เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 4158 ประสาคนแก่
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 12 มี.ค. 25, 18:08

ด้วยความขี้หลงขี้ลืม คิดช้าลง ใช้เวลาในการประมวลความคิดที่มีมาก(ฮืม) รอบรู้ไปหมดจากประปบการณ์ที่สั่งสมมา ผนวกกับความสามารถ(ขีดจำกัด)ของตนเองในการทำหลายๆเรื่องไปพร้อมๆกัน ทำให้ผู้สูงวัยทั้งหลาย เมื่อคิดว่าจะทำอะไรก็ตาม เมื่อเริ่มต้นทำแล้วก็นิยมที่จะต้องทำต่อเนื่องไปจนจบเรื่องไปเลย กันลืมหน้าลืมหลัง ซึ่งอาจจะยุคิเป็นตอนๆ หรือเป็นแบบรวดเดียวจบทั้งเรื่องก็ได้  การกระทำเช่นนี้ส่วนมากจะมีความวุ่นวายกระทบไปถึงสิ่งแวดล้อมที่เคยมีสภาพปกติ ยังผลให้ผู้ที่อยู่ร่วมชายคาเกิดความรู้สึกว่าช่างวุ่นวายเสียจริง เกิดเป็นความรู้สึกรำคาญกับพฤติกรรมที่วุ่นวายเหล่านั้น (ลืมโน่นลืมนี่ ถามแล้วถามอีก ...) ซึ่งก็มักจะหนีไม่พ้นที่จะตามมาด้วยเสียงบ่นในหลากหลายรูปแบบ  เหตุการณ์ที่ดูดีหน่อยก็จะตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ ( ยิงฟันยิ้ม โธ่ ผู้เฒ่าเอ๊ย)
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 12 มี.ค. 25, 19:11

ก็พอจะสรุปเอาง่ายๆว่า การหลงลืม หรือ ขี้หลงขี้ลืม เป็นอาการประจำวัยของผู้ที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งก็ดูแปลกที่อาหารนี้จะเกิดขึ้นมากเป็นพิเศษเฉพาะกับข้อมูลหรือความรู้สั้นๆใหม่ๆที่ได้รับมา คือรับรู้มาและจดจำได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งระยะเวลาของการจดจำโดยส่วนมากจะสั้นลงมากขึ้น แปรไปตามอายุที่มากขึ้น   

ต่างไปจากข้อมูลและความรู้เก่าแก่หลายๆสิบปีที่ผู้สูงอายุส่วนมากยังสามารถจะจำได้อยู่ สามารถขุดนำออกมาสนทนาถกเถียงกันในหมู่พวกอายุรุ่นราวคราวเดียวกันได้  ซึ่งน่าสนใจอยู่เหมือนกันว่า ส่วนที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวพันอยู่ด้วยนั้น ดูจะจำได้ไม่ค่อยได้ดีนัก คล้ายลักษณะของการค้นไฟล์ที่เกี่ยวข้องออกมาไม่ทัน หรือลืม(ระบบ)ที่ตนจัดเก็บไว้  แต่สำหรับ่โครงสร้างหลักของเรื่องราวนั้นๆ ทุกๆคนกลับดูจะจำได้แม่นดี 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 13 มี.ค. 25, 18:53

ขี้หลงขี้ลืม ยังมิใช่อาการที่ถูกจัดว่าเป็นโรคสมองเสื่อมที่เรียกว่า Alzheimer  แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการหลงเกิดขึ้นมากกว่าอาการลืม เมื่อนั้นแหละคือลางของการบอกเหตุว่าโรคสมองเสื่อมอาจจะกำลังคืบคลานเข้ามาเยี่ยมเยียน   

นอกจาก Alzheimer จะมีอาการหลง จำอะไรไม่ได้แล้ว  ก็ยังมีอีกอาการหนึ่งที่มักจะเกิดชึ้นกับผู้ที่มีอายุสูงมากๆ  คืออาการหัวสั่นและมือไม้สั่น 

ผู้สูงวัยที่มีอาการทั้งสองลักษณะที่ล่าวถึงมานี้ จะช่วยต้วเองได้อย่างมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก มีเรื่องของการกระทำที่ทำให้เกิดความสกปรกกับตัวเองได้บ่อยครั้งมากๆ ทั้งจากการกิน เรื่องของสุขอนามัยต่างๆ รวมทั้งการทำของตกแตก ฯลฯ   

เสียงบ่นของผู้คนร่วมชายคาดูจะเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง มิใช่ในลักษณะของผรุสวาท แต่จะเป็นแบบระบายอารมภ์ หยอกล้อ และขบขัน  ผู้เฒ่าก็เลยมีความเครียดน้อยลงและอาจรู้สึกขบขันไปด้วย           
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 13 มี.ค. 25, 20:19

ว่าถึงเรื่องการบ่นของคนแก่

ผมมองว่า การบ่นเป็นหนึ่งในวิธีการระบายความรู้สึกของมนษย์และสัตว์โลกทั่วไป  ทำไปเพื่อลดความเครียด/ความไม่พอใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายๆเรื่องที่รู้สึกอึดอัดใจ  ซึ่งพื้นฐานโดยทั่วๆไปแล้ว การบ่นดูจะเกิดจากการที่เรื่องหรือสิ่งที่ได้เกิดนั้นได้เกิดมีการกระทำที่มีความขัดแย้งกับระเบียบ กติกา หลักคิด ความเชื่อ ความไม่ชอบ... ของตน(คนที่บ่น)

การบ่นเล็กๆน้อยเป็นเรื่องปกติ หากบ่นในทุกเรื่องก็จะกลายเป็นคนขี้บ่น เป็นคนที่น่ารำคาญของคนอื่นๆ  แต่หากบ่นอยู่คนเดียวหรือเดินบ่นอยู่คนเดียวตลอดเวลา นั่นน่าจะเป็นอาการใกล้ไปทางโรคประสาท 

ก็เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ไม่น้อยนะครับ ที่ในปัจจุบันนี้ ในตลาดสดพื้นบ้าน (เช้า บ่าย)ดูจะคละมากไปด้วยคนที่เดินจ่ายตลาดที่เดินไปบ่นไปกับสินค้าข้าวของที่วางขาย  และกับคนที่เดินจ่ายตลาดแบบพูดเองเออเอง วิเคราห์วิจารณ์สินค้าต่างๆที่วางขาย   จะว่าแล้วในช่วงประมาณสองปีที่ผ่านมา ได้ยินแต่เรื่องสนทนาของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายทุกวัยในลักษณะของการบ่นให้กันฟัง
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 14 มี.ค. 25, 19:03

มนุษย์มีกฎกติกาของความพอใจของตัวเองมาตั้งแต่วัยยังแบเบาะ เมื่อครั้งยังพูดไม่ได้ก็แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและการเปล่งเสียง เมื่ออายุมากขึ้น มีการเรียนรู้มากขึ้น อยู่ในสังคมลักษณะต่างๆ กฎกติกาเหล่าสำหรับตนเองก็มีมากขึ้น มีความหลากหลายและมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว 

เมื่อแรกมาอยู่ในชายคาเดียวกัน ในช่วงแรกๆต่างคนต่างก็พยายามละลดเว้นกฎกติกาของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  เมื่อนานวันมากขึ้น วัยมากขึ้น มีสมาชิกมากขึ้น ทุกคนในแต่ละวัยในชายคานั้นต่างก็จะมีเส้นทางของชีวิตต่างกันไป ไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ต่างกัน ความไม่สอดคล้องกันในเรื่องของแนวคิด กฎ ระเบียบ กติกา เกิดขึ้นและมีมากมายไปหมด การบ่นก็เลยดูจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในสังคมของแต่ละชายคาบ้าน  ด้วยการเห็นภาพในลักษณะเช่นนี้ การพยายามอลุ่มอล่วยจึงเป็นเรื่องที่พึงทำที่สุด ซึ่งคนแก่ทุกคนดูจะตระหนักในวิธีการนี้     
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 14 มี.ค. 25, 19:31

ผู้มีอายุมากจะมีความล้าในองค์รวมเกือบทุกด้าน ตามไม่ค่อยจะทันกับพัฒนาการต่างๆที่ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งช้า ยิ่งตามไม่ค่อยจะทันโลกมากขึ้น  สภาพการณ์นี้ ทำให้ผู้สูงวัยมักจะแสเงอาการอยากรู้เรื่องด้วย   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 15 มี.ค. 25, 10:23

    ขอร่วมวงด้วย
    โลกเดี๋ยวนี้หมุนเร็วขึ้นมากค่ะ จนคนแก่ยุคนี้ตามไม่ทัน    ในยุคดิฉันยังเด็ก เวลาห่างกัน 10 ปีดูไม่ต่างกันนักสำหรับผู้ใหญ่  คือคนอายุ 55 หรือ 65  ก็มองเห็นโลกได้เท่าๆกัน   แต่เดี๋ยวนี้คนอายุ 60 ขึ้นไปเหมือนจะอยู่คนละโลกกับคนที่อายุอ่อนกว่า    เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวดเร็วจนตามไม่ทัน
    ดิฉันยังจำได้ว่าเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่เกษียณแล้ว   เชื่อข่าวทุกข่าวที่ส่งมาทางไลน์  ไม่ว่าจะเป็นคืนนี้โลกจะเจอรังสีจากดวงอาทิตย์ ให้ปิดมือถือไม่งั้นจะพัง    หรือข่าวผู้ก่อการร้ายจะยึดภาคเหนือ   หรือกินเมล็ดอะไรสักอย่างบดละเอียดจะรักษาโรคมะเร็งได้    มะนาวโซดาก็รักษามะเร็งได้เช่นกัน     ทั้งนี้เพราะเธอเคยชินกับการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่บรรณาธิการย่อมกลั่นกรองแล้วตามหน้าที่ จึงจะนำลงได้ว่าเป็นข่าวจริง   ไม่ได้นึกว่าข่าวส่งต่อๆมาทางไลน์ เป็นข่าวเท็จเพราะใครๆก็ส่งได้ รวมทั้งมนุษย์โรคจิตที่ชอบปั่นข่าวด้วย
    ที่น่าห่วงกว่าข่าวเท็จทางไลน์หลอกคนแก่  คือคอลเซนเตอร์หรือมิจฉาชีพที่มุ่งเป้าหมายที่ข้าราชการเกษียณโดยเฉพาะ    ให้โอนเงินไปตรวจสอบกับตำรวจเก๊ที่มีหน้าตาแต่งเครื่องแบบชัดเจน   หรือให้คลิกลิ้งค์ที่ดูดเงินไปได้     ข้าราชการเกษียณเหล่านี้ แม้ว่าท่านอาจมีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพที่ทำมาจนเกษียณ  มีเงินสะสมในบัญชีหลายล้าน  แต่ท่านไม่รู้เทคโนโลยี  ก็เสียท่าพวกมิจฉาชีพได้ง่ายๆ
   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 15 มี.ค. 25, 18:59

ก็เป็นความจริงตามที่ว่ามาครับ   

เมื่อประมาณก่อน พ.ศ.2540 นั้น ความรู้และความรอบรู้ในทุกๆเรื่องของผู้คนโดยทั่วไป เกือบทั้งหมดจะได้มาจากการอ่านเรื่องราวที่อยู่บนกระดาษ (ที่เรียกว่า Hard copy) รวมทั้งที่ได้มาจากสื่อทางทัศน์และสื่อทางสื่อโสต  ช่วงเวลาประมาณนี้เป็นช่วงเวลาของการเริ่มการก้าวกระโดดของการบันทึก การประมวล และการนำเสนอข้อมูลข่าวสารทางอีเล็กทรอนิกส์  เป็นช่วงที่ CPU Pentium เพิ่งจะเข้ามาทดแทน CPU 8086 ได้ไม่มากนัก หน่วยความจำ ROM โดยทั่วๆไปยังพูดกันอยู่ในระดับหน่วยของ ฺGB 

ผู้ที่มีอายุประมาณ 50 ปีในช่วงปีที่กล่าวถึงนี้ ล้วนเป็นผู้คนที่อยู่ในช่วงต่อหรือช่วงของการกระโดดข้ามการใช้เทคโนโลยีระหว่างระบบ Hard copy กับ ระบบ Electronics  ซึ่งหากเป็นผู้ทำงานในระดับปฏิบัติก็ยังพอจะตามติดทันการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้  แต่หากอยู่ในระดับเป็นผู้บริหาร ก็ดูจะมีค่อนข้างน้อยคนที่จะตามทัน แม้จะเพียงในระดับที่พอเข้าใจทำเองได้บ้าง     

สำหรับผู้เฒ่าในระดับของบุพการีก็น่าจะอยู่ในวัยอายุประมาณ 70 - 80 ปี กล่าวได้ว่าพ้นวัยที่จะเรียนให้รู้ได้มากพอที่จะสามารถตามทันพัฒนาการต่างๆได้
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 15 มี.ค. 25, 20:00

ในปัจจุบัน เมื่อทุกคนมีโอกาสที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองได้รับรู้มา หรือที่ตนเองได้นำมาประมวลกับความรู้/ความเชื่อที่ตนเองมี  ข้อมูลข่าวสารในเรื่องเดียวกันก็เลยมีมากมายหลายแง่หลายมุม หลายความเห็น หลายมโน  ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดก็เลยกำเนิดขึ้นมา กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งสนุก น่าติดตาม   แต่ผู้สูงวัยมีข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องทางและความหลากหลายของสื่อที่แสดงแนวคิดบนฐานความคิดที่ต่างกัน   การพยายามเข้าร่วมวงสนทนากับคนที่เยาว์วัยกว่าในเรื่องต่างๆก็จำกัดด้วยข้อมูลที่มีไม่เท่าเทียมกับเขา   

ยิงฟันยิ้ม...ก็คงนึกออกนะครับว่าภาพจะออกมาเป็นเช่นไร  ภาพหนึ่งที่ดูจะตามมาก็คือเรื่องของการแอบฟังการสนทนาต่างๆของผู้เฒ่าหลายๆคน   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 16 มี.ค. 25, 18:00

คำว่า แอบ อาจจะดูรุนแรงและหยาบคาย ต้องขออภัยครับ ขณะที่เขียนนั้นนึกคำที่เหมาะสมไม่ออก คำบรรยายที่เหมาะสมกว่าควรจะเป็นคำว่า เงี่ยหูฟัง

คำว่า แอบ ดูจะเป็นคำในกลุ่มคำที่ใช้กับการแสดงอากัปกริยาในทางลบ แต่มันก็แสดงภาพในด้านบวกด้วยเมื่อตามท้ายด้วยคำอธิบายที่เหมาะสม เช่น เมื่อเปลี่ยนจาก แอบมอง เป็น แอบจ้อง  เปลี่ยนจาก แอบทำ เป็น แอบปฏิบัติ เปลียนจาก แอบขุดค้น เป็น แอบแสวงหา   

เพียงนึกลองภูมิตนเองขึ้นมาครับ  ยิ้มกว้างๆ           
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 16 มี.ค. 25, 19:41

อาการในเรื่องของการได้ยินและการมองเห็น เป็นอาการที่พัฒนาพร้อมไปกับการมีอายุมากขึ้น ทั้งสองเรื่องนี้ดูจะเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 40+ ปี    เมื่อเข้าสู่วัยอายุประมาณ 70 ปี เราจะเริ่มรับรู้ผลกระทบอย่างจริงจังที่เกิดขึ้นกับการใช้ชีวิตประจำวัน

ในเรื่องของการได้ยินนั้น ความสามารถในการได้ยินจะแปรผันไปตามความดังของเสียงของแต่ละความถี่ ซึ่งโดยประมาณก็คือ เมื่ออายุประมาณ 70 ปี จะเสียความสามารถในการได้ยินไปประมาณครึ่งหนึ่งกระมัง ?? (ต้องถามคุณหมอครับ)  ในภาษาสนทนากัน ก็ว่าเป็นอาการหูตึง ซึ่งจะเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไปในแต่ละผู้เฒ่า แถมด้วย อาการหูตึงนี้ยังเกิดขึ้นกับหูทั้งสองข้างไม่เท่ากัน และของแต่ละคนก็ดูจะไม่เหมือนกันในเรื่องของเสียงสูงและเสียงต่ำในการได้ยินของหูแต่ละข้างของแต่ละคนอีกด้วย  คนแก่แต่ละคนก็เลยจะมีลักษณะของการได้ยินเป็นการเฉพาะตัว

สิ่งที่ตามมาด้วยเรื่องของการได้ยินก็จะมี เช่น อะไรนะ ว่าไงนะ พูดอีกที ปุจฉาในคนละเรื่องเดียวกันที่มักจะตามมาด้วยการหัวร่อขบขัน ...   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 17 มี.ค. 25, 11:08

  ขอเล่าประสบการณ์คนแก่กับเทคโนโลยีบ้าง
  ส่วนตัว   ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานตั้งแต่พ.ศ. 2535   เพราะเป็นคนที่ไม่เขียนงานด้วยลายมือ   ก่อนหน้านี้ใช้พิมพ์ดีดไฟฟ้า  แต่พอคอมพิวเตอร์เข้ามาก็เริ่มสนใจ
   สมัยนั้นคอมฯเทอะทะมาก  มีอุปกรณ์หลายชิ้น นอกจากจอเป็นกล่องสี่เหลี่ยม   มีขาตั้งแยกกับตัวคีบอร์ดแล้ว  ก็ยังมีตัวเครื่องอีกเครื่องไว้ให้เสียบแผ่นการ์ดเจาะรู  ไม่รวมพริ้นเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง   เรียกว่าต้องแบ่งห้องไว้วางโดยเฉพาะ  เรียกเครื่องนี้ว่า word processor
  โปรแกรมที่ใช้มี 2 อย่างชื่อเวิร์ดราชวิถี กับเวิร์ดจุฬา  ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักวินโดว์  อินเทอร์เน็ตหรืออินทรเนตรก็ยังไม่อุบัติขึ้นมา
   ต่อมา จึงเกิดคอมพิวเตอร์ขนาดกระเป๋าหิ้ว เรียกว่า laptop หรือ notebook  ทำให้สะดวกในการหิ้วไปไหนมาไหนอีกหน่อย  แต่ก็ต้องเสียบปลั๊ก หรือถ้าใช้ถ่านแบตเตอรี ก็ต้องคอยชาร์จ      เครื่องพวกนี้ถ้าเสียแล้วโดยมากไม่ฟื้นคืนดีอย่างเก่า   ถ้าเอาไปซ่อมก็จะกลับมาแบบสามวันดีสี่วันไข้  จนได้บทเรียนว่าไม่ควรซ่อมให้เสียเงินและเสียเวลา
   อินทรเนตรยังไม่มา   แต่มีสิ่งที่เรียกว่า Fax modem  สามารถส่งไฟล์ไปให้ปลายทางได้   ไม่ต้องส่งเอกสารทางไปรษณีย์อย่างเมื่อก่อน  แต่ต้องมีอุปกรณ์ติดตั้งที่ต้นทางและปลายทาง
   เมื่อค.ศ. 1999 อินทรเนตรมาถึง    ในตอนแรกๆจ่ายค่าเวลาแพงมาก   แถมก็ต้องดูคลื่นด้วยว่าแถวนั้นมีไหม  ถ้าไม่มีก็รับส่งไม่ได้    โดยเฉพาะในต่างจังหวัดมักจะมีเฉพาะในตัวเมืองเท่านั้น ยังไม่เขยิบออกไปรอบนอก  
   Search engine  มี yahoo เป็นหลัก    ส่วน browser มี Internet Explorer เป็นพี่ใหญ่   รองลงมาคือเจ้าจิ้งจอกไฟ firefox  ส่วน Chrome  ไม่รู้จัก อาจจะมีแล้วในตอนนั้นแต่ยังไม่เคยใช้
   อินเทอร์เน็ตในยุคเปลี่ยนผ่านศตวรรษยังไม่แพร่หลายนัก   เพราะเครื่องคอมฯส่วนใหญ่อยู่ที่สำนักงาน  ไม่ใช่บ้าน   พวกแล็บท็อปก็ราคาหลายหมื่น ใช้เฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น   โทรศัพท์มือถือมีเอาไว้โทร.หากันอย่างเดียว  
   โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกยี่ห้อ Motorola  ใช้โทรเข้าออก และถา่ยรูปได้แต่ออกมาเล็ก ไม่ค่อยชัด แต่ก็รับใช้งานได้ดี จนกระทั่ง   smart phone เข้ามา  โลกก็เปลี่ยนไปแทบจะตามไม่ทัน  แม้แต่คนที่ใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะตาม
    ทุกวันนี้เวลาออกไปไหนมาไหน  จะเห็นหนุ่มสาวทั้งหลายนั่งหรือยืนก้มหน้ามองจอสมาร์ทโฟน   ไม่เงยหน้ามองมนุษย์มนาด้วยกัน    ทุกคนให้ความสำคัญกับการอ่านบนจอมือถือ   ไม่มีมนุษยสัมพันธ์  แม้แต่คนที่ไปกินข้าวในร้านด้วยกัน   พอมีเวลาก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูกันทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 17 มี.ค. 25, 18:26

เห็นภาพชัดเลยเลยครับ

ช่วยเสริมอีกนิดนึงครับ   ช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ.2535 ผมเริ่มทำงานด้านนโยบาย มีเรื่องเกี่ยวกับงานเอกสารจำนวนมาก เลยพอจะรู้เรื่องคอมพิวเตอร์บ้าง     ยุคนั้นยังมีตำแหน่งลูกจ้างพนักงานพิมพ์ดีดในระบบราชการ  เป็นยุคที่หน่วยราชการต่างๆคิดถึงการใช้คอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง ช่วยในการจัดเก็บและจัดการกับข้อมูลที่มีสะสมและต้องเก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมาก ก็มีความคิดกันอยู่ 2 แนว คือการใช้ระบบ Main frame (ใช้ระบบปฏิบัติการ LINUX และใช้เทปในการบึนทึกข้อมูล) หรือจะใช้ระบบ PC   ในช่วงเวลานั้น ระบบ PC ก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก ระบบปฏิบัติการที่แต่เดิมใช้ DOS ถูกระบบ Windows ตีตลาดแตก พร้อมไปกับพัฒนาการเก็บข้อมูลจากแบบใช้ Diskette (Floppy disk) เป็น Optical disk แล้วเป็น Flash drive จนเป็น SD card และอื่นๆในปัจจุบัน         
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 17 มี.ค. 25, 19:47

ในภาพที่เล่ามานั้น คงพอจะเห็นว่า จุดประสงค์หลักในการคิดนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ตั้งอยู่บนเรื่องของการจัดการกับข้อมูลเป็นหลัก ส่วนราชการของประเทศต่างๆทั่วโลกก็คิดอยู่ในพื้นฐานเดียวกัน ที่คิดต่างออกไปเพื่อการใช้งานในเรื่องของการคำนวณและการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์นั้น ดูจะมีอยู่แต่ในวงการศึกษาและการวิจัยทางเทคโนโลยี

บนพื้นฐานหลักๆที่ได้กล่าวมานี้ ประกอบกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ผู้คนในโลกกำลังตื่นตัวและให้ความสนใจในยุคนั้น (UNEP / UNCED - Agenda 21, June 1992) ผนวกกับซอล์ฟแวร์ที่ได้มีการพัฒนาใช้คอมพิวเตอร์ให้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบซับซ้อนหลายมิติของแต่ละพิกัดพื้นที่ต่างๆบนโลก ทำให้คำว่า GIS (Geographical Information System) และระบบที่เกี่ยวข้องเป็นที่สนใจและมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดด  ผันแปรต่อมา กลายเป็นฐานชองระบบ GPS ที่ใช้แพร่กระจายกันอยู่ในปัจจุบัน

ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นฐานระบบดิจิตัลสำหรับ GIS / GPS ในระยะแรกๆของไทยเรา ก็ร่วมมือกันระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย   กรมแผนที่ทหารก็ทำเหมือนกัน ในอีกลักษณะหนึ่ง แต่ก็โยงใยใช้กันได้ 
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 18 มี.ค. 25, 12:46

ผมขอย้อนเวลาสมัยยังหนุ่มสักนิด  ยิ้มเท่ห์

ก่อนปี 2000 ระบบบัญชีส่วนใหญ่ใช้ AS400 จากไอบีเอ็มเป็นหลัก มีเครื่องเมนเฟรมอยู่ในห้องเซิร์ฟเวอร์ตัวเดียว (ก้บปรินเตอร์) ส่วนพนักงานจะใช้จอเทอร์มินอลตัวอักษีสีเขียวทำงานด้านบัญชี และใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทำงานด้านเอกสาร หลังปี 2000 ระบบ AS400 ก็ค่อยๆ สูญหายไปจากตลาดโลก กลายเป็นโปรแกรมโน่นนั่นนี่รันบนเซิร์ฟเวอร์และทำงานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ


ส่วนโปรแกรม DOS ผมเคยนำใบลิขสิทธิ์ราคา 5 ล้านบาทมารองถ้วยกาแฟ เหตุผลก็คือไม่มีใครบอกว่าเป็นของสำคัญ ฮาาา...

กระทู้นี้น่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะผมที่วัยชรากำลังกวักมือเรียกอยู่หน้าบ้าน อาการนอนหลับยากเริ่มมาเยือนแล้วครับ  ร้องไห้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง