เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 28 เม.ย. 25, 20:35
|
|
ช่วงฮันนีมูนระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประชาชนอเมริกัน สั้นมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 28 เม.ย. 25, 20:38
|
|
จาก Facebook เจาะลึกตะวันออกกลาง
เพราะอย่างงี้ไงครับที่ทรัมป์ฟาดงวงฟาดงาไปทั่วโลก ที่ผ่านมา ดอลฯ เป็นสกุลหลัก มีอิทธิพลบารมีเต็มอัตรา ใครจะได้เปรียบดุลการค้ายังไงมะกันไม่เคยสน เพราะตรูพิมพ์แบงก์ดอลฯ ได้ตามใจชอบคล้ายแบงก์กงเต็ก แต่พอดอลฯ เริ่มถูกคุกคาม นานาชาติเริ่มตาสว่าง เริ่มจับมือกันสู้... มะกันยุคทรัมป์จึงมองว่าหายนะมะกันใกล้เข้ามาแล้ว เพราะมะกันเคยกระจายการผลิตไปอยู่ในจีนเพียบเพราะค่าแรงถูก ชาวมะกันจึงมือเติบ นำเข้าเต็มที่ ขาดดุลก็ไม่สน แต่ตอนนี้ไม่สนไม่ได้ เพราะดอลฯ มีแนวโน้มจะโดนเท ทรัมป์จึงหันไปใช้วิธีโบราณ - ตั้งกำแพงภาษี! แต่อนิจจา ชาวมะกันเสพติดความสบายมาตั้งแต่ยุคดอลฯ เฟื่องฟู การขึ้นภาษีจีนจึงเดือดร้อนไปถึงคนรากหญ้ามะกันที่ชอบของถูกจากจีน แต่นี้ต่อไป ค่าครองชีพจะสูงขึ้น คนเร่ร่อนในมะกันก็จะยิ่งเพิ่มจำนวน ชนชั้นกลางจะลำบากกว่าเดิม ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือฐานเสียงทรัมป์นั่นเอง!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 28 พ.ค. 25, 11:44
|
|
อิทธิฤทธิ์ล่าสุดของคุณปู่ทรัมป์ คือไล่บี้มหาวิทยาลัยดังอันดับหนึ่งของอเมริกา ฮาร์วาร์ด รัฐบาลของทรัมป์ สั่งเพิกถอนสิทธิการรับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สั่งผ่านมาทางกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ยกเลิกสิทธิการรับรองโครงการนักเรียนและผู้มาแลกเปลี่ยน (SEVP) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คำสั่งดังกล่าว ส่งผลให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจะไม่สามารถรับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียนได้อีก และนักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาอยู่ ต้องย้ายไปเรียนที่อื่นหรือสูญเสียสถานภาพทางกฎหมาย ฮาร์วาร์ดมีนักศึกษาต่างชาติอยู่ถึง 27% พวกนี้ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงกว่านศ.อเมริกันหลายเท่า พอเจอนโยบายทุบหม้อข้าวแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเข้าแบบนี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ยอมไม่ได้ ฮึดสู้ขึ้นมาด้วยการออกแถลงการณ์ว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย ฮาร์วาร์ดยังมีนโยบายจะเป็นสถาบันการศึกษาของนักศึกษาและนักวิชาการจากกว่า 140 ประเทศที่ทำประโยชน์ให้ทั้งทางมหาวิทยาลัยและประเทศชาติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 28 พ.ค. 25, 11:59
|
|
ถ้าหากว่าหาหลักฐานกันจริงๆ ก็จะได้คำตอบว่า จำนวนนักศึกษาที่เคยก่อปัญหาด้านความมั่นคงให้สหรัฐอเมริกา เช่นเป็นสายลับแฝงตัวเข้ามาบ้าง หรือลอบเอาสูตรวิทยาศาสตร์ที่เรียนในชั้นกลับไปบ้าง มีหลักฐานให้เห็นไม่กี่คน ในจำนวนเป็นแสนเป็นล้านที่เคยเรียนมาแล้วกลับไปประเทศของตน พวกที่จับได้นี่ก็ไม่เคยก่อเรื่องก่อราวใหญ่โตสักคน ทำไมทรัมป์ถึงหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่โตวุ่นวายกันไปหลายประเทศ ต้องย้อนกลับไปดูกลยุทธ์ของทรัมป์ คุณปู่แกมีฝีมือในการขยายเหตุการณ์เล็กน้อยให้เป็นภาพใหญ่ นักศึกษาต่างชาติที่ถูกกล่าวหาว่าสอดแนมหรือกระทำผิด ถูกนำไปขยายความว่า นี่ไง ตัวอย่างของภัยคุกคามที่ทะมึนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากต่างชาติ การก่อการร้าย หรือนโยบายแอนตี้ชาติในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำ กรอบความคิดเช่นนี้สื่อถึงฐานเสียงของคุณปู่ ฐานของทรัมป์มาจากประชาชนที่ระแวงผู้อพยพว่ามาแย่งงาน ก่ออาชญากรรมและกินสวัสดิการฟรี มองโลกาภิวัตน์ว่าทำลายวัฒนธรรมเดิมของพวกเขา และไม่ชอบใจสถาบันการศึกษาที่มีแนวคิดเสรีนิยม เมื่อทรัมป์ชี้ว่านักศึกษาต่างชาติอาจเป็นภัย ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนว่าสังคมอเมริกาต้องมีควบคุมอย่างมีระเบียบวินัย มากกว่ายอมรับความหลากหลาย แต่ใจจริงทรัมป์ก็ไม่ได้เกลียดนักศึกษาต่างชาติหรอกค่ะ ไม่งั้นคงไม่ให้บัตรเขียว( ใบต่างด้าว อนุญาตให้ทำงานได้) กับนักศึกษาเก่งๆ ที่สามารถทำงานเป็นประโยชน์แก่ประเทศได้ พร้อมกันนั้นก็สั่งระงับการสัมภาษณ์ขอวีซ่า ยกเลิกวีซ่าเดิม และไล่ขยี้มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ด ความย้อนแย้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางกลยุทธ์ เพื่อเอาใจทั้งกลุ่มธุรกิจที่ต้องการแรงงานฝีมือ และกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการปิดพรมแดน สรุปว่า ทรัมป์ไม่ได้วุ่นวายแบบเปล่าๆปลี้ๆ แต่เป็นการสร้างคะแนนให้ฐานเสียงของเขา กับบอกนศ.ต่างชาติ แบบง่ายๆว่า " ถ้าจะมาทำประโยชน์ให้อเมริกา ก็มาเรียนได้ แต่ถ้ามาแล้วไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศผม (ถึงจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศคุณ) ก็อย่ามาเลย"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิ.ย. 25, 09:28 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 05 มิ.ย. 25, 09:38
|
|
อิทธิฤทธิ์ล่าสุดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำกับพลเมืองต่างชาติ คือออกคำสั่งจำกัดการเดินทางฉบับใหม่ ห้ามพลเมืองจาก 12 ชาติ เข้าสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ มีข้อจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯ เฉพาะบางส่วนกับอีก 7 ชาติ 12 ชาติที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 เข้าไปเต็มๆ ไม่มีสิทธิ์เหยียบอเมริกาอีก คืออัฟกานิสถาน เมียนมา ชาด สาธารณรัฐคองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย เฮติ อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมน ส่วนอีก 7 ชาติ ถูกรางวัลเล็กหน่อย คือไม่ได้ห้าม 100 % แต่เข้มงวดมากขึ้น คือบุรุนดี คิวบา ลาว เซียร์ราลีโอน โตโก เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา ไม่กี่วันมานี้เกิดเหตุร้ายขึ้นที่โคโลราโด เมื่อวันอาทิตย์ที่1 มิ.ย.2025 คนร้ายซึ่งถูกระบุว่าเป็นชาวอียิปต์ ขว้างระเบิดเพลิงเข้าใส่กลุ่มคนที่ไปให้กำลังใจชาวอิสราเอลที่ถูกจับเป็นตัวประกัน คุณปู่แกก็เลยยกเหตุนี้ขึ้นมาอ้างว่า นี่ไง อันตรายขนาดไหนเห็นไหม ที่พวกพลเมืองร้ายต่างชาติจะเข้าเมืองมาก่อความเดือดร้อนให้อเมริกา แต่ก็ประหลาดตามประสาคุณปู่แก คือถึงอ้างเหตุการณ์นี้ก็จริง แต่อียิปต์ไม่ยักอยู่ในรายชื่อถูกแบนรอบล่าสุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 05 มิ.ย. 25, 09:42
|
|
ตอนดำรงตำแหน่งปธน.สมัยแรก ทรัมป์เคยบังคับใช้มาตรการแบนพลเมืองจากชาติมุสลิม 7 ชาติมาแล้ว เกิดแรงต่อต้านอย่างหนักทั่วอเมริกา สู้ทางกฎหมายกันไปมา ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เข้าข้างคำสั่งแบนให้มีผลบังคับใช้ต่อไปได้ ก็เลยเป็นเหตุให้ทรัมป์คุยว่า คำสั่งของเขาประสบผลสำเร็จที่ช่วยปกป้องภัยความมั่นคงของชาติ จากการที่คนชาติอื่นเข้ามาก่อการร้ายในประเทศ แต่ศึกที่ทำกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังไม่จบ หลังจากกล่าวหาว่าฮาร์วาร์ดเป็นที่ซ่องสุมของนักศึกษาฝ่ายต่อต้านยิว รัฐบาลทรัมป์ก็เพิกถอนงบประมาณสนับสนุนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่งระงับทุนสนับสนุนอีก 450 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนพฤษภาคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 261
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 06 มิ.ย. 25, 06:13
|
|
ทำไมทรัมป์ถึงหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่โตวุ่นวายกันไปหลายประเทศ ต้องย้อนกลับไปดูกลยุทธ์ของทรัมป์ คุณปู่แกมีฝีมือในการขยายเหตุการณ์เล็กน้อยให้เป็นภาพใหญ่ นักศึกษาต่างชาติที่ถูกกล่าวหาว่าสอดแนมหรือกระทำผิด ถูกนำไปขยายความว่า นี่ไง ตัวอย่างของภัยคุกคามที่ทะมึนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากต่างชาติ การก่อการร้าย หรือนโยบายแอนตี้ชาติในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำ จริงๆ เหตุผลที่ทรัมป์นำมากล่าวอ้างคือเรื่องที่ฮาร์วาร์ดปล่อยให้มีกิจกรรม Antisemitism ในแคมปัส กับการที่นโยบายของมหาลัย ทั้งที่เกี่ยวกับการรับนักศึกษาและการว่าจ้างคณาจารย์หรือการปรับเลื่อนตำแหน่งนั้น เป็นไปในทำนองเดียวกับนโยบายส่งเสริม DEI ที่ทรัมป์กับพลพรรค MAGA แอนตี้ค่ะ สงครามกับฮาร์วาร์ดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามที่ทรัมป์ก่อกับมหาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกว่าไอวี่ลีกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฮาร์วาร์ด คอร์เนล พรินซ์ตัน บราวน์ โคลัมเบีย ยูเพนน์ นอร์ธเวสเทิร์น ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่หลังทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ แล้ว โดยใช้เรื่องการที่มหาลัยเหล่านี้ไม่ได้จัดการกับการประท้วงอิสราเอลและการบุลลี่นักศึกษาเชื้อสายยิวตามแคมปัสต่างๆ อย่างเด็ดขาดมาเป็นข้ออ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 261
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 06 มิ.ย. 25, 06:14
|
|
การที่ทรัมป์ก่อสงครามกับ higher education โดยรวมนั้นก็เพราะเขาและผู้สนับสนุนสาย MAGA ขวาตกขอบมองว่ามหาลัยของสหรัฐฯ นั้นได้ทำตัวเป็นโรงบ่มเพาะความเป็น woke ให้แก่ลูกหลานมานานหลายทศวรรษ รวมทั้งเชิดชู DEI กันอย่างสุดโต่ง ทำให้นศ.และคณาจารย์ที่เป็นอนุรักษ์นิยมทั้งหลายถูกมองข้าม และก็อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่คือทรัมป์ทนไม่ได้ถ้ามีใครไม่เห็นเขาเป็นเทวดาเหมือนที่ตัวเองเห็น ในเมื่อมหาลัยไอวี่ลีกเหล่านี้คือมหาลัยที่วิพากษ์วิจารณ์ปธน.อย่างเปิดเผย การที่รัฐบาลกลางตัดเงินสนับสนุนสถาบันการศึกษาที่ต่อต้านทรัมป์นั้นก็เท่ากับเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้มหาลัยโดยรวมหันมาสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่กล้าออกมาวิจารณ์ปธน.อีกในอนาคต
ที่สำคัญ การกระทำดังกล่าวเป็นการขยายขอบเขตของอำนาจให้แก่ปธน.และทำลายระบบตรวจสอบ checks and balance ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทำให้สถานะของปธน.เป็นเสมือนผู้นำเผด็จการที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ หนูเชื่อว่าตรงนี้ต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของทรัมป์ เห็นได้จากการที่ผู้นำต่างๆ ที่เขาชื่นชมอย่างออกนอกหน้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำเผด็จการทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีจิ้นผิง ปูติน หรือคิมจองอึน
ก่อนหน้านี้ทรัมป์เริ่มด้วยการสั่งตัดเงินสนับสนุน 400 ล้านเหรียญที่รัฐบาลกลางจัดสรรให้โคลัมเบียไปแล้ว ทำให้โคลัมเบียต้องยอมโอนอ่อนต่อรัฐบาลด้วยการออกกฎระเบียบใหม่มานิยามคำว่า Antisemitism และดูแลความเรียบร้อยในมหาลัยให้เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งเข้าไปสอดส่องการดำเนินงานของบางคณะในมหาลัยอย่างใกล้ชิดมากขึ้น แต่ฮาร์วาร์ดนั้นแข็งขืนและฟ้ไปองศาลว่าคำสั่งทรัมป์นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทรัมป์เลยใช้ฮาร์วาร์ดในการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อให้ไม่มีมหาลัยไหนกล้าหือกับทำเนียบขาวอีก (เป็นหนู หนูก็คงสู้ตายเหมือนกันค่ะ เพราะมันไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าถ้ายอมทรัมป์ครั้งหนึ่งแล้วจะไม่โดนรังแกอีก ดูโคลัมเบียเป็นตัวอย่างก็ได้ ขนาดศิโรราบกันเสียขนาดนั้นแล้วยังโดนขู่ว่าจะยกเลิกการรับรองคุณวุฒิทางการศึกษาที่โคลัมเบียออกให้เลย)
ที่ผ่านมาพรรคเดโมแครตยังไม่ค่อยมีปฎิกิริยาอย่างรุนแรงกับเรื่องนี้รวมทั้งเรื่องการปิด USAID เท่าไหร่ เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าฐานเสียงของตัวเองนั้นกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ ข้าวของแพง คงไม่ค่อยมีคนเห็นอกเห็นใจมหาลัยระดับอีลีทหรือคนต่างชาติเท่าไหร่นัก ยิ่งพูดไปก็จะไปเข้าทางคู่แข่งที่โจมตีพรรคว่าเห็นคนนอกดีกว่าอเมริกันชนด้วยกันเอง มีแต่ตุลาการศาลเท่านั้นที่ยังพอมีบทบาทบ้างในการแทรกแซงการขยายขอบเขตอำนาจของปธน. จนทรัมป์เองยังบ่นว่าผิดหวังกับตุลาการศาลสูงบางคนที่ตั้งมากับมือ แต่กลับไม่ยอมโหวตสนับสนุนเขาในหลายเรื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อ 06 มิ.ย. 25, 10:13
|
|
รอคุณปัญจมาอยู่ ว่าเมื่อไหร่จะแวะเข้ามาเรือนไทย มาต้อนรับค่ะ DEI ที่ทรัมป์ต่อต้านนักหนา ย่อมาจาก diversity, equity and inclusion DEI เป็นนโยบายหรือชุดแผนงานใดๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนจากภูมิหลังที่หลากหลายรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับและมั่นใจว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนเพื่อทำงานให้เต็มศักยภาพในสถานที่ทำงาน Woke ก็เป็นหนึ่งในกระแส DEI เรื่องนี้ทรัมป์ไม่เห็นชอบด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 08 มิ.ย. 25, 13:09
|
|
ศึกล่าสุดที่ทรัมป์ลงสู่สนามรบ คือศึกสองพญาอินทรีด้วยกัน อันได้แก่ทรัมป์กับอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ซึ่งเมื่อก่อนเข้ารับตำแหน่ง เคยเป็นเพื่อนซี้แทบจะกอดคอกันตาย อีลอน มัสก์ทุ่มทุนช่วยหาเสียงให้ทรัมป์มากกว่า 250 ล้านดอลล่าร์ จนทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาวได้สำเร็จ ตอนแรกอะไรๆก็หวานชื่นกันมาก อีลอน มัสก์ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของรัฐบาล รับมอบอำนาจเต็มที่ในการผลักดัน "แผนปฏิรูปประสิทธิภาพรัฐบาล" (DOGE) ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับขนาดและขอบเขตของรัฐบาลกลาง เรื่องนี้ก่อความระส่ำระสายให้พนักงานของรัฐจำนวนมากที่ถูกปรับ หรือแปลง่ายๆว่าตกงานไปตามๆกันเพราะหน่วยงานจำนวนมากถูกยุบ สนองนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาล ทรัมป์เดินหน้าประกาศนโยบายใหม่เรื่อยไป เพื่อฟื้นฟูประเทศที่ย่ำแย่จากการไม่เหลือเงินติดก้นกระเป๋า วันหนึ่งก็ประกาศนโยบายใหม่ที่กลายเป็นตอให้พี่ลอนแกสะดุดหกล้มเข้าจนได้ หนึ่งในนั้นคือยกเลิกเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Tesla ที่อีลอนเป็นเจ้าของอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ อีลอน มัสก์แกก็ยอมไม่ได้ ประกาศลาออกจากตำแหน่งยังไม่พอ ยังเริ่มลุยหนัก โจมตีร่างกฎหมายงบประมาณขนาดมหึมาของทรัมป์ ซึ่งรวมเรื่องภาษี การลดค่าใช้จ่าย พลังงาน และประเด็นชายแดน แถมยังประมาทคาดหน้าว่า ต่อไปอเมริกาจะขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงขึ้นถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ให้ประชาชนอเมริกันเหลือจะแบกรับได้ นอกจากนี้ อีลอน มัสก์ก็ยังมึหมัดในมุมมืดอีก 1 หมัดคือแย็ปออกมาว่า ปู่ทรัมป์มีชื่ออยู่ในแฟ้มเอปสไตน์" และบอกว่า ทรัมป์นี่แหละสั่งปิดแฟ้มนี้ให้เป็นความลับ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยอาชญากรรมทั้งหมดของ"เจฟฟรีย์ เอปสไตน์" ชื่อนี้คือพ่อเล้าระดับอินเตอร์ ที่มีลูกค้าอย่างเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์แห่งสหราชอาณาจักร พอเรื่องแดงขึ้นมา เขาก็ผูกคอตายในห้องขังอย่างลึกลับ ทำให้รายชื่อลูกค้าดังๆอีกมากยังเป็นความลับอยู่จนบัดนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 09 มิ.ย. 25, 10:05
|
|
ก่อนหน้าทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีรอบ 2 เดโมแครตมีนโยบายยืดหยุ่นประนีประนอมกับคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยและทำงานในอเมริกา ทั้งถูกและไม่ถูกกฎหมาย เพราะต้องอาศัยแรงงานพวกนี้อยู่มาก ทั้งในอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และงานบริการต่างๆ แต่ทรัมป์ได้เสียงสนับสนุนจากพลเมืองอเมริกันที่รู้สึกว่าพวกนี้มาแย่งงาน ก็ตัดสินใจลงมือกวาดล้างพวกคนงานตา่งด้าว เพื่อทำตามท่ีเคยสัญญาไว้กับฐานเสียงตนเอง ผลคือเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ที่ลอสแอนเจลิส เมื่อ ICE หรือเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกา เข้ากวาดล้างคนต่างด้าวที่ลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมาย ตั้งโควต้าว่าจะต้องผลักดันคนต่างด้าวออกนอกประเทศให้ได้วันละสามพันคน แหล่งเกิดเหตุคือพาราเมาต์ ทางใต้ของตัวเมืองลอสแอนเจลีส ซึ่งมีประชากรเป็นชาวละตินอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เข้าควบคุมตัวคนกว่า 44 คนเพื่อส่งตัวกลับประเทศ ทั้งที่พวกนี้ไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ ผลก็คือพวกที่ไม่พอใจก็เข้าชุมนุมประท้วง เกิดการปะทะกันเป็นการใหญ่ ระหว่างตม.ใส่เสื้อเกราะและหน้ากากกันแก๊สกับประชาชนที่ขว้างปาสิ่งของใส่ จนท และจุดไฟเผารถ ผลคือ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แกวิน นิวซัม เข้าข้างคนต่างด้าว ออกมาประณาม ตม. ว่าใช้อำนาจของรัฐบาลกลางเกินเหตุ แล้วซัดทรัมป์ว่ากำลังทำลายแรงงานที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของอเมริกา เหตุร้ายเริ่มลุกลามจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เกิดการปะทะกันจนผู้มีบาดเจ็บหลายราย สถานการณ์รุนแรงขึ้น ผู้ชุมนุมหลั่งไหลเข้ามาสมทบมากขึ้น จากหลักสิบเป็นหลายร้อย ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม เมื่อเอาไฟมาดับไฟแบบนี้ สถานการณ์ก็เลยลุมลามเป็นไฟไหม้ป่า กองกำลังป้องกันชาติได้รับคำสั่งให้เข้ามารักษาความสงบ พูดง่ายๆว่าเอากองกำลังของรัฐบาลกลางมาปราบเหตุร้ายในท้องถิ่น ผลคือ หน่วยงานท้องถิ่นลอสแอนเจลิสกับรัฐบาลกลางก็เริ่มซัดกันเละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 09 มิ.ย. 25, 10:17
|
|
สรุปว่า เพื่อควบคุมสถานการณ์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งให้นำกำลัง กองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ของรัฐแคลิฟอร์เนีย จำนวน 2,000 นาย ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง เตรียมเข้าคุมสถานการณ์หากเหตุการณ์ลุกลาม พอเจอไม้แข็งจากวอชิงตัน ผู้ว่าฯ นิวซัม แทนที่จะยอมสยบ ก็กลับโต้กลับไปทันควันว่า การส่งทหารลงพื้นที่เป็น “การสร้างสถานการณ์รุนแรงโดยไม่จำเป็น” และขอให้ประชาชนอย่าหลงกลการยั่วยุของทรัมป์ พร้อมเรียกร้องให้หาทางแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ตอนนี้ สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ICE ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการต่อเนื่อง ล่าสุดจับกุมผู้อพยพเพิ่มได้กว่า 150 คน ขณะที่การชุมนุมยังดำเนินต่อ โดยมีผู้ถูกจับกุมเพิ่มอีก 12 รายในวันที่สองของเหตุการณ์ ขณะนี้ความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่นยังไม่คลี่คลาย และยังไม่มีสัญญาณของการยุติความขัดแย้งในเร็ววัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 261
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 09 มิ.ย. 25, 10:20
|
|
ศึกล่าสุดที่ทรัมป์ลงสู่สนามรบ คือศึกสองพญาอินทรีด้วยกัน อันได้แก่ทรัมป์กับอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ซึ่งเมื่อก่อนเข้ารับตำแหน่ง เคยเป็นเพื่อนซี้แทบจะกอดคอกันตาย ... ทรัมป์เดินหน้าประกาศนโยบายใหม่เรื่อยไป เพื่อฟื้นฟูประเทศที่ย่ำแย่จากการไม่เหลือเงินติดก้นกระเป๋า วันหนึ่งก็ประกาศนโยบายใหม่ที่กลายเป็นตอให้พี่ลอนแกสะดุดหกล้มเข้าจนได้ หนึ่งในนั้นคือยกเลิกเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Tesla ที่อีลอนเป็นเจ้าของอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ อีลอน มัสก์แกก็ยอมไม่ได้ ประกาศลาออกจากตำแหน่งยังไม่พอ ยังเริ่มลุยหนัก โจมตีร่างกฎหมายงบประมาณขนาดมหึมาของทรัมป์ ซึ่งรวมเรื่องภาษี การลดค่าใช้จ่าย พลังงาน และประเด็นชายแดน แถมยังประมาทคาดหน้าว่า ต่อไปอเมริกาจะขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงขึ้นถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ให้ประชาชนอเมริกันเหลือจะแบกรับได้ สองคนนี่เขาฉะกันออกสื่อมานานแล้วค่ะ หนูเคยเขียนถึงมิตรภาพจอมปลอมระหว่างสองคนนี้ไว้ในเพจอ่านฟังเล่าตั้งแต่ก่อนที่อีลอนจะกลายมาเป็น First Buddy หลังเลือกตั้งปี 2024 เท้าความอย่างสั้นๆ ก็คืออีลอนเริ่มแปรพักตร์ไปสนับสนุนทรัมป์อย่างลับๆ ในช่วงปี 2022 เพราะโกรธไบเดนที่ไม่เชิญเขาไปร่วมการประชุมผู้บริหารบ.รถไฟฟ้าที่ทำเนียบขาวทั้งๆ ที่เทสล่าเป็นทั้งผู้บุกเบิกและเป็นบ.อันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมรถ EV แถมก่อนหน้านั้นอีลอนก็หงุดหงิดกับรัฐแคลิฟอร์เนียมากที่บังคับใช้มาตรการ lockdown อย่างเข้มงวดในช่วงโควิดซึ่งส่งผลให้การผลิตรถยนต์ของเทสล่าต้องล่าช้า (มีคนคาดเดาด้วยว่าการที่ลูกชายคนหนึ่งของอีลอนออกมาประกาศตัวเป็น transgender อย่างเปิดเผยและการใช้ยาเสพติดอย่างสม่ำเสมอนั้นก็มีส่วนที่ทำให้อีลอนเปลี่ยนไป) พอทรัมป์รอดจากการลอบสังหารมาได้อีลอนก็ประกาศให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผยและทุ่มทุนมหาศาลเพื่อให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งอย่างที่อ.พูดถึง แต่ไม่มีใครคาดหมายหรอกค่ะว่ามิตรภาพระหว่างสองคนนี้จะอยู่ยั้งยั่งยืน เพราะทั้งสองต่างก็มีอีโก้สูงส่งด้วยกันทั้งคู่ แต่ละคนนั้นดูดซับอ็อกซิเจนในบรรยากาศทีละมากๆ จนไม่เหลือไว้ให้คนอื่น แถมทรัมป์ยังไม่ชอบให้แสงไปตกที่ใครนอกจากตัวเองอีกด้วย ที่ผ่านมาเลยมีแต่คนพนันว่าทั้งคู่จะแตกหักกันเมื่อไหร่ เพียงแต่ไม่มีใครนึกเท่านั้นว่ามันจะรวดเร็วอย่างนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 261
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 09 มิ.ย. 25, 10:27
|
|
ส่วนเหตุผลของการแตกหักนั้น ใครที่ติดตามข่าวการเมืองสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดก็น่าจะเห็นว่าคำอธิบายของทรัมป์เรื่องอีลอนโกรธที่รัฐบาลยกเลิกการอุดหนุนรถ EV นั้นมันฟังไม่ค่อยจะขึ้น เพราะรู้กันมานานแล้วว่าพรรครีพับลิกันต่อต้านพลังงานสะอาดและอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ climate change อีลอนเองก็ทราบว่านี่คือนโยบายหาเสียงของทรัมป์และไม่เคยขอให้ทรัมป์เปลี่ยนนโยบายแต่อย่างใด
นอกจากนั้น การยกเลิกการสนับสนุนรถ EV ดังกล่าวอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเทสล่ามากกว่าคู่แข่งใหม่ๆ ในตลาดอีกด้วย เพราะเทสล่าได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางไปมากแล้วในฐานะบ.ที่เข้ามาบุกเบิกอุตสาหกรรมและยังได้เปรียบในแง่ของส่วนแบ่งตลาดเพราะอยู่มานานกว่าเขา (ขนาดยอดขายไตรมาสแรกของปีนี้ตกฮวบฮาบเพราะพฤติกรรมของอีลอนก็ยังอยู่ที่ 44% ของยอดขายในตลาดทั้งหมด) คู่แข่งที่เข้ามาใหม่ๆ และยังตั้งตัวไม่ได้ต่างหากที่จะได้รับผลกระทบเพราะจะไม่มีตัวช่วย
สัญญาณของการแตกหักมันมีมานานแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลังๆ นี้ทั้งสองคนไม่ค่อยทวีตถึงกันมากเหมือนตอนเริ่มจู๋จี๋กันใหม่ๆ ที่ชัดมากคือการที่ทรัมป์ไม่ยอมต่ออายุให้อีลอนในฐานะ Special Government Employee หลังจากอีลอนทำงานครบ 130 วัน (ถึงแม้ว่าตามกฎหมายแล้วคนที่มีสถานะเป็น Special Government Employee จะสามารถทำงานได้แค่ 130 วันต่อปีงบประมาณ แต่ถ้าทรัมป์จะให้อีลอนอยู่ต่อเสียอย่างก็คงจะออกคำสั่งหรือ Executive Order มาขยายเวลาทำงานให้ เพราะที่ผ่านมาทรัมป์ก็ออกคำสั่งแบบที่ว่ามาแล้วกับหลายๆ เรื่องไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญขนาดไหน แต่ทรัมป์ก็ไม่ยอมทำ) มีรายงานข่าวด้วยว่าทรัมป์พูดถึงอีลอนว่าเป็น 50% อัจฉริยะ 50% เด็กอมมือ ส่วนฟางเส้นสุดท้ายคงจะเป็นการที่ทรัมป์ถอนชื่อแคนดิเดต NASA ภายในเวลาไม่กี่ชม.หลังจากที่จัดงานอำลาให้แก่อีลอนที่ทำเนียบขาว เพราะแคนดิเดตคนนี้คือคนที่อีลอนนำเสนอและสนับสนุนสุดตัว
ส่วนเรื่องเอปสตีนนั้น จริงๆ เราก็รู้มานานแล้วว่าทรัมป์กับเอปสตีนเป็นเพื่อนกัน ใครไปพิมพ์หาคลิปที่สองคนปาร์ตี้ด้วยกันในยูทูบก็จะเจอได้ง่ายๆ ในเอกสารชุดแรกที่รัฐบาลเผยแพร่เมื่อต้นปี 2024 ก็มีชื่อทรัมป์อยู่ด้วย https://www.usatoday.com/story/news/politics/2024/01/03/jeffrey-epstein-list-clinton-trump/72086945007/ อาจจะเป็นเพราะว่าเซเลบในนิวยอร์คก็มักจะแฮงเอ๊าท์กับเซเลบคนอื่นๆ ในนิวยอร์คเป็นธรรมดา ดังนั้นการที่ใครจะบอกว่ามีชื่อทรัมป์อยู่ใน The Epstein Files ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก ที่มันกลายเป็นข่าวใหญ่ก็เพราะว่าก่อนจะออกจากรัฐบาลนั้นอีลอนกับพลพรรค DOGE ได้รับคำอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลที่อ่อนไหวในหน่วยงานกลางต่างๆ มากมาย คนเลยเชื่อว่าอีลอนเอาเรื่องนี้มาพูดได้ก็เพราะได้เห็นเอกสารลับที่ทางการต้องการปกปิดด้วยตนเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 09 มิ.ย. 25, 13:36
|
|
คุณปัญจมาเข้ามาทีไร กระทู้ทำท่าจะวิ่งฉิวทุกที อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ ตอนนี้เวทีที่ทรัมป์ยืนอยู่ ดุเดือดเลือดพล่านไม่แพ้หนังแอคชั่น ล่าสุดเห็นว่าจลาจลใน LA ยังไม่เลิก แถมมีนักข่าวชื่อ Lauren Tomasi เป็นนักข่าวภาคสนามของสำนักข่าว 9News จากออสเตรเลียถูกเจ้าหน้าที่ยิงด้วยกระสุนยาง ขณะรายงานข่าวการชุมนุมประท้วง เธอคงเจ็บตัวและตกใจ แต่ก็น่าจะปลอดภัยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|