อิลราชคำฉันท์

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(๒๑)
(๒๕)
 
(การแก้ไข 3 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 1,045: แถว 1,045:
===๒๒===
===๒๒===
<tpoem>
<tpoem>
 +
<sup>ฉบัง ๑๖</sup>
 +
๏ ปางถ้วนปฏิทินถึงวัน  บรรจวบขวบขัน
 +
อีศวพ่าห์มาเมือง
 +
 +
๏ คืนสู่มาฬกมลังเมลือง  นักสิทธ์วิทย์เรือง
 +
ก็รับก็รองปรองใจ
 +
 +
๏ จำเริญวรเวทตรัสไตร  ตรีวารล่วงไป
 +
ก็ปลงชีวาพาชี
 +
 +
๏ แล่เนื้อนำเครื่องในพลี  ยางเหนืออัคนี
 +
สังเวยศิวาสาทร
 +
 +
๏ โหมเพลิงเริงโรจน์อัมพร  พากกลิ่นกำจร
 +
จรูงสวรรค์กรรหาย
 +
 +
๏ ฉิวฉิวชื่นหวนอวลอาย  รสกล้ากำจาย
 +
ก็เจื่อนกระเจิงจักรพาล
 +
 +
๏ ท้าวทรงมูรธาภิเษกสนาน  พราหมณ์พฤฒาจารย์
 +
ก็เจิมด้วยจุรณจวงจันทร์
 +
 +
๏ ถวายโสมทรงเสพเสริมขวัญ  มิ่งมงคลอัน
 +
พิพัฒน์พิพิธสิทธิชัย
</tpoem>
</tpoem>
 +
===๒๓===
===๒๓===
<tpoem>
<tpoem>
 +
<sup>มาณวกฉันท์</sup>
 +
๏ ปางศิวเจ้า  เนา ณ พิมาน
 +
บรรพตศานต์  โสภณไกร
 +
 +
๏ ลาสรโห  โอ่หฤทัย
 +
ทราบมนใน  กิจพิธี
 +
 +
๏ ทวย ธ กระทำ  กรรมพิเศษ
 +
อัศวเมธ  ปูชยพลี
 +
 +
๏ เคลื่อนวรองค์  ลงปฐพี
 +
สู่พระพิธี  สาทรกรรม
 +
 +
๏ พอพระหทัย  ในวรกิจ
 +
อามิสคิด  อัน ธ กระทำ
 +
 +
๏ ท้าว ธ ประนอม  ออมกุธอำ
 +
นวพรคำ  ควรจะประสงค์
 +
 +
๏ เอออิลราช  ปราศทุรการณ์
 +
เราก็ประทาน  โทษกะองค์
 +
 +
๏ แต่ขณะนี้  มีสิริทรง
 +
รูปและคง  เดิมบมิกลาย
 +
 +
๏ กล่าวพรสิทธิ์  อิศวรางค์
 +
เหิน ณ นภางค์  โฉมพระก็หาย
 +
 +
๏ เหิมหฤหรรษ์  พลันมึนิผาย
 +
องค์อิลวาย  ทุกขระทม
 +
 +
๏ ลาพุธเข้า  เนาพระนคร
 +
คืนดุจก่อน  กาลนิยม
 +
 +
๏ ราษำร์ก็เกษม  เปรมสุขรมย์
 +
เริงมนชม  โพธิสุภาร
 +
 +
๏ ท้าว ธ รำพึง  ถึงวรองค์
 +
โอสรทรง  นามขนาน
 +
 +
๏ คือสสพินทุ์  ปิ่นพระกุมาร
 +
ควรจะประทาน  รัฐธำรง
 +
 +
๏ รังอภิเษก  เอกปิยบุตร
 +
พงศพิสุทธิ์  สืบสุรวงศ์
 +
 +
๏ รัชถวัลย์  ทันพระประสงค์
 +
มอบ ธ ธำรง  รั้งพลหินท์ ฯ
 +
 +
</tpoem>
 +
===๒๔===
 +
<tpoem>
 +
<sup>สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙</sup>
 +
๏ ครั้นเสร็จการอภิเษกองคสสพินทุ์
 +
จอมราชบิดาจิน-  ตนา
 +
 +
๏ ถึงหน่อพุธปุรุพรพิพิฒน์ชนมนา
 +
ควรแก่พระราชา  ภิเษก
 +
 +
๏ จึ่งรังสฤษฏ์ปฏิฐานนครรุจิเรข
 +
อวยแก่พระองค์เอก  อุรส
 +
 +
๏ สองราชสองพระนครขจรพระกิติยศ
 +
เดชาก็ปรากฏ  กระจาย
 +
 +
๏ ร่มรัฐราษฏร์อภิรมย์อุดมสุขสบาย
 +
ผองภัยมิใกล้กราย  ประชา ฯ
 +
 +
</tpoem>
 +
 +
===๒๕===
 +
<tpoem>
 +
<sup>ฉบัง ๑๖</sup>
 +
๏ ประพันธ์ฉันทพากย์พรรณนา  อิลราชอิลา
 +
ก็ลุดังจิตจงเพียร
 +
 +
๏ โดยฉบับบ่อเกิดรามเกียรติ์  พระราชนิพนธ์เธียร
 +
ธิราช ธ เริ่มรังสรรค์
 +
 +
๏ หลวงสารประเสริฐ(ผัน  สาลักษณ)ทรงธรรม์
 +
ประสาทสกุลบิดร
 +
 +
๏ ข้าบาทบพิตรมหิศร  สัตยาสาทร
 +
ภักดีต่อใต้บทมาลย์
 +
 +
๏ ใช่ปราชญ์อาจปรุงปรับสาร  เฉลิมเกียรติ์ภูบาล
 +
ธิเบศวร์กษัตริย์ฉัตรชัย
 +
 +
๏ พระมงกุฏเกล้าเกศไทย  ที่หกรัชสมัย
 +
มหิทธิเดโชผล
 +
 +
๏ พระคุณพระคือสายชล  ชื่นแช่มชมผล
 +
พระชุบพระย้อมย่อมเย็น
 +
 +
๏ พระการุณภาพบำเพ็ญ  แผ่หล้าเล็งเห็น
 +
ประจักษ์แก่จิตนิจกาล
 +
 +
๏ เดชะสุจริตไตรทวาร  จุ่งพลันบันดาล
 +
ได้เสพแต่สรรพ์สวัสดี ฯ
</tpoem>
</tpoem>

รุ่นปัจจุบันของ 14:59, 9 สิงหาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ)

พระราชนิพนธ์คำนำ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หนังสืออิลราชคำฉันท์นี้ จะว่าได้เกิดมีขึ้นเพราะข้าพเจ้ายุยงก็ได้ ที่ว่ายุยงนั้น เพราะข้าพเจ้าได้ทราบอยู่ว่าหลวงสารประเสริฐ (พระยาศรีสุนทรโวหาร [ผัน สาลักษณ]) เป็นผู้มีฝีปากแต่งหนังสือเห็นกาพย์กลอนได้อยู่ ดังมีพยานปรากฎอยู่ทีเรื่อง ปัญจสิงขรคำกลอน กับฉันท์และกลอนเบ็ดเตล็ดต่างๆ ข้าพเจ้าได้อ่านแล้วก็เห็นว่า มีจินตกวีเกิดขึ้นในหมู่คนไทยชั้นหนุ่มอีกแล้ว แต่ข้าพเจ้าวิตกอยู่ว่า ถ้าไม่คอยระวัง กลัวหลวงสารประเสริฐจะใช้ความสามารถของตนนั้น เพื่อแต่งหนังสืออันไม่เป็นแก่นสาร

ในสมัยตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ มา ข้าพเจ้ามีความเสียใจที่ได้สังเกตเห็นว่า ฝีปากผู้แต่งกาพย์กลอนเลวลงกว่าในต้นรัชกาลที่ ๕ นั้น เป็นอันมาก เพราะพอใจแต่งแผลงอวดดีไปว่าใช้โวหารอย่างใหม่ ซึ่งมีคนบางจำพวกนิยม โดยสำคัญว่าเป็นโวหารอย่างฝรั่งและนิยมว่า การแต่งหนังสือโดยใช้โวหารแผลง และคำซึ่งเข้าใจว่าเป็นคำฝรั่งปนเปอยู่นั้น เป็นเครื่องแสดงความรุ่งเรืองของตน ในชั้นเมื่อเกิดมีละครชนิดที่เรียกว่า ละครร้อง ชุกชุมขึ้น นักเลงแต่งบทละครร้องก็มีมากขึ้น และเป็นที่เข้าใจกันว่า กลอนที่จะใช้ในบทละครร้องเช่นนี้ต้องใช้เป็นอย่าง "สมัยใหม่" ใช้ถ้อยคำอย่างใหม่ เลี่ยงถ้อยคำ ซึ่งเรียกว่า "ภูมิเก่า" ให้มากที่สุดที่จะหลีกไปได้ เช่นต่างว่าจะแต่งบทโลม ถ้าแต่งอย่างแบบแผนแห่งจินตกวีนิพนธ์ไทยเก่า คงแต่งว่า

"โฉมงามทรามสุดสวาทพี่ดาลฤดีจ่อจิตพิศวง
ขอแต่เพียงได้พิงอิงองค์แนบอนงค์ขวัญฟ้ายาใจ" ดังนี้
             

แต่ถ้าใครแต่งเช่นนี้ก็มันถูกหาว่าเป็นภูมิเก่า ไม่ทันสมัย ฝ่ายผู้แต่งถึงแม้จะพอมีความรู้แต่งได้ก็ไม่กล้าแต่งออกมา เพราะกลัวจะถูกติว่าเป็นคนผิดสมัย ฝ่ายผู้อ่านถึงแม้ว่าแท้จริงเมื่ออ่านบทกลอนเช่นข้างบนนี้แล้วจะ รู้สึกในใจจริงว่าเพราะ ปากก็ต้องกล่าวติว่า "ครึ" หรือ "งุ่มง่าม" เพราะถ้าแสดงออกมาว่าชอบบทกลอนเช่นนี้แล้ว ก็เกรงจะเป็นเหมือนสารภาพว่าตนเป็นคนที่เดินไม่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้จินตกวีสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อปรารถนาจะแต่บทโลมให้ได้ใจความเช่นเดียวกับบทข้างบนนี้จึงต้องแต่งว่า

"โอ้งามโฉมประโลมหรูคู่ชีวิตช่างถูกจิตนี่กระไรแม่ใจหวาน
ขอจูบเจ้าคลึงเคล้าเยาวมาลย์กระสันซ่านกอดศอพอชื่นใจ" ดังนี้
             

ตัวผู้ที่แต่งบทกลอนเช่นนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีนิสัยเป็นจินตกวีแม้แต่เล็กน้อย ก็คงจะต้องรู้สึกว่าเป็นถ้อยคำอันมีภูิมิต่ำ ซึ่งถ้าจะเปรียบกับคำกลอนบทข้างบนนี้ ก็ต้องรู้สึกว่าเหมือนขันทองเหลืองเทียบขันทองคำ แต่จะทำอย่างไรได้ตนเป็นผู้ขาย เมื่อคนซื้อชอบขันทองเหลืองมากกว่าขันทองคำ ก็จำเป็นต้องทำขันทองเหลืองขาย เมื่อเจ้าของโรงละครเขาชอบบทละครโสกโดกก็ต้องแต่งเช่นนั้น

ข้าพเจ้าได้เคยรู้สึกรำคาญมานานแล้ว แต่ไม่แลเห็นหนทางที่จะแก้ไขอย่างใด นอกจากที่จะมีผู้เป็นจินตกวีมาปรึกษาหารือแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะสามารถแสดงความเห็นพูดจาเกลี้ยกล่อม ให้ช่วยกันรักษาวิชากวีไทยอย่าให้สูญเสียหรือเลวทรามไป ก็นับว่าได้มีผลสำเร็จไปบ้างแล้วบางรายแต่งยังเป็นส่วนน้อยนัก

ในส่วนตัวหลวงสารประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสตักเตือนได้เต็มที่ เพราะพระยาศรีสุนทรโวหาร (พระยาศรีภูริปรีชา[กมล สาลักษณ]) ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยมาช้านาน ได้เคยพูดจาปรารภมีความเห็นพ้องกันอยู่ ทั้งตัวหลวงสารประเสริฐก็ได้รู้จักต่อเนื่องจากความคุ้นเคยกับบิดาเขานั้น ข้าพเจ้าจึงถือเอาโอกาสเพื่อแนะนำหลวงสารประเสริฐให้แต่งหนังสืออะไร อัน ๑ ซึ่งจะได้มีชื่อเสียงสืบไปว่าเป็นจินตกวีผู้หนึ่ง ซึ่งมิได้เป็นผู้ช่วยทำให้ภาษาไทยเสื่อมทราม ข้าพเจ้าของให้พยายมแต่งหนังสือขึ้น เพื่อให้ปรากฎแต่ไปในพงศาวดารว่าในรััชกาลพระมงกุฎเกล้าก็ยังมีจินตกวีอยู่ หลวงสารปะรเสริฐก็รับปากไว้ แต่ยังหาเรื่องที่ประพันธ์ขึ้นนั้นไม่เหมาะได้ จนข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือ "บ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์" นั้นขึ้น หลวงสารประเสริฐจึงได้พบนิทานเรื่องอิลราช ซึ่งมีอยุ่ในอุตตรกัณฑ์แห่งรามายณะ เห็นว่าพอจะประพันธ์เป็นคำฉันท์ได้ หลวงสารประเสริฐจึงได้แต่งขึ้นด้วยความอุตสาหะ แล้วนนำมาให้ข้าพเจ้าช่วยตรวจ ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยตรวจแก้ไขและแสดงความเห็นให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมขึ้น และบางตอนที่เขาแต่งไม่ได้โดยพิสดารเพราะขาดความรู้ในกิจการนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่นเรื่องพิธีอัศวเมธเป็นต้น ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยชี้แจงให้ฟังโดยพิสดาร ตามที่ข้าพเจ้าได้อ่านมาในตำรับไสยศาสตร์ หลวงสารประเสริฐได้กำหนดจดจำเอาไปประพันธ์ขึ้นได้อย่างดี นับว่าเป็นที่ควรสรรเสริญ

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่า ในรัชกาลของข้าพเจ้าได้มีจินตกวี ซึ่งสามารถจะแต่งฉันท์ภาษาไทยได้หลายคนแล้ว และหลวงสารประเสริฐผู้แต่งเรื่องอิลราชคำฉันท์นี้เป็นคน ๑ ในหมู่นั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีเขียนคำนำนี้ให้หลวงสารประเสริฐเพื่อแสดงความพอใจแห่ง ข้าพเจ้า ณ บัดนี้

อนึ่งข้าพเจ้าขอถือเอาโอกาสอันนี้เพื่อแสดงว่า ถ้าแม้ผู้ใดซึ่งริเริ่มจะนิพนธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน มีความปรารถนาจะให้ข้าพเจ้าตรวจและแนะบ้าง อย่า่งที่ข้าพเจ้าได้ช่วยหลวงสารประเสริฐมาแล้วนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ที่คุ้นเคยกัยข้าพเจ้าแล้วแต่ก่อนก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะยินดีช่วยตรวจ และแสดงความเห็นเท่าที่ข้าพเจ้าสามารถจะทำได้ เพื่อช่วยอนุเคราะห์ผู้ที่มีความพอใจในทางจินตกวีนิพนธ์และเพื่อ ประโยชน์แก่วิชากวีของไทยเรานั้นด้วย

..........................(รัชกาลที่ ๖)

สนามจันทร์

วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

บทประพันธ์

ศุภมัสดุ
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
๏ ข้าขอเทิดทศนัขประณามคุณพระศรี
สรรเพชญพระผู้มีพระภาค
๏ อีกธรรมาภิสมัยพระไตรปิฏกวากย์
ทรงคุณคะนึงมากประมาณ
๏ นบสงฆ์สาวกพุทธ์พิสุทธิ์อริยญาณ
นาบุญญบุญบานบโรย
๏ อีกองค์อาทิกวีพิรียุตมโดย
ดำรงดำรับโปรยประพันธ์
๏ ผู้เริ่มรังพจมานตระการกมลกรรณ
ก้มกราบพระคุณขันธ์คเณศ
๏ สรวมชีพอัญชลินาถพระบาทนฤเบศ
มงกุฎกษัตริย์เกษตรสยาม
๏ ที่หกรัชสมัยก็ไกรกิตติพระนาม
ทรงคุณคามภี-รภาพ
๏ เพียงนารายณ์อวตารบำราญอริบำราบ
เถลิงรัชทวีลาภวิไล
๏ เปรื่องปรีชาวิทยุตมาภรณ์ไท
ธารสัตย์กระพัดในกมล
๏ บำรุงรัฐสุขวัฒนานิกรชน
ทั่วรัฐมณฑลบำเทิง
๏ สรวมเดชไตรรตนาวรากรเถกิง
เกินโกฏิประกายเพลิงพิโรจน์
๏ รังรักษ์ไทอธิราชพระบาทนฤโทษ
เสพสิ่งประเสริฐโสต-ถิผล
๏ จุ่งเจริญด้วยสุขนันท์พระพรรณก็ถกล
ทีฆายุเพิ่มพลพิบูล
๏ ข้าบาทรังรจนานิทานอิลทูล
แทบบาทบดินทร์สูรสราญฯ
             

ฉบัง ๑๖
๏ แถลงปางรามจันทราวตารเสร็จมล้างเหล่าพาล
พินาศด้วยพระบารมี
๏ มลายเข็ญเย็นทั่วธาตรีถวัลยรัชรมย์ชัยศรี
อยุูธเยศเกศกรุง
๏ สมภาร พระเอื้ออำรุงสมโภชผดุง
พระเดชกระเดื่องแดนไตร
๏ ปาง ราชปรารภกิจในพลีกรรม์อันไกร
คือราชสูโยดม
๏ โดยเบื้องบรมราชนิยมขัตติยสมาคม
ร้อยเอ็ดมาเอื้อเอาภาร
๏ แผ่พระกฤษฎาภินิหารใดราชฤาปาน
ฤาปูนพระเดชนฤบดี
๏ พระน้องสองเฝ้าบทศรีหิรักษ์จักรี
พระตรัสพระตรึกปรึกษา
๏ พระภรตผู้พระอนุชาเชิงไฉนเชษฐา
ทะนุพิธีพลีกรรม
๏ พระพร้องสนองถ้อยแถลงทำ-นูลทัดทานคำ
มิควรประกอบมหการ
๏ พระองค์ผู้ทรงอวตารตราบจบจักรพาล
โผอนมกุฎเกรงรณ
๏ ฤาควรกวนราชกังวลมละด้าวมาดล
ดำแหน่งทุเรศรัถยา
๏ บัดพระลักษมณ์ราชอนุชานบเบื้องพระบาทา
บัณฑูรแถลงพจมาน
๏ ผิวไท้ใคร่กอบพลีการอัศวเมธมหุฬาร
ก็เลิศพิธีพลีกรรม
๏ เผยเผชิญพิชิตเชษฐ์ชักนำน้อมเกล้ากล่าวคำ
คดีดำนานในบูรพ์
๏ อินทรรอนพฤตาสูรเอิบอิศร์อันพูน
บำเพ็ญตบะบารมี
๏ มาผลาญมารมอดชีวีเกลื่อนบาปบ่มบำ-
รุงบุญระบอบบำบวง
๏ เป็นที่นิยมแก่ปวงเทพทั่วแมนสรวง
สรรเสริญประเสริฐสาธร
๏ แถลงเรื่องสมราชอนุสรพระศรีสังขกร
ก็โปรดก็เปรมปรารมภ์
๏ เยื้อนอรรถตรัสชอบเชยชมโดยราชนิยม
ยุบลคดีมีมา
๏ จึงแถลงอิลราชอิลาอวยองค์อนุชา
ฉบับอันพร้องพิสดาร ฯ
             

วสันตติลกฉันท์ ๑๔
๏ ยังมีบรมนฤปนาถอิลราชสมัญขาน
ทรงพลหิรัฐสุรฐานสุประเทศสถาพร
๏ โอรสพระกรรทมประชาปติพรหมบุตรขจร
เจิดคุณธรรมมิกบวรทศพิธเพียบเพ็ญ
๏ เมตตาประชากรสโม-สรสุขสลายเข็ญ
ทั่วรัฐมณฑลก็เย็นสิรราษฎร์สเริงรมย์
๏ รักษ์ราษฎร์ก็เล่หปิยบุตรนรสุดประสาทสม
ซ้องศัพท์เกริกกิติอุดมวรเดชกระเดื่องแดน
๏ ปราบได้ณไกวลประเทศทศทิศก็เกรงแกลน
กลอกเกล้าและหนาวภยมิแคลนวรฤทธิเรืองรณ
๏ เรืองรองพระมนทิรพิจิตรกลพิศพิมานบน
ก่องแก้วและกาญจนระคนรุจิเรขอลงกรณ์
๏ ช่อฟ้าก็เฟื้อยกลจะฟัดดลฟากทิฆัมพร
บราลีพิไลพิศบวรนภศูลสล้างลอย
๏ เชิงบัทม์พระบัญชรเขบ็จมุขเด็จก็พราวพลอย
เพดานก็ดารกพะพรอยพิศเพียงนภาพลาม
๏ สิงหาสน์จรูญจตุรมุขบมิแผกพิมานงาม
พื้นภาพอำพนพิพิธตามตะละเนื่องพนังนอง
๏ ภาพครุฑก็ยุดอุรคแผ่กรเพียงจะผาดผยอง
เทพนมขนัดกษณะมองมรุเทพทิพาลัย
๏ เบื้องบรรจถรณทิพอาส-นก็เอี่ยมอุไรไพ-
จิตรลายจำหลักฉลุพิไล-ยพิลาสลดามาลย์
๏ ชั้นฉัตรสกาวทุกุลพัสตร์รุจิรัตน์อลังการ
เขนยขนนระคนบุษปปานรสทิพย์ประเทืองใจ
๏ เนืองแน่นอนงค์นิกรนาฏทะนุบาทบำเรอไท
เฉิดโฉมประโลมกมลใครยลพิศก็พิศวง
๏ แน่งนางประหนึ่งวรสุราง-คสะอางสะอาดองค์
ร่ายเรียงบำเรออมรทรงสุรภาพพิมานเมือง
๏ ราชูประโภคปริโภ-คพิพัฒนนองเนือง
สมบัติสมบุรณเรืองวรราชภิรมย์ชม
๏ ปราการก็ปรากฎสุเม-รุสิเนรุเปรียบสม
นางจรัลและโดรณสดม-ภอธึกทะงันเงย
๏ ป้อมค่ายระรายธุชประฎากสุประดิษฐ์ดำกลเกย
ในบานทวารวิมลเผยผิวหับสนิทเนียน
๏ หอยุทธ์ก็เย้ยริปุประยุทธ์อริยลณพาเหียร
เหือดเหี้ยมกำแหงหิริระเมียรมลฮึกอหังการ
๏ มากมวลอมาตย์นิกรเส-วกราชกำลังหาญ
พฤนทาพลากรแสะสารสุรฤทธิเริงรณ
๏ ผาสุกสนุกนครขัณ-ฑสิมาสุมณฑล
บำเทิงระเริงหทยชนทิชชาติประชุมชี
๏ แซ่ศัพท์ผสานดุริยสัง-คิตพาทยเภรี
สรบสิ่งประดาประดุจศรีสุรโลกชะลอลง
๏ ปางดลวสันตอุตุแสนจะเกษมณแดนดง
ดาษรุกข์ระดื่นดฤณบงระบุบัตรขจีงาม
๏ แถวธารละหานศิขรหลากชลหลั่งละลุ่มหลาม
มั่วมวลละมั่งมฤคตามวนสณฑ์สะเริงไพร
๏ ราชาพระปรารภประพาสพิศเพื่อภิรมย์ใน
แห่งห้องพระหาวนพิไลมิคล่าประลองกร
๏ โองการประกาศนิกรเส-วกโดยเสด็จดอน
มวลหมู่อมาตยสลอนพลถ้วนทหารหาญ
๏ ตรวจเตรียมพลากรพหลตะละตนก็เชี่ยวชาญ
ม้ารถและคชวรยานระแทะเทียบสะเทื้อนดิน
๏ พลคชก็คือสุรคเชน-ทรไอยราอินทร์
ชำนนชำนาญชำนะอริน-ทรล้วนชโลมมัน
๏ พลม้าพลาหกผยองดุจล่องจะลอยสวรรค์
พลรถก็ล้วนรถสุพรรณระแทะธุชปลิวปลาย
๏ พลราบก็รุ่นทหระว่องวยคล่องตะกอกาย
ล้วนโล่หโตมรก็ทายธนุแล่นกำแหงรณ
๏ สรรพศาสตรอาวุธทิพาวุธเทิดประเทืองมนตร์
สำหรับพเนจรผจญก็สะพราดสะพรึงเพรียง
๏ เริงร้องคะนองนิกรพลผิวเพิกไผทเอียง
เอิกอึงอุฆษสุรก็เพียงปฐพีถล่มลาญ
๏ ครั้งถึงสมัยมหุดิฤกษ์อดิเรกอุดมวาร
จอมราชก็ยาตรวนสถานทุรรัถยาดล
๏ แดนไพรพิศาลศิขรเขินทุมเนินพนาสนฑ์
ปักษาคณามฤคยลก็ยะยั่วยะยวนชม ฯ
             

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ ภาคพื้นพนารัญจรแสนสราญรมย์
เนินราบสลับสมพิศเพลินเจริญใจ
๏ โขดเขินศิรขรเขาณ ลำเนาพนาลัย
สูงลิ่วละลานนั-ยนพ้นประมาณหมาย
๏ ยอดมัวสลัวเมฆรุจิเรขเรียงราย
เลื่อมเลื่อมศิลาลายก็สลับระยับสี
๏ ขาบแสงประภัสสรนิลก้อนตระการดี
ขาวแม้นมณีมีรตรุ้งรำไพพรรณ
๏ ทอแสงผสานสายสุริย์ฉายก็ฉายฉัน
เหลืองเรื่ออุไรวรร-ณวิจิตรจำรูญ
๏ แง่งเงื้อมชะง่อนงามก็วะวามวิไลปูน
ปนรัตนไพฑูร-ยพิพิธประภากร
๏ ปานก้อนพระไกรลาสวรนาถมเหศร
ส้องเสพสถาพรสิริสุนทรารมณ์
๏ อวยพรพิพัฒน์พ้นภยเวทวราคม
นอกนี้่ฤเปรียบสมศิขรินทรงามงอน
๏ วุ้งเวิ้งชะวากผาฆนแผ่นศิลาสลอน
ช่องชานชโลทรชลเผ่นกระเซ็นสาย
๏ ปรอยปรอยประเล่ห์เห-มอุทกพะพร่างพราย
ซาบซ่านสราญกายกระอุร้อนก็ผ่อนซา
๏ ท่อธารละหานห้วยก็ระรวยระรินวา-
รีหลั่งถะถั่งมาบมิขาดผะผาดผัง
๏ ไม้ไล่สล้างชมขณะลมกระพือวัง-
เวงเสียงก็เสียดดังดุจซอผสานสาย
๏ แสนสาธรารมณ์จรชมก็ชวนสบาย
ใจหงอยก็ค่อยหายหฤหรรษเหิมหาญ
๏ เซิงสนสล้างพฤษ-ษพิลึกลดามาลย์
บงบุษบาบานระบุดอกระดาษไพร
๏ ฉุนฉมระงมฆานสุวมาลย์จรูงใจ
ส่งก้านตระการใบพิศล้วนพิไลพรรณ
๏ ริ้วริ้วพระพายพาสุรภีละเวงวัน
ผึ้งภุมรีสัญ-จรสูบสุเกสร
๏ ร้องร่อนวะว่อนเชยรสเรณุกำจร
เกลือกบุษบากรระกะกลีบกระหึ่มเสียง
๏ พรรณพฤกษทรงผลตะละต้นจะอ่อนเอียง
พวงย้อยระย้าเพียงจะเผด็จสะดวกดาย
๏ สุกเหลืองอร่ามลิ้มรสเลิศอร่อยหลาย
หลากหลากและมากมายบมิรู้จะรำพัน
๏ ไม้ใบตระกาลบัตรดุจจัดประจงสรร
สอดสีสลับกันระดะรุกขรายเรียง
๏ ชมทวยทิชาชาติก็ลิลาศประอรเอียง
แมกไม้จำเรียงเสียงเสนาะโสตสนั่นไพร
๏ แซ่ซ้องผสานสุน-ทรศัพทจับใจ
เพียงพาทยพิณไพ-เราะประโลมฤดีดี
๏ หลายเผ่าพนาเกียรณ์พิศเพี้ยนผสานสี
เคลียคู่ประจำปีมนรู้ภิรมย์ลาน
๏ แม่นกก็ปกโป-ดกป้อนผลาหาร
ปีกป้องประคองปานจะประเล้าประโลมเป็น
๏ ลิงค่างชะนีมีจลนีและนางเห็น
สายัณหย่ำเย็นก็ยะยั้วยะเยี้ยผล
๏ ยองย่องผยองเผ่นอิลเห็นกระหายมน
ไล่หมู่มฤคจนจะกระทั่งรโหฐาน
๏ ล่วงถิ่นกำเนิดองค์วรขันท์กุมารชาญ
หลงเชิงละเลิงพา-ฬมฤคเขม้นหมาย ฯ
             

โตฏกฉันท์ ๑๒
๏ ขณะนั้นอิศเรศพระประเวศวนผาย
หรุฐานสบายอิริยาบถบรร-
๏ พตเสตณมูลธก็พูนหฤหรรษ์
สุขุดมดรุวันวรเทพทวิองค์
๏ กะพระอัครอุมาสุรชายอนงค์
ศิวะเย้ายุพยงอรยั่วพระศุลี
๏ ศิวะแปลงวรรูปวิยหญิงยุวดี
พระอุมาพระก็มีสุมนัสนิยม
๏ ดรุสัตว์บริเวณพะพระเวทอุดม
สละเพศพิศสมศิวะเพศพระจำแลง
๏ อิลราชจรล่ามฤคาบมิแคลง
ลุสถานศิวะแปลงดนุแปลกนัยนา
๏ บมิเป็นอิลราชวิปลาสอิลา
คณะราชบริพา-รประดาจรดล
๏ มละเพศบุรุษดำริสุดจะพิกล
ยลแล้วก็ฉงนเอะประหลาดละซิเรา
๏ อิลเหลือจะตระหนกมนะหนักบมิเบา
กระอุแดดุจเอาสุรอัคนิลน ฯ
             

อีทิสังฉันท์ ๒๐
๏ เล็งไศลลำเนาพนัสดำบล
วิถีก็ทั่วธิราชธยลถนัดพลัน
๏ องค์อิศวรอุมาภิรมย์อรัญ
ชไมมเหศวร์ก็เหิมก็หรรษ์รโหฐาน
๏ เราชะล่าละลาบละล้วงก็ปาน
ฉะนี้แหละจึงประจักษ์วิการวิกลเป็น
๏ องค์อิลาก็คลาประณตพระเพ็ญ
สวัสดิ์ประสบพระเนตรพระเห็นก็กริ้วกราด
๏ เหม่อิลาชะล่าไฉนประพาส
บกลัวบเกรงกระทำอุอาจอหังการ์
๏ เราแหละสาปและสรรฉะนี้แหละสา
กะใจละเจ้าแน่ะนางอิลาจะทำไฉน ฯ
             

กมลฉันท์ ๑๒
๏ อิลโอนศิโรเพฐน์พจน์ขอขมาภัย
ศิวะทรงพิโรธในธกระทำกระลำพร
๏ บมิทรงประสาทโทษอิลโอดสำออยวอน
วรองค์อุมาอรอนุกูลกำลูนครัน
๏ เฉพาะองค์อิลาอวยพรอัฑฒเอาทัณฑ์
อิลอ่อนศิโรวัน-ทนน้อมคำนึงพร
๏ พจน์พร้อมสนองบาทสุรนาฎอุมาอร
เพราะอำนาจมเหศรกรุณาและปรานี
๏ เฉพาะเดือนจะดาลเพศยุพเรศกษัตรีย์
ศุภลักษณ์วรินทรี-ยพิลาสลออองค์
๏ คณะนางณแดนไตรจะพิไลลำเพาพงศ์
บมิเลออิลาทรงสิริโฉมประโลมลาน
๏ ผิวถ้วนกำหนดหมายวรกายก็แปลงปาน
ปฏิรูปบุราณกาลประลุเดือนก็เคลื่อนคลาย
๏ ศุภลักษณ์สลับมาสบมิอาจจะคงกาย
อรซ้ำกระหน่ำผายพจนารถเลอสรวง
๏ ขณะเป็นกษัตรีย์กิจที่กระทำปวง
บุรกาลก็ดาลดวงหฤทัยลืมเลือน
๏ ขณะคืนพระองค์จริงกิจหญิงบแม่นเหมือน
มนโมหะฟั่นเฟือนดุจใช่หทัยเดียว
๏ สุรพจน์เผด็จพรอิลค่อนกระสันเสียว
ศิระโอนอุมาเหลียวมุขลับอำลาคลา
๏ คณะสาวสะคราญผู้บริพารก็ห้อมมา
พิศราวกะดารากรล้อมบุหลันฉาย
๏ จรเวิ้งวนาวาสก็ระดาษดำเนินราย
ยุระเยื้องชำเลืองชายนยน์ชมผกามาลย์
๏ อรอันสนัดขับสุรศัพท์ประเลงลาน
วรแซ่ผสานขานรุกขเทพบำเทิงถวิล
๏ บทจรกระเจิงเจื่อนทุรเถื่อนผลากิณ
กรเก็บจะเพลินผินวรพักตร์ประสบสหาย
๏ ผลเผื่อเกษมเสพย์รสด้วยบเดียวดาย
จรดลลุแดนสายสระสลิลก็ยินดี ฯ
             

ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒
๏ สะอาดเอี่ยมประเปี่ยมน้ำสลอนส่ำสโรชมี
พบูบานผสานสีสล้างกลีบกุสุมสรรพ์
๏ สำแดงดวงดำรูเด่นประดับเบญจพิธพรรณ
พิโดรฉมระงมคันธรสรื่นบำเรอฆาน
๏ ภมรมั่วประทุมมาศมิรู้ขาดสถานธาร
ชะลอเอาละอองมาล-ยเมื้อมุ่งอำรุงรวง
๏ สลาบโรยก็หล่นลอยกระแสสร้อยสลายพวง
สะพราดพันธุปลาปวงประเนืองน่านเฉลียนนอง
๏ ฉวัดว่ายเฉวียนวนกระโดดพ่นละอองฟอง
ระเมียรมัจฉะคลอครองบคลาดคู่คระไลลอย
๏ ชะโดดุกกระดี่โดดสลาดโลดยะหยอยหยอย
กระเพื่อมน้ำพะพร่ำพรอยกระฉอกฉานกระฉ่อนชล
๏ กระสร้อยซ่าสวายซิวระรี่ริ้วละวาดวน
ประมวลมัจฉะแปมปนประหลาดเหลือจะรำพัน
๏ สถานพุธดาบสบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์
ตปาการประกอบกรรม์อุกฤษฏ์บ่มบำรุงบุญ
๏ อิลาแลกระแสใสสำราญในมโนสุน-
ทราอรจะผ่อนอุณห์อุทกอาบพระอินทรีย์
๏ พระนางพาคณานงค์เกษมสรงสุวารี
ละเลิงเล่นกระแสศรีสนานน้ำสนุกใจ
๏ กระโจมจ้วงกระจ๋อมแจ๋มแฉล้มแช่มชลาไหล
ฤษีซ่านสำนานนัย-นทอดทัศนานาง
๏ อิลาเลอพิลาสลักษณ์พิมลพักตรโสภางค์
จำเริญจิตบจืดจางประจักษ์เนตรประเจิดนวล
๏ เสน่ห์หนักสลักจิตกำเริบฤทธิเรรวน
พระพรหมจรรยรัญจวนจำนงแนบถนอมโฉม
๏ ตระบัดจรประจากห้วงละหานล่วงประลองโลม
สมรแม่เสมือนโสมสำรวยร่างสำอางค์องค์
๏ อำเภอพาลพธูพรรค์กระเจิงวันวิเวกดง
ประดาษพาฬพยัคฆ์ยงขยาดยิ่งสยองใจ
๏ จะเชิญนางณอาศรมสุขารมณ์นิทราศัย
รโหฐานสราญในวนาวาสสะอาดครัน
๏ อิลาเหล่าอนงค์ข้าสดับว้าประหวั่นขวัญ
ประนอมตามพระนักธรรม์ธสู่ถิ่นพนาศรม ฯ
             

มาลินีฉันท์ ๑๕
๏ พระพุธกมลชื่นชมเผยกถารม-
ภถานไป
๏ อนุชสถิตแดนใดนามสกุลไฉน
เสนอเรียม
๏ สมรอลก็อายเหนียมนิ่งเสงี่ยมเจียม
บเจรจา
๏ บมิจะวิทุนวงศาเมืองประจากมา
มิแจ้งจน
๏ พระพุธ ธ ก็ฉงนสน-เท่หถามพล
บ่พร่ำขาน
๏ อิสิอนุสรเล็งญานจึงประจักษ์การ-
ณเป็นไป ฯ
             

๑๐

อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒
๏ พลางพุธประภาษพจน์มธุรสชะลอฤทัย
ปลอบเปลื้องประเทืองใจบริพาลิลาอนงค์
๏ สูข้าประสาทสูจรสู่พนาระหง
เกษมแสนณแดนดงดุจในพระนันทวัน
๏ จงกินรีเป็นพิศเช่นสุรางค์สวรรค์
เหมห้องคุหาสน์บรร-พตลึงสราญภิรมย์
๏ พักเผือนผลาสา-ทรข้าอำนวยอุดม
จักพากินรสมสุขร่วมฤดีประคอง
๏ นางได้สดับอรรถสุมนัสนิยมสนอง
ครั้นนาฏอนงค์ผองพนสณฑ์สำนักสำนึง
๏ ลับพ้นลำพังดาบสพลางรำพันรำพึง
ร่วมอาสน์อิลารึงรสรักประจักษ์วิจล
๏ พรหมจรรย์กระเจิงล่มประลุพรหมภิภพบน
พ่ายพักตร์สุภณทนบมิไหวคระไลกระจาย
๏ กรรมร้อนบห่อนกรุ่นเพราะพิรุณประโปรยประปราย
กองเพลิงเถกิงกรายติณแห้งบแหนงบหนี
๏ ผาณิตผิชิดมดฤจะอดบอาจจะมี
แม่เหล็กฤเหล็กดีอยยั่วก็พัวก็พัน
๏ พื้นภพอำเภอภพก็ประสบเสมอสวรรค์
อยู่ชั่วนิรันดร์กัลป์อวสานประมาณประเมิน
๏ องค์อรอิลาสาทรแสนจะเพลิดเพลิน
ชมพุธชวนเชิญอภิบาลบำรุงบำเรอ
๏ คืนวันก็พลันเคลื่อนประลุเดือนประหลาดนะเออ
หลากลักษณ์อิลาเลออิลราชฤทธิรงค์ ฯ
             

๑๑

สัทธราฉัน ๒๑
๏ เออนี่เราล่ามฤคดงจรวนดรุพง
เผลอพระองค์หลงฉะนี้ไฉน
๏ สูอาศรมโอ้ประหลาดใจนิกรพลคระไล
ทิ้งดนูไปบ่รู้ตน
๏ เห็นแต่ท่านผู้แสวงผลวรพุธมุนิขวน
โปรดยุบลแจ้งประจักษ์ความ
๏ ดาบสปางได้สดับถามผิวจะพจนตาม
จริง ณ ยามนี้มิบังควร
๏ คงโศกเหลือแสนพิลาปครวญทุมนสอุระหวน
เราจะอำยวนยุบลลวง
๏ ดูราราชผองอมาตย์ปวงพหลพลทบวง
ทวยทหารหลวงประลัยลาญ
๏ โดยพ้องเหตุเหี้ยมมหันต์หาญฆนศิลปะทะราน
จึ่งพินาศปราณบเหลือหลง
๏ ตัวท่านพ้นภัยไฉนคงชิพิตจิรธำรง
แฝงพระอวค์วงวนาศรม
๏ ฟั่นเฟือนเลือนลืมเพราะอารมณ์วิปริตกระอุกรม
เดือดบได้สม-ประฤาดี
๏ อย่าทรงเศร้าโศกพิโยคมีทุมนสบมิดี
ส่ำสุเมธีติเตียนนัก
๏ อันเกิดมาเป็นสภาพลัก-ษณะมนุชก็จัก
ตายแหล่ะแน่นักนะราชา ฯ
             

๑๒

อุปชาติฉันท์ ๑๑
๏ พระอิลราชฟังพจน์พุธสำแดงมา
สุดดับระงับอาลยโศกพิโยคครวญ
๏ เสียดายทหารหาญรณชาญอมาตย์มวล
และเสวกาควรฤจะมามลายชนม์
๏ ดำรง ณ สัตย์มั่นและกตัญญุตามน
ใกล้ชิดสนิทตนตะละผู้ก็พึงใจ
๏ ตั้งแต่จะแลลับฤจะกลับประสบไฉน
นครก็จรไกลสละราษฎร์นิราศมา
๏ จะทุกข์ฤสุขดังดนุยังผดุงผะดา
จอมนาฏสนมผา-สุกใจไฉนมี
๏ ทุกเหล่าจะเร่าร้อนอุระข้อนและโศกี
มิรู้จะร้ายดีจรล่านิรารมย์
๏ มิวายสบายบานสุขศานต์เสน่ห์สนม
พรั่งพร้อมประนมคมคณะนาฏบำเรอเสนอ
๏ แรมเวียงนิเวศน์เนาพนเขาขนัดเฌอ
เคราะห์กรรมกระทำเออก็อเนจอนาถใจ
๏ พระทูลพระพุธดาบสข้าจะลาไคล
เวนราชโภไค-สุรย์แสนศฤงคาร
๏ แด่องค์พระโอรสและจะบทจรพนานต์
สำรวมภิรมย์ฌานตปะยุตโยคี
๏ พระพุธประภาษชวนธ จะด่วนคระไลหนี
เชิญองค์พระจงมีมิตรภาพผดุงกัน
๏ อาศรม ธ อาศัยกิจใดจะทรงสรรพ์
ก็จงประกอบกันตปะการสราญเทอญ
๏ พระอยู่ก็คู่เปลี่ยวขณะเหี่ยวก็หากเพลิน
อกเอ๋ยบเคยเดินพระจะดั้นอรัญไฉน
๏ ฟังพจน์พระพุธชวนธ ก็หวนมนาลัย
พำนักบำเพ็ญในวรพรตภาวนา
๏ พระหรหมจรรย์อันถิรชั้นพระพรหมา
สบช่องก็ปรองปรา-รภโชคชไมมน
๏ ชื่นชมพระหรหมจรรย์อภินันท์นิราจล
เจอะคราวมิชอบกลก็ประหลาดมิอาจรอ
๏ เพราะล่วงลำดับเดือนดนุเลือนอิลาลออ
นงเยาว์พะเน้าพะนออนุพนธ์พระสิทธา
๏ กลายกลับสลับกันก็นิรันตร์ระหว่างมา
ประดุจพระวาจาพระอุมาประสาทสรรพ์ ฯ
             

๑๓

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
๏ ปางราชนิราศวรนิเวศน์ทิววาระนานครัน
ชาวกรุงละลุงจิตรำพันพจน์ถึงคะนึงครวญ
๏ จมนาฏสนมนิทรละล้าก็พะว้าพะวังหวน
หวังเห็นพระเพ็ญพิภพรวนอุระร้าวผะผ่าวใจ
๏ โอ้จอมจุฑาธุชธำรงสิริรัฐฉัตรชัย
เชือนช้าพระล่าวรไฉนบนิวัตนิเวศน์สถาน
๏ พื้นพงพระหาวนพระจรทุรค่อนจะกันดาร
เคยทรงเสวยสุขสราญณ พระราชวังหลวง
๏ บรรทมพระแท่นบวรอาส-นพิลาสพิไลพวง
มาลาบำรุงกมลปวงบริจาประจำองค์
๏ แรมเถื่อนบเหมือนพระทิพรั-ตนปัจจถรณ์ทรง
ปราศเปรมเกษมผิวจะบงคณะข้าประดาชาย
๏ ยามสรงพระสรงกษิรธารสหัสสะโปรยปราย
ไพรพฤกษ์จะพรมพระวรกายหิมุทกธารา
๏ เคยทรงสดับดุริยสัง-คิตศัพทหรรษา
เถื่อนถิ่นจะยินวิหคกาสุรก้องกระเวณไพร
๏ เคยเสพสูปและพยัญชนะอันอร่อยใน
วังรัตน์พระพลัดจรคระไลจะระอาผลาหาร
๏ เสนาคณามุขอมาตย์ก็ประหลาดฤดีดาล
ใดราชประพาสพนสถานทุรหลงระเริงชม
๏ การเมืองก็เคืองธุระประดังผิจะสั่งบเสร็จสม
ทวยขุนก็ขุ่นมนระงมบมิรู้จะทำไฉน
๏ ส่ำราษฎร์ก็อาวรณภู-ธรผู้ประจากไป
ม้าวอยู่ก็ดูสิริวิไลมละท้าวก็เปล่าทรวง
๏ ต่างหวังและตั้งกมลคอยก็ละห้อยคระโหยหลวง
สร้อยเศร้าและเหงาหทยปวงนรปราศธิราชครอง
๏ คือป่าผิไร้คณะพยัคฆ์จะพำนักอะไรครอง
นาวาจะคลาชล ณ คลองขณะแล้งจะลอยไฉน
๏ ปราสาทพิลาสรตนปลอดพิศยอดสิหายไป
ไพชยนต์บยลธุชพิชัยฤจะเงื้อมสง่างาม ฯ
             

๑๔

อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ อิลาสำเริงสู่พุธคู่บคืนคาม
ก็ทรงพระครรภ์ตามปฏิพัทธ์กำหนัดเชิง
๏ ณ คราวพระเป็นหญิงธ ก็ยิ่งละเลิงเหลิง
ตปาเถกิงเริงขณะเป็นบุรุษรม
๏ ฉะนี้แหละกำหนดทศมาสสมาคม
ประสูติพระชายชมปุรุรพสมัญญา
๏ ถนอมพระหน่อนาถพิสวาสดิแสนสา
บำรุงบำเรอผา-สุกแผ้วภิรมย์ใจ
๏ ประจวบอิลาลัก-ษณะเลือนกระลับไป
พระพุธรำพึงในหิตข้อประโยชน์คุณ
๏ จำกุประกอบเกื้ออิลเอื้อและอุดหนุน
ละบาประบายบุญบุรรูปดำรงคง
๏ พระเชิญประชุมผู้พระมหาฤษีทรง
พระคุณระบือยงยุตเติบตปาการ
๏ พระพุธปรึกษากะคณามุนีวร
บำบัดทุโทษกรณ์จะประกอบประการไฉน
๏ อิลามล้างบาปศิวสาปจะเสื่อมไป
ธำรงพระรูปไทอิลราชบรางเลือน ฯ
             

๑๕

สาลินีฉันท์ ๑๑
๏ คาบนั้นกรรทมผู้พระบิดาก็มาเยือน
ยังถิ่นพำนักเผือนสะพรั่งพร้อมพระนักธรรม์
๏ อาสูรโอรสแสนนิราศแคว้นอนาถครัน
พ้องโทษที่สาปสรรก็เสื่อมสิ้นสง่างาม
๏ นี่หากมาพบพุธประเสริฐสุดพยายาม
จักเคลื่อนจักคลายความอุลามกมลายหาย
๏ เราเห็นมีทางแก้ก็ควรแต่จะตังวาย
สมเด็จผู้ฤาสายอิศวรซ้องสการกรรม์
๏ มิ่งม้าบูชาอง-คคงทรงทุเลาทัณฑ์
ดาบสเห็นพร้อมกันประกอบกิจพิธีการ ฯ
             

๑๖

อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑
๏ จึงองค์อิลราชธประสาทพระราชสาส์น
สู่ราชบุรฐานธุระเกื้อพิธีกรรม์
๏ แถลงเรื่องจรเล่ามฤคร ณ ไพรสัณฑ์
สบสาปศิวะทัณฑ์ทรเพศพิลึกเหลือ
๏ บัดนี้จะกระทำพลิกรรมจุนเจือ
ไถ่โทษธุระเขือคณะมาตยมนตรี
๏ อย่านอนหฤทัยขณะได้สดับคดี
จัดฐานพิธีอนุกรมระดมงาน
๏ แวดวงวรมา-ฬกราชประดิษฐาน
แทบฝั่งชลธารทนุโดยพระคัมภีร์
๏ ปลายแคว้นบุรขัณ-ฑสิมาประมาณมี
ที่พักพระมุนีระยะย่านและร้ายรวง
๏ เหมรัชตภักษ์วรทักษิณาปวง
เพื่อเราจะบำบวงบรเมศวร์มลายเข็ญ ฯ
             

๑๗

สุรางคนางค์ ๒๘
๏ คณาอมาตย์
ตระหนัก ณ สาสน์ก็คลายลำเค็ญ
ระบือระบายขยายประเด็น
พระยากพระเย็นพิโยคบุรี
๏ พะสาปพะสรร
พะโทษพะทัณฑกรรมกระลี
พระเกรงพ:-)จะทำพิธี
พระภูบดีจะคืนนคร
๏ อมาตย์ประชา
ธชีพระบาก็เบานิวรณ์
กะกันสฤษฏ์กิจโจปกรณ์
มินิ่งมินอนมิเกียจมิกัน
๏ ประดุจพระราช
ประสงค์ประสาทละสิ่งละอัน
สถลสถานสะพานและสรร-
พมารคภิมัณฑ์พิมลเมลือง
๏ ลุมาดกมล
ละผู้ละตนหทัยประเทือง
อมัจบดีกุลีและเนือง
ประชา ณ เมืองก็เปรมก็ปรีดิ์ ฯ
             

๑๘

ฉบัง ๑๖
๏ เล็งลานโรงราชพิธีพ่างพื้นเภรี
พาลุกโรยรัถยา
๏ รื่นรมย์เรียบราบมรรคาหลายสายสายตา
ตะลึงเตลิดลานแล
๏ มาฬกตระหง่านเงื้อมไถงแถงติดตาดดาดแพร
ก็พรายก็พรันบรรยง
๏ ยลโถงโปร่งช่องชวนบงโบกฟ้าเฟือนหลง
และล่อให้โลกเล็งลาน
๏ ล่องล่องมาลุตแล่นพานพ่างแข่งคัคนานต์
ก็คือจะคู่ควรคง
๏ ยาบย้อยระย้ามาศบรรจงราชวัติฉัตรธง
ประเทืองประทิงปลิปลาย
๏ มลังเมลืองเครื่องตั้งตังวายแวงข้างวางบาย-
ศรีรัตน์หิรัญหลั่นทอง
๏ บัตรพลีพานผกาพวงกรองแกมลาชลำยอง
ละอันก็เอี่ยมอำไพ
๏ ฐานอัศว์แท่นอาสน์อิลไทเถือกทองก่องไกร
ประกอบด้วยแก้วดำกล
๏ พร้อมสรรพไสยศาสตร์มงคลพิธีมณฑล
ประเทืองประทีปชัชวาล
๏ ถิ่นที่ทวยทวิชาจารย์นักธรรมช่ำฌาน
ก็เฉิดก็ฉายรายเรียง
๏ ริมทางโรงทานคั่นเคียงอะคร้าวกล่าวเพียง
คือกัลปพฤกษ์นึกสม
๏ เงินทองของเสวยเนยนมทักษิณาปรารมภ์
ก็ลุดังเจตน์จงปอง
๏ โรงการมหรสพครบผองนักรำช่ำชอง
นักร้องก็ขับจับใจ
๏ ปันเวรเกณฑ์กันทั่วไปหน้าที่ใครไฉน
ก็สั่งก็ซ้อมพร้อมมูล
๏ เสร็จกาลขานข่าวท้าวทูลนักพรตพร้อมมูล
และปัตนีนำมา
๏ ผายผันถั่นเข้าสู่มาฬกราชวรา
ธิราช ธ เริ่มพลีกรรม์
๏ เบิกอัศวพ่าห์กาฬพรรณมิ่งมงคลขวัญ
อนัคฆคู่ควรนคร
๏ งามลักษณ์ล้ำพญาไกรสรสามารถอาจรอน
อเรทรราชฤาชัย
๏ ฝีเท้าเคล่าคล่องว่องไววิยพ่าห์อำไพ
พระพายผยองฟ่องโพยม
๏ ผูกเครื่องเรืองรัตน์เลื่อมโลมเลอศรีเล็งโสม-
นัสล้ำลำยอง
๏ พู่พราวดาวมาศลาดขนองโกลนพนังมลังลอง
และอานก็เอี่ยมอำพน
๏ พานหลังพานหน้าน่ายลสายถือถกล
ประกอบกนกแนมมณี
๏ นายม้าอ่าโอ่อินทรีย์พาพญาพาชี
อัญเชิญประเทียบแท่นทอง
๏ ชาวประโคมโหมฆาตฆ้องกลองกรับนำทำนอง
แตรสังข์บัณเฑาะว์ดุริยางค์
๏ นักพรตพร่ำพระมนตร์พลางดำรับแต่ปาง
ปุราณเทิดธรรมเนียม
๏ พระวงศ์ทรงนำอัศว์เตรียมตรวจทัพเทียบเทียม
จะเทาประเทศถิ่นไกล
๏ กลาดลานขานโห่เอาชัยพ่างพื้นแผ่นไผท
จะผกจะเพิกภินท์พัง
๏ พื้นหาญเหิ่มแกล้วกำลังคอยเฝ้าใฝ่ัฟัง
ธ ปลด ธ ปล่อยพาชี
๏ ส่ำสรรพ์กลั่นกล้าราวีสมัครล้างไพรี
ประกวดแก่กันลั่นเมือง ฯ
             

๑๙

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ องค์อิลราชาทศนาดุรงค์เรือง
คร่าวในหทัยเคืองมนครุ่นและขุ่นตรอม
๏ แท้ธรรมดาขัต-ติยรัฐดิลกจอม
อาณาถนอมออมวรอาสน์ฉกาจรณ
๏ เกรียงไกรกเรนทร์รัตน์วรอัศวมงคล
โยธินทรพฤนท์พลพรสัตย์กระพัดใจ
๏ ท้าวแลดุรงค์ราชวรอาสน์ก็อาลัย
คราวกรรมจะทำไฉนสละเพื่อพิธีพลี
๏ ปางดลวิถีงามศุภยามอุดมดี
ปล่อยราชพาชีอุปการพลีกรรม
๏ กองทัพกำกับยาตรปรราชบเกรงยำ
ถับถิ่นประเทศทำบมิรู้ก็จู่ตี
๏ แตกพ่ายกระจายยับพลทัพ ธ ย่ำยี
ด้าวใดผิไมตรีธุระต้อนก็ผ่อนผัน
๏ รับทัพและรับอัศว์ปฏิบัติบำรุงครัน
แต่งทัพ ธ ส่งสัญ-จรสุดสิมาเมือง
๏ ดลแดนสะดวกสมอนุกรมนครเนือง
ทุกด้าวบเปล่าเปลืองประดิพันธไมตรี
๏ แดนใดบไกลเกินก็เผชิญขบวนกรี-
ธาทัพธิราชมีมนช่วยอำนวยการ
๏ ใดราชผิยาตรยากจะลำบากเพราะกันดาร
ไป่จำประจากสถานธ ก็รับดุรงค์พล
๏ บรรดาพระราชาจรมา ณ มณฑล
เทียบทัพก็สับสนจตุรงคเสนา
๏ พร้อมสรรพพยู่ห์ยาตรพลยุทธโยธา
เมือมุ่ง ณ เสมาพลหินทธานี ฯ
             

๒๐

ฉบัง ๑๖
๏ เดินทัพสะเทือนท้องธรณีทุ่มฆ้องกลองตี
ก็เซ็งก็แซ่แตรสังข์
๏ เพียงผลาญแผ่นพื้นภพพังนฤโฆษอันดัง
ในแดนในด้าวดงดอน
๏ คล่ำคล่ำพลคชางางอนเหมหัสดาภรณ์
ก็แพรวก็พรายข่ายกรอง
๏ สองหูพู่ขาวดาวทองรัตคนคาดซอง
หางสมสองพลุกสุกพรรณ
๏ ขุนคชคุมคอขี่กัณฐ์ควาญท้ายนายอัน
ประจำ ณ บาทยาตรา
๏ พลพร้อมล้อมเชิงคชาพิศดูตรูตา
อันตกอันแต่งตัวดี
๏ กำแหงแห่งหัตถ์ครวีอาวุธอันมี
มหิทธิเดชเวทขลัง
๏ คล่ำคล่ำส่ำแสะกำลังเหยาะยาตรผาดผัง
ลำพองสง่าร่ารณ
๏ เหลืองแดงหมอกขำดำปนลางกระเลียวขน
ทั้งผ่านและขาวพราวพราย
๏ พิศตาบทาบหน้าพรรณรายสายง่องถ่องสาย
อันถืออันถ่วงหน้าหลัง
๏ อานทองกล่องโกลนเนื่องพนังพู่ขาวดาวฝัง
แฝงขลุมประเจิดจินดา
๏ สารถีขี่ขับอาชาอาตม์โอ่โสภา
พันลึกสลอนฟ้อนทวน
๏ ทายธนูหอกง้าวงามขบวนพาชีเชิงชวน
ก็เชี่ยวในเชิงอาชา
๏ คล่ำคล่ำส่ำบทพลากำยำกำยา
บย่อประยุทธ์อยู่คง
๏ อะเคื้อเสื้อผ้าอ่าทรงอาวุธธำรง
ทำลายริปูปลดเปลือง
๏ หลายเหล่าเข้ากันบรรเทืองทิวแถวแนวเนือง
นิกรอันแกล้วกลางณรงค์
๏ คล่ำคล่ำส่ำรถอลง-กตแก้วกำกง
ประกอบกนกแนมงอน
๏ ริ้วริ้วทิวธงสลอนลิ่วลิ่วเล็งงอน
ก็เงื้องสง่าโง้งงาม
๏ ครึกครื้นตื่นไพรไต่ตามพ้นพนาราม
บรรลุ ณ แฟล่งพลหินท์
๏ ทวยเท้าเฝ้าบาทธิบดิน-ทรเอกองค์อิล
อำรุงพิธีพลีกรรม์ ฯ
             

๒๑

สุรางคนางค์ ๒๘
๏ ณ คราวประกอบ
พิธีก็ชอบมโนอนันต์
นิกรนราทิชาจรัล
ณ ฐานอันกระทำพิธี
๏ ก็สับก็สน
ปะป่วนปะปนสถลวิถี
นำหลานและบุตรบุรุษสตรี
กะจอกกะจีสนั่นสำเนียง
๏ สนุกสนาน
พินิจสะคราญระบำจำเรียง
สนิทสำนานผสานสำเนียง
ก็พริ้งเพราะเพรียงจะเผลอจะเพลิน
๏ ละผู้ละคน
ประไพพิมลคละคล่ำดำเนิน
ก็แซงก็แทรกผิแขกเผชิญ
มิก้ำมิเกินมิก่อมิกวน
๏ ธชีทิชา
ลุทักษิณาอเนกคำนวณ
และอิ่มและหนำพระทำก็ควร
ประมาณประมวลก็มากอนันต์
             

๒๒

ฉบัง ๑๖
๏ ปางถ้วนปฏิทินถึงวันบรรจวบขวบขัน
อีศวพ่าห์มาเมือง
๏ คืนสู่มาฬกมลังเมลืองนักสิทธ์วิทย์เรือง
ก็รับก็รองปรองใจ
๏ จำเริญวรเวทตรัสไตรตรีวารล่วงไป
ก็ปลงชีวาพาชี
๏ แล่เนื้อนำเครื่องในพลียางเหนืออัคนี
สังเวยศิวาสาทร
๏ โหมเพลิงเริงโรจน์อัมพรพากกลิ่นกำจร
จรูงสวรรค์กรรหาย
๏ ฉิวฉิวชื่นหวนอวลอายรสกล้ากำจาย
ก็เจื่อนกระเจิงจักรพาล
๏ ท้าวทรงมูรธาภิเษกสนานพราหมณ์พฤฒาจารย์
ก็เจิมด้วยจุรณจวงจันทร์
๏ ถวายโสมทรงเสพเสริมขวัญมิ่งมงคลอัน
พิพัฒน์พิพิธสิทธิชัย
             

๒๓

มาณวกฉันท์
๏ ปางศิวเจ้าเนา ณ พิมาน
บรรพตศานต์โสภณไกร
๏ ลาสรโหโอ่หฤทัย
ทราบมนในกิจพิธี
๏ ทวย ธ กระทำกรรมพิเศษ
อัศวเมธปูชยพลี
๏ เคลื่อนวรองค์ลงปฐพี
สู่พระพิธีสาทรกรรม
๏ พอพระหทัยในวรกิจ
อามิสคิดอัน ธ กระทำ
๏ ท้าว ธ ประนอมออมกุธอำ
นวพรคำควรจะประสงค์
๏ เอออิลราชปราศทุรการณ์
เราก็ประทานโทษกะองค์
๏ แต่ขณะนี้มีสิริทรง
รูปและคงเดิมบมิกลาย
๏ กล่าวพรสิทธิ์อิศวรางค์
เหิน ณ นภางค์โฉมพระก็หาย
๏ เหิมหฤหรรษ์พลันมึนิผาย
องค์อิลวายทุกขระทม
๏ ลาพุธเข้าเนาพระนคร
คืนดุจก่อนกาลนิยม
๏ ราษำร์ก็เกษมเปรมสุขรมย์
เริงมนชมโพธิสุภาร
๏ ท้าว ธ รำพึงถึงวรองค์
โอสรทรงนามขนาน
๏ คือสสพินทุ์ปิ่นพระกุมาร
ควรจะประทานรัฐธำรง
๏ รังอภิเษกเอกปิยบุตร
พงศพิสุทธิ์สืบสุรวงศ์
๏ รัชถวัลย์ทันพระประสงค์
มอบ ธ ธำรงรั้งพลหินท์ ฯ
             

๒๔

สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
๏ ครั้นเสร็จการอภิเษกองคสสพินทุ์
จอมราชบิดาจิน-ตนา
๏ ถึงหน่อพุธปุรุพรพิพิฒน์ชนมนา
ควรแก่พระราชาภิเษก
๏ จึ่งรังสฤษฏ์ปฏิฐานนครรุจิเรข
อวยแก่พระองค์เอกอุรส
๏ สองราชสองพระนครขจรพระกิติยศ
เดชาก็ปรากฏกระจาย
๏ ร่มรัฐราษฏร์อภิรมย์อุดมสุขสบาย
ผองภัยมิใกล้กรายประชา ฯ
             

๒๕

ฉบัง ๑๖
๏ ประพันธ์ฉันทพากย์พรรณนาอิลราชอิลา
ก็ลุดังจิตจงเพียร
๏ โดยฉบับบ่อเกิดรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์เธียร
ธิราช ธ เริ่มรังสรรค์
๏ หลวงสารประเสริฐ(ผันสาลักษณ)ทรงธรรม์
ประสาทสกุลบิดร
๏ ข้าบาทบพิตรมหิศรสัตยาสาทร
ภักดีต่อใต้บทมาลย์
๏ ใช่ปราชญ์อาจปรุงปรับสารเฉลิมเกียรติ์ภูบาล
ธิเบศวร์กษัตริย์ฉัตรชัย
๏ พระมงกุฏเกล้าเกศไทยที่หกรัชสมัย
มหิทธิเดโชผล
๏ พระคุณพระคือสายชลชื่นแช่มชมผล
พระชุบพระย้อมย่อมเย็น
๏ พระการุณภาพบำเพ็ญแผ่หล้าเล็งเห็น
ประจักษ์แก่จิตนิจกาล
๏ เดชะสุจริตไตรทวารจุ่งพลันบันดาล
ได้เสพแต่สรรพ์สวัสดี ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

[1]

[2]

[3]

[4]

[5]

[6]

เครื่องมือส่วนตัว