เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12
  พิมพ์  
อ่าน: 23056 ทหารอาสาแห่งกรุงสยาม
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 150  เมื่อ 12 ก.ย. 24, 13:02

เมื่อรถทุกขบวนเดินทางถึงแนวศูนย์กลาง เจ้าหน้าที่ประจำเขตแดนรีบรายงานผู้บังคับบัญชากองทหารระวังหน้า ฝ่ายเยอรมันแจ้งว่ายินดีลงนามในสัญญาสันติภาพ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงระหว่างสองฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ จึงมีคำสั่งให้ขบวนรถหยุดอยู่ที่แนวเขตห้ามเดินทางต่อ

ทหารกองระวังหน้ารีบโอบล้อมพื้นที่โดยรอบ ปืนทุกกระบอกอยู่ในตำแหน่งพร้อมยิง ทหารทุกนายไม่นิ่งนอนใจเพราะยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด ตอนนั้นเองพลตรีชมิตต์เดินทางมาและเขาเรียกประชุมนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ท่านนายพลประกาศว่าฝ่ายเยอรมันยอมทำสัญญาสันติภาพ สงครามใหญ่กินเวลายาวนานหลายปีเป็นอันยุติตั้งแต่คืนนี้ และสั่งการให้กองทหารบกรถยนต์ประเทศไทยลำเลียงทหารกลับไปยังที่ตั้งเดิม

นอกจากกำลังทหารราบจำนวนสองพันนาย กองทหารระวังหน้ายังลากปืนใหญ่มาด้วยจำนวนหนึ่ง พลเมืองประเทศเยอรมันเห็นขบวนทหารแล่นผ่าน พาลคิดว่าเกิดการปะทะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน เมื่อได้รับข่าวดีสงครามสิ้นสุดลงอย่างแน่นอน ทุกคนออกมาแสดงความยินดีบนท้องถนน เฉลิมฉลองเรื่องตัวเองรอดพ้นจากความอดอยากปากแห้งเสียที

ขบวนรถเดินทางกลับถึงที่ตั้งประมาณสามทุ่มเศษ ตลอดเส้นทางได้ยินเสียงโห่ร้องทั้งจากพลเรือนและทหารกองระวังหน้า ทุกคนดีใจที่ไม่ต้องหันปากกระบอกปืนใส่กัน ทหารหลายนายประจำการแนวหน้าหลายปีไม่ได้กลับบ้าน นี่คือโอกาสที่ตัวเองจะได้พบหน้าลูกเมียและคนที่ตนเองรัก

วันที่ 24 มิถุนายน 2462 คือวันลงนามสัญญาสันติภาพระหว่างฝ่ายเยอรมันกับฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลฝรั่งเศสแจกแชมเปญพลทหารและนายสิบสี่คนต่อหนึ่งขวด และแจกนายทหารชั้นสัญญาบัตรสองคนต่อหนึ่งขวด ทหารทุกหน่วยพากันจุดพลุแห่โคมไฟแสดงความยินดี มีแตรวงบรรเลงเพลงประกอบการขับร้องเป็นที่สนุกสนาน

“พวกเราชนะแล้ว…ไชโย!” จรูญหน้าแดงเพราะความยินดีหาใช่ฤทธิ์เดชของมึนเมา เขาเป็นทหารไทยเพียงคนเดียวที่ไม่แตะต้องแชมเปญ และยกแชมเปญส่วนของตัวเองให้กับชื่นพลขับประจำตัว

“พี่หมู่จะได้กลับไปพบลูก” เพิ่มมีแก่ใจคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล

คุณพ่อลูกหนึ่งถอนหายใจแรงๆ “เอ็งพูดเรื่องนี้ข้าคิดถึงทันที คิดถึงแม่น้อยอยากกอดเมียใจจะขาด เห็นฝรั่งจูบปากกันทุกวันแล้วอิจฉา”

“โยงมาเรื่องนี้ทุกที” พลทหารหนุ่มวัยย่างยี่สิบส่ายหัวไปมา

“หมู่จรูญได้ชื่อลูกชายหรือยัง” หม่อมหลวงอุดมสอบถาม

“ผมอยากให้ลูกชื่ออุ่น จ่าไม่ว่าอะไรนะครับ”

จ่านายสิบชั่วคราวเผยรอยยิ้มอบอุ่น “อุ่นเป็นชื่อที่ดี ลูกชายหมู่จรูญจะต้องเจริญก้าวหน้าเหมือนคุณอุ่น”


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 151  เมื่อ 12 ก.ย. 24, 13:04

จ่านายสิบชั่วคราว หม่อมหลวงอุ่น อิสรเสนา ณ กรุงเทพจากโลกนี้ไปอย่างชายชาติทหาร จรูญอยากตั้งชื่อลูกชายเป็นสิ่งย้ำเตือนความทรงจำ เพื่อนทหารในกองร้อยย่อยทุกนายเห็นดีเห็นชอบตามกัน รวมทั้งคู่ปรับเก่าซึ่งปัจจุบันกลับมาคืนดีกันแล้ว สิบโทเฉลิมกับเชิดเฉลิมฉลองชัยชนะจนหน้าแดงตัวแดง เมื่อเมาได้ที่เขาเดินตุปัดตุเป๋มาพบเพื่อนเพื่อสนทนาพูดคุย

คนเมาพูดเสียงค่อนข้างดัง “ไอ้จรูญ…เอ็งฟังข้าให้ดี”

“ข้ากำลังฟัง” จรูญเกิดความรำคาญเล็กน้อย

“ข้าจะกลับกรมตำราทหารบกอย่างชายชาตรี เอ็งจำได้ไหมพวกนั้นเคยพูดอะไร มันบอกเอ็งกับข้าจะตายเหมือนหมูเหมือนหมา ชิชะ! คนพวกนี้มันดีแต่เห่าหอนไปวันๆ ให้วิ่งหลบลูกระเบิดคงตายตั้งแต่วันแรก”

“เอ็งจัดการพวกมันเผื่อข้าด้วย”

“อ้าว…แล้วเอ็งไม่มากับข้ารึ”

“ข้ายังไม่แน่ใจ” คุณพ่อลูกหนึ่งอธิบาย “ครอบครัวข้าใหญ่ขึ้นใช้เงินมากขึ้น ทำงานร่วมกับพวกมันคงไม่เจริญก้าวหน้า”

“แล้วเอ็งจะไปทำอะไร” เฉลิมสร่างเมาทันที

จรูญส่งยิ้มให้กับอดีตคู่ปรับเก่า “ทำในสิ่งที่ข้าถนัด”

แววตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังเพ่งมองความวุ่นวายบนท้องถนน ต่อมาไม่นานเห็นพลทหารชื้นขับจักรยานยนต์พ่วงข้างแล่นฝ่าฝูงชน มีร้อยโทนพผู้บัญชาการที่น่าเคารพเป็นผู้โดยสาร คุณพ่อลูกหนึ่งรีบก้าวเท้าเข้ามาต้อนรับขับสู้ เพิ่ม ชื่น และหม่อมหลวงอุดมตามมาสมทบในภายหลัง

“ทำไมไม่ออกไปฉลอง” นพแปลกใจเรื่องลูกน้องอยู่ครบทุกนาย

“ผมไม่ชอบความวุ่นวาย” เพิ่มชิงตอบคำถามคนแรก

“จริงๆ พวกเรารอหมวด” หม่อมหลวงอุดมยอมรับโดยไม่ปิดบัง

“ผมพูดเรื่องนี้ให้แล้ว” ร้อยโทหนุ่มสบตาคุณพ่อลูกหนึ่ง “คิดว่าไม่น่ามีปัญหา วันนี้ผมถือโอกาสฉลองล่วงหน้าให้กับหมู่จรูญ”

อาหารกระป๋องจำนวนหนึ่งถูกนำมาแจกจ่าย มาพร้อมแชมเปญขวดใหม่กับขนมปังส่งกลิ่นหอมกรุ่น ใครคนหนึ่งพูดถึงข้าวสวยกับแกงวุ้นเส้นบนเรือเอ็มไปร์ พลอยทำให้งานฉลองสิ้นสุดสงครามมีสีสันมากกว่าเดิม

อีกไม่นานทหารอาสาทุกนายจะได้กลับบ้าน

กลับไปใช้ชีวิตตามล่าหาความฝันของใครของมัน


จบตอนที่ 27



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 152  เมื่อ 12 ก.ย. 24, 13:10

'ทหารอาสาแห่งกรุงสยาม' ใกล้จบแล้วครับ ผมจะเขียนเรื่องราวที่เคยติดค้างไว้ต่อกันไปเลย สลับจากนิยายอ้างอิงเรื่องจริงเป็นเรื่องจริงหนักๆ ยิงกันหูดับตับไหม้บ้าง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 153  เมื่อ 13 ก.ย. 24, 09:01

ตอนที่ 28 พาเพื่อนกลับบ้าน

วันที่ 28 มิถุนายน 2462 เยอรมันลงนามสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งถูกกำหนดโดยฝ่ายสัมพันธมิตร รายละเอียดประกอบไปด้วยการจำกัดทางกฎหมาย การกำหนดกำลังทหาร การกำหนดพรมแดน ค่าปฏิกรรมสงคราม และการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศ สนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้มีประเทศเกิดใหม่จำนวนเก้าประเทศประกอบไปด้วย

ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย โปแลนด์ ฟินแลนด์ สโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย

ผลจากสนธิสัญญานอกจากเยอรมันต้องสูญเสียพื้นที่รวมทั้งมณฑลชานตงในประเทศจีน เยอรมันยังถูกเอารัดเอาเปรียบหลายด้านไม่แตกต่างจากสนธิสัญญาเบาริงของประเทศไทย ชายไทยซึ่งอาสามารบเพื่อปลดแอกจากชาติมหาอำนาจพากันสงสารและเห็นอกเห็นใจ

บ่ายวันหนึ่งจรูญพร่ำบ่นกับลูกน้องคนสนิท “ข้าเคยบอกเอ็งแล้วใช่ไหม ฝรั่งเศสกับอังกฤษหน้าเนื้อใจเสือคบเป็นเพื่อนไม่ได้”

“ทำไมต้องแบ่งประเทศเยอะขนาดนี้” เพิ่มตั้งคำถาม

“เขาเรียกแบ่งแยกเพื่อปกครอง ประเทศไหนแข็งข้อไม่อยากเป็นขี้ข้า ก็ยุให้ประเทศติดกันชวนทะเลาะทำสงคราม”

 “เอาเปรียบทุกอย่าง” เพิ่มรู้สึกโมโหแทนคนเยอรมัน

เขาพักอาศัยอยู่ในเยอรมันนานพอสมควร และได้พบว่าแท้จริงแล้วชาวบ้านส่วนใหญ่นิสัยดี มีน้ำใจไมตรี ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร เชื่อฟังทหารไทยทุกอย่าง ไม่แตกต่างจากคนเยอรมันที่มาค้าขายในเมืองไทย และด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจึงเจริญก้าวหน้า ทหารไทยดูแลความปลอดภัยจากโจรขโมย คนเยอรมันตอบแทนด้วยอาหารกับเครื่องดื่ม

“ระวังเถอะ…บีบเขามากเกินไป วันหนึ่งฝรั่งเศสกับอังกฤษต้องเจอดี” จรูญเหลียวมองรอบตัว “แล้วนี่ทุกคนหายไปไหน”

“ชื่นกับชื้นไปตรวจสอบรถ หมวดนพกับจ่าอุดมไปประชุม”

“ประชุมเรื่องอะไรเอ็งรู้ไหม”

“หมวดไม่ได้พูดอะไร แต่จ่าอุดมบอกว่าเรื่องกลับเมืองนอยสตัสส์”

“อ้อ…หมวดคงดีใจ จะได้กลับไปดื่มกาแฟกับเพื่อนสนิท”

“ผมคิดว่าหมวดนิจคงไม่อยู่แล้ว” เพิ่มแสดงความเห็นส่วนตัว

“พวกเราไปช่วยไอ้ชื่นกัน” จรูญขับไล่ความขี้เกียจออกจากร่างกาย ข่าวดีจากจ่าอุดมกระตุ้นให้เขาสดชื่นเบิกบานมีกำลังทำงาน

การคาดเดาของหม่อมหลวงอุดมถูกต้องเพียงครึ่งเดียว

ภารกิจของกองทหารบกรถยนต์ยังเหลืออีกหนึ่งเรื่อง

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 154  เมื่อ 13 ก.ย. 24, 10:25

วันที่ 30 มิถุนายน 2462 เวลา 05.00 น.ทหารอาสากองกำลังเฉพาะกิจเดินทางจากเมืองลุควิคส์ฮาเฟ่นกลับมณฑลปาลาติหนาต กองย่อยที่ 1 ลำเลียงทหารพรานมัลกาสกองพันที่ 1 ซึ่งมีนายทหาร 13 นาย นายสิบกับพลทหาร 640 นาย กองย่อยที่ 3 ลำเลียงทหารพรานมัลกาสกองพันที่ 2 ซึ่งมีนายทหาร 15 นาย นายสิบกับพลทหาร 670 นาย ส่วนกองบังคับการกับกองย่อยที่ 2 ลำเลียงทหารพรานเซนากาเล่ส์กองพันที่ 1 ซึ่งมีนายทหาร 14 นาย นายสิบกับพลทหาร 640 นาย

เสร็จสิ้นภารกิจรถทุกคันเดินทางกลับที่ตั้งในเมืองนอยสตัสส์ หน้าที่ในการลำเลียงและส่งกำลังบำรุงสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

ผลงานกองรถยนต์ทหารบกแห่งประเทศไทยประกอบไปด้วย นำธงไตรรงค์ไปอวดในดินแดนฝรั่งเศสและเยอรมันประมาณ 600 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางจากวิลล์ มัว แยนน์ถึงคูร์ติโซลส์ระยะทาง 120 กิโลเมตร จากคูร์ติโซลส์ถึงโอเซล์วิลล์ระยะทาง 60 กิโลเมตร จากโอเซล์วิลล์ถึงนอยสตัสส์ระยะทาง 265 กิโลเมตร ดและจากนอยสตัสส์ข้ามแม่น้ำไรน์ระยะทาง 140 กิโลเมตร ลำเลียงกำลังพลทหารจำนวน 12,420 นาย สัมภาระและกระสุนจำนวน 31,931 ตัน ระยะทางรวมเท่ากับ 13,005 กิโลเมตร

ระหว่างพักอาศัยอยู่ในเมืองนอยสตัสส์เพื่อรอคำสั่ง มีการตรวจสอบบัญชีกำลังพลอย่างละเอียดจนได้พบว่า มีทหารไทยถึงแก่กรรมในดินแดนเยอรมันจำนวนแปดนาย ผู้บังคับบัญชาสั่งให้นำศพมาฝังในเมืองลันเดาหรือตำบลลอมุสบาคส์ เมื่อสิ้นสุดภารกิจถึงเวลาเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อนทหารอาสาทุกนายต้องการให้ผู้วายชนม์เดินทางกลับบ้านพร้อมกัน

วันที่ 5 กรกฎาคม 2462 พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ขออนุญาตขุดศพทหารไทยในเยอรมัน ลำเลียงขึ้นรถเพื่อจัดการฌาปนกิจศพในเมืองไมนส์ เสร็จเรียบร้อยจึงนำอัฐิผู้เสียชีวิตมาจัดเก็บในกองบังคับการ

อัฐิเหล่าผู้กล้าที่เสียชีวิตในเยอรมันประกอบไปด้วย

สิบเอกปุ้ย ขวัญยืน

จ่านายสิบเจริญ พิรอด

พลทหารศุข เพิ่มพ่วงพันธุ์

พลทหารนาค พุยมีผล

พลทหาร ศิลา นอบภูเขียว

จ่านายสิบชั่วคราว หม่อมหลวงอุ่น อิสรเสนา ณ กรุงเทพ

พลทหารผ่อง อมาตยกุล

พลทหารเปลี่ยน นุ่มปรีดา

ระหว่างประกอบพิธีฌาปนกิจศพหม่อมหลวงอุดมใบหน้าเคร่งขรึม เขากับหม่อมหลวงเดชพี่ชายอาสาช่วยงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพื่อนร่วมกองร้อยย่อยทุกนายเห็นน้ำตาลูกผู้ชายแล้วพลอยใจหาย

“ผมเสียใจด้วย” นพใช้น้ำเสียงอ่อนโยนในการปลอบใจ

“ผมขอบคุณหมวดแทนคุณอุ่น” ความเศร้าโศกเสียใจบีบบังคับให้หม่อมหลวงอุดมแสดงความอ่อนแอ

“ผมจะดูแลอัฐิผู้เสียชีวิตอย่างดี ทุกคนจะได้เดินทางกลับพระนครพร้อมพวกเรา” พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ให้คำมั่นสัญญา

หม่อมหลวงหนุ่มยังมีน้ำตาคลอเบ้า สายตาเพ่งมองห่อผ้าขาวขณะสื่อสารกับผู้จากไป “คุณอุ่นกลับบ้านพร้อมผมนะครับ”

ความรู้สึกดีใจกับเสียใจปะปนกันจนแยกไม่ออก ดีใจที่ได้ช่วยเพื่อนกลับคืนบ้านเกิดเมืองนอน แต่เสียใจเรื่องการจากไปตลอดกาลของคนรู้จักกัน คุณอุ่นเรียนหนังสือในยุโรปถึงแปดปี เขาอยากนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า บังเอิญโชคร้ายเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ นี่คือความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าจากการหันปากกระบอกปืนเข้าหากัน

บ่ายวันนั้นอัฐิเหล่าผู้กล้าที่เสียชีวิตในเยอรมันเดินทางกลับถึงที่พัก นับรวมอัฐิเหล่าผู้กล้าที่เสียชีวิตในฝรั่งเศส ทหารอาสาถึงแก่กรรมในยุโรปจำนวน 17 นาย และถึงแก่กรรมในประเทศไทยจำนวน 2 นาย

กำลังพล 1,284 นายเสียชีวิต 19 นายเท่ากับ 6.5 เปอร์เซ็นต์


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 155  เมื่อ 13 ก.ย. 24, 12:42

วันที่ 8 กรกฎาคม 2462 พันตรีโมลิยาร์ด ผู้บังคับการกรมรถยนต์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ส่งจดหมายชมเชยผลงานทหารไทยในสนามรบ

หม่อมหลวงอุดมทำหน้าที่แปลหนังสือชมเชยเป็นภาษาไทย

“ตามที่กองทหารบกรถยนต์ไทยต้องแยกจากกรมรถยนต์ที่ 7 เพราะเสร็จหน้าที่ราชการแล้วนั้น พันตรีโมลิยาร์ดซึ่งเป็นผู้บังคับการกรมรถยนต์ที่ 7 ขอแสดงความยินดีต่อนายพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ โดยที่กิจการต่างๆ ซึ่งกองรถยนต์ได้ปฏิบัติไปแล้วตลอดเวลานับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคมถึงวันที่ 1 กรกฎาคมนั้น เป็นที่พอใจมาก

ขอได้รับความชอบใจและชมเชยสำหรับนายทหาร นายสิบ และพลทหารในกองทหารบกรถยนต์ไทยทุกคน เพราะได้แสดงให้เห็นปรากฏว่ามีความชำนาญในหน้าที่ ประกอบด้วยความอดทนและความสามารถ ทั้งมีความเรียบร้อยในการแต่งกายและท่าทางสมเป็นทหารแท้ของท่านทั้งหลายนั้น ข้าพเจ้าจะงดยกย่องมิได้เลย บรรดาเพื่อนทหารฝรั่งเศสจะได้ระลึกถึงความดีงามของทหารไทยในครั้งนี้ไว้ตลอดไป”

หนังสือชมเชยถูกส่งให้กับกองร้อยย่อยอื่น ทหารกองร้อยย่อยที่ 1 กลับมาทำหน้าที่ตัวเอง หน้าที่สุดท้ายคือการส่งมอบรถยนต์กลับคืนฝรั่งเศส

รถบรรทุกเรอะโนลต์ขนาดสองตันครึ่งอยู่ในความทรงจำทหารอาสาชาวไทย พวกเราเคยร่วมเป็นร่วมตายเดินทางฝ่าภยันตราย เคยกินอยู่หลับนอนบนรถรอคำสั่งเดินทางเข้าสู่เยอรมัน เคยลำเลียงเสบียงอาหารตลอดจนกระสุนปืนใหญ่มาส่งแนวหน้า ถึงเวลาพลัดพรากจากกันทุกคนรู้สึกใจหาย จึงพากันทำความสะอาดให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนส่งคืน

“ลาก่อน” เพิ่ม ชื่น และชื่นก้มหัวทำความเคารพรถยนต์ประจำตัว คนที่เห็นรีบทำตามกันจนกลายเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ตั้งใจ

“พวกเอ็งเสียสติไปแล้วรึ” จรูญจ้องมองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“อย่าห้ามพวกเขาเลย” นพเข้าใจความคิดลูกน้องตัวเอง

ชีวิตที่ฝากไว้กับพาหนะสี่ล้อบรรทุกของหนักสองตันครึ่ง เป็นชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงอาจเกิดอันตรายตอนไหนก็ได้ โชคดีทหารไทยเข้าสู่สนามรบในช่วงปลาย ถ้าเป็นช่วงต้นหรือกลางสงครามทหารเยอรมันยังไม่อ่อนกำลัง รายชื่อทหารอาสาเสียชีวิตย่อมพุ่งสูงตามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ผมกลัวชาติอื่นคิดว่าพวกเรางมงาย” สิบโทให้เหตุผล

ร้อยโทให้เหตุผลกลับคืน “อีกไม่กี่วันพวกเราต้องไปจากที่นี่ ทุกคนรวมทั้งหมู่อยากทำอะไรผมอนุญาต จะได้ไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจ”

“พูดแต่เรื่องผมแล้วหมวดล่ะครับ”

“ผม…ผมทำไมรึ?”

จรูญมีรอยยิ้มในแววตา “ไม่อยากเจอคนสอนภาษาบ้างเหรอ”

“อ๋อ” นพทบทวนความจำเล็กน้อย “ได้ข่าวว่าตอนนี้อยู่บ้านแม่ในฝรั่งเศส มีคู่หมั้นแล้วเป็นเจ้าของคฤหาสน์ชานกรุงปารีส”

“คุณพระ!” จรูญสะดุ้งตกใจเบิ่งตาโต ทันทีที่ได้สติเขารีบปลอบใจผู้บังคับบัญชา “หมวดอย่าได้คิดน้อยใจ เศรษฐีล้วนสะสมที่ดินทั่วพระนคร ลูกสาวแต่งงานทั้งทีแกอาจสร้างคฤหาสน์หลังโตให้ลูกเขย”

“ถึงสร้างให้ผมก็ไม่อยู่” ร้อยโทหนุ่มชิงบอกปัดเสียงแข็ง

บุคคลผู้มีประสบการณ์ส่ายหัวไม่เห็นด้วย “ตอนนี้หมวดจะพูดอะไรก็พูดได้ พอแต่งงานถูกเมียคุมเท่านั้นแหละ หมวดจะรู้ว่านรกมีจริง!”

จบตอนที่ 28

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 156  เมื่อ 13 ก.ย. 24, 12:47

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

นายพันโท พระอาสาสงคราม (ต๋อย หัสดิเสวี) หรือ พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ในเนื้อเรื่อง



ต๋อยเกิดที่กรุงเทพฯ เป็นบุตรของพระยาชนินทรภักดี (เปลี่ยน หัสดิเสวี) และคุณหญิงซ่วน ชนินทรภักดี สมัยเด็กมีชื่อว่าอารี ต้นตระกูลเป็นขุนนางมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่2

ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญ และได้รับการอุปการะจาก จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช จึงได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ได้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนทหารประเทศเยอรมันพร้อมกับ หม่อมเจ้าทินทัน เกษมสุข และนายเทพ พันธุมเสน (นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช) สำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2457 บรรจุเป็นนายทหารประจำกองทัพบกเยอรมันที่สะปันเดา จากนั้นจึงได้เข้ารับราชการในกองทัพบกสยาม

บรรจุเข้ารับราชการตำแหน่งแรกคือ นายทหารประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสงขลานครินทร์ ณ ประเทศเดนมาร์ก จากนั้นจึงกลับมาประจำกรมยุทธศาสตร์ทหารบก

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่1 ต๋อยเมื่อครั้งยังเป็นหลวงรามฤทธิรงค์ ได้เข้าร่วมรบในกองทหารอาสาสยามในระดับบังคับบัญชา ร่วมกับนายทหารที่มีชื่อหลายท่าน

กองทหารบกรถยนต์ภายใต้บังคับบัญชาของต๋อย ได้ปฏิบัติภารกิจในการลำเลียงกำลังพล สัมภาระ และเสบียงในแนวหน้าของพื้นที่สนามรบบริเวณแม่น้ำไรน์ ประเทศเยอรมัน โดยการปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจแม้จะมีปัญหาอยู่บ้าง จนรัฐบาลฝรั่งเศสมอบเหรียญกล้าหาญ Croix de Guerre ประดับธงชัยเฉลิมพล

นายพันตรี หลวงรามฤทธิรงค์ (ต๋อย หัสดิเสวี) ผู้บังคับกองทหารบกรถยนต์ เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้ว ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพันโท พระอาสาสงคราม จากนั้นก็ได้รับราชการทหารต่อ โดยได้รับตำแหน่งเช่น ผู้ช่วยเจ้ากรมยุทธศาสตร์ทหารบก และผู้อำนวยการโรงเรียนทหารราบ จากนั้นจึงลาออกจากราชการเมื่อปีพ.ศ.2472

หลังจากลาออกจากราชการ พระอาสาสงครามก็ไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบโดยทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างที่เชียงใหม่จนถึงแก่กรรม
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 157  เมื่อ 14 ก.ย. 24, 08:55

ตอนที่ 29 พิธีสวนสนาม

เช้าวันที่ 10 กรกฎาคม 2462 กองทหารบกรถยนต์ได้รับคำสั่งให้เดินทางเข้ากรุงปารีส ขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษออกจากสถานีนอยสตัสส์เวลา 06.00 น.โดยมีทหารฝ่ายสัมพันธมิตรและประชาชนชาวเยอรมันตามมาส่งอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องและคำอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ทหารไทยทุกชีวิตหน้าตาสดชื่นเบิกบานแจกรอยยิ้มอย่างทั่วถึง

นี่คือขั้นตอนแรกของการเดินทางกลับสู่พระนคร

เป็นขั้นตอนสำคัญรับประกันว่าทหารทุกนายจะได้กลับบ้าน

เมื่อรถไฟเดินทางมาถึงสถานีซังค์แจร์แมงค์ ร้อยเอกเพิ่ม อุณหสูตซึ่งเป็นผู้ควบคุมมีคำสั่งให้ทหารทุกนายลงจากขบวน และเดินทางไปเข้าที่พักในค่ายทหารซังค์แจร์แมงค์ สถานที่แห่งนี้ทหารอาสากองบินทหารบกที่ยังไม่ได้เดินทางกลับ พักอาศัยอยู่กับครอบครัวคนฝรั่งเศสเพื่อรอคำสั่ง รวมทั้งร้อยตรีนิจเพื่อนสนิทนพสมัยเรียนโรงเรียนนายร้อยที่เยอรมัน

คืนนั้นสองเพื่อนรักได้ดื่มกาแฟใต้แสงดาวร่วมกันสมความตั้งใจ

“ได้ข่าวว่านายต้องไปสวนสนาม” นิจเป็นฝ่ายเปิดประเด็น

“ฉันอยากขึ้นเรือพร้อมนายมากกว่า” นพไม่เต็มใจเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ เขาอยากกลับเมืองไทยอยากกลับไปพบหน้าคนรัก รวมทั้งรู้ดีพิธีสวนสนามเปรียบได้กับเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ

“ไม่ได้ดอก” นักบินหนุ่มให้เหตุผล “เราต้องอวดธงไตรรงค์ต่อทุกชาติ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยคือหนึ่งในผู้ชนะสงคราม”

“เหมือนแย่งกันเอาหน้า แย่งกันรับความดีความชอบ”

“นพ…นายคิดแบบนี้ไม่ถูก ทุกชาติย่อมเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ดูอย่างประเทศญี่ปุ่นนั่นซี ยังได้สัมปทานเยอรมันในมณฑลซานตง”

“จีนจะยอมเช่นนั้นรึ”

“ยอมหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนปืนใหญ่มากกว่ากัน”

คำนิยามจากเพื่อนสนิทนพยอมรับว่าเป็นความจริง

ญี่ปุ่นเคยประสบปัญหาสนธิสัญญาเบาริงเหมือนประเทศไทย พวกเขาแก้ไขโดยการขยายกำลังทางทหารใหญ่โตกว่าเดิม ชาติมหาอำนาจเห็นจำนวนปืนใหญ่จึงยอมลดราวาศอก ตอนนี้ญี่ปุ่นต้องการขยายอำนาจเข้าสู่จีนทดแทนเยอรมัน ฝ่ายสัมพันธมิตรทุกชาติก็ดันเห็นดีเห็นงามตามกัน ไม่เอะใจสักนิดตัวเองคือส่วนหนึ่งในการให้กำเนิดปีศาจร้ายแห่งเอเชีย

วันใดวันหนึ่งทุกคนจะเดือดร้อนเพราะปืนใหญ่ญี่ปุ่น

การใช้ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ไฟสงครามอาจลุกลามทั่วโลก


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 158  เมื่อ 14 ก.ย. 24, 10:10

วันที่ 13 กรกฎาคม 2462 บริเวณค่ายพักในเมืองซังค์แจร์แมงค์ มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร เอกอัครทูตไทยประจำฝรั่งเศส ได้ทรงตรวจแถวกองเกียรติยศและทรงขอบคุณแทนประชาชนชาวไทย ที่ทหารอาสาได้นำชื่อเสียงและเกียรติยศกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน จากนั้นได้ทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นโยธินแก่

1.พันเอกพระเฉลิมอากาศ

2.พันโทหม่อมเจ้าอมรทัต กฤดากร

3.พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์

ทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวันแก่

1.ร้อยเอกศรี ศุขะวารี

2.ร้อยเอกเพิ่ม อุณหสูต

3.ร้อยเอกแม้น เหมะจุฑา

4.ร้อยโทหม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณ

5.ร้อยโทมุ่ย มังคลานนท์

6.ร้อยโทเรียม เศวตเศรณี

7.ร้อยตรีจิ๊ด ยุวนวรรธณะ

8.ร้อยตรีเวก สู่ไชย

9.ร้อยตรีเชียร บุณยพุกกะณะ

10.ร้อยตรีชุ่ม จิตต์เมตตา

ทรงประดับเหรียญรามรามาแก่

1.ร้อยตรีเภา เพียรเลิศ

2.ร้อยตรีภักดิ์ เกษสำลี

3.นายธงไชย โชติกเสถียร

4.สิบโทขุนทอง กำเนิดเพชร

5.สิบตรีชุณ บรรณสาส์นสาธร

ทรงประดับเหรียญทองช้างเผือกชั้นที่ 6 แก่

1.จ่านายสิบหมื่นยุทธวิชัย (ดิบ ดวงแก้ว)

2.จ่านายสิบมูล พร้อมวุฒิ

3.สิบเอกซุ่นพวน ยศสินธุ์

4.สิบเอกม้วน ทองโท

ทรงประดับเหรียญทองมงกุฎสยามชั้นที่ 6 แก่

1.สิบเอกชุ่ม รุขะมธุระ

2.สิบเอกอ้น พลสว่าง

ทรงประดับเหรียญเงินช้างเผือกชั้นที่ 7 แก่

1.สิบเอกเฮง พลอาษา

2.สิบเอกเสงี่ยม สินอาษา

3.สิบเอกทะ ดวงจินดา

4.สิบเอกแสวง เดชคุ้ม

5.สิบเอกอุ่น ช่วงประภา

6.สิบเอกเจือ วงษ์กอบรัตน์

7.สิบโทพยอม มาลีวงศ์

8.สิบโทโสม กุลมาตย์

9.สิบโทเทียม อยู่ยง

10.สิบโทสูนย์ ทันการ

11.สิบโทแจง สายสุจริต

ทรงประดับเหรียญเงินมงกุฎสยามชั้นที่ 7 แก่

1.สิบโทชม ไชยศรี

2.สิบโออ๊อด ชานก

3.สิบโทจวง ศุณะมาลัย

4.สิบโทถมปัด อรุณสิกขะพันธุ์

5.สิบโทแสน ป้อมดาวทอง

6.สิบโทปา แพ่งประสิทธิ์

7.สิบโทฉำฉา สืบเหล่ากล้า

8.สิบโทเคลือบ เกสร

9.สิบโทสืบ เครือประดับ

10.สิบโทเกลื่อน นิกรกุล

11.สิบตรีเฉย ห่วงอาษา

12.สิบตรีถนอม ชุ่มศรี

13.สิบตรีสร้อย สุทธิพันธุ์

14.สิบตรีเอิบ ชื่นชม

15.สิบตรีใหญ่ เอกสาตรา

16.สิบตรีธรรม เหมือนมณี

17.สิบตรีเกลี้ยง อ่ำอำไพ

18.สิบตรีสุดใจ วิชัยขัทคะ

19.สิบตรีเสงี่ยม พึ่งวิไล

20.สิบตรีพวง สวัสดิ์พวง

21.สิบตรีเพชร หันสด

22.สิบตรีสาย เหมะกุล

23.สิบตรีเถิม สร้อยสุริยา

นี่คือรางวัลตอบแทนความดีเหล่าทหารกล้าทุกนาย

เพิ่มกับจรูญแม้ไม่ได้รับเหรียญเหมือนดั่งคนอื่น ทว่าพวกเขาไม่รู้สึกน้อยใจหรืออิจฉาเพื่อนร่วมรบ ทุกคนเหมาะสมที่จะได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนตัวเองรอรางวัลชิ้นใหญ่คือการเดินทางกลับบ้าน กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเอง


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 159  เมื่อ 14 ก.ย. 24, 12:18

วันที่ 13 กรกฎาคม 2462 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนดให้เป็นวันประกอบพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะ กองรถยนต์ทหารบกแห่งประเทศไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธี และเนื่องมาจากฝ่ายสัมพันธมิตรมีทหารจำนวนหลายชาติ จึงมีข้อกำหนดชาติไหนกำลังพลมากให้ส่งทหารเข้าร่วมหนึ่งกองพัน ชาติไหนกำลังพลน้อยให้ส่งทหารเข้าร่วมหนึ่งกองร้อย

ทหารไทยจำนวน 120 นายเข้าร่วมพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะ

หนึ่งในนั้นก็คือนพ จรูญ และเพิ่มจากกองร้อยย่อยที่ 1





การจัดขบวนเริ่มจากกองบัญชาการกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารส่วนใหญ่เป็นทหารม้าฝรั่งเศส ต่อด้วยทหารสหรัฐอเมริกา ทหารเบลเยียม  ทหารอังกฤษ ทหารอิตาลี คณะผู้แทนทหารญี่ปุ่นกับจีน ทหารกรีก ทหารโปแลนด์ ทหารโปรตุเกส ทหารรุมาเนีย ทหารแซร์เบีย ทหารไทย และทหารยุโกสลาเวียเป็นชาติสุดท้าย จอมพลเปแตงคือผู้บังคับควบคุมขบวน

พิธีสวนสนามฉลองชัยชนะเริ่มต้นตั้งแต่ 07.00 น.ใช้เส้นทางถนนอาร์ค เดอ ตรีออฟ เดอ เลตวล ถนนชางค์ เออ ลีเซย์  ถนนปราซ เดอลา คองคอร์ด ถนนปราซ เดอลา มาร์เดอแลนด์ ถนนกรางค์บูเลอร์วาร์ด และถนนปราซ เดอลา เรปูบริค ตามเส้นทางมีประชาชนชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก ออกมายืนรอเตรียมเข้าร่วมพิธีสำคัญเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง

เมื่อทหารไทยเดินลอดประตูชัยแห่งกรุงปารีส แตรวงหยุดบรรเลงเพลงเดินให้ประชาชนชื่นชมความงามการเดินสวนสนาม พ้นจากประตูชัยมีอนุสาวรีย์สำหรับทหารเสียชีวิต กองทหารไทยหยุดเดินเพื่อทำความเคารพให้เกียรติเหล่าผู้กล้า เดินแถวต่อประมาณยี่สิบเมตรเห็นปะรำพิธีฝั่งขวามือ ประธานาธิบดีปวง คาเรย์แห่งประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ เอกอัครราชทูต และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหารและพลเรือนจากชาติต่างๆ มาคอยต้อนรับกองทหารต่างชาติที่เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมหน้า

ประมาณเที่ยงวันพิธีสวนสนามได้สิ้นสุด กองทหารชาติสัมพันธมิตรพากันแยกย้ายกลับที่พัก กองทหารไทยย้ายมาอยู่ค่ายพักกรางค์ปาแลส์ชานกรุงปารีส ทุกคนจึงมีโอกาสเยี่ยมชมเมืองหลวงฝรั่งเศสยามราตรี ทหารกองร้อยย่อยที่ 1 ได้คนนำทางกิตติมศักดิ์เป็นถึงอดีตนักเรียนนอก

“ที่นี่สวยมาก” เพิ่มรู้สึกตื่นเต้นเรื่องได้มาเยือนกรุงปารีส เขาชวนชื่นกับชื้นแวะร้านข้างทางหวังซื้อของฝากคนในครอบครัว

“ห้ามเดินแตกแถว” จรูญพยายามเอ่ยปากห้าม

“ครู่เดียวน่าพี่หมู่”

“ถ้าพวกเอ็งหลงข้าไม่รู้ด้วยนะ”

ช่วงเวลาที่กำลังพูดจาข่มขู่ลูกน้อง จรูญเห็นสาวสวยผมทองเดินนวยนาดผ่านหน้า คนห่างเมียเผลอมองตามหลังจนตัวเองคอแทบหัก

“แม่เจ้าประคุณรุนช่อง อะไรมันจะขนาดนี้”

“ผมติดต่อให้ดีไหม” หม่อมหลวงอุดมรีบเสนอตัว

“อย่าเลยครับ…ผมกลัว กลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้”

“หมู่ชอบผู้หญิงตัวสูงปากแดง?”

“ผมชอบสาวไทยผมดำผิวคล้ำทำอาหารเก่ง”

“แล้วหมู่มองหล่อนทำไม”

“แหม่…คุณอุดมขอรับ ของสวยๆ งามๆ ใครกันจะกล้าเหลียวแล”

กลับจากเยอรมันทุกคนเลิกเรียกหม่อมหลวงอุดมตามยศ เนื่องจากรู้ดีหม่อมหลวงคนนี้กำลังจะลาจากเพื่อไปเรียนต่อ ช่วงเวลาได้ใช้ชีวิตร่วมกันหดสั้นลงอย่างน่าใจหาย หากวาสนาหนุนนำได้เจอกันอีกครั้งที่เมืองไทย ไม่แน่ใจว่าตัวเองกล้าเดินเข้าไปทักลูกเจ้านายระดับสูงหรือเปล่า

จรูญถือโอกาสใช้งานหม่อมหลวงนิสัยดีให้สมใจอยาก ได้ตะลุยปารีสยามราตรีร่วมกันบันทึกเป็นความทรงจำเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง

จบตอนที่ 29


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 160  เมื่อ 16 ก.ย. 24, 09:20

ตอนที่ 30 อำลายุโรป

ห้าวันถัดมามีการประกอบพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะในประเทศอังกฤษ ทหารไทยจำนวน 55 นายประกอบไปด้วยพลทหาร 44 นาย นายสิบ 6 นาย นายทหาร 4 นาย ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปเข้าร่วมพิธีสวนสนาม ร้อยโท หม่อมเจ้า นิตยากร วรวรรณทรงเป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมดูแล

กองทหารออกจากค่ายพักกรางค์ปาแลส์ชานกรุงปารีสเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2462 โดยสารรถไฟขบวนพิเศษมาลงสถานีบูลอนญ์ซึ่งเป็นเมืองท่า วันรุ่งขึ้นจึงลงเรือเดินทางถึงกรุงลอนดอนเวลา 16.00 น.ก่อนเข้าพักในสวนสาธารณะเคนซิงตันซึ่งรัฐบาลอังกฤษจัดเป็นสถานที่รับรองผู้มาเยือน

ทหารไทยมีเวลาเยี่ยมชมมหานครลอนดอนหนึ่งวัน นักเรียนไทยในอังกฤษช่วยกัต้อนรับทำหน้าที่ด้วยความเต็มใจ ครั้นถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2462 เวลา 10.00 น.พิธีสวนสนามฉลองชัยชนะเริ่มต้นสวนไฮปาร์ค นำขบวนโดยทหารสหรัฐอเมริกา อิตาลี ญี่ปุ่น จีน กรีก โปแลนด์ โปรตุเกส รูมาเนีย แซร์เบีย ไทย ยูโกสลาเวีย และอังกฤษซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพ

ขบวนสวนสนามเดินผ่านประชาชนอังกฤษมากกว่าหนึ่งแสนชีวิต เมื่อกองทหารทุกชาติเดินผ่านก็พากันเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องแสดงความยินดี เสร็จจากพิธีสวนสนามมีการจัดงานเลี้ยงในพระราชวังบัคคิงส์แฮม ทหารไทยกองนี้เดินทางกลับกรุงปารีสวันที่ 21 กรกฎาคม 2462 ถัดมาเพียงวันเดียวทหารไทยอีกหนึ่งกองจำนวนกำลังพล 167 นาย เข้าร่วมพิธีสวนสนามฉลองชัยชนะในกรุงบรุกเซลล์ประเทศเบลเยียม ก่อนเดินทางกลับค่ายพักกรางค์ปาแลส์ชานกรุงปารีสในวันที่ 24 กรกฎาคม 2462

การสวนสนามที่อังกฤษและยุโรปเพิ่มกับจรูญไม่ได้เข้าร่วม ระหว่างนี้ทหารติดต่อทุกนายพากันแยกย้ายไปศึกษาหาความรู้ หม่อมหลวงอุดมกับพี่ชายหม่อมหลวงเดชต้องเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ มีการจัดงานเลี้ยงส่งในที่พักกองร้อยย่อยที่ 1 ผู้เข้าร่วมงานทุกคนรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ต้องพลัดพรากจากกัน บังเอิญโชคร้ายไม่อาจยั้งหยุดวันเวลาให้คงที่ดังเดิมตลอดไป

ระหว่างรับประทานอาหารจรูญพูดลอยๆ “ข้าคิดถึงคุณอุดม”

“คุณอุดมกับคุณเดชต้องไปเรียนหนังสือต่อ” เพิ่มอธิบาย

“ทีแรกยังบอกว่าจะกลับประเทศพร้อมกัน”

“ท่านบิดาคุณอุดมเห็นว่าเสียเวลาไปแล้วตั้งสามปี มัวแต่เดินทางไปเดินทางมาเมื่อไรจะเรียนจบได้เข้ามหาวิทยาลัย”

“เรื่องนั้นข้ารู้…แต่ข้าคิดถึงนี่นา”

“พี่หมู่ไม่คิดถึงลูกรึ”

“คิดถึงสิวะ” คุณพ่อมือใหม่ถอนหายใจ “แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้วันไหนจะได้กลับพระนคร ข้าเบื่อขนมปังกับซุปจืดๆ เสียเต็มประดา”

คำพร่ำบ่นต่อลมต่อฟ้าของจรูญกลายเป็นเรื่องใหญ่

ทหารอาสาทุกนายเหลียวมองผู้บังคับบัญชาซึ่งเปรียบเสมือนที่พึ่งสุดท้าย ตั้งแต่หม่อมหลวงอุดมจากไปทุกคนเอาแต่เดินตามหลังร้อยโทนพ เขาเป็นทหารคนเดียวของหมวดที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาฝรั่งเศส
เมื่อถูกบีบบังคับให้ต้องทำอะไรสักอย่าง นพพยายามพูดแบบกลางๆ เนื่องจากตัวเองไม่มีข้อมูล “ผมคิดว่าพวกเราคงอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน”

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 161  เมื่อ 16 ก.ย. 24, 12:27

ไม่กี่วันของนายทหารจิตใจมั่นคงกินเวลายาวนานหลายสัปดาห์ วันที่ 16 สิงหาคม 2462 ทหารอาสากองทหารบกรถยนต์และทหารอาสากองบินทหารบกที่ยังหลงเหลือทุกนาย โดยสารรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีกรุงปารีสมาถึงสถานีมาร์แซย์เวลา 16.40 น.ของวันถัดไป กำลังพลทั้งหมดประกอบไปด้วย นายทหารชั้นสัญญาบัตรจำนวน 9 นาย นายสิบจำนวน 151 นาย และพลทหารจำนวน 652 นาย ยอดรวมเท่ากับ 812 นาย

ถัดมาในวันที่ 18 สิงหาคม 2462 พันเอกพระเฉลิมอากาศ หม่อมเจ้าฉัตรอมร  กฤดานคร ร้อยเอกสาย ปุณณภุม และทหารที่เหลือจำนวน 51 นายเดินทางโดยรถไฟสายด่วนตามมาสมทบทหารชุดแรก

การเดินทางกลับประเทศใช้เรือกลไฟขนาดใหญ่ชื่อมิเตา กัปตันเจ.ทอมสันชาวเดนมาร์กพูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี พลอยทำให้ทหารอาสาทุกนายเกิดความเป็นกันเอง ที่พักสะดวกสบายมีเตียงเหล็กในห้องพักส่วนตัว ไม่ต้องอยู่กรงไก่เหมือนตอนโดยสารเรือกลไฟเอ็มไปร์ อาหารการกินมีอย่างครบถ้วนผู้โดยสารทุกชีวิตไม่อดอยากปากแห้ง

ครั้นถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2462 เวลา 17.15 น.เรือมิเตาพาหนะพาทหารอาสาชาวไทยกลับคืนสู่มาตุภูมิ เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พรของผู้มาส่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

“โอ เคอวัว” เพิ่มกับจรูญกล่าวคำอำลาด้วยภาษาฝรั่งเศส

ยิ้มสยามจากสองทหารกล้าถูกแจกจ่ายอย่างทั่วถึงเป็นครั้งสุดท้าย

ที่อยู่เคียงข้างคือชื่นพลทหารหัวใจศิลปิน เขาร้องเพลงแด่นารีที่ร้างอยู่ข้างหลังน้ำเสียงเศร้าหมอง ส่วนชื้นอยู่กรุงปารีสเพื่อทำงานสถานทูตและเรียนหนังสือ กระทรวงยุติธรรมให้ทุนเรียนกฎหมายอังกฤษ-ฝรั่งเศส ตอนนี้สงครามสงบแล้วชื้นต้องกลับคืนสู่รั้วมหาวิทยาลัย ทหารกองร้อยย่อยที่ 1 หมวด 2 หมู่ 3 ที่สนิทกันเหลือกลับพระนครเพียงสามนาย

เรือมิเตาใช้ฝีจักรแล่นฝ่าคลื่นลมตามเส้นทางเดินเรือ ตลอดหกวันเต็มทุกคนเห็นเพียงท้องทะเลกับท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างไกล ต่อมาในวันที่ 25 สิงหาคม 2462 เรือแล่นเข้าจอดท่าเรือเมืองปอร์เสดประเทศอียิปต์ เพื่อขนถ่ายเสบียงอาหารกับเชื้อเพลิงรวมทั้งอนุญาตให้ทหารไทยแวะชมเมือง เช้าวันรุ่งขึ้นจึงออกเดินทางมุ่งตรงมาที่เมืองอิสไมเลียต่อด้วยคลองสุเอซ

บ่ายวันนั้นพันเอกพระเฉลิมอากาศเรียกประชุมบนดาดฟ้าเรือ

นายทหารชั้นสัญญาบัตรทุกนายรวมทั้งนพเข้าร่วมการประชุม

“อย่างที่ทราบกันดีการเดินทางใช้เวลายาวนาน” พันเอกพระเฉลิมอากาศแสดงความเห็น “ระหว่างนี้ทหารทุกนายไม่ควรอยู่นิ่งเฉย ผมอยากให้จัดบรรยายวิชาการต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทหารด้วยกัน”




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 162  เมื่อ 16 ก.ย. 24, 12:29

ความต้องการพันเอกพระเฉลิมอากาศได้รับการตอบสนอง ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม 2462 ถึงวันที่ 14 กันยายน 2462 มีการจัดบรรยายด้านวิชาการบนเรือเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงประกอบไปด้วย

วันที่ 28 สิงหาคม 2462 พันโทหม่อมเจ้าฉัตรมงคล โสณกุล ทรงบรรยายวิชาการทหารช่าง

วันที่ 29 สิงหาคม 2462 ร้อยโทสาย คชเสนีย์ บรรยายวิชาการประถมพยาบาลและลำเลียงคนป่วย

วันที่ 30 สิงหาคม 2462 พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ บรรยายเรื่องการใช้พาหนะในการรบ

วันที่ 1 กันยายน 2462 ร้อยโทภักดิ์ เกษสำลี บรรยายการจัดกำลังของทหารต่างชาติ

วันที่ 2 กันยายน 2462 พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ บรรยายเรื่องการปฏิบัติต่อเชลย

วันที่ 3 กันยายน 2462 ร้อยโทพล เสนีย์วงศ์ ณ กรุงเทพ บรรยายถึงหน้าที่ของเสนาธิการ

วันที่ 4 กันยายน 2462 ร้อยเอกแม้น เหมะจุฑา บรรยายถึงการคมนาคมในกองทัพอังกฤษ

วันที่ 5 กันยายน 2462 พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ บรรยายเรื่องการพักในหมู่บ้านและการเกณฑ์กำลัง

วันที่ 6 กันยายน 2462 พันเอกพระเฉลิมอากาศ บรรยายเรื่องความเป็นไปของการบินในสงคราม

วันที่ 7 กันยายน 2462 พันตรีหลวงทยานพิฆาต บรรยายถึงการจัดการของโรงเรียนการบินที่เมืองอิสต์และเมืองอาร์วอร์ด กับกิจการไปรษณีย์อากาศ

วันที่ 8 กันยายน 2462 ร้อยเอกปลื้ม สุคนธสาร บรรยายถึงการจัดการของโรงเรียนการบินที่เมืองโปร์

วันที่ 9 กันยายน 2462 ร้อยโทแฉ่ง ประจัญบาน บรรยายถึงการจัดการในด้านการฝึกและออกกำลังกายของเหล่านักเรียนทหารภายในโรงเรียนการบิน

วันที่ 10 กันยายน 2462 ร้อยโทเหม ยศธร บรรยายเรื่องการตรวจการณ์ติดต่อระหว่างพื้นดินกับนักบินบนอากาศ และการถ่ายรูปภูมิประเทศ

วันที่ 11 กันยายน 2462 ร้อยโทชิต รวดเร็ว บรรยายเรื่องการบินขับไล่

วันที่ 12 กันยายน 2462 ร้อยโทหม่อมหลวงพันธ์ ฉัตรกุล บรรยายเรื่องการทิ้งระเบิดในเวลากลางวัน

วันที่ 13 กันยายน 2462 ร้อยโทกระมล โชติกเสถียร บรรยายเรื่องการทิ้งระเบิดในเวลากลางคืน

วันที่ 14 กันยายน 2462 ร้อยเอกแม้น เหมะจุฑา บรรยายเรื่องการยิงปืนที่ถูกวิธี

ทุกวันเพิ่มกับจรูญมานั่งฟังคำบรรยายท่าทางเอาจริงเอาจัง คนหนึ่งอยากเรียนรู้บุคลิกภาพนายทหารระดับหัวกะทิ อีกคนอยากเพิ่มเติมความรู้ในหัวสมอง การเดินทางกลับพระนครจึงไม่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่คาดคิด

นพเห็นลูกน้องตั้งใจฟังบรรยายก็พาลยิ้มแฉ่ง โดยเฉพาะหมู่จรูญซึ่งอยากเปลี่ยนงานเพื่ออนาคตครอบครัว เขาดูมุ่งมั่นกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ต่างจากช่วงแรกซึ่งดูเหยาะแหยะสุขภาพร่างกายก็ไม่แข็งแรง อาจเป็นเพราะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนรุ่นใหม่ผู้มีความคิดกว้างไกล

หม่อมหลวงอุดมกับชื้นเป็นนักเรียนนอกหัวดี ชื่นมีหัวใจศิลปินแต่งเพลงได้เล่นดนตรีได้ ส่วนเพิ่มพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นเพิ่มคนใหม่ เด็กคนนี้ภาษาอังกฤษดี เรียนรู้เร็ว ฉลาดหัวไว และมีจิตใจนักต่อสู้ที่แท้จริง
อีกไม่กี่ปีเพิ่มจะเป็นทหารอาสาที่มีอนาคตเจริญรุ่งเรือง

จบตอนที่ 30


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 163  เมื่อ 16 ก.ย. 24, 12:43


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ร้อยโทกระมล โชติกเสถียรเป็นทหารอาสาอีกหนึ่งนายที่เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน จนได้รับตำแหน่งพลโท พระสราภัยสฤษฎิการในช่วงบั้นปลายชีวิต ระหว่างปี 2477 คุณพระเป็นเจ้ากรมยุทธศาสตร์ทหารบก ประวัติมากกว่านี้ผมโหลดอนุสสร พลโท พระสราภัยสฤษฎิการ (กมล โชติกเสถียร) ไม่ได้เป็นอันจบกัน



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 164  เมื่อ 17 ก.ย. 24, 12:31

ตอนที่ 31 สู่อ้อมกอดแผ่นดินแม่

พันจากคลองสุเอซกลายเป็นที่โล่งแจ้งไร้สิ่งบดบังตามธรรมชาติ ทะเลแดงช่างร้อนระอุแตกต่างจากฝรั่งเศสราวฟ้ากับเหว ชาวจีนคนหนึ่งในเรือทนสภาพอากาศไม่ไหวขาดใจตาย กัปตันสั่งให้สร้างโลงเพื่อทิ้งศพลงน้ำตามประเพณี ทหารไทยไม่มีใครเสียชีวิตทว่าประสบปัญหาขาดน้ำดื่ม นี่คืออุปสรรคด่านแรกของเส้นทางกลับคืนสู่รวงรังที่ต้องพลัดพรากจากไกล

เรือมิเตาใช้เวลาหกวันในการเดินทางผ่านทะเลแดง ดีอกดีใจได้เพียงวันเดียวทหารทุกนายได้พบเจอปัญหาใหม่ มหาสมุทรให้กำเนิดมรสุมคลื่นลูกใหญ่พัดใส่เรือ อาจไม่รุนแรงเทียบเท่าขามาแต่มีทหารเมาคลื่นมากถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ การจัดบรรยายทางด้านวิชาการจำเป็นต้องงดชั่วคราว

วันที่ 12 กันยายน 2462 เรือมิเตาเดินทางถึงเกาะโปโลเวหรือซาบังของแขกชวา สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองขึ้นฮอลันดาซึ่งประกาศตัวเป็นกลางในสงครามโลก เกาะโปโลเวจึงเงียบสงบไม่เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน

ร้อยเอกบอบแบร์ตนายทหารติดต่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทหารไทย พันเอกพระเฉลิมอากาศได้นายดาบเรี่ยม ทรรทรานนท์ทำหน้าที่ล่าม ทหารที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมีโอกาสขึ้นฝั่งเพื่อพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งวัน

ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 1 ลงจากเรือไปซึมซับชีวิตคนในพื้นที่

“แขกทั้งนั้นเลยพี่หมู่” ชื่นตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว

จรูญมองด้วยหางตา “ก็ที่นี่เมืองแขก…จะมีฝรั่งผมทองสักกี่คน”

“อาหารการกินเหมือนบ้านเราเลย” เพิ่มตั้งข้อสังเกต

“ที่นี่มะละกอเยอะมาก” จรูญตั้งข้อสังเกตเช่นกัน

“ฉันคิดถึงข้าวมันส้มตำ”

“เอ็งแอบเด็ดมาสักลูกซี…เดี๋ยวข้าเสกของกินให้”

 แผนการขโมยมะละกอร่วมกันสิ้นสุดลงอย่างง่ายดาย เหตุผลก็คือไม่มีใครอยากติดคุกเมืองแขกให้หมดสิ้นอนาคต อีกไม่กี่วันเรือมิเตาจะเดินทางเข้าสู่น่านน้ำประเทศไทย รอให้ถึงเวลานั้นค่อยหาข้าวมันส้มตำมากินให้สาแก่ใจ ฉลองการเดินทางกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างผู้มีชัย


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 19 คำสั่ง