เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 17
  พิมพ์  
อ่าน: 25557 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 150  เมื่อ 14 ส.ค. 25, 09:53

    เมื่อมาถึงวัย 60 ปี  เงินที่สะสมไว้ก็หมดไปจริงๆตามที่กะเอาไว้   ปัญหามีอย่างเดียวคือเขายังแข็งแรงดี   ไม่ตาย    วิลสันขายทรัพย์สินที่มีเพื่อต่อชีวิต   จนกระทั่งเงินส่วนนี้หมดเกลี้ยงไปอีก   เขาก็อาศัยเครดิตที่มีกู้ยืมเงินจากคนรู้จักบนเกาะเพื่อประทังชีวิต   ในเมื่อไม่มีเงินมาใช้หนี้   ก็ไม่มีใครให้ยืมเงินอีก   วิลสันจึงขังตัวเองอยู่ในบ้าน     จุดไฟเผาถ่านเพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมารมตัวเองให้ตาย  แต่ปรากฏว่าใจไม่แข็งพอจะยอมตายได้จริงๆ  เขาก็เลยรอดชีวิตมาได้ แต่ก๊าชทำลายสมองส่วนหนึ่งจนก่อให้เกิดอาการผิดปกติทางจิต แต่ก็ไม่ได้เสียสมดุลมากพอที่จะต้องเข้ารับการบำบัด
    วิลสันบัดนี้ไม่มีอะไรเหลือ  ต้องไปอาศัยอยู่ในโรงเก็บฟืนของเจ้าของที่ดิน   ทำงานเป็นลูกจ้างให้อาหารสัตว์ไปวันๆ   ผู้เล่าเรื่องเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวิลสันซุกกายอยู่หลังต้นไม้เหมือนสัตว์ที่ถูกล่า     หลังจากใช้ชีวิตลำบากลำบนได้หกปี เขาก็ถูกพบเป็นศพอยู่บนพื้นดิน  ใกล้กับหินชายฝั่งอันสวยงาม   ผู้เล่าเรื่องสันนิษฐานว่าวิลสันก็คงตายหลังจากเฝ้ามองทิวทัศน์องคาปรีที่ตรึงใจเขาตั้งแต่แรกจนวาระสุดท้าย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 151  เมื่อ 14 ส.ค. 25, 13:54

   เรื่องนี้ มอห์มตีแผ่ความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างไปคนละด้านกับตัวละครในเรื่องก่อนๆ    แต่เหมือนกันอยู่อย่าง คือตัวละครของเขามีชีวิตที่เราอาจพบเห็นได้ในสังคมทั่วไป   ถ้าเราจะสังเกตให้มากสักหน่อย  เป็นประเภท "ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว"
   ในโซเชียลมิเดีย เราอาจเคยผ่านสายตา ถึงเรื่องเป้าหมายในชีวิตของหนุ่มสาวบางคนว่า ถ้าเก็บเงินได้พอแล้วก็จะกลับบ้านเกิดเสียที  หรือถ้าเกษียณก็จะอำลาเมืองใหญ่    ไปทำสวนเล็กๆน้อยๆ ปลูกผักกินเอง  หรือ   ไปอยู่ดูแลพ่อแม่  หรือ ไปปลูกบ้านเล็กๆอยู่กลางธรรมชาติ
   ความฝันแบบนี้หาอ่านได้ไม่ยาก   ยิ่งชีวิตในเมืองใหญ่เป็นเรื่องเครียดและแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาก   คนที่ย่อมฝันถึงชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้นเป็นธรรมดา
   มอห์มมองเห็น แต่ไม่ได้เห็นเฉยๆ   เขามองไกลไปถึงปลายทางของคนเหล่านี้ด้วย  ด้วยคำถามระหว่างบรรทัดว่า
   " คุณแน่ใจหรือว่า ฝันที่เป็นจริงจะมีแต่ด้านดี   ไม่ใช่มีด้านร้ายแถมมาด้วย
   เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน  ยากที่มนุษย์จะลิขิตได้ด้วยตัวเอง"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 152  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 10:27

    จะว่าไป วิลสันไม่ใช่คนปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม   เขาเป็นคนวางแผนชีวิตล่วงหน้าเป็นขั้นเป็นตอน คือทำงานไปก่อนจนอายุ 35  สะสมเงินออมจนกะว่าพอใช้ไปจนบั้นปลายชีวิต  คือวางชีวิตไว้แค่ 60 ปี     ถ้าหากว่าไม่ตายก็ขอจบชีวิตด้วยน้ำมือตัวเอง   แปลว่าเขามีเวลา 25 ปีที่จะเสพความสุขจากชีวิตตามแบบที่เขาเลือก  ไม่ต้องทนทุกข์กับการทำงานหาเงินหน้าดำคร่ำเครียด แล้วตายไปโดยไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร
   คนเราย่อมมีสิทธิ์จะเลือกชีวิตตนเอง...ไม่ใช่หรือ?  
   มอห์มให้คำตอบด้วยการย้อนถามคนอ่าน  โดยหยิบยกชีวิตของวิลสันขึ้นมาแสดงให้เห็น
   ใช่ค่ะ วิลสันเลือกชีวิตตามแบบที่ตัวเองต้องการ   เขาเป็นชายตัวคนเดียว  ไม่มีลูกเมียเป็นห่วงผูกคอ  พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มี   เมื่อเลือกชีวิตสุขนิยมแบบนี้ก็ไม่มีใครมาเดือดร้อนกับเขา    เขาย่อมมีสิทธิ์จะอยู่ได้ตามแบบที่เขาต้องการ
   แต่...
   จริงหรือ ที่มนุษย์มีความสุขได้เต็มที่ โดยปราศจากความรับผิดชอบ
   จริงหรือ ที่มนุษย์สามารถสละความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพื่อดื่มด่ำกับความสุขและชีวิตเกียจคร้าน (ที่เขาใช้คำแทนว่า 'ชีวิตสบายๆ') ไปจนตลอดชีวิต  
   คำตอบ คือ ชีวิตคนไม่มีกรอบที่แน่นอน  ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบ หรือทลายออกไปนอกกรอบ   ก็ไม่มีหลักประกันทั้งนั้นว่าชีวิตจะเป็นไปอย่างที่ต้องการ
    การเลือกของวิลสันเป็นตัวอย่างของอันตรายจากการใช้ชีวิต "นอกกรอบ"  คือเขาทิ้งหมด  ไม่เอากรอบ 'มนุษย์ทำงาน' 'คนสร้างฐานะ' ' เรียน ทำงาน เกษียณ ใช้เงินบำนาญ ตาย' อย่างคนอื่นๆ  มาใช้กับตัวเอง   เขาแหกกรอบเดิมมาสร้างกรอบใหม่ตามใจตัวเอง  
   ' ออมเงิน  อยู่สบายๆ  ตายเมื่อ 60'
   แต่เขาก็พบว่า เมื่ออายุ 60 เข้าจริงๆ  เขาไม่ยักตาย   ที่วางแผนล่วงหน้าว่าจะฆ่าตัวตาย เอาเข้าจริงใจก็ไม่แข็งพอจะทำได้  จากนั้น เมื่อสิ้นเนื้อประดาตัว   ชีวิตเริ่มลำบาก  สวรรค์ของคาปรีก็กลายเป็นนรก  
    ในเมื่อเขาเอาความสบายในวัยชรามาใช้ล่วงหน้าเสียก่อนแล้วตั้งแต่อายุ 36-60  พอเลย 60 ไป ความลำบากก็เข้ามาแทน   ยิ่งลำบากหนักกว่าในวัยหนุ่มเสียอีกเพราะสุขภาพและสังขารไม่อำนวยให้อดทนได้มาก    เขาจึงใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างทุกข์ทรมาน จนตายไปอย่างไร้ความหมาย

   ขอหยุดพักตรงนี้ก่อนนะคะ  เผื่อท่านใดจะออกความเห็น
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 153  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 11:45

(ไม่ทราบ, สำเนียงที่ท่านมอห์มเล่าเรื่องเป็นแบบว่า สมเพช หรือ ธรรมสังเวช มองอย่างใจเป็นกลาง
เห็นคติธรรม)
 
           อายุ 35 สมัยท่านมอห์มที่อายุขัยชายบริติชอยู่ที่ 58 ปี นับว่า ไม่น้อยแล้ว ทำงานธนาคารด้วย น่าจะได้
พบปะสนทนาผู้คนหลายวัย ได้รับรู้การดำเนินชีวิต,การใช้เงินของลูกค้า จนประมาณการชีวิตทำงาน - เกษียณ
เป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายได้พอจนอายุ 60 (เกินอายุขัย) จึงเกษียณอย่างมั่นใจ แต่ก็เพราะเป็นความเคลิ้มฝันลืมโลก
ของคนกินบัว ที่ไม่รอบคอบคิดเผื่อ เช่น หากเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ต้องใช้จ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่, หากไม่ตายที่ 60
จะอยู่อย่างไร หรือจะมีวิธีทำให้ตายได้สำเร็จโดยไม่ทรมานอย่างไร ฯ
           ทั้งนี้ทั้งนั้นบวกลบแล้ว เขาก็ใช้ชีวิตสบายตามฝันได้ตั้ง 25 ปี ก่อนที่จะมีชีวิตทุกข์ทรมานอีก 6 ปี
โดยที่ช่วง 6 ปีนั้นเขาก็อาจจะไม่ได้รับรู้ทุกข์แบบเต็มร้อยเพราะอยู่อย่างมึนๆ จากภาวะสมองเสื่อมด้วยการรมควัน
นับว่ายังได้กำไรอยู่ 

           แคแรคเตอร์การใชัชีวิตสบายๆ ตามใจ ไม่ทำการงานที่คาปรีนี้ ข้อมูลว่า อ้างอิงถึง John Ellingham Brooks
คนรักแรกของท่านมอห์มสมัยเรียนที่ Heidelberg เมื่อปี 1890. หลังเกิดคดีประเวณีต้องห้ามของ Oscar Wilde
จนต้องโทษในปี 1895 เขาจึงหนีไปคาปรีและอาศัยอยู่ที่นั่นจนเสียชีวิต

Villa Torricella ณ คาปรี ที่รวมเซเลบศิลปิน, ไม่ระบุคนไหนเป็นใคร

https://isoladicapriportal.com/isola-di-capri-gotha-caprese-prima-della-guerra/


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 154  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 12:11

(ไม่ทราบ, สำเนียงที่ท่านมอห์มเล่าเรื่องเป็นแบบว่า สมเพช หรือ ธรรมสังเวช มองอย่างใจเป็นกลาง
เห็นคติธรรม)
   มอห์มนิยมเล่าเรื่องแบบกลางๆ ค่ะ  เหมือนถ่ายรูปมาให้เราดู แล้วให้สังเกตเอาเองว่าภาพนั้นตอบโจทย์อะไรบ้าง เขาไม่อธิบายเอง
   วิธีเล่าเรื่องของมอห์มพอจะเทียบได้กับภาพที่นำมาให้ดูข้างล่างนี้ค่ะ  เป็นภาพวาดโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส  Henri Gervex ชื่อภาพว่า Retour de bal หรือ After the Ball  แปลเป็นไทยว่า "หลังงานลีลาศ"
   เป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ในอิริยาบถต่างกัน   คนดูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ศิลปินผู้วาดแสดงให้รู้ว่าต้องมีเรื่องราวเบื้องหลังแน่ๆ   ผู้หญิงแต่งกายงามอย่างเพิ่งกลับจากงานลีลาศ  ผู้ชายก็แต่งกายแบบไปงานเช่นเดียวกัน   ห้องในภาพดูโอ่อ่าอย่างบ้านเศรษฐี    ผู้หญิงอยู่ในท่าซบหน้าบนโซฟา แขนข้างหนึ่งปิดหน้า    ผู้ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมอีกตัวหนึ่ง  ไหล่ค้อมลงมา ไม่ได้นั่งยืดอกผายไหล่ผึ่ง  สีหน้าเคร่งเครียด  ถอดถุงมือออกข้างหนึ่ง
  ศิลปินเสนอภาพแค่นี้  ที่เหลือให้คนดูจินตนาการเอาเอง    มอห์มก็ทำคล้ายกันคือเล่าเรื่องชีวิตของตัวละคร แล้วให้คนอ่านคิดเอาเอง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 155  เมื่อ 16 ส.ค. 25, 15:16

   มาขยายความ เผื่อใครไม่เข้าใจ
   ภาพวาดข้างบนนี้  ศิลปินไม่ได้เฉลย  คำตอบที่แท้จริงไม่มี    คนดูมีสิทธิ์ตีความจากชื่อ After the Ball ว่า
   - สามีภรรยากลับจากงานลีลาศ  เหนื่อยกันเต็มทีเพราะเต้นรำกันจนดึก  ภรรยาทิ้งตัวลงนอนคว่ำทั้งชุดหรู   สามีก็นั่งคอตก เพราะหมดแรงพอกัน
   - พ่อกับลูกสาวไปงานลีลาศหรูด้วยกัน    ลูกสาวเกิดผิดหวังหรือโกรธเรื่องอะไรสักอย่างในงาน  กลับมาถึงบ้านก็ลงนอนร้องไห้   พ่อเองก็หมดท่าไม่รู้จะปลอบอย่างไร
   - ผัวเมียทะเลาะกันในงาน  กลับมาถึงบ้านเมียก็เลยร้องไห้    ผัวก็สำนึกผิด แต่ยังไม่อยากจะปลอบ
    ทำนองเดียวกับเรื่องสั้นของมอห์ม  อาจมองได้หลายแง่มุม
    - คนเราถ้าวางแผนชีวิต   ควรจะมีแผนสำรองไว้ด้วยเผื่อแผนแรกผิดพลาดขึ้นมา
    - ถ้าได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ให้สมอยากแล้ว   ถึงผลท้ายสุดจะเลวร้ายยังไงก็ยังถือว่าคุ้มค่า
    - คนบางคนก็ประมาทกับชีวิต
    - ชีวิตเต็มไปด้วยการพลิกผัน จนไม่อาจคาดล่วงหน้าได้   แม้แผนที่วางไว้รอบคอบขนาดไหน ก็ไม่อาจเป็นหลักประกันว่าจะได้ผลดี
   
บันทึกการเข้า
Hally
อสุรผัด
*
ตอบ: 5


ความคิดเห็นที่ 156  เมื่อ 16 ส.ค. 25, 23:04

ขอขอบพระคุณอาจารย์ ที่นำเรื่องของท่านมอร์มมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
รู้สึกประหลาดใจจริง ๆ ที่เกือบทุกหลายเรื่องเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตยุคนี้ ถึงแม้ช่วงเวลาที่ท่านมอร์มเขียนเรื่องต่างๆ เหล่านั้น ห่างกันหลายสิบปี
เรื่องราวของมนุษย์ยุค AI ก็ยังมีสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน ความคิดต่อสถานการณ์นั้นๆ ส่วนตัวก็รู้สึกไม่ต่างกัน
เพียงแต่ จากที่อาจารย์กรุณาตีความ เรื่องท่านมอห์ม เหมือนเปิดมุมมองอีกด้านแทบจะ 180 องศาทีเดียวค่ะ

เรื่องล่าสุดกระทบใจมาก เพราะเป็นหนึ่งคนที่อยากเกษียณแล้ว..โดย scenario ว่าเงินหมดก่อนตายถือเป็น low likelyhood ไม่ค่อยจะคิดถึงเท่าไหร่
แต่จากเรืองนี้ อาจจะกลับมาทบทวนใหม่อีกรอบค่ะ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 157  เมื่อ 17 ส.ค. 25, 10:21

บรรยายความจากภาพบ้าง

Blossoms Fall (มุมขวาล่างช่อดอกไม้หล่นอยู่บนพิ้น)

      พ่อม่ายเดบิวต์ลูกสาวพาออกงาน Debutante แต่ไม่เป็นไปตามหวัง (ชายหนุ่มที่หมายปองไม่มองมา,
ชายหนุ่มดูมีทีท่าแต่ถูกสาวอื่นฉกไปในที่สุด, เกิดเหตุผิดพลาดน่าขายหน้าท่ามกลางผู้คน ฯ) กลับบ้านด้วย
ความผิดหวังอับอายทำลายข้าวของ นอนปิดหน้าน้ำตานอง
หรือ
      พ่อม่ายเมียตายพาสาวน้อยใสเมียแต่งคนใหม่เปิดตัวออกงาน เหตุการณ์กลับกลายเมื่อเธอไปพบกับโจทก์เก่า
คือคุณนายเมียหลวงที่แฉว่าเธอเคยเป็นสาวประจำสำนักที่สามีรับมาเป็นเมียเก็บ

My Fai[r]l Lady

       ศ.โฮลดิงส์ ทราบเรื่องที่ศ.ฮิกกินส์ประสบความสำเร็จในการแปลงร่างสำเนียงสาวค็อคนีย์ พาออกงานชั้นสูง
โดยที่ไม่มีใครจับได้ว่านางมาจากปากคลองตลาดขายดอกไม้ (ผู้เชี่ยวชาญด้านสำเนียงคนหนึ่งถึงกับลงความเห็นว่า
นางเป็นเจ้าหญิงฮังการี)
      เขาคิดตามรอย,ไปหาหญิงสาวจากย่านเดียวกันมาเทรนเข้มและพาออกงานบ้าง แต่คราวนี้เป็นเรื่อง เมื่อศ.คลาด
สายตา นางเผลอดื่มมากไปเกิดอาการมึนเมาจนโป๊ะแตก ออกกิริยาสำเนียงดั้งเดิมกลางงาน ศ.ต้องรีบลากตัวกลับฉับพลัน
แต่ก็ไม่ทันการณ์ กลับมาถึงนางฉวยช่อดอกไม้ในแจกันที่เตือนให้นางนึกถึงพื้นเพถิ่นที่ของนางโยนทิ้งพื้น


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 158  เมื่อ 17 ส.ค. 25, 10:50

  เร่ื่องช่อดอกไม้บนพื้น เป็นความฉลาดของศิลปินผู้วาด ที่สามารถหาปมเรื่องขึ้นมาได้อีก 1 ปม
  ดิฉันมองเห็นเหมือนกัน  แต่ลืมเอามาตีความในค.ห.ข้างบน  พอคุณหมอ SILA ตาไว ตีความได้ เลยขอหยิบมาพูดอีกที
  ขอให้สังเกตว่า ศิลปินสร้างช่อดอกไม้ขึ้นมาให้ก้ำกึ่งระหว่าง 
 1 ดอกไม้ในแจกันประดับห้อง 
 2  ช่อดอกไม้ของขวัญประเภทหนุ่มมอบให้สาว
 3  ช่อดอกไม้ประดับเสื้อ  ช่อยาวขนาดนี้มักประดับบนบ่า  ขอให้สังเกตว่าสีสันดอกไม้เป็นแบบเดียวกับสายดอกไม้ยาวๆบนชุดราตรีของหญิงสาว
  จึงตีความได้หลากหลาย
  1  ถ้าเป็นดอกไม้ประดับเสื้อ   หล่อนทิ้งตัวลงนอนคว่ำ ดอกไม้เลยหลุดกระเด็นตกบนพื้น
  2  ถ้าเป็นช่อดอกไม้ของกำนัล   หล่นกลีบกระจายอยู่บนพื้น แสดงว่าสาวเหวี่ยงลงมา
  3  ดอกไม้ในแจกัน   มองไม่เห็นว่าแจกันอยู่ไหน อาจจะอยู่นอกกรอบภาพ 
  ก็จุดจินตนาการให้โลดแล่นต่อไป    ถ้าเป็นข้อแรกก็ไม่น่าสนใจนัก   ถ้าเป็นข้อ 2 กับ 3 แสดงว่าน่าจะเกิดวิวาทกันขึ้นมาระหว่างชายหญิง    ผู้หญิงโกรธ ร้องไห้  ผูู้ชายก็นั่งคอตก ไม่รู้จะทำยังไงดี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 159  เมื่อ 17 ส.ค. 25, 10:59

   ตอบคุณ Hally
   ขอบคุณค่ะ    งานของนักเขียนดังๆ มีลักษณะร่วมกันคือเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังอ่านได้ค่ะ ไม่ตกยุคตกสมัย  เพราะเขาเน้นที่ความเป็นมนุษย์ ซึ่งยังไม่พ้นรักโลภโกรธหลง อยู่ดี ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
   เรื่องวางแผนอนาคต    นอกจากมีแผน 1  คือหาค่าใช้จ่ายให้พอสำหรับชีวิตเกษียณ (จะเกษียณตัวเองหรือหน่วยงานกำหนดให้เกษียณก็ตาม)  ควรมีแผน 2 สำรองไว้ด้วย  เช่นเงินที่มีอยู่ร่อยหรอจนหมดแล้วก็ยังไม่ตายสักที   ก็ควรจะมีบ้าน มีที่ดิน ห้องแถว หรือหุ้นให้ขายต่อ เพื่อดำเนินชีวิตต่อไปได้   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 160  เมื่อ 17 ส.ค. 25, 11:22

  เรื่องสั้นต่อไป คือ The letter  
  เป็นเหตุการณ์ย้อนหลังไปประมาณ พ.ศ. 2456  ตรงกับช่วงต้นรัชกาลที่ 6   เหตุเกิดขึ้นที่ประเทศมลายู  (ปัจจุบันคือมาเลย์เซีย) ซึ่งตอนนั้นเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร  
  ทนายความชาวอังกฤษได้รับให้ว่าความในคดีฆาตกรรม จากนายจ้างชื่อโรเบิร์ต ครอสบี  ชาวอังกฤษเจ้าของสวนยาง  ฐานะดี มีหน้ามีตาเป็นที่น่านับถือในสังคมที่นั่น   ภรรยาของเขา เลสลี ครอสบีตกเป็นจำเลยเพราะเธอยิงชาวอังกฤษอีกคนชื่อเจฟฟรีย์ แฮมมอนด์ตาย   เธอให้การว่าแฮมมอนด์มาหาเธอที่บ้านในตอนค่ำ เมื่อสามีเธอไม่อยู่   แล้วลวนลามถึงขั้นจะข่มขืนเธอ   เธอหวาดกลัวและตกใจ   ป้องกันตัวด้วยการคว้าปืนสามีมายิง   ปรากฏว่าเขาตาย   เธอต่อสู้คดีว่าเป็นการป้องกันตัว
   ในตอนแรกทนายความเองก็ไม่ได้วิตกกับเรื่องนี้  เพราะรูปการณ์มันเข้าข้างคุณนายพอสมควร   เธอเป็นสตรีผู้ดีอังกฤษ  นิ่มนวลแบบกุลสตรี  อยู่กินกับสามีมาอย่างราบรื่น  ไม่เคยมีชื่อเสียงเสียหาย   ส่วนคนตายเป็นอดีตนายทหารที่ใครๆก็รู้ว่าเจ้าชู้ปราดเปรียวเอาการ  
   แต่เหตุการณ์พลิกกลับตาลปัตร   เมื่อแฟนสาวชาวจีนของแฮมมอนด์ส่งหลักฐานสำคัญมาให้เขา  แลกกับเงินก้อนโตเพื่อปิดปาก
   จดหมายเขียนด้วยลายมือคุณนายเลสลี  นัดแฮมมอนด์ไปหาเธอในคืนนั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ส.ค. 25, 09:37 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 161  เมื่อ 18 ส.ค. 25, 08:43

  จดหมายฉบับนี้อาจพลิกผันคดีจากหน้ามือเป็นหลังมือ    คุณนายอาจถูกจำคุกข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา  ซึ่งเป็นเรื่องอื้อฉาว เสียหายร้ายแรงมากสำหรับสังคมอังกฤษ     ทนายความนำความไปปรึกษาโรเบิร์ต ครอสบีผู้สามี   เขาก็ตกลงจ่ายเงินก้อนมหึมาเพื่อปิดปาก  แม้ว่าแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวก็ตาม   
   เลสลี ครอสบีถูกนำตัวขึ้นศาล    คุณสมบัติของสตรีอังกฤษที่แช่มช้อย งดงามเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ชนะใจทั้งศาลและอัยการ   คำให้การของเธอฟังขึ้น  ไม่มีข้อสงสัยใดๆ   ศาลจึงตัดสินให้เธอพ้นโทษ  เห็นว่าเป็นการป้องกันตัวที่สมควรแก่เหตุแล้ว
   เลสลีกลับมาบ้านของทนายความ  ภรรยาทนายความจัดเตรียมต้อนรับให้เธอกับสามีพักผ่อนที่นี่ แทนที่จะต้องกลับไปทนอยู่ในบ้านเดิมที่เคยเกิดฆาตกรรม   แต่โรเบิร์ต ครอสบีปฏิเสธว่ามีงานต้องทำ  แล้วให้เธอไปส่งที่รถ  เขาส่งจดหมายที่ซื้อมาด้วยราคาหนึ่งหมื่นปอนด์ให้ภรรยา แทนคำพูดว่าเขารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว
  ด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง   เลสลีรับสารภาพกับทนายความว่า แท้จริงแล้ว เธอกับแฮมมอนด์เป็นชู้กันมาหลายปีแล้ว     เธอพบว่าเขาไปมีเมียชาวจีนอีกคน   จนห่างเหินเธอไป  เมื่อเธอคิดถึงเขาจนทนไม่ไหว  ขอร้องให้เขามาพบ   ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาตัดรอนเธออย่างไม่มีเยื่อใย  ข้อนี้เธอรู้สึกว่าถูกลบหลู่อย่างรุนแรง  แค้นจนไม่อาจทนได้    จึงยิงเขาตาย  
   เธอสารภาพความจริงกับทนายความ   
   มอห์มทิ้งท้ายให้คนอ่านคิดเอาเองว่า     โรเบิร์ตและเลสลีก็ยังดำเนินชีวิตในฐานะสามีภรรยาต่อไป  แต่ก็เป็นนรกบนดินสำหรับทั้งสองคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ส.ค. 25, 09:46 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 162  เมื่อ 18 ส.ค. 25, 08:56

    อ่านเรื่องย่อแล้วท่านผู้อ่านเรือนไทยคงรู้สึกว่า...หือ!  เรื่องแค่นี้น่ะหรือ  ดีตรงไหน     ดูๆแล้วก็เหมือนหนังฝรั่งเล็กๆ ที่ทำฉายทางทีวี   ว่าด้วยคดียิงกันตาย  นางเอกสาวหน้าตาท่าทางเรียบร้อยน่าสงสารถูกข้อหาฆ่าคนตาย   ทนายความช่วยให้พ้นผิดมาได้ เพราะเธอทำเพื่อป้องกันตัว   แล้วมาพลิกผันในช่วงท้ายเรื่อง  ทนายความผู้เป็นพระเอกของเรื่องพบความจริงว่าเธอตั้งใจฆ่าผู้ชายคนนั้นจริงๆ  จบแบบทนายความอ้ำอึ้ง ใบ้รับประทาน
    แต่ด้วยฝีมือของมอห์ม   เร่ื่องนี้คือโศกนาฏกรรมสมัยใหม่
    ถ้าเป็นโศกนาฏกรรมรุ่นเก่าอย่างของเชกสเปียร์หรือกวีในศตวรรษก่อนๆ    นางเอกฆ่าชู้รักตาย  ตัวเองก็ฆ่าตัวตายตามไป  หรือไม่ สามีนางเอกก็ฆ่านาง แล้วฆ่าตัวเองตามไปอีกที   ศพเกลื่อนเวที-ว่ายังงั้น
    แต่สำหรับมอห์ม เขาแสดงให้คนอ่านเห็นว่าโศกนาฏกรรมไม่ได้อยู่ที่ความตาย หรือคนตาย   แต่อยูู่ที่คนเป็น (คือคนที่ไม่ได้ตาย) และการที่ไม่ได้ตาย แต่ก็เหมือนตาย
     แฮมมอนด์ถูกยิงตาย ก็จบกันไป  แต่เลสลีและโรเบิร์ต สามีของเธอ  อยู่อย่างคนตายหลังจากนั้น จนตลอดชีวิต
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 163  เมื่อ 18 ส.ค. 25, 16:04

            เรื่องสั้นที่อ.คัดมา มักมีตัวละครนำหญิงที่ออกจะ "ร้ายๆ" ทั้งนั้น เรื่องล่าสุดนี้เข้าข่ายประมาณ
"แบบว่า" Femme Fatale หญิงงามกับความตาย ในเรื่องนี้ไม่ได้ร่วมมือหรือลวงชายชู้ฆ่าสามีแต่เป็นลงมือ
ฆ่าชายชู้ที่บังอาจ"นอกใจ"เอง แล้วเธอก็รับบทผู้เสียหายลอย(หน้า)นวลในวงสังคมต่อไป ไม่รู้สึกรู้สาสำนึก
            ส่วนสามีที่เมียมีชู้ (Cuckold) ตีบทนิ่งเงียบน่าจะเป็นสามีที่เชื่องหงอยอมรับสภาพอยู่อย่างหวาดๆ
กับฆาตกรต่อไป

Lana Turner - femme fatale ผู้โด่งดังในอดีตจากบทบาทใน film noir เรื่อง The Postman Always Rings Twice (1946)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41829

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 164  เมื่อ 20 ส.ค. 25, 10:32

   ใช่ค่ะ  Femme Fatale มาจากภาษาฝรั่งเศส  ออกเสียงว่า "ฟาม ฟะตัล" 
   คำแรกแปลว่าผู้หญิง  คำที่สองแปลว่า ร้ายแรงถึงตาย  อังกฤษยืมมาใช้ ออกเสียงว่า เฟมฟะทัล    ในวรรณคดีหมายถึงผู้หญิงที่ใช้เสน่ห์หรือพิษสงประจำตัว ก่อความวิบัติถึงตายให้ผู้ชาย     เฟมฟะทัลของเดิมมักถูกสร้างออกมาเป็นสาวสวยมีเสน่ห์ยั่วยวนให้ผู้ชายหลง  จนถูกหลอกใช้  ในที่สุดนางก็กำจัดเขาเสียไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง
   แต่ในเรื่องนี้    มอห์มทำให้คนอ่านเรียนรู้ว่าผู้หญิงที่ร้ายกาจในเนื้อแท้  ไม่จำเป็นต้องมีรูปลักษณ์ภายนอกสวย เซกซี่  มีจริต ก้าวร้าว จัดเจนโลก อย่างนางร้ายในหนัง   แต่เป็นสุภาพสตรีวัยสามสิบต้นๆ  อ่อนโยน เรียบร้อยละมุนละไม  ถูกต้องตามคำจำกัดความว่า "ผู้หญิงดี" ทุกอย่าง    แต่ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตกลับถูกเธอทำลาย  ทั้งตายจริงๆ และตายทั้งเป็น  โดยเธอไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
  วิธีเล่าของมอห์ม คือเล่าผ่านมุมมองของบุคคลภายนอก อันได้แก่จอยซ์ ทนายความที่ถูกว่าจ้างมาให้ช่วยคดีนี้    โรเบิร์ตเชื่อมั่นเกินร้อยว่าภรรยาเขาทำลงไปเพื่อป้องกันตัวและป้องกันเกียรติยศของเธอ     สังคมอังกฤษในมลายาเองก็พร้อมจะเข้าข้างคุณนายชาวอังกฤษ   แต่จอยซ์สะกิดใจบางอย่าง  ว่าถ้าคุณนายยิงเพียงนัดเดียว เขาก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเธอป้องกันตัว  แต่นี่เธอยิงถึง 6 นัด จนกระสุนหมดแม็ก   เขาก็เกิดสะดุดขึ้นมานิดหน่อย  แต่ไม่มากจนปฏิเสธคดีนี้
  ในที่สุดก็อย่างที่รู้ๆกัน คือจดหมายที่คุณนายเขียนเร่งเร้าให้แฮมมอนด์ผู้ตายมาพบเธอให้ได้ในคืนที่เกิดเหตุ  เป็นเหตุให้จอยซ์มองเห็นความไม่ชอบมาพากล     มอห์มทำให้เรารู้โดยไม่ต้องออกมาบอกตรงๆว่า ทนายอย่างจอยซ์ ถึงไม่ใช่คนเลว  แต่เขาก็เห็นแก่ประโยชน์ของลูกความ และอยากได้ชื่อเสียงว่าตัวเองทำคดีนี้ได้สำเร็จ  ลูกความพ้นผิด  มากกว่าเห็นแก่ "ความจริง" ว่าจริงๆแล้ว  แฮมมอนด์ผู้ตายไม่ได้เป็นคนร้าย  แต่เป็น "เหยื่อ" ของผู้หญิงที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าเธอเป็น "เหยื่อ" ต่างหาก
   จอยซ์บอกตัวเองว่า  จะหาความจริงเบื้องหลังไปทำไม  ในเมื่อแฮมมอนด์ก็ตายไปแล้ว   ต่อให้ขุดข้อเท็จจริงขึ้นมาได้ก็หาได้เป็นประโยชน์ต่อใครสักคนไม่     แต่การปิดบังข้อเท็จจริง ปล่อยความเท็จให้คนเชื่อว่าจริงต่างหาก มีผลดีต่อหลายคนมาก  เช่น ดีต่อความเข้าใจของสังคมชาวอังกฤษในมลายา ว่าพวกเขาเข้าใจถูกแล้ว     แฮมมอนด์เองมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ผิดกับคุณนายครอสบีผู้น่าสงสาร ผู้คนเห็นใจเธอมากในกรณีนี้
     ถ้าเธอพ้นผิดจริง  คนอื่นๆก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่า การตัดสินยุติิธรรมแล้ว   ผู้บริสุทธิ์พระเจ้าย่อมคุ้มครอง    นอกจากนี้ยังดีต่อคู่ผัวเมียที่จะได้ครองคู่กันต่อไปได้ตามปกติ   ดีต่อความเชื่อมั่นของโรเบิร์ตว่าภรรยาเขาบริิสุทธิ์  และที่สำคัญคือดีต่อชื่อเสียงของทนายความ ว่าเขาช่วยลูกความให้พ้นโทษคดีร้ายแรงได้สำเร็จ
    คือมัน"ดี"หลาย"ดี" เสียจนจอยซ์ไม่อยากจะทำลายสิ่งเหล่านี้ลงไป ด้วย "ความจริง" ที่ไม่ได้ทำให้ใครได้ดีขึ้นมา
    ข้อนี้ คือ "สาร" ที่มอห์มต้องการส่ื่อให้คนอ่านคิด ว่า  สังคมอื่นๆก็เป็นอย่างนี้หรือเปล่า    ถ้าความเท็จช่วยสร้างความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาได้กับผู้คนจำนวนมาก   เราควรจะแลกมันกับความจริงที่ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม
    ขอแยกซอย  ยกตัวอย่างหน่อยว่า  สมมุติว่าเรารู้ว่าบุคคลที่ดูน่าเคารพนับถือมากๆคนหนึ่ง มีเบื้องหลังที่สกปรกเละเทะ   แต่บุคคลนั้นได้ชื่อว่าประกอบคุณงามความดีให้สังคมมากมาย    ถ้าแฉเบื้องหลังของเขาออกมา  คนที่เคยได้ผลดีจากเขาก็จะเสียความรู้สึก   กุศลที่เคยทำร่วมกันก็จะไม่ทำอีก  พลอยทำให้คนจำนวนมากอดได้ประโยชน์ที่เคยได้ไปด้วย
    ถ้าอย่างนั้นจะพยายามกลบเกลื่อนปิดบังเอาไว้ดีไหม   เพื่อสังคมจะได้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น   แทนที่จะเอาความจริงที่ไม่มีใครอยากได้ยินออกมาเปิดเผยกันให้รู้?
    เห็นไหมคะ   เรื่องของมอห์มแม้ว่าเกิดมาเป็นร้อยปีแล้ว  แต่ข้อคิดที่เขาเสนอให้คนอ่านขบคิดกันเอง ก็ยังไม่ตกสมัยอยู่ดี
    นี่คือคุณสมบัติข้อหนึ่งของวรรณกรรมชั้นดีค่ะ 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 17
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 20 คำสั่ง