เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22
  พิมพ์  
อ่าน: 23436 คุยกันเรื่องวิลเลียม เชกสเปียร์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 300  เมื่อ 28 เม.ย. 25, 10:03

   เมื่อเอ่ยถึงคาลิบันก็ต้องเอ่ยถึงภูตอีกตัวหนึ่งบนเกาะ  คือแอเรียล ภูตแห่งสายลม
   แอเรียลถูกนางแม่มดแม่ของคาลิบันขังไว้ในต้นไม้บนเกาะ    พรอสเพอโรช่วยให้หลุดออกมาได้  แต่ไม่ได้ปล่อยตัวไป คงใช้อาคมทำให้แอเรียลกลายเป็นข้ารับใช้เขา  มีหน้าที่ดลบันดาลอะไรต่อมิอะไรให้ เพราะแอเรียลมีฤทธิ์ตามประสาภูตอยู่บ้าง  รวมทั้งให้ทำหน้าที่ใช้งานคาลิบันและลงโทษคาลิบันได้ด้วย
   แอเรียลเป็นภูตฝ่ายดี  อุปนิสัยร่าเริงเป็นมิตร   ปรารถนาอย่างเดียวคืออยากเป็นไทแก่ตัว เป็นอิสระเหมือนสายลมที่พัดไปไหนก็ได้   พรอสเพอโรสัญญาว่าจะปล่อยแอเรียลให้พ้นสภาพข้ารับใช้ แต่เมื่อไหร่ไม่ได้กำหนดเวลา   แอเรียลก็เฝ้าทวงถาม  ก็ได้คำตอบแบบเดิมว่า "ยัง"   แอเรียลออกจะว่าง่าย ก็ก้มหน้าก้มตารับใช้โดยดี เช่นใช้ให้ไปทำพายุใหญ่ซัดเรือของอันโตนิโยน้องชายผู้ทรยศให้จม ก็ทำ    ใช้ให้คนที่รอดตายกระจัดกระจายกันไปบนเกาะ หากันไม่เจอ   ก็ทำ   จนกระทั่งตอนจบของเรื่อง เมื่อพรอสเพอโรทำลายคัมภีร์ของตนทิ้ง  เพื่อกลับคืนสู่บ้านในมิลาน  แอเรียลก็ได้เป็นอิสระตามสัญญา
    คนดู(และคนอ่าน) มักจะชอบแอเรียล   คล้ายกับเอ็นดูเด็กนักเรียนประพฤติดี  อยู่ในโอวาทครู   จัดแอเรียลเป็นฝ่ายเดียวกับพรอสเพอโร มิแรนดาและเฟอร์ดินานด์   แต่ถ้าเรามองลึกลงไปถึงทัศนะอาณานิคม   แอเรียลก็คล้ายประเทศอาณานิคมที่แม้จะอึดอัดกับ "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส" แต่ก็เลือกวิธีโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ขัดขืน  เพื่อจะอยู่กับพรอสเพอโรได้อย่างเป็นสุขพอประมาณ    ด้วยความหวังว่าเมื่อถึงเวลา  เจ้านายก็จะปล่อยให้ตนเป็นไทแก่ตัวเอง   ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขัดขืนอย่างคาลิบันให้เจ็บตัวเปล่าๆ
  การตีความแบบนี้ยากจะฟันธงลงไปว่า คุณปู่ของเราชี้นำว่าอาณานิคมทั้งหลาย จงอย่าได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้เลย  ทำตัวเรียบร้อยเอาไว้ดีกว่า   วันหนึ่งนายเขาหมดธุระจะปกครองแล้ว เขาก็ปล่อยให้เป็นไทแก่ตัวเอง  หรือคุณปู่เพียงแต่สะท้อนภาพไว้เฉยๆว่า บ่าวหรือเชลยที่ตกอยู่ใต้อำนาจนาย มี 2 แบบคือแบบปฏิวัติไม่รู้จบอย่างคาลิบัน  กับแบบโอนอ่อนผ่อนตามอย่างแอเรียล    ส่วนอย่างไหนดีกว่ากัน  ให้คนดู(หรือคนอ่าน)ตัดสินเอาเอง หรือไปถกเถียงกันเอาเอง   หน้าที่ของผู้ผลิตงานวรรณกรรมคือเสนอความคิด  ส่วนการตัดสินเป็นเรื่องของคนเสพ  คนเขียนไม่ฟันธงเสียเอง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 301  เมื่อ 28 เม.ย. 25, 11:08

    ขอแยกซอยไปพูดถึงคุณค่าของวรรณกรรมเชกสเปียร์หน่อยนะคะ
   งานของคุณปู่ยั่งยืนมาจนบัดนี้ ในขณะที่งานของเพื่อนๆท่านตกหายไปในกระแสกาลเวลากันหมดแล้ว เหตุผลหนึ่งคือเป็นเรื่องที่มองได้หลายมุม   ข้อนี้เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของวรรณกรรมชั้นเลิศ   ผิดกับนิทานเด็กหรือเรื่องแต่งธรรมดาๆที่มองได้มุมเดียว
   ขยายความ
   ถ้าใครชอบพรอสเพอโร มองจากมุมนี้จะเห็นเจ้าผู้ครองนครวัยกลางคนที่สง่างาม  ฉลาดเฉลียว  วาจาไพเราะ แถมยังเก่งเหนือมนุษย์   เป็นตัวเอกยิ่งกว่าเจ้าชายเฟอร์ดินานด์เสียอีก   บางคนถึงกับเทียบว่าพรอสเพอโรน่าจะเป็นเชกสเปียร์เอง แต่งเรื่องนี้เพื่ออำลาวงการละคร ตามที่กล่าวคำอำลาแก่คนดูในตอนจบ
   แต่ถ้าหันไปมองในมุมของคาลิบัน  ไอ้เจ้านี่จู่โจมมายึดบ้านข้า  แถมยังถีบข้าลงเป็นทาส  มีสิทธิ์อะไร มันผู้รา้ยชัดๆ   
    มองอีกทีจากมุมของแอเรียล  ท่านมีอำนาจเหนือข้า ข้าก็ต้องยอมรับ แต่ใจข้าก็โหยหาอิสรภาพอยู่ดี  ขอบคุณที่ท่านทำตามสัญญา   
   มองจากมุมของมิแรนดา   เรามีกันสองคนพ่อลูก  พ่อฉลาด พ่อใจดี  พ่อเป็นผู้คุ้มครองป้องกันภัยให้ลูกเสมอ  เมื่อลูกมีความรัก พ่อก็ฉลาดพอจะทดสอบผู้ชายคนนั้นว่าดีพอจะเป็นสามีลูกหรือเปล่า    พ่อเป็นวีรบุรุษของลูก
    แต่การมองได้หลายมุมแบบนี้  ไม่อาจเกิดได้ในเรื่องง่ายๆฟันธงได้แบบเดียวอย่างนิทานเด็ก  เรื่องอ่านเล่นธรรมดาๆ หรือเรื่องนักสืบ เช่นทำยังไงเราก็มองไม่ได้ว่าแม่เลี้ยงของซินเดอเรลลาเป็นคนน่าเห็นใจ ส่วนนางเอกนั่นก็สมควรแล้วจะเป็นสาวใช้ก้นครัว ไม่ควรได้แต่งงานกับเจ้าชาย     ถ้าจะเปลี่ยนให้มองแบบนี้ได้ก็ต้องเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปทั้งหมด   
   เรื่องนักสืบก็เช่นกัน  เมื่อเชอร์ล็อคโฮล์มส์หรือปัวโรต์ไขปริศนาได้ว่าใครเป็นผู้ร้าย   ก็ต้องมองตามนั้น   คนอ่านก็ไม่มีสิทธิ์แย้งว่า ไม่ใช่   ไม่ใช่คุณนายที่วางยาพิษผัว แม้นางรับสารภาพก็ตาม   ต้องเป็นเพื่อนบ้านต่างหากที่ลอบเข้ามาฆ่าเขา
   เรื่องที่มองได้มุมเดียวมีจุดอ่อน คือเมื่อกาลเวลาผ่านไป  มุมมองที่นักเขียนกำหนดให้คนอ่านเห็น ก็อาจจะไม่เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว   เช่นยกย่องสรรเสริญนางเอกที่ถูกข่มขืน ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อล้างมลทิน  มาถึงยุคนี้คนอ่านเห็นว่านางเอกทั้งโง่ทั้งอ่อนต่อโลก  ไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์  สังคมรอบตัวก็แย่มากที่ชักจูงค่านิยมผิดๆให้ผู้หญิง   เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก็ตกยุคไปเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 302  เมื่อ 28 เม.ย. 25, 11:19

     มาถึงตอนจบของ The Tempest  ซึ่งลง epilogue หรือ ปัจฉิมกถา  ของพรอสเพอโรไว้เป็นการส่งท้าย
     เป็นธรรมเนียมของละครสมัยนั้นที่พอเรื่องจบ ก็ไม่ใช่ว่าปิดม่านไปเฉยๆ  แต่จะต้องมีตัวเอกออกมากล่าวปัจฉิมกถาเป็นการส่งท้าย  จะให้คติธรรม หรือกล่าวอำลา อะไรก็ตามแต่เห็นสมควร
EPILOGUE,
spoken by Prospero.
 
Now my charms are all o’erthrown,
And what strength I have ’s mine own,
Which is most faint. Now ’tis true
I must be here confined by you,
Or sent to Naples. Let me not,
Since I have my dukedom got
And pardoned the deceiver, dwell
In this bare island by your spell,
But release me from my bands
With the help of your good hands.
Gentle breath of yours my sails
Must fill, or else my project fails,
Which was to please. Now I want
Spirits to enforce, art to enchant,
And my ending is despair,
Unless I be relieved by prayer,
Which pierces so that it assaults
Mercy itself, and frees all faults.
As you from crimes would pardoned be,
Let your indulgence set me free.
พรุ่งนี้จะมาแปลให้อ่านกันค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 303  เมื่อ 29 เม.ย. 25, 10:50

     พรอสเพอโรขอร้องให้คนดูละครช่วยปลดปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ  บัดนี้เขาได้ละทิ้งเวทมนตร์ทั้งหมด  และยกโทษให้ผู้ที่ทำร้ายเขา   ความปรารถนาในตอนนี้คือออกจากเกาะ หลังจากติดอยู่ตรงนี้ยาวนาน เพื่อกลับไปบ้านเกิดเสียที
      เขาขอให้ผู้ชมปล่อยตัวเขาด้วยการปรบมือ เพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาจะได้อิสรภาพสมความมุ่งหมาย    พรอสเพอโรยังทิ้งท้ายไว้ว่า การให้อภัยศัตรูในอดีตคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา
     เมื่อเสียงปรบมือของผู้ชมดังกังวานขึ้นตามคำขอ  พรอสเพอโรก็เดินออกจากเวทีไป
 
    คำอำลาในละครเรื่องนี้ ได้รับการตีความแพร่หลายว่าเป็นบทอำลาวงการละครของเชกสเปียร์เอง  เพราะเขาเองก็มีบทบาทชีวิตไม่ต่างจากพรอสเพอโร  พรอสเพอโรมีเวทมนตร์เป็นพลังประจำตัว  เชกสเปียร์มีศิลปะและพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์งาน   พรอสเพอโรเป็นเจ้าเกาะ บงการชีวิตของคาลิบันและแอเรียล    เชกสเปียร์เป็นนักเขียนบทละคร สามารถบงการชีวิตตัวละครให้เป็นไปตามต้องการ   พรอสเพอโรกำกับเหตุการณ์บนเกาะ   เชกสเปียร์กำกับละคร    พรอสเพอโรอำลาเกาะกลับไปบ้านเมืองของตน  เชกสเปียร์อยู่ในช่วงท้ายของอาชีพ  ใกล้จะเกษียณตัวเองเพื่อกลับบ้านเกิด
    ที่เชื่อกันเช่นนี้ มาจากความเชื่อว่า  The Tempest เป็นละครเรื่องสุดท้ายของเชกสเปียร์   แต่ความจริงจะต้องแถมท้ายว่าเป็นเรื่องสุดท้ายที่คุณปู่แต่งแต่ผู้เดียว    เชกสเปียร์ไม่ได้จบแค่เรื่องนี้  หลังจากนั้น ยังมีละครเรื่องอื่นๆผลิตออกมาอีก แต่เชื่อว่าเขาแต่งร่วมกับนักเขียนบทละครคนอื่น  เช่น John Fletcher   ได้แก่เรื่อง     Henry VIII และ The Two Noble Kinsmen  
    ขอหมายเหตุเพิ่มเติมว่า ในบรรดางานทั้งหมด  มีเรื่องหนึ่ง สูญหายไปไม่เหลือฉบับพิมพ์ให้เห็น คือ Cardenio เลยไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 304  เมื่อ 29 เม.ย. 25, 11:28

  ตอนนี้ เชกสเปียร์อายุ 49 แล้ว  ถึงเวลาจะเกษียณตัวเองจากงานเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายเสียที  เขาเลือกที่จะกลับไปบ้านเกิดที่ทิ้งมาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ
   เราคงแปลกใจว่า อายุแค่ 49 ปีเอง  อ่อนกว่าพี่หนุ่มกรรชัยเสียอีก ทำไมทำตัวเหมือนคนแก่หงำเหงือก   ขอตอบว่าในยุคของคุณปู่  อายุโดยเฉลี่ยของผู้คนคือ 40 ปี เท่านั้นเอง   นี่เกินมาตั้ง 9 ปี   ถ้าเป็นยุคนี้ก็เหมือนอายุสัก 80 แล้ว
   ในเมื่อสะสมเงินทองได้มากพอจะอยู่อย่างสบายไปจนตาย ก็จะตรากตรำทำงานไปทำไมอีก   งานชิ้นท้ายๆของคุณปู่จึงไม่ได้แต่งคนเดียว แต่มีนักเขียนบทละครอีกคนมาช่วยผ่อนแรงด้วย
   จากนั้นคุณปู่ก็กลับสแตรทฟอร์ด อพอน เอวอน  ที่ลูกเมียยังรออยู่พร้อมหน้า
   
   แอนน์ แฮทธาเวย์ยังคงมีชีวิตอยู่ พร้อมกับลูกสาว 2 คน  ซูซานนา ลูกสาวคนโตแต่งงานไปแล้วกับนายแพทย์จอห์น ฮอลล์  ส่วนจูดิธ ลูกสาวคนเล็กยังไม่ได้แต่งงาน   เชกสเปียร์ดำรงชีวิตอย่างคหบดีท้องถิ่น   ซื้อบ้านใหญ่เป็นที่สองของเมืองชื่อ New Place  (ซึ่งยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน)ไว้อยู่อาศัย    จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 52 ปี


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 305  เมื่อ 29 เม.ย. 25, 11:41

     ทั้งที่มีชื่อเสียงขจรขจายตั้งแต่สมัยยังมีชีวิตอยู่ มาจนถึงบัดนี้ก็ยังเป็นที่ยกย่องว่าเป็นกวีเอก แต่ชีวิตส่วนตัวของเชกสเปียร์กลับอึมครึม คลุมเครือ  ยากจะฟันธงลงไปว่าเรื่องจริงๆเป็นยังไงกันแน่
     เราไม่รู้ว่าตลอดเวลาหลายทศวรรษที่เขาจากครอบครัวไปอยู่ในลอนดอน  นอกจากอยู่ในวงการละครแล้วชีวิตส่วนตัวเป็นอย่างไร   แม้แต่เมื่อตายไปแล้ว พินัยกรรมของเขาก็ยังมีข้อความให้ถกเถียงกันไม่รู้จบจนบัดนี้
     นั่นคือคำว่า “Item I gyve unto my wife my second best bed with the furniture”
     แปลว่า สิ่งที่ข้าฯขอมอบให้ภริยาของข้า คือเตียงชั้นรองในบ้าน พร้อมเครื่องประกอบ(หมายถึงม่านบังรอบเตียง กับผ้าปูที่นอน)
    ส่วนตัวบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สินส่วนใหญ่ คุณปู่ยกให้ซูซานนา ลูกสาวคนใหญ่   ทรัพย์สินส่วนน้อยยกให้จูดิธ ลูกสาวคนเล็ก
    แม่ของลูกสาว ได้เตียงนอนเตียงเดียว


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 306  เมื่อ 30 เม.ย. 25, 13:17

  ต้องอธิบายเรื่อง"เตียง" ในสมัยนั้นเสียหน่อยนะคะ
  ในยุคของเชกสเปียร์ มีธรรมเนียมในบ้านอย่างหนึ่งว่าเตียงนอนที่ดีที่สุด (best bed) คือหรูที่สุด หรือกว้างใหญ่น่าสบายสุด เขาไม่ยักมีไว้ให้นอนเอง  แต่จะต้องจัดไว้สำหรับแขกที่มาพัก   ส่วนเจ้าของบ้านนอนเตียงที่ดีรองลงมา (second best bed) คือเป็นเตียงธรรมดาๆ สำหรับเจ้าของบ้านชายหญิงนอนด้วยกัน  
  เชกสเปียร์กลับมาบ้านเกิดอย่างเศรษฐี  ซื้อบ้านใหญ่ไว้อยู่กับลูกเมีย บ้านมีหลายห้อง  เตียงดีที่สุดก็ต้องมีเอาไว้ในห้องนอนสำหรับแขกเหรื่อเพื่อนฝูงที่มาเยือน   ส่วนคุณปู่นอนในห้องนอนเจ้าของบ้าน  บนเตียงธรรมดาๆกับภรรยา    เตียงนี้ละค่ะเป็นสมบัติช้ิ้นเดียวในพินัยกรรมที่ระบุว่า ยกให้แอนน์ ผู้ภรรยา
  ส่วนบ้าน ที่ดิน ทรัพย์สินอย่างอื่นส่วนใหญ่ ยกให้ซูซานนา ลูกสาวคนโต
  พินัยกรรมเขียนแบบเรียบๆ เอางานเอาการ  ไม่มีลีลาภาษาแบบกวี  เป็นพินัยกรรมสั้นๆชัดเจน  แต่บรรดาแฟนคลับตีความกันได้ไม่จบจนบัดนี้
  นอกจากเตียงนอน เชกสเปียร์ไม่ได้มอบอะไรอย่างอื่นให้ภรรยาที่เขาแต่งงานด้วยตั้งแต่อายุ 18 ปี    ไม่มีเครื่องเรือนอื่น ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า  ตู้ลิ้นชัก โต๊ะ เก้าอี้  เก้าอี้ยาว ฯลฯ ซึ่งย่อมจะมีในบ้านระดับเศรษฐีอย่าง New Place  ไม่มีเงินทองแม้แต่เพนนีเดียว      ไม่มีของมีค่าเช่นแหวน สร้อย กำไล   ทรัพย์สินอื่นๆตกเป็นของลูกสาว  ทั้งที่ซูซานนาเองก็ไม่ได้ยากไร้   เธอแต่งงานกับนายแพทย์ มีบ้านของสามีให้อยู่อยู่แล้ว  


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 307  เมื่อ 01 พ.ค. 25, 10:47

 หลักฐานเกี่ยวกับแอนน์ที่พอสรุปได้ หลังจากเชกสเปียร์ถึงแก่กรรมไปแล้ว คือ
 1  เธอยังอยู่ที่บ้าน New Place  ของสามี  ซึ่งบัดนี้ตกเป็นสมบัติของซูซานนา ลูกสาวคนโต  ซูซานนากับสามีมาอยู่ที่บ้านนี้  ส่วนจูดิธลูกสาวคนเล็กแยกบ้านไปเมื่อสมรส
 2 แม้ว่าเชกสเปียร์จะยกมรดกส่วนใหญ่ให้ซูซานนา   แต่แอนน์ไม่น่าจะลำบากยากแค้น  เพราะมีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์ในฐานะหญิงม่าย  ธรรมเนียมสมัยนั้นถือกันว่าลูกๆต้องดูแลแม่หากว่าพ่อจากไปก่อน  ดังนั้น แอนน์ก็สามารถอยู่บ้านสามีในฐานะเจ้าของคนหนึ่ง  สามารถใช้งานลูกจ้างในบ้าน ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากครอบครัวด้วย  ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ซูซานนาในฐานะผู้รับมรดกจะต้องดูแลแม่ให้อยู่ได้สบายตามอัตภาพ
  3 ตามกฎหมายของอังกฤษ ที่เรียกว่า common law  แอนน์มีสิทธิ์ได้รับมรดกหนึ่งในสามของทรัพย์สินของสามี   ไม่ว่าพินัยกรรมจะระบุว่าอย่างไร  สมมุติว่าเชกสเปียร์มีเงินอยู่ 100 ปอนด์ ในพินัยกรรมบอกว่ายกให้ซูซานนาทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง  แอนน์มีสิทธิ์ได้ไป 33.33 ปอนด์อยู่ดี  ดังนั้นเธอก็คงจะไม่อับจนเรื่องเงินทอง
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 308  เมื่อ 01 พ.ค. 25, 11:02

     ชีวิตส่วนตัวของคุณปู่ของเรา เรียกว่ามีหลักฐานให้รู้กันน้อยมาก  แต่ชีวิตส่วนตัวของแอนน์ผู้ภรรยา ยิ่งรู้กันน้อยนิดลงไปอีก  
   นอกจากรู้ปีเกิดและปีถึงแก่กรรมเพราะบันทึกไว้ตามหลักฐานของทางการแล้ว   เราไม่รู้แม้แต่ว่าแอนน์อ่านเขียนออกหรือไม่    ผู้หญิงระดับชาวบ้านสมัยนั้นมีอยู่มากที่ไม่ได้รับการศึกษา  แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่อ่านออกเขียนได้  จึงฟันธงลงไปไม่ได้ว่าภรรยาของเชกสเปียร์มีความรู้ระดับไหน
     แอนน์เองไม่มีหลักฐานอะไรแสดงในเรื่องนีี้  ไม่มีบันทึก ไม่มีจดหมายถึงสามีหรือลูก หรือเพื่อนฝูง  ไม่มีพินัยกรรมส่วนตัว ไม่มีการลงนามในเอกสารใดๆ   แม้แต่หลักฐานในเอกสารหรือจดหมายอื่นๆที่มีคนเอ่ยถึงเธอ  ก็ไม่มี
     เธอใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบมาตั้งแต่สาวจนถึงแก่กรรม   นอกจากเป็นแม่ของลูก 3 คนก็ไม่ปรากฏว่าเธอเกี่ยวข้องใดๆกับชีวิตสามีอีก    ไม่มีหลักฐานว่าเธอเคยเดินทางไปเยี่ยมสามีที่ลอนดอน    สรุปว่าถ้าแอนน์ไม่ได้แต่งงานของเชกสเปียร์  ชื่อและตัวตนเธอก็สาบสูญไปจากโลกนานแล้ว
    มันก็น่าคิดว่า คนที่สร้างผลงานรักบันลือโลกอย่างโรเมโอและจูเลียตได้  ทำไมชีวิตจริงของเจ้าตัวและภรรยาจึงหาความโรแมนติกไม่เจอแม้แต่ในเศษกระดาษสักชิ้นเดียว
    การที่แอนน์อยู่ในฐานะแม่ม่ายมาอีก 7 ปีจึงถึงแก่กรรมในวัย 67 ปี   แสดงว่ามรณกรรมของเชกสเปียร์ไม่ได้ทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจหนัก จนตรอมใจตายตามไป   ในความเป็นจริง  เธอก็คงจะอยู่อย่างเงียบๆอย่างที่เคยอยู่มาตลอดชีวิต จนหมดอายุขัยจากโลกไปเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 309  เมื่อ 02 พ.ค. 25, 16:40

    ชีวิตของกวีเอกผู้นี้ มี 2 ส่วนที่ตัดกันเหมือนสีขาวกับสีดำ
    ส่วนที่เป็นผลงาน เต็มไปด้วยความไพเราะของการใช้ถ้อยคำ   โวหารเปรียบเทียบที่คมคาย  การมองมนุษย์ได้ลึกถึงก้นบึ้งของตัวตน    ชนิดที่กวีร่วมสมัยที่เรียนสูงๆจบมหาวิทยาลัยก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกัน   
    แต่ชีวิตส่วนตัว ตามหลักฐานที่ตกทอดมาน้อยนิด  คุณปู่ของเราเป็นหนุ่มบ้านนอกที่ริอ่านมีลูกเมียตั้งแต่อายุ 18  แล้วทิ้งไร่นามาแสวงหาโชคในเมืองหลวง   ไต่อันดับจากคนงานในโรงละครมาเป็นคนเขียนบท  ผู้จัดการและหุ้นส่วนโรงละคร สะสมเงินทองได้มากพอ ก็เกษียณตัวเองกลับไปอยูู่สบายๆในบ้านเกิด  ไม่เหลียวแลวงการละครหรือวงวรรณคดีอีก
   เป็นชีวิตที่สุดจะธรรมดาและแสนจะจืดชืด  จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นชีวิตของชายที่มีพรสวรรค์อันดับโลก
   เราไม่รู้ว่าระยะเวลาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆจนถึง 49 ปี  เมื่อมาอยู่ในลอนดอน  เชกสเปียร์มีชีวิตแบบไหนอย่างไร  โลดโผน ลึกลับชวนตื่นเต้น หรือจืดๆ ธรรมดาๆ   เพราะคุณปู่ไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้รู้   ได้แต่เดากัน 
    เราไม่รู้แม้แต่ว่า เชกสเปียร์เมื่อมาอยู่ลอนดอน พัวพันกับหญิง-หรือชายอื่น-  ในเมื่ออยู่ในลอนดอนอย่างชายโสด ไม่เอาลูกเมียมาอยู่ด้วย    แต่เขาก็กลับไปอยู่กับลูกเมีย เหมือนผู้ชายทั่วไปที่มาทำงานในต่างเมือง
    แอนน์ แฮทธาเวย์เป็นปริศนาให้ขบคิดไม่ออก ไม่น้อยกว่าสามี 
    เธออยู่เหมือนหญิงม่ายหย่าจากสามีตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี    มีชีวิตคู่เมื่อเขากลับมาหาอีกครั้ง เมื่อเธออายุ 57 ปี  อยู่กับสามีเพียง 3 ปี เขาก็ตายจากไป  เธอก็เลยอยู่อย่างแม่ม่ายสามีตายอีก 7 ปี กว่าจะอำลาโลกไปอีกคน 
    ศพของเธอได้รับการฝังเคียงข้างศพของสามีจนบัดนี้     อยู่ใกล้ชิดกันตลอดไป เมื่อต่างคนต่างไม่มีชีวิตให้กันอีกแล้ว
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 310  เมื่อ 08 พ.ค. 25, 10:32

                  นี่คือสถานแห่งการละคร ที่ประชากรต่างชนชั้นมาสู่
                  ฉันยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับขับสู้เพียงไหน
เพื่อมา "ดู และ ฟัง" บทละครจากผลงานของนักประพันธ์เอกแห่งยุคสมัย ผู้รังสรรค์พาณิชย์ศิลป์ได้ถูกอกถูกใจ
ปรุงปรนละครทั้งโศกและสุข ทั้งสนุกสนานและรันทด, เข้มข้นจนเลือดนอง สนองอารมณ์ผู้ชมตั้งแต่ระดับที่มาเพื่อ
สังสรรค์พบปะผู้คน จนถึงเพื่อความเพลิดเพลินอารมณ์ และเพื่อเสพสมสุนทรียภาพศิลปะการละคร

        บัดนี้ เมื่อถึงเวลาเวทีปิดฉาก ลาจากกัน Chritophero รับบท Prospero กล่าวคำอำลา
แฟนานุแฟนแทนท่านเชก                        Plummer



Sir John Gilbert's 1849 painting: The Plays of Shakespeare
 
รายชื่อตัวละครในภาพ https://www.daheshmuseum.org/portfolio/sir-john-gilbert-key-to-the-plays-of-william-shakespeare/


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 311  เมื่อ 08 พ.ค. 25, 10:40

              ท่านเชกอำลาเวทีเกษียณจากโรงละคร (มีบางนักวิชาการสันนิษฐานว่า ท่านเชกมีปัญหาการมองเห็น)
แล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างผู้มีฐานะร่ำรวยที่บ้านเกิด มีเพื่อนในวงการมาเยี่ยมเยียน และยังคงขีดเขียนบ้างตามประสา
"นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ" โดยเป็นการทำงานร่วมกับนักเขียนรุ่นหลัง จนกระทั่งจากไปในที่สุดอย่างค่อนข้างเงียบ
ไม่ค่อยสมกับความเคยเป็นเอกศิลปินแห่งมหานครลอนดอน
             ส่วนบทละครของท่านเชกยังคงจัดการแสดงต่อไปจนถึงช่วง Interregnum (1649–1660)
เมื่อการแสดงบนเวทีกลายเป็นสิ่งต้องห้ามตามคำสั่งของผู้ปกครองสาย Puritan ก่อนจะกลับมาขึ้นเวทีได้ใหม่ในสมัย
English Restoration โดยมีการปรับแต่งบทละครดั้งเดิมให้รับกับรสนิยมของคนดูและรับกับกระแสการเมืองตามยุคสมัย,
การปรับปรุงฉาก, มีเทคนิคพิเศษ, ดนตรีประกอบ และนักแสดงเป็นผู้หญิง  
             ต่อจากนั้นจึงมีการย้อนกลับไปนำเสนอตามบทละครดั้งเดิมอีก และยังคงมีการปรับปรุงฉาก, เทคนิคพิเศษที่พัฒนา
ก้าวหน้า, รูปแบบการนำเสนอผ่านสื่อที่มีมากขึ้น, การตีความ, เปลี่ยนมุมมองบทละคร ฯ
             จวบจนมาถึงปัจจุบันที่สามารถกล่าวได้ว่า เชกสเปียร์ยังไม่ตาย
 
             ผลงานท่านเชกล่าสุดคือภาพยนตร์ Juliet & Romeo 2025 ในรูปแบบ musical
 


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 312  เมื่อ 08 พ.ค. 25, 19:48

    ชีวิตจริงของเชกสเปียร์จืดชืดเป็นน้ำเปล่าเสียจนไม่มีใครเอาชีวิตท่านไปสร้างเป็นหนังละคร    ถ้าเป็นสารคดีก็โอเค
    ดังนั้นถ้าใครดูหนังเรื่องนี้  อย่าทึกทักว่ามาจากชีวิตจริงของคุณปู่เป็นอันขาด   เหมือนจริงอย่างเดียวคือชื่อพระเอกเท่านั้น
    แต่ถ้าอยากดูบรรยากาศในยุคนั้น  ก็พอไหวค่ะ


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 313  เมื่อ 12 พ.ค. 25, 09:52

             กลับมาขึ้นเวทีได้ใหม่ในสมัย English Restoration โดยมีการปรับแต่งบทละครดั้งเดิม
การปรับปรุงฉาก, มีเทคนิคพิเศษ, ดนตรีประกอบ และนักแสดงเป็นผู้หญิง  
              มีการย้อนกลับไปนำเสนอตามบทละครดั้งเดิมอีก และยังคงมีการปรับปรุงฉาก, เทคนิคพิเศษที่พัฒนา
ก้าวหน้า, รูปแบบการนำเสนอผ่านสื่อที่มีมากขึ้น, การตีความ, เปลี่ยนมุมมองบทละคร ฯ

          จากรายการทีวีของป้าบาร์บ Barbra's 1967 TV Special THE BELLE OF 14TH STREET
ป้าบาร์บรับบทเป็น Ariel จากละคร comedy - The Tempest ร้องเพลง Ariel's Song

Full fathom five thy father lies;
Of his bones are coral made;
Those are pearls that were his eyes;
Nothing of him that doth fade,
But doth suffer a sea change
Into something rich and strange.
Sea-nymphs hourly ring his knell:
Ding-dong.
Hark! now I hear them — Ding-dong, bell.

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 314  เมื่อ 12 พ.ค. 25, 11:02

ใช่ค่ะ มันก็แปลกอยู่เหมือนกัน
ในบทละคร เชกสเปียร์ใช้คำเรียก Ariel ว่า he   ก็แปลว่าภูตตัวนี้เป็นผู้ชาย   แต่เวลานำไปทำเป็นละคร  นิยมให้ผู้หญิงเล่นบทนี้
Ariel กับ Miranda  กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กวียุคหลังเชกสเปียร์ คือ Percy Bysshe Shelley กวียุคโรแมนติกคนสำคัญ นำมาแต่งเป็นโคลงชื่อ To A Lady, with a Guitar โดยสมมุติตัวเองเป็น Ariel และ Jane Williams หญิงผู้เป็นเพื่อนสนิทของเชลลี สมมุติเป็น Miranda 
บทโคลงนี้ไพเราะมากในแนวโรแมนติก   เราจะมองเห็นรักเร้นที่ Ariel มีแต่ Miranda แฝงอยู่ในโคลง (ซึ่งในละครของเชกสเปียร์ไม่มี)
โคลงนี้ยาวมาก เลยไม่ได้นำมาลงในกระทู้   ใครอยากอ่านเป็นภาษาไทยขอเชิญให้ AI แปลให้ก็แล้วกันค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.088 วินาที กับ 20 คำสั่ง