เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 1335 การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น ในบทละครของเชกสเปียร์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 05 พ.ค. 25, 12:08

    ย้อนหลังสมัยไปเรียนต่างแดน   มีอาจารย์สอนวรรณคดีอังกฤษที่ใจดี แสนน่ารักสุดๆอยู่ท่านหนึ่ง ชื่อ Professor Dr. Dorothy Cameron Jones สอนวิชาเชกสเปียร์ อาจารย์เป็นกันเองกับนศ.ต่างชาติต่างถิ่น ถึงกับเชิญพวกเราไปกิน Brunch ที่อะพาร์ตเมนต์ของอาจารย์
    พอเรียนจบกลับมาบ้าน เริ่มต้นช่วงชีวิตใหม่ ยุ่งกับสร้างครอบครัวและสร้างงานอาชีพ ก็ขาดการติดต่อกันไป  ตอนนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีแฟกซ์ ไม่มีทางติดต่อนอกจากจดหมาย
    กลับไปอีกครั้งในปี 2005 เมื่อลูกสาวไปเรียนที่แห่งเดียวกับแม่    เดินไปที่ภาควิชา พบว่าอาจารย์ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว (ตั้งแต่ค.ศ. 1989) เสียใจมากๆ
     ผ่านมาอีกหลายทศวรรษ บัดนี้ว่างจากงานประจำ ตั้งใจว่าจะเล่าถึงวิชาเชกสเปียร์ตามที่อาจารย์สอน เพราะในหลักสูตรของคณะวิชาต่างๆในประเทศไทย ที่สอนภาษาและวรรณคดี น่าจะมีการสอนวรรณกรรมฝรั่งโบราณกันน้อยมาก ในหลักสูตรใหม่ๆอาจไม่บรรจุไว้เลยก็ได้
      ปัญหาคือ ประเด็นที่อาจารย์เคยสอน คือ The Violation of Order and Degree ในงานของเชกสเปียร์ นั้น หาหนังสืออ้างอิงไม่ได้ ค้นกูเกิ้ลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
      ในที่สุด หันไปถาม AI   เขา(หรือมัน)ก็ตอบทันทีว่ารู้จัก  บอกให้แปลเป็นไทยให้หน่อย  ได้รับคำตอบมา 2 คำให้เลือก คือ
     "การฝ่าฝืนระเบียบและฐานะตามลำดับชั้นของจักรวาล"
      หรือ
      "การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น"
      ฟังแล้วชวนสยองอยู่บ้างถ้าจะติดตามอ่านกระทู้นี้  ไม่เป็นไร   จะเอามาย่อยใหม่ให้อ่านง่ายอีกหน่อยค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 06 พ.ค. 25, 10:39

     ก่อนอื่น ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า โลกทัศน์ หรือทัศนะต่อชีวิตและสังคมในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน    ความเชื่อถือในหลักการของชีวิตก็แตกต่างกันไปด้วย
    ในยุคของเชกสเปียร์ซึ่งอังกฤษมีพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ครองบัลลังก์ เรียกว่ายุุค Elizabethan  เป็นยุคที่ศิลปวิทยาการของหลายประเทศในยุโรปเริ่มมีการฟื้นฟูขึ้น เรียกว่ายุค Renaissance  หลังจากศิลปวิทยาการถูกดองให้หยุดนิ่งอยู่ในหลายศตวรรษ ที่เรียกกันว่ายุคมืด หรือยุคกลาง (Dark Ages หรือ Middle Ages)
    ในโลกทัศน์ของยุค Elizabethan  เชื่อกันว่า ชีวิตมนุษย์ ธรรมชาติ และจักรวาลล้วนดำรงอยู่ภายใต้ “ระเบียบและลำดับชั้น” ซึ่งเป็นโครงสร้างตามครรลองแห่งจักรวาล   กำหนดให้สิ่งทั้งปวงมีที่ทางของตนอย่างเหมาะสม
    ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือชาวนา  สัตว์ใหญ่หรือสัตว์น้อย  ดวงดาวหรือก้อนหิน ต่างก็มีตำแหน่งของตน รวมกันแล้วก่อให้เกิดความกลมกลืนในระเบียบของจักรวาล
    กล่าวคือใครเกิดมา-หรือว่ามีหน้าที่การงาน-อยู่ในสถานะใด  ก็ต้องรับรู้และทำหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด    เมื่อต่างคนต่างรู้หน้าที่และปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องครบถ้วน  ทุกอย่างในจักรวาลก็จะหมุนไปอย่างถูกต้องตามจังหวะจะโคน  ประสานกันอย่างเรียบร้อย    ก่อให้เกิดความมีระเบียบในระบบนั้น  ไม่มีสิ่งใดติดขัด สังคมก็จะพัฒนาไปอย่างลื่นไหล ก่อความสันติสุข เจริญก้าวหน้า เรียบร้อยราบรื่นทุกประการ
    แต่ถ้าหากมีการฝ่าฝืน—ไม่ว่าจะเป็นการกบฏล้มล้างบัลลังก์    การขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อม   หรือการละเมิดฐานะที่พึงมี—ย่อมนำไปสู่ความปั่นป่วนไม่มีระบบระเบียบ ทั้งในโลกภายนอกและภายในจิตใจ
    เชกสเปียร์นำแนวคิดนี้มาใช้เป็นแก่นหลักในหลายบทละครของเขา ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนอำนาจแบบเผด็จการ แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์หลงลืมหน้าที่และสถานะของตน ผลที่ตามมาคือความไม่สมดุลที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมในบั้นปลาย
   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 07 พ.ค. 25, 11:35

  ความคิดนี้อาจเป็นเรื่องแปลก หรือเข้าใจไม่ได้สำหรับยุคปัจจุบัน  เมื่อเราเห็นคำว่า ประชาธิปไตย เสมอภาค หรือสิทธิมนุษยชนกันแพร่หลายเต็มไปหมดในสังคม   แต่ถ้าค่อยๆพิจารณากันไปก็จะเห็นว่า ความจริงบางอย่างไม่ได้ขึ้นกับยุคสมัย แต่เป็นความจริงของโลก
  ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ King Lear  พระองค์เกิดมาเป็นกษัตริย์  ขึ้นครองบัลลังก์อย่างถูกต้องตาม "ระเบียบ" ของการสืบทอดราชบัลลังก์  หน้าที่ของพระองค์คือทำหน้าที่อย่างกษัตริย์จนกระทั่งครบถ้วนตามระยะเวลา  คือจะลงจากบัลลังก์ก็ต่อเมื่อตาย เป็นอันหมดหน้าที่
  แต่พระเจ้าเลียร์ไม่ได้ทำแบบนั้น ตัวเองยังมีชีีวิตอยู่  ดูจากบท นอกจากชราแล้วร่างกายก็ยังเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ สติปัญญาก็ไม่ได้เสื่อมเป็นอัลไซเมอร์  แต่กลับลงจากเก้าอี้เสียเฉยๆ  เท่านั้นยังไม่พอ ยังแบ่งอาณาจักรให้ลูกสาวครองเสียอีก   ถ้าลูกสาวตอบถูกใจทั้ง 3 คนก็คงแบ่ง 3 ส่วน   ข้อนี้หมายถึงความเป็นปึกแผ่นของอาณาจักรก็จะหมดไป
   อีกข้อหนึ่งที่พระเจ้าเลียร์ละเมิด คือไม่ได้ทำตาม "ศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น"  คือลูกสาวคนไหนประจบก็ได้ดินแดนไปครอง คนไหนพูดตรงกับความจริง ก็กลับโกรธว่าไม่ยกยอพ่อ   จึงขับไล่ออกไป   เรื่องนี้แสดงว่าพระเจ้าเลียร์ละเมิดศักดิ์ของพระราชาที่ดี  และศักดิ์ของพ่อที่ดี  สรุปว่าทำตัวไม่สมหน้าที่ทั้ง 2 ด้าน
   ผลที่เกิดจึงมีแต่ความเลวร้ายกระหน่ำเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำอีก  จนไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 09 พ.ค. 25, 09:56

           การละเมิดเป็นสิ่งจำเป็น, ไม่ละเมิด ก็จะไม่เกิดเรื่องราว ปมขัดแย้งให้ท่านเชกขีดเขียนบทละคร
           งานท่านเชกจะเป็นเรื่องการละเมิดระบบระเบียบสังคมมนุษย์ ไม่เห็นปมขัดแย้งกับธรรมชาติอย่าง
วรรณกรรมรุ่นหลัง แม้ใน The Tempest ที่พรอสเพอโรละเมิดธรรมชาติสร้างพายุก็เพื่อพาศัตรูขึ้นฝั่ง
ไม่เกิดผลธรรมชาติวิบัติตามมา แบบว่า น้ำท่วมเกาะ พืชผลเสียหายขาดแคลนอาหาร พรอสเพอโรมองดูศัตรู
ต่อสู้แย่งชิงอาหารกันอย่างสาแก่ใจ หรือ ลูกสาวพรอสเพอโรประสบอุบัติเหตุจากพายุเกือบไม่รอด เป็นการลงโทษ
พรอสเพอโรที่บังอาจละเมิดสมดุลธรรมชาติ

สายวิทย์เรียนรู้ order degree ใน calculus


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 09 พ.ค. 25, 10:42

ู^
สายมนุษยศาสตร์ไม่เข้าใจ order degree ใน calculus ค่ะ
เห็นจะต้องวานคุณเพ็ญชมพูช่วยขยายความ
     กลับมาที่ King Lear
     โดยหน้าที่ พ่อมีหน้าที่ดูแลลูก ให้ความรักความเมตตาเสมอหน้ากัน  ความสัมพันธ์จึงจะเป็นไปอย่างราบรื่น   แต่พระเจ้าเลียร์กลับบั่นรอนหน้าที่และสายสัมพันธ์ดังกล่าว ด้วยการให้ลูกๆประกาศความรักต่อสาธารณชน ซึ่งไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยนอกจากว่าลมปากใครจะหวานกว่ากัน    ที่ร้ายกว่านี้คือเนรเทศลูกสาวคนที่พูดความจริง  แต่ไม่ถูกหูพ่อ  
     ในเมื่อพ่อทำผิดทั้งใช้อำนาจของกษัตริย์ และผิดภูมิปัญญาของผู้เป็นพ่อ  ดังที่กล่าวด้วยความโกรธลูกสาวว่า
     “Come not between the dragon and his wrath.”
    “อย่าเข้ามาขวางระหว่างมังกรกับความพิโรธของมัน” (องก์ที่ 1 ฉากที่ 1)
     ผลก็คือการล้มคว่ำระเนนระนาดของระเบียบตา่งๆไม่เฉพาะแต่ในวังเท่านั้น      ลำดับของผู้ใหญ่ผู้น้อยเปลี่ยนไป  พระราชาที่ควรอยู่ในลำดับสูงสุดของชนชั้น กลับก้าวลงมานั่งข้างล่าง แล้วยกลูกสาวสองคนขึ้นไป   ลูกสาวก็เลยกลายเป็นนั่งอยู่เหนือหัวพ่อ  หมดความเกรงใจ    ดูถูกไม่ให้เกียรติพ่ออย่างเมื่อก่อน ลดชั้นพ่อและข้าราชบริพารลงมาตามใจชอบ  ก็เพราะพ่อเองเปิดโอกาสให้ลำดับชั้น "รวน" ไปหมดด้วยตัวเอง
     ใครเคยอ่านข่าวเศรษฐียกมรดกทั้งหมดให้ลูกเพื่อให้ดูแลพ่อแม่ในยามชรา แล้วลูกไม่เอาใจใส่อีก ปล่อยให้พ่อแม่ลำบากยากแค้น  อ่านแล้วร้อยทั้งร้อยประณามลูก  แต่ถ้ามองในแง่ของเชกสเปียร์  ต้นเหตุคือความคิดผิดของพ่อแม่ที่ทำสิ่งไม่ควรทำ   แทนที่จะทำหน้าที่พ่อแม่ไปจนตาย แล้วค่อยให้ลูกได้มรดกไป กลับยกให้ลูกทำหน้าที่พ่อแม่ดูแลตัวเองแทน  ในเมื่อผิดหน้าที่แบบนี้ ก็ไม่แปลกที่ลูกจะทำหน้าที่แทนไม่ได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 11 พ.ค. 25, 09:27

    การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น เกิดขึ้นทั่วไปในละคร King Lear  ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งในเรื่องนี้คือกลอสเตอร์กับบุตรชายทั้งสอง   เอ็ดการ์กับเอ็ดมันด์    
    เอ็ดการ์เป็นบุตรถูกต้องตามกฎหมาย  เอ็ดมันด์เป็นบุตรนอกกฎหมายซึ่งไม่มีสิทธิ์ในมรดกและการสืบทอดตำแหน่งบิดา  แต่กลอสเตอร์กลับยกเอ็ดมันด์ขึ้นเป็นทายาทและขับไล่เอ็ดการ์ออกไป   เมื่อ "ระเบียบ"ของศักดิ์ฐานะ ถูกละเมิด  ผลก็คือความวิบัติของกลอสเตอร์เอง   ถูกเอ็ดมันด์หักหลัง ต้องระหกระเหินไปอย่างคนยากไร้  เอ็ดการ์ผู้เป็นทายาทโดยชอบธรรมก็ต้องผจญวิบากกรรมไม่น้อยกว่ากัน
    สรุปว่า สิ่งที่ไม่ควรทำ ก็ทำ  สิ่งที่ควรทำ ก็ไม่ทำ   ตัวละครเอกละเมิดระเบียบธรรมชาติที่จัดสรรไว้แล้วว่าใครอยู่ในตำแหน่งไหนก็ควรดำเนินชีิวีตไปตามตำแหน่งนั้น  ตลอดจนคว่ำศักดิ์ฐานะในสังคมให้ระเนนระนาดกันไปหมด  ดังนั้น chaos หรือความวุ่นวายไร้ระเบียบจึงเกิดในสังคม นำไปสู่โศกนาฏกรรมของทุกคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 พ.ค. 25, 11:07 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 12 พ.ค. 25, 11:33

  เรื่อง Macbeth  ยิ่งมองหาง่ายยิ่งขึ้นไปอีก ว่า ผู้ที่ก่อ Violation of order and degree ก็คือแม็คเบธตัวเอกของเรื่องนั่นเอง ไม่ใช่ใคร
  แม็คเบธถือกำเนิดเป็นขุนนาง มีฝีมือในการรบจนได้เป็นแม่ทัพ   แม้ว่าเป็นญาติของพระราชาดันแคน แต่ก็ไม่ได้อยูู่ในฐานะเจ้านาย    พระราชาดันแคนทำหน้าที่ตนเองอย่างดี คือใครเป็นคนดีมีฝีมือก็ประทานเกียรติให้สมกับฐานะ  ถ้าหากว่าแม็คเบธรู้จักฐานะและหน้าที่ของตนเอง ก็จะอยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรตินี้อย่างสุขสบายไปจนตาย    ได้รับการยกย่องนับหน้าถือตาสมเป็นขุนนางสำคัญที่สุดของอาณาจักร
   แต่แม็คเบธไม่รู้จักประมาณตัวเอง  ทะเยอทะยานจะโดดข้ามขั้น "ขุนนาง" ขึ้นเป็น"กษัตริย์"  ให้ได้   เมื่อไม่มีโอกาสจะได้เป็นกษัตริย์ตามขั้นตอนเพราะตัวเองไม่มีสิทธิ์  ก็ลอบสังหารพระราชาดันแคน  จนขึ้นนั่งบัลลังก์แทน
    การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็นส่งผลให้ราชสำนักระส่ำระสายกันไปหมด  แม็คเบธขึ้นครองบัลลังก์ได้ เพราะโค่นคนเก่าลง ก็กลัวคนอื่นจะมาโค่นตัวเองบ้าง จึงต้องสังหารคู่แข่ง  ราชสำนักเดือดร้อนจากผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารไปหลายคน   ในที่สุดการก่อกบฏก็เกิดขึ้น    ผลก็คือแม็คเบธพบจุดจบ ไม่ทันจะได้อยู่อย่างที่ตัวเองทะเยอทะยานไปได้กี่มากน้อย
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 13 พ.ค. 25, 11:23

ลองมองดู,

      พวกกบฏละเมิดระเบียบการปกครอง แมคเบธเป็นผู้จัดระเบียบการปกครองประเทศ,ปราบปรามกบฏสำเร็จ
      แม่มดทั้งสาม ละเมิดกฎธรรมชาติ พยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าที่มนุษย์มนาไม่สามารถล่วงรู้ได้ และ
ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่แมคเบธเลือกเป็นผู้ทำให้คำทำนายเป็นจริง("ลิขิตฟ้าหรือสู้มานะคน") ละเมิดระเบียบ
ยศถาศักดินาก่อการกบฏสังหารคิงดันแคนแล้วยกตนเป็นคิง โดยมีแม่มดตนที่สี่ เลดี้แมคเบธ ยุยงสนับสนุนโลภะ
โมหะ ความทะเยอทะยานของแมคเบธ
       แม่มดละเมิดกฎ ทำนายอนาคตถึงหายนะของแมคเบธ (ร้ายจริงๆ ไม่บอกตั้งแต่ต้นถึงวิบัติของทั้งสองที่จะตามมา
หลังจากได้เป็นคิงควีน) บอกให้ระวังแมคดัฟฟ์และยังหลอกบอกให้แมคเบธประมาทว่าไม่มีผู้ใดที่คลอดจากครรภ์มารดา
จะทำอันตรายแมคเบธได้ ถึงวันสู้รบประจันกันแล้วแมคเบธได้รู้ความจริงว่าแมคดัฟเกิดจากการผ่าท้องออก แมคเบธก็เชื่อ
คำทำนายถอดใจสู้จนพ่ายแพ้ถูกสังหาร
       แม่มดผู้ละเมิดกฎธรรมชาติลอยนวลไปก่อเรื่องจากคำทำนายอีกที่ไหน ไม่ได้กล่าวถึง
       มีคนตั้งข้อสงสัยว่า แม่มดมีตัวตนจริง หรือเป็นจินตนาการรับใช้กลไกจิตใต้สำนึกของแมคเบธ
       ที่ใฝ่สูงอยากเป็นคิงอยู่แล้ว > คำทำนายว่าได้เป็น สนับสนุนให้ลงมือก่อการ เมื่อได้เป็นและเริ่มหวั่นไหว
กับความรุนแรงวิบัติสูญเสียที่ตามมา เริ่มสำนึกได้และหวาดระแวงภัยก็ปลอบใจให้คลายกังวล > ทำนายว่า
ไม่มีใครที่คลอดปกติทำร้ายแมคเบธได้  
        ถ้าท่านเชกเขียนออกแนวนี้ก็จะเป็นวรรณกรรมล้ำสมัยก่อนกำเนิดวิชาจิตวิทยาในยุคต่อมา แต่เท่าที่เขียน
แบบนี้ก็ได้ใจปรมาจารย์ฟรอยด์ ผู้เสพงานท่านเชกตั้งแต่ 8 ขวบ ส่งข้อความประทับใจจากบทละครให้เพื่อนๆ
ผู้ร่วมงานและคนรัก ที่สำคัญยังนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุง จิตวิเคราะห์ (psychoanalysis)

Quora Greg Hutchinson ตอบว่าแม่มดมีตัวตน

     The witches in Macbeth are real. The play is part fantasy.
The witches appear even before Macbeth sees them (Act I, scene i;
scene iii), which makes it unlikely that Macbeth created them in his
imagination.
     Then we witness what happens when Macbeth meets the witches.
For one thing, Banquo sees the witches too (Act I, scene iii).
Is Macbeth imagining Banquo as well? For another thing, they accurately
predict the future. They predict that Macbeth will be named Thane of
Cawdor and later, King of Scotland (Ibid.).....

https://www.quora.com/Are-the-witches-in-Macbeth-part-of-Macbeths-imagination-or-are-they-real


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 13 พ.ค. 25, 11:26

   ทีนี้ก็มาถึงวรรณกรรมชิ้นเอก  Hamlet
   การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น ในเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ก่อนฉากแรกเปิดเสียอีก   คือเริ่มจากการส้ินพระชนม์ของพระเจ้าแฮมเล็ต พระบิดาของเจ้าชายแฮมเล็ต(พ่อกับลูกชื่อเหมือนกัน)ด้วยการถูกลอบสังหารด้วยฝีมือคลอเดียสผู้เป็นน้องชาย ร่วมมือกับราชินีเกอร์ทรูดชายาของตนเอง
  
   ตามความเชื่อในเรื่อง ระเบียบของเอกภาพ (Chain of Being) ซึ่งมีที่มาจากคริสตศาสนาตั้งแต่ยุคกลาง  ยึดถือว่า กษัตริย์เป็นตัวแทนของพระเจ้า  นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดของสังคมมนุษย์ คือราชบัลลังก์ เมื่อใครโค่นกษัตริย์ลงมา   ก็ไม่ใช่แค่มนุษย์คนหนึ่งฆ่ามนุษย์อีกคน  แต่ถือว่าฆ่าตัวแทนแห่งระเบียบจักรวาล ทำให้ทุกอย่าง "รวน" ไปหมด
   ดังนั้นเมื่อคลอเดียสฆ่าพี่ชายของตนเพื่อแย่งราชบัลลังก์ เป็นการละเมิดลำดับสูงสุดในจักรวาล    ผิดทั้งธรรมเนียมและศีลธรรม
    เท่านั้นยังไม่พอ  คลอเดียสยังแต่งงานกับพี่สะใภ้หลังจากพี่ชายตายไม่กี่วัน   สมัยนั้น เขยสะใภ้ถูกนับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน  ดังนั้นเมื่อคลอเดียสได้พี่สะใภ้เป็นภรรยา ก็ไม่ต่างจากได้พี่สาวแท้ๆเป็นภรรยา   ถือเป็นเรื่องต้องห้าม  เรียกว่า incest คือการร่วมประเวณีในสายเลือดเดียวกัน ถือเป็นบาปอุกฉกรรจ์
    เรียกว่ายังไม่ทันที่เจ้าชายแฮมเล็ตจะเดินออกมาที่เวที  ระเบียบของจักรวาลก็ระส่ำระสายไปแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 15 พ.ค. 25, 10:13

      ในเมื่อระเบียบและลำดับชั้นในเดนมาร์กถูกคว่ำลงไปแล้ว   จะให้เจ้าชายแฮมเล็ตพระเอกของเราลุกขึ้นจัดระเบียบอีกครั้ง  ก็เป็นเรื่องยาก   มิหนำซ้ำการโค่นคลอเดียสผู้เป็นอาลงจากบัลลังก์  แฮมเล็ตก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้    จึงหาทางออกด้วยการมุ่งไปในทิศทางผิด คือแกล้งทำเป็นบ้า  เพื่อจะได้สืบว่าปีศาจผู้พ่อพูดจริงหรือไม่ว่าท่านเองถูกวางยาพิษ 
      วิิธีการของแฮมเล็ตนอกจากไม่ได้ผลแล้ว  ยังย้อนกลับมาประหัตประหารคนรัก และท้ายสุดก็ตัวเองก็ตายไปด้วย
      ในตอนจบ เมื่อตายกันเรียบทั้งเวทีแล้ว  บัลลังก์เดนมาร์กก็เปลี่ยนมือตกเป็นของคนนอก คือฟอร์ตินบราส ที่เข้าครองเดนมาร์กในตอนจบ เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูระเบียบเดิมขึ้นมา    เพราะฟอร์ติสบราสไม่ได้ฆ่าใคร  ไม่ได้โค่นล้มใคร
 เขามีสิทธิ์เพราะบัลลังก์ตอนนี้ว่างอยู่    เขาก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาได้อย่างถูกต้องตามที่ควรเป็น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 16 พ.ค. 25, 11:27

   ส่วนเรื่องสุดท้ายที่จะเอ่ยถึงในกระทู้นี้คือ Othello: ความไว้ใจที่นำไปสู่หายนะ
    ใน Othello การละเมิดลำดับชั้นไม่ใช่เรื่องราชวงศ์ แต่เป็นเรื่องความไว้วางใจและสถานะส่วนบุคคลในสังคม ที่ถูกบิดเบือน
    อิอาโก หรือ เอียโก เป็นตัวที่ทำให้ลำดับชั้น "รวน" ไปหมดในเรื่อง  ในฐานะทหารใต้บังคับบัญชา เขามีหน้าที่จงรักภักดี ทำตามที่แม่ทัพสั่งอย่างเคร่งครัด ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต   แต่เอียโกละเมิดหมดทุกด้าน   เขาเกลียดชังและดูหมิ่นนาย   เขาซ่อนความอาฆาตแค้นและริษยาไว้มิดชิดใต้ท่าทีอ่อนน้อมเป็นมิตร 
    คำที่บอกตัวตนของเขาชัดเจน และคว่ำลำดับชั้นในสังคมลงโดยส้ิ้นเชิงคือ
    "ข้าไม่ใช่ในสิ่งที่ข้าเป็น” (I am not what I am)
    ส่วนโอเธลโลเป็นชาวมัวร์ ผู้ไต่เต้าขึ้นสูงชนชั้นสูงในสังคมเวนิส แต่ก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี  เพราะถูกอคติซ่อนเร้นอันเกิดจากเชื้อชาติและชนชั้นคอยบั่นทอน
     ถ้าหากว่าโอเธลโลอยู่ตามที่ควรอยู่ คืออยู่อย่างคนนอกที่ได้รับการยกย่อง   ไม่พยายามเข้ามาเป็นคนในด้วยการแต่งงานกับเดสเดโมนา   เขาก็จะอยู่อย่างปกติสุขไปตลอดชีวิต   แต่เขาการละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคม ทั้งด้านแต่งงานข้ามผิว  ข้ามวัย และชนชั้น  แม้ด้วยความรักบริสุทธิ์ แต่สังคมตัดสินว่าผิดทั้งธรรมชาติและชนชั้น   ดังที่บราบันชิโอพ่อของเดสเดโมน่าพูดถึงลูกสาวว่า
    “ลูกข้าถูกล่อลวง ถูกขโมยตัว  ถูกสะกดด้วยมนต์คาถาให้หลงชายผู้ไม่คู่ควร”
    การละเมิดชนชั้นที่โอเธลโลกระทำลงไป  ยิ่งไปเน้นความแค้นให้เอียโกจนถึงขั้นวางแผนบิดเบือนความเชื่อใจซึ่งเป็นเสาหลักของทุกลำดับชั้น — เขาเปลี่ยนสามีให้ฆ่าภรรยา เปลี่ยนมิตรให้กลายเป็นศัตรู และบีบให้โอเธลโลทำลายตัวเองด้วยมือของตน
    โอเธลโลจึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความวิบัติ โดยไม่รู้ตัว คิดว่าฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ แต่แท้จริงแล้วคือการฆ่าความรักบริสุทธิ์และความยุติธรรม   ทุกอย่างก็พังทลายลงรวมทั้งเกียรติยศและชีวิตตนเอง
     ทั้ง Hamlet และ Othello แสดงให้เห็นความหายนะของ order and degree   แต่คนละทิศทาง
     ใน Hamlet การละเมิดเริ่มจากเบื้องบน — จากบัลลังก์ที่ถูกช่วงชิง
     ใน Othello การละเมิดมาจากเบื้องล่าง — จากผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใช้อุบายปั่นหัว หลอกลวงผู้นำจนสำเร็จ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 26 พ.ค. 25, 16:16

ขอส่งท้ายกระทู้ ด้วยคำรำลึกถึงอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชานี้ให้อดีตนักศึกษา

“The Violation of Order and Degree”:
A Tribute to Dr. Dorothy Cameron Jones
ฺby Her Former Student

      In one of her lectures at the University of Northern Colorado, Dr. Dorothy Cameron Jones introduced us to a Shakespearean phrase that has never left me: the violation of order and degree.
      At the time, I was a young foreign student—nervous, uncertain, and struggling to keep pace with both language and literary depth. But under her guidance, I could opened a window into the delicate structures—social, moral, and personal—that shape our lives.
     Dr. Jones was patient with her one and only foreign student. Her strength lay in her kindness that gave her classroom a rare air of literary enjoyment. When she spoke about Shakespeare, one could feel that literature was not merely to be studied, but lived with.
      Looking back now, I see her not only as a teacher, but as a gentle guardian in the life of a student who had been displaced from home, language, and cultural familiarity.
      Dr. Dorothy Jones once asked us, “Is Lear’s downfall a tragedy of pride, or of blindness to the moral order he was entrusted to uphold?” I remember being struck by how she placed ethical responsibility above emre pathos. For her, literature wasn’t just about what happened—it was about what should not have happened.
      Dr. Jones  posed another  haunting question to our class: “What is more terrifying—the witches, or the fact that Macbeth listens to them?” Her point was clear. Evil may come across, but it is man who chooses to obey. The violation of order begins not with fate, but with free will.
      Decades  have passed since I last sat in Dr. Dorothy Cameron Jones’s classroom, listening to her voice unfold Shakespeare’s world. Yet her presence remains vivid, she never imposed her interpretations upon us. Instead, she offered Shakespeare as a mirror—one in which we were invited to see ourselves, our societies, and our responsibilities.
        Dr. Jones taught me that Shakespeare endures not because he flatters kings or mourns heroes, but because he understands the balance that keeps our world upright—and the cost when we lose it.
      This is my small tribute to her memory. I hope that in reading it, others might sense something of the grace she gave to her students, and the enduring power of her lessons.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 26 พ.ค. 25, 16:30

แปล

  ในชั้นเรียนวิชาวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยนอร์เทิร์นโคโลราโด  อาจารย์ผู้สอน ชื่อดร. โดโรธี แคเมอรอน โจนส์ สอนหัวข้อวรรณคดีของเชกสเปียร์ที่ดิฉันยังจดจำได้จนบัดนี้  คือ การละเมิดครรลองแห่งระเบียบธรรมชาติและศักดิ์ฐานะที่ควรเป็น ในบทละครของเชกสเปียร์
    ตอนนั้น ดิฉันเป็นนักเรียนต่างชาติ  อายุยังน้อย จำได้ว่าเรียนแบบใจคอไม่ค่อยดี  ไม่มีความมั่นใจ ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทันคนอื่นๆทั้งด้านภาษาและตัววรรณกรรม แต่วิธีการสอนของอาจารย์ทำให้เข้าถึงโครงสร้างระดับลึกของสังคม ศีลธรรม ตลอดจนความเป็นปัจเจกบุคคล—ที่หล่อหลอมชีวิตของเรา
    ดร. โจนส์ใจเย็นกับนักเรียนต่างชาติคนเดียวในห้องมาก   จุดเด่นของอาจารย์อยู่ที่ความใจดี ซึ่งทำให้เรียนแล้วสนุก อย่างที่หาได้ยากจากที่อื่น   เมื่ออาจารย์พูดถึงเชกสเปียร์ นศ.ก็จะรู้สึกได้ว่าวรรณกรรมไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อศึกษาเท่านั้น  แต่สามารถเอามาใช้เป็นแบบเรียนชีวิตได้ด้วย
    เมื่อมองย้อนกลับไป ดิฉันไม่รู้สึกว่าท่านไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน   แต่เป็นผู้ชี้ทางด้วยเมตตาให้นักเรียนที่ต้องพลัดพรากจากบ้าน จากภาษาตนเอง  และจากวัฒนธรรมตนเอง ได้เดินถูกทาง 
     ดร.โจนส์เคยถามนักศึกษาา “การล่มสลายของชีวิตของพระเจ้าเลียร์เป็นโศกนาฏกรรมเกิดจากความหยิ่งลำพองตน   หรือความมืดบอดตามครรลองทางศีลธรรมที่พระองค์ควรพิทักษ์ไว้” ดิฉันประทับใจที่อาจารย์ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบทางจริยธรรม มากกว่าเน้นทางอารมณ์อ่อนไหวต่อตัวละคร   สำหรับอาจารย์ วรรณกรรมไม่ได้มีเอาไว้เพื่อเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ยังหมายความรวมถึงสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 26 พ.ค. 25, 16:45

   ดิฉันจำได้ว่าดร. โจนส์เคยตั้งคำถามให้พวกเราในห้องจดจำกันไปอีกนานว่า
   “อะไรน่าสยองขวัญกว่ากันสำหรับแม็คเบธ   ระหว่างการไปเจออมนุษย์ร้ายอย่างแม่มด กับไปเชื่อคำทำนายของพวกนาง”
    ประเด็นของอาจารย์ชัดเจนมาก   ชีวิตมนุษย์อาจเผชิญสิ่งเลวร้ายก็จริง    แต่ผลร้ายแท้จริงเกิดขึ้นต่อเมื่อคนเลือกจะทำตามเส้นทางนั้น การทำสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ได้เกิดจากโชคชะตาพาไป  แต่มันเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์คนนั้นเอง
    หลายสิบปีผ่านไปตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันนั่งอยู่ในห้องเรียนกับอาจารย์ ฟังท่านเปิดโลกของเชกสเปียร์ให้ได้เห็น  ยังจำได้ชัดเจน  อาจารย์ไม่เคยบังคับเราให้ตีความตามอาจารย์  ในทางกลับกัน ท่านบอกว่าเชกสเปียร์คือกระจกเงา—ส่องสะท้อนให้เรามองเห็นตัวเอง สังคมที่เราอยู่ ตลอดจนจิตสำนึกของเราเอง
     ดร. โจนส์สอนอีกว่าเชกสเปียร์อยู่ยั่งยืนเป็นกวีเอก   ไม่ใช่เพราะเขียนสอพลอชนชั้นสูงอย่างกษัตริย์หรือชอบเขียนไว้อาลัยวีรบุรุษ แต่เพราะเข้าใจความสมดุลของโลก ระหว่างความดีความชั่ว ความถูกความผิด  และต้นทุนที่ต้องจ่ายเมื่อมนุษย์สูญเสียความสมดุลนี้ไป
     ดิฉันเขียนถึงอาจารย์เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงความทรงจำที่มีต่อท่าน หวังว่าคนอ่านจะพลอยสัมผัสได้ถึงพระคุณของอาจารย์ และผลงานที่ยังยั่งยืนอยู่กับลูกศิษย์ของเธอจนทุกวันนี้
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.064 วินาที กับ 19 คำสั่ง