เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 9 10 [11]
  พิมพ์  
อ่าน: 8694 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41492

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 150  เมื่อ 14 ส.ค. 25, 09:53

    เมื่อมาถึงวัย 60 ปี  เงินที่สะสมไว้ก็หมดไปจริงๆตามที่กะเอาไว้   ปัญหามีอย่างเดียวคือเขายังแข็งแรงดี   ไม่ตาย    วิลสันขายทรัพย์สินที่มีเพื่อต่อชีวิต   จนกระทั่งเงินส่วนนี้หมดเกลี้ยงไปอีก   เขาก็อาศัยเครดิตที่มีกู้ยืมเงินจากคนรู้จักบนเกาะเพื่อประทังชีวิต   ในเมื่อไม่มีเงินมาใช้หนี้   ก็ไม่มีใครให้ยืมเงินอีก   วิลสันจึงขังตัวเองอยู่ในบ้าน     จุดไฟเผาถ่านเพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมารมตัวเองให้ตาย  แต่ปรากฏว่าใจไม่แข็งพอจะยอมตายได้จริงๆ  เขาก็เลยรอดชีวิตมาได้ แต่ก๊าชทำลายสมองส่วนหนึ่งจนก่อให้เกิดอาการผิดปกติทางจิต แต่ก็ไม่ได้เสียสมดุลมากพอที่จะต้องเข้ารับการบำบัด
    วิลสันบัดนี้ไม่มีอะไรเหลือ  ต้องไปอาศัยอยู่ในโรงเก็บฟืนของเจ้าของที่ดิน   ทำงานเป็นลูกจ้างให้อาหารสัตว์ไปวันๆ   ผู้เล่าเรื่องเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวิลสันซุกกายอยู่หลังต้นไม้เหมือนสัตว์ที่ถูกล่า     หลังจากใช้ชีวิตลำบากลำบนได้หกปี เขาก็ถูกพบเป็นศพอยู่บนพื้นดิน  ใกล้กับหินชายฝั่งอันสวยงาม   ผู้เล่าเรื่องสันนิษฐานว่าวิลสันก็คงตายหลังจากเฝ้ามองทิวทัศน์องคาปรีที่ตรึงใจเขาตั้งแต่แรกจนวาระสุดท้าย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41492

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 151  เมื่อ 14 ส.ค. 25, 13:54

   เรื่องนี้ มอห์มตีแผ่ความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างไปคนละด้านกับตัวละครในเรื่องก่อนๆ    แต่เหมือนกันอยู่อย่าง คือตัวละครของเขามีชีวิตที่เราอาจพบเห็นได้ในสังคมทั่วไป   ถ้าเราจะสังเกตให้มากสักหน่อย  เป็นประเภท "ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว"
   ในโซเชียลมิเดีย เราอาจเคยผ่านสายตา ถึงเรื่องเป้าหมายในชีวิตของหนุ่มสาวบางคนว่า ถ้าเก็บเงินได้พอแล้วก็จะกลับบ้านเกิดเสียที  หรือถ้าเกษียณก็จะอำลาเมืองใหญ่    ไปทำสวนเล็กๆน้อยๆ ปลูกผักกินเอง  หรือ   ไปอยู่ดูแลพ่อแม่  หรือ ไปปลูกบ้านเล็กๆอยู่กลางธรรมชาติ
   ความฝันแบบนี้หาอ่านได้ไม่ยาก   ยิ่งชีวิตในเมืองใหญ่เป็นเรื่องเครียดและแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาก   คนที่ย่อมฝันถึงชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้นเป็นธรรมดา
   มอห์มมองเห็น แต่ไม่ได้เห็นเฉยๆ   เขามองไกลไปถึงปลายทางของคนเหล่านี้ด้วย  ด้วยคำถามระหว่างบรรทัดว่า
   " คุณแน่ใจหรือว่า ฝันที่เป็นจริงจะมีแต่ด้านดี   ไม่ใช่มีด้านร้ายแถมมาด้วย
   เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน  ยากที่มนุษย์จะลิขิตได้ด้วยตัวเอง"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41492

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 152  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 10:27

    จะว่าไป วิลสันไม่ใช่คนปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม   เขาเป็นคนวางแผนชีวิตล่วงหน้าเป็นขั้นเป็นตอน คือทำงานไปก่อนจนอายุ 35  สะสมเงินออมจนกะว่าพอใช้ไปจนบั้นปลายชีวิต  คือวางชีวิตไว้แค่ 60 ปี     ถ้าหากว่าไม่ตายก็ขอจบชีวิตด้วยน้ำมือตัวเอง   แปลว่าเขามีเวลา 25 ปีที่จะเสพความสุขจากชีวิตตามแบบที่เขาเลือก  ไม่ต้องทนทุกข์กับการทำงานหาเงินหน้าดำคร่ำเครียด แล้วตายไปโดยไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร
   คนเราย่อมมีสิทธิ์จะเลือกชีวิตตนเอง...ไม่ใช่หรือ?  
   มอห์มให้คำตอบด้วยการย้อนถามคนอ่าน  โดยหยิบยกชีวิตของวิลสันขึ้นมาแสดงให้เห็น
   ใช่ค่ะ วิลสันเลือกชีวิตตามแบบที่ตัวเองต้องการ   เขาเป็นชายตัวคนเดียว  ไม่มีลูกเมียเป็นห่วงผูกคอ  พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มี   เมื่อเลือกชีวิตสุขนิยมแบบนี้ก็ไม่มีใครมาเดือดร้อนกับเขา    เขาย่อมมีสิทธิ์จะอยู่ได้ตามแบบที่เขาต้องการ
   แต่...
   จริงหรือ ที่มนุษย์มีความสุขได้เต็มที่ โดยปราศจากความรับผิดชอบ
   จริงหรือ ที่มนุษย์สามารถสละความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพื่อดื่มด่ำกับความสุขและชีวิตเกียจคร้าน (ที่เขาใช้คำแทนว่า 'ชีวิตสบายๆ') ไปจนตลอดชีวิต  
   คำตอบ คือ ชีวิตคนไม่มีกรอบที่แน่นอน  ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบ หรือทลายออกไปนอกกรอบ   ก็ไม่มีหลักประกันทั้งนั้นว่าชีวิตจะเป็นไปอย่างที่ต้องการ
    การเลือกของวิลสันเป็นตัวอย่างของอันตรายจากการใช้ชีวิต "นอกกรอบ"  คือเขาทิ้งหมด  ไม่เอากรอบ 'มนุษย์ทำงาน' 'คนสร้างฐานะ' ' เรียน ทำงาน เกษียณ ใช้เงินบำนาญ ตาย' อย่างคนอื่นๆ  มาใช้กับตัวเอง   เขาแหกกรอบเดิมมาสร้างกรอบใหม่ตามใจตัวเอง  
   ' ออมเงิน  อยู่สบายๆ  ตายเมื่อ 60'
   แต่เขาก็พบว่า เมื่ออายุ 60 เข้าจริงๆ  เขาไม่ยักตาย   ที่วางแผนล่วงหน้าว่าจะฆ่าตัวตาย เอาเข้าจริงใจก็ไม่แข็งพอจะทำได้  จากนั้น เมื่อสิ้นเนื้อประดาตัว   ชีวิตเริ่มลำบาก  สวรรค์ของคาปรีก็กลายเป็นนรก  
    ในเมื่อเขาเอาความสบายในวัยชรามาใช้ล่วงหน้าเสียก่อนแล้วตั้งแต่อายุ 36-60  พอเลย 60 ไป ความลำบากก็เข้ามาแทน   ยิ่งลำบากหนักกว่าในวัยหนุ่มเสียอีกเพราะสุขภาพและสังขารไม่อำนวยให้อดทนได้มาก    เขาจึงใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างทุกข์ทรมาน จนตายไปอย่างไร้ความหมาย

   ขอหยุดพักตรงนี้ก่อนนะคะ  เผื่อท่านใดจะออกความเห็น
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8463


ความคิดเห็นที่ 153  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 11:45

(ไม่ทราบ, สำเนียงที่ท่านมอห์มเล่าเรื่องเป็นแบบว่า สมเพช หรือ ธรรมสังเวช มองอย่างใจเป็นกลาง
เห็นคติธรรม)
 
           อายุ 35 สมัยท่านมอห์มที่อายุขัยชายบริติชอยู่ที่ 58 ปี นับว่า ไม่น้อยแล้ว ทำงานธนาคารด้วย น่าจะได้
พบปะสนทนาผู้คนหลายวัย ได้รับรู้การดำเนินชีวิต,การใช้เงินของลูกค้า จนประมาณการชีวิตทำงาน - เกษียณ
เป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายได้พอจนอายุ 60 (เกินอายุขัย) จึงเกษียณอย่างมั่นใจ แต่ก็เพราะเป็นความเคลิ้มฝันลืมโลก
ของคนกินบัว ที่ไม่รอบคอบคิดเผื่อ เช่น หากเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ต้องใช้จ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่, หากไม่ตายที่ 60
จะอยู่อย่างไร หรือจะมีวิธีทำให้ตายได้สำเร็จโดยไม่ทรมานอย่างไร ฯ
           ทั้งนี้ทั้งนั้นบวกลบแล้ว เขาก็ใช้ชีวิตสบายตามฝันได้ตั้ง 25 ปี ก่อนที่จะมีชีวิตทุกข์ทรมานอีก 6 ปี
โดยที่ช่วง 6 ปีนั้นเขาก็อาจจะไม่ได้รับรู้ทุกข์แบบเต็มร้อยเพราะอยู่อย่างมึนๆ จากภาวะสมองเสื่อมด้วยการรมควัน
นับว่ายังได้กำไรอยู่ 

           แคแรคเตอร์การใชัชีวิตสบายๆ ตามใจ ไม่ทำการงานที่คาปรีนี้ ข้อมูลว่า อ้างอิงถึง John Ellingham Brooks
คนรักแรกของท่านมอห์มสมัยเรียนที่ Heidelberg เมื่อปี 1890. หลังเกิดคดีประเวณีต้องห้ามของ Oscar Wilde
จนต้องโทษในปี 1895 เขาจึงหนีไปคาปรีและอาศัยอยู่ที่นั่นจนเสียชีวิต

Villa Torricella ณ คาปรี ที่รวมเซเลบศิลปิน, ไม่ระบุคนไหนเป็นใคร

https://isoladicapriportal.com/isola-di-capri-gotha-caprese-prima-della-guerra/


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41492

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 154  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 12:11

(ไม่ทราบ, สำเนียงที่ท่านมอห์มเล่าเรื่องเป็นแบบว่า สมเพช หรือ ธรรมสังเวช มองอย่างใจเป็นกลาง
เห็นคติธรรม)
   มอห์มนิยมเล่าเรื่องแบบกลางๆ ค่ะ  เหมือนถ่ายรูปมาให้เราดู แล้วให้สังเกตเอาเองว่าภาพนั้นตอบโจทย์อะไรบ้าง เขาไม่อธิบายเอง
   วิธีเล่าเรื่องของมอห์มพอจะเทียบได้กับภาพที่นำมาให้ดูข้างล่างนี้ค่ะ  เป็นภาพวาดโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส  Henri Gervex ชื่อภาพว่า Retour de bal หรือ After the Ball  แปลเป็นไทยว่า "หลังงานลีลาศ"
   เป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ในอิริยาบถต่างกัน   คนดูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ศิลปินผู้วาดแสดงให้รู้ว่าต้องมีเรื่องราวเบื้องหลังแน่ๆ   ผู้หญิงแต่งกายงามอย่างเพิ่งกลับจากงานลีลาศ  ผู้ชายก็แต่งกายแบบไปงานเช่นเดียวกัน   ห้องในภาพดูโอ่อ่าอย่างบ้านเศรษฐี    ผู้หญิงอยู่ในท่าซบหน้าบนโซฟา แขนข้างหนึ่งปิดหน้า    ผู้ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมอีกตัวหนึ่ง  ไหล่ค้อมลงมา ไม่ได้นั่งยืดอกผายไหล่ผึ่ง  สีหน้าเคร่งเครียด  ถอดถุงมือออกข้างหนึ่ง
  ศิลปินเสนอภาพแค่นี้  ที่เหลือให้คนดูจินตนาการเอาเอง    มอห์มก็ทำคล้ายกันคือเล่าเรื่องชีวิตของตัวละคร แล้วให้คนอ่านคิดเอาเอง


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.032 วินาที กับ 16 คำสั่ง