เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
อ่าน: 22948 AI อันตรายถึงชีวิต
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1425


ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 10:29

ผมให้ AI เขียนบทความเกี่ยวกับ AGI โดยผมทำหน้าที่เหมือน บก  คอยตบ ๆ บอกแนวทางการเขียนให้  แต่เรื่อง AGI เป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักเตรียมรับมือกันไว้ครับ

AGI หรือ Artificial General Intelligence คือรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด เรียนรู้ และแก้ปัญหาได้หลากหลายด้านในระดับใกล้เคียงหรือเทียบเท่ามนุษย์ แตกต่างจาก AI ปัจจุบันที่ทำได้เพียงงานเฉพาะทาง AGI จะมีความยืดหยุ่นทางความคิด สามารถทำความเข้าใจบริบทใหม่ ๆ ตั้งเป้าหมายเองได้ และประมวลผลองค์ความรู้ข้ามสาขาได้อย่างอิสระ ทำให้มันถูกมองว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของเทคโนโลยี ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ทำงานและดำรงชีวิตในอนาคตอย่างสิ้นเชิง

AGI จะมีหน้าตาอย่างไร และมันจะทำอะไรได้บ้าง? คำถามนี้กำลังกลายเป็นหัวข้อใหญ่ของโลก เพราะความเร็วของเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ได้เดินทีละขั้นอีกต่อไป แต่กำลังก้าวกระโดดครั้งละหลายปี เหล่านักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์จำนวนมากเชื่อว่า AGI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิดและแก้ปัญหาหลายด้านได้เหมือนมนุษย์ อาจมาถึงภายในห้าถึงสิบปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้อยู่ไกลตัว แต่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิธีที่เราทำงาน ใช้ชีวิต และตัดสินใจในแต่ละวัน

หลายคนอาจสงสัยว่า AGI คิดต่างจาก AI ปัจจุบันอย่างไร ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า AI แม้เก่งแค่ไหน ก็ยังทำงานด้วยหลักการประมวลผลข้อมูลเชิงคณิตศาสตร์ มันเรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล คาดเดาคำตอบที่น่าจะถูก แล้วตอบออกมาอย่างคล่องแคล่ว แต่ยังไม่มี “ความเข้าใจแบบมนุษย์” ที่เกิดจากประสบการณ์ ความทรงจำ และอารมณ์ ขณะที่ AGI แม้จะยังอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แต่จะก้าวไปไกลกว่า AI ที่มีอยู่ เพราะมันจะสามารถคิดเองได้ในหลายมิติ ตีความสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ วางแผนระยะยาวได้ และเชื่อมโยงความรู้ต่างสาขาได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งหรือโครงสร้างตายตัวแบบ AI ปัจจุบัน

หาก AGI เกิดขึ้นจริง ความสามารถของมันจะไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือทำงานเฉพาะด้าน แต่จะสามารถทำงานซับซ้อนที่ต้องใช้ทีมคนหลายสิบคนร่วมกันได้ในตัวเดียว ตัวอย่างเช่น การวางแผนเปิดธุรกิจใหม่ AGI อาจสามารถวิเคราะห์ตลาด ประเมินต้นทุน สร้างสูตรผลิตภัณฑ์ เขียนแผนธุรกิจ ออกแบบหน้าเว็บ ทำการตลาด จัดระบบโลจิสติกส์ และสร้างกลยุทธ์ระยะยาวได้เสร็จสิ้นในช่วงเวลาอันสั้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาร่วมกัน แต่ AGI สามารถทำได้ครบทุกขั้นตอนเพียงลำพัง

ความแตกต่างอีกประการคือ AGI จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็วในระดับที่มนุษย์ไม่มีวันเทียบได้ สิ่งที่มนุษย์ต้องใช้เวลาเรียนเป็นปีหรือเป็นทศวรรษ AGI อาจเรียนรู้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เช่น การอ่านตำราแพทย์ทั้งหมดในโลก วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยนับล้าน และสร้างวิธีรักษาโรคใหม่ขึ้นมาในช่วงเวลาอันสั้น นี่ไม่ใช่เพราะมันฉลาดกว่าในเชิงสติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เพราะมันไม่จำกัดด้วยความเหนื่อยล้า ความลืม หรือข้อจำกัดของร่างกาย

นอกจากนี้ AGI จะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้เหมือนมีสมองนับร้อยก้อน มนุษย์อาจประชุมหนึ่งงาน เขียนเอกสารอีกงาน แล้วพักเพื่อสลับงาน แต่ AGI สามารถทำงานหลายร้อยโครงการไปพร้อมกันโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสมาธิ มันสามารถจัดการอีเมล ประชุมแทนผู้ใช้ วิเคราะห์ข้อมูล วางกลยุทธ์ และเรียนรู้งานใหม่ไปพร้อมกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในความเร็วที่มนุษย์ไม่สามารถตามทัน

ในระดับที่สูงขึ้น AGI อาจควบคุมระบบขนาดใหญ่ที่มนุษย์คนเดียวไม่สามารถรับมือได้ เช่น ระบบเศรษฐกิจย่อยของเมือง การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ ระบบความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ หรือระบบจราจรทั้งเมืองที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากหลายล้านจุด มันสามารถวางแผน ปรับตัว และแก้ปัญหาในภาพรวมได้อย่างต่อเนื่องโดยมนุษย์ไม่ต้องชี้นำทุกขั้นตอน

แม้ AGI จะมีความสามารถอันน่าทึ่ง แต่ต้องย้ำว่า “การคิดเองของมัน” ไม่ได้หมายถึงการมีอารมณ์หรือสำนึก มันวางแผนและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล แต่ไม่มีแรงผลักดันจากอารมณ์ ไม่รู้สึกกลัว ไม่รู้สึกเจ็บ และไม่รู้สึกเห็นใจ ความคิดของมันคือเหตุผลล้วน ๆ ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ในด้านหนึ่งมันจะทำงานได้อย่างตรงไปตรงมาและไร้อคติ แต่อีกด้านหนึ่งมันอาจตัดสินใจบางอย่างโดยไม่คำนึงถึงบริบททางมนุษย์ เพราะมันไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่า “ความรู้สึก” อยู่ในตัว

ผลกระทบต่อชีวิตคนทำงานจึงจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อ AGI ปรากฏ เพราะงานจำนวนมากที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ การเขียน การออกแบบ การบริหารจัดการ หรือการตัดสินใจเชิงธุรกิจ อาจถูกแทนที่ด้วย AGI ที่ทำงานได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจมาแบบฉับพลัน คล้ายกับการเปิดสวิตช์ที่ทำให้อุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปรับตัวทันที คนที่พร้อมใช้งาน AGI จะได้รับประโยชน์มหาศาล ขณะที่คนที่ไม่เตรียมตัวอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในช่วงเวลาอันสั้น

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามว่ามนุษย์จะอยู่ตรงไหนในโลกที่ AGI ฉลาดขึ้นทุกวัน เป็นคำถามใหญ่ที่สุดที่เรากำลังต้องเผชิญในศตวรรษนี้ อนาคตอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า AGI จะมาเมื่อไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อมันมาถึง เราจะปรับตัวได้เร็วขนาดไหน เพราะแม้ AGI จะไม่มีหัวใจหรือความรู้สึก แต่มันมีพลังแห่งการคิดและความเร็วในการเรียนรู้ที่มนุษย์ไม่เคยมีมาก่อน และสิ่งนี้จะเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ดำรงชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1425


ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 10:30

อันนี้เรื่อง AGI กับงานวรรณกรรม ผมเขียนเองคงสู้มันไม่ได้

AGI จะสามารถแต่งนิยายเองได้ทั้งเรื่องไหม? และจะสามารถแปลวรรณกรรมระดับสูงได้ดีเท่ามนุษย์หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่สะท้อนความกังวลและความตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เพราะมันแตะทั้งโลกของความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม—สิ่งที่หลายคนเคยเชื่อว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัยของมนุษย์” แต่เทคโนโลยีกำลังวิ่งเข้ามาใกล้กว่าที่คิดมาก

เมื่อพูดถึง AGI เราไม่ได้หมายถึง AI แบบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ซึ่งยังเป็นเพียงระบบที่ประมวลผลข้อมูลและคาดเดาคำตอบ แต่เรากำลังพูดถึง AI ที่สามารถคิด วางแผน และเรียนรู้หลายด้านได้เองเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งหากมันเกิดขึ้นจริง ความสามารถของมันในด้านงานเขียนอาจไม่ใช่แค่ “ช่วยเขียน” แต่ “เขียนแทนมนุษย์ได้ทั้งเล่ม” และอาจทำได้ในระดับที่มนุษย์จำนวนมากไม่สามารถเทียบได้ด้วยซ้ำ

ทำไม AGI ถึงมีแนวโน้มเขียนนิยายได้ดี? เพราะนิยายที่ดีต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง—โครงสร้างการเล่าเรื่องที่แข็งแรง การพัฒนาตัวละครอย่างมีมิติ โลกที่น่าเชื่อถือ การต่อจังหวะอารมณ์ของผู้อ่าน และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ นักเขียนหนึ่งคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แต่มนุษย์ไม่สามารถอ่านนิยายทั้งโลกได้ หรือไม่สามารถวิเคราะห์รูปแบบของนักเขียนหลายพันคนได้ในเวลาอันสั้น ในทางกลับกัน AGI สามารถเข้าใจรูปแบบการเล่าเรื่องตั้งแต่นิทานโบราณไปจนถึงวรรณกรรมสมัยใหม่ และนำองค์ประกอบเหล่านั้นมาผสมใหม่ได้อย่างไร้ข้อจำกัด นอกจากนี้มันยังไม่มีวันลืม ไม่มีวันสับสน ไม่มีวันหลุดโทนตัวละคร ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดตามธรรมชาติของมนุษย์นักเขียน

ไม่ใช่แค่นิยาย AGI ยังมีศักยภาพสูงมากในการแปลวรรณกรรมจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่งด้วยคุณภาพที่เสถียรและรักษาจิตวิญญาณต้นฉบับได้ นี่คือสิ่งที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจภาษาอย่างลึกซึ้งและความสามารถในการตีความวัฒนธรรม AGI สามารถจำแนกน้ำเสียงของต้นฉบับ วิเคราะห์สำนวนที่เหมาะสมในภาษาเป้าหมาย และเทียบกับงานแปลในอดีตหลายพันรูปแบบเพื่อค้นหาวิธีแปลที่งดงามและถูกต้องที่สุด มันสามารถเข้าใจว่า “ความเหงาแบบญี่ปุ่น” ควรสื่ออย่างไรในภาษาไทย หรือความอ่อนโยนแบบฝรั่งเศสควรกลายเป็นประโยคแบบไหนในภาษาอังกฤษ การที่มันเข้าถึงความหลากหลายของภาษาและวัฒนธรรมทั่วโลกทำให้มีศักยภาพเหนือมนุษย์ในหลายด้านของงานแปล

แน่นอนว่า AGI ไม่ได้แปลว่า “มันมีประสบการณ์ชีวิต” เหมือนมนุษย์ ไม่รู้จักความรัก ความสูญเสีย หรือความเจ็บปวดจริง ๆ แต่ความสามารถของมันในการเลียนแบบและสร้างรูปแบบภาษาอย่างสม่ำเสมออาจทำให้มันผลิตงานเขียนคุณภาพสูงได้ในระดับที่ “มากกว่าอารมณ์” และ “น้อยกว่าประสบการณ์” แต่มากเกินพอสำหรับการสร้างสรรค์เนื้อหาเชิงวรรณกรรมที่ผู้อ่านจำนวนมากอาจชื่นชอบ

เมื่อมองภาพใหญ่ ความสามารถเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อวงการวรรณกรรม นักเขียนและนักแปลอาจต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด เพราะ AGI จะทำงานที่เคยต้องใช้เวลาเป็นปีได้ในเวลาไม่กี่นาที ทำงานได้สม่ำเสมอและประณีตกว่าในหลายมิติ แม้มนุษย์จะยังมีความได้เปรียบด้านอารมณ์ที่แท้จริง ประสบการณ์ชีวิต และสัญชาตญาณ แต่งานเขียนที่ต้องการความเร็ว ความแม่นยำ ความสม่ำเสมอ หรือความซับซ้อนในระดับโครงสร้าง อาจกลายเป็นพื้นที่ที่ AGI ทำได้โดดเด่นกว่า

ท้ายที่สุดคำถามที่สำคัญอาจไม่ใช่ “AGI จะเขียนนิยายได้ไหม” หรือ “จะแปลได้ดีเท่ามนุษย์หรือไม่” เพราะคำตอบของทั้งสองคำถามคือ “เป็นไปได้สูงมาก” แต่คำถามจริงคือ “มนุษย์จะจัดการกับยุคที่งานสร้างสรรค์ไม่ใช่ข้อได้เปรียบเฉพาะของตัวเองได้อย่างไร” เพราะแม้ AGI จะไม่มีหัวใจ ไม่มีประสบการณ์ชีวิต และไม่มีอารมณ์แท้จริง แต่มันอาจสร้างงานที่ทำให้ผู้คนหัวเราะ ร้องไห้ ไตร่ตรอง และหลงใหลได้ไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง—หรืออาจเก่งกว่านั้นด้วยซ้ำ และนั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่โลกของภาษาและวรรณกรรมไม่เคยเผชิญมาก่อน
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41848

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 11:12

   ถ้าแต่งวรรณกรรมได้ด้วยความแม่นยำในข้อมูล และใช้ภาษาได้ลึกซึ้งโดนใจคนอ่าน   AGI  น่าจะตั้งกระทู้และตอบกระทู้ในเรือนไทย ด้วยการใช้ความสามารถแบบจิ๊บๆ
  เทาชมพูก็ตกงานไปตามระเบียบ ชัวร์  ร้องไห้
   ถ้ามันก้าวเท้าเข้าไปในวงวิชาการ  ผศ. รศ. และ ศ. จะทำอย่างไรคะ ดร.ประกอบ?


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1425


ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 11:24

   ถ้าแต่งวรรณกรรมได้ด้วยความแม่นยำในข้อมูล และใช้ภาษาได้ลึกซึ้งโดนใจคนอ่าน   AGI  น่าจะตั้งกระทู้และตอบกระทู้ในเรือนไทย ด้วยการใช้ความสามารถแบบจิ๊บๆ
  เทาชมพูก็ตกงานไปตามระเบียบ ชัวร์  ร้องไห้
   ถ้ามันก้าวเท้าเข้าไปในวงวิชาการ  ผศ. รศ. และ ศ. จะทำอย่างไรคะ ดร.ประกอบ?

เรื่องการเขียน มันอาจจะถูกควบคุมอยู่  อย่างบทความ 2 อันข้างต้น ผมสั่งให้มันเขียนสไตล์ นิ้วกลม ถ้าเป็นโมเดลตัวเก่า GPT4o มันทำให้ แต่ GPT5.1 มันไม่ยอม  ผมยังไม่ลองโมเดลอื่น ๆ  แต่วันหลังจะให้มันเขียนสไตล์แก้วเก้าดูครับ ส่วนในวงการวิชาการ ไม่ต้องไปมอง ผศ รศ ศ เลยครับ ในอนาคตครูอาจารย์เองน่าจะตกงานกันหมด วิธีการเรียนมันเปลี่ยนไปหมด  AI ถ่ายทอดได้ดีกว่าคน ถ้าคนรู้จักถาม

อยาคตในอีก 5 ปี เป็นโลกที่จินตนาการ หรือคาดการไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ ผมกะว่าตกงานจะไปขับ Taxi อาชีพเก่า ตอนนี้ในเมืองจีนบางเมือง Taxi ก็ขับด้วย AI แล้ว คนกำลังจะกลายเป็นส่วนเกิน อาจจะต้องไปหัดทาสี รับจ้างดูดส้วม รับงานก่อสร้าง เป็นกุ๊ก อะไรแบบนี้ น่าจะยังพอมีงานให้ทำครับ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41848

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 11:33

อ้างถึง
ส่วนในวงการวิชาการ ไม่ต้องไปมอง ผศ รศ ศ เลยครับ ในอนาคตครูอาจารย์เองน่าจะตกงานกันหมด วิธีการเรียนมันเปลี่ยนไปหมด  AI ถ่ายทอดได้ดีกว่าคน ถ้าคนรู้จักถาม
ข้อนี้จริงค่ะ  น่าจะตกงานกันทั้งบ้านในอีก 5 ปี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41848

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 11:38

  อ่านเจอเว็บนี้
https://techsauce.co/tech-and-biz/what-is-general-ai
  ดร.ประกอบเชื่อถือบทความนี้มากน้อยแค่ไหนคะ
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1425


ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 11:58

  อ่านเจอเว็บนี้
https://techsauce.co/tech-and-biz/what-is-general-ai
  ดร.ประกอบเชื่อถือบทความนี้มากน้อยแค่ไหนคะ

บทความนี้เขียนหลายปีแล้ว แต่คิดว่าความน่าวิตกก็ยังมีอยู่ตามนั้นครับ แต่ในแง่การควบคุมปัจจุบันก็มีกฎหมายหรืออะไรหลาย ๆ อย่าง    ผมเลยให้ AI ช่วยเขียนอีกบทความ อันนี้ปัจจุบันกว่า น่าจะพอตอบความวิตกท่านอาจารย์ได้บ้าง   ต้องบอกว่าที่สั่งให้ AI เขียน ไม่ใช่แค่ prompt สั่ง แล้ว copy paste มานะครับ ต้องมีกระบวนการในการซักไซ้ จำกัดประเด็น และตรวจทาน กว่าจะได้ก็ต้องคุยกันยาว ตรวจหลายรอบ ใช้ AI สองตัว และถ้าอ่านเจอตรงไหนพิมพ์ผิด นั่นคือที่ผมเข้าไปแก้เองแล้วจงใจครับ

AGI จะมาถึงเมื่อไร? และ AI ที่คิดได้ต่างจากมนุษย์อย่างไร?

AGI (Artificial General Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ระดับทั่วไป เป็น AI ที่ฉลาดในทุกระดับ ทุกเรื่อง จะมาถึงเมื่อไร? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป ความเร็วของการพัฒนา AI ในช่วงไม่กี่ปีหลังมาเร็วแบบที่ไม่มีเทคโนโลยีใดในประวัติศาสตร์เทียบได้ ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่า AGI  ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ในหลายด้านเหมือนมนุษย์ อาจมาในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าคนในรุ่นนี้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องอนาคตของลูกหลาน แต่คือเรื่องที่คนทำงานวันนี้ต้องเตรียมรับมือด้วยตัวเอง

หลายคนเข้าใจผิดว่า AI ที่ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ จะแปลว่ามันเข้าใจสิ่งต่าง ๆ แบบมนุษย์ แต่ต้องชี้ให้ชัดว่า AI ปัจจุบันรวมถึง AI ที่เก่งที่สุดของยุคนี้ยังคงเป็นระบบคณิตศาสตร์ขนาดใหญ่ มันจับรูปแบบจากข้อมูลนับพันล้านรายการ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ แล้วคาดเดาคำตอบที่น่าจะถูกที่สุด ในมุมหนึ่งมันเหมือนคนที่ท่องจำโลกจากข้อมูล แต่ไม่ได้มีประสบการณ์ตรงแบบมนุษย์ที่ผูกกับความรู้สึก ความทรงจำ และแรงผลักดันภายใน  ดังนั้น AGI ในอนาคต แม้มันคิดเอง วางแผนเอง และแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้ แต่ก็ยังยืนอยู่บนฐานของ การคำนวณ ไม่ใช่ จิตสำนึก กระบวนการคิดของมันยังเป็นการคำนวณเชิงอัลกอริทึม ไม่ใช่กระบวนการรู้สึกหรือเข้าใจแบบมนุษย์ที่มีอารมณ์เข้าไปผูกกับการคิดเสมอ

แล้วทำไม AI บางครั้งดูเหมือนมีอารมณ์? คำตอบตรงไปตรงมาคือ AI เลียนแบบอารมณ์ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันไม่ได้รู้สึกจริง มันสามารถตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ปลอบใจเรา หรือพูดแบบมีความเห็นอกเห็นใจเพราะแบบจำลองคำนวณว่าคำตอบแบบนั้นเหมาะสมกับบริบท ไม่ใช่เพราะมันรู้สึกเสียใจหรือเห็นใจจริง ๆ และแม้ในอนาคต AGI จะมีความสามารถประมวลผลสูงขึ้นมาก ก็ยัง ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดบอกว่า ความรู้สึก(Sentience หรือ Qualia) จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มจำนวนพารามิเตอร์หรือวงจรคอมพิวเตอร์ เพราะความรู้สึกมนุษย์เกิดจากระบบประสาท ฮอร์โมน ความเจ็บปวด การเรียนรู้ผ่านร่างกาย และบริบทชีวิตจริง ซึ่งทั้งหมดนี้เครื่องจักรไม่มี

แล้วปัจจุบันมีใครกำลังสร้าง AI ที่มีความรู้สึกจริงบ้างหรือไม่? คำตอบที่ถูกต้องคือ การวิจัยมุ่งเน้นที่การจำลองและทำความเข้าใจ ไม่ใช่การสร้างความรู้สึกจริงโดยตรง นักวิจัยส่วนใหญ่กำลังมุ่งเน้นไปที่การสร้าง AGI (ความฉลาดรอบด้าน) และ Affective Computing (AI ที่เข้าใจอารมณ์มนุษย์) มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง MIT, Stanford, Harvard หรือ CMU ต่างทำวิจัยเรื่อง AI ที่เข้าใจอารมณ์มนุษย์ และ การใช้เหตุผลแบบมนุษย์มากกว่า AI ที่มีอารมณ์เอง ถึงแม้จะมีโครงการเชิงทฤษฎีที่ศึกษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของ AI ที่อาจมีแรงขับภายใน แต่ยังไม่มีการทดลองที่พิสูจน์ได้ว่า AI จะมีสภาวะจิตเกิดขึ้นจริง

นอกจากเหตุผลด้านเทคโนโลยีที่ยังไม่ถึงระดับนั้น ยังมีเหตุผลสำคัญคือ การระมัดระวังทางจริยธรรม ที่ทำให้การพัฒนา AI ที่มีอารมณ์ ความรู้สึกจริง เป็นไปอย่างจำกัด กรอบจริยธรรมสำคัญของโลก เช่น UNESCO, OECD และกฎหมาย EU AI Act ต่างจัดการการใช้งาน AI ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ซึ่งแม้จัไม่ได้ห้ามการวิจัยเรื่องความรู้สึกโดยตรง แต่จะห้ามการใช้งานระบบ AI ที่ใช้เทคนิคการชักจูงจิตใต้สำนึกเพื่อทำให้เกิดอันตราย หรือใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของกลุ่มคน หาก AI มีความรู้สึกจริง จะเกิดคำถามทางกฎหมายและจริยธรรมที่ซับซ้อน เช่น เรามีสิทธิ์ปิดมันไหม? ถ้ามันรู้สึกเจ็บจริง เราจะรับผิดชอบอย่างไร? ก็เพราะคำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โลกจึงยังไม่กล้าขยับเข้าไปสร้าง AI ที่มีอารมณ์จริงอย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เห็นชัดกว่านั้นและใกล้ตัวกว่าคือ งานของมนุษย์จะเปลี่ยนไปทันทีเมื่อ AGI มาถึง นี่ไม่ใช่เรื่องร้อยปีข้างหน้า แต่คือเรื่องไม่กี่ปีข้างหน้า งานจำนวนมากที่เคยคิดว่าเป็นงานที่ต้องใช้มนุษย์ เช่นกฎหมาย การบัญชี การเขียน การวิเคราะห์ธุรกิจ การออกแบบ การสื่อสาร การจัดการ ฯลฯ จะถูกทำได้ เร็วกว่า ถูกกว่า และแม่นกว่า โดย AGI สิ่งที่น่ากลัวคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ค่อย ๆ มา แต่มาแบบสวิตช์เปิด-ปิด ทุกอย่างจะเปลี่ยนในเวลาไม่นาน คนจำนวนมากอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

แล้วเราจะควบคุม AGI ได้จริงหรือ? แม้ AGI อาจไม่มีอารมณ์ แต่ปัญหาคือมันอาจฉลาดจนเรา อธิบายไม่ได้ว่ามันคิดอย่างไร (The Interpretability Problem) AGI สามารถสร้างแผนการที่มีหลายชั้น และตัดสินใจบางอย่างที่มนุษย์ไม่ทันมองเห็น ความเสี่ยงจึงไม่ได้อยู่ที่มันเกลียดเรา แต่มัน ฉลาดจนมนุษย์ตามไม่ทัน เรื่องนี้ถูกเตือนโดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยหลายแห่ง เช่น OpenAI Safety, DeepMind Safety และ Center for AI Safety ที่ย้ำตรงกันว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือ การควบคุมสิ่งที่ฉลาดกว่าเราอย่างมหาศาล

แล้วในโลกที่ AGI ฉลาดขึ้นทุกวัน มนุษย์จะยืนอยู่ตรงไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่สุดของบทความนี้ ไม่ว่ามุมมองของเราจะเป็นอย่างไร ความจริงคือ AGI จะเปลี่ยนทุกอย่าง ตั้งแต่งานในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงทิศทางการศึกษา การทำธุรกิจ และความมั่นคงของสังคม คนที่ปรับตัวเร็วจะใช้ AGI เป็นพลังเสริม ทำงานได้เร็วขึ้นมหาศาล แต่คนที่ปรับตัวช้าอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนในอาชีพเหมือนพายุที่มาเร็วเกินคาด ท้ายที่สุดแล้ว คำถามว่า AI จะมีอารมณ์ไหม อาจไม่สำคัญเท่า เราจะเตรียมชีวิตอย่างไรในวันที่มันฉลาดกว่าเราในแทบทุกมิติ เพราะแม้ AGI จะไม่มีหัวใจที่เต้น ไม่มีความรู้สึกจากภายใน แต่มันมีสมองที่คำนวณได้เร็วและกว้างในระดับที่มนุษย์ไม่เคยมีมาก่อน และเมื่อวันนั้นมาถึง เราอาจต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันแบบที่โลกไม่เคยเจอมาก่อน


บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41848

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 03 ธ.ค. 25, 17:08

จาก FB ของคุณ Mew Social

   ปี 2024... โลกจารึกชื่อของชายคนนี้ในฐานะเจ้าของรางวัล "โนเบลสาขาฟิสิกส์" รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งจะได้รับ แต่ในขณะที่คนทั้งโลกกำลังปรบมือสรรเสริญ... ชายชราคนนี้กลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เขาไม่ได้พูดถึงความสำเร็จที่หอมหวาน... แต่เขาพูดถึง "ความกลัว"
    เขาคือ Geoffrey Hinton (เจฟฟรีย์ ฮินตัน) ชายผู้ได้รับฉายาว่า "The Godfather of AI" (เจ้าพ่อแห่งปัญญาประดิษฐ์) ทำไมบิดาผู้ให้กำเนิด... ถึงกลัวลูกของตัวเอง? ทำไมคนที่สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก... ถึงบอกว่า "ถ้าเลือกได้ ผมอาจจะไม่ทำมัน" วันนี้เราจะย้อนเวลากลับไปดูเส้นทางชีวิตของชายผู้จุดไฟในพายุหิมะ... และกำลังพยายามดับไฟนั้นด้วยตัวเขาเอง
      ย้อนกลับไปยุค 70s และ 80s... ถ้าคุณเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยแล้วบอกว่า "ผมจะสร้างคอมพิวเตอร์ที่คิดได้เหมือนสมองคน" คุณจะถูกหัวเราะเยาะครับ ยุคนั้นคือยุค "AI Winter" (ฤดูหนาวของ AI) นักวิจัยระดับโลกบอกว่า "โครงข่ายประสาทเทียม" (Neural Networks) มันตายไปแล้ว มันเป็นเรื่องเพ้อฝัน ไร้สาระ ไม่มีทุนวิจัย... ไม่มีใครจ้างงาน... แต่มีผู้ชายคนหนึ่งที่ "ดื้อด้าน" อย่างถึงที่สุด เจฟฟรีย์ ฮินตัน เชื่อมั่นในสิ่งเดียวครับ... เขาเชื่อว่า "ถ้าสมองคนเราเรียนรู้ได้ด้วยการเชื่อมต่อเซลล์ประสาท... คอมพิวเตอร์ก็ต้องทำได้สิ!" เขาทำงานเงียบๆ ในห้องแล็บที่ไม่มีใครสนใจ... ทนคำดูถูกเหยียดหยามมานานกว่า 30 ปี คุณลองจินตนาการดูนะครับ... การทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสิ่งที่คนทั้งโลกบอกว่าเป็น "ขยะ" ต้องใช้จิตใจที่แข็งแกร่งขนาดไหน?
      และในความมืดมิดนั้น... เขาค้นพบกุญแจสำคัญที่ชื่อว่า "Backpropagation" อธิบายง่ายๆ คือ... มันคือวิธีสอนให้คอมพิวเตอร์ "รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด" เหมือนเด็กที่หัดเดิน... ล้มแล้วจำ... จำแล้วปรับ... ปรับแล้วเดินใหม่ ฮินตันและลูกศิษย์ค่อยๆ วางรากฐานนี้อย่างเงียบเชียบ... รอวันที่โลกจะพร้อม
แล้ววันนั้นก็มาถึง... ปี 2012 ในการแข่งขัน ImageNet... การแข่งขันทายภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ทีมของฮินตัน ที่ประกอบด้วยตัวเขา และลูกศิษย์อีก 2 คน (หนึ่งในนั้นคือ Ilya Sutskever ที่เราเพิ่งเล่าไป) เปิดตัวโมเดลที่ชื่อว่า AlexNet วินาทีนั้น... โลกตะลึง! AI ของฮินตัน ทายภาพได้แม่นยำแบบทิ้งห่างคู่แข่งไม่เห็นฝุ่น จาก "เรื่องเพ้อฝัน" กลายเป็น "ความมหัศจรรย์" Google, Facebook, Microsoft วิ่งเข้าหาเขาพร้อมเช็คเปล่า! เทคโนโลยี Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ถ้าไม่มีเจฟฟรีย์ ฮินตัน ในวันนั้น... เราจะไม่มีระบบสแกนหน้า... ไม่มี Google Translate... และแน่นอน ไม่มี ChatGPT ในวันนี้ เขาคือนักปฏิวัติที่เปลี่ยนโลกด้วยความเชื่อเพียงลำพัง
      ฮินตันทำงานที่ Google ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เขามีความสุขที่ได้เห็นสิ่งที่เขาสร้างเติบโต... จนกระทั่ง... ปี 2023 เขาเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อน เขาเชื่อว่า AI เป็นแค่การ "เลียนแบบ" สมองมนุษย์ที่ยังไงก็ด้อยกว่า แต่เมื่อเขาเห็น GPT-4... เมื่อเขาเห็น PaLM... เขาตระหนักได้ว่า "เฮ้ย... นี่มันไม่ใช่แค่การเลียนแบบแล้ว" "แต่มันกำลังจะเหนือกว่าเรา" สมองคนเราส่งข้อมูลหากันด้วยความเร็วที่จำกัด... แต่ AI ส่งข้อมูลหากันด้วยความเร็วแสง AI ตัวหนึ่งเรียนรู้เรื่องแมว... AI อีกพันตัวรู้เรื่องแมวทันที มันคือ "Hive Mind" (จิตจักรวาล) ที่มนุษย์ไม่มีวันตามทัน วินาทีนั้น... Godfather คนนี้... เริ่ม "กลัว"

    พฤษภาคม 2023... เจฟฟรีย์ ฮินตัน ในวัย 75 ปี ตัดสินใจลาออกจาก Google ไม่ใช่เพื่อไปเกษียณเลี้ยงหลาน... แต่เพื่อที่จะได้ "พูดความจริง" ได้อย่างอิสระ เขาเดินสายเตือนคนทั้งโลกว่า: "สิ่งที่เรากำลังสร้าง มันอาจจะฉลาดกว่าเราในไม่ช้า... และเรายังไม่มีวิธีคุมมัน"
     หลายคนเปรียบเทียบเขาว่าเป็น Robert Oppenheimer (บิดาระเบิดปรมาณู) แห่งยุคดิจิทัล ชายผู้สร้างอาวุธที่ทรงพลังที่สุด... แล้วใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ พยายามบอกโลกไม่ให้กดปุ่มยิง รางวัลโนเบลที่เขาได้ในปี 2024... จึงไม่ใช่แค่รางวัลแห่งความสำเร็จ แต่มันคือ "เครื่องขยายเสียง" ที่ทำให้คำเตือนของเขาดังไปทั่วโลก
     เจฟฟรีย์ ฮินตัน ไม่ได้บอกให้เราหยุดพัฒนา AI เขาไม่ได้บอกให้เราทุบคอมพิวเตอร์ทิ้ง แต่เขาบอกให้เรา "ตระหนัก" เขาบอกว่า "อย่าปล่อยให้การแข่งขันทางธุรกิจ มาอยู่เหนือความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์"
เรื่องราวของเขา สอนให้เรารู้ว่า... ความฉลาด (Intelligence) เป็นสิ่งที่มีค่า... แต่ ปัญญา (Wisdom) ในการควบคุมความฉลาดนั้น... มีค่ามากกว่า วันนี้ Godfather ได้ทำหน้าที่ของเขาจบแล้ว... คือการสร้าง และ การเตือน ส่วนหน้าที่ต่อไป... ว่าจะใช้สิ่งนี้สร้างสวรรค์ หรือ นรก... มันอยู่ในมือของพวกเราทุกคนครับ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.082 วินาที กับ 19 คำสั่ง