ปืนพกปะทะปืนกลเวลาประมาณ 07.30 น.นายพันตำรวจโท หลวงประภัศร์ เมฆะวิภาต ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนายร้อยตำรวจเอก ขุนวารินทร์สัญจรซึ่งมีตำแหน่งรองผู้กำกับ เข้าไปเจรจากับนายทหารญี่ปุ่นโดยมีพ่อค้าจานชามเป็นล่าม ต่อมาไม่นานเมื่อการพูดคุยประสบความล้มเหลว การปะทะกันด้วยอาวุธจึงได้ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้รุกรานเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ตำรวจไทยอย่างดุเดือด พร้อมกับเคลื่อนพลบุกเข้ายึดสถานที่สำคัญประกอบไปด้วย ท่าเรือ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข และศาลากลางจังหวัด นายพันตำรวจโท หลวงประภัศร์ถูกกระสุนปืนทหารญี่ปุ่นได้รับบาดเจ็บรายแรก ต้องนำตัวไปส่งสุขศาลาไม่ได้อยู่บัญชาการลูกน้องต่อสู้กับผู้รุกราน
กำลังฝ่ายไทยประกอบไปด้วย ตำรวจภูธร ลูกเสือในเครื่องแบบ ราษฎรอาสาสมัคร รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ อาวุธประกอบไปด้วยปืนเล็กยาวกับปืนพกจำนวนหนึ่ง ต้องต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นพร้อมอาวุธครบมือจำนวนมาก เนื่องจากกำลังพลชำนาญการรบน้อยกว่า บวกอาวุธมีจำนวนน้อยกว่า ประสิทธิภาพในการต่อสู้ย่อมน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม โชคดีเหลือเกินเช้าวันนั้นฝนตกอย่างหนักแทบมองอะไรไม่เห็น ไม่เช่นนั้นความสูญเสียกำลังพลฝ่ายไทยอาจมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ระหว่างเข้าปะทะนายฝาก มิตรภักดี ปลัดเทศบาลส่งคนไปโทรเลขที่อำเภอท่าข้าม (อำเภอพุนพินในปัจจุบัน) เพื่อขอกำลังเสริมจากทหารค่ายค่ายวชิราวุธซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด หนึ่งชั่วโมงให้หลังชายผู้นั้นกลับมารายงานว่า นครศรีธรรมราชไม่สามารถส่งทหารมาช่วยได้ เนื่องจากขณะนี้กำลังปะทะกับทหารญี่ปุ่นจำนวนมาก เท่ากับว่าตำรวจและคนสุราษฎร์ฯ ต้องปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนด้วยตัวเอง
ผ่านไปไม่นานสถานที่สำคัญหลายแห่งถูกญี่ปุ่นยึดครอง เหลือเพียงจุดสกัดติดศาลากลางอันเป็นสมรภูมิที่มีการรบหนักหน่วงมากที่สุด ระหว่างนั้นศาลากลางเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรงคาดว่ามีคนจุดไฟเผาเอกสารสำคัญ กระทั่งเวลาประมาณ 13.00 น.สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยได้ประกาศว่า รัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเคลื่อนกำลังผ่านประเทศได้ รวมทั้งมีโทรเลขสั่งให้หยุดยิงส่งมาจากรัฐบาล การปะทะกันใจกลางเมืองสุราษฎร์ธานีจึงได้สิ้นสุดในเวลาต่อมา
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นประกอบไปด้วย ตำรวจเสียชีวิต 17 นาย ข้าราชการเสียชีวิต 5 คน ประชาชนเสียชีวิต 20 คน บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 62 คน ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตและบาดเจ็บไม่ทราบจำนวน
ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งค่ายทหารหลายจุดอาทิเช่น ริมสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำตาปี สวนยางพาราที่ท่าข้าม และท่าน้ำสวนสราญรมย์ เพื่อควบคุมและป้องกันเส้นทางรถไฟมุ่งตรงไปยังมลายู จึงแทบไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกับคนไทยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ไฟไหม้ศาลากลางจังหวัด
