เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 195 เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 12:18
|
|
ทีนี้ มาถึงสาวน้อยเปปิตา เธอเขียนจดหมายถึงแม่ชีที่เลี้ยงดูเธอมา แต่ไม่ได้ส่ง กลับไปวางไว้ที่ฐานรูปปั้นในโบสถ์ จดหมายเขียนขึ้นในคืนสุดท้ายก่อนไปที่สะพาน เปปิตารู้สึกถึงความอ่อนแอ เหนื่อย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ในจดหมาย เธอสารภาพว่า เธอรู้สึกว่าโลกนี้ใหญ่เกินไปสำหรับเธอ กลัวว่าเธอจะไม่ดีพอ ไม่กล้าพอจะเผชิญโลก รู้สึกว่าเธอไม่มีเสียง ไม่มีตัวตนในสายตาใคร แต่ท่ามกลางความกลัวเหล่านั้น เปปิตาไม่ได้ฟูมฟายเอาแต่รำพันความทุกข์ เธอกลับบอกว่าเธออยากจะเข้มแข็ง อยากเป็นคนที่กล้าหาญ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อให้ชีวิตเธอมีความหมายขึ้น มากกว่าจะเอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ใจที่ไม่มีทางออก เปปิตาเขียนด้วยภาษาเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และจริงใจ ถ้อยคำนี้สื่อเข้าไปถึงหัวใจของดอนญามาเรีย มันเหมือนแสงสว่างยามเช้าฉายให้ตื่นขึ้นจากห้องนอนมืดสลัว เปลี่ยนมุมมองของหญิงผู้ไม่เคยนึกถึงใจใคร นอกจากตัวเอง ดอนญามาเรียได้สติขึ้นมาว่า ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่จมกับทุกข์ที่ลูกสาวไม่ตอบสนองความรักของแม่ ถ้าเธอหยุดเรียกร้อง เธอก็จะไม่ทุกข์อีก ความไม่รักของลูกสาวไม่ใช่ต้นเหตุ สาเหตุแท้จริงคือความต้องการของเธอเอง ที่เธอเข้าใจว่ามันคือความรัก ความรักที่แท้จริงจะไม่เรียกร้องใดๆจากใคร จดหมายของเปปิตา จึงไม่ใช่เพียงถ้อยคำจากเด็กรับใช้ธรรมดาๆ แต่มันคือแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ปลุกหัวใจอีกดวงหนึ่งให้ตื่นขึ้น เมื่อใจของดอนญามาเรียสงบจากสัจธรรมที่พบ ชีวิตเธอก็จบลง
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 196 เมื่อ 03 ธ.ค. 25, 10:46
|
|
ชีวิตที่สาม ชายหนุ่มชื่อเอสเตบัน เติบโตขึ้นมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พร้อมกับคู่แฝดชื่อมานูเอล ทั้งสองสนิทกันเป็นเนื้อเดียวกัน ถึงขั้นคิดภาษาที่สองคนเท่านั้นจะเข้าใจระหว่างกัน ความสัมพันธ์นี้แนบแน่นไม่ใช่อย่างพี่น้องที่สนิทสนม แต่เหมือนชีวิตเดียวกันในร่าง 2 ร่าง เมื่อมานูเอลเสียชีวิตเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตของเอสเตบันก็พังทลาย เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย หรือลุกขึ้นเรียกร้องอะไรจากใคร แต่เขากลายเป็นเงาล่องลอยโดยปราศจากร่าง สิ้นหวังทุกอย่างในชีวิต ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม จนพยายามฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่ถึงคราว ก็เลยรอดตายมาได้ ชีวิตของเอสเตบันเริ่มเจอแสงสว่างใหม่เมื่อพบกัปตันเรือผู้ชวนเขาออกทะเล สู่เส้นเดินทางใหม่ของชีวิต ตรงนี้เอง เขายอมรับชีวิตใหม่ เลิกจมกับชีวิตเก่า ตกลงจะออกเดินทางไปกับกัปตัน ก่อนจะออกทะเลในฐานะกลาสี เขาก้าวขึ้นสู่สะพานแขวน แม้หัวใจยังแตกสลายไม่ได้กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่เขาก็กล้าพอที่จะอยู่เผชิญกับวันพรุ่งนี้ แม้ว่าไม่รู้ว่ามันจะดีหรือร้าย เอสเตบันไปไม่ถึงสุดสะพาน ไม่มีโอกาสพบชีวิตใหม่กลางทะเล ไม่รู้ว่าอนาคตจะดีขึ้นหรือไม่ แต่ก่อนพบจุดจบ เขาค้นพบแล้วว่าความรักให้ทั้งทุกข์ที่สุดและสุขที่สุด เมื่ื่อมันจบลง เขาตัดสินใจถูกแล้วที่จะเดินต่อไปถึงวันพรุ่งนี้ แม้ว่าพรุ่งนี้ไม่มีวันมาถึงก็ตาม
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 197 เมื่อ 04 ธ.ค. 25, 11:57
|
|
คนที่สี่และห้ามาด้วยกัน คือชายสูงวัย มีชื่อว่า "ลุงปิโอ" กับเด็กชายตัวน้อยชื่อไฆเม (Jaime) ที่เขาเป็นผู้อุปการะ ลุงปิโอเคยเป็นผู้จัดการและที่ปรึกษาของนางละครสาวสวย แม่ของไฆเม ทุ่มเทความรักแบบครอบครองให้เธอเต็มที่ แต่จบลงด้วยความระทมทุกข์เมื่อถูกปฏิเสธ จนทำให้ต้องกลับมาทบทวนบทบาทตัวเองอีกครั้ง บัดนี้เขารับอุปการะลูกของเธอ เรียนรู้ที่จะมอบความรักให้อีกครั้งเพื่อไม่ให้ไฆเมมีชีวิตแบบแม่ เป็นการไถ่ตัวเองจากความผิดพลาดที่เคยทำ ส่วนไฆเมเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา สุขภาพอ่อนแอ เป็นผ้าขาวผืนเดียวในเรื่องที่ยังไม่มีรอยด่างจากอดีต เขาจากแม่มาอยู่กับลุง ปล่อยให้ลุงจูงไปสู่อนาคต ทั้งสองก้าวเดินบนสะพานแขวน ลุงปิโอจับมือเด็กน้อยไว้ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตด้วยกัน แต่ทั้งสองก็จบเพียงกลางสะพาน ไม่อาจเดินไปถึงปลายสะพานได้
ไวล์เดอร์กางชีวิตของตัวละครทั้งห้าคนออกมาให้เราดู ผ่านสายตาของบาทหลวงจูนิเปอร์ แต่เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบว่า พวกนี้ทำอะไรไว้ถึงมาตายพร้อมกัน เป็นเหตุบังเอิญ หรือพระเจ้าประสงค์อย่างใด เพียงแต่เขาให้บาทหลวงจูนิเปอร์ค้นพบว่า ในช่วงชีวิตระหว่างเกิดและตาย คนเหล่านี้มีสิ่งร่วมกันคือ "ความรัก" ในแบบต่างๆ และได้ประจักษ์ความจริงบางอย่างของชีวิตจาก "ความรัก" ที่ประสบมา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 198 เมื่อ 04 ธ.ค. 25, 12:48
|
|
ถ้าเทียบกับ "หลายชีวิต" ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ดิฉันเห็นว่านักเขียนไทยของเราหาคำตอบได้กระจ่างมากกว่า อ่านแล้วสมเหตุสมผลมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของเรือโดยสารล่มที่ลานเทในคืนพายุพัดหนัก ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งจมน้ำตาย พวกเขามาจากคนละทิศละทางแต่มาจบชีวิตพร้อมกันในที่เดียวกัน เมื่อศึกษาแต่ละชีวิต ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ให้คำตอบว่า "ความตายที่มาถึงแต่ละชีวิตนั้น บางชีวิตก็ได้รับในฐานะการลงโทษเมื่อกฎหมายทำอะไรเขาไม่ได้ อย่างเช่นชีวิตของไอ้ลอย มหาโจรระดับ sociopath บางชีวิตก็ได้รับในฐานะการปลดเปลิื้องจากทุกข์ทรมานทางกาย มิให้ยืดเยื้อต่อไป เช่นพระเสมผู้ก้าวเข้าสู่วิถีของพระอรหันต์ บางชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมแต่ว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างเศรษฐีนีสาวทองโปรย ก็จะได้จบความว่างเปล่าลงเสียที บางคนถ้าอยู่ต่อไปก็จะมีแต่ความสิ้นหวัง อย่างลินจงและลูกชายสมองพิการของเธอ เจ้าผลพระเอกตายเสียก่อนจะต้องยอมรับอย่างขมขื่นว่าควาามเป็นดาวลิเกยิ่งใหญ่จบสิ้นลงแล้ว ท่านชายเล็กถ้าไม่ตายในคราวนี้ก็ต้องหนีฐานันดรศักดิ์ที่เหมือนคำสาปประจำตัวต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด ฯลฯ" คำตอบนี้จะจริงหรือไม่จริงตามหลักศาสนาก็ตาม แต่นักเขียนก็มี "คำตอบ" ให้คนอ่านได้ขบคิดต่อไป ดิิฉันชอบเรื่องแบบนี้มากกว่าประเภทคนเขียนทิ้งท้ายไว้เหมือนไม่รู้คำตอบ ให้คนอ่านคิดเอาเอง อย่าง The Bridge of San Luis Rey แต่อย่างหลังนี้ เข้าข่าย Ambiguity ที่ฝรั่งชอบนักหนา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 199 เมื่อ 04 ธ.ค. 25, 13:21
|
|
ต่อไปจะเล่าถึงผลงานของพญายักษ์อีกตนหนึ่งในวงวรรณกรรมบทละคร คนนี้คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ น่าจะชอบมาก (และผู้สร้างละครเวทีของไทยอีกหลายท่านก็คงชอบ) จึงได้นำมาให้ศึกษาและทำละครเวทีให้คนไทยดูกัน ดิฉันเรียนงานของเขาจาก รศ.สดใส พันธุมโกมล ทั้งๆรักการสอนของอาจารย์มาก แต่ขอสารภาพบาปว่า ไม่เคยชอบนักเขียนใหญ่คนนี้เลยไม่ว่าเรื่องไหน ดังนั้นจะพยายามเล่าถึงงานของเขาโดยไม่เอาอคติส่วนตัวเข้าไปวัด ต้องออกตัวก่อนว่า อาจจะหลุดความเห็นส่วนตัวออกไปบ้าง แต่รับรองว่าไม่ใช่อคติเฉยๆ มีเหตุผลรองรับด้วย เขาคือ Tennessee Williams นักเขียนอเมริกันเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ ยืนบนแท่นกระทบไหล่ธอร์นตัน ไวล์เดอร์ได้อย่างสง่าผ่าเผย บทละครที่โด่งดังของเขามีหลายเรื่อง คือ The Glass Menagerie (1944) ทำละครเวทีของไทย ชื่อ "ตุ๊กตาแก้ว" A Streetcar Named Desire (1947) – ได้รางวัลพูลิตเซอร์สาขาบทละคร ทำละครเวทีไทยชื่อ "รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา" Cat on a Hot Tin Roof (1955) – ได้รางวัลพูลิตเซอร์เป็นครั้งที่ 2 ดัดแปลงเป็นละครไทยชื่อ เหมันต์สวาท แสดงที่โรงละครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต Suddenly, Last Summer (1958) Sweet Bird of Youth (1959) The Night of the Iguana (1961) ฮอลลีวู้ดนำบทละครหลายเรื่องไปเป็นภาพยนตร์ ได้ทั้งเงินและกล่อง คว้ารางวัลมาหลากหลาย คนไทยน่าจะคุ้นกับ "รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา" มากกว่าเรื่องอื่น จึงขอข้ามเรื่องนี้ไปก่อน เลือก Cat on a Hot Tin Roof มาเล่าแทน ถ้าใครอยากรู้เรื่อง "รถรางฯ" ช่วยโพสเข้ามาก็จะเล่าให้ฟังค่ะ ถ้าไม่มีก็จะข้ามไปถึงเรื่องอื่นๆ ชื่อ Cat on a Hot Tin Roof เป็นชื่อที่ผู้แต่งเข้าใจตั้งชื่อได้เก่งมาก ใครกวาดสายตาเห็นชื่อนี้เป็นต้องร้อง "หือ" กันออกมา แปลตรงตัวคือ "แมวบนหลังคาสังกะสีร้อนๆ" ใครเคยอยู่ในบ้านที่มุงหลังคาสังกะสีคงจะนึกออกว่ามันร้อนขนาดไหนในเวลากลางวัน แมวที่ขึ้นไปอยู่บนนั้น ลงมาไม่ได้ จะเดินไปบนหลังคาด้วยอาการอย่างไร ด้วยความรู้สึกแบบไหน นั่นคือสิ่งที่นางเอกเรื่องนี้ เปรียบเทียบกับตัวเอง
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
SILA
|
|
ความคิดเห็นที่ 200 เมื่อ 04 ธ.ค. 25, 15:19
|
|
หลายชีวิต ของคุณชาย เล่าชีวิตของแต่ละคนครบแต่ต้นจนจบวาระสุดท้ายไม่พอ ยังต่อถึงสภาพร่างหลังกู้ขึ้นมาจากน้ำ ทองโปรยที่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม และ ร่างของพรรณีที่สวยสะดุดตาหนุ่มชนบทที่มามุงดู บางคนหน้าแดงก่ำ บ้างซุบซิบหัวเราะกัน 'ร่างของพรรณียังก่อให้เกิดราคจริตและเป็นสาธารณะ แม้เมื่อพรรณีหมดลมปราณไปแล้ว' คุณชายจัดเต็มให้ไม่มียั้ง ไม่ค้างคาให้ ต้องมโนเติม ใครที่ได้อ่านแล้วเชื่อว่าย่อมเกิดธรรมสังเวชไม่น้อยก็มาก งานของปู่วิล ถูกใจคนดู, ถูกนำไปสร้างเป็นหนังต่อเนื่อง ผลงานชิ้นแรกในบ้านเรา น่าจะเป็น บทละครเวทีเรื่อง รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา ที่ถูกนำมาแสดงเป็นละครเวทีที่ม.ธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2515 โดยอ.มัทนี รัตนิน นักแสดงนำฝ่ายชาย ตัวร้าย(Marlon Brando ในหนัง) รับบทโดยนักศึกษานาม บุญญรักษ์ นิลวงศ์ ผู้เป็นเจ้าของเรื่องจากชีวิตจริงที่คุณเปี๊ยก โปสเตอร์ นำมาสร้างเป็นหนัง วัยอลวน อันโด่งดังระดับปรากฏการณ์
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 201 เมื่อ 05 ธ.ค. 25, 11:33
|
|
ก่อนจะเข้าเรื่อง Cat on a Hot Tin roof ขอเตือนล่วงหน้าว่า เรื่องนี้มีสิ่งที่นักวิชาการวรรณกรรมชื่นชอบกันมาก คือ Ambiguity หรือความคลุมเครือ ดังที่เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้าแล้วในกระทู้นี้ เพราะมันเปิดโอกาสให้เกิดรสชาติเผ็ดมันของการตีความและถกเถียงกันได้ไม่จำกีัด แต่อาจจะสร้างความหงุดหงิดให้คนอ่านที่อยากเห็นอะไรที่มันชัดๆ ไม่ใช่ว่าต้องทำการบ้านเองหลังจากนักเขียนจบเรื่องแบบไม่จบไปแล้ว ละครเล่าถึงครอบครัวพอลลิตต์ เศรษฐีชาวใต้เจ้าของไร่อ้อย ประกอบด้วยตัวหัวหน้าครอบครัววัย 65 เรียกกันว่า บิ๊ก แด็ดดี้ ภรรยาที่เรียกกันว่า บิ๊ก มาม่า กับลูกชาย 2 คนคือกูเปอร์และบริค สะใภ้อีก 2 คือเมย์ภรรยาของกูเปอร์ และแม็กกี้ภรรยาสาวสวยของบริค เช่นเดียวกับครอบครัวเศรษฐีที่รวยทั้งเงินและความแตกแยกภายในบ้าน ทุกคนรู้ว่าบิ๊ก แด็ดดี้ป่วยเป็นมะเร็ง และคงจะตายในอีกไม่ช้า คนเดียวที่ไม่รู้คือเจ้าตัวคนป่วยเอง เพราะถูกปิดบังให้เชื่อว่าตรวจสุขภาพแล้วยังแข็งแรงดี บิ๊ก มาม่าเองทั้งที่รู้ก็ยอมรับความจริงไม่ได้ จึงทำเป็นไม่รู้ ส่วนลูกชาย 2 คนมีปัญหาไปคนละแบบ กูเปอร์และเมย์คาดหวังกันว่า เขาจะได้รับสืบทอดมรดกของพ่อต่อไป จุดแข็งของทั้งคู่คือมีลูกไว้สืบตระกูลถึง 5 คน เป็นข้ออ้างให้พ่อเห็นชอบจะยกทรัพย์สินที่ดินให้ ส่วนบริคลูกชายที่เคยเป็นนักกีฬารูปหล่อของมหาวิทยาลัย ปล่อยตัวให้เป็นคนติดเหล้า ไม่มีอนาคต เพราะมีแผลลึกในใจ ทำให้เขารังเกียจภรรยาสาวสวยจนแยกตัวออกห่าง อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่แตะต้องกัน ส่วนแม็กกี้ก็พยายามไม่ละลดจะมีลูกกับเขาเพื่อสืบทอดตระกูลต่อไป วิลเลียมส์ผูกเงื่อนปมไว้มากพอจะทำให้คนอ่าน(และคนดู)เครียดตั้งแต่เริ่มเรื่อง เพราะทั้งเรื่องเต็มไปด้วยการโกหกปิดบังซ่อนเร้นในแบบต่างๆ ลูกเมียปิดบังซ่อนเร้นพ่อไม่ให้รู้ว่าพ่อจะตายในอีกไม่ช้า บริคกับแม็กกี้ซ่อนเร้นปมชีวิตไว้ไม่ให้พ่อแม่รู้ ในฐานะผัวเมีย ทั้งคู่ต่างก็มีความลับในความสัมพันธ์ที่ไม่ยอมรับกันตรงๆ และไม่ยอมรับกับพ่อแม่ เท่านี้ เหมือนจะทำให้คนอ่าน(และคนดู)ปวดเฮดยังไม่พอ วิลเลียมส์และผู้กำกับเพิ่มความปวดให้หนักขึ้นไปอีก เพราะละครเรื่องนี้ในต้นฉบับจริง และสคริปต์ที่ทำละครเวที กับทำหนังฮอลลีวู้ดในเวลาต่อมา มันเปลี่ยนจุดสำคัญของเรื่องไปคนละแบบ ดังนั้นคนดูหนังหรือละคร แต่ไม่ดูหนังสือ จะเห็นไปอย่าง ส่วนคนที่อ่านของจริงก็จะเข้าใจไปอีกอย่าง
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 202 เมื่อ 05 ธ.ค. 25, 11:55
|
|
ดูเรื่องนี้ครั้งแรก จากหนังที่ฮอลลีวู้ดให้ดาราสวยหล่อสุดขีดมาประชันกัน คือพอล นิวแมนและคุณย่าลิซ เทเลอร์ ตอนนั้นยังสาวสวยเซกซี่ บทที่ถูกปรับไปขัดล้างให้หมดจดไม่ระคายสังคม ทำให้คนดูมองเห็นแต่ว่า พอล นิวแมนที่รับบทบริค ช่างละม้ายพระเอกในละครทีวีไทยยุคเก่าที่แต่งงานแต่ในนามกับนางเอก แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาชิงชังรังเกียจภรรยา ทั้งๆเธอไม่ได้ทำความผิดสิ่งใดเลย เกลียดกันไปเกลียดกันมา แต่ในใจรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่คนดูก็ไม่รู้ ก่อนจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หนังเล่าพื้นหลังแบบหลวมๆว่า บริคมีเพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนอยู่คนหนึ่งชื่อ "สคิปเปอร์" แต่ต่อมาสคิปเปอร์ตายกะทันหัน ใครๆเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ความจริงคือฆ่าตัวตาย สาเหตุมาจากแม็กกี้ กับสคิปเปอร์มีเงื่อนงำบางอย่างระหว่างกัน แล้วสคิปเปอร์ก็ตาย หลังจากนั้นบริคก็เสียอกเสียใจจนกินเหล้าหัวปักหัวปำ กลายเป็นไอ้ขี้เหล้าหมดอนาคต ทุ่มเทความโกรธความเกลียดไปที่ภรรยาว่าเป็นสาเหตุ จนถึงฉากสุดท้าย ก็ใจอ่อนยอมทำท่าว่าจะคืนดีกับภรรยา ดูหนังแล้วก็ไม่อิน ว่าผู้ชายอะไร แค่เพื่อนฆ่าตัวตายกลับไปโทษเมียตัวเอง ราวกับเธอเป็นฝ่ายไปประหารเพื่อน เป็นผู้ชายอ่อนแอมากที่เสียอนาคตด้วยเหตุนี้ แล้วตอนท้ายก็คงจะคิดได้ว่าทำมากไป เลยใจอ่อนดีกับเมีย ดูแล้วก็ได้กลิ่นน้ำเน่าโชยมา จนไม่น่าเชื่อว่าบทละครจะได้รางวัลพูลิตเซอร์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41848
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
|
ความคิดเห็นที่ 203 เมื่อ วันนี้ เวลา 12:12
|
|
ในความเป็นจริง ตามบทแรกและบทแท้จริงที่เทนเนสซี วิลเลียมส์เขียนไว้ ปัญหาข้อนี้มีน้ำหนักน่าเห็นใจยิ่ง นอกเหนือจากการคาดหวังชิงดีชิงเด่นเอามรดก (คล้ายละครน้ำเน่าอีกมาก) ผู้เขียนใส่ความจริงที่โหดร้ายในยุคนั้นเอาไว้ในปัญหาของบริคและภรรยา นั่นคือ บริคและสคิปเปอร์เป็นชายรักชาย พฤติกรรมนี้เป็นเรื่องร้ายแรงในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เพ่ิ่งจะมาอ่อนแรงลงในช่วงครึ่งหลังนี่เอง เนื่องจากมีโทษหนักทั้งทางกฎหมายและสำคัญสุดคือทางศาสนา แม็กกี้สังเกตข้อนี้ ว่ามิตรภาพของสามีและเพื่อน 'ไม่ธรรมดา' นางก็เลยกล้าลุยกับหนุ่มสคิปเปอร์ตรงๆ แต่ฝ่ายนั้นพยายามปฏิเสธเสียงแข็งว่าเขาเป็นชายแท้ เพื่อพิสูจน์ความเป็นชายชาตรี เขาก็เลยทดลอง 'ปฏิบัติ' กับแม็กกี้ให้ดู แต่ล้มเหลว ความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้เขาฆ่าตัวตายในรูปของอุบัติเหตุ บริครู้ความจริงข้อนี้หลังจากเพื่อนตายไปแล้ว นี่ก็คือสาเหตุที่ืทำให้ดาวกีฬาหนุ่มของมหาวิทยาลัย หมดกะจิตกะใจกับชีวิต สูญเสียคนรักตัวจริง รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาเหตุ ก็เลยจมอยู่กับทุกข์จนกลายเป็นไอ้ขี้เหล้า ไร้อนาคต และมากที่สุดคือชิงชังรังเกียจภรรยาผู้เป็นต้นเหตุ วิลเลียมส์ผูกเรื่องให้ขมวดปมแน่นเข้าว่า แม็กกี้ก็พยายามที่จะให้สามีอยู่กินกับนางตามปกติให้ได้ นอกจากเป็นเพราะรักแล้ว ยังต้องการทายาทเอาไว้เป็นน้ำหนักให้คุณปู่บิ๊ก แด็ดดี้ยกมรดกให้สามี เพื่อตัวนางผู้กำเนิดมายากจน แต่ดิ้นรนจนมาเป็นสะใภ้เศรษฐี จะได้ไม่หล่นกลับไปคลุกฝุ่นอีกครั้งหากว่าทรัพย์สินที่ดินหลุดมือไปสู่กูเปอร์ พี่ชายของบริค นางก็กล้าทำแม้แต่ประกาศกับทุกคนว่า นางตั้งครรภ์แล้ว เพื่อให้พ่อผัวแม่ผัวดีใจ และทำคะแนนให้ขึ้นมาสูสีกับพี่ชายพี่สะใภ้สามี แล้วฉากสุดท้ายกลับมาอ้อนวอนสามีให้ช่วยบันดาลให้คำเท็จของนางกลายเป็นจริง เขาคนเดียวที่ช่วยได้ วิลเลียมส์เขียนลงไปในฉบับเดิมว่า บริคก็ยังเป็นไอ้ขี้เหล้าเมาหัวราน้ำ จมอยู่กับทุกข์ และปฏิเสธภรรยา นับเป็นตอนจบที่สมจริง แต่พอเรื่องนี้ถูกซื้อไปทำละครเวที อีเลีย คาซานผู้กำกับมือทอง มองออกว่าขืนปล่อยออกมาตรงตามต้นฉบับ ละครพับฐานม้วนกลับเข้าโรงแทบไม่ทันแน่ๆ คนดูไม่มีวันยอมรับ เจ๊งกันระเนนระนาดตั้งแต่ผู้กำกับ ดารา ไปจนคนเก็บฉาก เขาก็เลยต่อรองกับนักเขียนว่า ซ่อนเหอะ ไอ้ความจริงว่าบริคเป็นชายรักชาย ไม่มีใครเขายอมรับได้หรอก เราต้องเปลี่ยนใหม่ว่า บริคเป็นชายแท้ที่รักเพื่อนซึ่งก็เป็นชายแท้ด้วยกัน ประเภทเพื่อนร่วมสาบานอะไรทำนองนี้ เมื่อเมียเกิดทะเลาะกับเพื่อน เป็นสาเหตุนำไปสู่ความตายของเพื่อน บริคก็เลยโกรธเมียเอามากๆ แต่ตอนท้าย ก็ต้องเปลี่ยนอีกหน่อยนะ คือในละคร บริคก็ใจอ่อนยอมคืนดีกับเมีย ทิ้งท้ายให้เข้าใจว่าสองคนนี้ก็จะมีลูกด้วยกัน แล้วก็ได้รับมรดกสมใจ เพื่อให้คนดูละครกลับบ้านไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจว่าทุกอย่างจบลงคุ้มกับที่ลุ้นมา 2 ชม. เมื่อทำเป็นหนัง ก็ต้องดำเนินเรื่องแบบนี้ละ มันถึงจะได้เงิน ส่วนกล่องก็คงจะตามมาเอง คุณคิดว่าเทนเนสซี วิลเลียมส์จะทำอย่างไร รักษาอุดมการณ์ ยืนกรานเอาเนื้อเรื่องเดิมไว้ เก็บเข้าลิ้นชักยอมไม่ได้เงินสักสตางค์เดียว หรือยอมตามใจผู้กำกับแล้วได้เงินถุงเงินถังมาเต็มกระเป๋า ?
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|