใจว่าพระเคราะห์นั้นใหญ่หลวง
พระชาตาก็ยังดีมีในดวงแต่เข้าห่วงรุมเห็นไม่เปนไร
จึ่งทูลสนองเสาวนีเทพีราชพระชัณษาไม่ถึงฆาฏแต่โรคใหญ่
ด้วยราหูสู่ราษีจึ่งมีไภยเสวยอายุแต่ใกล้จะออกจร
ยังไม่ถึงอับจนพระชนมานเกล้าหม่อมฉานสอบดูตามครูสอน
โหรสี่นายพร้อมถวายพยากรณ์ให้บังอรปิ่นสุรางค์ส่างโศกา
ฝ่ายเชียงเมี่งหมอบอยู่กับโหรเฒ่าว่าข้าพเจ้าจะสอบพระชัณษา
ทำลงเลขคุณหารตามตำราทูลแก่อรรคชายาจอมนารี
ว่าอันองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค้นดูทั่วในตำราว่ายืนที่
คงสู่สวรรค์ในเจ็ดวันเจ็ดราตรีพระภูมีไม่ตลอดเจ็ดวันไป ฯ
๏ จอมอนงค์องค์มิ่งมเหษีฟังวาทีเชียงเมี่ยงไม่สงไสย
สำคัญว่าพระองค์ผู้ทรงไชยจะสวรรคาไลยในเจ็ดวัน
ทรงกรรแสงคร่ำครวญรัญจวนจิตร ์ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์เจ้าไอสวรรย
ดำรัสสั่งชาวคลังสิ้นทั้งนั้นจ่ายเงินทองแพรพรรณออกแจกทาน
แก่ยาจกวรรณิพกคนชราจัดเอมโอชโภชนากระยาหาร
เลี้ยงพระสงฆ์ทรงศีลทุกวันวารประกอบการกุศลกิจเปนนิจรัน
เจ็ดทิวาล่วงไปไม่สวรรคตพระทรงยศคลายพระโรคเกษมสันต์
หายประชวรออกขุนนางได้ทุกวันพระทรงธรรม์ตรัสถามเชียงเมี่ยงดู
เองทายไว้ว่าจะตายในเจ็ดวันก็เกินแล้วไฉนนั่นกูยังอยู่
ฤาเองชังแช่งเล่นเปนสัตรูที่ไม่ดีเอามาดูจะให้ตาย
เชียงเมี่ยงได้ฟังพระโองการบังคมทูลภูบาลขยับขยาย
ว่าสารพัดสัตว์สิงทั้งหญิงชายที่จะตายพ้นเจ็ดวันนั้นไม่มี
นับแต่อาทิตย์นั้นถึงวันเสาร์แม้นพระเจ้าจอมมุนินทร์ชินศรี
ก็นิพานในเจ็ดวันเจ็ดราตรีทั้งปัถพีไม่พ้นตายในเจ็ดวัน ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนครามหาสถานฟังเชียงเมี่ยงว่าขานเห็นคมสัน
คลายโกรธาด้วยว่าจริงอย่างนั้นไม่แปรผันผิดคำเชียงเมี่ยงเลย
มันแก้ไขไวว่องไม่ข้องขัดช่างสันทัดจัดเจนจริงเจียวเหวย
แต่มิได้ออกพระโอษฐโปรดภิเปรยทรงชมเชยในพระไทยไม่ตรัสดัง ฯ
๏ จะกลับกล่าวกระษัตราเมืองธานีแต่เสียทีพนันคนให้แค้นคั่ง
ทรงดำริห์จะแก้ไขใหม่สักครั้งทั้งเดินนั่งไสยาศน์ไม่ขาดคิด
ดำริห์ว่าจะพนันสิ่งใดดีนำบุรีมาขึ้นได้สมใจจิตร
อย่าเลยนะจะนิมนต์บรรพชิตซึ่งสถิตย์ในยศถาราชาคณะ
ที่รู้ธรรมคัมภีร์บาฬีอรรถเจนจัดแจ้งประจักษ์ในอักขระ
ชำนาญไล่ถามช้ำข้อธัมมะเอาชนะกันที่จนพ้นปัญญา
ทรงดำริห์แล้วมิทันนานเสด็จออกมีโองการสั่งให้หา
สังฆ์การีธรรมการคลานเข้ามาจึ่งมีพระบัญชาให้เผดียง
พระราชาคณะผู้รอบรู้อรรถที่สันทัดเล่าฦามีชื่อเสียง
จะให้ไปถามปัณหาท่าไล่เลียงโต้เถียงกันกับปราชญทวาลี
พระผู้เปนเจ้าองค์ใดจะอาสาให้เข้ามาจะได้บอกให้ถ้วนถี่
อย่าให้แพ้แก้สู้กู้บุรีสังฆ์การีธรรมการก็รีบไป
เผดียงถามตามโองการบรรหารสั่งทั่วทั้งธานีบุรีใหญ่
ในกรุงนั่นสังฆ์การีมีหมายไปนอกกรุงให้ธรรมการส่งสารตรา
เผดียงถามตามพระสงฆ์ดำรงยศทั่วทั้งหมดน้อยใหญ่ให้ปฤษา
ท่านผู้ทรงบันดาศักดิ์ทุกวัดวาพระราชาคณะมีสามองค์
พระญาณกิจทั้งพระประสิทธิไตรยพระวิไนยนายกเปนจอมสงฆ์
สังฆ์การีพามาเฝ้าทั้งสามองค์ทูลให้ทรงทราบว่าอาสาไป ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์แสนประสาทดสมนัศตรัสปราไส
ว่าเจ้าคุณกู้บุรีให้มีไชยโยมจะได้เกียรติยศปรากฎมี
พระราชทานบาตรไตรบริขารเครื่องสักการสารพัดจัดตามที่
ให้อาลักษณ์แต่งสารเปนไมตรีบรรณาการของดีดีให้จัดไป
พระดำรัสให้ร่างราชสารอาลักษณ์จานจารึกงามผ่องใส
ลงสุวรรณบัตรแผ่แผ่นอุไรมอบราชทูตไปลงนาวา
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ผู้ทรงยศก็มาหมดลงสำเภาทอดที่ท่า
ได้ฤกษ์ให้ใช้ใบออกเภตราแล่นมาในท้องสมุทจนสุดแดน
สำเภาทั้งห้าร้อยแล่นลอยล่องฝ่าฟองชาคลื่นกว่าหมื่นแสน
ได้ลมดีในนทีไม่ขาดแคลนมาตามแผนที่ต้นหนดลบุรี
ถึงด่านปากน้ำอ่าวบอกข่าวแจ้งเหมือนคราวก่อนที่แถลงเมื่องครั้งหนึ่ง
ขุนนางในกรมท่าทราบคดีกราบทูลว่าทูตธานีกลับเข้ามา
ข่าวว่ามีราชสารการพนันขอพระองค์ทรงธรรม์จอมนาถา
จงทราบใต้ฝ่าธุลีในกิจจาควรมิควรพระบาทาปกเกล้าบัง ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรทรงฟังทูลว่าทูตมาให้แค้นคั่ง
เจ้าเซ้าซี้ของพนันกันอีกครั้งเนื้อความยังไม่รู้เรื่องเมืองธานี
จึ่งสั่งเจ้าพนักงานจัดการรับให้เสร็จสรรพเชิญราชสารศรี
ตามธรรมเนียมเตรียมรับทูตธานีเรือกระบี่เรือเห่แลหลามชล
ถึงท่าวังตั้งแห่งราชสารทูตเชิญพานทองพระราชอนุสนธิ์
ถึงพระโรงเข้าเฝ้าเจ้าจุมพลถวายบังคมสิ้นทุกคนฟังโองการ
กรมท่าทูลเบิกทูกทั้งหลายพวกทูตก็ถวายราชสาร
ทรงรับมอบพระอาลักษณ์พนักงานให้คลี่อ่านสารศรีที่มีมา
ในลักษณพระราชสารของภูบาลธานีมียศถา
ขอเจริญไม่ตรีพระพี่ยายังภาราทวาลีบุรีรัตน์
ด้วยได้ข่าวเาฦาระบือเลื่องว่าในเมืองมีปราชญ์รู้เจนจัด
จึ่งให้ราชาคณะทั้งสามวัดมาถามอรรถบาฬีคัมภีร์ธรรม
พระเชษฐาถ้าได้ไชยชำนะขอคารวะขึ้นบุรีอุปถัมภ์
ถวายหิรัญมาลาบาบุบผาคำไม่เกินก้ำจะเปนข้ากว่าวายปราณ
ถ้าปราชญ์เมืองธานีนี้ชำนะจงสละนิวาศราชฐาน
มาขึ้นเมืองธานีตามบุราณมอบสักการรัชฎามาลาทอง
แผ่เขตขัณฑ์ธานีบุรีราชให้อำนาจสิทธิการงานทั้งผอง
เปนพื้นเดียวเนื่องแดนดังแผ่นทองจะได้ครองบุรีรัตน์กำจัดไภย ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงภพฟังจบสารปฏิสัณฐารสามนัดตรัสปราไส
ตามธรรมเนียมทูตาอันมาไกลดำรัสให้รออยู่พักสักสามวัน
จะแต่งที่พระกระวี่ถามปัณหาให้งามตาเปนเกียรติยศใหญ่มหันต์
แต่นักปราชญ์ผู้ฉลาดรอบรู้ธรรม์จะจัดสรรมาถามสู้ดุสักครั้ง
ราชทูตก็คำนับรับโองการถวายบังคมภูบาลคลานถอยหลัง
มาข้างนอกออกไปจากในวังก็มายังท่าจอดทอดนาวา ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรให้อาดูรทรงโทมนัศา
ว่าเหลือปัญญาจะสู้กู้บูรีไม่รู้ที่วิสัชนาปัญญาสูญ
ให้อ้นอั้นตันใจได้อนุกูลช่วยกราบทูลแก้ไขอย่าให้เคือง
ว่ากระษัตริย์ธานีนี้พาลารบพันนครานี้ร่ำไป
จึ่งดำรัสสั่งเจ้าพนักงานสังฆ์การีธรรมการหมอบไสว
ให้ทำหมายรายแจกทุกวัดไปราชาคณะองค์ใดจะรับพนัน
แปลอักขรกับพระเมืองธานีกู้บุรีคุ้มประเทศทั่วเขตรขัณฑ์
ถามบรรดาที่ชำนาญการอรรถธรรม์กูนัดไว้สามวันแก่ทูตมา
ในกรุงให้สังฆ์การีเผดียงถามทุกอารามพระสงฆ์ทรงยศถา
นอกกรุงให้ธรรมการแจ้งกิจจาเที่ยวปฤกษาเผดียงถามความพนัน
สังฆ์การีธรรมการคลานออกมาถามพระราชาคณะขมีขมัน
แต่รู้บาฬีคัมภีร์ธรรม์ในสามวันบอกเข้ามาอย่าช้าการ
ฝ่ายพระสงฆ์ทรงสิกขาราชาคณะแจ้งในพระประสงค์เจ้าจอมสถาน
ต่างก็กลัวปราไชยใจรำคาญบอกสังฆ์การีธรรมการให้กราบทูล
สังฆ์การีธรรมการทราบสารเสร็จทูลว่าพระขามเข็ดแต่ทราบเรื่อง
ไม่มีใครเป็นคู่สู้แขกเมืองพูดปลดเปลื้องออกตัวกลัวเต็มที ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศรฟังทูลให้อาวรณ์เศร้าหมองศรี
เสียพระไทยเกรงจะแพ้ทูตธานีจะได้ใครกู้บุรีให้ชนะ
จึ่งดำรัสปฤกษากับเชียงเมี่ยงเองจะเถียงถามธรรมได้ไหมหวะ
เชียงเมี่ยงก้มเกษาคารวะทูลว่าเกล้ากระหม่อมจะอาสาไป
ถามปัญหาในคัมภีร์ยาฬีอรรถสู้สักนัดมิได้หนีคัมภีร์ไหน
ลาบรรพชาจึ่งมีไชยแม้นโปรดให้บวชเปนสงฆ์คงได้การ ฯ
             

๏ ครานั้นพระองค์ดำรงเวียงฟังเชียงเมี่ยงปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ก็โปรดให้บรรพชาไม่ช้านานบริขารไตรแพรแห่แหนไป
ให้เชียงเมี่ยงอาบน้ำด้วยขันทองพิณพาทย์แตรสังข์ฆ้องประโคมให้
ประทานชื่อว่าพระศรีธนญไชยให้ถามไต่ธรรมขันธ์พนันเมือง
ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชยได้ยศศักดิ์ยิ่งใหญ่ชื่อฦาเลื่อง
เสมอเดชาคณะเดชะประเทืองรับพนันแขกเมืองทูตธานี
จึ่งให้แต่งอาศนไว้หกสถานสูงตระหง่านเท่ากันเปนศักดิ์ศรี
ดาดเพดานห้อยบุบผาพวงมาลีมีมุลี่ม่านบังตั้งเครื่องยศ
ถึงวันนัดให้นิมนต์ราชาคณะทั้งสามองค์ที่จะไต่ถามบท
ข้อธรรมปัณหามาลองทดครั้นมาหมดให้นั่งอาศน์ปูลาดไว้
ขึ้นที่สูงสามแห่งแต่งไว้ท่าจึ่งสนทนาพูดพลางทางปราไส
ถามบ้านเมื่องเรื่องอื่นพอชื่นใจแกล้งหน่วงให้ชักช้าเวลาเปลือง
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์เห็นนานนักแต่ถามซักกันไปไมได้เรื่อง
เห็นที่ว่าสามแห่งแต่งรุ่งเรืองมีทั้งเครื่องยศประดับรับเถรา
ก็เข้าใจว่าที่ท่านจะมาถามเห็นเนิ่นนานในความแก้ปฤษณา
จึ่งเตือนว่าสักเมื่อไรท่านจะมาจวนเวลาบ่ายเย็นไม่เห็นเลย
ฝ่ายพระศรีธนญไชยไวปัญญาว่าจะมาเดี๋ยวนี้ไม่เชือนเฉย
พระผู้เปนเจ้าเจนอรรถสันทัดเคยทั้งสามองค์จะเฉลยบทบาฬี
ท่านรู้ธรรมคัมภีร์ฦกซึ้งไม่มีคู่เทียมถึงทั้งกรุงศรี
ข้าพเจ้าเปนแต่เชานอกบุรีเข้ามาเรียนคัมภีร์ศึกษาธรรม
พึ่งบวชใหม่อายุได้ยี่สิบห้ามาศึกษาเปนศิษย์คิดเรียนร่ำ
ปัญญาเขลารู้น้อยในถ้อยคำท่านทั้งสามแม่นยำยิ่งเกรียงไกร
ขอนิมนต์สนทนากันเล่นก่อนพึ่งฝึกสอนจักถามตามสงไสย
พุทธบิดาและไอยกาไซ้นามอย่างไรบิตุรงค์องค์ไอยกา
อีกทั้งต้นวงษ์พงษ์ศักราชลำดับถึงจอมปราชญ์นารถนาถา
พระนครที่สถิตย์กระษัตรานามภาราชื่อใดจงไขความ
ราชาคณะสามองค์ฟังปุจฉาวิสัชนาได้แต่กษัตริย์สาม
ตั้งแต่พุทธบิดาแสดงนามสิ้นทั้งสามถึงภูมินทร์นรินทรา
ซึ่งเปนชนกแห่งไอยกานารถต่อขึ้นไปไม่อาจแก้ปัณหา
บอกว่าจำไม่ได้สิ้นปัญญาก็นิ่งจนวาจาอยู่เพียงนั้น
ฝ่ายว่าพระศรีธนญไชยเห็นว่าไม่ไหวดูอัดอั้น
จึ่งว่าผู้เปนเจ้ามาติดตันถามกันยังค้างข้อไม่ต่อไป
นี่แต่ศิษย์รู้น้อยพลอยมาถามยังแก้ไม่สิ้นความที่สงไสย
ถ้าพระครูสามองค์อันทรงไตรท่านถามมาแก้ไม่ได้จะอับอาย
จะนิ่งไม่พริบตาอ้าปากค้างแมลงวันหยอดไข่ขางไว้มากหลาย
ไม่รู้ตนจนในปัณหาทายขอจงได้อธิบายบาฬีมา
ฝ่ายพระสงฆ์สามองค์ราชาคณะไม่อาจจะแก้ได้ในปัณหา
ได้อายแก่ข้าเฝ้าเหล่าเสนาทั้งพระองค์ปิ่นประชาทวาลี
ปราไชยในสนามทั้งสามองค์ก็เลื่อนลงจากอาศน์มณีศรี
ทูตถวายสินพนันอัญชลีขอมาขึ้นบุรีตามสัญญา
ถวายทั้งนาวาสิ้นห้าร้อยให้เคลื่อนคล้อยสำเภาเข้าสู่ท่า
ราชาคณะก็ถวายพระพรลาทูตไปทูลกิจจาเจ้านายตน ฯ
๏ ชนทั้งหลายชมพระศรีธนญไชยว่าว่องไวเจนจัดไม่ขัดสน
กู้บุรีมีไชยไม่อับจนพระจุมพลตรัสให้อวยไชยพร ฯ
๏ ฝ่ายพระศรีธนญไชยได้ชำนะสึกจากพระมาอยู่เหมือนแต่ก่อน
เปนข้าเฝ้าจอมนรินทร์บดินทรคู่นครเพิ่มโพธิสมภาร ฯ
๏ ครั้นล่วงกาลนานมามีข้าศึกทำโห่ฮึกยกมายั้งตั้งอยู่ด่าน
ได้ทีจะเข้าตีป้อมปราการชิงกราชฐานนคราทวาลี
ชาวด่านทำใบบอกแจ้งราชการให้กราบทูลภูบาลในกรุงศรี
ขุนนางในตำแหน่งแจ้งคดีเข้าเฝ้าพระภูมีทูลกิจจา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ฟังอำมาตย์อ่านบอกในเลขา
ว่าข้าศึกยกพลพหลมาจะตีพระภาราทวาลี
จึ่งสั่งให้เตรียมทัพไว้สรรพเสร็จตีสิบเอ็ดจะเสด็จจากกรุงศรี
อำมาตย์รับพระบัญชาเจ้าธานีจัดพวกพลโยธีคอยฤกษ์ไชย
รับสั่งให้ธนญไชยตามเสด็จธนญไชยรับโองการมาบ้านตน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกษประชาไม่เห็นธนญไชยมาก็ยกพหล
ให้ทันฤกษ์ยามดีกรีธาพลทรงช้างต้นมีกำลังมาตังคพงษ์
หกสิบปีจึ่งหย่อนอ่อนนำลังสีคล้ายครั่งล่ำสันสูงรหง
ทั้งห้าวหาญฝึกชำนาญการณรงค์ควรคู่จักรพรรดิทรงนำกองทัพ
เรียกมันชันหูดูข้าศึกโกญจนาทก้องกึกไม่ถอยกลับ
แต่ช้างเดียวอาจฝ่าโยธาทัพตะลุยไล่ให้ยับสักหมื่นพัน
ประดับชาภรณ์เรื่องแลเครื่องมั่นล้วนสุวรรณเนาวรัตน์เลือกจัดสรร
ห้อยภู่จามรีทั้งสองกรรณงามดังเอราวรรณอมรินทร์
เหล่าช้างดั้งช้างกันเปนอันดับก็แข่งขับเคียงคู่ธนูศิลป์
พลม้าควบขนานสท้านดิน สเทื้อนด้าวดังจะภินท์พสุธา
เหล่าโยธีมีแรงกำแหงเหี้ยมล้ำสั่นเทียมยักษ์มารล้วนหาญกล้า
เลือกตัวดีมีฝีมือถือสาสตราสองหัตถาแกว่งดาบปลายเปนเงา
เหล็กถลุงปรุงยาตำราอ้างอุส่าห์กรางคลุกน้ำตาลปนกับเข้า
ให้นกกินจนสิ้นที่กรางเอามูลกนกกะเรียนใส่เบ้าสูบหลายไฟ
จึ่งชุบแช่แร่พลวงล่วงขวบมาผสมยาว่านต่างต่างแลหางไหล
แล้วหลอมหุงปรุงกับเหล็กพระขรรค์ไชยมาตีได้เปนอาวุธสุดจะคม
ทหารทวนล้วนสกรรจ์มั่นตั้นเติบใจกำเริบรบรับล้วนทับถม
อาบว่านปรุงยาทั้งอาคมปากก็อมเหล็กไหลได้อยู่คง
ทหารปืนกว่าหมื่นชำนาญหัตถ์ทั้งยิงยัดคล่องไวดังใจประสงค์
มีเลขยันต์กันศึกนึกทนงการณรงค์เคยมีไชยไม่เกรงกลัว
ทหารดั้งเสโลห์ทั้งโตมรธนูศรแม่นดีมิใช่ชั่ว
หมายจะพุ่งยิงใครไม่ผิดตัวข้าศึกเห็นสั่นหัวระอามือ
พลรถเทียมสินธล้วนต่างสีสารถีขึ้นขับม้าง่าแส้ถือ
มีนายรถกุมหอกซัดถนัดมือล้วนตัวฦาเรี่ยวแรงกำแหงทยาน
เหล่าจตุรงค์สี่หมู่พรั่งพรูพร้อมแห่แวดล้อมจอมนรินทร์ปิ่นสถาน
ถึงที่พักจักประทับคชาธารมีโองการให้หยุดพลนิกาย
ทรงคอยศรีธนญไชยมิได้มาจนเวลาสุริฉันตวันบ่าย
ให้หยุดช้างพระที่นั่งพอยั้งสบายโยธารายล้อมวงองค์ขัติยา ฯ
๏ ฝ่ายศรีธนญไชยกลับไปบ้านจึงคิดอ่านจับไก่ไว้นักหนา
ใส่กรงขังสมดังจิตรจึ่งนิทราตื่นขึ้นกินโภชนาสบายใจ
แล้วเที่ยวเล่นกับเพื่อนเชือนแชเฉยจนล่วงเลยเวลาหามาไม่
กลับไปบ้านนอนกลางวันไม่พรั่นใจตื่นขึ้นบ่ายแวให้ผูกช้างพลัน
เอาไก่ผูกท้ายช้างกับสัปคับเสบียงอาหารเสร็จสรรพขนเลือกสรร
หีบผ้ากาน้ำของสำคัญขึ้นช้างไสไปให้ทันทัพหลวงจร
รีบขับช้างย่างยาวก้าวเหยียดเหยาะหวังจำเภาะทัพใหญ่ไม่หยุดหย่อน
พอบ่ายเย็นเห็นพหลพลนิกรพักร้อนล้อมพลับพลาพนาวัน
รีบให้ถึงคชาเข้ามาเฝ้าถวายบังคมก้มเกล้าขมีขมัน
ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองขุ่นเคืองครันตรัสว่าเฮ้ยอย่งไรนั่นจึงช้านาน
สั่งให้มาก่อนไก่ทำไมอยู่ให้ตัวกูคอยจนบ่ายสุริยฉาน
ไม่ทำตามคำว่าต้องท่านานจงให้การมาอย่าช้าว่ากระไร
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งถามจึงทูลความว่าหม่อมฉานมาก่อนไก่
ผูกไว้ที่ท้ายช้างร้องอึกไปขึ้นนั่งได้ก่อนไก่แล้วจึงมา
มิได้ทำล่วงเกินพระโองการควรมิควรขอปรทานซึ่งโทษา
เปนช้างเดียวเปลี่ยวใจจึงได้ช้าพระอาญาล้นเกล้าด้วยเบาความ ฯ
๏ ครานั้นธิบดินทร์นรินทร์ราชฟังทูลว่าเห็นฉลาดไม่เข็ดขาม
จะให้ฆ่าเสียก็ได้ไม่ทำตามทรงตรองความเห็นจริงแล้วนิ่งไว้
จึงดำรัสการรบกับเสนาตามมหาพิไชยสงครามใหญ่
จงตั้งจิตรรบตีให้มีไชยทั้งนายไพร่อย่าย่อท้อต่อสงคราม
แล้วยกพลล่งไปใกล้วถึงด่านพวกข้าศึกไม่ต่อต้านกลัวเข็ดขาม
เห็นรี้พลคร้นครึกให้นึกคร้ามดูล้นหลามแน่นป่าไม่กล้ารบ
กำลังพลตนน้อยก็ถอยล่ายกโยธารีบลี้เลี่ยงหนีหลบ
แพ้พ่ายไปแต่ไกลไม่ทันรบพระจอมภพนคราทวาลี
เห็นข้าศึกสัตรูหมู่คิดร้ายแตกกระจัดกระจายกระเจิงหนี
ก็ยกทัพกลับคืนเข้าบุรีทรงคอยที่จะเอาผิดธนญไชย ฯ
๏ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรภพทวาลีเสด็จประพาศสวนศรีอุทยานใหญ่
ชมพฤกษาดอกผลที่ปลูกไว้สำราญพระไทยรื่นเริงบรรเทิงครัน
ทอดพระเนตรผลพริสุกแดงฉานเต็มทั้งต้นภูบาลเกษมสันต์
ดำริห์ไว้ในพระไทยให้ผูกพันจะเสวยพริกนนั้นสักเวลา
เสด็จกลับยังพระราชวังสถานนฤบาลดำรัสตรัสให้หา
ธนญไชยตัวดีมีปัญญารับสั่งว่าไปเก็บพริกมาไวไว
กูจะกินกับอาหารเวลานี้รีบไปที่สวนอย่าช้าเก็บมาให้
ธนญไชยรับโองการคลานออกไปถึงอุทยานหมายใจจะเก็บพริก
เห็นสุกแดงเต็มต้นไม่หล่นร่วงครั้นจะล่วงเกินเข้าเก็บด้วยเล็บหยิก
ไม่รับสั่งให้เด็ดให้เก็บพริกลมไม่พัดให้ระดิกกระเด็นเลย
จะเด็ดเอาที่บนต้นก็เกินรับสั่งครั้นจะนั่งคอยดูอยู่เฉยเฉย
ก็ป่วยการจำจะผิวปากตามเคยให้พระพายพัดรำเพยพยุมา
คิดแล้วจึ่งเข้านอนอยู่ใต้ต้นคอยท่าให้พริกหล่นตามปรารถนา
ฝ่ายพระองค์พงษ์กระษัตริย์ขัติยาคอยธนญไชยเห็นช้าเนินนานนัก
จึงตรัสใช้มหาดเล็กไปตามดูอย่างไรอยู่ถามไถ่ให้ประจักษ์
เก็บพริกที่สวนควรฤาอยู่ช้านักเที่ยวเชือนชักกาลให้เนินเกินเวลา
มหาดเล็กได้รับสั่งมายังสวนเที่ยวทบทวนเสาะแสดงทุกแห่งหา
ได้ยินเสียงผิวปากใกล้าพลับพลาก็ตามไปไม่ช้าได้พบตัว
เห็นนอนอยู่ใต้ต้นพริกกะดิกนิ้วกำลังผิวปากจึ่งเตือนว่าเจ้าอยู่หัว
สั่งให้เก็บพริกมานอนซุกซ่อนตัวเหมือนไม่กลัวรับสั่งใช้ให้มาดู
ธนญไชยตอบว่ามีโองการให้เก็บพริกในอุทยานก็จริงอยู่
แต่ผลพริกมิได้หล่นก็คอยดูจะเด็ดบนต้นเปนสู่รู้ล่วงเกินไป
จะนั่งคอยพริกหล่นก็ป่วยการจึ่งคิดอ่านเรียกชมพยุใหญ่
ให้พัดผลพริกหล่นเหมือนอย่างใจจะเก็บไปถวายองค์พระทรงธรรม
แม้นกริ้วกราดว่ามาช้าก็ควรการด้วยทรงคอยอยู่นานจึ่งหุนหัน
ถ้าจะเด็ดพริผลบนต้นนั้นสักสามหนก็จะทันไม่เนิ่นนาน
นายจงไปกราบทูลตามมูลเหตุให้ทรงเดชทราบตามที่คิดอ่าน
มหาดเล็กมาสนองพระโองการตามธนญไชยว่าขานให้กราบทูล ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟังที่แค้นคั่งค่อยคลายกริ้วหายสูญ
ทรงเห็นจริงด้วยได้สั่งตามเหตุมูลที่อาดูรเดือดดาลสำราญไป ฯ
๏ ฝ่ายว่าธนญไชยไม่ได้พริกด้วยทำพลิกแพลงให้ควรสำนวนใหญ่
เห็นนานช้ากลับมาเฝ้าพระทรงไชยทูลตามเหตุที่ไม่ได้จนสิ้นความ ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนครเรศประเทศสถานฟังธนญไชยทูลสารไม่เข็ดขาม
ทรงดำริห์ว่าอ้ายนี่มิใช่ทรามจะไล่ถามสักกี่หนไม่จนเลย
จึ่งดำรัสถาว่าปัญญนั้นเองขังคั่นไว้ในท้องคอยตรองเฉลย
ฤามีตัวปรากฎไม่หมดเลยจงเปิดเผยลอกมาอย่างอำพราง
ธนญไชยทูลว่าปัญญาหม่อมฉันในท้องนั้นไม่สู้มากก็มีบ้าง
มีตัวข้างนอกเลี้ยงไว้มิได้พรางใส่ปล้องไม้หม่อมแนวางไว้ในเรือน
เพราะเปนตัวบินได้ต้องใส่กระบอกแม้นปล่อยออกก็จะหนีด้วยมีเพื่อน
จึ่งขังใส่ปล้องไม้มิให้เชือนต้องเลี้ยงไว้ในเรือนให้มิดชิด
พระทรงฟังว่าซึ่งปัญญาได้ใส่ปล้องไม้ซ่อนไว้ฦกผนึกปิด
ดำรัสว่าตัวปัญญาเจ้าความคิดของเองมากหลายชนิดจงแบ่งปัน
กูจะแจกอีสาวสาวพวกชาวในมันจะได้มีปัญญามากเข้มขัน
เหมือนตัวเองไม่มีคู่รู้เทียมทันอย่างไรนั่นให้มิให้จงไขความ
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งขอนึกหัวร่ออยู่ในใจไม่เข็ดขาม
จึงทูลว่าสิ่งนี้มิใช่ทรามที่พึงใจต้องห้ามหวงระวัง
แด่พระเดชพระคุณเปนที่ยิ่งเปนความจริงไม่อยากให้ใครสมหวัง
ต้องถวายมิไคิดจะปิดบังด้วยใจตั้งพึ่งพระโพธิสมภาร
กราบทูลแล้วบังคมลามาสู่เรือนคิดจะใคร่ปิดเงื่อนไม่แผ่ซ่าน
ได้สิ่งไรหนอถวายพระภูบาลนึกรำคาญแล้วคิดได้ไวปัญญา
อย่าเลยนะจะถวายตัวต่อผึ้งคิดแล้วจึ่งเที่ยวทุกแห่งแสวงหา
เปนห้าวันได้ตัวผึ้งต่อแตนมาใส่กระบอกปิดฝาไว้เรือนตน ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถานคอยธนญไชยไม่พบพานก็ทรงบ่น
รับสั่งให้หาพระสนมมาทุกคนตรัสว่าปัญญาไม่จนธนญไชย
มันบอกว่ามีตัวเลี้ยงไว้มากอีเหล่านี้ใครอยากจะใคร่ได้
พระสนมทูลทุกคนอยากจะได้ไว้ปัญญาเหมือนศรีธนญไชยจะใคร่มี
จึงตรัสว่าถ้าอยากได้ไปหามันขอแบ่งสรรปัญญาอ้ายขุนศรี
พระสนมบังคมอัญชลีทูลลาพระภูมีออกจากวัง
ทั้งโขลนจ่าทนายเรือนกล่นเกลื่อนมาตำรวจวังนำน่ากำกับหลัง
มาบ้านศรีธนญไชยไม่รอรั้งกรมวังบอกว่ามีพระโองการ
รับสั่งใช้ให้มาขอตัวปัญญาพระสนมมาหาจนถึงบ้าน
จงแบ่งปันตัวปัญญาอย่าช้านานตามโองการพระภูมินทร์นรินทร
             

๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟังทำเปนนั่งเศร้าทอดฤไทยถอน
ในอุบายเหมือนเสียดายต้องทุกข์ร้อนจึ่งตอบว่าแต่ก่อนรับสั่งมา
ให้ข้าพเจ้าเอาปัญญาไปถวายความเสียดายเพราะยังรักอยู่นักหนา
บัดนี้มีพระราชบัญชาให้ท่านข้างในขอปัญญามาถึงเรือน
จะขืนขัดก็ไม่ได้ต้องให้ปันแต่คนละตัวเท่านั้นเลี้ยงเปนเพื่อน
พอมีเชื้อต่อพันธุ์ให้เต็มเรือนตัวเดียวเหมือนมากด้วยฬ่อต่อกันมา
ว่าแล้วหยิบกระบอกมาจากห้องพระสนมต่างร้องขอบ้างหนา
เข้าเบียดเสียดแซกกันขอปัญญาลางคนว่าอยากได้มากหลายหลากกัน
ธนญไชยว่าอยากได้ทำไมมากแต่คนละตัวเถอะจะภาคส่วนแบ่งสรร
พอเปนเชื้อเลี้ยงในเรือนเหมือนกันข้าเจ้าจะทำพันธุ์ต่อต่อไป
ทั้งจะถวายพระองค์ดำรงราษฎร์ตัวฉลาดเกิดปัญญาหาพอไม่
จึ่งให้พระสนมนางข้างฝ่ายในแบฝ่ามือว่าจะให้ตัวปัญญา
ฝ่ายนางในแบหัดถามาทุกคนขุนธนญเปิดกระบอกขึ้นต่อหน้า
ตัวผึ้งต่อแตนแล่นออกมาท่านข้างในต่างคว้าจะจับตัว
ตัวปัญญาสามชนิดมีพิศม์ร้ายก็ต่อยกายแขนหน้าบ้างต่อยหัว
ทั้งปรางถันคันเจ็บไปทั้งตัวสัตว์ชาติชั่วเข้าร่มผ้าไม่ว่าใคร
ปะที่ไหนต่อยให้ทุกแห่งหนพระสนมเหลือทนบ้างร้องไห้
เสียงกราดกรีดหวีดว่าธนญไชยแกล้งจะให้ล้มตายได้อายคน
ธนญไชยทำเปนห้ามตัวปัญญาทำไมต่อยท่านเล่าหวาออกปี้ป่น
อย่าทำเช่นนั้นจงหยุดอย่าซุกซนตัวปัญญาก็บินวนไล่ต่อยตอม
ธนญไชยว่าเพราะท่านทำให้วุ่นมาแย่งชิงชุลมุนไม่ค่อยถนอม
ตัวปัญญาขึ้งโกรธโลดไล่ตอมข้าพเจ้าก็ต่อยงอมไปเหมือนกัน
โกรธขึ้นมามิได้ว่าเปนเจ้าของแม้นจับต้องเข้าไม่ได้ใจหุนหัน
จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ทันสุดจะกั้นกางได้ว่องไวนัก
พรสนมต้องต่อแตนมันต่อยบวมผื่นยับย่อยเจ็บปวดหนัก
ต่างวิ่งหนีล้มคว่ำคะมำภักตร์นอกชานหักตกเรือนเรียกเพื่อนอึง
บ้างหน้าแตกแขนหวะโลหิตไหลโดนกันเองวุ่นไปหนีต่อผึ้ง
ต่างต่างวิ่งย่างยาวก้าวตะบึงมาจนถึงที่เฝ้าเจ้าจุมพล ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงนิเวศน์ครองเขตรขัณฑ์เห็นพระสนมกำนัลวิ่งสับสน
แกล้งให้ได้อับอายไม่หายเลยมิได้เคยเจ็บกายแทบวายปราณ ฯ
กายาเหล่านารีล้วนพิกลบวมผื่นไปทุกคนแปลกไนยนา
จึ่งรับสั่งถามว่าเปนเหตุไฉนเออเมื่อไปแต่งกายงามสง่า
ครั้นเมื่อกลับมาบวมผิดในตาทั้งกายาผิดผื่นบื่นโนนอ
พระสนมทูลว่าปัญญาต่อยมิใช่น้อยบินร่อนว่อนเปรียวปร๋อ
ตัวลายลายเหลืองเหลืองต่อยคางคอเหมือนผึ้งต่อแตนมีพิศม์ไม่ผิดกัน
ต่อยที่ไหนร้อนดังไฟทั้งปวดเจ็บซ่านทั่วกายชาเหน็บไม่เศกสรร
เกล้าหม่อมฉานเหลือทนบ่นรำพรรณไม่เคยเปนเช่นนั้นอยู่ในเวียง
กราบทูลกล่าวโทษธนญไชยร่ำพิไรโศกสอื้นครั้นครื้นเสียง
ว่าพระองค์ทรงเมตตาได้ชุบเลี้ยงไม่ลำเอียงแนทาข้าทั้งปวง
มีพระคุณล้นเกล้าเหล่าหม่อมฉันพระทรงธรรม์อาชญาก็ใหญ่หลวง
มิได้ทรงให้เจ็บช้ำระกำทรวงน้ำเนตรร่วงเหมือนครั้งนี้ไม่มีเลย
ธนญไชยทำแก่เกล้าหม่อมฉานเหลือประมาณจะกราบทูลมูลเฉลย
ครานั้นพระองค์ดำรงโลกย์เห็นสาวสรรค์เศร้าโศกแซ่เสียงประสาน
ทูลกล่าวโทษธนญไชยให้เดือดดาลพระภูบาลซักซ้ำให้คำยืน
ว่าตัวปัญญานั้นคล้ายผึ้งต่อแตนหรือพระสนมประนมมือไม่ฝ่าฝืน
ทูลคงคำซ้ำประดังว่ายั่งยืนพระยิ่งตื้นตันแน่นแค้นพระไทย
ตรัสว่าจริงเหมือนอย่างว่าจะฆ่าเสียเลี้ยงไว้ไยเปลืองเบี้ยหวัดที่ให้
น้อยฤานั่นอ้ายขุนศรีธนญไชยมันทำได้ไม่เกรงกลัวหัวจะปลิว
จึ่งรับสั่งว่าให้หาตัวเข้ามาตำรวจรับพระบัญชาวิ่งออกฉิว
ถึงบ้านศรีธนญไชยไม่บิดพลิ้วพูดขึ้นนิ้วบอกสิ้นตามโองการ
ว่าบัดนี้พระสนมทูลกว่าวโทษในคำโจทย์ว่าท่านทำอาจหาญ
ทำงามหน้าแล้วครั้งนี้มีโองการให้หาท่านไปไวไวเข้าในวัง
ธนญไชยได้ฟังคำตำรวจว่าก็รีบมาเฝ้าพระบาทต่อภายหลัง
ฝ่ายพระจอมนคเรศนิเวศน์วังให้แค้นคั่งมิได้ตรัสอัดอั้นเคือง
ทอดพระเนตรเห็นขุนศรีธนญไชยด้วยนางในทูลยกโทษอยู่หลายเรื่อง
น้อยพระไทยไม่อยากได้ไว้ในเมืองจะใคร่ฆ่าแก้เคืองขัดฤไทย ฯ
๏ ฝ่ายขุนธนญคนบิดพลิ้วเห็นกริ้วกราดเพื่อนองอาจมิได้พรั่นไม่หวั่นไหว
จึ่งกราบทูลว่ามีรับสั่งไว้พระโปรดให้นำตัวปัญญามา
หม่อมฉันก็จะจับมาถวายครั้นสนมทั้งหลายออกมาหา
ว่าโปรดให้มางอนง้อขอปัญญาครั้นเปิดไขตัวปรีชาจากปล้องไม้
ต่างคนต่างแย่งชิงกันจะจับตัวปัญญาหวนกลับมาต่อยให้
ถึงเกล้ากระหม่อมผู้เจ้าของซึ่งเลี้ยงไว้ก็ต่อยยับแล้วหนีไปจนสิ้นตัว
ครั้นจะว่าก็เกรงพระอาชญาด้วยว่ามีบัญชาเจ้าอยู่หัว
ก็จนใจไม่ว่าขานหม่อนฉานกลัวควรมิควรเปนคนชั่วไม่มีดี ฯ
ฝ่ายพระองค์ทรงฟังให้คั่งแค้นด้วยห้ามแหนแสนสุรางค์มาป่นปี้
ทั้งนางในกล่าวโทษยกคดีพระผุ้ผ่านทวาลีขุ่นเคืองนัก
ถอดพระแสงทรงง่าจะฆ่าขุนศรีแล้วกลับมีพระสติทรงหวนหัก
ความพิโรธให้หย่อนค่อยผ่อนพักนึกถึงคำทรงศักดิ์พระบิตุรงค์
ได้ฝากฝังครั้งประชวรจวนล่วงลับทรงกำชับไม่ให้ฆ่าตามประสงค์
ถึงผิดพลั้งรั้งรอให้ชีพคงครั้นฆ่าลงบ้านเมืองจะวุ่นวาย
หนึ่งพระบรมอัฐิจะติโทษเกิดพิโรธร้าวรานไม่รู้หาย
ก็คืนพระแสงคงฝักจำหลักลายครั้นค่อยคลายขุ่นเคืองในเรื่องความ
ก็ทรงวางพระแสงดแล้วตรัสวตวาดเฮ้ยอ้ายชาติชั่วทำแต่หยาบหยาม
ตั้งแต่นี้อย่าเข้ามาวู่วามไม่ขอดูหน้าเองจะชามมาหลอกล้อ
ไปเสียเดี๋ยวนี้อ่ารีรอเฮ้ยตำรวจไสคอเสียจากวัง ฯ
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชยเห็นพระองค์เคืองฤไทยยังแค้นคั่ง
กราบถวายบังคมลาไม่รอรั้งในใจตั้งจะแก้แค้นพระทรงฤทธิ์
ไม่สู้ทุกข์สู้ร้อนนอนสบายตรองไม่วายจะกลบเกลื่อนที่ความผิด
แก้ให้ได้สักครั้งตั้งใจคิดพอเจ็ดวันจอมอิศราประชา
เสด็จเลียบพระนครปทักษิณธนญไชยขุดดินไว้คอยท่า
ให้เปนหลุมฝังศีศะในพสุธาชูแต่ก้นขึ้นมาขวางน่าขบวน
ครั้นเสด็จมาถึงประเทศนั้นทอดพระเนตรเห็นขันก็ทรงพระสรวล
รับสั่งว่าใครทำดูไม่ควรขวางขบวนชี้ก้นพิกลกาย
อำมาตย์ทูลมูลคดีว่าศรีธนญฝังศีศะชูแต่ก้นขึ้นถวาย
ไม่ให้ทอดพระเนตรหน้าเปนคนร้ายทำอุบายซ่อนเศียรให้เมี้ยนมิด
รับสั่งไว้ว่าไม่ขอเห็นหน้าฝังภักตราด้วยว่าตนเปนคนผิด
ให้ทอดพระเนตรแต่กาหายหัวมิดถวายองค์ทรงฤทธิคิดชขอบกล ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์ฟังอำมาตย์กราบทูลได้เหตุผล
เคืองพระไทยด้วยได้เห็นศรีธนญชูแต่ก้นขึ้นถวาอายพระไทย
จึ่งรับสั่งให้กลับช้างที่นั่งเข้าราชวังมณเฑียรอันสุกใส
ฝ่ายว่าเจ้าขุนศรีธนญไชยขึ้นจากหลุมก็ไปยังบ้านต้น ฯ
๏ ถึงเดือนหกศกใหม่เขาไถนาทั่วขอบเขตรภาราทุกแห่งหน
ราษฎรต่างไถไร่นาตนศรีธนญครั้นเห็นเขาไถนา
นึกในใจว่าการไถไร่นานี้ชื่อว่ากลับปัถพีทุแหล่งหล้า
ทำข้างบนกลับลงพสุธาจอมประชาตรัสวากลับพื้นแผ่นดิน
จึ่งให้เข้าเฝ้าเบื้องยุคลบาทแต่เราขาดเฝ้ามากว่าปีสิ้น
ครั้งนี้แลจะได้เฝ้าพระภูมินทร์กับแผ่นดินตามโองการบรรหารมา ฯ
๏ คิดแล้วจึ่งเข้าเฝ้าพระบาทจอมทวาลีราชารถนาถา
ถวายบังคมท่างามครบสามคราหมอบตามยศถาตำแหน่งขุนนาง ฯ
๏ ครานั้นพระผู้ผ่านทวาลีเห็นขุนศรีธนญไชยให้ขัดขวาง
เคืองพระเนตรแล้วตรัสดำรัสพลางกูห้ามไว้อย่างไรวางวิ่งเข้ามา
ได้สั่งแล้ว่าถ้าแผ่นดินกลับสิ้นบังคับจึ่งเขัาในวังหนา
กูยังอยู่มิได้ผลัดกระษัตราเองเข้ามาว่ากะไรไม่ทำตาม ฯ
๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชยจึ่งทูลไปด้วยปัญญาไม่เข็ดขาม
ข้อซึ่งดำรัสตรัสห้ามปรามไม่ลวนลามล่วงเกินพระโองการ
มีรับสั่งว่าแผ่นดินกลับจึ่งมาก็บัดนี้พสุธาประเทศสถาน
กลับแล้วตามพระราชโองการกระหม่อมฉานจึ่งมาเฝ้าเจ้าจุมพล
ไม่ทรงเชื่อโปรดให้มหาดชาเที่ยวดูนอกพาราทุกแห่งหน
จะเห็นจริงแจ้งใจในยุบลมิได้นำเล่ห์กลมากราบทูล ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงสถานฟังขุนศรีทูลสารนเรนทร์สูร
ทรงดำริห์ตริความตามเหตุมูลจอมประยูรยังให้สงไสยนัก
จึ่งตรัสใช้มหาดเล็กที่ปรีชาไปเที่ยวรอบภาราให้เห็นประจักษ์
มหาดเล็กคลานออกมาไม่หยุดพักเที่ยวดูให้แน่กตระหนักทั่วนคร
ครั้นไปก็ได้เห็นเขาไถนาแล้วกลับมาทูลบพิตรอดิศร
ว่าเกล้ากระหม่อมไปได้เห็นราษฎรเขาไถนารอบนครทวาลี ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศระเทศสถานฟังทูลแล้วทรงวิจารณ์คำขุนศรี
อันธรรมดาว่าการไถนานี้ชื่อว่ากลับปัถพีจริงของมัน
ก็ค่อยคลายหายเคืองที่เรื่องผิดทรงยกโทษใช้สนิทไม่เดียดฉัน
ธนญไชยได้มาเฝ้าพระทรงธรรม์เปนนิรันดรมาเหมือนก่อนกาล ฯ
๏ จะกล่าวถึงกษัตราเบญจาละราร้ายกาจเรี่ยวแรงกำแหงหาญ
ครองกรุงเบญจามาช้านานมีพลรบเชี่ยวชาญการณรงค์
ทรงดำริห์จะใคร่ได้ทวาลีเปนบุรีขึ้นนครโดยประสงค์
จึงยกนิกรพลพะลาข้ามป่าดงรถดุรงค์บทจรกุญชรไชย
มาตั้งค่ายรยรอบแดนต่อแดนดูหนาแน่นเทียวธงดูไสว
ฝ่ายชาวด่านแจ้งการอรินไภยมาอยู่ใกล้ด่านแดนแน่นหนานัก
ก็ร่างคำทำหนั่งสือใมบบอกมาให้คนรีบแจ้งกิจจาหมู่ปรปักษ์
มาห้าวันเร่งร้อนไม่ผ่อนพักแจ้งขุนนางให้ประจักษ์ข่าวดัษกร
ว่ามีทัพกรุงกระษัตริย์เธอยกมาตั้งริมด่านชายป่าเชิงศิงขร
ขุนนางทูลข่าวศึกพระภูธรตามใบบอกชาวดอนแดนต่อแดน ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมนคเรศเกษประชาทรงฟังบอกอักขราเห็นหนาแน่น
ว่ามีศึกกรุงกระษัตริย์มาติดแดนยกหมู่แสนยากรจะรอนราญ
จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชยเข้ามาแล้วสั่งให้ออกจากสถาน
เปนแม่ทัพพลขันธ์ประจัญบานให้ทวยหาญฟังบังคับธนญไชย
ด้วยศรีธนญคนดีมีปัญญาเพลงสาตราวุธก็คล่องควรรบได้
แล้วความคิดบิดพลิ้วก็ว่องไวเองจงไปสู้ศึกอย่านึกกลัว
ธนญไชยรับพระราลชโองการไม่อาจขัดบรรหารเจ้าอยู่หัว
แต่ไม่สู้เต็มใจให้นึกกลัวมาถึงบ้านคลุมหัวรนอนรำพึง
ว่ารับสั่งครั้งนี้ให้ไปรบพระจอมภพจะแกล้งให้ความตายถึง
แล้วนึกได้ใจกล้าไม่พรั่นพรึงคิดคำนึงได้อุบายให้ช้าการ
ลุกขึ้นได้ตัดไม้ไผ่มาผ่าจักตอกสานหับว่าจะใส่อาหาร
แต่ต้นจนล่วงสามทิวาวารก็นั่งสานหับใหญ่ไม่ไปทัพ
พวกพหลพลนิกายทั้งนายไพร่คอยท่าศรีธนญไชยเตรียมเสร็จสรรพ
ทั้งลูกดินของกินเสบียงทัพธนญไชยสานหับไม่แล้วเลย
ฝ่ายพระองค์ดำรงเมืองทวาลีทราบว่าศรีธนญไชยนอนใจเฉย
ยังไม่ไปไชยชิงนิ่งละเลยให้ไปเตือนเพื่อนก็เฉยไม่รีบร้อน
จึ่งรับสั่งให้ถามธนญไชยว่าอย่างไรเนิ่นช้าว่ามาก่อน
ธนญไชยให้กราบทูลพระภูธรว่ายังสานหับจะคอนใส่เสบียง
ครั้นหลายวันก็รับสั่งให้เตือนซ้ำบอกว่าทำหับไม่แล้วพูดหลีกเลี่ยง
ฝ่ายพระองค์ทราบว่าสานใส่เสบียงจะโตเพียงไหนมิใคร่จะแล้วลง
มันจะสานหับใหญ่ทำไมหนอกระบวนทัพคอยรอไม่สมประสงค์
อยู่เนิ่นนานมิได้การณรงค์มันทนงไว้ ใจพวกไพรี
รับสั่งเตือนให้เร่งยกกองทัพก็พบอหับสานแวโตได้ที่
ได้แปดอ้อมหาไม้ไผ่อันยาวรีได้สามวาพอดีจะทำคาน
ปั้นเข้าสุกปั้นหนึ่งไส่ในหับคอนขึ้นบ่านำทัพมาน่าฉาน
เปนแม่ทัพออกน่าถึงทวารหับที่สานโตกว่าประตูเมือง
ออกไม่ได้ติดคับทัพก็คั่งค่อยรอรั่งนายทัพอยู่แน่นเนื่อง
ขุนนางเห็นหับคับประตูเมืองกราบทูลให้ทราบเรื่องนายทัพไชย
ว่าหับคับประตูเมืองฝืดเคืองนักกองทัพต้องรอพักไปไม่ได้
ฝ่ายพระองค์ทรงฟังคั่งแค้นฤไทยตรัสให้ห้ามว่าอ่าไปเลยรำคาญ
ขุนนางรับพระโองการก็มาบอกไม่ให้ออกไปรบตามบรรหาร
ธนญไชย ได้ฟังก็ชื่นบานสมที่การคิดจะไม่ไปสงคราม
จึ่งแกล้งว่าข้าหมายจะไปทัพฉลองพระคุณตามตำหรับไม่เข็ดขาม
ทำไมจึ่งรับสั่งให้ห้ามปรามขัดไม่ได้ต้องตามพระโองการ
ว่าแล้วก็กลับยังเคหาสมปราถนาบริโภคกระยาหาร
ครั้นอิ่มแล้วนอนเล่นให้สำราญจับหนังสือโคลงมาอ่านสบายใจ ฯ
             

๏ ฝ่ายว่าเสนาผู้นายทัพก็เร่งขับพลนิกายทั้งนายไพร่
ถึงแดนต่อแดนตั้งแสนยากรไว้บังคับให้ตั้งค่ายรายเรียงกัน ฯ
๏ ครานั้นกรุงกษัตราปัญจาละราชเห็นพหลพลดาดดนมหันต์
ล้วนทัพเมืองทวาลีมีมากครันแน่นอนันต์ม้ารถคชไกร
ทั้งทหารบทจรศรกำซาบถือหอกดาบทวนธนูดูไสว
ทั้งโล่ห์เขนปืนยาแลน่าไม้ดังน้ำไหลล้นหลามตามมรคา
นึกสดุ้งหวาดหวี่นพรั่นในศึกเสียงพิฦกโห่ลั่นสนั่นป่า
ก็ล่าทัพกลับคืนพระภาราไม่อาจสู้เกรงเดชาพระทรงธรรม์ ฯ
๏ ฝ่ายว่ากองทัพทวาลีเห็นข้าศึกล่าหนีจากเขตรขัณฑ์
บอกหนังสือมาแจ้งข่าวศึกนั้นให้ทูลองค์ทรงธรรม์ จะถอยทัพ
ฝ่ายว่าพระผู้ผ่านมไหสวรรย์เกษมสันต์ด้วยข้าศึกล่าหนีกลับ
สั่งมีตราให้หากระบวนทัพคืนนครอยู่รับราชการ
ส่วนนายพลทราบยุบลว่าให้หาก็ยกทัพกลับมายังราชฐาน
เข้าเฝ้าทูลกิจจาทุกประการพระประทานรางวัลตามไพร่นาย ฯ
๏ จะกล่าวถึงกรุงกษัตริย์อยู่เมืองเทศเปนเจ้าเขตรแดนชวาสิ้นทั้งหลาย
มีแขกดำล่ำสันสกรรจ์กายดำชลสายทนนักในพักเดียว
กลั้นใจอยู่ได้ถึงเจ็ดวันไม่มีใครคู่ขันสั่นเศียรเสียว
ไม่ขอสู้ดำคงคากลัวหน้าเซียวข่าวเกรียวเลื่องชื่อฦาขจร
ฝ่ายพระเจ้าเมืองเทศเขตรชวาทรงนิทราเหนือที่บรรจฐรณ์
ดำริห์ว่าจะพนันเอานครทวาลีรเขตรดอนแดนชาวไทย
จึ่งแต่งเรือสลุบมาห้าลำกับราชสารเปนคำชวาวิไสย
ให้ราชทูกเชิญสารลงเรือไบกับคนใหญ่ประดาน้ำกายดำนิล
ออกนาวาจากท่ามาไม่หยุดให้รีบรุดแล่นฝ่าชลาสินธุ์
มาลิบลิบไรไรไกลแผ่นดินห้าเดือนก็ถึงถิ่นทวาลี
ทอดสมอที่ชวากอ่าวปากน้ำยกธงดำตามประสากลาสี
ด่านปากน้ำรู้ความตามคดีให้คนรีบมาบุรีแจ้งกิจจา
ฝ่ายเสนาผู้ว่าต่างประเทศได้ทราบเหตุแล้วทูลจอมนาถา
ว่าราชสารบ้านเมืองเขตรชวามีเข้ามาถึงปากน้ำห้าลำจร
ได้ทรางทราบสั่งให้รับทูตชวามีเข้ามาถึงปากน้ำห้าลำจร
ได้ทรงราบสั่งให้รับทูตชวาเหมือนเคยรับทูตมาแต่ก่อนก่อน
ขุนนางรับโองการพระภูธรก็จัดเรือออกสลอนลงไปรับ
เรืองแห่แลเรือใส่ราชสารพนักงวานตามตกแหน่งให้กำกับ
ขุนนางก็กระทำตามบังคับพณหัวสั่งให้รับทูตชวา
เรือกระบวนถึงชวากอ่าวปากน้ำก็เรียงลำเรือแห่อยู่คอยท่า
รับทูตแลสารเสร็จแล้วมิช้าก็แห่มายังนครทวาลี
ฝ่ายราชทูตก็เข้าเฝ้าพระบาทบรมนารถผู้ดำรงบุรีศรี
ขุนนางเฝ้าครบตำแน่งแห่งมนตรีอู่ตามทีตามยศดูงดงาม
ทูตชวาก็เชิญราชสารชูบานทองถวายเจ้าจอมสยาม
ก็ทรงรับให้อาลักษณ์อ่านข้อความให้แขกล่ามคอยแปลภาษาชวา
ในลักษณ์พระราชสารศรีเจ้าบุรีอัษฎงค์ทรงยศถา
ขอเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงพระองค์ทรงเดชาทวาลี
หวังพระไทยจะใคร่เล่นการพนันให้ดำน้ำสู้กันไม่ถอยหนี
ถ้าแพ้จะเสียพนันตามอันมีให้เปนศรีพระนครขจรยศ
ประดาน้ำเมืองชวาที่มานี้ดำวารีได้เจ็ดวนกลั้นใจอด
ถ้าในเมืองทวาลีมีอย่างดมาดำนู้ให้ปรากฎแก่ทูตมา
แม้นว่าประดาน้ำในเมืองเทศแพ้แก่คนในเขตรจอมนาถา
ขอถวายสินพนันของนานาเงินทองผ้าแพรพรรณอันตระการ
ถ้าคนเมืองทวาลีปราไชยของจงได้มอบสิ่งธะนะสาร
แก่ชาวเขตรอัษฎงค์จบปฏิญาณให้สัตย์ต่างสาบาลกันแลกัน
ขอพระองค์จงเห็นแก่ไมตรีหาคนดำวารีที่เข้มขัน
มาเปนคู่สู้ประดาน้ำพนันพระทรงธรรม์อย่าขัดเคืองเรื่องสารา ฯ
๏ ครั้นอ่านเสร็จราชาารการพนันพระทรงธรรม์ฟังความในเลขา
ให้ขัดเคืองเรื่องสาราแต่ไม่ตรัสปฏิสันฐารสามนัดโดยประสงค์
ตามเยี่ยงอย่างรัชทูตขัติยวงษ์แล้วก็ทรงนัดพนันดำวารี
อิกเจ็ดวันจงให้ประดาน้ำพนันดำกับคนสนกรุงศรี
ทูตถวายบังคมคัลอัญชลีออกจากที่เฝ้าครรไลไปเรือตน ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงภพให้หาจบในแขวงทุกแห่งหน
ไม่มีใครเปนคู่สู้สักคนพระจุมพลจึ่งให้หาธนญไชย
ครั้นเข้ามาก็ทรงเล่าเรื่องสาราเมืองชวาเขตรแขกแปลกวิไสย
จบคดีแก่ขุนศรีธนญไชยรับสั่งว่าจะได้ ใครอาสาพนัน
กูวิตกกลัวจะแพ้เแก่แขกเทศให้หาทั่ววงนิเวศน์ในเขตรขัณฑ์
ไม่มีใครจะอาสามาพนันดำน้ำกันกับชวาที่มาไกล
ธนญไชยฟังยุบลบรรหารตรัสเห็นจอมกษัตริย์เศร้าหมองไม่ผ่องใส
จึ่งทูลว่าข้าพเจ้าจะเอาไชยมิให้ได้อายเขาเหล่าแขกเมือง
จะขอสู้อาสาฝ่าพระบาทให้แขกขยาดฝีมือเล่าฦาเลื่อง
ด้วยอุบายคิดได้ไม่ฝืดเคืองให้รุ่งเรืองพระเกียรติยศปรกฎไป
ได้ทรงฟังธนญไชยรับอาสาพระปรีดาโสมนัศตรัสมอบให้
เปนธุระขุนศรีธนญไชยจะต้องการสิ่งไรให้เรียกเอา
ธนญไชยก็ถวายบังคมลาคลานคล้อยถอยมาจากที่เฝ้า
สั่งเจ้าพนักงานให้เร่งเร้าหาเรือโกลนใหญ่เท่าเรือห้าวา
ไปคว่ำไว้มิให้ไกลจากฝั่งน้ำมีเชือกผูกประจำล่ามมาหา
หลักที่ปักจะยึดคำคงคาให้เตรียมทั้งโภชนาไว้จงพอ
ทำที่นอนที่นั่งใต้เรือคว่ำเข้าน้ำของกินพร้อมเสร็จขอ
มาไว้ใต้เรือโกลนอย่ารีรอจัดให้พออย่าให้ขาดสิ่งอันใด
พนักงานทราบสารผู้รับสั่งไม่รอรั้งจัดของมามอบให้
ทำเสร็จตามยุบลธนญไชยเตรียมไว้ท่าฤกษ์ดำวารี
ครั้นถึงนัดครบเจ็ดวันเวลาก็ไปเตือนไว้ท่าฤกษ์ดำวารี
ให้มาพร้อมคอยฤาษ์ริมชลธีหาโหราดูวิถีเทพาจร
ฆ้องไชยเตรียมไว้คอยเวลาได้ฤกษ์พาให้ตีเอาไชยก่อน
ฝ่าพระองค์ผู้ดำรงพระนครเสด็จประทับบรรจ์ฐรณ์พลับพลาไชย
พร้อมหมู่มาตยาพฤฒาจารย์หมอบเฝ้าน่าพระลานอยู่ไสว
ขุนธนญกับแขกจับหลักไว้พอดหรลั่นฆ้องหชยก็ดำน้ำ
แขกเทศไม่รู้เหตุว่าทำกลก็จับหลักกลั้นทันหายใจร่ำ
ไปจนครบเจ็ดวันอยู่ในน้ำผุดขึ้นมาหน้าดำแทบขาดใจ
ทูตแขจกแปลกใจไทยไม่ผุดประดาน้ำแขกพิรุธผุดก่อนได้
เห็นการจะเสียทีไม่มีไชยคิดใในใจว่าของเราดำน้ำทน
เขายังดำกลั้นช้ากว่าอิกเล่าก็หงอยเหงาไทมนัศให้ขัดสน
ครันสิบห้าราตรีศรีธนญก็ผุดจากวังวนชลธาร
ขึ้นจากวารีชลีหัดถ์ถวายบังคมจอมกระษัตริย์มหาสาร
ทูตแขกแปลกใจไทยไม่ผุดประดาน้ำแขกพิรุธผุดก่อนได้
เห็นการจะเสียทีไม่มีไชยคิดในใจว่าของเราดำน้ำทน
เขายังดำกลั้นช้ากว่าอิกเล่าก็หงอยเหงาโทมนัศให้ขัดสน
ครั้นสิบห้าราตรีศรีธนญก็ผุดจากวังวนชลธาร
ขึ้นจากวารีชลีหัดถ์ถวายบังคมจอมกระษัตริย์มหาสาร
หมอบเฝ้าห้าประชาน่าพระลานทูตเห็นการปราไชยในวาร
ก็ถวายสินพนันตามสัญญาเงินทองแพผ้าต่างต่างสี
แล้วทูลลาลงเรือได้สมดีก็แล่นไปยังบุรีแตรชา
เข้าเฝ้าแถลงแจ้งโดยเหตุแก่พระจเาเมืองเทศทรงยศถา
ตามซึ่งได้พนันคำคงคสปราไชยไทยมาสู่ธานี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดชเสด็จจากนัคเรศบุรีศรี
หวังพระไทยจะไปเล่นวารีเสด็จด้วยเรือที่นั่งศรีอร่ามงาม
พร้อมหมู่เสนาข้าราชการโดยเสด็จแข่งขนานนาวสหลาม
ทั้งเรือดั้งคู่แห่แลเรือตามีสง่างามแน่นเลื่องในนที
นวลนางวิเศษเชิญเครื่องเสวยตามเคยลงท้ายที่นั่งศรี
ครั้นพระจอมประชาเจ้าธานีเสด็จถึงที่ประทับสระสรงชล
ทรงผลัดภูษาแล้วสรงสนานแสนสำราญเย็นซาบทุกขุนขน
เสร็จสรงคงคาในสาชลประทับบนพลับพลาสง่างาม
หมู่ขุนนางเฝ้าพระบาทกลาดเกลื่อนดังดาราล้อมเดือนเด่นสนาม
พรั่งพร้อมเกียรติยศดูงดงามและหลามล้วนเหล่าข้าเฝ้าอนันต์
ถึงเวลาเข้าที่ลงบังคนพระจุมพลก็เสด็จในม่านกั้น
ตรัสให้หาพนักงานชำระพลันทราบว่ามาไม่ทันกิจชำระ
จึงตรัสสั่งนางวิเศษให้ทำแทนด้วยขาดแคลนคนเคยไม่พบปะ
วิเศษต้นก็ถวายน้ำชำระทำตามพระโองการบรรหารมา
ครั้นเวลาบ่ายแสงสุริยันต์เสด็จกลับโห่ลั่นกลองนำน่า
เสียงส้าวเสียงโห่เปนโกลากลับยังนคราพระธานี
จึ่งดำรัสอีวิเศษนั้น ี่ถอดมันเสียเถิดออกจากที่
มือมันล้างก้นกูเมื่อวันนี้ให้คนอื่นว่าที่มันสืบไป ฯ
๏ ครานั้นนางวิเศษครั้นได้ฟังเสียใจดังจะคลั่งน้ำตาไหล
จึ่งรับมาหาขุนศรีธนญไชยอ้อนวอนไหว้ว่าท่านจงเมตตา
เล่าความตามมีพระโองการว่าช่วยฉานให้คืนที่หน่อยจ๋า
ช่วยวิ่งเต้นข้างในทูลกิจจาแม้นสมมาดปราถนาคืนที่ทาง
จะทูลหัวให้ท่านสิบตำลึงจนสลึงมิได้ลดอย่าหมองหมาง
ศรีธนญฟังวาจาแล้วว่าพลางข้าจะช่วยให้ร้างจากที่ตน
อยู่ที่นี่คอยข้าอย่าเพ่อไปจะช่วยทูลแก้ไขให้สักหน
ว่าแล้วก็รีบไปบัดดลเข้าข้างในวิ่งวนทำเวียนวก
แล้วเต้นไปเต้นมาทำหน้าตื่นเสียงครึกครื้นท้าวนางต่างวิตก
ด้วยเปนเวลาเข้าที่ก็กลัวงกร้อนอกตกประหม่าแล้วว่าไป
นี่แน่นายขุนศรีผู้ปรีชาทำอะไรโกลาสนั่นไหว
พระองค์เสด็จเข้าที่บรรธมในอย่าอึงไปไม่ดีที่ไม่ควร ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพเลิศลบธานีดังอิศวร
บรรธมหลับสดุ้งฟื้นตื่นรัญจวนให้ปั่นปว่นเคืองขุ่นฉุนฤไทย
ดำรัสถามว่าใครที่ไหนหนอข้ามาล้ออื้ออึงถึงนี่ได้
เขากราบทูลว่าขุนศรีธนญไชยมาวิ่งไปวิ่งมาชาลาวัง
แล้วก็เต้นเล่นอยู่จนใกล้ที่อึงมี่ทำตามน้ำใจหวัง
จะห้ามปรามเท่าไรก็ไม่ฟังเดี๋ยวนี้ยังวิ่งเต้นไม่เว้นวาย ฯ
๏ ครานั้นจอมนรินทร์บดินทร์สูรได้ฟังทูลเคืองพระไทยมิได้หาย
ทราบว่าธนญไชยทำหยาบคายให้ได้อายชาววังสิ้นทั้งมวญ
ครั้นจะลงราชทัณฑ์ถึงฟันฆ่าคิดถึงคำพระบิดาก็กลับหวน
จะเฆี่ยนจำทำมันก็ไม่ควรภูมิศวรฝากฝังสวั่งกำชับ
ว่าโทษแม้นจะถึงประหารชีพอย่าด่วนรีบฆ่าฟังบั่นสับ
ให้อดโทษยกไว้ได้กำชับเสด็จลับล่วงสวรรคาไลย
ครั้นจะทำล่วงพระราชโองการให้สังหารเฆี่ยนจำทำไม่ได้
ดำริห์แล้วทรงนิ่งในพระไทยธนญไชยก็กลับมาเคหาตน
บอกกับนางวิเศษตามที่ทำได้วิ่งเต้นตามคำไม่ขัดสน
ยังแต่จะช่วยทูลมูลยุบลเดี๋ยวนี้สนธยาย่ำค่ำขัดคราว
ต่อพรุ่งนี้เจ้าไปเฝ้าด้วยกันคอยทูลข้อสำคัญอย่าอื้อฉาว
พรุ่งนี้ขึ้นมาหาข้าแต่ช้าวฟังข่าวคราวเรื่องความตามคดี ฯ
๏ ฝ่ายนางวิเศษครั้นถึงนัดก็รีบรัดมาหาท่านขุนศรี
ครั้นได้เวลาเฝ้าจอมปัถพีธนญไชยนารีพากันมา ฯ
๏ ครานั้นจอมนราประชากรรวิวรส่องแสงสว่างหล้า
แซ่เสียงกาไก่สกุณาเสด็จตื่นนิทราสรงพระภักตร์
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณจันทน์กระแจะทรงภูษาลายกะแหนะทองแล่งปัก
สวมมงกุฎกล่อมกลมสมพระภักตร์ทองกรรักร้อยสายกุดั่นดวง
ทรงสังวาลเนาวรัตน์ประภัศรทับทรวงลายมังกรดูรุ้งร่วง
ทรงพระแสงห้อยเพ็ชรอุบะพวงออกพระโรงวิเชียรช่วงอันรูจี
พร้อมเหล่าข้าเฝ้าหมอบสพรั่งคับคั่งโดยลำดับตำแหน่งที่
กลาโหมมหาดไทยใหญ่น้อยมีทั้งสี่จตุสดมภ์ประนมกร ฯ
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชยพาวิเศษเขน้าไปเฝ้าอยู่ก่อน
ครั้นเห็นจอมนินทร์ ปิ่นนิกรเสด็จประทับบรรจฐรณ์แท่นสุวรรณ
จึ่งสั่งนางวิเศษให้คลานไปข้างน่าเราจะได้ทำให้ขัน
นางวิเศษก็ทำตามคำนั้นทั้งสองคนแข่งประชันคลานเข้าไป
ครั้นถึงน่าที่นั่งก็บังคมสามหนต่างก้มคล้านเข้าใกล้
ฝ่ายเจ้าขุนศรีธนญไชยจับก้นวิเศษได้ใส่หัวตน
คลานพลางใส่พลางไม่วางมือทำให้ฦาเรื่องไปจะได้ฉงน
เข้าใกล้าน่าที่นั่งพระจุมพลจับก้นขวางหน้าเสนาใน ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราษฎร์เห็นประหลาดอ้ายขจุนศรีนี่ไฉน
จับก้นอีวิเศษนี่ร่ำไปแล้วใส่หัวตนละลนละลาน
จึ่งดำรัสตรัสถามตามสงไสยมึงทำอไรอย่างนี้ดูอาจหาญ
จับก้นใส่หัวหูดูรำคาญจงให้การโดยจริงอย่านิ่งช้า ฯ
             

๏ ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฟังถวายบังคมทูลพระนาถา
ว่าก้นวิเศษคนนี้มีศักดาเลิศกว่านารีมีในเมือง
จึ่งรับสั่งซักถามตามฉงนเองว่าก้นอีนี่ดีฦาเลื่อง
เหตุไฉนจึ่งดีกว่าทั้งเมืองตงบอกเรื่องราวมาอย่าช้าที
ธนญไชยจึ่งสนองพระโองการเกล้าหม่อมฉานทราบว่านารีศรี
เดิมเปนวิเศษต้นตัวดีมือล้างคี่ก้นของตนก็พ้นไภย
ครั้นมาชำระพระบังคนต้องร้อนรนถอดจากที่เดิมได้
ก้นพระองค์เลิศลบภพไตรก็สู้ก้นนี้ไม่ได้ดูชอบกล
ส่วนก้นนางนี้ล้างอยู่เปนนิจก็ไม่ผิดกลับชอบมีพักผล
ครั้นมาล้างชำระพระบังคนกลับปี้ป่นถอดถอนต้องร้อนใจ
คิดด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมยอมแพ้ก้นแม่เจ้าประคุณมีบุญใหญ่
จึ่งจับจบหัวตนพ้นจรรไรจงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพฟังจบเห็นจริงด้วยขุนศรี
จึ่งประทานที่เก่าให้นารีเปนวิเศษคืนที่ตามก่อนมา ฯ
๏ จะกล่าวถึงกระษัตริย์ประเทศราชมีกระบือสามารถองอาจกล้า
กำลังเจ็ดช้างสารมหิมากหายาโตใหญ๋เขาไปล่กาง
ไม่มีคู่สู้ท้าสมาวิ่งกันแต่วิ่งชนะนับพันแพ้ฝีย่าง
ไม่มีใครอาจมาท้าเข้าวางควายเขากางตัวนี้ฝีเท้าไว
กรุงกระษัตริย์เจ้าประเทศเขตรขัณฑ์จะใคร่พนันวิ่งกระบยือให้ฦาใหญ
จึ่งจัดเครื่องบรรณาการสารคำไทยสั่งทูตให้นำสำเภาห้าร้อยมา
กับกระบือตัววสำคัญคู่ขันวิ่งครบทุกสิ่งจัดสรรทั้งล้าต้า
ต้นหนคนชำนาญในคงคาทูตถวายบังคมลาใช้ไบจร
แล่นมาในมหาชลาสินธุ์ไม่เห็นดินเห็นไม้ไพรสิงขร
เห็นแต่ฟ้ากับคงกาในสาครเรือขย่อนคลื่นเข่าสำเภาโคลง
หมู่มัจฉาเหราก็คลาคล่ำอยู่ในน้ำภูตพรายผีตายโหง
บ่นพึมพำร่ำเร้าขึ้นเสากระโดงล้วนเก่งโกงคอยคล่ำทำอันตราย
จีนเท่าแก๋รู้แก้เผาขนไก่ยิงปืนไล่เหม็นควันก็พลันหาย
ลูกเรือกลัวหน้าจ๋อยค่อยสบายก็แล่นฝ่าชลบสายมาหลายเดือน
เห็นทิวไม้รำไรยังไกลฝั่งดูสพรั่งเรียงสล้างเมหือนอย่างเขื่อน
รีบใช้ใบมาใได้แวะแชเชือนสิบเดือนถึงประเทศเข้าเขตรไทย
ถึงปากน้ำให้จอดทอดสมอตีม้าฬ่อรับกันสนั่นไหว
จอดเปนแถวแนวสลับอันดับไปให้ม้นไบลดทุกลำเรือสำเภา
ฝ่ายคนทีมารักษาด่านฟังม้าฦ่อเสียงขานพวกเรือเข้า
ออกมาดูรู้ว่าเรือสำเภาและเห็นเสามากสพรั่งที่ฝั่งชล
ให้เรือเร็วรีบไปถามความแขกเมืองก็รู้เรื่องเสร็จสิ้นอนุสนธิ์
กรมการแจ้งใจในยุบลก็เรียกคนเปนเสมียนเขียนบอกมา
แล้วรีบรัดลัดล่องไม่ข้องขัดมาถึงบุรีรัตน์ขึ้นจากท่า
นำใบบอกเข้าเรียนตามกิจจาให้เจ้าพระยาอธิบดีทราบข้อความ
ครานั้นพณหัวมาตยาแจ้งในอักขราซักไซ้ถาม
ให้แน่นอนแม่นไว้ในข้อความแล้วกราบทูลจอมสยามนรินทร ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์ผู้ดำรงอาณาเขตรทรงทราบเหตุแจ้งประจักษ์ในอักษร
สั่งให้รับทูตามานครพระภูธรทราบสารการพนัน
ทรงดำริห์ว่าเราจะทำไฉนหากระบือให้มีไชยพนันขัน
แล้วทรงผัดนัดทูตสิบห้าวันทูตถวายบังคมคัลมาสำเภา
จึ่งรับสั่งให้หาธนญไชยดำรัสเล่าสารให้ฟังคำเขา
จนจบสิ้นกระแสความตามสำเนาพระเปนเจ้านคเรศเกษประชา
จึ่งตรัสถามว่าเองจะทำไฉนจึ่งจะสู้เขาได้ให้เร่งว่า
เองเปนคนไม่จนในปัญญาจะอาสาวิ่งกระบือให้ฦายศ
จะได้ฤาไม่ได้ ให้คิดอ่านอย่านั่งนานกูนัดวันกำหนด
สิบห้าวันจะพนันวิ่งลองทดกับทูตเมืองชนบทนายสำเภา ฯ
๏ ครานั้นขุนศรีธนญไชยจึ่งโองการท้าวไทพระทรงเล่า
จึ่งทูลสนองพระบัญชาตามสำเนาว่าข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการ
ฉลองพระเดชพระคุณดูสักครั้งตามรับสั่งจะอาสาโดยกราชสาร
มิให้แพ้ทูตพนันประจัญบานด้วยปัญญากระหม่อมฉานให้มีไชย
ได้ทรงฟังปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ตรัสว่าเองต้องการสิ่งไรจะให้
จงคิดอ่านเลือกเอาตามชอบใจให้ทันวันนัดไว้ในสัญญา
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งประภาษโปรดประสาทสั่งให้ตามปรารถนา
จึ่งกราบทูลบพิตรอิศราเกล้ากระหม่อมจะเลือกหาลูกกระบือ
ที่ยังไม่หย่านมมาขังไว้พอสู้ได้เกียรติยศปรากฎชื่อ
พระทรงฟังสั่งให้เลือกลูกกระบือตามแต่ใจจะได้ฦาวิ่งพนัน
ธนญไชยก็ถวายบังคมลาพระผู้ผ่านภาราเจ้าเขตรขัณฑ์
ออกมาสั่งพนักงานการปัจจุบันกรมนาเลือกสรรกระบือน้อย
ได้มาให้ทำคอกริมสนามขังให้อดกษิราจนหน้าจ๋อย
แต่งสนามทูลปราบราบเรียบร้อยให้สิ้นรอยหลุมบ่อหลักตอเตียน
ถึงวันนัดก็ให้เตือนทูตมาสู่สนามที่ชาลาพื้นกวาดเลี่ยน
ทูตก็จูงกระบือมาไม่ผัดเพี้ยนถึงที่เตียนผูกหลักปักเสาธง
ฝ่ายพระผู้ผ่านภพบโลกาเสด็จขึ้นพลับพลาสูงรหง
ขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมหมอบล้อมวงเปนกรรกงเกลื่อนกลาดดาษดา
ราษฎรรู้ข่าวกราวเกรียวสนั่นก็ชวนกันมาดูมากนักหนา
ทั้งเจ๊กมอญญวนลาวชาวประชาแขกชวามลายูมูรงิด
แขกเทศพุธเกศฝรั่งเก่าวิลันดามะเกาเชาอังกฤษ
เขมรไทยแขกไทรแขกมะริดมานั่งชิดแซกเสียดต่างเบียดกัน
ฝ่ายขุนศรีธนญไชยครั้นได้ฤกษ์ให้ประโคมเอิกเกริกนี่สนั่น
ก็เบิกคอกลูกกระบือออกมาพลันจูงมาวางพนันควายทูตที่มา
นายสำเภาก็แก้เชือกผูกปล่อยกระบือน้อยก็วิ่งเข้ามาหา
เที่ยวดูดดมหานมกษิราคิดว่าควายมารดาเคยกินนม
กระบือใหญ่ให้รำคาญดาลเดือดแค้นก็วิ่งแล่นหนีลูกกระบือประสม
ลูกกระบือกำลังอยากน้ำนมก็วิ่งดมดูดไปมิได้วาง
กระบือใหญ่วิ่งหนีก็ยิ่งไล่วนไปหลายรอบไม่เหินห่าง
ชนทั้งหลายโห่ร้องตบมือพลางก็วิ่งวางใหญ่ไปไม่หยุดลง
ฝ่ายทูตเห็นกระบือของตนหนีแพ้เสายทีไม่สมอารมณ์ประสงค์
ก็ถวายสินพนันอันบรรจงแก่พระองค์อิศราเจ้าธานี ฯ
๏ ฝ่ายว่าพระผู้ผ่านมไหสวรรรย์เกษมสันต์ได้ชะนะเพราะขุนศรี
ก็ทรงแบ่งสินพนันอันมากมีให้ขุนศรีธนญไชยได้กึ่งทรัพย์
ทูตเสียใจปราไชยกระบือน้อยทูลลาแล้วเคลื่อนคล้อยสำเภากลับ
แล่นไปประเทศตนเสียป่นยับฉิบหายทรัพย์กลับไปทูลเจ้านายตน ฯ
๏ จะกล่าวถึงเจ้าประเทศเขตรลังกาครองภาราเปนใหญ่ในสิงหฬ
พร้อมอำมาตย์ราชครูมากหมู่ชนพระจุมพลทรงดำริห์ตริรำพัง
ในเมืองไทยฦามาว่ามีปราชญ์เฉลียวฉลาดยากที่ผู้จะรู้ถึง
ทั้งแปลอรรถจัดเจนรู้ฦกซึ้งทรงคำนึ่งในพระไทยใคร่ทดลอง
เสด็จออกพระโรงรัตน์ตรัสประภาษกับอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ทั้งผอง
ว่านักปราชญ์เมืองไทยอยากใคร่ลองจงตระเตรียมสิ่งของบรรณาการ
บรรทุกทั้งคัมภีร์ที่แปลยากปิดฉลากเปนสำคัญกับราชสาร
นิมนต์ประสังฆราชผู้เชี่ยวชาญกับภิกษุบริวารลงเรือไป
จะไแจ้งข้อความตามฦาเล่าจะจริงอย่งคำเขาฤาไฉนร
ที่เล่าฦารบือข่าวชาวมืองไทยอำมาตย์ไปจัดการอย่านานวัน
มนตรีรับโองการคลบานออกมาจัดการตามบัญชาขมีขมัน
ขนตู้ใส่บาฬีคัมภีร์ธรรม์เสร็จแต่ในสามวันตามโองการ
นิมนต์พระสังฆราชฉลาดอรรถกับบริสัชภิกษุสงฆ์ทรงบริขาร
กับราชทูตเข้าใจในกิจการเปนประธานกำปั่นใหญ่ใช้ใบจร
รีบแล่นนาวามาในสมุทไม่หย่อนหยุดข้ามเกาะแก่งสิงขร
มาหกเดือนถึงเขตรขัณฑ์นอกสันดอนแดนนครสยามเวียงจอดเรียงลำ
ฝ่ายพวกเมืองสมุทอยุทธยาทราบกิจจาไต่ถามเนื้อความขำ
แล้วเข้าแจ้งคดีตามถ้อยคำทูตลังกาซึ่งนำพระสงฆ์มา ฯ
๏ ครานั้นขุนนางว่าต่างประเทศทราบเหตุก็กราบทูลจอมนาถา
ตามที่ทูตกับพระมืองลังกาจะเข้ามาแปลธรรมพระคัมภีร์ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ได้ทรงฟังว่าทูตลังกามาสู่บุรีศรี
พาพระสงฆ์มาแปลพระบาฬีให้หาศรีธนญไชยมาเฝ้าพลัน
จึ่งดำรัสตรัสว่าจำทำไฉนอันพระในเมืองเราไม่แขงขัน
คงจะแพ้ในการที่แปลธรรม์เห็นไม่มีคู่ขันชาวลังกา
ธนญไชยได้ฟังรับสั่งถามจึ่งทูลเจ้าจอมสยามขออาสา
ว่าเกล้ากระหม่อมขอถวายบังคมลาบรรพชาเปนสมเณรไป
จะคอยสู้ชาวลังกาไม่ล่าหนีแปลคัมภีร์ธรรมขันธ์กันจงได้
จงลงไปรับที่ปากน้ำให้มีไชยท้าวไททรงอนุญาตประสาทพร ฯ
๏ ฝ่ายว่าขุนศรีธนญไชยรับพระพรภูวไนยอดิศร
ใส่เกล้าแล้วทูลลานรินทรรีบจรออกมาสั่งพนักงาน
ให้นตูลายรดน้ำใส่คัมภีร์พระบาฬีจารึกอักษรสาร
แล้วให้ช่างลงรักปิดทองลานไม่ให้จานอักษรทั้งคัมภีร์
จับปูชุบหมึกมาลากลงให้พิศวงเส้นยับรอยป่นปี้
จะอ่นแปลเหลือรู้ดูเต็มทีด้วยไม่มีอักขระเกะกะครัน
ตั้งสมญาเรียกว่าพระไตรปูพิเคราะห์ดูเส้นเฝือเลอะเหลือขัน
แล้วห่อฝ้ามีชายสายรัดพันใส่ในตู้มีสำคัญฉลากราย
ให้ช่างจานลงลานอักคัมภีร์อักษณมีผวนผันขันใจหาย
ให้ชื่อพระไตรคดปดภิปรายห่อผ้าลายสายรัดมัดไว้ดี
ใส่ไว้ในตู้ลายรดน้ำเหมือนพระธรรมพุทธพจน์พระชินศรี
ให้คนขนไปปากน้ำทำกุฎีสองห้องมีหลังคาฝาไม้ลาย
พนักงานจัดการตามที่สั่งพร้อมพรั่งที่ริมฝั่งชลสาย
แทบเชิงเบนท่าลาดมีหาดทรายธนญไชยก็กลัยกลายเพศเปนเณร
มีเครื่องยศสารพัดให้จัดสรรทำยศศักดิ์ใหญ่มหันต์มหาเถร
ตั้งฉายาชื่อว่ามหาเลนสามเณรธนญไชยไปกุฎี
อยู่ในกุฏิผู้เดียวเปล่าเปลี่ยวใจไม่มีใครเป็นเพื่อนเณรขุนศรี
ฝ่ายสังฆราชลังกาชราชีห้วงจะสืบข้อคดีปราชญเมืองไทย
ลงเรือโบตให้ตีกระเชียงมาถึงกุฎีที่ท่าชลาไหล
เห็นสามเณรอยู่ผู้เดียวน่าเปลี่ยวใจแวะเข้าไปจะถามตามสงกา
ถึงกุฎีเณรศรีธนญไชยจึ่งซักไซ้ข้อควมที่กังขา
ว่าตัวท่านมาอยู่ริมคงคงเหตุไฉนแจ้งกิจจาจะขอฟัง ฯ
๏ ฝ่ายว่าเณรขุนศรีธนญไชยจึ่งปดให้สังฆราชตามใจหวัง
ว่าข้าพเจ้าต้องขับมาจากวังให้มายังฝั่งน้ำทำโทษกรณ์
เพราะรู้น้อยถอยปัญญาปรีชนาเขลาเอาข้าพเจ้ามาทรมานสอน
ให้อยู่ยังริมฝั่งชโลธรไม่ให้หมู่ราษฎรดูเยี่ยงนี้
ได้สมญาชนื่อว่ามหาเลนเปนสามเณรต้องพรากบุรีศรี
พระผู้เปนเจ้ามาทำไมในธานีข้อคดีเปนไฉนอยากได้ความ ฯ
๏ ครานั้นสังฆราชเมืองลังกาฟังวาจามหาเนเจ้าเณรถาม
จึงบอกแจ้งแห่งกิจจาพยายามสู้แล่นข้มมคงตคามานคร
หวังจะแปลคัมภีร์บาฬีอรรถให้แจ้งชัดกับปราชญ์ตามอักษร
ด้วยได้ข่าวออกชื่อฦาขจรว่านครสยามมีคนปรีชา
อันตัวฉันนั้นเปนที่ประสังฆราชหวังมาแปลสู้กับปราชญ์คำสาสนา
อันตัวฉันนั้นเปนที่ประสังฆราชหวังมาแปลสู้กับปราชญ์คำสาสนา
๏ ครานั้นเณรศรีธนญไชยฟังสังฆราชแจ้งใจทุกสิ่งสรรพ์
จึงตอบว่าเจ้าคุณจะแปลธรรม์ดีขยันจะได้ดูรู้ปัญญา
จะขอลองให้อแปลพรบาฬีว่าแล้วหยิบคัมภีร์ที่ห่อผ้า
เปนพระธรรมคำของพระศาสดาให้พระสังฆราชาแปลให้ฟัง
พระสังฆราชแปลได้ ไม่ข้องขัดเจนชัดมิได้ติดต้องคิดคั่ง
แปลรวดเร็วคล่องจริงจริงไม่นิ่งยั้งเณรธนญไชยได้ฟังว่าดีจริง
ซึ่งเจาคุณแปลธรรมในคัมภีร์แคล่วคล่องดีมิได้ขัดชัดทุกสิ่ง
คำมคธเชี่ยวชาญชำนาญจริงแต่ผมกริ่งอิกคัมภีร์ขชื่อไตรปู
จะแปลได้ฤาไฉนยังไม่แจ้งพระสังฆราชฟังแคลงตะแคงหู
จึงถามว่าเปนอย่างไรพระไตรปูเณรก็หยิบมาให้ดูทั้งคัมภีร์
พระสังฆราชเห็นลานเปนรอยยับไม่ได้ศัพท์แต่สักนิดคิดถ้วนถี่
ดูไปให้ฉงนจนในทีตอบว่าไตรปูนั้ไม่ได้ความ
พิศไปดูมิใช่ตัวอกักษรยอกย้อนยุ่งยิ่งกริ่งเกรงขาม
จึงบอกกับศรีธนญว่าจนความเหลือจะตามไต่แปลไม่แน่ใจ
เณรตอบว่าคัมร์พระไตรปูเจ้าคุณไม่เรียนรู้จะทำไฉน
แปลไม่ได้สักบทจงงดไว้ยังพระไตรคดคัมภีร์ธรรม์
ว่าแล้วหยิบคัมภีร์พระไตรคดมีอักษรปรากฎคำผวนผัน
มาให้พระสังฆราชดูฉับพลันบทต้นนั้นอักขระปะปาปา
ที่สองจารึกเปนอักษรไม่ยอกย้อนตรงตรงตามภาษา
อ่านได้พอรู้ปะลูลิดตาที่สามว่าโกนถะกิปะมี
คำรบห้ากะลันทาโชแถลงพระสังฆรดูแคลงคำขุนศรี
คิดไม่ทันตันใจไนคัมภีร์ด้วยไม่มีในพระไตรปิฎกธรรม์
จึงบอกว่นคัมภรี์พระไตรคดแปลไม่ออกแต่สักบทให้อัดอั้น
คิดไม่เห็นเปนจนอนย่เท่าน้นยิ่งตรองก็ยิ่งตันติดเต็มที
ฝ่ายว่าเณรขุนศรีธนญไชยจึงว่าแปลไตรคดอักษรศรี
ก็ไม่ออกคุณบอกว่าเต็มทีแม้นไปแปลในบุรีจะได้อาย
ตัวผมงมคลำเพราะความเขลาแปลไม่ได้จึงเอามาชลสาย
ต้องบัพพาชนิยกรรมทำให้อายมาอยู่ชายเลนเพราะโทษท่โฉดตึง
ผมได้อายต้องมาอยู่ที่ชายฝั่งเจ้าคุณยังจะอดสูรู้ไม่ถีง
อันนักปราชญที่ครูรู้ฦกซ้งไม่พรันพรึงแปลอรรถสันทัดดี
ถ้าจะแปลธรรมสู้กับครูผมจะมิล้มลงท้งยืนในกรุงศรี
โปรดดำริห์ตริตรองให้คล่องดีถ้าอย่างนี้แล้วคงแพ้การแปลธรรม์
พระสังฆรมิได้รู้ว่าขู่ลวงนั่งง่วงนย่งคิดจิตรใจส่น
นึกเกรงกลัวจะอายขายหน้าครันก็ลาเณรลงกำปั่นรีบหนีไป ฯ
๏ ครานั้นมหาเลนเณรขุนศรีรู้ว่าสังฆราชหนีไม่อยู่ใกล้
ก็ศึกจากสามเณรในทันใดเข้ามาเฝ้าท้าวไทยทูลกิจจา
ตามที่ตนได้ผจญพระสังฆราชบรมนารถแสนโสมนัศา
ดำรัสถามไตรปูอักขราเปนอย่างไรเองว่าให้กูฟัง
ธนญไชยทูลความตามที่ทำเอาปูชุบน้ำดำลากถอยหลัง
ปนรอยยุ่งไม่เปนตัวพัวรุงรังมีชื่อต้งว่าไตรปูดูยากครัน
พระไตรคดในบทปถะมาว่าปะปะปาปาว่าขันขัน
ปะลูลิดตาอันดับกันกับกะลันทาโชอักษรมี
โกนถะกิปะอักขราพระสังฆราชลังกาจนจึงหนี
กระหม่อมฉันทดลองสองคัมภีร์จึงได้มีไชยชนะพระลังกา ฯ
๏ ฝ่ายบรมนินทร์ชดินทร์สูรได้ฟังทูลทรงมเปนนักหนา
ไม่เสียทืขุนศรีมีปัญญาบทปะปะปาปาว่ากะไร
ขุนธนญทูลว่าคนทาพ้อมเอามูลโคในปลอมดินเหลวไหล
ปะปาทาพ้อมทะตะล่อมไว้คำแก้ไขอย่างนี้ว่าที่คิด
กะลันทาโชกะโล่ทาชันโกนถะนั้นกะโถนมิได้ปด
ปละลูลิดตาคือขวานปะลูลดลิดตาไม้ได้หมดทุกสิ่งอัน
กิปะอักขระว่าสากะปิอุตริผูกผวนให้หวนหัน
กราบทูลแก่พระองค์ผู้ทรงธรรม์ทรงสรวลสันต์ชมขุนศรีธนญไชย ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

[1]

เครื่องมือส่วนตัว