เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 40 41 [42]
  พิมพ์  
อ่าน: 126038 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 615  เมื่อ 29 พ.ย. 25, 18:12

แล้วก็มาถึง Francis Yip คนนี้ใคร ๆ ในบ้านเราต้องรู้จัก  เธออยู่ยืนยาว  ยาวกว่า Agnes Chan ด้วยเพราะ AC เธอย้ายฐานไปอยู่ญี่ปุ่นก่อนแล้วเปลี่ยนแผนจากร้องเพลงฝรั่งไปเป็นร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นก่อนไปทำอาชีพอื่น  วิทยุบ้านเรายังคงตามผลงานของเธอต่อไปอีกหน่อยก่อนเลิกลา  เพราะนักฟังเพลงบ้านเราชอบฟังเพลงฝรั่งมากกว่า  ผมจำได้ว่าเพลงนี้วิทยุเปิดบ่อย   เป็นเพลงน่ารักเพลงหนึ่ง



สำหรับผม  ผมจำได้ว่าเพลงแรกของ FY ที่ลอยมาเข้าหูผมคือเพลงนี้

(ต้นฉบับเป็นของ Engelbert Humperdinck (เล่าไปแล้ว))


ในปี 1973 FY ร่วมมือกับสายการบิน Cathay Pacific ออก album โปรโมทการท่องเที่ยว  ใช้ชื่อว่า Discovery  นอกจากเพลงไตเติ้ลที่ใช้ภาษาอังกฤษแล้ว 



เพลงอื่นใน album นี้คัดเอาเพลงยอดนิยมจากประเทศต่าง ๆ แล้วเธอก็ร้องเพลงนั้น ๆ ใหม่ในภาษาของมัน  ผมว่าเป็น concept ที่สร้างสรรค์นะ  จำได้ว่า album นี้ฮือฮาในบ้านเรามาก  เหตุหนึ่งเป็นเพราะหนึ่งในเพลงในแผ่นนั้นคือเพลงไทยชื่อ บัวขาว



สำหรับผม  ผมชอบเพลงจากประเทศเกาหลีและไต้หวัน





Album ชุดนี้ประสบความสำเร็จ  จึงมี Discovery ชุดที่ 2 ตามมา  เพลงไทยในชุดที่ 2 ที่เธอร้องคือ รักคุณเข้าแล้ว  วิทยุเปิดแป๊บเดียว



ความประทับใจของผมต่อ FY ก็มีเท่านี้  จบท้ายด้วยอีกเพลงของเธอที่ผมว่าเธอร้องได้ดีมาก



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 616  เมื่อ 30 พ.ย. 25, 18:37

แต่ทั้งหมดนี้ ถ้าเทียบช่วงเวลากัน  Agnes Chan ดังที่สุด  ต่อมาไม่นานหลังจากประเดิมด้วยเพลง Sweet Dreams จากคลื่นวิทยุคลื่นนั้น  คลื่นวิทยุเพลงฝรั่งแทบทุกคลื่นพร้อมใจกันเปิดเพลงของเธอ  เพลงที่ดังมาก ๆ คือ Nobody’s child  ฟังกันจนเลี่ยน  เพลงนี้ต้นฉบับเป็นของนักร้องจากอังกฤษชื่อ Karen Young



(album แรกของเธอ  มันเป็นแผ่นเสียงแผ่นแรกในชีวิตของผมด้วย)


AC ต้องดังมากในฮ่องกงบ้านเกิด  เพราะเธอตอกย้ำความดังของตัวด้วยการเล่นหนังด้วย  มันเป็นหนังจากค่ายหนังจีนที่บ้านเรารู้จักดีคือ Shaw Brothers  หนังเข้ามาฉายในเมืองไทยในปีต่อมา ที่โรงหนังรามา  ตั้งอยู่แถวหัวลำโพง  โดยใช้ชื่อไทยว่า ‘แอ็กเนส ชาน ยอดรัก’ ชื่อภาษาอังกฤษก็ ‘Generation Gap’  ส่วนชื่อจีนไม่รู้เพราะอ่านไม่ออก  เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับวัยรุ่นวุ่นรักของหนุ่มสาวโดยมีผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายเป็นอุปสรรคขัดขวาง  เธอเล่นกับ เดวิด เจียง  พระเอกสุดหล่อในยุคนั้น

ความดังของเธอถึงกับมีการเชิญตัวมาร่วมงานปฐมทัศน์หนังเรื่องนี้ด้วย

ตอนสื่อประโคมข่าวฟังแล้วอยากดูเป็นที่สุด  ก็ผมเป็นแฟนของ AC  แต่ทว่าชื่อโรงหนังและทำเลที่ตั้งที่เอ่ยมานี้ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน  สรุปแล้วไปไม่เป็น  นี่คือข้อเสียของเด็กที่โดนเลี้ยงแบบไข่ในหิน  คือไปไหนเองไม่เป็น (แทบไม่น่าเชื่อว่า ในเวลาต่อมาจะสามารถร่อนไปตามลำพังได้ทั่วโลก)

ผมชวนพี่ ๆ น้า ๆ ก็ไม่มีใครสนใจ  พวกเธอชอบดูแต่หนังฝรั่ง  ชวนป้าสะใภ้ที่ชอบดูหนังไทยกับจีนแต่หนังจีนเรื่องนี้เธอบอกขอผ่าน  บอกว่าชอบดู หลินปอ จีบกับ หลีชิง มากกว่า

ผมเลยเปลี่ยนทิศมาชวนเพื่อนที่โรงเรียนแทน

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง  ไม่รู้จะเรียกว่า สนิท ได้รึเปล่า  เพราะน้อยคนที่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ  คือเธอเป็นนักเลงประจำชั้น  เธอแกล้งดะระรานไปทั่ว  แต่ยกเว้นผม  เพราะเธอรู้ว่าเรามีความชอบอย่างหนึ่งเหมือนกัน  คือชอบฟังเพลงฝรั่ง  เพียงแต่คนละแนว  ขณะผมฟังเพลง pop ที่ฮิตทั่วไป เธอฟังแต่เพลง hard rock, heavy rock, underground  ว่าไปโน่น
 
แต่บางครั้งเพลงแนวผีเสียสติของเธอบางเพลงก็เพราะเสนาะหูผมเหมือนกันอย่าง D’yer Mak’er ของ Led Zeppelin หรือ Behind blue eyes ของ The Who   





ยิ่งรู้ว่า The Park ของ Uriah Heep (ช่วงต้น ๆ ของเพลง) เป็น 1 ในเพลงโปรดของผม  เธอก็เลยมีเมตตายกเว้นไม่แกล้ง  เอาแค่แขวะ



วันหนึ่งในชั่วโมงวาดเขียน  ผมฮัมเพลง Goodbye to love ของคณะ Carpenters ด้วยอารมณ์สุนทรีย์  เพื่อนเธอยื่นหน้าเข้ามาขัดจังหวะด้วยเสียงต่ำ ๆ  ‘มึงไปอกหักที่อื่นเหอะ ไป๊ กูคลื่นไส้เพลงพวกนี้’



ผมเถียง (ในใจ) ว่า ‘ใครเค้าฮัมเพลง Highway star หรือ Smoke on the water  ในชั่วโมงวาดเขียนกันวะ’





เพื่อนคนนี้แหละที่ผมตัดสินใจเสี่ยงเข้าไปกะลิ้มกะเหลี่ยถามเผื่อเธอจะสนใจทำหน้าที่พี่เลี้ยง

คำตอบที่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ ‘ไม่ไปโว้ย กูยังไม่บ้า’ เพื่อนตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ ‘มึงหาทางไปของมึงเองเหอะ’

ผมก็เลยต้องบากหน้าไปหาที่พึ่งรายอื่น  ในที่สุดก็ได้เหยื่อมา 1 คน  พอถึงวันนัด  เธอก็พาผมขึ้นรถเมล์ไปโรงหนังรามา 



จำได้ว่าที่หน้าโรงหนังคนมืดฟ้ามัวดิน  ดูเหมือนคนกรุงเทพฯ จะมารวมตัวกันที่นี่กันหมด  นี่ขนาดไม่ใช่วันปฐมทัศน์ที่มีการปรากฏตัวของ AC ด้วยนะ

(ภาพคัดมาจากรูปใน album แผ่นที่ 3 ของเธอ)


ในที่สุดผมก็ได้ดูหนัง แอ็กเนส ชาน ยอดรัก ตามที่ได้ตั้งใจไว้  หนังก็สนุกดี



มีคนใจดีเอาหนังเต็ม ๆ มาปล่อยด้วย 



AC ร้องเพลงในหนัง  จะกี่เพลงก็จำไม่ได้  รู้แต่ว่า soundtrack ของหนังมารวมอยู่ในแผ่นเสียงแผ่นที่ 2 ของเธอชื่อ Original I (ตอนโน้น  สับสนกับการอ่านชื่อมาก  จะเป็น Original 'ไอ' หรือ Original 'วัน' ละหนอ) ซึ่งเป็นชื่อเพลงเปิดเรื่องของหนัง  เป็นเพลงที่ผมว่าเพราะมากนะ  อีกเพลงก็  You are 21, I am 16  (49.15)  เพลงนี้วิทยุเปิดกระหน่ำ






หมายเหตุ – ตอนโตเป็นควายแล้ว  ผมมีเพื่อนฝรั่งเพิ่มขึ้นมาจากการมีเพื่อนคนไทย  ผมเคยเอาเพลงของ Agnes Chan ไปเปิดให้ฟัง  อธิบายโหมโรงก่อนเปิดให้นิดว่าในยุคข้าเด็ก ๆ นักร้องคนนี้ดังไปทั่วประเทศไทย (หมายถึงกรุงเทพฯ)  เพื่อน ๆ ทำสีหน้าแบบอยากฟังจัง  แล้วผมก็เริ่มเปิดเพลงของเธอ   พอได้ยิน AC เอื้อนเสียงใส ๆ ออกมา  พวกมันก็พากันร้องเสียงหลง...  ‘What the fuck?!?’
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 617  เมื่อ 01 ธ.ค. 25, 18:21

พูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับ ‘ขาโหด’  ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง  เป็นเหตุการณ์ที่มี  ‘Yesterday once more’ เป็น background

ในตอนนั้นเพลงนี้ดังกระหน่ำกรุงเทพฯ นักฟังเพลงฝรั่งทุกคนฟังเพลงนี้ด้วยความไหลหลง



ท่ามกลางเสียงเพลงนี้ที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศของกรุงเทพฯ  วันหนึ่งก็มีหนังฝรั่งเข้ามาฉายที่โรงฮอลลีวู้ด 

(หมายเหตุ – จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิดผมถึงหาข้อมูลอ่านได้ว่า  หนังเรื่องนี้ความจริงแล้วสร้างสำหรับฉายทางทีวี  ซึ่งเรียก rating ได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ณ เวลานั้น  แต่ทำไมกลายเป็นหนังใหญ่มาเข้าโรงในบ้านเราได้ก็ไม่รู้)


หนังใช้ชื่อไทยว่าอะไรก็ลืมไปแล้วแต่ชื่อดั้งเดิมของมันคือ Sunshine  เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของหญิงสาววัย 20 ที่เป็นทั้งเมียและแม่ของลูกเล็ก  ในวัย 20 ที่ว่าเป็นวัยที่เธอเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง  ก่อนหน้านี้เธอได้ทำการบ้านโดยทำบันทึกในแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของเธอ  ความเป็นเมียและแม่ในวัยเยาว์  และการเผชิญหน้ากับความตาย  เพื่อเก็บไว้ให้ลูกอ่านหลังจากที่เธอจากไปแล้ว
 
วันหนึ่งเครื่องบันทึกเสียงที่ใช้เป็นประจำโดนขโมย...  จาก 1 เป็น 2... ในที่สุดเรื่องราวของเธอออกสู่สาธารณะ  เธอโด่งดังโดยไม่รู้ตัว  หลังจากนั้นเธอก็ได้รับเครื่องบันทึกเสียงตัวใหม่และทำงานต่อไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต

เป็นหนังชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา ทำนองเดียวกับหนัง Love story นักแสดงนำฝ่ายชายชื่อ Cliff de Young  หนังใช้เพลง Sunshine on my shoulder ของ John Denver เป็นเพลงหลักของเรื่อง แต่ในหนังให้ชื่อเพลงแค่ Sunshine เสียงร้องโดย CdY



แต่เพลงที่เด่นมากคือ My sweet lady ที่แต่งโดย JD เช่นกัน  ในหนังร้องโดย CdY  เสียงเธอเพราะมาก



2 เพลงนี้ได้ยินเอื่อย ๆ ทางวิทยุในช่วงเวลาที่หนังกำลังฉายในโรง ฯ สลับกับต้นฉบับของ JD

เรื่องของ ขาโหด มาเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงนี้
 
ในปี 1973 (รวบรวมจากข้อมูลเป็นปีที่หนัง Sunshine เข้ามาฉายในบ้านเรา) ผมยังเรียนหนังสืออยู่  วันรุ่งขึ้นเป็นวันเรียน  ผมก็ไปเรียนตามปกติ  เช้านั้นเจอ ขาโหด ของผม  เธอตรงเข้ามาซักว่า เมื่อวานมึงไปทำอะไรที่โรงหนังฮอลลีวู้ดฮึ  ผมกวนตีนในใจว่า ก็ไปดูหนังซีวะ  จะให้ไปไถนาเหรอ  แต่ที่พูดออกมาคือ ไปดูหนังอ้ะ

ขาโหด ถามว่า แล้วเป็นไงวะ  ผมนึกภาพตัวเองนั่งร้องไห้โฮ ๆ อยู่ในโรง ฯ กับฉากตอนท้ายเรื่องแล้วยิ้มแหย ๆ พลางบอกว่า  ก็งั้น ๆ แหละ  แต่เพลงเพราะ

ขาโหด มองหน้าผมแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า ‘เป็นเอามากนะมึง’

ตอนเธอเดินจากไป ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวก็คงไปปูดให้ลูกสมุนฟังว่า  เห็นผมไปดูหนังรักรันทด  แล้ววันนี้คงตกเป็นขี้ปากให้ไอ้ก๊กนี้ไปทั้งวันแน่

แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น  วันนั้นผมก็ยังเจอก๊กนี้อยู่  แล้ว ขาโหด ก็ยังหาเรื่องแขวะผมเหมือนเดิม  แต่เป็นเรื่องอื่น  ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ไปดูหนังเมื่อวาน

ต่อมาอีกนานเมื่อผมโตพอที่จะมีความถนัดในเรื่องความเข้าใจในการใช้ภาษาไทย  เมื่อใดที่ผมเจอคำว่า นักเลง กับ อันธพาล  ผมเป็นอดนึกถึง ขาโหด ในวันนั้นไม่ได้

ผมว่า ขาโหด ของผมคือ ตัวอย่างของ นักเลง  ไม่ใช่ อันธพาล


พรุ่งนี้เป็นควันหลง...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 618  เมื่อ 02 ธ.ค. 25, 18:03

เมื่อวานเอ่ยถึงหนัง Love Story  สำหรับผู้อ่านรุ่นเด็กคงไม่รู้จัก  ต้องรุ่นผมขึ้นไปถึงจะรู้ว่า  มันเป็นหนังดังประจำปี  คือปี 1970  ตอนที่หนังฉายที่บ้านเรามี slogan ที่ฮิตสุดกู่ว่า ‘หากจะรักก็ต้องลืมคำว่าเสียใจ (ทำนองนี้)’  มันเป็น slogan ที่คนไทยแปลมาจากต้นฉบับว่า “Love means never having to say ‘I’m sorry.'” เพื่อใช้โปรโมทหนัง



ที่บ้านผมไปดูกับทั่วถ้วน  ยกเว้นผม ทำไมก็จำไม่ได้  ผมก็เลยฟังแต่เพลงแทน  ช่วงนั้นวิทยุเปิดทั้งเพลงร้องและบรรเลง  เพลงบรรเลงเป็นผลงานของ Francis Lai  ผลงานนี้คว้า Oscar อันเป็นรางวัลเดียวที่ได้รับจากการที่หนังเรื่องนี้เข้าชิงถึง 7 สาขา



ฉบับร้องเป็นเสียงของ Andy Williams  ฉบับนี้ดังในอันดับ billboard  ขึ้นถึง top 10



นี่เป็นอีกหนึ่งเพลงดังของเธอในยุคหลัง  เธอกลับมาดังในบ้านเรา 2 เพลง  เพลงข้างบนนี้กับเพลงข้างล่างนี้อันเป็น soundtrack ของหนังทั้งคู่



ยุครุ่งเรืองของ AW อยู่ในยุคที่บ้านเราเรียกว่า golden oldies  ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่ยังอยู่ชั้นประถม  เธอไม่ได้เคยมาหาผมหรอกแต่ผมเห็นเธอเป็นประจำทางทีวี  ในรายการ The Andy Williams Show  ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรแต่น้าสาวผมชอบมาก  และทีวีก็มีอยู่เครื่องเดียว  พอถึงเวลาฉายรายการนี้  ใครไปยุ่งแถวปุ่มปรับช่องเป็นมีเรื่อง  ผมก็เลยได้รู้จัก AW ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ศิลปินรับเชิญในรายการของเธอนี่ต่อมาอยู่ในระดับเบ้ง ๆ ทั้งนั้น





ข้อมูลบอกว่าเธอเป็นผู้นำวง The Osmonds ออกสู่ตลาดโลกบันเทิง



ส่วนผลงานของเธอ  ผมมารู้จักอย่างเป็นการเป็นงานทางรายการ Golden Oldies รายการนี้เปิดเพลงของเธออยู่เนือง ๆ อาทิเช่น







และเพลงโปรดของผม
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 619  เมื่อ 03 ธ.ค. 25, 18:23

ในช่วงที่ผีเพลงเข้าสิง  มีศิลปินดัง ๆ ที่ผม (ในตอนนั้น ไม่ใช่ตอนนี้) ไม่ได้ชอบเพลงของพวกเขามากนัก แต่ศิลปินเหล่านี้มีเพลงดังใน billboard  ซึ่งหมายความวิทยุบ้านเราต้องนำมาเปิดให้ฟัง  ซึ่งก็หมายความว่าขณะหมุนปุ่มวิทยุหาเพลงถูกใจฟังก็จำเป็นต้องผ่านหูกับเพลงเหล่านี้  และมันต้องดังมากหรือเพราะมาก  ผมถึงจำได้  วงแรกเลยคือ Queen ผมเคยนำเสนอผลงานของพวกเขาไปแล้วในกระทู้ก่อน

ดังระเบิด






และ



วง Genesis  นักร้องนำคือ Phil Collins ผมนำเสนอไปแล้วละ  ไม่รู้อยู่ตรงไหน  ข้ามไปข้ามมา  ตามสถานการณ์  เพลงนี้เป็นเพลงที่ติดหูผมเพียงเพลงเดียว



วง Grand Funk Railroad กับ 1 เพลงที่เปิดเจอทีไรเป็นวิ่งหนี  และ 2 เพลงที่เปิดเจอทีไรเป็นหยุดฟัง



(ต้นฉบับเป็นเพลง soul ในยุคต้น 60s โดย Little Eva  วงฯ เอามาดัดแปลงได้เยี่ยมมาก)



(เพลงขวัญใจขาโหด)


วง Kansas กับเพลงที่ไม่ใช่นักฟังเพลงฝรั่งก็ต้องชอบ



เค้าว่าวงที่เล่นเพลงหนัก ๆ ถ้าเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่นเพลงช้ามักเพราะเด็ดขาด วง Kiss นี้มี 2 เพลงดัง





วง The Cars



(นักร้องนำชื่อ Ric Ocasek  ผมว่าชื่อเธอเท่ดี  จำได้ตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าตา  สมองเรานี่ก็แปลกดีนะ อะไรที่ไม่เป็นเรื่องแต่มันอยากจำก็จำ  ทีหนังสือเรียนควรจำก็ไม่ยอมจำ (อันนี้ผู้ปกครองชอบค่อนขอด))
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 620  เมื่อ 04 ธ.ค. 25, 18:33

เมื่อวานเปิดเพลง Drive ของศิลปินชื่อ วง The Cars  วันนี้เปิดเพลงชื่อ Cars ของศิลปินจากอังกฤษชื่อ Gary Numan  ใครจำได้บ้าง



ย้อนขึ้นไปในยุคต้น 70s  ไม่มีนักฟังเพลงฝรั่งคนไหนไม่รู้จักวง Wishbone Ash วงนี้มีเพลงที่วิทยุร่วมมือกันเปิด  มันเป็นเพลงที่ยาวมาก  ตอนนั้นถ้าเปิดมาได้ยินเพลงนี้ผมจะผ่านไปหาเพลงจากคลื่น ๆ อื่น  บางทีหาเพลงชอบไม่ได้  เมื่อหมุนปุ่มกลับมาใหม่  ผ่านคลื่นเดิม  เพลงนี้ยังเล่นอยู่เลย  ถึงไม่ชอบก็ลืมไม่ลงละ

(ผมเพิ่งมารู้ในเวลาต่อมาว่าเพลงนี้ไม่ใช่ single)


ในช่วงเวลาเดียวกัน  เพลงนี้ก็พร้อมใจกันดังออกมาจากแทบทุกคลื่นเพลงฝรั่ง  ตอนนั้นไม่ชอบเพราะมันยาวมาก  ไม่มีจังหวะกลอง  เบื่อ  ตอนนี้ฟังแล้วฟังอีก  มันมาจากวง Quicksilver Messenger Service  มารู้ตอนมีข้อมูลว่าเป็นวง Psychedelic ที่ไม่ดังในวงกว้าง  เพลงที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ single  ไม่รู้ดีเจไปเอามาจากไหน  อย่างไรก็ตามเพลงดังในบ้านเรามาก



เช่นเดียวกับเพลงของวง Strawbs  เพลงนี้ดังมาก่อนเล็กน้อย  ทุกคลื่นเพลงฝรั่งนิยมเปิดให้ฟังเช่นกัน  มันเพราะจับใจ  ตอนนั้นพอกระแสความนิยมจางลง  ผมอดคิดไม่ได้ว่าคงไม่ได้ฟังเพลงนี้อีกแล้ว  หาในแผ่นเสียงแผ่นเล็กก็หาไม่เจอ (แผ่นก๊อปปี้)  จะซื้อ album ก็ไม่อยากเสียเงินเพื่อเพลง ๆ เดียว

จนวันหนึ่งในอีกหลายยยยยสิบปีต่อมาก็เกิดยุค อตน.  หนึ่งในผลพวงจากยุคนี้คือ website สำหรับโหลดเพลง  เพลงนี้เป็นเพลงแรก ๆ ที่ผมหา  ปรากฏว่าไม่มี  หาอยู่นานนนนนั่นแล้ว จนกระทั่งได้ข้อมูลเพิ่มเติม (ก็จาก อตน. นั่นแหละ) ถึงรู้ว่า  เพลงนี้แบบเดี่ยว ๆ ไม่มี  เพลงมันรวมอยู่ในเพลงชุดชื่อ Autumn  ซึ่งประกอบด้วย 3 เพลงร่ายยาวติดต่อกันไปเลย  เพลง The winter long เป็นส่วนที่ 3  มิน่าถึงหาเพลงนี้โดยเฉพาะไม่เจอ  ผมประหลาดใจว่าดีเจไปเอา track โดยเฉพาะของเพลงนี้มาจากไหน 

ตั้งแต่มียุค อตน. นี่  ผมพบว่าวงการเพลงฝรั่งในบ้านเราในยุคนั้นสร้างความประหลาดใจให้มากมาย  ความฉงนที่เกิดขึ้นในใจผมเป็นประจำเมื่อค้นเจอความจริงเกี่ยวกับเพลง/ศิลปินที่เหล่าดีเจยุคนั้นนำมาเสนอคือ  ‘เอ๊ะ... แล้ว (ตอนนั้น) ไปเอามาจากไหนวะ’



นี่เพลงเต็มชุด

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2330


ความคิดเห็นที่ 621  เมื่อ 05 ธ.ค. 25, 18:03

สลับฉากด้วยเพลง country กันต่ออีกหน่อย

ตอนผีเพลงเข้าสิงผมใหม่ ๆ ผมได้ยินวิทยุบ้านเราเปิดเพลง country บ้างประปราย  เท่าที่นึกออกมีแต่นักร้องหญิง  ตอนนั้นไม่รู้ลึกซึ้งเท่าตอนนี้ว่า  เพลงเหล่านั้นต้องเป็นเพลงประเภท crossover  คือข้ามมาดังฝั่งเพลง pop  อันเป็นความดังตามมาตรฐานสากล  ที่เหล่าดีเจบ้านเราจะนำมาเปิดให้พวกเราฟัง
 
สองคนนี้ดังก่อนยุคผม  คือปลาย 60s  ผลงานของเธอระดับแผ่นเสียงทองคำ  หลังจากผีเพลงเข้าสิงก็ยังทันได้ยินอยู่  ซึ่งเพราะมาก

Sammi Smith



ต่อมาคือ Jeannie C. Riley



เพลงนี้มีเนื้อหาที่ดีมาก

I wanna tell you all the story 'bout a Harper Valley widowed wife
Who had a teenage daughter who attended Harper Valley Junior High
Well, her daughter came home one afternoon and didn't even stop to play
And she said, "Mom, I got a note here from the Harper Valley P.T.A."

Well, the note said, "Mrs. Johnson, you're wearin' your dresses way too high
It's reported you've been drinkin' and a-runnin' round with men and goin' wild
And we don't believe you oughta be a-bringin' up your little girl this way"
And it was signed by the secretary, Harper Valley P.T.A.

Well, it happened that the P.T.A was gonna meet that very afternoon
And they were sure surprised when Mrs. Johnson wore her miniskirt into the room
And as she walked up to the blackboard, I can still recall the words she had to say
She said, "I'd like to address this meeting of the Harper Valley P.T.A."

Well, there's Bobby Taylor sittin' there and seven times he's asked me for a date
And Mrs. Taylor sure seems to use a lotta ice whenever he's away
And Mr. Baker, can you tell us why your secretary had to leave this town?
And shouldn't widow Jones be told to keep her window shades all pulled completely down

Well, Mr. Harper couldn't be here 'cause he stayed too long at Kelly's Bar again
And if you'll smell Shirley Thompson's breath, you'll find she's had a little nip of gin
And then you have the nerve to tell me you think that as a mother I'm not fit
Well, this is just a little Peyton Place and you're all Harper Valley hypocrites!

No, I wouldn't put you on because it really did
It happened just this way
The day my mama socked it to the Harper Valley P.T.A.
The day my mama socked it to the Harper Valley P.T.A.

ความดังของเพลงรวมถึงเนื้อหาที่มีสาระทำให้มีการนำมาสร้างเป็นทั้งหนังยาวและหนังทีวี  ผมจำฉบับหนังยาวไม่ได้  จำได้แต่ฉบับออกฉายทางทีวี  บ้านเราทางช่อง 3

(ฉบับหนังยาว - คนทำ clip ตัดต่อให้เดินเรื่องคล้องกับเนื้อเพลง)


ตัวคุณแม่ทั้ง 2 ฉบับเล่นโดย Barbara Eden  เธอดังสนั่นจากหนังทีวีเรื่อง ทรามวัยกายสิทธิ์ (I dream of Jeannie)





Jody Miller นี่มีเพลงมาเปิดในบ้านเราตอนต้น 70s   ผมกำลังตั้งไข่เรื่องเพลงฝรั่ง

(ต้นฉบับเป็นของใคร  ทุกคนรู้นะ  ดังจะตายชัก)


ส่วนสองศิลปินนี้ดังในยุคผมแล้ว 

Lynn Anderson  กับเพลงแรกระดับแผ่นเสียงทองคำ  ดังกระหน่ำ  เพลงที่ 2 ดังเฉพาะที่บ้านเรา





ผมว่าคนนี้ดังน้อยที่สุด  แต่ก็ยังดัง  ไม่งั้นผมคงจำไม่ได้

Jessi Colter



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 40 41 [42]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 19 คำสั่ง