ทรัมป์กลับมาแล้ว!

[เทาชมพู]

เจอข่าวนี้ค่ะ  เดาว่ากองทัพคงปั่นป่วนกันไปอีกพักหนึ่ง
หนุ่มมาดเข้มคนนี้เป็นผู้ชายข้ามเพศค่ะ    ถ้าคำสั่งตกมาจริง  เขาก็ต้องพ้นหน้าที่ในกองทัพ
https://www.airforcetimes.com/news/your-air-force/2017/07/26/transgender-airman-i-would-like-to-see-them-try-to-kick-me-out-of-my-military/

[ปัญจมา]

อยากถามคุณปัญจมาด้วยครับ ว่าตั้งแต่ทรัมป์เริ่มงานมาสองสามเดือนมานี้ พวกที่สนับสนุนทรัมป์ หรือเลือกทรัมป์มา ตอนนี้ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมไหม เพราะเห็นไล่คนออกเป็นว่าเล่น ค่ายาก็แพงขึ้น น่าจะมีส่วนที่กระทบชาวบ้านกันแล้ว แล้วพวกเค้าคิดยังไงกัน

ลืมพูดถึงไปเรื่องหนึ่งคือการที่ทรัมป์ให้อีลอน มัสก์เป็นคนควบคุมดูแลมาตรการปลดข้าราชการและปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐครั้งนี้   เท่ากับว่าเป็นการสร้างหลักประกันให้ตัวเองไว้ล่วงหน้าว่าถ้าหากนโยบายนี้ล้มเหลว  ทำให้ประชาชนก่นด่า    อีลอนก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่บ้านตำบลกระสุนตกไป   แต่ถ้ามาตรการนี้ประสบความสำเร็จทำให้คนนิยมชมชอบ  ทรัมป์ก็จะได้โอกาสเคลมเครดิตว่าเป็นปธน.ที่ทำในสิ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ บลา บลา บลา   

การที่อีลอนเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในเรื่องนี้ทำให้ความโกรธแค้นบางส่วนพุ่งไปยังอีลอนในช่วงแรกๆ  (หลังจากที่ประกาศปิด USAID ใหม่ๆ)   อย่างที่เรียนไปแล้วว่า USAID นั้นเหมือนลูกเมียน้อยไม่ค่อยได้รับความสนใจ เนื่องจากผู้เสียภาษีจำนวนหนึ่งก็รู้สึกอยู่เป็นทุนเดิมแล้วว่าทำไมอเมริกาต้องใช้เงินภาษีของพวกเขาไปกับการช่วยเหลือพลเมืองของประเทศอื่น    พออีลอนสั่งปิดหน่วยงานนี้   เดโมแครตเลยไม่ค่อยกล้าเสนอหน้าออกมาปกป้อง  เพราะการต่อต้านคำสั่งปิดหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือต่อคนนอกประเทศอาจจะทำให้พรรคถูกมองได้ว่ากำลังปกป้อง status quo หรือโครงสร้างอำนาจของรัฐบาลในส่วนกลางที่คนอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ   ไม่ใช่ Institutions หรือเสาหลักสำคัญๆ ในระบอบการปกครองที่จำเป็นจะต้องธำรงไว้   เวลาฝ่ายค้านจะออกไปประท้วงอะไรก็เลยใช้อีลอนนี่แหละเป็นเป้าแทน  (ซึ่งส่วนหนึ่งดิฉันก็เห็นด้วยเพราะมันทุเรศมากที่อภิมหาเศรษฐีแสนล้านจะมาทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างฉับพลันและรุนแรงแบบนี้)  แรงกดดันจากมหาชนส่วนหนึ่งเลยลงไปที่อีลอน   ทำให้ยอดส่งรถเทสล่าตกต่ำลงเป็นประวัติการณ์อย่างที่เป็นตอนนี้ 

[ปัญจมา]

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น   อีลอนก็ยิ่งสร้างความปั่นป่วนสับสนวุ่นวายให้แก่รัฐบาลกลางมากขึ้นด้วยการออกคำสั่งให้ข้าราชการหลายล้านคนส่งรายละเอียดให้ตัวเองเป็น bullet points ทางอีเมลภายในวันเดียวกันนั้น  ว่าในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ได้ทำอะไรให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปบ้าง   ถ้าใครดื้อไม่ส่งคำตอบภายในเวลาที่กำหนดก็ให้ถือเป็นการแสดงเจตจำนงที่จะลาออก    เท่ากับเป็นการข้ามหน้าข้ามตาเจ้ากระทรวงอย่างโจ่งแจ้ง    แต่แทนที่จะเข้าข้างครม.ที่ตัวเองตั้งมากับมือ    ทรัมป์กลับแสดงให้ใครๆ เห็นในที่ประชุมครม.นัดแรกเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าคำสั่งของอีลอนคือคำสั่งของปธน.    ใครไม่ทำตามก็จะโดนไล่ออก   ถ้าใครลองสังเกตสีหน้าและภาษากายของครม.บางคนตอนที่อีลอนลุกขึ้นพูดในที่ประชุมก็คงจะเห็นความอึดอัดและสับสนของคนเหล่านั้นได้ 

สถานการณ์ที่มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวายแบบนี้ทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์ตกต่ำลงในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนของการเข้ามารับตำแหน่ง  ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับปธน.คนไหนมาก่อน  (แต่เชื่อว่าทรัมป์ก็จะไม่ยอมรับและปั้นน้ำเป็นตัวต่อไปว่าความนิยมของเขายังแรงอยู่)  เห็นได้จากโพลที่สอบถามความเห็นของคนอเมริกันว่าพึงพอใจกับการดำเนินด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่มากน้อยแค่ไหน  (นอกจากโพลที่รายงานไปแล้วข้างบนก็มีโพลของแกลลัพที่ชี้ว่า 60% ของคนอเมริกันมองว่าเศรษฐกิจแย่ลง ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ทรัมป์สัญญาไว้ในช่วงหาเสียง  ส่วนดัชนีความมั่นใจของผู้บริโภคนั้นก็ตกลงฮวบฮาบในเดือนกพ. เมื่อเทียบกับเดือนมค. และอยู่ในระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนสค. 2021) 

[เทาชมพู]

จาก FB ของ Piti Srisangnam
(รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน

1 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย

2 ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

3 ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)

4 แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/piti.srisangnam

[เพ็ญชมพู]

ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร

ความเห็นของ นักการทูตผู้หนึ่ง

ไม่นานมานี้ ผมเขียนว่าเราจะได้เห็นโฉมหน้าของ ugly American ภายใต้ทรัมป์ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะ ugly ได้เหลือเชื่อขนาดนี้

ปกติ media pool spray จะเป็นเพียง photo op คือโอกาสให้ช่างภาพและนักข่าวเก็บบรรยากาศไปลงสื่อของตัวเอง เพื่อที่ผู้ชมทางบ้านจะได้รับรู้ว่ามีการประชุมระดับสูง ดังนั้นผู้ประชุมจะไม่มีการพูดคุยกันในสาระระดับลึก

แต่ในการประชุมระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีเซเลนสกี้แห่งยูเครน ไม่มีเจ้าหน้าที่เชิญสื่อออกจากห้องหลังจากถ่ายรูปหรือวิดีโอเสร็จ แต่เปิดให้ชาวโลกเห็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐรุมกันด่าผู้นำยูเครนด้วยอาการที่เกรี้ยวกราดหยาบคายชนิดที่เรียกได้ว่าลากมาตบกลางวง

ซึ่งแน่นอนย่อมขัดต่อหลักปฏิบัติทางการทูตทั้งปวง แต่คงสร้างความสะใจให้กับปูติน ซึ่งคงเป็นผู้ชมในดวงใจทรัมป์

รัฐมนตรีต่างประเทศ Marco Rubio ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ทำหน้าผะอีดผะอม แต่ต่อมาก็เชลียร์ทรัมป์อย่างหน้าชื่นตาบานว่าทำถูกแล้ว เซเลนสกี้มันเลวเอง

ทรัมป์เองแย้มออกมาภายหลังว่าที่อัดหนักผู้นำยูเครนเพราะเซเลนสกี้พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับปูติน

ซึ่งจริง ๆ แล้วเซเลนสกี้ก็ว่าไปตามความจริง แต่ก็หละนะ ใครมันจะอยากฟังคนอื่นวิจารณ์เจ้านายที่ตัวเองเคารพบูชา

ครับ รัฐบาลสหรัฐชุดนี้ไม่ปกติ เปิดมาก็มุ่งมั่นทำลายล้างระบบราชการ เจาะบั่นทอนสถาบันที่ถ่วงอำนาจฝ่ายบริหาร ทอดทิ้งพันธมิตร เลิกยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศ หลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม หันมายกย่องเผด็จการ ทำลายระเบียบโลกที่อเมริกาสร้างขึ้นมาเอง

ไม่ว่าศัตรูรายไหนก็คงไม่สามารถทำลายอเมริกาถึงขั้นถอนรากโคนได้เท่ากับที่ทรัมป์กำลังพยายามทำอยู่

[ประกอบ]

เอาความเห็นนึง จากคนที่ไม่ comment ในเพจของทำเนียบขาว ที่ลงเรื่องการพบปะกันครั้งนี้มาให้อ่านครับ

นี่แหละ!

พวกเราเป็นชาวอเมริกัน

เราเป็นชาติที่ทรงอำนาจที่สุดบนโลกใบนี้
แต่สิ่งที่กำหนดตัวตนของเราไม่ใช่อำนาจในการครอบงำผู้อ่อนแอ
สิ่งที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของเราไม่ใช่ความสามารถในการสร้างบาดแผลให้กับผู้ที่ทุกข์ทรมาน
สิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงของเรา ไม่ใช่วิธีที่เราหยัน หัวเราะเยาะ หรือดูแคลนผู้ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน ถูกทำลาย หรือถูกทุบตี

เราเป็น
ประเทศแห่งแผนมาร์แชล (Marshall Plan)
ชาติแห่งปฏิบัติการส่งความช่วยเหลือทางอากาศที่เบอร์ลิน (Berlin Airlift)
ชาติที่ผู้นำของเราเคยกล่าวว่า “มิสเตอร์กอร์บาชอฟ จงรื้อกำแพงนี้ลงมา”

เราอยู่ในจุดที่ดีที่สุดเมื่อเรามุ่งมั่นต่อต้านความชั่วร้าย ไม่ใช่เมื่อเรายอมศิโรราบต่อผู้กระทำมัน
เราพูดความจริงของเราเมื่อเราปกป้องผู้ที่อ่อนแอ ไม่ใช่เมื่อเราทำเช่นนั้นเพียงเพราะได้รับค่าคุ้มครอง
เราเป็นอเมริกาเมื่อผู้นำของเราเรียกเผด็จการว่า เผด็จการ และเรียกผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยจากเผด็จการว่า วีรบุรุษ

โดนัลด์ ทรัมป์ และ เจ.ดี. แวนซ์ ไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งในวันนี้—พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ

พวกเขาหยามหมิ่นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาตัวเล็กเพียงใด

พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ทรงเกียรติที่สุดในโลก: ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
แต่ตำแหน่งไม่ได้สร้างความเป็นผู้นำให้กับพวกเขา และวันนี้ ทั้งสองคนได้นำความอัปยศมาสู่ตำแหน่งของตน

ตรงหน้าของพวกเขาคือ นักรบที่เหนื่อยล้า
ชายผู้ถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง ผู้สูญเสียเพื่อนและสหายร่วมนับพันจากการรุกรานที่อยุติธรรมและผิดกฎหมายของผู้นำเผด็จการ

แต่พวกเขาไม่แสดงความเมตตา
ไม่มีความใจกว้างทางจิตใจ
ไม่มีความสามารถทางการทูต

พวกเขาคือ อันธพาลตัวเล็ก ที่มีตำแหน่งใหญ่โต และพวกเขาได้ดูแคลนประวัติศาสตร์และมรดกของชาติที่พวกเขาปกครอง

วันนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ กระทำตัวเหมือน ปูตินแห่งรัสเซีย มากกว่า ประธานาธิบดีแห่งอเมริกา

— โครี บุคเกอร์

[เทาชมพู]

จาก Facebook ของคุณNitipat Bhandhumachinda

จากการนั่งฟังการสนทนาหน้ากล้องตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ก็สรุปได้ว่า
ในขณะที่ทรัมป์มีจุดมุ่งหมายหลักของการพบกันที่จะลงนามข้อตกลงเรื่องทรพยากรหายากในยูเครน และแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะออกหน้าใช้แนวทางการเจรจาทางการทูตเพื่อยุติสงคราม
ที่เซเลนสกี้ต้องการคือต้องการบีบให้ทางสหรัฐฯรับปากออกสื่อในประเด็นสำคัญของเขาคือการรับประกันความปลอดภัย และสนับสนุนทางอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง
และในขณะที่ทรัมป์กล่าวว่า เขาเป็นคนกลางที่รู้จักทั้งสองฝ่ายและจะยุติสงครามโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใด และทุกการเจรจาสงบศึกต้องมีการประนีประนอม
ที่เซเลนสกี้ต้องการคือ การแสดงความชัดเจนให้โลกและสหรัฐฯรู้และยอมรับเหมือนตนว่า ปูตินคือผู้ร้าย คือฆาตกร และผู้ก่อวินาศกรรม ซึ่งต้องไม่มีการประนีประนอมกับคนเช่นนั้น
หรือโดยสรุปคือ การยุติสงครามแบบทรัมป์คือการใช้แนวทางการทูต ส่วนในแบบเซเลนสกี้คือใช้อำนาจกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าข่มจน ปูตินยอมยกธงขาว
ซึ่งจะเห็นว่าไม่ได้มีความต้องการที่สอดคล้องกันตั้งแต่ต้น
และเมื่อเซเลนสกี้ตั้งคำถามกลับมาที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรว่าท่านจะใช้วิธีการทูตแบบไหนกับคนอย่างปูติน ซึ่งก็โดนรองประธานาธิบดีฯสวนกลับมาว่า ที่ผ่านมา เคยรู้สึกขอบคุณหรือสำนึกในบุญคุณที่สหรัฐฯมีให้บ้างไหม
แล้วหลังจากนั้นก็วงแตก
นี่คือเล่าแบบไม่เข้าข้างฝ่ายไหน หรือ ต้องการจะแสดงความเห็นส่วนตัวอย่างไรนะครับ

ดูการเมืองสหรัฐฯไม่ออกว่าจะดีขึ้น หรือแย่ลงในอนาคต  แต่เข้าใจว่าทรัมป์ทิ้งขว้างร้างหย่าเซเลนสกีออกมาให้เห็นชัดๆแล้ว   กำลังจีบปูตินอยู่อย่างหวานชื่น

[ปัญจมา]

คอมเม้นท์ที่เพจซึ่งแชร์บทความอ. ปิติบางเพจนี่น่าสนใจนะคะ  เห็นได้ชัดว่ามีคนอ่านจำนวนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามกับการโทษเหยื่อหรือผู้ถูกรุกราน   แทนที่จะไปโทษผู้รุกรานคือรัสเซีย   แต่ก็มีคนอ่านจำนวนมากที่เข้าใจประวัติศาสตร์การล่มสลายของสหภาพโซเวียต  และตระหนักดีว่ายูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราชและอธิปไตยอย่างเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่ปี 1991 แล้ว  ถ้าประชาชนเขาไม่อยากกลับไปอยู่ใต้อุ้งเท้าของรัสเซียอีกเราก็ควรสนับสนุนและเห็นใจเขามากกว่าจะเยาะเย้ยถากถางเหมือนคนที่ปราศจากมนุษยธรรม

[ปัญจมา]

หนูลองคิดดูเล่นๆ ว่า   ถ้าในอดีตท่านประธานเหมามาแอบอ้างว่า  ในเมื่อหนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนระบุว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต   ดังนั้นอาณาเขตของไทยก็ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของจีนโดยชอบธรรม  และการที่ไทยจะเข้าไปร่วมกับชาติอื่นในการก่อตั้งอาเซียนขึ้นมาป้องกันไม่ให้จีนแผ่อิทธิพลคอมมิวนิสต์เข้ามาในภูมิภาคนั้นก็เท่ากับเป็นการท้าทายจีนโดยตรง   จีนจึงมีสิทธิที่จะยกกองทหารมารุกรานไทยเมื่อไหร่ก็ได้   คนไทยหลายล้านคนก็คงไม่ยอม แล้วทำไมเราถึงจะไปบังคับให้ยูเครนศิโรราบต่อผู้รุกราน  ไม่ให้เขาเข้าไปเป็นสมาชิกของนาโต้และอียูอย่างที่เขาปรารถนาล่ะคะ  (ที่รัฐบาลไทยสมัยยุค 1960s-1980s หันไปอิงสหรัฐฯ ในช่วงนั้นก็เพราะเราหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรือ)

หนูว่าที่นักวิชาการท่านนี้สมควรด่า  คือปธน. และรองปธน. สหรัฐฯ มากกว่าค่ะ  พฤติกรรมที่ทั้ง 2 คนแสดงออกสื่อเมื่อวันศุกร์นั้นฝรั่งเรียกง่ายๆ ว่า schoolyard bully  พวกชอบใช้กำลังข่มเหงรังแกคนที่ด้อยกว่า ไม่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอะไร    ทำให้ the Presidency ต้องมัวหมองเสียอีก   เราไม่ควรแสดงออกว่าเราสนับสนุนการกระทำในลักษณะนั้นไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม  ยิ่งเป็นผู้นำที่กระเสือกกระสนจะปกป้องประเทศของเขาจากภัยคุกคามภายนอกแล้วยิ่งไม่น่าใหญ่ 

[ปัญจมา]

เซเลนสกี้อาจจะพลาดตรงที่เขาไม่น่าจะเปิดโอกาสให้ Vance ตั้งลูกให้ทรัมป์ตบ  (ถ้าเป็นคุณบ๊อบ  เธอคงจะยิ้มแล้วบอกว่า I respectfully disagree with you, Mr. Vice President. I look forward to working out our differences in a closed-door meeting, as it should be).  แต่สิ่งที่เขายอมไม่ได้คือการที่มีคนมาโทษยูเครนว่าเป็นคนผิด  ทั้งๆ ที่ประเทศเขาอยู่เฉยๆ ก็โดนบุกรุก  คนของเขาล้มตายไปเป็นหมื่นเป็นแสน  ลูกเด็กเล็กแดงในโรงพยาบาลก็โดนรัสเซียเอาระเบิดมาถล่ม  ทหารและตัวประกันที่ถูกรัสเซียจับไปก็โดนสังหารหมู่ไม่เว้นแต่ละวัน  (ตัวเซเลนสกี้เองน่ะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมา 3 ปีแล้ว   ดูหน้าตาสิคะว่าอิดโรยขนาดไหน) 

[ปัญจมา]

สิ่งหนึ่งที่อ. ท่านนั้นไม่ได้พูดถึงก็คือการที่เซเลนสกี้พยายามร้องขอให้ทรัมป์พิจารณาเรื่องที่รัสเซียเคยละเมิดข้อตกลงต่างๆ ในอดีตมาแล้ว  เท่ากับว่ารัสเซียเป็นคู่เจรจาที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ  ถ้าจะให้ยูเครนตอบรับการเจรจาหยุดยิง  ให้ยกดินแดนส่วนหนึ่งให้รัสเซีย  ให้ยกทรัพยากรของชาติให้อเมริกา  อย่างน้อยๆ ก็ขอให้สหรัฐฯ ให้หลักประกันหน่อยว่าถ้ารัสเซียละเมิดข้อตกลงอีกสหรัฐฯ นั่นแหละจะเป็นผู้รับประกันความมั่นคงปลอดภัยให้ยูเครน  เพราะลำพังยุโรปอย่างเดียวนั้นไม่พอรับมือกับรัสเซียแน่ๆ  แต่ทรัมป์กับแวนซ์ก็ไม่ยอมฟังเลย   ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเซเลนสกี้ไม่ได้คลานเข่าเข้ามา kiss the ring เหมือนที่ทรัมป์คาดหวัง   และทรัมป์เดือดที่เซเลนสกี้ไม่ยอมรับดีล 50-50 ที่ตัวเองเสนอครั้งแรก  รวมทั้งยังไม่หายเคืองเซเลนสกี้ในเรื่องเก่าๆ อยู่เป็นทุนเดิม  แถมเซเลนสกี้ยังมาท้วงเขาเรื่องรัสเซียออกสื่ออีก 

[ปัญจมา]

ความเห็นของ นักการทูตผู้หนึ่ง

ไม่นานมานี้ ผมเขียนว่าเราจะได้เห็นโฉมหน้าของ ugly American ภายใต้ทรัมป์ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะ ugly ได้เหลือเชื่อขนาดนี้

แถมทรัมป์ยังพูดตอนจบอีกว่า "This is going to be great television."  นี่มันคือดราม่าที่เยี่ยมยอดมากสำหรับผู้ชมทางบ้านนะเนี่ย

ฟังแล้วอยากจะเขวี้ยงรองเท้าใส่จอ  ผู้นำเฮงซวยอะไรนี่ เห็นความเป็นความตายของประเทศอื่นและสันติสุขโลกเป็นคอนเทนท์     

[ปัญจมา]

เราเป็นชาติที่ทรงอำนาจที่สุดบนโลกใบนี้
แต่สิ่งที่กำหนดตัวตนของเราไม่ใช่อำนาจในการครอบงำผู้อ่อนแอ
สิ่งที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของเราไม่ใช่ความสามารถในการสร้างบาดแผลให้กับผู้ที่ทุกข์ทรมาน
สิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงของเรา ไม่ใช่วิธีที่เราหยัน หัวเราะเยาะ หรือดูแคลนผู้ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน ถูกทำลาย หรือถูกทุบตี

เราเป็น
ประเทศแห่งแผนมาร์แชล (Marshall Plan)
ชาติแห่งปฏิบัติการส่งความช่วยเหลือทางอากาศที่เบอร์ลิน (Berlin Airlift)
ชาติที่ผู้นำของเราเคยกล่าวว่า “มิสเตอร์กอร์บาชอฟ จงรื้อกำแพงนี้ลงมา�

[ปัญจมา]

เราเป็นชาติที่ทรงอำนาจที่สุดบนโลกใบนี้
แต่สิ่งที่กำหนดตัวตนของเราไม่ใช่อำนาจในการครอบงำผู้อ่อนแอ
สิ่งที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของเราไม่ใช่ความสามารถในการสร้างบาดแผลให้กับผู้ที่ทุกข์ทรมาน
สิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงของเรา ไม่ใช่วิธีที่เราหยัน หัวเราะเยาะ หรือดูแคลนผู้ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน ถูกทำลาย หรือถูกทุบตี

เราเป็น
ประเทศแห่งแผนมาร์แชล (Marshall Plan)
ชาติแห่งปฏิบัติการส่งความช่วยเหลือทางอากาศที่เบอร์ลิน (Berlin Airlift)
ชาติที่ผู้นำของเราเคยกล่าวว่า “มิสเตอร์กอร์บาชอฟ จงรื้อกำแพงนี้ลงมา”

จอห์น โอลิเวอร์เคยเยาะเย้ยอเมริกาอย่างขำๆ หลังจากสัปดาห์แรกที่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งว่า เป็นไงล่ะ  เสียเลือดเนื้อไปเท่าไหร่เพื่อปลดแอกตัวเองจากการเป็นอาณานิคมอังกฤษ  สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่สมบูรณาสิทธิราชอยู่ดี

ใครอีกคนไม่ทราบบอกว่า  ในเกือบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเราใช้แสนยานุภาพและทรัพยากรมากมายเพื่อต่อสู้กับเผด็จการฟาสซิสต์  เพื่อที่ 80 ปีให้หลังเราจะได้ทำตัวเป็นฟาสซิสต์เสียเอง  (วิญญาณทหารหาญอเมริกันที่สละชีพในสงครามโลกครั้งที่สองคงอยู่ไม่สุขแน่)  

[เทาชมพู]

เรื่องเซเลนสกีมาพบทรัมป์กลายเป็นเรื่องที่วิจารณ์กันได้หลากหลายมุมมอง     วันนี้ไปเจออีกมุมมอง เลยเอามาลงให้อ่านกันค่ะ
จาก Facebook ของคุณ นัทแนะ

เห็นข่าวเซเลนสกี้มาออกทีวีให้ลุงทรัมป์เชือดกลางสี่แยกแล้ว   เพื่อนๆถามผมว่าคิดอย่างไร  และนี่คือความคิดเห็นของผมครับ
คำตอบสั้นๆคือ  ผมเห็นว่านายเซเลนสกี้คือผู้นำที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา   ขอให้เราจำไว้ว่าอย่าได้เลือกคนที่โง่และหิวแสงแบบนี้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองเด็ดขาด
และต่อไปนี้คือคำตอบแบบยาว คือเหตุผลที่ทำให้ผมคิดแบบนี้  มันมีเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เราควรรู้ด้วยครับ
1 ยูเครนเป็นชาติที่แตกแยกกันด้วยประชากรที่มีปะปนกันอยู่สองเชื้อชาติอยู่แล้ว คือ คนเชื้อสายยูเครน กับคนเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มนี้มีจำนวนใกล้เคียงกันครับ
2 ถ้าถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้   คำตอบก็คือ รัสเซียและยูเครนเขาเคยเป็นประเทศเดียวกันคือโซเวียตมาก่อน  เมื่อโซเวียตแตกออกมาเป็นหลายประเทศ  ผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้ย้ายแยกหนีกันไปไหน  บ้านอยู่ไหนก็ยังอยู่ที่เดิม
3 ผลการเลือกตั้งยูเครนแต่ละครั้ง  ชนสองฝั่งก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาเรื่อยๆ  ฝั่งไหนชนะก็จะได้ปธน.ฝั่งตัวเอง  และปธน.ยูเครนแต่ละคนก็เอียงไปฝั่งอียูบ้าง  ฝั่งรัสเซียบ้าง
4 ปี 2013 ปธน.ยูเครนชื่อยานูโควิช  คนๆนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญคือ  อียูก็มาชวนไปเข้าอียู  รัสเซียจึงเสนอเงินช่วยเหลือ 15,000 ล้านเหรียญแลกกับการไม่ไปเข้าอียู  ในขณะที่อียูไม่ได้เสนออะไร  แค่มาชวนเฉยๆ
5 ปธน.ยานูโควิชจึงรับข้อเสนอของรัสเซีย  อเมริกาจึงไปสนับสนุนให้มีการก่อกบฏในยูเครนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล   จนนายยานูโควิชต้องลี้ภัยไปอยู่รัสเซีย
6 ปี 2014 รัฐมนตรียุโรปก็ชวนกันไปหว่านล้อมกับนายยานูโควิชว่า “ให้ลาออกซะ”  เพื่อที่อเมริกาและยุโรปจะได้ตั้งปธน.ยูเครนที่โปรอียูขึ้นมาแทน
7 รัสเซียจึงเคลื่อนกำลังเข้ายึดแคว้นไครเมีย  และสภาประชาชนของแคว้นนี้ก็ลงมติประกาศว่าฉันจะไปอยู่กับรัสเซีย   เพราะผู้คนในแคว้นนี้คือคนรัสเซียเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว
8 ถ้าถามว่า  “ทำไมรัสเซียจึงอะไรกับยูเครนนัก?  ทำไมไม่ปล่อยๆไปเหมือนจอร์เจีย?”
9 คำตอบคือ “ภูมิรัฐศาสตร์ครับ”  กล่าวคือ  ภูมิประเทศของยูเครนและรัสเซียคือแผ่นดินผืนราบเรียบแผ่นเดียวกัน  ไม่มีภูเขาขวางเลย  รัสเซียจึงมองว่าถ้ามีกองกำลังหรือขีปนาวุธต่างชาติมาตั้งอยู่บนแผ่นดินยูเครน  กองกำลังนั้นสามารถขึ้นรถถังวิ่งบุกตะลุยมาจนถึงรัสเซียได้ง่ายดายมาก
10 รัสเซียจึงถือว่ายูเครนเป็นหน้าบ้านของตนเอง  เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองซีกโลกตะวันตกว่าคือสนามหลังบ้านของตนเอง
11 ทีนี้เมื่อนาโต้ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มทางทหารของอเมริกาและพันธมิตรยุโรป  พยายามหว่านล้อมชวนยูเครนมาเข้านาโต้  รัสเซียจึงยอมไม่ได้และจะไม่มีวันยอมที่จะให้มีขีปนาวุธของสหรัฐมาตั้งประจัญอยู่ชายแดนตนเอง
12 รัสเซียจึงยอมที่จะทำลายยูเครนให้สิ้นเสียดีกว่าที่จะให้นาโต้มาประชิดพรมแดน

ทีนี้บางท่านอาจจะมีคำถามว่า “เอ้า  ก็ยูเครนเขามีเอกราชของเขา  เขาอยากจะไปอยู่กับใครมันก็เรื่องของเขาสิ“
คำตอบของผมคือ  ”คนที่จะมาเป็นผู้นำของชาติอย่างยูเครน  ควรจะต้องรู้อยู่แล้วว่าสถานะของยูเครนนั้นยืนอยู่บนคมหอกคมดาบครับ  การเลือกเส้นทางที่จะแตกหักกับชาติมหาอำนาจข้างบ้านอย่างรัสเซียคือทางเลือกที่โง่ที่สุด“
ชาติเพื่อนบ้านนั้น  ต่อให้ชั่วฟ้าดินสลายยังไงก็ต้องอยู่กันไปตลอดกาล  สิ่งที่คนเป็นประธานาธิบดีต้องคิดคือ  ทำยังไงให้คนในชาติตัวเองอยู่ได้โดยไม่เกิดปัญหารุนแรง
และต้องไม่โง่พอที่จะเอาประเทศตัวเองไปเป็นเบี้ย   จนกระทั่งบ้านเมืองล่มสลาย  ผู้คนลี้ภัยสงครามแบบนี้
และสุดท้ายเราก็ได้เห็นประธานาธิบดียูเครนต้องไปนั่งออกทีวีขอเงินจากทรัมป์  ให้ลุงทรัมป์และแวนซ์ด่าไลฟ์ออกทีวีจนเสียเกียรติภูมิชาติตัวเอง
นี่ละครับ  ผลของการเลือกตัวตลก เลือกคนโง่และหิวแสงแบบเซเลนสกี้มาเป็นผู้นำประเทศ