เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 3727 บทกวี "วาย" ของวิลเลียม เชกสเปียร์ มีจริงหรือไม่จริง?
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 04 เม.ย. 25, 21:10

https://en.wikipedia.org/wiki/Willie_Hughes
อันนี้คือหน้าที่พูดถึงทฤษฎี Willie Hughes
ทฤษฎีนี้มีคนเชื่อน้อย เพราะขาดหลักฐานยืนยันค่ะ  มีแต่คำสันนิษฐานเสียเกือบ 100 %
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 07 เม.ย. 25, 22:23

   ก่อนกลับไปที่ the Fair Youth   ขอเข้าสู่ tone หรือ น้ำเสียง  เพื่อความเข้าใจการตีความซอนเนท นะคะ
   สำหรับวรรณกรรม   tone คือดูจากการใช้ถ้อยคำในเรื่องว่าสะท้อนหรือแอบแฝงอารมณ์ความรู้สึกใดบ้าง
  ลองอ่านเพลงยาวนี้ดูก่อนค่ะ
                                             
    ทั้งการุญสุนทราคารวะ                ถวายพระวรองค์จำนงสนอง
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง                พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา
ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท        จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา
ต่อถึงพระวะษาอื่นจักคืนมา                พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ
     ถึงกวีไม่ได้ระบุชื่อว่าผู้ที่ท่านเขียนถึงเป็นใคร   คนอ่านก็ต้องสังเกตได้ว่าสองฝ่ายไม่ใช่เพื่อน หรือคนในฐานะเดียวกัน 
    ถ้อยคำเต็มไปด้วยความคารวะเทิดทูน (พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ )    บุคคลนั้นเป็นคนสูงศักดิ์(พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา)  อยู่ในฐานะเจ้านายที่กวีพึ่งพา (ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท  )
     กลอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงยาวถวายโอวาท ที่สุนทรภู่แต่งให้เจ้าฟ้าอาภรณ์และเจ้าฟ้าปื๋ว พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่สุนทรภู่เป็นพระอาจารย์ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 07 เม.ย. 25, 22:24

   tone หรือ น้ำเสียงที่เชกสเปียร์เขียนถึง Mr. W.H. ก็ทำนองเดียวกัน  คือเอ่ยถึงหนุ่มคนนี้อย่างยกย่อง ชื่นชมในรูปโฉมเป็นอย่างสูง  ในบทที่ 18 ที่ขึ้นต้นว่า

    Shall I compare thee to a summer’s day?
Thou art more lovely and more temperate.

     บทนี้เป็นโคลงรัก  กวีเปรียบเทียบบุคคลที่เขารำพึงถึง ด้วยน้ำเสียงชวนฝัน ว่่เธองามยิ่งกว่าธรรมชาติที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นวันเวลาในฤดูร้อน(หมายถึงวันเวลาที่อากาศแจ่มใส  ทิวทัศน์สวยงามไม่มัวซัวอย่างในฤดูหนาว) ดอกไม้ตูม  ดวงตะวันส่องแสง  ฯลฯ  สรุปลงท้ายว่าแม้สิ่งเหล่านี้สวยงามเพียงใดก็ยังมีวันอับเฉาเหี่ยวแห้ง  แต่เธอผู้เป็นที่รักของเขา งามน่ารักอย่างไม่มีวันโรยรา
      ถ้าไม่รู้ว่ากวีเขียนให้ Mr.W.H.  ร้อยทั้งร้อย อ่านบทนี้เป็นต้องรู้สึกว่าน้ำเสียงกวีมีให้สาวงาม นางในดวงใจของกวี  ไม่ใช่เพื่อนเกลอ  ไม่ใช่หลานชาย  ไม่ใช่ทีมงานในคณะละคร  และ...ไม่ใช่ผู้ชายด้วยกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 16 เม.ย. 25, 20:49

   ในความเป็นจริง  "นางในโคลง"  ที่จริงคือ "นายในโคลง" เพราะมีบทหนึ่งที่กวีระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ที่เขาพรรณนาถึง เป็นชาย
   The youth’s beauty, surpassing women’s
   (ความงามของหนุ่มน้อยผู้นี้ เหนือกว่าความงามของเพศหญิง)
   อีกบทหนึ่ง  บรรยายรูปโฉมของหนุ่มน้อยผู้นี้ว่า
    "A woman's face with Nature's own hand painted / Hast thou, the master-mistress of my passion;"
   แปลเป็นไทยว่า ธรรมชาติสร้างท่านให้มีดวงหน้างามดุจหญิง  ท่านผู้เป็นนายและนางในห้วงอารมณ์ปรารถนาของข้า
   สรุปได้วา่ กวีรำพันถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าสวยเหมือนผู้หญิง  และเรียกเขาว่า เป็นทั้ง 'นาย' และ 'นาง' ในห้วงอารมณ์ปรารถนา
   passion ไม่ใช่แค่ love   love หมายถึงอารมณ์ที่เกิดจากความถูกตาถูกใจใครคนหนึ่งมากๆ  อาจจะเป็นแค่อารมณ์เฉยๆ ประเภทฝันถึง  แต่ passion คืออารมณ์รักแบบปรารถนาอย่างรุนแรง  รวมความต้องการทางเพศต่อผู้นั้นด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 17 เม.ย. 25, 19:53

   แนวคิดตลอด 126 บทมีอะไรบ้าง
   1  บทที่ 1-7  กวีร้องขอให้หนุ่มรูปงามคนนี้แต่งงาน และมีทายาทเพื่อจะสืบทอดความงามของรูปลักษณ์จากพ่อสู่ลูก  เพื่อไม่ให้รูปโฉมนี้สูญหายไป
   2  บทที่ 18-77  พรรณนาถึงความพึงพอใจอันลึกซึ้งในตัวอีกฝ่าย    ความชื่นชมบูชา และความรักเชิงโรแมนติก
   3  บทที่ 78-126   ช่วงนี้เป็นเรื่องความริษยาหึงหวง ความแค้นใจที่ถูกทรยศนอกใจ    มีคำที่พาดพิงไปถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคนรัก หรือเมียลับๆของกวี
   ข้อ 3 นี่ต้องอธิบายเพิ่มเติมหน่อย   ไม่งั้นจะงง     ถ้าหากว่าตีความบทกวีเหล่านี้ว่าสะท้อนชีวิตส่วนตัวของกวี  ก็มีบุคคล 3 คนเกี่ยวข้องกันเป็นรักสามเส้า
  แต่ไม่ยักใช่ "หนึ่งหญิงสองชาย" ตามเนื้อเพลงที่คุณดาวใจ ไพจิตรเคยร้อง  คือสาวคนหนึ่งไม่รู้จะเลือกชายไหนที่มารักเธอทั้งคู่     หากบทกวีแต่เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น  คือกวีมีหญิงหนึ่งอยู่แล้ว แต่เขาหลงรักชายหนุ่ม  ต่อมาหนุ่มกับแม่หญิงคนนี้ก็แอบไปคบซ้อนกัน ร่วมมือกันหักหลังกวี  ก่อให้เกิดความหึงหวงและแค้นใจเหลือพรรณนา

.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 18 เม.ย. 25, 19:23

   ขยายความถึงรักสามเส้าในซอนเนทเรื่องนี้สักหน่อยค่ะ
   จะว่าไปก็มีอะไรที่ตีความยากอยู่ในเรื่องนี้
   เท่าที่กวีบรรยาย เขากับผู้หญิงมีความสัมพันธ์กัน ไม่ต้องสงสัย  เธอไม่ใช่แค่หญิงที่เขาหมายปอง แต่เป็นผัวเมียกัน พูดง่ายๆ     แต่เธอก็ไม่น่าจะเป็นภรรยาตามกฎหมาย    ส่วนเจ้าหนุ่มเป็นผู้ที่กวีเทิดทูนบูชาอย่างลึกซึ้ง  แต่ไม่มีตอนไหนระบุออกมาเลยว่า มีความสัมพันธ์ทางกายกัน   ส่วนสัมพันธ์ทางใจก็เหมือนกับกวีจะเป็นฝ่ายรักเขาข้างเดียวเสียมากกว่า เพราะมีการรำพันน้อยอกน้อยใจว่า ผู้ชายไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของเขาเลย  บางทีก็หมางเมิน เย็นชา หรือไม่ไยดี
   ข้อสำคัญ ไปมีอะไรๆกับผู้หญิงของเขา นี่น่ะซี  มันเจ็บปวด
   พยายามอ่านแล้วอ่านอีก ว่ากวีระบุคำประเภท kiss, embrace(กอด) หรือ  bed  หรืออะไรที่ส่อถึงความสัมพันธ์ทางกายนอกเหนือจากทางใจ  ก็ไม่เจอ   มีแต่รำพันถึงความต้องตาต้องใจ  ความเทิดทูนบูชา ความหลงใหลในรูปโฉม เท่านั้น
     
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 19 เม.ย. 25, 10:45

             เคยสแกนผ่านตา กลับไปรีวิวอีกครั้ง

ที่ https://shakespeareoxfordfellowship.org/shakespeares-sexuality-affects-authorship-issue/
เขาว่า
            Martin Seymor-Smith states, “It is likely that at least on one occasion Shakespeare did have
some kind of physical relationship with the Friend.
            The sonnets addressed to him, particularly 33–36, are difficult to explain under any other hypothesis.”
            This seems to be the result of an intimacy, however brief: “he was but one hour mine” (34),
a view that, long before Queer Theory, had been expressed by Samuel Butler, Martin Smith, Gore Vidal,
and numerous others (Hughes 6).

            สงสารรักต่างวัย,ความสัมพันธ์ไม่สมดุล ฝ่ายหนึ่งรักมากกกจนพร้อมยอมเป็นทาสรัก-ทาสเทพบุตรทาสเทวี


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 19 เม.ย. 25, 20:04

  คุณหมอ SILA โยนระเบิดลูกใหญ่ลงมากลางกระทู้  ทำเอากระทู้แทบแตกกระจาย
  ก่อนอื่น ขออธิบายให้ท่านผู้ที่เข้ามาอ่านแล้วยังไม่เคลียร์ว่าคุณหมอหมายถึงอะไร ให้เข้าใจเพิ่มขึ้นก่อน
   เริ่มด้วยคำว่าQueer Theory
   
อ้างถึง
This seems to be the result of an intimacy, however brief: “he was but one hour mine” (34),
a view that, long before Queer Theory, had been expressed by Samuel Butler, Martin Smith, Gore Vidal, and numerous others (Hughes 6).
   Queer Theory แปลเป็นไทยว่าทฤษฎีเพศวิภาษ  อธิบายอีกทีคือหมายถึงการอธิบายเรื่องเพศที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนบรรทัดฐานใดๆ  และอธิบายอีกเป็นครั้งที่ 3  ว่าก่อนหน้านี้ วิชาเพศศาสตร์ (sexology) อธิบายเพศของมนุษย์จากปัจจัยทางชีววิทยา ทำให้สังคมเชื่อว่าเพศสรีระคือสิ่งที่กำหนดความเป็นหญิงและชาย (Femininity and Masculinity)  อธิบายเป็นครั้งที่ 4 ว่าการจำแนกอวัยวะเพศของมนุษย์ว่า ถ้าคลอดออกมาแบบนี้ทำให้ทารกเป็นเพศหนึ่ง  แบบนั้นทารกเป็นอีกเพศหนึ่ง ทำให้เพศสรีระคือสิ่งที่กำหนดความเป็นชายและหญิง
     ทฤษฎีเพศวิภาษ เห็นว่าวิิธีกำหนดกันแบบนี้ ทำให้มนุษย์มองเพศสรีระว่าเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ และมองว่าอารมณ์ปรารถนาทางเพศของตัวเองมาจากสรีระ ฮอร์โมน และอวัยวะเพศแต่กำเนิด   เช่นผู้ชายก็มีอารมณ์ทางเพศแบบผู้ชาย      โตเป็นหนุ่มก็ย่อมจะติดเนื้อต้องใจผู้หญิง  เพราะตัวเองเป็นชาย  ผู้หญิงพอโตเป็นสาวก็จะติดเนื้อต้องใจผู้ชาย เพราะตัวเองเป็นหญิง  ย่อมมีอารมณ์ทางเพศแบบหญิง
     ใครที่มีอารมณ์ผิดไปจากนี้ เช่นเกิดมาเป็นชายแต่ติดเนื้อต้องใจชาย  หญิงติดใจหญิง  ก็ถูกตัดสินว่าเป็นสิ่งผิด ถูกห้าม ถูกเหยียดหยาม  ถูกลงโทษ  เพราะไม่สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคมแต่เดิมที่ถือว่าชายหญิงแต่งงานกันเพื่อสร้างครอบครัว เป็นสิ่งถูกต้องตามธรรมชาติและถูกตามทำนองคลองธรรม
    ทฤษฎีเพศวิภาษ จึงต้องการชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าบรรทัดฐานทางศาสนาและสังคมแบบนี้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นความลำเอียงทางเพศ    เพศวิภาษเชิดชูเพศวิถีแบบรักต่างเพศในฐานะเป็นเพศวิถีที่เจริญแล้ว หรือ อยู่บนขั้นสูงสุดของวิวัฒนาการทางเพศของมนุษย์   เพราะก้าวข้ามความเป็นเพศหญิงหรือชายไปแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 19 เม.ย. 25, 20:31

กลับไปที่คห. 21  ที่คุณหมอ SILA ยกมา
             เขาว่า
            Martin Seymor-Smith states, “It is likely that at least on one occasion Shakespeare did have  some kind of physical relationship with the Friend.
            The sonnets addressed to him, particularly 33–36, are difficult to explain under any other hypothesis.”
            This seems to be the result of an intimacy, however brief: “he was but one hour mine” (34), a view that, long before Queer Theory, had been expressed by Samuel Butler, Martin Smith, Gore Vidal,and numerous others (Hughes 6).
     ประโยคเด็ดคือ "he was but one hour mine" แปลว่า เขาเคยเป็นของข้า ในช่วงเวลาสั้นๆ
     คำนี้มาจากซอนเนทบทที่ 33 มีเนื้อความว่า
     Full many a glorious morning have I seen
Flatter the mountain-tops with sovereign eye,
Kissing with golden face the meadows green,
Gilding pale streams with heavenly alchemy;
Anon permit the basest clouds to ride
With ugly rack on his celestial face,
And from the forlorn world his visage hide,
Stealing unseen to west with this disgrace:
E'en so my sun one early morn did shine
With all triumphant splendor on my brow;
But out, alack! he was but one hour mine;
The region cloud hath masked him from me now.
  Yet him for this my love no whit disdaineth;
  Suns of the world may stain when heaven's sun staineth.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 19 เม.ย. 25, 20:53

    ขอถอดออกเป็นภาษาไทย   แม้อาจจะลิเกไปหน่อยก็โปรดให้อภัย  เพราะเป็นบทกวีเขียนขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีมาแล้ว จะให้แปลเป็นภาษาปัจจุบันก็จะไม่เข้ากัน
    ข้าเคยเห็นเพลาเช้าที่งามตามามากมายหลายครั้ง
    ยามเข้าที่สุริยเทพทอดพระเนตรอ่อนละมุนลงต้องทิวเขา
    จุมพิตทุ่งหญ้าเขียวขจีด้วยรังสีอร่ามเรืองของเทพเจ้า
    เปลี่ยนลำธารสีซีดหมองเป็นลำธารทองด้วยมนต์สวรรค์ของท้าวเธอ
    ทันใดนั้น  สุริยเทพทรงปล่อยเมฆต่ำช้าเข้ามาแปดเปื้อนดวงพักตร์ จนหมองโฉม
    มันซ่อนองค์เทพไว้จากโลกที่วิปโยคโศกเศร้า
    บดบังไว้  พาเคลื่อนคล้อยไปสู่ทิศตะวันรอน  
    โอ้! สุริยเทพ สุดที่รัก
     เพิ่งส่องแสงให้ข้าในยามเช้าทีี่แสนตราตรึง  
     เพ่ิ่งทรงประทานพรชัย ประทับลงบนหน้าผากข้า
      อนิจจา! เพียงชั่วครู่ยาม  ที่เทพทรงเป็นของข้า
     เจ้าแถบเมฆก็พรากองค์เทพจากช้า
     แต่หาทำให้ข้ารักพระองค์น้อยลงไม่
     บางครั้ง เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะก่อสิ่งแปดเปื้อนให้ตนเอง
     แม้แต่สุริยเทพก็ไม่อาจพ้นจากชะตานี้เช่นกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 20 เม.ย. 25, 10:20

   "he was but one hour mine” อาจตีความจากโคลงบทนี้ว่า ในตอนเช้า ช่วงระยะสั้นๆ  เมื่อเมฆยังไม่ลอยมาบดบัง   ดวงตะวันกับกวีเห็นกันเพียงสองคน  ไม่มีใครอื่นเข้ามากีดขวาง
    ผู้ที่ค้านก็ค้านได้ว่า ในเมื่อกวีอุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์(figures of speech) เสียไพเราะเพราะพริ้ง  เทียบอีกฝ่ายเป็นสุริยเทพ  เทียบตัวร้ายเป็นเมฆ   แต่บทจะบอกถึงความสัมพันธ์ก็โพล่งออกมาโต้งๆ ไม่มีสละสลวยเลยละหรือ ว่า "นี่ รู้ไว้ด้วย  เขาเป็นฝาละมีข้านะ"
   แต่ผู้เชื่อก็เชื่อว่าเชกสเปียร์บอกตรงๆไม่ปิดบัง  ก็ถ้อยคำมันบอกอยู่ชัดๆแล้วจะมาแก้ตัวได้ยังไง
   ทีนี้ ก็จะต้องกล่าวไปถึงแบคกราวน์หรือพื้นหลังของสังคมสมัยเชกสเปียร์ ว่ายุคนั้น เขามองรักร่วมเพศแตกต่างจากยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง
  ในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 8  พระบิดาของพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (ซึ่งเป็นสมัยของเชกสเปียร์)  มีกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อ Buggery Act ออกมาในปี 1533 มีผลใช้บังคับมาถึงยุคพระราชินีด้วย  กฎหมายนี้ลงโทษรุนแรงถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย และมนุษย์กับสัตว์  ถือเป็นความผิดร้ายแรงทางอาญา แม้แต่ศาสนาก็ยื่นมือมาบรรเทาโทษไม่ได้  กฎหมายนี้ลงโทษหนักพอๆกับใครไปก่อฆาตกรรม หรือทรยศต่อประเทศชาติ  คือสูงสุดถึงประหารชีวิต
   ฝ่ายที่เห็นว่าโคลงบทนี้ไม่ได้หมายความว่า  he was but one hour mine แปลว่า ท่านมีอะไรๆกับข้าแล้ว   แต่ในยุคนั้น หมายถึงว่า เรามีระยะเวลาที่เป็นสุขเพียงสั้นๆ      เพราะถ้าหากว่ากวีคนหนึ่งเขียนโต้งๆออกไปให้สังคมเห็นว่าตัวเองมีเพศสัมพันธ์กับชาย   กฎหมายฉบับนี้อาจทำให้อนาคตและชีวิตดับลงไปได้


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 25 เม.ย. 25, 10:14

ลองแปรร้อยกรองบท 33 นี้

          คุณชาย สุริยฉาย อรุโณทัย

                                     สูงส่ง, งดงาม ดั่งตะวันเยือนหล้าคราอรุณส่องแสงสว่างไสว
                                     แต่ ไม่ทันไร กลับปล่อยให้เมฆต่ำทรามคล้อยเคลื่อนมาแปดเปื้อนบดบัง
                                     กระนั้นก็ตาม เมื่อแรกเริ่มยามอุษา เวลาครึ่งชั่วยาม ท่านเคยเป็นของข้า
                                     และ ข้ายังคงรักท่านไม่เปลี่ยนแปร

(1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง)


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 25 เม.ย. 25, 10:20

          Sonnet ชุดนี้ท่านเชกประพันธ์ช่วงต้นทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 16 (around 1591–95),
อุทิศแด่บุคคลผู้เป็นปริศนามาจนถึงวันนี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่หลังท่านเชกสิ้น(posthumously) ในปี 1609
          ในยุคสมัยท่านเชกนั้น มิตรภาพระหว่าง ช-ช ที่บรรยายหรือพรรณนาอย่าง(อี)โรแมนติคปรากฏให้เห็น,ให้อ่านได้
(นึกถึง อันโตนิโย - บัสสานิโย) สมัยนั้นยังไม่มีคำเรียก,นิยามความ LG(BTQ) หากจะดูที่ "พฤติกรรมผิดจารีตประเวณี"
จึงจะกล่าวหาว่าเป็นการกระทำผิดต้องได้รับโทษ ในขณะที่ชายต่างชนชั้นมาสนิทกัน, สัมพันธ์เพราะเงิน(บัสสานิโย?) และ
บางกลุ่มคน เช่น พ่อค้าชาวอิตาลี(เวนิสวาณิช) มีโอกาสเป็นผู้ต้องสงสัย

https://www.sparknotes.com/shakespeare/life-and-times/social-context/sexuality-in-shakespeares-england/

          หากมีใครสมัยนั้นที่ได้อ่าน sonnets แล้วจะหยิบยกบท 33 มาหาความ ท่านเชกก็อาจจะปฏิเสธโต้แย้ง
โดยชี้แจงความหมายว่า - เขาที่เป็นของข้า คือ สุริยเทพยามอรุณโรจน์ หรือ


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 25 เม.ย. 25, 10:23

           ท่านเชกจะยก sonnet 20 มาอ้างก็ได้ ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ระดับผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังที่
           บทนี้บอกว่า ผู้แต่งเป็นฝ่ายถอยจากมาเพราะจำยอมรับว่า
     
  And for a woman wert thou first created;
  .....
  But since she(Nature) prick'd thee out for women's pleasure,
  ธรรมชาติแรกสร้างสรรค์ให้ "คุณชาย" เป็นคู่สมภิรมย์หญิง   
 
  Mine be thy love and thy love's use their treasure.   
  นางจึงได้รูปทรัพย์, ส่วนข้าได้ความรัก ของคุณชาย
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 25 เม.ย. 25, 10:34

             ยังมีคำอธิบายตีความโดยนักวิชาการยุคนี้บางคนตั้งข้อสันนิษฐานไว้ แต่ ไม่ค่อยมีใครร่วมขบวน ว่า
sonnet 33 นี้ ไม่เกี่ยวกับ fair youth หากแต่แต่งแปลกแยกโดดออกมาจากบทอื่นๆ แต่งขึ้นเพื่อรำลึกอาลัย
ลูกชาย Hamnet ผู้จากไปในปี 1596 ด้วยวัยเพียง 11 ขวบ คำว่า sun นั้นพ้องเสียงแทน son

    เด็กชาย สุริยฉาย อรุโณทัย

                       งดงาม ดั่งยามอรุณโรจน์    
                       เมฆดำโฉดชั่วคล้อยเคลื่อนมาพรากแสงตะวัน
                       ที่เป็นของฉันเพียงครึ่งชั่วยาม                  
                       แต่ความรักจะยังคงดำรงต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

และ
        ส่งท้ายขำๆ - การตีความด้วยมุมมองของบางคนสมัยนี้ที่ว่า ความสัมพันธ์ช่วงสั้นๆ ของท่านเชก ที่ว่าในร้อยกรองนั้น
ปัจจุบันเรียกกันว่า one night stand  


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.064 วินาที กับ 20 คำสั่ง