เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41293
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 18 มี.ค. 25, 13:27
|
|
ขอย้อนเวลาบ้างค่ะ การใช้คอมพิวเตอร์หรือเรียกว่า word processor เป็นงานฝึกสมาธิอย่างหนักหน่วง ไม่งั้นไม่สำเร็จ เพราะต้องตั้งสมาธินับตั้งแต่เสียบการ์ดเข้าไปในเครื่อง เพราะมีทั้งแผ่นใหญ่เจาะรูลงโปรแกรมชื่อประหลาดๆเอาไว้ครึ่งแผ่น กับแผ่น disk ขนาดใหญ่เอาไว้ลงไฟล์งาน จากนั้นต้องตั้งหลักด้วยว่าจะใช้เวิร์ดไหน ราชวิถี หรือจุฬา เพราะถ้าใช้สลับกัน ข้อความในไฟล์ที่ลงไว้ก่อนจะหายวับไปกับตา เนื่องจากเวิร์ดหนึ่งไม่ยอมรองรับอีกเวิร์ดหนึ่ง ต้องของใครของมัน จอภาพอ่านยาก ไม่สบายตาเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะใต้ตัวอักษรที่พิมพ์จะมีไฟสีเขียวแว้บๆ แว้บๆ กระพริบทำลายประสาทตาอยู่ตลอดเวลา ดีกว่าพิมพ์ดีดหน่อยตรงที่พิมพ์แล้วลบได้ ความเทอะทะของคอมฯ ทำให้การทำงานไม่สบายเท่าไหร่ แต่สะดวกกว่าพิมพ์ดีด เพราะพอพิมพ์ไฟล์เสร็จก็ไม่ต้องพับกระดาษใส่ซอง ขับรถไปส่งที่ไปรษณีย์ เหมือนเมื่อก่อน แต่ว่ากด Fax modem ส่งไฟล์ไปปลายทางได้เลย เจ้าแฟกซ์โมเด็มตัวนี้ใช้อยู่จนกระทั่งอินทรเนตรเข้ามา มันก็เลยตกงาน แล้วหายสาบสูญไป จำไม่ได้ว่าคืนสนพ.เขาไปหรือเปล่า ปี 1999 ที่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ต มีข่าวแพร่หลายว่าเจ้าคอมพิวเตอร์ทั้งหลายในโลกถูกตั้งระบบไว้แค่ปีนี้ พอเริ่มศตวรรษใหม่มันอาจจะรวนไปทั่วโลก ไฟล์เดิมหายหมด อะไรทำนองนี้ ทำเอาหวาดวิตกไปพักใหญ่ แต่พอพ้นปีนี้ขึ้นปี 2000 ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 18 มี.ค. 25, 18:49
|
|
ปี 2000 เป็นปีที่เรียกกันว่า Y2K เหตุผลที่กลัวกันนั้นก็เป็นอย่างที่อาจารย์เทาชมพูว่า คือกลัวว่าข้อมูลจะหาย นัยว่าอาจจะเกิดขึ้นเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ PC ซึ่งใช้ระบบปฎิบัติการ DOS หรือ Windows จะไม่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์แบบ Main Frame และที่เรียกว่า Workstation PC ที่ใช้ Linux เป็นระบบปฎิบัติการ ก็ฟังเขามาว่า ปัญหา Y2K นั้นมันเกี่ยวกับเรื่องของวิธี Execute งานและระบบการจัดข้อมูลของคอมพิวเตอร์ที่ต่างกันของสองระบบที่กล่าวมา ก็มีความรู้เพียงเท่านี้แหละครับ
ความตระหนกในเรื่อง Y2K นี้ ได้เกิดขึ้นในวงการต่างๆทั่วโลก ได้มีการเตรียมการ มีการเฝ้าระวังสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในค่ำคืนวันเปลี่ยนผ่านปี 1999 สู่ปี 2000 ผมไปประจำการอยู่ที่ออสเตรียในช่วงเวลานั้นพอดี ยังจำได้ว่า ได้มีการพูดคุยกันในหมู่ผู้แทนหลายประเทศทั้งก่อนและหลังวันปีใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 18 มี.ค. 25, 20:26
|
|
คุณ superboy ว่าวัยชรากำลังกวักมือเรียก ดูจากอาการนอนหลับยากขึ้น
จากประสบการณ์ของผม แสดงออกถึงความเครียดกำลังเข้ามาเบียน เป็นความเครียดที่แฝงอยู่ภายในใจที่มันยังไม่จางหายไป เป็นตะกอนของความเครียด/ความกังวลจากงาน/เรื่องที่ต้องใช้ความคิดที่ยังไม่จบบริบูรณ์หรือจบแบบยังไม่ถูกใจ มันเป็นเรื่องปกติที่จะยังมีแวบเข้ามาในใจเป็นช่วงๆไปอีกนาน เสมอๆ คนในวัยประมาณ 50 +/- ส่วนมากจะต้องรับผิดชอบเรื่องหนึ่งใดต่างๆทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ รับผิดชอบต่อการกระทำในกิจกรรมต่างๆและผลของมันด้านชีวิตและครอบครัว ถูกวัด ถูกตรวจสอบ ถูกทดสอบอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด
ในความเห็นของผม โดยสรุปก็คือ ยิ่งสูงวัยก็ยิ่งอยู่ในวงล้อมของสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่แคบและรัดตัวมากขึ้น ซึ่งดูจะมากที่สุดในช่วงอายุประมาณ 50-70 ปี แล้วก็คลายลง กลับไปคล้ายเมื่อครั้งก่อนวัยแตกพาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 19 มี.ค. 25, 16:27
|
|
ปัญหา Y2K เกิดจากโปรแกรมสมัยเก่า เขียนตั้งแต่ยุค 70‘s 80's ใช้วิธีการเก็บข้อมูลวันเดือนปีเป็นตัวอักขระ อย่างปี 1985 ก็จะเก็บเป็นตัวอักษร 8 และ 5 ส่วน 19 ข้างหน้าละไว้เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งเท่ากับว่าเมื่อถึงปี 2000 ข้อมูลจะถูกเก็บเป็น 00 แล้ว 00 นี่คือปี 1900 หรือ 2000 กันแน่?
บางโปรแกรม คนเขียนอาจจะเผื่อไว้แล้วว่าถ้าถึงปี 2000 จะทำอย่างไร แต่เชื่อว่าจำนวนมากคนเขียนไม่ได้คิดว่าโปรแกรมนั้นๆจะใช้ยาวนานเป็น 20-30 ปี หรือถึงจะใช้ถึงเวลานั้นตัวเองจะไปไหนก็ไม่รู้แล้ว ไม่ต้องอยู่รับผิดชอบกับปัญหานี้ จนเมื่อเข้าใกล้ปี 2000 ก็มีคนสังเกตเห็นปัญหานี้ ทีนี้ก็วงแตกครับ
ผลคือมีการระดมกันเขียนโปรแกรมใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะในอเมริกามีงานมากจนทำกันไม่หวาดไม่ไหวต้องส่งงานออกไปทั่วโลก ผมยังได้ทำจ็อบอยู่บ้างในช่วงเวลานั้นครับ
จะว่าไปไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่จำเป็นต้องเขียนใหม่ แต่ในช่วงเวลานั้นใครจะกล้าเสี่ยง หรือบางโปรแกรมอยากเขียนใหม่มานานแล้ว แต่หาฤกษ์(หรือหาเหตุ)เหมาะๆไม่ได้สักที พอมีคนพูดถึงปัญหา Y2K ก็ได้โอกาสพอดี แต่ก็มีเหมือนกันที่ควรเขียนใหม่แต่ชะล่าใจ คิดว่าไม่เป็นไร ผลคือระบบล่มเรียบร้อยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 19 มี.ค. 25, 16:52
|
|
ผมได้ใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรกราวปลายปี 2535 ถึงต้นปี 2536 สมัยนั้นต้องไปใช้ที่สถาบันวิทยบริการ หอสมุดกลาง จุฬาฯ จะมีห้องอยู่ชั้นล่าง
ผมใช้งานอยู่ 2 เรื่อง 1. คุยกับเพื่อนที่อเมริกาผ่านโปรแกรม talk (บน UNIX) หน้าจอสีดำ แบ่งครึ่งบนล่างแสดงข้อความที่เราพิมพ์ครึ่งหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามพิมพ์มาอีกครึ่งหนึ่ง เวลาใช้ต้องนัดเวลาให้มานั่งหน้าจอพร้อมกันพอดี ทุลักทุเลทีเดียวครับ 2. ใช้หาข้อมูลพวกบทความวิจัย ช่วงแรกนั้น www ยังไม่มี หรือถ้ามีก็คงยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ผมต้องใช้ gopher ในการหาค้นหา paper มาอ่าน หน้าจอเป็น text ทั้งหมด ไม่มีกราฟฟิกครับ
ใช้ไม่นานก็พอว่ามีวิธีใช้จากที่บ้านได้ โดยใช้ Modem เชื่อมต่อเข้าไปที่ศูนย์ฯ ซึ่ง modem ที่ผมใช้เป็นความเร็ว 2400 baud (0.0003 Mbps) แต่เทียบเก็บปัจจุบันที่เริ่มต้นกันที่ 300 Mbps ก็เรียกว่าช้ากันกันล้านเท่าครับ โหลด paper ขนาดแค่ไม่กี่ k มาอ่านก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ บางทีไฟล์ใหญ่หน่อย โหลดค้างไว้แล้วไปนอน เช้ามายังไม่เสร็จก็มี ถ้าเป็นสมัยนี้คงจบลงในเวลาน้อยกว่า 1 วินาทีครับ
แต่อินเทอร์เน็ตยุคนั้นมันมาเร็วและแรงมาก(เหมือน AI ในยุคนี้) ผมใช้ได้ไม่นาน www ก็มา เริ่มต้นมี browser ที่ชื่อ Mosaic สามารถใช้งานบน pc ได้ ยุคนั้นมีการ Windows กันพอควรแล้ว Mosaic จะทำงานบน Windows แต่ต้องลงโปรแกรม winsock กับ trumpet เพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อข้อมูลด้วย ค่อนข้างจะรุงรัง ใช้ได้ไม่นานก็เกิด Netscape เป็น browser ตัวใหม่ เข้าสู่ยุค www เต็มตัวครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 19 มี.ค. 25, 19:24
|
|
ผมมีความรู้และการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบกระท่อนกระแท่นเอามากๆ เรียนรู้ด้วยตัวเอง จากการอ่าน และจากการสอบถามน้องๆที่ทำงานด้านนี้ จำได้ว่า เริ่มถูกบีบให้ต้องเรียนรู้การใช้ PC เมื่อวัยตอนนั้นใกล้ 40 เข้าไปแล้ว เป็นเครื่อง CPU 8086 ใช้ระบบปฏิบัติการ MS-DOS จะเปิดเครื่องใช้งานที ก็ต้องใช้ Diskette หลายแผ่นใส่โปรแกรม จะปิดเคึรื่องทีก็ต้องใส่โปรแกรม Park Head (หัวอ่าน Floppy disk) วันดีคืนดีก็ได้ Windows 93 มาเป็น OS และใช้ CU Writer ในการทำงานด้านเอกสาร ไม่นานนักก็ได้ใช้เครื่อง CPU Pentium พร้อม Windows 95 มาเพื่อสำหรับงานโครงการหนึ่งของ UNCTAD ตามมาด้วย Office 95 สมัยนั้นถึอว่าเป็นครุภัณฑ์ที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยีของราชการเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 19 มี.ค. 25, 20:08
|
|
เสียดายผมเองไม่ทันยุคบุกเบิกคอมพิวเตอร์ แต่จำได้ในวัยเดได้ทันเห็นจอคอมสี่เหลี่ยม รูบรางแลดูใหญ่โตเทอะทะอยู่บ้าง รุ่นแรกนั้นมีเชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์ด้วย สายคอมพัวพันไปหมด แป้นพิมพ์ไร้สายยังคงเป็นไอเดียของโลกอนาคต ยากที่จะมีการคำนึถึงในยุคที่แม้แต่ทีวีก็ยังเป็นสี่เหลี่ยมเทอะทะเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 19 มี.ค. 25, 20:09
|
|
การที่คุยกันในเรื่องเก่าย้อนไปในอดีตกันนี้ ก็เป็นลักษณะประจำอย่างหนึ่งของผู้ที่สูงวัย ไม่ทราบว่าเคยมีการทำวิจัยกันบ้างหรือไม่ว่า คนในวัยใดจะเริ่มเอาเรื่องเก่าๆมาคุยกัน เห็นว่าโดยพื้นๆแล้วก็น่าจะเป็น ณ ช่วงเวลาใดก็ตามที่้รู้สึกว่าได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงจากงานที่ต้องทำผูกพันกับมันมาตลอดช่วงเวลาที่ต้องทำหาเลี้ยงชีพ
ที่ผู้คนทั่วไปดูจะเห็นเหมือนๆกันก็คือ ยิ่งอายุมากเท่าใดก็จะยิ่งคุยกันในเรื่องที่ยิ่งเก่า ซึ่งดูเหมือนจะแปลก แท้จริงแล้วน่าจะเป็นด้วยเหตุ relative time scale ระหว่างอายุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อายุของคนสูงวัยที่สนทนากัน อายุของคนที่ฟังและร่วมวงสนทนา และเวลาที่เป็นจุดอ้างอิงในเรื่องที่สนทนากันในครั้งนั้นๆ คือ ณ กาลเวลายิ่งนานวัน เรื่องในอดีตก็จะยิ่งเก่ามากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 20 มี.ค. 25, 13:23
|
|
รุ่นคุณ naitang คนที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วครับ คนรุ่นใหม่ที่เรียกได้ว่าแทบทุกคนจะมีโอกาสได้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่เข้าโรงเรียนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าคอมพิวเตอร์เคยเป็นของที่เข้าถึงยากขนาดไหนเมื่อ 30-40 ปีแล้ว
ผมเองโชคดีที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก ได้เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเป็นๆ ครั้งแรกตอน ม.3 ปี 2527 เพราะที่ รร. ซื้อคอมพิวเตอร์มา 5 เครื่องในปีนั้น และอนุญาตให้นักเรียนเข้าไปใช้ได้เรียกว่าตามสบาย ถึงยังไม่มีการเรียนการสอน เพราะอาจารย์ที่ใช้เป็นก็ยังไม่มีเหมือนกัน ผลก็คือผมติดหนึบอยู่ในห้องคอมพ์ตลอด ทานข้าวเที่ยงเสร็จก็เข้าห้องคอมพ์ เลิกเรียนก็ไปสิงอยู่ในห้องนั้นทุกวัน บางวันเขียนโปรแกรมติดลมนั่งอยู่คนเดียวถึงทุ่มกว่า ตอนออกมาปิดแอร์ปิดไฟ เดินออกมามืดๆคนเดียวก็กลัวอยู่เหมือนกันครับ คิดย้อนกลับไป รร. และอาจารย์ที่ควบคุมห้องคอมพ์ใจดี เปิดโอกาสให้กับนร.มากเหลือเกิน
ปีถัดมาผมย้ายโรงเรียน ซึ่งห้องคอมพ์ในตอน ม.ปลายมีคอมพ์เป็นสิบเครื่อง ซึ่งผมว่าผมโชคดีก็ตรงนี้แหละครับ เพราะตอน ม.ปลายมีคอมพ์เยอะก็จริง แต่ไม่ให้ นร.ใช้ ได้เข้าห้องคอมพ์ไม่กี่หนใน ชม.เรียนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเกินกว่าจะได้อะไร ถ้าผมไม่ได้เริ่มใช้ตอน ม.3 มาก่อน เรียกว่าคงไปเจอกันอีกทีตอนเข้ามหาลัยเลย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะตอนเข้ามหาลัยในปี 2531 มีเพื่อนสักครึ่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์มาก่อนเลย ไม่ว้าเหว่แน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 20 มี.ค. 25, 18:07
|
|
คงเป็นเหตุบังเอิญที่ผมได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่งานที่มีพลวัตตลอดเวลากระมัง เลยทำให้มีโอกาสได้สัมผัสและอยู่ในกลุ่มคนที่มีภาระต้องดำเนินการให้เกิดผลิตผล ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้/ได้ทำงานในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนผ่านทฤษฎีทางวิชาการ เทคโนโลยี ตรรกะ/กระบวนคิดต่างๆทางเศรษฐกิจ สังคม และเรื่องในบริบทของความมั่นคง
ที่จริงแล้ว คนที่เกิดในช่วงระหว่างปี 2485-2495 น่าจะได้ประสบพบกับสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นเกือบทุกคน ในลักษณะที่แตกต่างกันไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 20 มี.ค. 25, 18:51
|
|
เราได้รู้จักคำว่า ปฏิวัติ เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2500 จำได้ว่าตื่นนอนมา ประมาญ 6 โมงเช้า กำลังเก็บมุ้งและที่นอนก็ได้ยินเสียงวิทยุประกาศ รู้แต่ว่าปฏิวัติ แต่ไม่เข้าใจอะไรนัก แล้วก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ต่อมาเรื่อยๆเป็นระนะๆ จนเราสูงวัย ก็มารู้ว่ามีปฎิวัติในลาวจากเพลง ผู้ใหญ่ลี (พ.ศ.2504) พ.ศ.2508 เข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ก็เกิดวันเสียงปืนแตก วันเริ่มต้นของการสู้รบทางอุดมการณ์การปกครองในไทย ซึ่งยุติลงในปี 2523 รู้จักสงครามเวียดนามอย่างจริงจังเมื่อประมาณ พ.ศ.2512 ซึ่งยุติลงในปี 2518 (ขณะที่ผมกำลังเรียนต่อที่อเมริกา รู้สึกเป็นห่วงภริยาและลูกมากๆ)
แล้วก็การเปลี่ยนรัชกาลเมื่อ พ.ศ.2559
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 20 มี.ค. 25, 19:53
|
|
ในด้านการศึกษา ก็มีการเปลี่ยนจากระบบ 4-6-2 ?? จนกระทั่งมาเป็นระบบ 6-3-3 ?? แต่จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาใดบ้าง ในมหาวิทยาลัยก็มีการเปลี่ยนระบบเหมือนกัน บางสาขาวิชาที่ต้องเรียน 5 ปี ก็เปลี่ยนเป็น 4 ปีก็มี เกิดการใช้ระบบหน่วยกิตเป็นสากล แถม transfer ข้ามภาควิขา ข้ามมหาวิทยาลัยได้อีกด้วยก็มี ...
ในระดับประถมและมัธยมศึกษา ก็มีการยกเลิกบางวิชา เช่น สมบัติผู้ดี หน้าที่พลเมืองดี ประวัติศาสตร์ ...
ที่งุนๆงงๆอยู่บ้างก็ในเรื่องของการออกเสียงภาษาอังกฤษ แต่เดิม ตัว Z ออกเสียง แซด แบบคนอังกฤษ พออิทธิพลเข้ามามากเข้า ก็ออกเสียง ซี แล้วก็คงอยู่เช่นนั้น เด็กต่างโรงเรียนต่างก็งงกันว่าใครออกเสียงผิด/ใครออกเสียงถูก ตัว h ก็เช่นกัน มีทั้งออกเสียง เอช และ เฮช และการสะกดคำและการออกเสียงคำต่างๆแบบอเมริกันหรือแบบอังกฤษ มันไม่ใช่ภาษาของเราแต่ก็ต้องบอกให้รู้กันว่าอะไรเป็นอะไร มิฉะนั้นก็จะเกิดการกล้วผิด เลยไม่ค่อยยอมพูด หรือพูดอ้อมแอ้มๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 21 มี.ค. 25, 19:02
|
|
ภาษาถูกจัดให้เป็น Soft power ที่สำคัญในด้านภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของประเทศทางตะวันตกและจีน การแต่งกายและแฟชั่นเป็นเพียงสิ่งที่แสดงออกถึงการมีตัวตนที่อาจจะทำให้เป็นที่สนใจ
การไปประจำการในยุโรปและทำงานกับระบบ UN ของผม ได้ทำให้ได้เรียนรู้ถึงตรรกะพื้นฐานในการดำเนินการโครงการต่างๆภายใต้บริบทของความร่วมมือระหว่างประเทศว่า ภาษานั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สำคัญมากในเรื่องของการแผ่อิทธิพลและการครอบงำในด้านต่างๆ (ตรรกะความคิด หลักนิยมในการดำเนินชีวิต พฤติกรรมทางสังคม ความเชื่อและอุดมการณ์ต่างๆ ...) ซึ่งจะส่งผลไปถึงเรื่องของการมีพื้นที่อาณาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ใหญ่และมีความสำคัญ มีอำนาจในการต่อรองเรื่องต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 21 มี.ค. 25, 20:39
|
|
ในระบบ UN นั้น เอกสารที่เป็นทางการจะต้องจัดพิมพ์เป็น 6 ภาษา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย จีน และอาหรับ แต่ภาษาที่ใช้สื่อสารและในการทำงานตามปกติทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษ ในการประชุมหารือภายในกลุ่มประเทศทางภูมิศาสตร์ต่างๆก็จะใช้ภาษาอังกฤษ มีแต่เพียงการประชุมอย่างเป็นทางการ (Plenary session) เท่านั้น ที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะใช้ภาษาใดใน 6 ภาษาทางการได้ เพราะจะมีล่ามแปล
ภาษาสื่อสารของผู้คนที่เดินอยู่ในอาคารของ UN จะคละไปด้วยสำนวน สำเนียง คำศัพท์ ... ที่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะคุ้นเคย ภาษาที่เราเห็นว่าตัวเองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานพอได้นั้น รู้สึกว่าเสียหายไปไม่น้อย
จะเห็นว่า อ้งกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เป็นประเทศเล็กแต่มีผัูคนในโลกใช้เป็นภาษาในการสื่อสารมาก ต่างกับเยอรมันซึ่งเคยเป็นประเทศมหาอำนาจใหญ่ในแผ่นดินยุโรป แต่ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงหนึ่งในสี่ภาษาพื้นฐานที่คนในแผ่นดินใหญ่ยุโรปต้องรู้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต แต่กลับไม่มีการยอมรับในระบบ UN
ผมได้สัมผัสกับเรื่องหนึ่งว่า เมื่อเดินทางเข้าไปในเขตเยอรมันตะวันออกเดิมและประเทศยุโรปตะวันออกที่ติดกับเยอรมัน ผู้คนต่างๆเกือบทั้งหมดใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาได้อย่างดี (สงครามเย็นยุติลงในปี 1989) เยอรมันต้องพยายามหาทางให้เพื่อนบ้านได้รู้จักและได้มีการใช้ภาษาเยอรมันมากขึ้น ภายใต้ความเป็นมิตรและความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม จึงพยายามแฝงการใช้ภาษาของตนเข้าไปเผยแพร่ตั้งแต่ระดับเด็กเล็กเลยทีเดียว เช่น การแสดงหุ่นกระบอก ...
แล้วเราจะไม่คิดใช้ภาษาไทยให้เป็น Soft power บ้างหรือ สำหรับภูมิภาคนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 22 มี.ค. 25, 18:47
|
|
เรื่องของภาษานี้ ทำให้นึกไปถึงอีกสองสามเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับคำศํพท์ใหม่ๆเกิดขึ้นมาตามสมัยนิยม ส่วนหนึ่งของคำเหล่านี้มีการใช้แพร่หลายโดยทั่วๆไป อีกส่วนหนึ่งมีการใช้อยู่ในวงจำกัดเฉพาะในกลุ่ม (วัย สังคม อาชีพ ...)
เรื่องที่สองเกี่ยวกับการออกเสียงคำต่างๆที่เพี้ยน/แปลกไปจากที่ตนได้ยินและคุ้นเคย ทั้งในด้านของสำเนียงและคำที่ต้องมีเสียงของอักษรควบกล้ำ ซึ่งสำหรับการฟังภาษาไทย ก็พอออกได้ทั้งหมดในทันที แต่ก็จะมีมากครั้งที่ต้องใช้เวลานึกอยู่บ้างว่า คำนั้นคืออะไร
เสียงควบกล้ำของตัว ล และ ร นั้น จะมีการออกเสียงหรือไม่ มิใช่เรื่องที่เป็นปัญหา ที่ค่อนข้างจะเริ่มมีปัญหาก็เมื่อมีการออกเสียงแบบไม่ควบกล้ำอักษรสำหรับการใช้ในบางประโยค ที่แย่สุดก็คือการไม่มีเสียงควบกล้ำของตัว L และ R ในคำภาษาอังกฤษที่นำมาผูกรวมอยู่ในประโยคคำพูดภาษาไทย พาลเอาบ่อยครั้งต้องใช้การเดาอย่างจริงจัง
ผมเชื่อว่า ผู้สูงวัยทั้งหลายได้รับการเคี่ยวเข็ญอย่างมากจากคุณครูผู้สอนภาษาไทย ให้ต้องออกเสียงคำที่มีอักษรควบกล้ำให้ได้ ซึ่งโดยพื้นฐานก็คือการกระดกลิ้น ซึ่งจะส่งผลอัตโนมัติให้สามารถนำไปใช้กับการออกเสียงคำในภาษาอื่นๆได้อีกหลายภาษา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|