คะแนนคุณปู่แกก็ดิ่งพสุธาน่าใจหายเหมือนกันนะคะ อาจเป็นได้ว่าผลงานของแกกระทบกระเทือนคนจำนวนมาก อย่างที่ประชาชนนึกไม่ถึงมาก่อน
ถ้าประเทศเป็นคนไข้รอการรักษา คุณปู่แกไม่ได้ทำแค่ตัดไส้ติ่งออกไป หรือใส่รากฟันเทียม หรือช่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ แต่แกเล่นผ่าตัดตั้งแต่สมอง ลงไปถึงลำไส้ ถึงกระดูกขา เล่นเกือบหมดตัว บางทีก็ไม่ใช้ยาสลบหรือยาแก้ปวดด้วย
Make no mistake ค่ะอาจารย์
Trump may be a symptom of America's ills. But, he is neither the cure nor the solution.
ไม่ผิดที่เราจะมองว่าทรัมป์คืออาการของโรค เพราะอเมริกาทุกวันนี้ป่วยจริงๆ การดำรงอยู่ของทรัมป์แสดงให้เราเห็นอย่างกระจ่างชัดว่าที่ผ่านมานั้นรัฐล้มเหลวมาโดยตลอด การที่พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคมัวแต่เล่น identity politics มัวแต่ใช้ culture wars เป็นเครืองมือหาเสียงและไม่ฟังเสียงที่แท้จริงของคนหมู่มากนั้น มันมีแต่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเบื่อการเมืองแบบเก่าๆ สิ้นหวังกับสถาบันการเมือง ทำให้คนนอกอย่างทรัมป์ที่หาเสียงด้วยการประกาศว่าจะเข้ามาล้างบางนักการเมืองแบบเก่าๆ กลายเป็นตัวเลือกเดียวก็ว่าได้สำหรับคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
แต่อย่าได้คิดเชียวว่าทรัมป์คือยารักษาโรคหรือทางออกของปัญหา กรณีที่เกิดขึ้นใน LA นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่ง การที่ปธน.ส่งทหารเข้าพื้นที่โดยไม่ฟังเสียงของผู้ว่าฯ นั้นคือการทำให้ปัญหาลุกลามเกินกว่าที่ควรจะเป็น เป็นการวางรากฐานให้เกิดสถานการณ์รุนแรงเข้าขั้นวิกฤติ แถมยังสร้างบรรยากาศแห่งความไม่ไว้ใจในประสิทธิภาพของรัฐบาลท้องถิ่นในการบริหารจัดการเรื่องในท้องถิ่นอีกด้วย (ไม่ได้บอกว่าแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่ไม่มีปัญหานะคะ แต่การประท้วงที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดที่รัฐบาลท้องถิ่นจะจัดการไม่ได้เลย ที่คนออกมาประท้วงมากขึ้นนั้นเป็นเพราะมีทหารเข้ามาในพื้นที่ต่างหาก)
การตัดสินใจของทรัมป์นั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามองทุกอย่างจากมุมของตัวเองเป็นหลัก วิธีคิดของทรัมป์ไม่ได้มีพื้นฐานมาจาก "ทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างอลุ้มอล่วย ให้ทุกฝ่ายเสียหายน้อยที่สุด" แต่เป็น "ทำอย่างไรกรูถึงจะเป็นพระเอกได้ในหนังเรื่องนี้" และ "ทำอย่างไรถึงจะเรียกเสียงเชียร์จากฐานเสียงขวาจัดให้ได้มากที่สุด" โดยไม่สนว่าจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติมากน้อยแค่ไหน เคยมีคนพูดว่า ถ้าทรัมป์ออกมาพูดหรือทำอะไรก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่ามีเหตุผลแค่สองอย่าง ถ้าไม่เพราะ (1) ต้องการเรียกร้องความสนใจ (โจ๊กหนึ่งที่ฝ่ายซ้ายชอบใช้กับทรัมป์คือโจ๊กเรื่องสมัยเด็กๆ พ่อคงไม่ค่อยได้กอดเด็กชายโดนัลด์เท่าไหร่ พอโตมาเลยหิวแสงและโหยหาความสนใจเป็นพิเศษ) ก็เพราะ (2) ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากบางเรื่อง ตอนนี้เรื่องที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาข้าวของแพงได้อย่างที่เคยหาเสียงไว้ เรื่องที่ราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเขาทำสงครามการค้ากับทั้งโลกโดยไม่มีความจำเป็น เรื่องที่เขาไม่สามารถหยุดสงครามในยูเครนและตะวันออกกลางได้ในหนึ่งวันอย่างที่เคยโม้ รวมทั้งเรื่องที่เขาแตกหักกับอีลอน มัสก์และถูกขู่ว่าจะแฉเอกสารลับคดีเอพสตีนนั้นแทบจะปลิวหายไปกับสายลมเลยก็ว่าได้ เพราะมีข่าวอื่นที่ใหญ่กว่าให้สื่อรายงาน
นี่แหละค่ะที่เป็นสาเหตุว่าทำไมหนูถึงไม่ค่อยอยากจะติดตามข่าวสารหรือ engage กับใครด้วยเรื่องทรัมป์ เพราะมันไม่น่าจะมีอะไรให้ debate กันอีกแล้ว จนป่านนี้ก็น่าจะมองกันออกแล้วว่าสำหรับทรัมป์ทุกอย่างคือการละครหรือ theater สิ่งที่เห็นไม่ใช่ policy แต่เป็น politics หรือ performance ไม่ก็เป็นการกลบเกลื่อนความฉาวโฉ่ของตัวเอง